Peerakwang – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Mon, 03 Jun 2019 04:10:45 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Fitbit Versa Lite Edition ที่ “Lite สมชื่อ” https://cyberbiz.mgronline.com/review-fitbit-versa-lite-edition/ Mon, 03 Jun 2019 04:10:45 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=30776  

สมาร์ทวอตช์ Fitbit Versa Lite Edition วางจุดขายไว้ที่ราคาจับต้องได้ บนจอแสดงผลสีสะดุดตาในบอดี้หรูอะลูมิเนียม ตัวสายเป็นซิลิโคนน้ำหนักเบาที่ใส่สบายแม้จะสวมไว้นานเมื่อทำกิจกรรมจนมีเหงื่อซึม แบตเตอรี่จุใจใช้ต่อเนื่องเกิน 4 วันแบบไม่ได้โม้

ข้อดี

– จอแสดงผลสว่างสดใส
– การออกแบบดี ใช้งานสะดวกสบาย
– อายุแบตเตอรี่ต่อเนื่อง 4-5 วัน
– ราคาประหยัดกว่ารุ่นท็อป

ข้อสังเกต

– ไม่มีระบบนับชั้นเมื่อเดินขึ้นบันได
– ไม่มี GPS

Fitbit เริ่มเปิดตัว Fitbit Flex ในปี 2013 ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา Fitbit สามารถพิสูจน์ได้ว่าสมาร์ทวอตช์จับสถิติร่างกายเพื่อการออกกำลังนั้นไม่ได้เป็นแค่แฟชั่นชั่วคราวที่มาแล้วก็ไป ซึ่งเมื่อ Apple เห็นโอกาสงามและเปิดตัว Apple Watch ในเดือนเมษายน 2015 แบรนด์อย่าง Fitbit ที่มุ่งเน้นผลิตสายรัดข้อมือติดตามข้อมูลฟิตเนสเป็นหลักมาก่อน ก็หันมาเปิดตัวสมาร์ทวอทช์ครั้งแรกด้วยการประเดิมรุ่น Fitbit Ionic ในช่วงปลายปี 2017

ตั้งแต่นั้น กองทัพสมาร์ทวอตช์ของหลายแบรนด์ก็เริ่มเปิดตลาดในราคาไม่ธรรมดา แต่ในปีนี้ โลกได้รู้จัก “Fitbit Versa Lite” ที่เปิดตัวพร้อมกับ Fitbit Inspire HR ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เรียกความสนใจได้มากเพราะนี่คือสมาร์ตวอทช์ที่มีเป้าหมายเข้าถึงลูกค้ามากขึ้นในราคาที่ถูกกว่า

Fitbit Versa Lite รุ่นใหม่มีราคาอยู่ที่ 6,690 บาท และไม่ใช่ทายาทที่ต่อยอดจาก Fitbit Versa ที่เปิดตลาดไปเมื่อปีที่แล้ว เพราะ Versa Lite เป็นรุ่นที่เน้นรวมทุกคุณสมบัติของสมาร์ทวอตช์รุ่นใหญ่ มาจัดใหม่ในราคาที่ถูกลง สิ่งที่ต้องแลกเพื่อให้ได้ราคาที่สบายกระเป๋ากว่าคือการไม่มี GPS และการตัดเซ็นเซอร์บางอย่างออกไปจนทำให้ไม่สามารถนับชั้นเมื่อผู้ใช้เดินขึ้นบันได แต่จะสามารถนับได้เฉพาะจำนวนก้าวที่เดินเท่านั้น

แทบไม่ต่าง Apple Watch

แม้จะมีราคาประหยัดกว่า แต่ Versa Lite ถูกออกแบบมาในพิมพ์เดียวกันกับ Fitbit Versa และ Versa Special Edition โดยใช้หน้าจอ LCD สี่เหลี่ยมจัตุรัส เมื่อนำมาเทียบกับ Apple Watch สายสีขาว จะพบว่าถอดแบบเหมือนพี่น้องคลอดตามกันมา

หากเทียบ Versa Lite และ Fitbit Versa พบว่าปุ่มที่เครื่องต่างกันโดย Fitbit Versa จะมี 2 ปุ่มอยู่ทางด้านขวาของเครื่อง แต่ใน Fitbit Versa Lite มาพร้อมกับปุ่มทางซ้ายเพียงปุ่มเดียว โดยรูปแบบการทำงานของปุ่ม Versa Lite ยังต่างจากปุ่มที่อยู่ใน Fitbit Versa ด้วย เพราะสามารถใช้เพื่อนำทางกลับไปที่หน้าจอหรือเพื่อให้เข้าสู่โหมดสลีปเท่านั้น แต่ปุ่มใน Fitbit Versa สามารถใช้คู่กับแอปพลิเคชันได้

ด้านหลังของ Versa Lite นั้อุดมด้วยเซ็นเซอร์หลายตัว ทั้งเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ เซ็นเซอร์ SpO2 และเซ็นเซอร์วัดแสงรอบข้าง อย่างไรก็ตาม Versa Lite ต่างจาก Versa และ Versa Special Edition ที่ไม่ได้มาพร้อมกับเซ็นเซอร์วัดความสูงเหมือนในสมาร์ทว็อตช์รุ่นอื่น

จอแสดงผลเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่จะชี้เป็นชี้ตายว่าสมาร์ทวอตช์รุ่นใดน่าสนใจหรือไม่ โชคดีที่ Versa Lite สามารถตอบโจทย์ได้ดี เพราะ Fitbit Versa Lite มีหน้าจอ LCD ขนาด 1.34 นิ้ว เคลือบด้วยกระจกกันกระแทก Corning Gorilla Glass 3 ความสว่าง 1,000 nits ทำให้จอแสดงผลของ Versa Lite สู้แสงอาทิตย์สดใสของกรุงเทพมหานครได้ดีมาก

แจ้งเตือนไม่ได้?

ตามปกติ Versa Lite จะสามารถแสดงการแจ้งเตือนเพื่อรับข้อความจากโทรศัพท์ แต่กรณีของรุ่นที่ได้มาทดสอบ พบว่าแม้จะพยายามรีสตาร์ทเครื่องกี่ครั้งเพื่อเชื่อมต่อระบบแจ้งเตือน ก็ยังมีปัญหาไม่สามารถรับข้อมูลแจ้งเตือนได้ จุดนี้ถือเป็นปัญหาเดียวกับสมาร์ทวอตช์บางรุ่นที่ถูกปิดกั้นจากสมาร์ทโฟนเฉพาะรุ่น ซึ่งปัญหานี้ถูกรายงานในหลายประเทศทีเดียว

ชาว Versa Lite สามารถปัดหน้าจอขึ้นเพื่อตรวจสอบสถิติรายวัน ทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ, จำนวนก้าว, ชั่วโมงนอนหลับ และรายงานรายสัปดาห์ หากวาดหน้าจอไปทางซ้าย ระบบจะเปิดโหมดออกกำลังกาย, นาฬิกาปลุก ระบบผ่อนคลาย Relaxing และการตั้งค่า หากกดปุ่มด้านซ้ายของเครื่องค้างไว้ จะทำให้สามารถเข้าถึงส่วนควบคุมเพลง และการควบคุมการแจ้งเตือนได้ ทั้งหมดนี้ถือว่าตั้งค่าง่ายและละเอียดดี

จุดเด่นของ Versa Lite ยังอยู่ที่คุณสมบัติกันน้ำ โดยผู้ใช้สามารถสวมใส่ในห้องอาบน้ำหรือในสระว่ายน้ำที่มีความลึกสูงสุด 50 เมตร จุดที่ Versa Lite ไม่ต่างจากสายรัดข้อมือสุขภาพทั่วไปคือ Versa Lite มีการแจ้งเตือนกิจกรรมรายชั่วโมง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายรายวันที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เอกลักษณ์ที่ Fitbit จัดให้ในสินค้าแทบทุกรุ่นคือการฝึกหายใจผ่านฟีเจอร์ Relaxing ที่ช่วยให้ผ่อนคลายด้วยการหายใจเข้าออกลึกราว 2 หรือ 5 นาที

การตั้งค่าการเตือนทำได้สูงสุด 8 รายการ เท่ากับระบบจับเวลาที่ตั้งได้ 8 รายการเช่นกัน ผู้ใช้ Versa Lite สามารถใช้รับสาย และติดตามสถิติการออกกำลังกายทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ ระดับการออกกำลังกายแบบ cardio การนับจำนวนก้าว จำนวนแคลอรี่ทั้งหมดที่เผาผลาญ รอบการนอนหลับ และสรุปการออกกำลังกายประจำสัปดาห์ ซึ่งจะมีส่งสรุปให้ทางอีเมลด้วย

ระยะเวลาในการชาร์จ Versa Lite จาก 0 เป็น 100 เปอร์เซ็นต์ ทำได้ในเวลาราว 2 ชั่วโมง ตรงนี้ต้องปรบมือให้ Versa Lite เพราะเป็นสมาร์ทวอตช์แบตเตอรี่อึดที่ใช้งานต่อเนื่องได้เกิน 5 วัน มากกว่าที่ Fitbit เคลมไว้ว่าอายุการใช้งานแบตเตอรี่ต่อเนื่อง 4 วัน ผลคือผู้ใช้สามารถใส่ได้ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ต้องกลัวว่าแบตเตอรี่จะหมดในตอนเช้า ซึ่งแม้แบตเตอรี่จะเหลือเพียง 15 เปอร์เซ็นต์ก็ยังใช้งานได้อีกหลายชั่วโมง

ฟันธงว่าคุ้มไหม?

ต้องบอกว่า Fitbit Versa Lite เป็นสมาร์ทวอตช์น่าสนใจมากสำหรับผู้ที่กำลังมองหาอุปกรณ์ที่จะมาแทนนาฬิกาข้อมือและอุปกรณ์ออกกำลังกาย แต่ต้องยอมรับว่าราคาที่ไม่แพงนั้นแลกมาด้วยข้อจำกัด เพราะแม้จะสามารถตรวจสอบข้อความบน Versa Lite แต่ก็จะไม่สามารถตอบกลับข้อความเหล่านั้นได้แบบไร้อุปกรณ์เสริม ขณะที่แม้จะสามารถควบคุมการเล่นเพลงบนสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่ออยู่ แต่ไม่สามารถเล่นได้เอง รวมถึงความสามารถนับขั้นบันไดที่นับจำนวนชั้นไม่ได้

ด้วยราคานี้ Versa Lite จะไม่มี GPS ออนบอร์ด ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ไม่สามารถทิ้งโทรศัพท์แล้วออกไปจ็อกกิ้งได้เต็มที่ตามที่ต้องการ นอกจากนี้ Versa Lite กำหนดให้ผู้ใช้ต้องเลือกโหมดการออกกำลังกายทีละโหมด ซึ่งแปลว่าหากใครตัดสินใจเดิน 15 นาทีสลับกับวิ่งต่ออีก 15 นาทีแล้วจึงขี่จักรยานอีก 30 นาที ใครคนนั้นจะต้องเลือกโหมดด้วยตัวเอง ยุ่งยากและใช้เวลานานยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสมาร์ทวอตช์รุ่นท็อป

แต่ถ้าหากทุกอย่างไม่ใช่เรื่องใหญ่ Versa Lite ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้เริ่มใช้สมาร์ทวอตช์ เพราะตัวแอปและระบบรอบด้านนั้น Fitbit ออกแบบมาได้ดีมาก แม้แต่หากแบตเตอรี่กำลังจะหมด ระบบยังส่งอีเมลมาเตือนให้ชาร์จแบตเตอรี่โดยเร็ว ซึ่งเป็นการติดต่อจากอุปกรณ์ที่ถือว่าใส่ใจมากทีเดียว.

]]>
Review : Nokia 8.1 กล้อง Zeiss ไม่ทำให้ผิดหวัง https://cyberbiz.mgronline.com/review-nokia-8-1/ Tue, 23 Apr 2019 11:50:45 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=30580 Nokia 8.1 คือสมาร์ทโฟนเรือธงที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เอชเอ็มดี โกลบอลซื้อแบรนด์ Nokia กลับมาสู่อ้อมอกบ้านเกิด จุดขายหลักของ Nokia 8.1 คือสมรรถนะการทำงานที่รวดเร็ว, กล้องคู่เลนส์ ZEISS ที่ทำงานผสานกับระบบ AI, ระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ที่อัปเดตความปลอดภัยทุกเดือนเป็นเวลา 3 ปี และรับประกันการอัปเดต Android เวอร์ชั่นใหม่อย่างน้อย 2 เวอร์ชั่น ทั้ง 4 จุดขายนี้ถูกนำมารวมกันในเครื่องที่มองแล้วหน้าตาคล้ายรุ่นฮิต Nokia 6.1 Plus

ข้อดี

– ดีไซน์หรู วัสดุดูดี
– ระบบ Android One ลื่นไหล
– แบตเตอรี่อึดทนนาน เหลือ 3% ยังใช้ต่อได้เกิน 1 ชั่วโมง
– กล้องคู่เลนส์ ZEISS ถ่ายภาพแสงน้อยได้ดี

ข้อสังเกต

– ไม่มีฟีเจอร์ซอฟต์แวร์พิเศษ
– หากไม่ได้ชาร์จกับ adapter ที่ให้มา จะชาร์จได้ช้ามาก

สวยขึ้นนิดเดียว?

ความรู้สึกแรกที่ได้จับ Nokia 8.1 คือหน้าตาที่มองคล้ายกับรุ่นพี่ทั้ง Nokia 6.1 Plus และ Nokia 7 Plus แต่จุดต่างคือความเล็กกว่าของหน้าจอขนาด 6.18 นิ้ว รอบตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียม ตัดขอบด้วยสีทองแดงหรือ Copper จนเป็นลูกเล่นที่ดึงดูดสายตาคนชอบความแวววาวได้อยู่หมัด

Nokia 8.1 มีกล้องหน้าความละเอียดสูงติดไว้ด้านบน หน้าจอความละเอียด Full HD+ ฝั่งซ้ายของเครื่องเป็นช่องใส่ซิม และ Micro SD, ฝั่งขวามีปุ่มกดปรับระดับเสียงและเปิดปิดเครื่อง

Nokia 8.1 มาพร้อมพอร์ต USB-C ติดไว้ด้านล่างของเครื่อง วางไว้กึ่งกลางระหว่างลำโพงและไมโครโฟน สำหรับช่องเสียบหูฟังถูกติดไว้ด้านบนแทน ด้านหลังของ Nokia 8.1 มีกระจกเคลือบ ช่วยลดรอยนิ้วมือกวนใจได้ดีมาก กล้องถ่ายภาพเลนส์ Zeiss คู่วางไว้เหนือระบบสแกนลายนิ้วมือ ตามมาด้วยโลโก้ Nokia ที่วางแนวนอน

AI ช่วยให้ฉลาดขึ้น

การเพิ่มระบบ AI ที่ทำให้ Nokia 8.1 ดูฉลาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อรวมกับระบบปฏิบัติการ Android Pie พ่วงด้วยฐานะมือถือ Android One ทำให้สิ่งที่สัมผัสได้ชัดบน Nokia 8.1 คือความลื่นไหล ที่สำคัญคือกล้องหลังของ Nokia 8.1 ที่เป็นเลนส์ Zeiss คู่ 13 และ 12 ล้านพิกเซลและทำงานร่วมกับระบบ AI ประมวลผลภาพนั้นช่วยยกระดับการถ่ายภาพบน Nokia 8.1 ได้แบบไม่ต้องอธิบายกันมาก

UI กล้องแบบใหม่บน Nokia 8.1 ถือว่าใช้ง่าย มีระบบ Auto Focus ถ่ายภาพไม่ผิดหวังเพราะมีแฟลช LED Flash Two Tone ภาพเหล่านี้จะยิ่งชัดใสเมื่อแสดงบนหน้าจอ Nokia 8.1 ที่มีฟีเจอร์ Pure Display ผ่านหน้าจอ LTPS LCD ขนาด 6.18 นิ้ว ความละเอียด 2280×1080 พิกเซล

Nokia 8.1 ไม่เพียงถูกใจคอวิดีโอเพราะสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ 4K 30 FPS แต่ยังถูกใจคอเซลฟี่เพราะกล้องหน้าของ Nokia 8.1 ใช้เลนส์ Zeiss ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ซึ่งยังคงมีลูกเล่นเฉพาะของ Nokia อย่าง Bothie เหมือนเดิม

Nokia 8.1 ตอบโจทย์คอเกมได้ด้วยซีพียู Qualcomm Snapdragon 710 หน่วยความจำ RAM ขนาด 4GB พื้นที่เก็บข้อมูล ROM ขนาด 64GB รองรับ MicroSD สูงสุด 512GB รองรับการเชื่อมต่อ 4G LTE (Dual SIM), WiFi 802.11AC, Bluetooth 5.0, GPS และ A-GPS

ผลการทดสอบของ Nokia 8.1 พบว่าพอเชิดหน้าชูตาได้ เช่นเดียวกับการแสดงผลกราฟฟิก


แบตเตอรี่ของ Nokia 8.1 ใหญ่ 3500 mAh ใช้งานทั่วไปได้ตลอดวันแบบไม่ต้องชาร์จ การชาร์จแบตเตอรี่จาก 0% เป็น 100% ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง ผลงานของที่ชาร์จใหญ่ขนาด 18W ซึ่งแปลว่า HMD Global ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีชาร์จไว

ปิดรอยบากไม่ได้

Nokia 8.1 ไม่มีซอฟต์แวร์ซ่อนรอยบากหรือ Notch มากับเครื่อง ผู้ใช้ที่รำคาญตาอาจต้องไปดาวน์โหลดโปรแกรมเพื่อซ่อนรอยบากด้วยตัวเอง ถือเป็นจุดต่างของสมาร์ทโฟนแบรนด์ Nokia เทียบกับแอนดรอยด์โฟนค่ายอื่นอย่างเช่น Huawei หรือ Oppo ที่มีซอฟต์แวร์ซ่อนทั้งรอยบากและรอยหยดน้ำบนหน้าจอไร้ขอบของตัวเอง

นอกจากการไม่มีซอฟต์แวร์เสริม อีกจุดที่สัมผัสได้จากการทดสอบ Nokia 8.1 เครื่องนี้คือระบบสแกนลายนิ้วมือที่ทำงานไม่ต่อเนื่อง นอกจากนี้ การหยิบจับเครื่องเมื่อวางลงยังทำได้ยาก เกิดจากตัว body ของเครื่องที่ลื่น ไม่ถนัดมือ

สรุป

ตัวเครื่องและจอแสดงผลสวยงามทำให้ราคาโปรโมชัน 9,900 บาท จากราคาเต็ม 13,900 บาทถูกมองว่าดีงามมาก โดยเฉพาะการถ่ายรูปในที่แสงน้อยที่ทำได้ดีเหลือเชื่อ

แบตเตอรี่ 3,500 mAh ไม่ทำให้ผิดหวังเพราะสามารถใช้งานต่อได้แม้ไม่ชาร์จทุกวัน ระบบจะตัดคุณสมบัติบางส่วนออกเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ ทำให้ยังสามารถใช้งานต่อได้อีกหลายชั่วโมง

]]>
Review : Infinix Hot 7 เด่นได้เพราะแบตอึด https://cyberbiz.mgronline.com/reveiw-infinix-hot-7/ Wed, 27 Mar 2019 13:41:42 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=30382 นอกจากดีไซน์ที่ดูหรูไม่แพ้ใคร Infinix Hot 7 มีจุดเด่นที่แบตเตอรี่ใหญ่จุใจ แถมยังมีเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือที่ทำให้ราคา 3,100 บาทของ Hot 7 ดูคุ้มค่าขึ้นอีกเป็นกอง แต่ทั้งหมดต้องแลกกับจุดด้อยเรื่องแรมน้อย 1GB ไม่ตอบโจทย์คอเกม และกล้องถ่ายภาพที่ไม่รองรับการถ่ายในที่แสงน้อย

ข้อดี

– ดีไซน์โมเดิร์น ไล่สีดูดีทันสมัย
– แบตเตอรี่อึดนาน 4000 MAh
– มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ

ข้อสังเกต

– RAM 1GB
– ไม่รองรับ 4G

ดูหรูกว่าราคา

Infinix Hot 7 เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดของ Infinix ที่เริ่มเปิดตัวในปี 2013 สินค้าส่วนใหญ่ตั้งเป้าเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ สำหรับประเทศไทย Infinix เปิดตัวทำตลาดในเมืองไทยช่วงปี 2017 มียอดขายรวมประมาณ 2 แสนเครื่องหลังจากทำตลาดมา 7 รุ่น ซึ่งล่าสุด HOT 7 เพิ่งเปิดตัวเดือนกุมภาพันธ์ใน ทำตลาดในราคา 3,190 บาท

ในภาพรวม Hot 7 ไม่ต่างจากจุดเด่นของสมาร์ทโฟน Infinix รุ่นอื่น ทั้งหน้าจอใหญ่คุณภาพความละเอียดสูงในระดับ HD และ Full HD ยังมีระบบเสียงดังสะใจ แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ทำให้ใช้งานได้นานตลอดวัน ไม่ต้องพกแบตสำรองเพื่อการใช้งานระหว่างวัน โดย Hot 7 ผ่ามาใช้ระบบปฏิบัติการ Android 8.1 (Go-Edition) ซึ่งเป็นรุ่นที่เน้นออกแบบมาเพื่อเจาะตลาดระดับเริ่มต้นอย่างแท้จริง

หน้าจอของ Infinix HOT 7 เป็นแบบ Notch Full View ขนาดใหญ่ 6.2 นิ้ว ความละเอียดระดับ HD+ ซึ่งแม้ Hot 7 จะใช้วัสดุตัวเครื่องจากพลาสติกทั้งหมด แต่ดีไซน์เรียบหรูและใหญ่ทำให้เครื่องดูดีเกินราคา โดยในกล่องยังแถมหูฟังมาให้ในขณะที่หลายแบรนด์ซึ่งจำหน่ายในราคาระดับเดียวกันไม่ได้แถมให้

พอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มม.ของ HOT 7 ถูกดึงไปติดไว้ที่ด้านบนของเครื่อง ด้านล่างของตัวเครื่องมีช่อง micro usb ที่คั่นกลางระหว่างไมค์สนทนาและลำโพง ปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่ม power อยู่ฝั่งขวาของเครื่อง ฝั่งซ้ายเป็นที่อยู่ของถาดใส่ซิมแบบ 3 สล็อตยอดฮิต ทั้งหมดนี้อยู่บนขนาดของ Infinix Hot 7 คือ 155.3 x 75.86 x 8.4 มม

ระบบเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือของ HOT 7 อยู่ที่ด้านหลังเครื่อง ทำให้ตอบโจทย์ผู้ที่ถนัดทั้งระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ และใบหน้าซึ่งใช้งานได้ง่ายกว่า

RAM 1GB ไม่เอื้อ

HOT 7 ใช้ชิปเซ็ต MediaTek MT6580 เป็นชิปเซ็ต Quad-Core MediaTek MT6580 ที่มีความเร็วในการประมวลผล 1.3 GHz หน่วยความจำ RAM ขนาด 1GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายในขนาด 16GB ระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 8.1 (Go Edition)

ปัญหาคือ RAM 1GB ไม่เอื้อต่อการใช้งานกับบางแอปพลิเคชัน เกมบางเกมนั้นหมดสิทธิ์เปิดใช้บน HOT 7 เพราะหน่วยความจำที่หดหายไปรวดเร็วเมื่อเปิดใช้งานไม่กี่แอปพลิเคชัน โดยการใช้งาน Facebook จำเป้นต้องใช้ผ่าน Facebook Lite เท่านั้น

กล้องของ HOT 7 ถือว่าทำได้ดีเมื่อถ่ายในที่แสงมาก เช่นเดียวกับเซลฟี่ที่ผู้ใช้บางรายอื่นชื่นชอบภาพถ่ายไร้สิวจากกล้องดิจิทัลด้านหน้าของ HOT 7 ที่ละเอียด 8 ล้านพิกเซล ขณะที่กล้องดิจิทัลด้านหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ซึ่งให้ภาพที่คมชัดดี แต่หากถ่ายในที่แสงน้อย HOT 7 ยังถือว่าสอบไม่ผ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนมือสั่นที่จะไม่รอดแน่นอนหากใช้ HOT 7 ถ่ายภาพแบบไม่มีเวลาเล็ง

หน้าตาโปรแกรมกล้องถ่ายภาพของ Hot 7 ถือว่าใช้งานง่าย ตัวเลือกไม่ซับซ้อน มีสัดส่วนถ่ายภาพให้เลือก 2 ขนาด ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับโหมดได้ตามต้องการ

ระบบเสียง Direct 3D Surrounding ของ HOT 7 นั้นดังกังวาลมาก ขณะที่แบตเตอรี่ขนาด 4000 mAh ถือว่าน่าประทับใจที่สุด เพราะการทดสอบพบว่าแม้จะเหลือแบตเตอรี่เพียง 19% แต่ก็ยังสามารถใช้งานได้อีก 3-4 ชั่วโมง

เมื่อชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม HOT 7 สามารถใช้งานต่อเนื่องแบบปกติได้เกิน 6 วัน แต่น่าเสียดายที่ HOT 7 ไม่รองรับเทคโนโลยีชาร์จไว ทำให้ HOT 7 ใช้เวลาเกิน 2 ชั่วโมง กว่าจะชาร์จเต็มจาก 0% เป็น 100%

เหมาะกับผู้เริ่มต้น

ด้วยราคา 3,190 บาท HOT 7 จึงอาจเป็นคำตอบของผู้เริ่มต้นใช้งานสมาร์ทโฟนที่ยังไม่ต้องการใช้แอปพลิเคชันมากมาย เพราะจำเป็นต้องเลือกใช้เฉพาะแอปพลิเคชันเล็กที่รองรับ Android 8.1 (Go-Edition) โดยที่บริการตระกูล Google Service ยังครบเครื่องพร้อมใช้งาน

แต่สำหรับผู้ใช้ระดับกลางที่หวังจะได้รับประสิทธิภาพเหมือนรุ่นราคา 4,000 บาทขึ้นไปอาจจะต้องผิดหวัง เนื่องจาก HOT 7 ให้พลังได้สมราคา โดยจุดที่เหนือความคาดหมายมีแต่แบตเตอรี่อึดทน ซึ่งหากใครคิดว่าจุดเด่นนี้โดนใจ HOT 7 ก็ถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพราะสมาร์ทโฟนระดับราคา 5,000 บาทบางรุ่น ก็ยังไม่กล้าให้แบตเตอรี่ถึง 4000 mAh อย่างที่ HOT 7 มี.

]]>
เปิดขั้นตอนใช้ IRIS Startup สำหรับสตาร์ทอัปเติมเงินสมัครใช้ได้เลย! https://cyberbiz.mgronline.com/iris-startup/ Thu, 21 Feb 2019 09:54:03 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=30277 หนึ่งในบริการดิจิทัลที่กสทโทรคมนาคมผลักดันขึ้นมาให้แก่บรรดาสตาร์ทอัปหรือกลุ่มผู้ประกอบการยุคใหม่องค์กรธุรกิจขนาดเล็กที่มีความต้องการใช้งานระบบคลาวด์สามารถสมัครใช้บริการได้ง่ายในรูปแบบของจ่ายตามที่ใช้จริงคือบริการในชื่อ IRIS Startup

IRIS Startup   ถือเป็นหนึ่งในบริการคลาวด์ที่ถูกพัฒนามาในรูปแบบของ Cloud Server แบบเติมเงิน (Pre-Paid) ที่ผู้ใช้งานสามารถสมัครติดตั้งให้พร้อมใช้งานได้ภายในไม่กี่วินาทีบนจุดเด่นหลักคือจ่ายตามจริงเป็นรายชั่วโมง

กลุ่มเป้าหมายของ  IRIS Startup   แน่นอนว่าต้องเป็นกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่กำลังมองหาบริการคลาวด์เซิร์ฟเวอร์เพื่อติดตั้งระบบมารองรับการใช้งานที่สามารถบริหารจัดการเซิร์ฟเวอร์ได้ผ่านหน้าเว็บไซต์พร้อมระบบสำรองข้อมูลต่างๆ

***ขั้นตอนการสมัครใช้งาน IRIS Startup

จุดสำคัญที่ IRIS Startup   ชูขึ้นมาว่าเหมาะสมกับสตาร์ทอัปคือความสะดวกในการสมัครใช้งานที่ผู้ใช้สามารถเข้าไปสมัครผ่านหน้าเว็บไซต์  https://www.iris.cloud/startup/ ได้ง่ายๆไปจนถึงขั้นตอนการติดตั้งเวอร์ชวลเซิร์ฟเวอร์ได้ทันทีภายในเวลาไม่กี่นาที

ขั้นตอนจะเริ่มจากสมัครใช้งานอ่านข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บริการกรอกอีเมลรหัสผ่านและเบอร์โทรศัพท์หลังจากนั้นก็จะให้กรอกข้อมูลอย่างชื่อนามสกุลชื่อบริษัทเลขเสียภาษี (ไว้ใช้กรณีออกใบกำกับภาษี) ที่อยู่เสร็จแล้วก็สามารถล็อกอินใช้งานได้ทันที

เมื่อเสร็จแล้วก็จะเข้ามาสู่หน้า Dash Board ของ IRIS Startup   ที่จะมีเมนูหลักๆอย่างการจัดการเซิร์ฟเวอร์ตั้งค่า SSH Key เลือกดูรายละเอียดค่าใช้จ่ายติดต่อบริการหลังการขายต่างๆที่ทุกอย่างสามารถทำได้ออนไลน์หมดเลย

***เลือก OS ปรับสเปกคุมค่าใช้จ่าย

หลังจากที่สมัครใช้บริการเรียบร้อยแล้วขั้นตอนต่อไปคือขั้นตอนการสร้างเซิร์ฟเวอร์ขึ้นมาเพื่อใช้งานโดยผู้ประกอบการสามารถเลือกระบบปฏิบัติการได้ทั้ง Windows Server ที่เลือกได้ทั้ง 2008 R2 2012 R2 และ 2016 หรือระบบลินุกซ์อย่าง CentOS Debian และUbunto

จากนั้นก็เลือกสเปกของเซิร์ฟเวอร์ที่มีให้เลือกตั้งแต่ 1 vCPU 1 GB Memory ไปจนถึง 16 vCPU 32 GB Memory โดยเริ่มต้นที่ชั่วโมงละ 50 สตางค์ไปจนถึง 12.50 บาทต่อชั่วโมง ส่วนสตอเรจจะเริ่มที่ 30 GB และเลือกเพิ่มได้ไปจนถึง 1 TB

ในจุดนี้เวลาเลือกตั้งเซิร์ฟเวอร์ในระบบจะต้องมีการเติบเติมเงินเข้ามาก่อนโดยผู้สมัครใช้สามารถเติมเงินผ่านระบบภายในเว็บไซต์ได้ทันทีโดยจะมีให้เลือกเติมเงินผ่านทั้งบัตรเครดิตและชำระผ่านบัญชีธนาคารให้เลือก (ตอนนี้มีโปรโมชันรับเครดิตเงินเพิ่มอีก 1 เท่าต่อ 1 บัญชี เครดิตเงินเพิ่มสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท)

กรณีที่มีเงินอยู่ในระบบแล้วเมื่อกดสร้างเซิร์ฟเวอร์ก็จะใช้เวลาไม่นานในการติดตั้งระบบเข้าไปเมื่อติดตั้งระบบเสร็จเรียบร้อยก็ใช้ล็อกอินที่ตั้งไว้เพื่อ Remote เข้าไปตั้งค่าใช้งานได้ทันทีผ่านปุ่ม Console

นอกจากนี้ที่หน้าเว็บไซต์ยังสามารถบริหารจัดการเซิร์ฟเวอร์ทั้งการเปลี่ยนสเปกเครื่อง (ต้องทำการชัตดาวน์ระบบก่อน) ตั้งค่าสำรองข้อมูลหรือเรียกคืนข้อมูลรวมถึงการแสดงรายละเอียดการทำงานของเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ

โดยในการ Remote เข้าไปควบคุมในกรณีที่ติดตั้ง Windows ก็สามารถล็อกอินเข้าไปตั้งค่าได้เลยหรือถ้าใช้เป็นลินุกซ์ก็จะขึ้นหน้าคอลโซนมาให้ล็อกอินใช้งานตามปกติในจุดนี้ถ้าเป็นโปรแกรมเมอร์ที่เชี่ยวชาญอยู่แล้วไม่น่าจะมีปัญหา

สุดท้ายในส่วนของบริการหลังการขายกรณีที่ใช้แล้วงานมีปัญหาผู้ใช้สามารถเข้าไปแจ้งปัญหาให้ทางทีมงานของ IRIS Startup ติดต่อกลับมาได้ผ่านช่อง Support Tickets โดยจะมีทีมงานคอยดูแลและช่วยแก้ไขปัญหาอยู่

เรียกได้ว่าบริการ IRIS Startup   ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการตั้งค่าใช้งานเซิร์ฟเวอร์ยุคใหม่ที่ผู้ใช้สามารถบริหารและควบคุมผ่านหน้าเว็บไซต์ได้ทันทีในรูปแบบของเวอร์ชวลเซิร์ฟเวอร์ที่สามารถกำหนดค่าใช้จ่ายและบริหารจัดการทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์ได้

]]>
Review : Huawei Y7 Pro 2019 ใหญ่อึดใหม่แต่ราคาเดิม https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-y7-pro-2019/ Wed, 20 Feb 2019 05:56:42 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=30181 Huawei Y7 Pro 2019 คือภาคต่อจาก Y7 Pro 2018 ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาในกลุ่มสมาร์ทโฟนราคาต่ำกว่า 5,000 บาทมาก่อนหน้านี้ สำหรับปีนี้ Y7 Pro 2019 กลายเป็นรุ่นใหม่ที่ถอดสเปกมาแบบไม่เกรงใจใคร โดยเพิ่มความใหม่ที่แบตเตอรี่อึดกว่าเดิม กล้องหน้าละเอียดขึ้น ระบบกล้อง AI หน้าจอที่ขยายขึ้นเล็กน้อย และชิปที่แรงขึ้นนิดเดียว ทั้งหมดนี้จำหน่ายในราคาเดิมแบบไม่ต้องคิดมาก

ข้อดี

– คุณสมบัติเครื่องดีขึ้น แต่จำหน่ายในราคาเท่ารุ่นเก่า
– ระบบลื่นไหลแม้เครื่องทำงานหนักและเปิดหลายแอปพร้อมกัน
– แบตเตอรี่อึดทนนาน เหลือ 10% ยังใช้ได้ 3 ชั่วโมง

ข้อสังเกต

– ไม่มีเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือ
– ไม่เหมาะกับการภาพถ่ายแสงน้อย
– หากไม่ได้ชาร์จกับ adapter ที่ให้มา จะชาร์จได้ช้ามาก

ต่างกันนิดเดียว?

สิ่งที่ Huawei ทำกับ Y7 Pro 2019 นั้นต้องบอกว่าถอดแบบมาจาก Y7 รุ่นปี 2018 ชนิด copy แล้ว paste เพราะจุดขายใหม่อย่างกล้องหลังคู่ AI ที่เพิ่มมาให้ในรุ่นปี 2019 ก็ยังมีขนาด 13 ล้านพิกเซลและ 2 ล้านพิกเซลเท่ากับรุ่น 2018 (ภาพด้านล่าง) เพียงแต่จัดเรียงในแนวตั้ง แทนที่จะเป็นแนวนอนแบบเดิม

Y7 Pro 2019 มีขนาดยาว ใหญ่ และหนักกว่ารุ่น 2018 ขนาดตัวเครื่อง 158.9 x 76.9 x 8.1 มม. หนัก 168 กรัม (จากเดิม 158.3 x 76.7 x 7.8 มม. หนัก 155 กรัม) ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้จะเห็นได้ชัดเมื่อนำ 2 เครื่องมาวางทาบกันเท่านั้น

ขนาดที่ใหญ่ขึ้นเป็นเพราะหน้าจอของ Y7 Pro 2019 ถูกเปลี่ยนเป็นดีไซน์ไร้ขอบแบบหยดน้ำขนาด 6.26 นิ้ว (15.21 ซม.) ถือเป็นขนาดที่ใหญ่กว่า 5.99 นิ้วของรุ่น 2018 (15.9 ซม.) เพียงเล็กน้อย รูปแบบหน้าจอคือ IPS LCD ที่มีความหนาแน่นพิกเซล 269 ppi เท่าเดิม บนสัดส่วนที่ต่างกันเพราะรุ่นใหม่มีสัดส่วน 19.5:9 ยาวกว่ารุ่น 2018 ที่มีสัดส่วน 18:9

จาก Y7 รุ่นปี 2018 ที่ Huawei ออกแบบให้ด้านบนเครื่องไร้ร่องรอยใด ปีนี้ Huawei ดึงพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มม. ไปติดไว้ที่ด้านบนของเครื่อง ด้านล่างของตัวเครื่องมีช่อง micro usb ที่คั่นกลางระหว่างไมค์สนทนาและลำโพง

Y7 Pro 2019 ออกแบบให้ปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่ม power อยู่ฝั่งขวาของเครื่อง ฝั่งซ้ายเป็นที่อยู่ของถาดใส่ซิมแบบ 3 สล็อตยอดฮิต

สิ่งที่ Huawei ทิ้งไปคือระบบเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือ ทำให้ด้านหลังเครื่องของ Y7 Pro 2019 ราบเรียบไร้รอย จุดนี้ Huawei หยิบมาเฉพาะระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Unlock) ซึ่งได้รับความนิยมมากกว่าในผู้ใช้บางกลุ่ม

สำหรับหน้าจอไร้ขอบแบบหยดน้ำ Huawei เปิดช่องให้ลบรอยหยดน้ำออกได้เช่นเคย

ทำงานไหลลื่น

ชิปประมวลผลของ Y7 Pro 2019 คือ Qualcomm Snapdragon 450 แต่ของรุ่น 2018 เป็น Snapdragon 430 ที่ด้อยกว่าเล็กน้อยเท่านั้น ระบบปฏิบัติการยังเป็น Android 8.1 OREO (EMUI 8.2) เช่นเดิม

แบตเตอรี่ Y7 รุ่น 2019 ถูกจัดเต็มความจุมากถึง 4,000 mAh ใช้งานได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น จุดนี้ต้องชื่นชมเพราะเมื่อทำงานคู่กับ RAM 3GB เครื่องสามารถทำงานได้ลื่นไหลบนหน่วยความจำภายในเครื่อง 32GB (รองรับเมมโมรี่การ์ดสูงสุด 512GB) ซึ่งทั้งหมดเท่ากันกับรุ่น 2018

สำหรับคอเกม Y7 รุ่น 2019 จะไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะใช้ชิปการ์ดจอ Adreno 506 พัฒนาเล็กน้อยจากเดิม Adreno 505 ส่งให้เล่นเกมส์ได้ดีไม่น่าเกลียด

ผลการทดสอบของ Y7 รุ่น 2019 ถือว่ายังด้อยกว่ารุ่นกลางล่าง สำหรับส่วนของแบตเตอรี่ พบว่าแบตเตอรี่ที่ให้มามากถึง 4,000 mAh (จากเดิม 3,000 mAh) สามารถใช้งานได้ยาวนานเกิน 2 วัน แต่การไม่รองรับระบบชาร์จไว ทำให้การชาร์จจาก 10% เป็น 100% ใช้เวลาเกิน 2 ชั่วโมง

กล้องคู่ AI

การเพิ่มกล้อง AI ให้ Y7 Pro 2019 ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงลูกเล่นสำหรับการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ แต่น่าเสียดายที่ Master AI สามารถช่วยให้ถ่ายภาพได้สวยเฉพาะในช่วงแสงจ้าเท่านั้น เพราะในภาวะแสงน้อย Y7 Pro 2019 ถือว่าสอบไม่ผ่าน


Y7 Pro 2019 คือกล้องที่เหมาะกับคนรักการ Selfie เพราะกล้องหน้ามีการเพิ่มความละเอียดให้เป็น 16 ล้านพิกเซล จากรุ่นปี 2018 ทื่มีกล้องหน้า 8 ล้านพิกเซลเท่านั้น มีโหมด HDR มาให้พร้อมไฟแฟลชกล้องหน้า

ข้อมูลระบุว่า AI Camera พร้อมไฟแฟลช LED ของ Y7 ปี 2019 มีฐานข้อมูลการวิเคราะห์ภาพ AI Scene Recognition กว่า 500 ซีน 22 ประเภท การทดสอบพบว่าระบบจำแนกได้รวดเร็ว แต่ก็มีส่วนที่ผิดพลาดบ้าง นอกจาก AI โหมดการถ่ายรูปหลากหลายยังมีมาให้ครบใน Y7 2019 เช่นเดียวกับโหมดมืออาชีพสำหรับคนชอบตั้งค่า



สรุป

ตัวเครื่องและจอแสดงผลสวยงามทำให้ราคาจำหน่ายที่วางไว้ 4,990 บาทถูกมองว่าดีงามมาก โดยเฉพาะการถ่ายรูปที่ง่ายและรวดเพราะพลังของ AI Scene ยังมีแบตเตอรี่ 4000 mAh ที่ทำให้หมดห่วงไม่ต้องชาร์จทุกวัน (ระบบยังคงจะเตือนว่าแบตเตอรี่ต่ำเมื่อเหลือ 20% และตัดคุณสมบัติบางส่วนออกเพื่อประหยัดแบตเตอรี่แม้จะแสดงผลว่ายังสามารถใช้งานต่อได้กว่า 6 ชั่วโมง)

นอกจากนี้ Y7 Pro 2019 ยังสามารถตอบโจทย์คอเกมได้ระดับหนึ่ง ถือเป็นอีกสมาร์ทโฟนราคาไม่ถึง 5 พันบาทที่น่าสนใจมากทีเดียว.

]]>
Review : Fitbit Charge 3 ชาร์จรอบเดียวใช้ได้ 7 วัน https://cyberbiz.mgronline.com/review-fitbit-charge-3/ Mon, 03 Dec 2018 06:42:17 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29797  

ถัดจาก Fitbit Charge 2 ที่เพิ่มเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจแล้วทำตลาดช่วงปี 2016 วันนี้ถึงคิว Fitbit Charge 3 ที่ปรับดีไซน์ใหม่ให้บางลง แลดูหรูพรีเมียมมากขึ้นกว่าเดิม จุดเด่นคือ Fitbit Charge 3 ใส่แล้วเบาเพราะตัวเรือนอะลูมิเนียมที่ Fitbit ระบุว่าใช้เทคโนโลยีอากาศยานให้น้ำหนักเบาขึ้น ขณะเดียวกันก็ใช้จอทัชสกรีนกระจก Gorilla Glass 3 ทนต่อรอยขีดข่วน

ความใหม่ของ Fitbit Charge 3 ยังอยู่ที่ฟีเจอร์เพื่อสุขภาพและการออกกำลังกาย ที่ผู้ใช้เลือกได้ตามชนิดกีฬา นอกจากนี้ยังรองรับระบบชำระเงิน Fitbit Pay ทั้งหมดนี้ใช้งานได้เต็มที่เพราะแบตเตอรี
อึดทนยาวนาน 7 วันหลังจากชาร์จเต็ม 100%

การออกแบบ

จากที่เคยหนา Charge 3 ถูกปรับให้บางกว่าเดิมโดยที่จอแสดงผลยังคงกว้างพอแสดงรายละเอียดสำคัญ มีให้เลือก 2 ขนาด คือ Small สำหรับขนาดข้อมือ 5.5 – 7.1 นิ้ว และ Large 7.0 – 8.7 นิ้ว เส้นทแยงมุมหน้าจอ 1.57 นิ้ว ขนาดจอ 0.78×1.36 นิ้ว

เช่นเดียวกับ Charge 2 ด้านหลังตัวเรือน Charge 3 จะมีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ตรงกลาง และมีส่วนสำหรับชาร์จและชิงค์ข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ผ่านสายยูเอสบี การชาร์จทำได้ง่ายเพราะจะชาร์จทันทีที่เชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์แล้วลงล็อกพอดี สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนสาย สามารถพลิกด้านหลังตัวเรือนเพื่อปลดล็อกสายออกจากเครื่องได้ง่าย จุดนี้ต้องชื่นชมเพราะการถอดสายทำได้ง่ายกว่าคู่แข่งรุ่นราคาระดับเดียวกันอย่าง Gear Fit Pro 2

สเปก

Fitbit Charge 3 ใช้เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ระบบตรวจจับการเคลื่อนไหว (3-axis accelerometer) ระบบวัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบออปติคอล เครื่องวัดระดับความสูง (Altimeter) และมอเตอร์ระบบสั่น มีเซ็นเซอร์ตรวจวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดสัมพัทธ์ SpO2 และรองรับ NFC (เฉพาะรุ่นพิเศษ) ใช้หน้าจอสัมผัส OLED ขาวดำ

หลังจากชาร์จประมาณ 2 ชั่วโมง Fitbit Charge 3 มีอายุใช้งานแบตเตอรี่ได้ต่อเนื่อง 7 วัน ตัวเครื่องสามารถบันทึกข้อมูลเคลื่อนไหวได้ละเอียดตลอดสัปดาห์ 7 วันแบบนาทีต่อนาที สามารถบันทึกผลสรุปรายวันในรอบ 1 เดือน

จากข้อมูล พบว่า Fitbit Charge 3 สามารถกันน้ำได้ลึก 50 เมตร แต่หลังจากว่ายน้ำหรือกิจกรรมที่ทำให้ Charge 3 เปียก Fitbit ย้ำว่าควรเช็ด Charge 3 ให้แห้ง และไม่แนะนำให้สวมใส่ Charge 3 ในอ่างน้ำร้อนหรือซาวน่า

Fitbit Charge 3 รองรับ Bluetooth 4.0 ตัวเครื่องสามารถซิงค์อัตโนมัติกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ iOS, Android และ Windows โดย Charge 3 จะยังซิงค์ได้เมื่อห่างจากอุปกรณ์ที่ติดตั้งแอปพลิเคชันรัศมี 20 ฟุต 

ฟีเจอร์เด่น

Fitbit Charge 3 ถือเป็นฟิตเนสแทรคเกอร์ที่ฉลาดและครบเครื่อง เพราะมีเซ็นเซอร์ตรวจวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดสัมพัทธ์ SpO2 มาใส่ไว้ในแทรคเกอร์เป็นครั้งแรก เมื่อรวมกับเซ็นเซอร์วัดการเต้นหัวใจ โหมดออกกำลังกายใน Fitbit Charge 3 จึงทำงานได้อย่างเหนียวแน่น

Charge 3 เปิดให้ผู้ใช้เลือกโหมดออกกำลังกายได้มากกว่า 15 โหมด เช่น หากเลือกโหมดว่ายน้ำ ก็จะมีแดชบอร์ดข้อมูลสุขภาพที่เข้ากับกิจกรรมว่ายน้ำโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีการติดตามสุขภาพสำหรับสุภาพสตรี และฟังก์ชั่นติดตามการนอน

นอกจากดีไซน์หรู Fitbit Charge 3 มีจุดเด่นที่ปุ่มกดด้านซ้ายของเครื่อง ซึ่ง Fitbit เรียกว่าปุ่มเหนี่ยวนำ (inductive button) ให้สัมผัสไวกว่าปุ่มกดปกติ ถือเป็นความใหม่ที่ทำให้การใช้งาน Fitbit Charge 3 ง่ายขึ้น

เมื่อกดปุ่มนี้ Charge 3 จะเปิดให้ผู้ใช้เลือกโหมด เช่น โหมดแสดงหน้าจอหลัก โหมดแสดงสถิติจำนวนก้าว โหมดตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจ โหมดปริมาณแคลอรี่ที่ใช้ จำนวนชั้นที่ก้าวเดิน และเวลาที่มีการเคลื่อนไหว ยังมีโหมด Relax ซึ่งจะแสดงกราฟิกบนหน้าจอให้ผู้ใช้หายใจเข้า-ออกตาม

Fitbit Charge 3 ทำให้ผู้ใช้ไม่พลาดการติดต่อและไม่โดนรบกวน มีฟีเจอร์แจ้งเตือนสายเรียกเข้า ข้อความ และปฏิทินนัดหมาย ขณะที่โหมดตอบกลับเร็ว (Quick Replies) สำหรับโทรศัพท์ระบบแอนดรอยด์ จะเปิดให้บริการเร็ว ๆ นี้

สำหรับระบบการชำระเงิน ”ฟิตบิท เพย์” จะต้องทำบน Special Edition Charge 3 รุ่นพิเศษที่มีชิป NFC เท่านั้นจึงจะสามารถชำระเงินด้วยข้อมือ วิธีการเปิดใช้งาน Fitbit Pay คือการกดปุ่มซ้ายของ Special Edition Charge 3 ค้างไว้ 2 วินาที ก็จะเข้าสู่เมนูหลัก จุดนี้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าบัตรเครดิตที่เมนู Wallet จากแอปพลิเคชันก่อน

สรุป

ความประทับใจใน Charge 3 ต้องยกให้ความอึดทนของแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้เกิน 7 วันต่อการชาร์จ 1 ครั้ง โดยจากการทดสอบ เราพบว่าหลังจากผ่านไป 7 วัน แบตเตอรี่ยังมีเหลือไม่น้อยกว่า 28%

สำหรับ Fitbit ถือว่าชัดเจนเรื่องความพยายามในการพัฒนาแอปพลิเคชันให้ฉลาดขึ้น แอปพลิเคชัน Fitbit สามารถตรวจจับกิจกรรมของผู้ใช้ได้แบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังและการนอนแบบไม่ต้องตั้งค่าเพิ่ม ทำให้ผู้ใช้ไม่ยุ่งยากในการใช้งาน รวมถึงฟีเจอร์ Female Health ที่น่าสนใจมากสำหรับผู้หญิง เพราะไม่ได้ติดตามเฉพาะรอบประจำเดือน แต่ยังครอบคลุมถึงช่วงไข่ตก และอาการปวดหัวอื่นๆ

ถือว่า Charge 3 คุ้มค่ามากกว่า Charge 2 ที่ก่อนหน้านี้ตั้งราคาเริ่มต้น 7,490 บาท สำหรับ Charge 3 ถูกลดราคาเริ่มต้นเหลือ 6,490 บาท มีจำหน่ายทั้งแบบสีดำพร้อมกรอบอะลูมีเนียมกราไฟต์ หรือสีบลูเกรย์พร้อมกรอบอะลูมิเนียมสีชมพูโรสโกลด์ อุปกรณ์เสริมราคาระหว่าง 990-1,890 บาท และรุ่น Special Edition ในราคา 6,990 บาทเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวที่ทำให้ Charge 3 มีข้อสงสัยคือความแม่นยำในการวัดจำนวนก้าว เพราะจากการสวมใส่ Charge 3 เข้านอน พบว่าเมื่อตื่นนอนโดยที่ยังไม่ลงจากเตียง หน้าจอ Charge 3 แสดงผลว่าได้ก้าวเดินมากกว่า 38 ก้าว ซึ่งตัวเลขจะเปลี่ยนไปไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน จุดนี้หากไม่ใช่ Charge 3 ทำงานพลาด ก็อาจเป็นเพราะการ “นอนดิ้น” 38 ตลบที่แทบไม่น่าจะเป็นไปได้.

ข้อดี

– ดีไซน์หรู
– แบตเตอรี่ทนนานกว่า 1 สัปดาห์
– ทำงานอัตโนมัติ
– ใส่ว่ายน้ำได้

ข้อสังเกต

– ขาดแอปพลิเคชันเสริมของค่ายอื่น
– ไม่รองรับการซิงค์อัตโนมัติกับ Apple Health หรือ Google Fit

]]>
Review : Nokia 6.1 Plus จอไร้ขอบขนาดเหมาะมือ https://cyberbiz.mgronline.com/review-nokia-6-1-plus/ Tue, 13 Nov 2018 09:05:56 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29671 Nokia 6.1 Plus เหมาะกับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่มองไม่เหมือนสมาร์ทโฟนจีน รวมถึงทุกคนที่ต้องการประสบการณ์ใหม่ในการใช้งานสมาร์ทโฟน โดยเฉพาะ Android One ที่จะรับประกันว่าเครื่องจะได้อัปเดทระบบแน่นอนภายใน 2 ปีหลังจากซื้อ บนราคาที่ถือว่าเป็นระดับเริ่มต้นของสมาร์ทโฟนระดับกลาง

ข้อดี

– รูปลักษณ์พรีเมี่ยม ดูหรูแวววาว
– ขนาดกะทัดรัดกำลังดี
– จอแสดงผลยอดเยี่ยม
– ระบบ Android One เร็วและไม่รก

ข้อสังเกต

– การถ่ายภาพในที่แสงน้อยยังไม่น่าพอใจ
– ระบบสแกนนิ้วผิดพลาดบ่อย

*** กระจกเงาให้ความหรู

ไม่ถึง 2 ปีดีหลังจากที่ HMD Global ชุบชีวิต Nokia ขึ้นมา วันนี้สมาร์ทโฟนแบรนด์ Nokia ถูกมองว่าสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้แล้ว บนจุดยืนเรื่องความจงรักภักดีกับโครงการ Android One ของ Google อย่างเหนียวแน่น ซึ่งกรณีของ Nokia 6.1 Plus ที่รับไม้ต่อจาก Nokia 6 และ Nokia 6.1 ถือว่าเป็นอีกจุดขายที่เสริมให้ Nokia 6.1 Plus น่าเชื่อถือมากขึ้น

สิ่งที่มีใน Nokia 6.1 Plus คือการอัปเดทฮาร์ดแวร์ที่ดีขึ้น บนรูปลักษณ์ใหม่ซึ่งหลายคนบอกว่าต่างจาก Xiaomi และ Honor ซึ่งเป็นคู่แข่งในตลาดระดับราคาเดียวกัน ด้านหน้าของ Nokia 6.1 Plus คือจอใหญ่ไร้ขอบดูธรรมดาทั่วไป แต่บอดี้ด้านข้างที่ใช้อะลูมิเนียม คู่กับฝาหลังที่ทำจากกระจกนั้นทำให้เครื่องมีความโดดเด่นสวยงามดี ทำให้ดูราคาแพงกว่าที่เป็นจริง

เครื่องสีขาวที่ทดลองใช้งานนั้นไม่เห็นลายนิ้วมือหรือรอยเปื้อนเลย จุดนี้ผู้สนใจควรสังเกตให้ดีหากต้องการซื้อสีดำ จุดนี้ข้อมูลระบุว่าหน้าจอ IPS ของ Nokia 6.1 Plus มีขนาด 5.86 นิ้ว ความละเอียด FHD (1080 x 2280 พิกเซล) ความละเอียดเม็ดสี 432 ppi อัตราส่วนภาพ 19:9 โดย Nokia 6.1 Plus เป็นรุ่นแรกสำหรับโทรศัพท์โนเกียที่มีรอยบาก ตัวหน้าจอใช้ Corning Gorilla Glass 3 เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน

กล้อง 2 ตัวด้านหลังเรียงกันในแนวตั้งอยู่บนแฟลช ทั้งหมดยื่นออกมาเล็กน้อยเพื่อให้โทรศัพท์ไม่ราบเรียบบนผิวเครื่อง จุดนี้ต้องปรบมือให้เพราะโมดูลกล้องและเซ็นเซอร์ลายนิ้วมือด้านล่างมีโครเมี่ยมเงาล้อมอยู่รอบตัว ดูแวววาวน่าสนใจมากขึ้นเหมือนปุ่มเพาเวอร์และปุ่มปรับระดับเสียง

Nokia 6.1 Plus ถือเป็น 1 ในโทรศัพท์สมาร์ทโฟนขนาดกะทัดรัดที่สุดในตลาดในขณะนี้ขนาดไล่เลี่ยกับ Pixel 2 ความหนาเครื่องคือ 8 มม. น้ำหนัก 151 กรัม แทบทุกคนตกใจกับราคาเครื่องที่บอกว่าอยู่ระดับ 8,990 บาท เนื่องจากคิดว่าราคาเครื่องจะสูงกว่านี้

***ชิปวางใจได้

Nokia 6.1 Plus แตกต่างจากโทรศัพท์โนเกียรุ่นก่อนที่การใช้ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 636 พร้อมชิปเซ็ต Kryo 260 ซึ่งเป็นชิปเดียวกับสมาร์ทโฟนคู่แข่งรายอื่นเช่น Asus Zenfone Max Pro M1 และ Xiaomi Redmi Note 5 Pro จุดนี้ Nokia 6.1 Plus ทำคะแนนทดสอบประสิทธิภาพเครื่องได้ไม่เป็นรองใคร ด้วยแรม 4GB และพื้นที่จัดเก็บข้อมูลภายในขนาด 64GB ซึ่งสามารถขยายได้ด้วยการ์ด microSD

Nokia 6.1 Plus ถือว่าใช้งานได้ดีในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะมีอาการกระตุกเล็กน้อยหากสแกนลายนิ้วมือติดกันบ่อยมากเกินไป ตัวเครื่องรองรับการเล่นเกมส่วนใหญ่ แต่เกมแบบกราฟิกที่เข้มข้นเช่น PUBG Mobile จะทำงานโดยใช้ค่ากราฟิกต่ำที่สุด

การทดสอบบน AuTuTu Benchmark v7.1.0 พบว่า Nokia 6.1 Plus เครื่องที่ทีมงานได้รับมาทดสอบนั้นทำคะแนน 117,260 แต้ม โดยการทดสอบแบตเตอรี่ที่ HMD เคลมว่าสนทนาต่อเนื่องได้ 20.5 ชั่วโมง พบว่าหากเครื่องมีแบตเตอรี่เหลือ 40% ทำให้ยังใช้งานต่อได้มากกว่า 4 ชั่วโมง

 

นอกจากนี้ Nokia 6.1 Plus ยังรองรับ QuickCharge 3.0 ซึ่งช่วยให้ชาร์จแบตเตอรี่ได้ตั้งแต่ 0 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ในเวลาประมาณ 80 นาทีเร็วทันใจ ใช้ USB Type-C สำหรับชาร์จ ไม่สามารถถอดแบตเตอรี่เปลี่ยนได้ ขนาดความจุ 3,060 mAh

Nokia 6.1 Plus มาพร้อมกับถาดไฮบริดเพื่อให้สามารถใช้ซิมการ์ด 4G แบบนาโนซิม 2 ชิ้น หรือจะยอมเสียช่องหนึ่งสำหรับใส่การ์ด microSD แทน

กล้องหลัง 2 ตัวของ Nokia 6.1 Plus ใช้เซ็นเซอร์หลัก 16 MP f/2.0 พร้อม PDAF และเซ็นเซอร์วัดความลึก 5MP f/2.4 หากอยู่ในสภาพแสงกลางวัน รูปภาพจะสวยบนสีสมบูรณ์แบบ เรียกว่าภาพมีความคมชัดและมีรายละเอียดที่ดี สามารถโฟกัสได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับการถ่ายภาพบุคคล ซึ่งตรวจจับได้ดีบนโทนสีผิวที่สวยสมบูรณ์แบบ

แต่ในสภาพแสงน้อย Nokia 6.1 Plus มีอาการภาพเบลอ โดยเฉพาะการถ่ายวัตถุที่เคลื่อนไหวในสภาพแสงน้อย

โดยรวมแล้ว Nokia 6.1 Plus ทำให้เรารู้สึกประทับใจกับกล้องทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพราะเมื่อใช้ถ่ายภาพในเวลากลางวัน การทำ bokeh เกิดขึ้นได้ง่ายดายและมีการจัดการเพื่อเบลอพื้นหลังโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดเลย

กล้องด้านหน้าของ Nokia 6.1 Plus ละเอียด 16MP f / 2.0 สามารถจับภาพ selfies หน้าเนียนได้แม้จะใช้งานในอาคาร ถึงจะเป็นเลนส์เดี่ยวก็ไม่มีปัญหาในการถ่ายภาพโหมด bokeh เช่นเดียวกับโหมดที่ Nokia พยายามขายอย่าง Dual-Sight Bothie การถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอด้วยกล้องหน้าและหลังพร้อมกันในโหมดนี้เป็นประโยชน์มากสำหรับการถ่ายวิดีโอเด็กหรือสัตว์เลี้ยง ซึ่งสามารถทำ LIVE สดไปยัง Facebook และ YouTube ได้ด้วยคลิกเดียว

ใครชอบลูกเล่น 3D AR สติกเกอร์ไม่ผิดหวัง เช่นเดียวกับโหมดถ่ายภาพบุคคลที่ทำงานได้ไม่เลวเลย การซูมเข้าหรือออกในระหว่างการบันทึกวิดีโอพบอาการสะดุดเล็กน้อย

บทสรุปคือกล้องใน Nokia 6.1 Plus อยู่ในระดับใช้ได้ แต่หากเทียบกับสมาร์ทโฟนระดับกลางรุ่นอื่น Nokia 6.1 Plus ถือว่ายังไม่ดีพอสำหรับความคาดหวังที่หลายคนตั้งไว้

*** ซอฟต์แวร์ไม่รก

เช่นเดียวกับโทรศัพท์รุ่นอื่นของ HMD Global สมาร์ทโฟน Nokia 6.1 Plus เป็นสมาร์ทโฟน Android One ที่จะจัดส่งด้วยระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo ที่สามารถอัปเดทเป็น Android 9 Pie ได้แล้ว และคาดว่าจะได้เป็น Android Q เร็วกว่าสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่น

ความเป็น Android One จะทำให้ Nokia 6.1 Plus ได้รับการอัปเกรดแน่นอนในระยะเวลา 2 ปีหลังจากซื้อเครื่อง ขณะเดียวกันก็ได้อัปเดทระบบรักษาความปลอดภัยรายเดือนต่อเนื่อง 3 ปี

แอปที่น่าสนใจใน Nokia 6.1 Plus คือ Nokia Camera ที่ถือว่ามีประโยชน์ สามารถตั้งค่าท่าทางเพื่อเปิดใช้งานกล้องได้รวดเร็วขึ้น ที่สำคัญคือชาว Nokia 6.1 Plus ควรอัปเกรด Android Pie จึงจะสามารถใช้งานระบบสั่งการด้วยท่าทางได้ดีขึ้น

*** ราคาเปิดตัว 8,990 บาท

Nokia 6.1 Plus มีราคา 8,990 บาท เหมาะสำหรับคนที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนระดับกลางที่ต้องการเน้นเซลฟี่ ซีพียูไว้วางใจได้ บนหน้าจอใหญ่ไร้ขอบที่ขนาดเครื่องไม่ใหญ่โตเกินงาม

แม้ในเครื่องที่ทีมงานทดสอบจะพบข้อผิดพลาดที่ระบบอ่านลายนิ้วมือบ่อยครั้ง แต่ต้องยอมรับว่า Nokia 6.1 Plus ทำงานด้านอื่นได้เสถียรดี กลายเป็นอีกสมาร์ทโฟนไร้ขอบที่น่าสนใจในตลาดขณะนี้

สรุปคุณสมบัติเด่น Nokia 6.1 Plus:

หน่วยประมวลผล (CPU / GPU) Qualcomm SnapdragonTM 636 Octa-core 1.8 GHz Kryo 260 / Adreno 509
หน้าจอขนาด 5.86 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (1080 x 2280 พิกเซล, 19:9) ประมาณ 432 ppi
ระบบปฎิบัติการ Android 8.1 Oreo อัปเดทเป็น Android 9 Pie
หน่วยความจำในตัว 64 GB eMMC 5.1 พร้อมรองรับ MicroSD Card สูงสุด 400 GB
รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด, USB Type-C
รองรับเครือข่าย 2G/3G/4G
RAM 4GB
กล้องหลังคู่ความละเอียด 16MP + 5MP
กล้องหน้าความละเอียด 16MP
รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือ Fingerprint Scan
มีฟีเจอร์สแกนใบหน้าปลดล็อคเครื่อง
แบตเตอรี่ 3,060 mAh ชาร์จแบบ 5V/2A 10 W
ราคา 8,990 บาท.

]]>
Review : Microsoft Surface Go เล็กสุดดีสุดของไมโครซอฟท์ https://cyberbiz.mgronline.com/review-microsoft-surface-go/ Mon, 01 Oct 2018 04:30:55 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29327 ยกแชมป์ให้ไปเลยสำหรับ Surface Go อุปกรณ์ 10 นิ้วที่ไมโครซอฟท์การันตีเองว่าเป็นอุปกรณ์ที่ดีที่สุดประจำปีนี้ จุดดีจุดด้อยของ Surface Go มีหลายส่วน ทุกส่วนถือว่าลงตัวรับได้จนทำให้ Surface Go เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจมากสำหรับใครที่กำลังมองหาอุปกรณ์คู่ใจมาใช้งาน

การออกแบบ

Surface Go หน้าจอขนาด 10 นิ้ว ความละเอียด 1800×1200 (217 PPI) ซีพียู Intel Pentium Gold 4415Y เป็นรุ่นเริ่มต้นในสินค้ากลุ่ม Surface สินค้าที่มากับกล่อง Surface Go มีเพียงอะแดปเตอร์ชาร์จไฟ และเอกสารเท่านั้น

Surface Go มีให้เลือก 2 รุ่น คือความจุ 64GB แบบ eMMC แรม 4GB (ราคา 14,999 บาท) และรุ่นความจุ 128GB แบบ SSD แรม 8GB (ราคา 19,999 บาท) รุ่นที่ทีมงานได้ทดสอบคือรุ่น 128GB ความจุสูงและทำงานเร็วกว่า

ด้านขวามือของเครื่อง มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม., พอร์ต USB-C 3.1 ที่ใช้ชาร์จไฟได้ และพอร์ต Surface Connect สำหรับชาร์จกับอะแดปเตอร์ที่แถมมา ขณะที่ปุ่ม Power และปุ่มปรับเสียง ติดที่ขอบบนของเครื่องเช่นเดิม ขอบล่างของเครื่องออกแบบมาสำหรับต่อคีย์บอร์ด Type Cover ซึ่งต้องซื้อเพิ่มในราคาเริ่มต้น 3,590 บาท

ไมโครซอฟท์ให้ทางเลือกคีย์บอร์ด 2 ทาง คือรุ่น Signature ที่ใช้ผ้า Alcantara แบบเดียวกับรถยนต์หรู (4,690 บาท) และรุ่น Standard สีดำ (3,590 บาท) ความต่างที่ชัดเจนคือสัมผัสเนียนซึ่งรุ่น Signature ชนะขาด

ช่องเสียบ microSD อยู่ด้านหลังขาตั้งของ Surface Go ซึ่งเป็นบานพับที่เปิดได้กว้างเต็มที่ 165 องศา ดังนั้นหากพื้นที่เก็บข้อมูลไม่พอ สามารถซื้อการ์ด microSD มาใส่เพิ่มได้สูงสุด 512GB ขณะที่ด้านหน้าของเครื่องมีกล้องหน้า เมื่อใช้งานกล้องจะมีไฟ LED สีขาวแสดงขึ้นมา

สเปก

สำหรับ Surface Go รุ่นใหม่นี้จะวางตลาดด้วยสเปกซีพียู Intel Pentium Gold 4415Y โดยรุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบเป็นรุ่นแรม LPDDR3 8GB หน่วยเก็บข้อมูลเป็น SSD ความจุ 128GB (เหลือให้ใช้จริงประมาณ 117GB) มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home ตัวเต็ม

ด้านการเชื่อมต่อจะรองรับ WiFi มาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac บลูทูธ 4.1 ไม่รองรับการใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์ และไม่มี GPS นำทางในตัว รุ่นพิเศษ Surface Go LTE ที่ใส่ซิมการ์ดได้ยังไม่มีประกาศวางจำหน่ายในไทย

ฟีเจอร์เด่นและทดสอบประสิทธิภาพ

Surface Go จะติดตั้ง Windows 10 Home แบบ S Mode ที่เปิดปิดได้มาให้ หากเปิด S Mode เครื่องจะทำงานเหมือน Windows 10 ปกติทั้งหมด แต่จะถูกจำกัดให้ติดตั้งหรือรันแอปพลิเคชันได้เฉพาะจาก Microsoft Store เท่านั้น ไม่สามารถรันไฟล์ .exe ได้ ผลดีของโหมดนี้คือเครื่องจะทำงานได้เร็วอยู่เสมอ และปลอดภัยจากไวรัสเพราะหมดโอกาสเปิดการทำงานไฟล์จากเว็บไซต์ล่อลวง

แม้ Surface Go แบบ S Mode จะเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เพราะมีแอปใน Store ค่อนข้างหลากหลายทั้ง LINE, Facebook, Netflix, Spotify รวมถึง iTunes (ไม่มี Amazon Video หรือ Google Play Movies) แต่ถ้าต้องการใช้โปรแกรมเฉพาะทาง ไมโครซอฟท์ก็เข้าใจและเปิดช่องให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถออกจาก S Mode ได้ เพื่อให้รันไฟล์ .exe และติดตั้งโปรแกรมที่ไม่ได้อยู่ใน Microsoft Store ได้

จุดสำคัญที่ต้องระวังคือใครที่ออกจาก S Mode จะกลับมาเปิด S Mode กลับมาอีกไม่ได้ ประเด็นนี้ไมโครซอฟท์ยืนยันว่าแม้แต่การ reset เครื่องก็จะไม่มีโหมด S Mode ให้เลือกใช้ ใครที่สนใจอยากปิดโหมด S Mode ให้กดปุ่ม turn off S Mode ที่จะแสดงขึ้นมาเมื่อพิมพ์ค้นหาในเครื่อง

เครื่องที่ทีมงานได้รับมาทดสอบนั้นปิด S Mode ไว้แล้ว พบว่าเครื่องสามารถติดตั้งเครื่องมือ เกม หรือแอปพลิเคชันคุ้นมือที่ใช้งานได้บ่อยบนแล็ปท็อปทั่วไปโดยไม่ทำให้เครื่องหน่วง แต่บนหน้าจอจะแสดงความเสี่ยงจากการปิด S Mode บ่อยครั้ง

ความสะดวกสบายคือชาวออฟฟิศสามารถซื้อ Office 365 บน Microsoft Store ได้ทันที ผู้ที่ซื้อไว้แล้วสามารถลงชื่อใช้งานและติดตั้งได้ตามปกติ นอกจากนี้ Office เวอร์ชันฟรีก็มีให้ใช้งาน บนฟีเจอร์การทำงานที่น้อยกว่า

จากที่ใช้งาน MacBook Air เป็นประจำ การเปลี่ยนมาพิมพ์งานบน Surface Go ผ่าน Type Cover ทำให้พิมพ์ผิดบ่อยมาก เนื่องจากคีย์บอร์ดค่อนข้างเล็กและระยะกดปุ่มสั้นกว่า แต่เมื่อปรับตัวได้ก็สามารถใช้งานได้ดีไม่แพ้แล็บท็อปรุ่นไหน แถมยังเหนือกว่าเพราะมีปุ่ม Home, End, Page Up และ Page Down มาให้พร้อม ทำให้ไม่ต้องกด Fn คู่กันแบบโน้ตบุ๊กทั่วไป ขณะเดียวกันก็มี TouchPad ที่ใช้ได้สะดวกและแม่นยำไม่ผิดหวัง

ขณะที่ปากกาที่ใช้ทดสอบเป็น Surface Pen รุ่นปี 2017 ราคาปี 2018 ยังเท่าเดิมไม่ลดลง จุดเด่นของปากกาคือการรองรับแรงกด 4,096 จุด ตอบสนองได้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้า หัวปากกาขนาด HB ตัวปากกาเชื่อมต่อผ่านบลูทูธ แบตเตอรีใช้ถ่าน AAAA 1 ก้อน รองรับการเอียงปากกาเพื่อแรเงาด้วย

ด้านแบตเตอรี่ เมื่อชาร์จเต็ม ใช้งานเบราว์เซอร์เปิดหลายแท็บ ดูยูทูบ พร้อมเปิดแอป Spotify ค้างไว้ แบตอยู่ได้ราว 4-5 ชั่วโมงเท่านั้น การชาร์จแบตจาก 3% จนถึง 100% ทำได้ภายใน 2 ชั่วโมงผ่านอะแดปเตอร์ที่ให้มา มีข้อเสียคือสถานะไฟเป็นสีเดิมตลอดการชาร์จ ทำให้ไม่สามารถสังเกตได้ว่าชาร์จเต็มแล้วหรือยัง เมื่อจับเครื่องขณะชาร์จโดยไม่ใส่รองเท้า หลายครั้งรู้สึกเหมือนถูกไฟดูดอ่อนๆ

หลายครั้งที่ Surface Go ร้อนเป็นพิเศษ เช่นระหว่างการใช้งานทั่วไปในสวนที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ พบว่าเครื่องร้อนแบบรู้สึกได้ แต่ทั้งหมดนี้ต้องยกนิ้วให้เรื่องความเงียบ เพราะ Surface Go ไม่มีพัดลมติดตั้งภายในเครื่อง


ทดสอบประสิทธิภาพ : PCMark 10 = 1,591 คะแนน


ทดสอบประสิทธิภาพ : Geekbench 4 / Single Core = 1,701 คะแนน / Multi Core = 3,310 คะแนน


ทดสอบประสิทธิภาพ : Cinebench R15 / OpenGL = 20.85 เฟรมต่อวินาที / CPU = 99cb

แม้คะแนนจะน้อย แต่ทีมงานยืนยันว่าการใช้งานโดยรวมลื่นไหล การเปิดโปรแกรมทำได้เร็ว พร้อมใช้งานเร็ว อย่างไรก็ตาม การใช้ Chrome บน Surface Go กลับไม่ลื่นไหลเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับ Edge ที่ใช้งานได้ดีกว่า

สรุป

ตลอดการใช้งาน 1 สัปดาห์ เราพบว่าหลายคนแอบเหลียวมองเมื่อหยิบ Surface Go ขึ้นมา ความเบาขนาดเล็กพกง่ายใช้งานลงตัวกลายเป็นจุดขายที่ใช้โฆษณา Surface Go กับทุกคนได้แบบไม่ต้องคิดมาก โดยเฉพาะคีย์บอร์ดที่ทำมาได้ดีชนิดต้องปรบมือให้

จุดขายสำคัญของ Surface Go คือการใช้เป็นแท็บเล็ตได้เลยในเครื่องเดียว เหมาะมากสำหรับคนที่ไม่อยากมี 2 เครื่องแยกกัน ซึ่งที่ผ่านมา หลายคนต้องมีแท็บเล็ตเพื่อพกไว้ใช้จดบันทึกหรือวาดรูป และมีคอมพิวเตอร์พีซีอีกเครื่องเพื่อทำงานหลัก จุดนี้ถือว่า Surface Go สามารถทำงานได้แบบ 2 in 1 ทำให้การทำงานสะดวกมากขึ้นกว่าเดิม


ภาพจากกล้องหลัง


ภาพจากกล้องหน้า

น่าเสียดายที่ Surface Go อาจไม่เหมาะกับงานตัดต่อวิดีโอ 4K หนักหน่วงเหมือน Surface Pro 2017 แต่ก็ถือว่ารับได้เมื่อเทียบกับความสามารถใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ Windows ได้แบบเดียวกัน บนจุดเด่นเรื่องการปิดเปิดเครื่องที่รวดเร็วกว่าโน้ตบุ๊กปกติไม่ต่างกัน และการมีพอร์ต USB-C ทำให้ Surface Go สามารถถ่ายโอนไฟล์หรือต่อออกจอนอกได้ง่ายมาก ทั้งหมดนี้จัดให้บนราคา Surface Go ที่ต่ำกว่า Surface Pro 2017 หลักหมื่น ซึ่งถือเป็นอีกจุดที่ชาว Surface ต้องพิจารณาก่อนซื้อ.

ข้อดี

– เล็ก เบา พกสะดวก ขาตั้งแข็งแรง มีพอร์ต USB-C
– มีช่องอ่านการ์ด microSD
– Windows 10 ใช้งานได้เต็มรูปแบบ ไม่กระตุก
– คีย์บอร์ดดี ปากกาดี

ข้อสังเกต

– แบตเตอรี่ไม่อึด
– ไม่มีพอร์ต USB-A แบบมาตรฐานเลย ต้องการใช้งานต้องซื้ออะแดปเตอร์ราคาเริ่มที่ 790 บาท
– ไม่แถมคีย์บอร์ด อุปกรณ์เสริมราคาไม่ธรรมดา

]]>
Review : Huawei Nova 3 ไม่ได้มีดีแค่กล้อง 4 ตัว!! https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-nova-3/ Fri, 21 Sep 2018 08:54:05 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29255 ใครกำลังมองหาสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นเด่นแต่ราคาไม่แรงเกินไป Huawei Nova 3 อาจเป็นคำตอบที่ยอดเยี่ยมเพราะ Nova 3 จัดเต็มหน่วยประมวลผลรวดเร็ว พื้นที่เก็บข้อมูลกว้างขวาง และระบบการจัดการเครื่องที่ครบถ้วน ยังมีระบบกล้องถ่ายภาพ 4 เลนส์ที่แบ่งเป็น 2 ตัวด้านหน้าและ 2 ตัวด้านหลังอย่างเท่าเทียม เรียกว่าไม่ได้มีดีเฉพาะที่จุดขายอย่างกล้อง 4 ตัวเท่านั้น ยังมีอีกหลายจุดเด่นที่ถูกห่อไว้ด้วยดีไซน์สีสดใสแวววาวมีสไตล์

ข้อดี

– สมรรถนะจัดเต็ม ชิปแรง RAM เยอะ
– ระบบกล้องถ่ายรูปไม่อายใคร มีระบบ AI ดันสีให้สดใสถ่ายง่าย
– EMUI ปรับใหม่ใช้ง่าย มีหลายฟีเจอร์ช่วยบริหารเครื่องตั้งค่ารวดเร็ว

ข้อสังเกต

– คุณภาพหน้าจออยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่โดดเด่น

– ตัวกล้องยังแพ้สมาร์ทโฟนระดับเรือธง

– ระบบชาร์จไฟด่วน ไม่ด่วนเท่าที่ควร

*** กระจกคู่กรอบโลหะ

Nova 3 ใช้กระจกคู่กับกรอบโลหะทำให้โทรศัพท์มีรูปลักษณ์ทันสมัย หน้าจอขนาดใหญ่ในตัวเครื่องบาง 7.3 มม. มาพร้อมรอยบากด้านบนหน้าจอที่ซ่อนไว้ได้ ซึ่งแม้จะเป็นโทรศัพท์ขนาดจอใหญ่แต่สามารถจัดการได้ด้วยมือเดียว น้ำหนัก 166 กรัมถือว่าไม่หนักไม่เบาสำหรับโทรศัพท์ในขนาดกลุ่มนี้

Huawei Nova 3 รุ่นที่เราได้มาทดสอบเป็นรุ่นสีม่วง 2 โทนสีสไตล์เดียวกับสีเด่นของ P20 Pro อย่างสี Twilight แสดงว่า Huawei จัดเต็มดีไซน์เรือธงที่เตรียมไว้สำหรับปี 2018 มาให้ใน Nova 3 แบบไม่หวง โดยเฉพาะโปรเซสเซอร์และหน่วยความจำสำรองที่เทียบกับเรือธงได้สบาย นอกจากนี้ยังมีหน้าจอ LCD ขนาดใหญ่ 6.3 นิ้ว ความละเอียด FHD ที่ 1080×2340

ดีไซน์กระจก 3D ไล่เฉดสีของ Nova 3 มีรอยนิ้วมือเกิดขึ้นง่ายมาก แต่ก็อาจไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับใครหลายคน Nova 3 มาพร้อมระบบสแกนลายนิ้วมือด้านหลังกึ่งกลางเครื่องเช่นเดียวกับโทรศัพท์ Huawei รุ่นอื่น ระบบสแกนลายนิ้วมือทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำมากในระดับน่าพอใจ

Huawei Nova 3 ยังคงมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. แสดงว่าเป็นโทรศัพท์ที่มุ่งเป้าหมายไปที่กลุ่มผู้ใช้ทั่วไป มีช่องเสียบ USB Type-C ที่ด้านล่าง โทรศัพท์รองรับเทคโนโลยีชาร์จไวทันใจ ตัว EMUI ออกแบบใหม่เพื่อให้ดูทันสมัยขึ้น มีโปรแกรมจิ๋วหรือวิดเจ็ตใหม่ที่บอกสภาพอากาศและการแจ้งเตือนใหม่ที่ใช้ไอคอนเพื่อการสลับไปมาอย่างรวดเร็ว ทำให้โทรศัพท์ดูสะอาดตามากขึ้น

***กล้อง 4 ตัว – หน้า 2 หลัง 2

หนึ่งในไฮไลท์ของ Huawei Nova 3 คือกล้องคู่ที่มีอยู่ด้านหน้าและหลัง กล้องคู่ด้านหน้าเป็นเซ็นเซอร์ขนาด 24MP ที่มีรูรับแสง f / 2.0 ใช้ร่วมกับเซ็นเซอร์สีกว้าง 2MP ที่จับข้อมูลความลึกของภาพเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ bokeh ที่ชัดเจน กล้องทั้ง 2 ตัวใช้ AI ซึ่ง Huawei ระบุว่าสามารถเข้าใจสภาพแวดล้อมรอบด้านเพื่อสร้างภาพที่น่าตื่นตา

ด้านหลังของ Huawei Nova 3 มีกล้องคู่ 24MP + 16MP สำหรับ AI ที่กล้องหลัง ระบบสามารถแยกสภาพแวดล้อมได้กว่า 200 แบบใน 8 ประเภทไม่ซ้ำกัน ได้แก่ ท้องฟ้าสีฟ้า ชายหาด พืช กลางคืน ดอกไม้ และหิมะ

โดยรวมแล้ว Huawei Nova 3 ทำให้เรารู้สึกประทับใจกับกล้องทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพราะเมื่อใช้ Huawei Nova 3 ถ่ายภาพในเวลากลางวัน การทำ bokeh เกิดขึ้นได้ง่ายดายและมีการจัดการเพื่อเบลอพื้นหลังโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดเลย

นอกจากนี้ ชาว Huawei Nova 3 สามารถเปิดปิด AI ได้ง่าย ระบบสามารถระบุว่าเป็นภาพถ่ายพืช ท้องฟ้า และรถได้อย่างถูกต้อง และสามารถปรับแสงให้สดได้ในไม่กี่อึดใจ (ภาพด้านล่างเปรียบเทียบระหว่างเปิดและปิด AI)

การทำงานของกล้องในช่วงที่แสงน้อยทำได้ดี Huawei Nova 3 ไม่เสียชื่อที่มี AI เป็นจุดขาย เพราะสามารถดึงสีขึ้นมาได้ชัดเมื่อเทียบกับภาพถ่ายที่ปิดโหมด, ใช้แฟลช และไม่ใช้แฟลช

กล้องหลังคู่ 16MP + 24MP ของ Nova 3 ทำให้โหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอชัดเจน ขณะเดียวกัน Nova 3 ก็ไม่ลืมจัดโหมดให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่ารูรับแสงได้ตามใจต้องการ รวมถึงโหมด HDR อัตโนมัติ ที่เป็นสุดยอดตัวช่วยผู้ทำงานได้ดีในทุกสภาวะ บนการซูมที่ทำได้ดี

ลูกเล่นใน Huawei Nova 3 ถือว่ามาครบ เพราะมี 3D Portrait Lighting ให้เลือกปรับแต่งแสงแบบสตูดิโอได้ 5 ระดับในโหมดถ่ายภาพบุคคล มีโหมด AR Fun, AR Effect ที่รองรับการวิเคราะห์ท่าทาง ทำให้เพียงชี้นิ้วขึ้นฟ้าก็มีภาพสายฟ้าฟาด หรือการไขว้นิ้วชและโป้งก็มีภาพมินิฮาร์ทแสดงขึ้น ยังมี 3D Qmoji ตัวการ์ตูนแสดงอารมณ์ที่เชื่อว่าจะเพิ่มความสนุกให้กับการถ่ายภาพมากยิ่งขึ้น

Nova 3 โดดเด่นมากเรื่องการตั้งค่ากล้องที่ครบและง่าย โดยเฉพาะกล้องหน้าเพื่อการถ่ายภาพตัวเองด้วยเซ็นเซอร์ 24 MP + 2 MP เมื่อเทียบภาพที่เปิดและปิดโหมดความงาม พบว่าแตกต่างกันชัดเจน

*** สุดยอดชิป

Huawei Nova 3 ยังมีจุดเด่นเรื่องการใช้หน่วยประมวลผล 8 คอร์ระดับท็อปของตลาด Hisilicon Kirin 970 ทำให้สามารถเบลอเส้นกั้นระหว่างสมาร์ทโฟนไฮเอนด์ได้มากกว่ารุ่นอื่น ยังมี RAM 6GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 128GB ซึ่งโดยทั่วไปจะมีไว้สำหรับรุ่นเรือธง ผลคือ Nova 3 สามารถทำงานได้เร็วลื่นไหล

นอกจากนี้ Nova 3 ยังใช้ GPU Turbo ช่วยให้การเล่นเกมบนสมาร์ทโฟนทำได้ไม่สะดุด กราฟฟิกเต็มตา ยังมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ใช้งานได้ตลอดวัน

การทดสอบบน AuTuTu Benchmark v7.1.0 พบว่า Nova 3 เครื่องที่ทีมงานได้รับมาทดสอบนั้นทำคะแนน 207355 โดย Nova 3 รองรับเกมแรงอย่าง PUBG mobile หรือ ROV ได้ดี

จากการทดสอบ แบตเตอรี่ที่ Huawei เคลมว่ามีคุณสมบัติ SuperCharge นั้นใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงจึงจะชาร์จเต็มจากเกือบ 0% เป็น 100% โดย Nova 3 ที่เราได้ทดสอบจะชาร์จได้ 25% ในครึ่งชั่วโมงแรก และเพิ่มเป็น 55% เมื่อครบชั่วโมงแรก และหลังการใช้งานตลอดวัน เครื่องจะมีแบตเตอรี่เหลือ 30-40% ทำให้ยังใช้งานต่อได้มากกว่า 5 ชั่วโมง

*** สรุป

วันนี้โทรศัพท์มือถือในท้องตลาดกำลังแข่งกันให้มีคุณสมบัติดีขึ้นบนราคาที่ประหยัดกว่า สมาร์ทโฟนหลายรุ่นเป็นตัวอย่างได้ดีในวันที่การแข่งขันรุนแรงขึ้นทุกภูมิภาคทั่วโลก Nova 3 ก็เช่นกัน ราคาที่ Huawei ตั้งไว้สำหรับสมาร์ทโฟน RAM 6GB อย่าง Nova 3 คือ 16,990 บาท ถือเป็นราคาที่สูงในกลุ่มสมาร์ทโฟนระดับกลาง

สเปกระดับไฮเอนด์ทำให้หลายคนสรุปว่า Nova 3 เป็นโทรศัพท์ที่ดีกว่าโทรศัพท์พื้นฐานในตระกูล Huawei แถม Huawei P20 Pro อย่างเรือธงยังมาพร้อมกล้องถ่ายรูป 3 เลนส์ ซึ่ง Huawei Nova 3 จัดมาให้ 4 ตัวแซงหน้าไปแล้ว ดังนั้น Nova 3 ถือว่ามีคุณสมบัติหลากหลายและสมดุล คาดว่าจะเป็นอีกรุ่นที่โดนใจคนไทย และเป็นอีกแรงที่ส่งให้ Huawei ขยายฐานตลาดได้สำเร็จเพราะความคุ้มค่า

แต่หากใครยังไม่รีบ การอดทนรอดูรุ่นอื่นที่จะดาหน้าบุกตลาดไทยช่วงปลายปีนี้ก็ถือว่าน่าสนใจ เพราะจะมีตัวเลือกไว้เปรียบเทียบอีกมากในรุ่นที่เป็น RAM 6GB และอาจจะทำให้ได้รุ่นที่มีหน้าจอละเอียดเหนือชั้นกว่า

สรุปคุณสมบัติเด่น Nova 3:

หน่วยประมวลผล Hisilicon Kirin 970 Octa Core
หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G72 MP12 รองรับ GPU Turbo
หน้าจอขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ 2340 x 1080 พิกเซล
ระบบปฎิบัติการ Android 8.1 Oreo พร้อม EMUI 8.2
หน่วยความจำในตัว ROM 128GB พร้อมรองรับ MicroSD Card สูงสุด 256 GB
รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด, USB Type-C
รองรับเครือข่าย 2G/3G/4G
RAM 6GB
กล้องหลังคู่ความละเอียด 16MP + 24MP
กล้องหน้าคู่ความละเอียด 24MP + 2MP
รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือ Fingerprint Scan
มีฟีเจอร์สแกนใบหน้าปลดล็อคเครื่อง
แบตเตอรี่ 3750 mAh รองรับระบบชาร์จเร็วของ Huawei
ราคา 16,990 บาท.

]]>
Review : Asus ZenFone Max Pro M1 ชาร์จไวแม้แบตใหญ่ 5,000 mAh https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-zenfone-max-pro-m1/ Tue, 10 Jul 2018 10:59:40 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=28847

เพราะ ZenFone Max Pro M1 เป็นสมาร์ทโฟนที่มีจุดขายที่แบตเตอรี่ใหญ่สะใจ 5,000 mAh เมื่อหน้าจอแสดงว่าเหลือแบตเตอรี่ 2% เราพบว่า ZenFone Max Pro ก็ยังใช้งานต่อได้อีกเกินครึ่งชั่วโมง แถมแบตเตอรี่ใหญ่โตเช่นนี้ยังใช้เวลาไม่นานในการชาร์จ ซึ่งหากใครลืมชาร์จ ก็สามารถชาร์จไว้ครู่หนึ่งเพื่อใช้งานต่อได้ทั้งวัน

จุดสังเกตของ ZenFone Max Pro อยู่ที่กล้องซึ่งแม้จะใช้กล้องหลังคู่ ความละเอียด 16MP + 5MP แต่ถือว่าพัฒนาคุณสมบัติกล้องออกมาแบบไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนระดับราคาเดียวกัน ขณะที่เครื่องสีดำเป็นรอยนิ้วมือง่ายจนอาจทำให้หลายคนหงุดหงิดใจไม่น้อย

ข้อดี

– ระบบปฏิบัติการ Pure Android

– ถาดใส่ซิมคู่ และการ์ดเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูล 3-in-1

– หน้าจอ FHD

– แบตเตอรี่ใหญ่ใช้งานได้ข้ามวัน

ข้อสังเกต

– กล้องไม่โดดเด่น

– เครื่องกว้าง ผู้หญิงอาจจับเครื่องมือเดียวลำบาก

ไม่หนาไม่หนัก

ต้องปรบมือให้ Asus ที่สามารถจัดเต็มแบตเตอรี่ mAh ขนาด 5,000 mAh ลงในเครื่องที่มีความหนาเพียง 8.5 มม. (ขนาดตัวเครื่อง 159 x 76 x 8.5 มิลลิเมตร) วัสดุตัวเครื่องเป็นโพลีคาร์บอเนต แต่ให้ความรู้สึกแข็งแรง น้ำหนัก 180 กรัมถือว่าไม่มากเลยเมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่

ZenFone Max Pro M1 มีหน้าจอ 5.99 นิ้ว IPS-LCD ความละเอียด 2160 x 1080 พิกเซล สัดส่วน 18:9 กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล F2.0 พร้อมกับ LED Flash (16 ล้านพิกเซล เฉพาะ รุ่น RAM 6GB) หลังเครื่องติดตั้งกล้องคู่ ที่วางในแนวตั้งเหมือนกับบน iPhone X มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ตรงกึ่งกลางเครื่อง อยู่ด้านบนโลโก้แบรนด์ Asus

ถาดซิมรองรับ 2 นาโนซิมการ์ดและไมโครเอสดีการ์ด ที่ใส่ถาดซิมอยู่ด้านซ้ายของเครื่อง ตรงข้ามกับด้านขวาที่เป็นปุ่มเปิด–ปิดเครื่อง และปุ่มปรับระดับเสียง ด้านล่างเครื่องเป็นพอร์ต USB-C ลำโพง และไมโครโฟนสนทนา

ZenFone Max Pro M1 ใช้ซีพียู CPU Qualcomm Snapdragon 636 Octa Core 1.8 GHz พร้อมกับ GPU Adreno 509 เลือกได้ระหว่างรุ่น RAM 3GB, 4GB และ 6GB ความจุพื้นที่เก็บข้อมูลในตัว 32GB (เฉพาะรุ่น RAM 3GB) 64GB (เฉพาะรุ่น RAM 4 – 6GB) เพิ่มความจำได้ด้วย Micro SD รองรับสูงสุด 400GB

ระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo รองรับ 3G/4G LTE Cat 4 150/50Mbps

2 ชั่วโมงกว่าก็ชาร์จเต็ม

จากการทดสอบ Asus Zenfone Max Pro M1 ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในการชาร์จไฟแบตเตอรี่ 5,000 mAh เต็มตั้งแต่ 10-100% โดยอุปกรณ์ชาร์จที่จัดมาให้ในกล่องคืออะแดปเตอร์ 10 วัตต์ ซึ่งไม่รองรับมาตรฐาน Quick Charge

แม้ Asus Zenfone Max Pro M1 ไม่รองรับมาตรฐาน Quick Charge เหมือนคู่แข่ง แต่เมื่อลืมชาร์จจนแบตเตอรี่เหลือน้อย พบว่าเพียงชาร์จไว้ครู่เดียวก็สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ตลอดวัน จากการทดลองใช้งานตั้งแต่เช้า 8 โมงด้วยแบตเตอรี่ชาร์จเต็ม 100% แบตเตอรี่มักจะเหลือ 50% ในช่วงเย็นของวันแม้จะเล่นเกม ถ่ายวิดีโอ ดูวิดีโอบน YouTube

สิ่งที่อาจทำให้ผู้ใช้ ZenFone Max Pro M1 เหนื่อยใจคือตัวเลขพลังไฟที่จะเพิ่มขึ้นช้ามากเมื่อชาร์จ ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าการชาร์จทำได้ช้าเหลือเกิน ซึ่งเมื่อทนไม่ไหวแล้วตัดสินใจเลิกชาร์จ ก็จะพบว่ายังสามารถใช้งาน ZenFone Max Pro M1 ต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ผลการทดสอบแบตเตอรี่เมื่อเปิดหน้าจอสว่างสุดด้วย Work 2.0 สถิติที่ได้กลับอยู่ที่ 10 ชั่วโมง คาดว่าตัวเลขผลการทดสอบนี้จะเพิ่มขึ้น หากมีการลดความสว่างหน้าจอลงและปิดโปรแกรมพื้นหลัง

ห้ามซูม

กล้องหลังของ ASUS Zenfone Max Pro M1 มีความละเอียด 13MP + 5MP สำหรับรุ่น RAM 3GB และ 16MP + 5MP สำหรับรุ่น RAM 6GB และ 4GB การทดสอบพบว่าเอฟเฟกต์ภาพเบลอไม่ค่อยใกล้เคียงกับธรรมชาติ และไม่มีโหมดให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่ารูรับแสงได้ตามใจต้องการ

อย่างไรก็ตาม แม้จะรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ 4K แต่การทดสอบพบว่าคุณภาพการซูมของกล้องนั้นทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร

เมื่อเปิดโหมดย้อนแสง ASUS Zenfone Max Pro M1 ทำได้ดี ภาพถ่ายแสงมากช่วงกลางวันให้คุณภาพไม่ผิดหวัง แต่ noise รบกวนเล็กน้อยในสภาพแสงน้อย

ครบเครื่องใช้คุ้ม

นอกจากกูเกิล เซอร์วิส และแอปพื้นฐานทั่วไป เช่น เครื่องคิดเลข, เครื่องอัดเสียง และ FM Radio แล้ว ASUS Zenfone Max Pro M1 ยังมีระบบบริหารจัดการแบตเตอรี่ แต่รวมอยู่ในส่วน Setting เท่านั้น

ระบบความปลอดภัย ASUS Zenfone Max Pro M1 มีทั้งระบบสแกนลายนิ้วมือ และสแกนใบหน้า ถือว่าครบเครื่องคุ้มราคารอบด้าน ขณะที่ส่วนประสิทธิภาพของเครื่อง พบว่าคะแนนทดสอบอยู่ในระดับสูง และตอบสนองการเล่นเกมได้ดี

สรุป

หากใครมองว่าแบตเตอรี่มีความสำคัญมากที่สุด ZenFone Max Pro M1 ถือเป็นคำตอบที่ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนเพราะ ZenFone Max Pro M1 คือโทรศัพท์ราคาเอื้อมถึงที่มีแบตเตอรี่ใหญ่ใช้งานได้ยาวนานที่สุดเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนระดับเดียวกัน ซึ่งแม้ Zenfone Max Pro M1 อาจไม่สมบูรณ์แบบทุกด้าน แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าสำหรับงบประมาณค่าตัว ZenFone Max Pro ที่เริ่มต้น 5,990 บาท

Zenfone Max Pro M1 มีให้เลือกซื้อ 3 รุ่น ได้แก่ RAM 3GB / ROM 32GB ราคา 5,990 บาท, RAM 4GB / ROM 64GB ราคา 6,990 บาท อีกรุ่นคือ RAM 6GB / ROM 64GB ราคา 7,990 บาท นี่คือราคาอัปเดทล่าสุด กรกฎาคม 2018

]]>