ผ่านพ้นช่วงมรสุมชีวิตของซัมซุงไปแล้ว ในปีนี้หลังจากเปิดตัวแม่ทัพใหญ่ Galaxy S8/S8+ ก็ถึงคิวของสมาร์ทโฟนที่หลายคนจับตามองมากที่สุดอย่าง Samsung Galaxy Note 8 ที่ในครั้งนี้นอกจากซัมซุงจะออกแบบตัวเครื่อง ปากกาและปรับสเปกใหม่แล้ว ด้านกล้องถ่ายภาพด้านหลังยังถูกปรับใหม่ให้แตกต่างจาก Galaxy S8/S8+ เอาใจเหล่าสาวกกับกล้องคู่ Dual Camera พร้อมเลนส์ 2 ระยะครั้งแรกของสมาร์ทโฟนซัมซุง หลังจาก Galaxy S8/S8+ ซัมซุงโดนวิจารณ์เรื่องกล้องว่าไม่ค่อยมีความแตกต่างจากเดิมมากเท่าใด กลับมาในครั้งนี้ทุกสิ่งเลยถูกปรับให้ยิ่งใหญ่และสมบูรณ์แบบเพื่อให้สมกับคำว่า “Do bigger things”
*ตัวเครื่องที่ทีมงานได้รับมาทดสอบเป็นเครื่องเดโมไม่ใช่เครื่องจำหน่ายจริง*
การออกแบบ
ยอมรับว่าครั้งแรกที่ได้รับ Galaxy Note 8 มาจากทางซัมซุง ทีมงานค่อนข้างประหลาดใจกับการออกแบบที่ดูแล้วมีความแปลกมากกว่าสวยงาม ทั้งๆที่ตัวเครื่องมีพื้นฐานมาจาก Galaxy S8/S8+ ตั้งแต่สัดส่วนหน้าจอ 18.5:9 (ซัมซุงบอกว่าหน้าจอสัดส่วนนี้จะทำการให้รับชมภาพยนตร์ที่ส่วนใหญ่เป็นอัตราส่วน 21:9 ทำได้เต็มตาขึ้น) ไปถึงการจัดวางกระจกจอและปุ่มสั่งงานต่างๆนั้นเหมือนกับ Galaxy S8 แต่ในมุมมองของทีมงานกลับชื่นชอบดีไซน์ของ Galaxy S8 ที่ดูลงตัวกว่า
และทุกความคิดก็ต้องเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ทดลองจับถือใช้งาน Galaxy Note 8 ตลอดทั้งวัน พบว่าการออกแบบที่ดูแปลกประหลาดนี้ จริงๆแล้วทำให้การจับถือตัวเครื่องที่มาพร้อมหน้าจอ Infinity Display ขนาดใหญ่ 6.3 นิ้ว (Quad HD+ 1,440×2.960 พิกเซล 521ppi รองรับ HDR) ทำได้ถนัดมือมากยิ่งขึ้น (จับถือถนัดกว่า Galaxy Note ทุกรุ่น) อีกทั้งขอบจอที่โค้งสองด้านทั้งหน้าหลังยังช่วยลดอาการสมาร์ทโฟนลื่นหลุดจากมือได้ด้วย เพราะเวลาจับถือใช้งาน Note 8 สันเครื่องจะเข้ากับร่องนิ้วได้พอดี
ส่วนคนที่กังวลว่าขอบจอที่ออกแบบมาแทบจะไร้ขอบและหน้าจอมีขนาดใหญ่เต็มพื้นที่ด้านหน้าทั้งหมด เวลาจับถือโอกาสที่นิ้วมือจะไปโดนปุ่มคำสั่งต่างๆที่หน้าจอมีหรือไม่ สำหรับทีมงานไซเบอร์บิซเองตลอดการใช้งานกว่า 1 อาทิตย์ยังไม่พบปัญหาดังกล่าว คาดว่าภายในน่าจะมีระบบตรวจจับอยู่การจับถือบริเวณขอบจออยู่
คอนเทนต์อัตราส่วนภาพ 16:9 เมื่อเล่นบนหน้าจอ Galaxy Note 8 ที่มาพร้อมอัตราส่วน 18.5:9 จะมีขอบดำด้านซ้ายและขวา
แต่เราสามารถปรับให้คอนเทนต์อัตราส่วนภาพ 16:9 เล่นได้เต็มจอ Galaxy Note 8 แต่ภาพจะถูกครอปบนและล่างออกไป (ส่วนการเล่นคอนเทนต์ 21:9 ระบบจะขยายภาพให้อัตโนมัติ)
ปัจจุบันเริ่มมีเกมที่ออกมารองรับหน้าจออัตราส่วน 18.5:9 แล้ว เช่น Lineage2 Revolution
โดยในส่วนความหนาตัวเครื่องอยู่ที่ 8.6 มิลลิเมตรพร้อมน้ำหนัก 195 กรัม ส่วนกล้องถ่ายภาพด้านหน้ายกมาจาก Galaxy S8/S8+ ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f1.7 มาพร้อม Smart Auto Focus นอกจากนั้นยังมาพร้อมกล้องสแกนม่านตา (Iris Scan) อีกด้วย
มาดูในส่วนใต้จอภาพกันบ้าง จะเห็นว่าปุ่มโฮมแบบปุ่มกดจริงดั้งเดิมถูกเปลี่ยนเป็นปุ่มโฮมผ่านซอฟต์แวร์เหมือนกับ Galaxy S8/S8+ โดยใต้จอภาพทางซัมซุงได้ฝังเซ็นเซอร์วัดแรงกดไว้ ซึ่งจะสั่นเมื่อเรากดปุ่มนี้ลงไปทำให้ความรู้สึกเหมือนกดปุ่มโฮมของจริง ส่วนปุ่มคำสั่ง Recent Apps และปุ่มย้อนกลับจะปรากฏขึ้นเมื่อเราปลดล็อกหน้าจอแล้ว
พลิกเครื่องไปด้านหลังสิ่งแรกที่เห็นการเปลี่ยนแปลงไปก็คือส่วนของกล้องถ่ายภาพหลังถูกปรับเป็นกล้องคู่ Dual Camera ครั้งแรกของกลุ่มสมาร์ทโฟนซัมซุงหลังจากแฟนๆเรียกร้องมายาวนานร่วมปี (เพราะคู่แข่งเขาไปกล้องคู่หมดแล้ว) พร้อมไฟแฟลช LED เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจและถัดออกไปเป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือถูกย้ายมาติดตั้งด้านหลังแบบเดียวกับ Galaxy S8/S8+
โดยในส่วนสเปกกล้องหลังคู่ Dual Camera จะเป็นแบบเดียวกับ iPhone 7 Plus คือเป็นเลนส์ 2 ระยะ ได้แก่ กล้องตัวแรกเป็นเลนส์มุมกว้าง 26 มิลลิเมตร รูรับแสงกว้าง f1.7 ส่วนกล้องตัวที่สองเป็นเลนส์ระยะ Normal 52 มิลลิเมตร รูรับแสงกว้าง f2.4 โดยกล้องทั้งสองตัวจะให้ความละเอียดภาพสูงสุดที่ 12 ล้านพิกเซลบนเซ็นเซอร์รับภาพ 1.4 ไมครอนตัวเดียวกับ Galaxy S8/S8+ พร้อมระบบออโต้โฟกัส Dual Pixel
ทำให้ระบบกล้อง Note 8 รองรับการซูมออปติคอล 2 เท่าและสามารถทำหน้าชัดหลังเบลอ (ซัมซุงเรียก “Live Focus”) ได้เหมือน iPhone 7 Plus พร้อมเพิ่มระบบป้องกันภาพสั่นไหว Optical Image Stabilization (OIS) มาให้กับกล้องทั้งสองตัวด้วย (Dual OIS)
มาดูพอร์ตเชื่อมต่อและปุ่มกดรอบตัวเครื่องกันบ้าง เริ่มจากด้านล่างจะเป็นส่วนช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร พอร์ต USB-C ไมโครโฟน ลำโพง (มีตัวเดียวให้เสียงแบบโมโน) และช่องเก็บปากกา S Pen
ด้านบน เป็นส่วนของไมโครโฟนตัวที่สองและช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์แบบนาโน 2 ซิม โดยช่องใส่ซิมที่ 2 จะแชร์กับช่องใส่ MicroSD Card รองรับความจุสูงสุด 256GB
ในส่วนด้านซ้ายและขวาของตัวเครื่องจะเป็นที่อยู่ของปุ่มเพิ่มลดเสียง ปุ่มเรียกผู้ช่วย Bixby และปุ่มเปิดปิดเครื่อง
มาดูในส่วนปากกา S Pen มองภาพรวมภายนอกแล้วดูไม่มีการเปลี่ยนแปลงจาก Note 7 แต่ภายในซัมซุงได้อัปเกรดใหม่แทบทั้งหมดเริ่มตั้งแต่
1.หัวปากกาปรับไปใช้หัวยางขนาด 0.7 มิลลิเมตร ทำให้เขียนได้ลื่นไหลและไม่ทำให้หน้าจอเป็นรอย
2.S Pen ใหม่รองรับแรงกดได้ละเอียด 4,096 ระดับเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมเป็นเท่าตัว
3.S Pen รองรับการเขียนในน้ำตามมาตรฐาน IP68
สุดท้ายเป็นไปตามธรรมเนียมของซัมซุงก็คือตัวเครื่อง Galaxy Note 8 รองรับการป้องกันน้ำและฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 เช่นเดิม
สเปก
เริ่มจากซีพียูจะใช้แบบ 10 นาโนเมตร Samsung Exynos 8895 Octa ความเร็ว 2.3GHz พร้อมแรม LPDDR4 6GB รอม 64GB (เหลือใช้งานจริงประมาณ 51-52GB) ระบบปฏิบัติการ Android 7.1.1 (Nougat) และแบตเตอรีความจุ 3,300mAh
ด้านการเชื่อมต่อเครือข่าย รองรับ 3G/4G ทุกเครือข่ายในบ้านเรา รวมถึงรองรับ Next G ของ AIS เต็มรูปแบบ โดยในส่วน 4G LTE จะรองรับความเร็วถึง Cat.16 (LTE Advanced) พร้อมรองรับเทคโนโลยีรวมคลื่นความถี่มากถึง 4CA ส่วน WiFi มีการปรับปรุงให้เป็น MU-MIMO และบลูทูธเปลี่ยนไปใช้เวอร์ชัน 5.0 ที่สามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วถึง 2Mbps
ในส่วนการรองรับ NFC ยังมีให้เช่นเดิมพร้อม Samsung Pay ด้าน GPS รองรับ Galileo, Glonass และ BeiDou และ Note 8 สามารถถอดรหัสเสียง UHQ 32-bit และ DSD รองรับการเล่นไฟล์เพลงได้หลากหลายรูปแบบ
ฟีเจอร์เด่น
ภาพรวมหน้าตาและการใช้งานระบบปฏิบัติการจะเหมือนกับ Galaxy S8/S8+ ที่ซัมซุงเน้นเรื่องความเบาและใช้งานลื่นไหล โดยแอปฯของซัมซุงทั้งหมดจะไม่ถูกติดตั้งลงในระบบปฏิบัติการอีกแล้ว ถ้าผู้ใช้ต้องการใช้งานแอปฯใดต้องเข้าไปดาวน์โหลดเพิ่มเติมเอง
ในส่วน Navigation Buttons สามารถปรับแต่งได้ตั้งแต่เลือกสีไปถึงปรับการทำงานของเซ็นเซอร์วัดแรงกดว่าถ้าผู้ใช้กดหนักจะเป็นการสั่งงานคำสั่งใด อีกทั้งยังสามารถสลับตำแหน่งปุ่มคำสั่งได้ และทีเด็ดสุดก็คือในระหว่างใช้งานสามารถกดซ่อนแถบ Navigation Buttons จากหน้าจอได้ด้วยการกดปุ่ม ‘จุด’ ด้านซ้ายมือค้างไว้ (ส่วนการเรียกแถบ Navigation Buttons กลับมาก็เพียงสไลด์นิ้วจากขอบจอด้านล่างขึ้นมาและกดปุ่ม ‘จุด’ ค้างไว้อีกครั้งจะถือเป็นการตรึงแถบปุ่มคำสั่งเหมือนเดิม
S Pen การใช้งานหลักยังคงเหมือนทั้ง Galaxy Note 5 และ Note 7 คือสามารถเขียนผ่าน Samsung Notes สามารถเลือกตัดภาพที่ต้องการได้ เขียนบนหน้าจอ สร้าง GIF Animation จากวิดีโอโดยใช้ปากกาครอปภาพที่ต้องการ รวมถึงสามารถแปลภาษาได้ (รองรับการแปลไทย-อังกฤษ และสามารถแปล Subtitle ที่อยู่ในเกมหรือวิดีโอได้ด้วย) หรือจะเลือกครอปภาพอย่างอิสระก็สามารถทำได้แบบเดียวกับ Note 7 (อ่านรีวิวฟีเจอร์ปากกาเพิ่มเติม >คลิกที่นี่<)
แต่ทั้งนี้สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาใน S Pen พิเศษเฉพาะ Galaxy Note 8 ก็คือความสามารถในการทำ Live Message โดยผู้ใช้สามารถวาดภาพในรูปแบบ GIF Animation และส่งไปให้คนสนิทได้ทันที หรือจะเลือกรูปที่ส่งผ่าน Message มาแล้วนำมาแก้ไขใส่สีสันต่างๆก็สามารถทำได้เช่นกัน ยกตัวอย่างภาพ GIF ด้านบนทีมงานเลือกเขียนทักทายเพื่อนจากนั้นก็ส่งผ่านระบบ Message ในเครื่องหรือจะเก็บไว้แล้วค่อยไปส่งผ่านแอปฯแชท เช่น LINE หรือ Facebook Messenger ก็ได้
อีกส่วนที่ถือเป็นไฮไลท์เด็ดพิเศษเฉพาะ Galaxy Note 8 เช่นกัน ก็คือ ผู้ใช้สามารถเขียนข้อความหรือวาดภาพบนหน้าจอ Always on Display (AOD) จากนั้นเลือกตรึงข้อความไว้ที่หน้า AOD อารมณ์แบบเดียวกับการเขียน Post-it เพื่อใช้เตือนความจำ เช่น เขียนรายการซื้อสินค้าไว้ เมื่อไปถึงห้างเราก็เพียงยก Note 8 ขึ้นมาแล้วดูรายการสั่งซื้อได้ทันทีโดยไม่ต้องปลดล็อกหน้าจอให้เสียเวลา
Bixby (บิกซ์บี) ใน Galaxy Note 8 บิกซ์บีถูกเพิ่มความสามารถและประสิทธิภาพให้ดีขึ้น โดยเมื่อผู้ใช้กดปุ่มเรียกบิกซ์บี คุณสามารถพูดสั่งงานให้ช่วยเปิดแอปฯต่างๆ เลือกเล่นเพลง ไปถึงสามารถสั่งให้เซลฟีหน้าเราได้แล้วด้วย (แต่ยังไม่ฉลาดเท่า Siri ของแอปเปิล) แต่น่าเสียดายที่ปัจจุบัน Bixby ยังรองรับแค่ภาษาอังกฤษและเกาหลีเท่านั้น
Link sharing เป็นฟีเจอร์ที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการส่งรูปภาพหรือวิดีโอคุณภาพสูงไปให้เพื่อน แต่เพื่อนใช้สมาร์ทดีไวซ์คนละแพลตฟอร์มกับเรา เช่น เราใช้ Note 8 เพื่อนใช้ iPhone เป็นต้น Link sharing จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหา โดยระบบจะให้เราสามารถส่งรูปภาพ วิดีโอหรือไฟล์อะไรก็ได้ไม่เกินวันละ 2GB จากนั้นเมื่อเรากดใช้งาน ระบบจะนำไฟล์ของเราไปฝากไว้บนคลาวด์สตอเรจของซัมซุงชั่วคราว (ลิงค์มีอายุ 24 ชั่วโมงและต้องใช้อินเทอร์เน็ตในการส่งไฟล์) พร้อมสร้างลิงค์ไฟล์มาให้กับเรา เราก็เพียงนำลิงค์ไฟล์นั้นส่งให้เพื่อนไปดาวน์โหลดออกมา (หลักการทำงานคล้ายเราฝากไฟล์ไว้ใน Dropbox แต่ระบบนี้ใช้งานง่ายกว่าเพราะไม่ต้องล็อกอินเข้าใช้งานแอปฯใดๆ)
WiFi MIMO เป็นหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจเพราะ Galaxy Note 8 มาพร้อม WiFi แบบ MU-MIMO (Multi-User Multiple-Input and Multiple-Output) พร้อมรองรับความเร็วในการรับส่งข้อมูลผ่าน WiFi ระดับ Gigabit ทำให้ตัวสมาร์ทโฟนมีฟังก์ชันพิเศษที่หลายคนอาจยังไม่ทราบก็คือ สามารถแชร์ WiFi ที่เชื่อมต่อกับ Note 8 ส่งผ่าน WiFi อีกครั้งไปให้สมาร์ทโฟนเครื่องอื่นได้ จากเดิมปกติเราจะทำ Hotspot แชร์ได้แค่ 3G/4G เท่านั้น
นอกจากนั้น Galaxy Note 8 ยังมาพร้อมฟังก์ชัน Adaptive Wi-Fi ที่เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตแบบเสถียรเพราะเมื่อเปิดใช้ฟังก์ชันนี้ เมื่อใดก็ตามที่ WiFi ที่เราเชื่อมต่อสัญญาณไม่ดี ระบบจะดึงข้อมูลจากดาต้าอินเทอร์เน็ต 3G/4G มาเสริมทันที
นอกนั้นในส่วนฟีเจอร์เด่นอื่นๆ จะเหมือนกับ Galaxy S8/S8+ เช่น สามารถทำ Dual Messenger หรือความสามารถในการใช้เฟสบุ๊ก 2 บัญชีได้ในเครื่องเดียว, มีระบบป้องกันสแปมจากเบอร์โทรที่เราไม่รู้จัก ไปถึงความสามารถในการลดความละเอียดหน้าจอลงได้เพื่อประหยัดแบตเตอรี เป็นต้น
ทดสอบประสิทธิภาพ
มาถึงการทดสอบประสิทธิภาพด้านการประมวลผล ส่วนนี้ทีมงานไซเบอร์บิซ ออนไลน์จะไม่ขอลงรายละเอียดมากนักเพราะคะแนนก็ถือว่าติดอยู่ในระดับท็อปของตารางและประสิทธิภาพส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แตกต่างจาก Galaxy S8/S8+ (คะแนนอยากเทียบกับ Galaxy Note 7 หรือ S8+ สามารถรับชมได้โดยกดที่ชื่อรุ่น) ที่ทีมงานได้ทดสอบไปก่อนหน้านี้ โดยจุดเด่นของ Note 8 ที่ทีมงานรู้สึกแตกต่างจากตอนทดสอบ S8/S8+ ก็คือความลงตัวและสมบูรณ์ของซอฟต์แวร์ควบคุมต่างๆที่ซัมซุงปรับแต่งมาได้ดีขึ้น แต่คาดว่า Galaxy S8/S8+ ปัจจุบันก็คงได้รับการอัปเดตแก้ไขข้อบกพร่องไปพอสมควรแล้วเช่นกัน
ส่วนเรื่องแบตเตอรีกับระยะเวลาใช้งานถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติของสมาร์ทโฟนเรือธงปีนี้คือ 10-12 ชั่วโมง โดยทีมงานทดสอบด้วยการเปิดหน้าจอรันแอปฯ PC Mark ทิ้งไว้ตลอดทั้งวัน
กล้องถ่ายภาพ Dual Camera
ครั้งนี้ถือว่าซัมซุงเปิดตัว Galaxy Note 8 ได้อย่างหวือหวาเพราะเลือกใส่กล้องคู่มาให้ในรุ่นนี้ทันที (ปกติซัมซุงจะเลือกใส่นวัตกรรมใหม่มากับ Galaxy S เสียมากกว่า) โดยกล้องคู่ของ Note 8 ก็เดินตาม iPhone 7 Plus แบบเรียกได้ว่าเป็นพี่น้องกันเลย เนื่องจากกล้องทั้ง 2 ตัวที่ใส่มามีสองระยะคือ 26 มิลลิเมตรกับ 52 มิลลิเมตร หรือเทียบเท่าซูมออปติคอล 2 เท่า
โดยในส่วนของซอฟต์แวร์กล้องก็ยังคงหน้าตาเหมือนกับ Samsung Galaxy ทุกรุ่นคือเน้นใช้งานง่าย แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาเฉพาะ Galaxy Note 8 อย่างแรกคือปุ่ม x2 ซึ่งเมื่อกดแล้วก็เท่ากับจะเปลี่ยนไปใช้เลนส์ 52 มิลลิเมตร ภาพก็จะถูกซูมเข้ามา (ลองกดรับชมวิดีโอด้านบน) หรือจะใช้นิ้วจิ้มค้างไว้ที่ปุ่มชัตเตอร์แล้วลากขึ้นลงเพื่อซูมเข้าออก รวมถึงใช้วิธีใช้นิ้วถ่างขยายแบบปกติก็ได้ โดยระบบซูมออปติคอลจะอยู่ที่ระยะ x1-x2 หลังจากนั้นไปจนถึง x10 จะเป็นดิจิตอลซูม
Live Focus (โฟกัสตามเวลาจริง) หรือโหมดหน้าชัดหลังเบลอ ที่ซัมซุงออกแบบมาให้ใช้ได้ทั้งถ่ายภาพบุคคลและวัตถุ โดยหลักการทำงานของโหมดนี้ก็คือใช้เลนส์คู่ในการตรวจจับระยะ จำลองมิติและฉากหลังที่หลุดโฟกัส จากนั้นระบบจะบันทึกภาพให้ทั้งมุมกว้างจากเลนส์ตัวแรกและระยะใกล้จากเลนส์ตัวที่สอง เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกไฟล์ที่ดีที่สุดรวมทั้งสามารถปรับแก้ความเบลอของฉากหลังได้ด้วย
ในส่วนโหมดถ่ายภาพอื่นๆ Galaxy Note 8 จะมาพร้อม Pro Mode สามารถปรับตั้งค่ากล้องได้เองรวมถึงเปิดความสามารถในการบันทึกแบบ RAW File ได้ โหมด Hyperlapse, โหมดอาหาร, Slow Motion, Panorama เป็นต้น ส่วนกล้องหน้าจะเหมือนกับ Galaxy S8/S8+ คือรองรับการถ่ายภาพเซลฟีมุมกว้าง ทำหน้าชัดหลังเบลอได้ รวมถึงสามารถตกแต่งใส่สติกเกอร์ได้ตามต้องการ
ทดสอบกล้อง Galaxy Note 8
เลนส์ตัวแรก 26 มิลลิเมตร
เลนส์ตัวที่สอง 52 มิลลิเมตร (เท่ากับซูม 2 เท่า)
เลนส์ตัวแรก 26 มิลลิเมตร
เลนส์ตัวแรก 26 มิลลิเมตร
เลนส์ตัวแรก 26 มิลลิเมตร
ดิจิตอลซูมประมาณ 5 เท่า
เปิดใช้เลนส์ตัวที่สอง 52 มิลลิเมตร (เท่ากับซูม 2 เท่า) โหมดโปร ตั้งสปีดชัตเตอร์ 2 วินาที
เลนส์ตัวที่สอง 52 มิลลิเมตร (เท่ากับซูม 2 เท่า)
Food Mode
กล้องหน้า ยังคงสไตล์ซัมซุงคือเมื่อกล้องจับใบหน้าของเราได้ ระบบจะชดเชยแสงให้สว่างกว่าปกติเล็กน้อย
iPhone 7 Plus ปะทะ Galaxy Note 8
ด้วยสเปกกล้องที่เหมือนซัมซุงวางมาชนกับ iPhone 7 Plus ทำให้ทีมงานไซเบอร์บิซต้องจับมาชนกันแบบภาพต่อภาพให้ดูกัน
เริ่มจากภาพแรก หลายคนที่ดูภาพนี้อาจกำลังคิดว่าไม่ยุติธรรม เพราะระยะภาพจากตัวแบบไม่เท่ากัน ตรงนี้ทีมงานขอชี้แจงก่อนครับว่า ด้วยความที่ระบบหน้าชัดหลังเบลอของแต่ละเจ้ามีข้อจำกัดไม่เหมือนกัน เพราะต้องไม่ลืมว่าระบบใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในการจัดการความเบลอของส่วนที่หลุดโฟกัส เพราะฉะนั้นเมื่อถ่ายในที่แสงน้อย พอภาพเริ่มไม่คมชัดระบบจะตรวจจับระยะชัดของภาพและประมวลผลได้ยากขึ้น
ยกตัวอย่างภาพนี้ เราเลือกถ่ายด้วย Portrait Mode สำหรับ iPhone 7 Plus และ Live Focus สำหรับ Galaxy Note 8 ในที่แสงน้อยมากเพื่อให้กล้องแสดงประสิทธิภาพเต็มที่ แต่ปัญหาที่พบก็คือ iPhone 7 Plus ฟ้องว่า “แสงไม่พอ ให้ถอยห่างออกมา” ทีมงานก็ต้องถอยไปมาจนในที่สุดก็ถ่ายได้ที่ระยะอย่างที่เห็นตามภาพ ส่วน Note 8 ก็ไม่ต่างกัน ขยับจนกว่าจะถ่ายได้ก็เล่นเอาเหงื่อตก ทำให้ระยะที่ได้คลาดเคลื่อนไม่เท่ากัน ส่วนการวัดแสงผมเลือกที่ใบหน้าจุดเดียวกันทั้งหมด
จะเห็นว่าถ้ามองในเรื่องการเก็บรายละเอียด iPhone 7 Plus จะให้ภาพที่คมกว่าแต่ก็แลกมากับนอยซ์ที่มากและแสงที่มืดกว่า ในขณะที่ Note 8 จะเกลี่ยนอยซ์ออกได้ดีกว่า จนภาพดูเบลอๆเล็กน้อย และที่สำคัญอย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่าเมื่อใดก็ตามที่ระบบกล้องของ Note 8 (รวมถึง S8/S8+) รู้ว่าเป็นการถ่ายคน ซอฟต์แวร์จะปรับโทนภาพ สีผิวและความสว่างให้หน้าสดใสตามแบบฉบับซัมซุง
ภาพนี้ปิดไฟทั้งห้องเหลือเพียงแต่ไฟจากจอมอนิเตอร์คอมพิวเตอร์พร้อมครอปภาพ 100% ให้ดูกันระยะใกล้ไปเลย พบว่าในส่วนรายละเอียดตัวหนังสือที่ถ่ายด้วยกล้อง Note 8 จะมีความชัดเจนกว่า iPhone 7 Plus
ภาพนี้ถ่ายย้อนแสงเล็กน้อย HDR On วัดแสงตรงกลางภาพ ต้องยอมรับว่าเรื่องโทนภาพ iPhone 7 Plus ให้โทนที่สวยกว่า ในขณะที่ Galaxy Note 8 จะให้โทนติดอมฟ้าม่วง แต่ในเรื่องความคมชัดและรายละเอียด เมื่อซูมดูใกล้ๆ Galaxy Note 8 ทำได้ชัดเจนกว่า
ภาพนี้ถ่ายด้วย Portrait Mode สำหรับ iPhone 7 Plus และ Live Focus สำหรับ Galaxy Note 8 พบว่าคุณภาพของการเบลอส่วนที่หลุดโฟกัสดีใกล้เคียงกันมาก เพียงแต่ระบบ Live Focus ของ Galaxy Note 8 จะปรับแต่งได้มากกว่า ส่วนรายละเอียดภาพ Galaxy Note 8 ค่อนข้างเก็บได้ดีกว่า ส่วนอื่นลองพิจารณากันเองครับ
สรุป
สำหรับราคาเปิดตัว Samsung Galaxy Note 8 อยู่ที่ 33,900 บาท เรียกได้ว่าเป็นการกลับมาของ Galaxy Note ที่ซัมซุงจัดเต็มทุกสัดส่วน จนทำให้ Galaxy Note 8 น่าจะเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงทำตลาดแทนที่ Galaxy S8+ ได้เลย หลายส่วนดูสมบูรณ์แบบมาก โดยเฉพาะการมาของกล้องคู่ที่ซัมซุงทำได้น่าสนใจ รวมถึงลูกเล่น S Pen ที่ให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดี ยกเว้นเรื่องลำโพงที่ให้มาตัวเดียวเหมือนกับ Galaxy S8/S8+ เมื่อเทียบกับคู่แข่งทั้ง iPhone 7 Plus เองหรือ Huawei P10+ ลำโพงของ Note 8 ให้เสียงที่ด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
สรุปสั้นๆในตอนนี้ใครกำลังมองหาสมาร์ทโฟนเรือธงจากซัมซุงถ้าไม่ติดเรื่องงบทีมงานอยากให้มองข้ามมาที่ Galaxy Note 8 ทันทีเพราะสิ่งที่ S8/S8+ มีใน Note 8 จะทำได้สมบูรณ์แบบกว่า