Potsawat Sirichan – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Wed, 01 Nov 2017 14:03:12 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : GoPro HERO6 Black จัดเต็ม 4K60 คมชัดเร็วแรงกว่าเดิม https://cyberbiz.mgronline.com/review-gopro-hero6/ Wed, 01 Nov 2017 13:35:29 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=27581

หลังจาก GoPro (โกโปร) สร้างชื่อเสียงกับการเป็น Action Camera สุดฮิตโดยเฉพาะรุ่น HERO ที่เน้นจับทุกกลุ่มตั้งแต่นักกีฬา ขาลุยไปถึงวัยรุ่นชอบท่องเที่ยวที่ปัจจุบันเดินทางมาถึงรุ่นที่ 6 กับ “GoPro HERO6 Black” ที่ในครั้งนี้โกโปรเลือกอัปเกรดฮาร์ดแวร์ให้รองรับความละเอียด 4K ที่สมบูรณ์มากขึ้นรวมถึงให้คุณภาพไฟล์ที่ดีกว่าเดิม

การออกแบบ

รูปร่างหน้าตาของ GoPro HERO6 Black จะคล้ายกับ HERO5 ทุกสัดส่วน ตั้งแต่บอดี้กล้องเป็นยางสามารถกันน้ำได้ลึกถึง 10 เมตร รวมถึงสามารถป้องกันฝุ่นและโคลนได้

ด้านหน้าขวามือของภาพประกอบจะเป็นส่วนของเลนส์กล้อง รูรับแสง f2.8 ด้านซ้ายเป็นที่อยู่ของหน้าจอแสดงโหมดถ่ายภาพที่เลือกใช้ในปัจจุบัน เวลาที่ถ่ายวิดีโอหรือจำนวนภาพรวมถึงมีแจ้งสถานะแบตเตอรี จำนวนเวลาที่สามารถถ่ายได้และขอบเครื่องด้านบนยังมีไฟแสดงสถานะการทำงานของตัวกล้อง (ไฟสีแดง) เมื่ออยู่ในโหมดบันทึกวิดีโอ

ในส่วนขนาดตัวเครื่องจะเท่ากับ HERO5 รวมถึงน้ำหนัก 117 กรัมเท่ากันทุกสัดส่วน อีกทั้งด้านอุปกรณ์เสริมระหว่าง HERO5 และ HERO6 จะสามารถใช้ร่วมกันได้ด้วย

ในส่วนด้านหลังจะเป็นหน้าจอขนาด 2 นิ้วแบบสัมผัส รองรับการซูมภาพ (Touch Zoom Boom)

ด้านบน เป็นที่อยู่ของปุ่มบันทึกวิดีโอ/ชัตเตอร์ถ่ายภาพนิ่ง (วัสดุด้านบนเป็นยางทั้งหมด)

ด้านซ้าย จะเป็นฝายางกันน้ำปิดช่องเชื่อมต่อไว้ (ต้องกดปุ่มแล้วดันฝาออก) โดยภายในจะเป็นพอร์ต HDMI และ USB-C สำหรับชาร์จแบตเตอรีและรับส่งข้อมูล

ด้านขวา เป็นปุ่มกดปรับโหมดถ่ายภาพและถ้ากดค้างไว้จะเป็นการสั่งปิดหรือเปิดเครื่องได้

ด้านล่าง เป็นฝายางกันน้ำปิดช่องใส่แบตเตอรีไว้ (แบตเตอรีความจุ 1,220mAh ใช้ร่วมกับ HERO5 ได้) รวมถึงเป็นที่อยู่ของช่องใส่การ์ดความจำ MicroSD (แนะนำให้ใช้การ์ดมาตรฐาน UHS-I U3 สำหรับการถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K 60fps)

สเปกและฟีเจอร์เด่น

เริ่มจากสเปกที่ปรับเปลี่ยนใหม่กันก่อน GoPro HERO6 Black เลือกใช้ชิป GP1 ตัวใหม่ล่าสุด ทำให้ตัวกล้องรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 4K ที่ความเร็ว 60 เฟรมต่อวินาทีครั้งแรกของกล้อง GoPro อีกทั้งระบบป้องกันภาพสั่นไหว (Image Stabilization) ภายในยังถูกปรับปรุงให้สามารถทำงานร่วมกับความละเอียดระดับ 4K 30 เฟรมต่อวินาทีได้แล้ว

ด้านคุณภาพไฟล์วิดีโอจะถูกอัปเกรดเรื่องไดนามิกที่ดีขึ้น รวมถึงการถ่ายในที่แสงน้อยจะได้ความคมชัดมากขึ้น

นอกจากนั้นด้วยชิปประมวลผลที่เร็วขึ้น ในส่วนโหมดสโลโมชั่นยังถูกอัปเกรดให้รองรับความเร็วเฟรมที่สูงถึง 240 เฟรมต่อวินาทีที่ความละเอียด 1080p ซึ่งแน่นอนว่าคุณภาพของไฟล์จะดีกว่ารุ่นเดิมเป็นเท่าตัว รวมถึงในรุ่นใหม่นี้ทางโกโปรยังเลือกใช้ฟอร์แมตไฟล์ H.265 HEVC สำหรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด 4K 60 เฟรมต่อวินาทีและ 1080p 240 เฟรมต่อวินาทีเพื่อบีบอัดไฟล์ให้มีขนาดเล็กลง บันทึกได้รวดเร็วขึ้น (แต่อาจมีปัญหากับซอฟต์แวร์ตัดต่อรุ่นเก่า)

ส่วนผู้ใช้ที่ชอบตั้งค่ากล้องด้วยตัวเอง HERO6 Black มาพร้อม ProTune ซึ่งเป็นโหมดให้ผู้ใช้สามารถปรับความเร็วชัตเตอร์ ชดเชยแสง ปรับช่วง ISO ไปถึงปรับโปรไฟล์สีที่มีค่าสีแบบ Flat ให้เลือกใช้เหมือนกล้องมืออาชีพ (สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการนำวิดีโอไปเกลี่ยสีเองภายหลัง) และนอกจากนั้นในส่วนการบันทึกเสียง HERO6 Black สามารถเลือกแยกบันทึกไฟล์เสียงออกจากวิดีโอเพื่อนำไปปรับแต่งผ่านซอฟต์แวร์เฉพาะภายหลังได้ด้วย


สำหรับส่วนมุมมองภาพถ้าผู้ใช้ตั้งความละเอียดวิดีโอ 1080p จะสามารถเลือกมุมมองได้ 3 มุมได้แก่ Linear, Wide (มาตรฐาน) และ Superwide ส่วนถ้าถ่ายที่ความละเอียด 4K หรือ Time Lapse จะเลือกได้เพียงมุมมองแบบ Wide เท่านั้น

ด้านการถ่ายภาพนิ่ง สเปกความละเอียดภาพสูงสุดอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล รองรับการถ่าย HDR พร้อมโหมด Protune สำหรับปรับแต่งค่ากล้องด้วยตัวเอง ในส่วนโหมดถ่ายภาพิเศษจะมีให้ตั้งแต่ Night Shot เอาใจคนชอบถ่ายวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืน Burst Mode ถ่ายภาพนิ่งต่อเนื่องได้เร็วสูงสุด 30 ภาพใน 1 วินาที

มาดูอีกหนึ่งโหมดสำคัญก็คือ Time Lapse โดย GoPro HERO6 Black จะรองรับความละเอียด 4K พร้อมโหมดย่อยให้เลือกถ่าย Time Lapse แบบเป็นไฟล์วิดีโอ แยกเป็นภาพนิ่งหรือ Night Time Lapse ถ่ายดวงดาวเคลื่อนตัวในยามค่ำคืนได้ด้วย

ในส่วนการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน GoPro HERO6 Black ปรับปรุงสัญญาณ WiFi Dual Band 2.4GHz/5GHz ให้ทำงานได้รวดเร็วขึ้นเป็นเท่าตัวเพราะต้องรองรับการส่งไฟล์ 4K60 ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น อีกทั้งตัวกล้องยังรองรับการเชื่อมต่อบลูทูธ เวลาผู้ใช้ต้องการควบคุม HERO6 Black ผ่านสมาร์ทโฟนสามารถกดเชื่อมต่อได้ทันทีแบบไร้รอยต่อ

และนอกจากนั้นโกโปรยังให้แอปฯสำหรับตัดต่อวิดีโอจากสมาร์ทโฟนมาถึง 2 ตัวด้วยกัน ได้แก่ 1.Quik เน้นตัดคลิปวิดีโอแบบรวดเร็ว สามารถใช้ได้ทั้ง iOS และ Android และ 2.Splice จะคล้ายกับ Quik แต่จะเน้นทำงานกับอุปกรณ์ iOS เท่านั้น

สุดท้ายในส่วนสเปกปลีกย่อยอื่นๆ จะคล้ายกับ GoPro HERO5 แต่จะมีการเพิ่มประสิทธิภาพบางฟีเจอร์มากขึ้น เช่น การสั่งงานด้วยเสียงที่แม่นยำขึ้น การรองรับกับอุปกรณ์ GoPro อื่นๆรวมถึงการรองรับไม้กันสั่น เช่น Karma Grip ที่ทำได้ดีขึ้นจากการอัปเกรดระบบป้องกันภาพสั่นไหวภายในตัว HERO6 เอง

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

เริ่มการทดสอบแรก ทดสอบระบบป้องกันภาพสั่นไหวปรับปรุงใหม่ซึ่งจะทำงานได้ดีสุดที่ความละเอียด 1080p 30-60 เฟรมต่อวินาที ถือว่าคุณภาพพอใช้ แต่ให้ดีควรติดตั้ง GoPro HERO6 Black กับไม้กันสั่นจะได้คุณภาพที่ดีขึ้น ส่วนคุณภาพไฟล์วิดีโอถือว่าคมชัดตามมาตรฐานโกโปร แต่ถ้าถามว่าแตกต่างจาก HERO5 มากไหม ถ้าในสภาพแสงกลางวันปกติจะไม่ค่อยเห็นความแตกต่างเท่าใด แต่พออยู่ในที่แสงน้อย HERO6 จะให้ภาพที่ดีกว่า

ในส่วนความรวดเร็วทั้งในส่วนประสิทธิภาพ การประมวลผลไปถึงการสั่งงานผ่านหน้าจอสัมผัส HERO6 ถือว่าทำได้ดีกว่าทุกรุ่น

ด้านการทดสอบกับความละเอียดระดับ 4K 60 เฟรมต่อวินาที ถือว่า GoPro HERO6 Black ให้ประสิทธิภาพที่ดี แต่จะมีข้อสังเกตในเรื่องระบบป้องกันภาพสั่นไหวในตัวกล้องจะไม่ทำงานถ้าปรับเฟรมเรทไปที่ 60 เฟรมต่อวินาที (ถ้าต้องการเปิดระบบป้องกันภาพสั่นไหวจำเป็นต้องลดเฟรมเรทลงมาที่ 30 เฟรมต่อวินาที) ส่วนคุณภาพไฟล์ 4K ถือว่าทำได้ดี คมชัดใช้ได้ และถือว่า GoPro HERO6 Black เกิดมาเพื่อเป็นกล้อง Action Cam เพื่องานระดับ 4K อย่างแท้จริง

มาถึงการถ่ายภาพนิ่ง ใน HERO6 รุ่นใหม่นี้โกโปรจะเน้นปรับปรุงเรื่องคุณภาพไฟล์ในที่แสงน้อยและระบบ HDR แบบกล้องดิจิตอล โดยคุณภาพไฟล์ถือว่ามีความคมชัดพอสมควรและการถ่ายในที่แสงน้อย ถ้าเป็นวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนแนะนำให้เปิดโหมด Night แล้วพยายามยึดตัวกล้องให้นิ่งไว้ก็จะได้ภาพคุณภาพสูง อีกทั้งตัวกล้องสามารถถ่าย RAW ได้ แต่มีข้อสังเกตเล็กน้อยคือ เมื่อถ่ายย้อนแสงบางครั้งจะเกิดอาการเหลื่อมของสีเป็นขอบม่วง (Chromatic aberration) ให้พบเห็นบ้าง โดยเฉพาะการถ่ายแบบ HDR ย้อนแสงอาทิตย์เต็มๆ แต่โดยภาพรวม การถ่ายภาพนิ่งด้วย GoPro HERO6 Black ถือว่าสอบผ่าน หรือถ้าถ่ายมาแล้วติดขอบม่วงมาสามารถใช้ซอฟต์แวร์ภายนอกจัดการได้เช่นกัน

ส่วนโหมดสโลโมชันคุณภาพถือว่าถูกปรับปรุงขึ้นพอสมควร การถ่ายที่ความเร็ว 240 เฟรมต่อวินาทีแนะนำให้ใช้ถ่ายกลางแจ้ง แดดจัดจะให้คุณภาพไฟล์ที่ดี

สุดท้ายในส่วนแบตเตอรีไม่ค่อยแตกต่างจาก GoPro HERO5 มากนัก คือถ้าเน้นการถ่ายวิดีโอทั้งวันแนะนำให้หาแบตเตอรีสำรองติดตัวด้วย โดยเฉพาะการถ่ายที่ความละเอียด 4K60 ที่ค่อนข้างบริโภคพลังงานมาก

สำหรับราคา GoPro HERO6 Black อยู่ที่ 18,500 บาท ถือเป็น Action Camera ประสิทธิภาพสูงที่ยังรักษามาตรฐานโกโปรได้อย่างดี โดยในรุ่นนี้สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาอย่างเด่นชัดก็คือ “การรองรับวิดีโอความละเอียด 4K 60 เฟรมต่อวินาที ที่สามารถใช้งานแบบมืออาชีพได้” รวมถึงคุณภาพของภาพนิ่งที่ถูกอัปเกรดให้ดีขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า นอกนั้นฟีเจอร์ส่วนใหญ่จะไม่ต่างจาก HERO5 มากนัก

ข้อดี

– กันน้ำลึก 10 เมตร
– รองรับวิดีโอ 4K 60 เฟรมต่อวินาที
– ปรับปรุงคุณภาพภาพนิ่งใหม่ โดยเฉพาะส่วน HDR ดีขึ้นมาก
– สโลโมชัน 240 เฟรมต่อวินาทีที่ความละเอียด 1080p
– หน้าจอสัมผัสตอบสนองดีขึ้น สามารถซูมภาพได้แล้ว
– มี RAW Audio และโปรไฟล์สีสามารถเลือกเป็น Flat ได้
– WiFi ถูกอัปเกรดใหม่ เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้เสถียรขึ้น

ข้อสังเกต

– ปุ่มชัตเตอร์และปุ่มเปลี่ยนโหมดถ่ายภาพค่อนข้างแข็ง ต้องใช้แรงกดมาก
– เลนส์กล้องถ่ายย้อนแสงมีอาการขอบม่วงเล็กน้อย

Gallery

]]>
Review : Apple Watch Series 3 ปรับสเปกใหม่ในร่างเดิม https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-watch3/ Sun, 22 Oct 2017 10:45:51 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=27522

Apple Watch กลายเป็นอีกหนึ่งสินค้าไอทีจากแอปเปิลที่หลายคนต่างเฝ้าจับตามองการเปลี่ยนแปลงในทุกปีไม่แพ้สินค้าในกลุ่ม iPhone โดยในวันนี้หลังจากเปิดตัว iPhone 8 และ iPhone X ไปแล้ว ก็ถึงคิวของสมาร์ทวอทซ์เรือนใหม่อย่าง Apple Watch Series 3 ที่แอปเปิลเลือกปรับสเปกใหม่พร้อมเซอร์ไพร์สเปิดตัวรุ่น Cellular (เซลลูลาร์มีซิมโทรศัพท์ภายในตัวเอง) ทำตลาดควบคู่ไปกับรุ่น GPS ปกติ

โดยในวันนี้สำหรับตลาดประเทศไทยเองได้เริ่มวางขาย Apple Watch Series 3 ในรุ่น GPS ซึ่งเป็นตัวที่ทีมงานจะนำมารีวิวให้ชมในวันนี้ ส่วนรุ่น GPS + Cellular สำหรับบ้านเรายังไม่มีกำหนดวางขายอย่างเป็นทางการจากแอปเปิล

การออกแบบ

ด้านการออกแบบ Apple Watch Series 3 ไม่มีความแตกต่างด้านรูปลักษณ์จาก Watch Series 2 แต่อย่างใด โดยในส่วนวัสดุตัวเรือนสำหรับรุ่น GPS จะเป็นอะลูมิเนียมทั้งหมด ขนาดความกว้างยาวสูง การจัดวางรูปแบบพอร์ตและสล็อตเชื่อมต่อสายนาฬิกาจะเท่ากับ Watch Series 2 ทำให้อุปกรณ์และสายนาฬิกาที่เคยใช้จากรุ่นก่อนหน้าสามารถนำมาเชื่อมต่อและใช้งานร่วมกับ Watch Series 3 ได้ทันที

ในส่วนหน้าปัดนาฬิกาจะมีให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ 38 มิลลิเมตร (ความละเอียดหน้าจอ 272×340 พิกเซล) และ 42 มิลลิเมตร (ความละเอียดหน้าจอ 312×390 พิกเซล) หน้าจอใช้วัสดุ Ion-X มีความแข็งแรงทนแรงขีดข่วนได้ ส่วนจอภาพเป็น OLED Retina รุ่น 2 (ความสว่าง 1,000 นิตตัวเดียวกับ Watch Series 2) พร้อม Force Touch รับรู้แรงกดหน้าจอได้หลายระดับ

มาดูด้านหลังนาฬิกา ฝาหลังใช้วัสดุคอมโพสิต ตรงกลางเป็นส่วนของเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจพร้อมไฟ LED 2 ดวง รวมถึงเป็นส่วนใช้เชื่อมต่อกับที่ชาร์จแบตเตอรีแบบแม่เหล็กและรองรับแผ่นรองชาร์จ AirPower ด้วย ส่วนปุ่มกดบนและล่างจะเป็นตัวปลดล็อกสายนาฬิกา (กดค้างเพื่อปลดล็อกและดันสายออกด้านข้าง)

ด้านข้างนาฬิกาเริ่มจากด้านขวา เป็นที่อยู่ของเม็ดมะยมและปุ่มเปิดปิด/สลับใช้งานแอปฯ

ด้านซ้าย จะเป็นที่อยู่ของลำโพงและไมโครโฟน

สเปก

Apple Watch Series 3 ถูกอัปเกรดสเปกภายในใหม่ตั้งแต่ซีพียูไปใช้ S3 แบบ Dual Core ทำงานเร็วขึ้น ประกบกับชิป W2 ที่เข้ามาจัดการเรื่องระบบเชื่อมต่อไร้สายรวมถึงจัดการการใช้พลังงานระหว่าง Watch Series 3 กับ Apple iPhone ให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดการใช้พลังงานลงและสามารถเชื่อมต่อกับหูฟังไร้สายอย่าง AirPods หรือ beats ได้โดยตรงด้วย

นอกจากนั้นแอปเปิลยังได้เพิ่มฮาร์ดแวร์ Barometric altimeter เพื่อใช้วัดระบบความสูงได้ในตัวเอง พร้อมมี GPS/GLONASS รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 802.11 b/g/n มีไจโรสโคป อุปกรณ์จับการเคลื่อนไหวภายในและรองรับบลูทูธ 4.2 ด้านหน่วยเก็บข้อมูลภายในมีขนาด 8GB ในรุ่น GPS ส่วนรุ่น GPS + Cellular จะให้มา 16GB (เหลือให้ใช้งานจริงประมาณ 4-5GB) และแบตเตอรีสามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 18-20 ชั่วโมง

สุดท้ายคุณสมบัติด้านการป้องกันน้ำ Watch Series 3 สามารถทนน้ำที่ระดับ 50 เมตรได้ รองรับกิจกรรมว่ายน้ำ ลงน้ำทะเล บุกป่าฝ่าดงได้สบายๆ

ฟีเจอร์เด่นและการใช้งาน

ด้วย WatchOS 4.0 ทำให้การเชื่อมต่อนาฬิกากับ iPhone ทำได้ง่ายขึ้น เพียงคุณเปิดนาฬิกาและเปิดหน้าจอ iPhone ขึ้น จากนั้นให้นำตัวนาฬิกามาวางใกล้กับ iPhone ระบบจะค้นหาและจับคู่อัตโนมัติเหมือนกับการเชื่อมต่อ Apple AirPods

อีกทั้งสำหรับคนที่มีนาฬิกา Apple Watch Series 3 มากกว่า 1 เรือน ชิป W2 จะเพิ่มประสิทธิภาพในการสลับใช้งานนาฬิกาแต่ละเรือนได้แม่นยำแบบไร้รอยต่อมากกว่ารุ่นก่อนหน้าที่มีโอกาสพบปัญหาสัญญาณเชื่อมต่อระหว่างนาฬิกาและ iPhone หลุดออกจากกัน โดยคุณสามารถเปลี่ยนนาฬิกา Watch ที่ข้อมือได้ทุกเวลา ระบบจะเรียนรู้เองว่าคุณกำลังใส่นาฬิกาเรือนไหนออกจากบ้าน ข้อมูลทุกอย่างจะเชื่อมถึงกันทั้งหมด

มาถึงในส่วนซอฟต์แวร์ควบคุม Apple Watch สำหรับ Series 3 จะติดตั้ง WatchOS 4.0 มาจากโรงงาน โดยสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากระบบปฏิบัติการตัวรุ่นก่อน อย่างแรกก็คือหน้าปัดนาฬิกาใหม่ เช่น ธีมทอยสตอรี่หรือจะเลือกดึงผู้ช่วยอัจฉริยะ Siri ขึ้นมาใช้งานบนหน้าปัดได้โดยตรงก็สามารถทำได้เพราะใน WatchOS ใหม่นี้ Siri สามารถพูดคุยกับเราได้เหมือนใน iOS หลังจากตัวก่อน Siri จะตอบกลับเราเป็นแค่ตัวหนังสือเท่านั้น

อีกส่วนที่ได้รับการอัปเดตใหม่ก็คือ “Apple Health” หรือแอปฯสุขภาพที่ในครั้งนี้แอปเปิลปรับปรุงส่วนวัดอัตราการเต้นของหัวใจใหม่ โดยแยกการวิเคราะห์อัตราการเต้นของหัวใจในช่วงพักผ่อนและเดินออกจากกัน นอกจากนั้นสำหรับคนเป็นโรคหัวใจ Health ตัวใหม่ยังสามารถวิเคราะห์อัตราการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติและแจ้งเตือนผู้ใช้ได้ด้วย

ส่วนถ้าต้องการตรวจจับการนอนหลับหรือใช้ตรวจวัดการวิ่งออกกำลังกายต่างๆ Apple Watch รองรับการติดตั้งแอปฯจากผู้พัฒนาภายนอก เช่น Strava, Nike Run Club, Pillow โดยเฉพาะแอปฯตรวจจับการนอนหลับที่ปัจจุบันสามารถทำงานร่วมกับ Watch Series 3 ได้ดียิ่งขึ้น เพราะระบบการจัดการแบตเตอรีในนาฬิการุ่นใหม่นี้ทำได้ดีแล้ว

อีกทั้งสำหรับคนที่มีดนตรีในหัวใจ Apple Watch Series 3 สามารถซิงค์เพลงเข้าไปไว้ในนาฬิกาแล้วเชื่อมต่หูฟัง เช่น AirPods เข้ากับตัวนาฬิกาเลือกฟังเพลงได้โดยตรง ส่วนรุ่น GPS + Cellular ในอนาคตจะรองรับการสตรีมมิงเพลงจาก Apple Music ผ่านนาฬิกาได้ด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

เดิมที่ผู้ทดสอบได้ใช้ Apple Watch Series 2 เป็นนาฬิกาประจำตัวอยู่แล้ว พอได้รับ Watch Series 3 รุ่น GPS มาทดสอบ สิ่งแรกที่รู้สึกก็คือ รูปทรงและฟีเจอร์ภายในไม่แตกต่างจากรุ่น Series 2 ที่อัปเดตระบบปฏิบัติการเป็น WatchOS 4 ทุกฟีเจอร์ที่ Series 3 มี เช่นระบบไล่น้ำจากรูลำโพง หน้าปัดนาฬิการแบบต่างๆไปถึงแอปฯและฟีเจอร์ทุกตัวที่มีใน Series 3 ก็สามารถใช้งานได้ใน Series 2 เช่นกัน

แต่เมื่อลองใช้งานไปร่วมอาทิตย์ ผู้ทดสอบเริ่มเห็นความแตกต่างที่เกิดขึ้นระหว่าง Watch รุ่นเก่าและใหม่ก็คือ ความเร็วที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพวกแอปฯจำพวก Line หรือ Messenger ที่ปกติตั้งรุ่น Original มาถึง Series 2 มักมีปัญหาเรื่องความล่าช้าในการโหลดข้อมูล แต่ใน Watch Series 3 การโหลดข้อมูลทุกอย่างทำได้รวดเร็วขึ้น แอปฯที่เคยทำงานล่าช้าในรุ่นก่อนหน้าสามารถเข้าใช้งานได้รวดเร็วขึ้นใน Apple Watch Series 3 รวมถึงระบบ GPS ทำงานได้รวดเร็วขึ้นและเซ็นเซอร์ตรวจวัดความสูงที่เพิ่มเข้ามา

นอกนั้นในส่วนการทำงานอื่นๆ Apple Watch Series 3 รุ่น GPS จะเหมือนกับ Watch Series 2 ทั้งหมด ใครมี Series 2 อยู่ที่ข้อมือไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนเป็น Series 3 แต่อย่างใด ยกเว้นเมื่อรุ่น GPS + Cellular เข้ามาทำตลาดแล้วคุณอยากได้ Apple Watch ที่สามารถโทรออกรับสายโดยไม่ต้องพึ่งพา iPhone ถึงวันนั้นก็คงต้องพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แต่โดยรวมในเรื่องฟีเจอร์และการใช้งานแทบแตกต่างจากรุ่นเดิมน้อยมาก ยกเว้นแค่ส่วนประสิทธิภาพความเร็วที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นรวมถึงระบบจัดการพลังงานได้ดีขึ้นจากความสามารถของชิป W2 และสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ไร้สายเช่น หูฟัง AirPods ได้โดยตรง

ในส่วนราคา Apple Watch Series 3 เริ่มต้นที่ 11,900 บาท (เข้ามาทำตลาดแทนที่ Series 2) ส่วนรุ่นประหยัด Series 1 ยังคงทำตลาดวางขายในราคาเริ่มต้น 8,900 บาท

ข้อดี

– สเปกซีพียูใหม่ เร็วขึ้น วัดความสูงได้ในตัว
– รองรับแผ่นรองชาร์จ AirPower ร่วมกับ iPhone X
– ระบบจัดการพลังงานทำได้ดีขึ้น แบตเตอรีใช้ได้นานขึ้นเล็กน้อย เหมาะแก่การใส่ตรวจจับการนอนหลับแล้ว
– เพิ่มรุ่น GPS + Cellular โทรศัพท์ได้โดยไม่ต้องพึ่ง iPhone
– รองรับการเชื่อมต่อกับหูฟังไร้สายผ่านบลูทูธได้โดยตรง

ข้อสังเกต

– ในรุ่น GPS ที่ทีมงานได้รับมาทดสอบถือว่าภาพรวมการใช้งานแตกต่างจาก Series 2 น้อยมาก ใครมี Series 2 อยู่ที่ข้อมือแล้วไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็น Series 3

Gallery

]]>
Review : Microsoft Surface Pro 2017 สเปกใหม่ ลงตัวมากขึ้น https://cyberbiz.mgronline.com/review-surface-pro2017/ Mon, 16 Oct 2017 07:18:05 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=27436

วันนี้ไมโครซอฟท์เปิดตัว New Surface Pro หรือแท็บเล็ตสายพันธุ์วินโดวส์รุ่นใหม่จากไมโครซอฟท์ (หลายคนเรียกว่าเป็น Surface Pro รุ่นที่ 5) ประจำปี 2017 ที่ทีมงานไซเบอร์บิซมองว่าเป็นรุ่นพัฒนาต่อยอด อัปสเปกเพิ่มจาก Surface Pro 4 โดยเฉพาะในส่วนอุปกรณ์เสริมอย่างปากกา Surface Pen ที่ถูกปรับปรุงใหม่ให้แม่นยำมากขึ้น รวมถึงตัวเครื่อง Surface เองที่ออกแบบมาได้ลงตัวพร้อมสเปกซีพียูเปลี่ยนไปใช้ตระกูล Kaby Lake (รุ่นที่ 7)

การออกแบบ

สำหรับการออกแบบ Surface Pro ยังคงเป็นวินโดวส์แท็บเล็ตที่สามารถใช้งานแบบโน้ตบุ๊กได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นเดิม โดยตัวเครื่องมาพร้อมหน้าจอแสดงผล PixelSense แบบสัมผัส 10 จุด ขนาด 12.3 นิ้ว ความละเอียด 2,736×1,824 พิกเซล ขนาดตัวเครื่องหนา 8.5 มิลลิเมตร พร้อมน้ำหนักประมาณ 770 กรัม

เหนือหน้าจอแสดงผลขึ้นไป ยังคงเป็นที่อยู่ของกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รองรับวิดีโอคอลล์ที่ความละเอียดสูงสุด FullHD 1080p พร้อมไมโครโฟนแบบคู่ในตัวรวมถึงมีเซ็นเซอร์ตรวจจับใบหน้าเพื่อใช้ปลดล็อกตัวเครื่องผ่านฟีเจอร์ Windows Hello ใน Windows 10 และเซ็นเซอร์ตรวจวัดแสง รวมถึงภายในยังมีไจโรสโคปด้วย

นอกจากนั้นบริเวณขอบจอทั้งสองด้าน ไมโครซอฟท์เลือกติดตั้งลำโพงสเตอริโอ (ใช้เทคโนโลยี Dolby Audio Premium) ไว้ด้วย

ด้านหลัง วัสดุเป็นอะลูมิเนียมมาพร้อมขาตั้ง Kickstand อันเป็นเอกลักษณ์เด่นของไมโครซอฟท์ Surface โดยในรุ่นปี 2017 ขาตั้งจะกางออกได้ถึง 165 องศา ส่วนการปรับเปลี่ยนขาตั้งสามารถทำได้ 3 โหมดหลักได้แก่ 1.แล็ปท็อป เมื่อเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ดจะใช้งานได้แบบโน้ตบุ๊ก 2.Studio ปรับ Kickstand ลงให้สุด 165 องศาสำหรับใช้งานวาดเขียน 3.แท็บเล็ต สามารถใช้งานเป็นแท็บเล็ตพกพาได้ปกติ

มาดูกล้องหลังจะมีความละเอียดอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซลพร้อมออโต้โฟกัสและรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด FullHD 1080p พร้อมไมโครโฟนรับเสียงสเตอริโอติดตั้งอยู่ด้วย

ส่วนช่องใส่การ์ด MicroSD (จะใช้เพื่อเพิ่มความจุตัวเครื่องหรือใช้อ่านการ์ด MicroSD ปกติก็ได้) จะถูกติดตั้งอยู่ใต้ Kickstand

มาถึงพอร์ตเชื่อมต่อและปุ่มกดรอบตัวเครื่อง เริ่มจากด้านซ้ายมือจะเป็นช่องหูฟัง/Headset 3.5 มิลลิเมตร ถัดไปจะเป็นส่วนแม่เหล็กที่สามารถดูดปากกา Surface Pen ให้ติดกับตัวเครื่องได้ (หรือจะเรียกว่าที่เก็บปากกาก็ไม่ผิด)

ขวา เริ่มจาก Surface Connect สำหรับใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมและอะแดปเตอร์ชาร์จไฟบ้านของ Surface พอร์ต USB 3.0 จำนวน 1 ช่องและ Mini Display Port (ไม่รองรับการเชื่อมต่อ USB-C)

ด้านล่าง ตรงกลางจะเป็นช่องเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ดเพื่อใช้งานในรูปแบบโน้ตบุ๊ก

ด้านบน เป็นปุ่มเพิ่มลดเสียงและปุ่มเปิดปิดเครื่อง

อุปกรณ์เสริม (จำหน่ายแยก)

มาดูอุปกรณ์เสริมของ Surface Pro 2017 กันบ้าง เริ่มจากคีย์บอร์ดจะเพิ่มรุ่น “Surface Pro Signature Type Cover” (ราคา 6,390 บาท) หุ้มด้วยผ้าวัสดุ Alcantara ตามภาพประกอบด้านบน

Surface Arc Mouse ใหม่ เมาส์ดีไซน์ล้ำจากไมโครซอฟท์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับ Surface Pro และสามารถนำไปใช้งานกับโน้ตบุ๊กทั่วไปหรือพีซีที่ติดตั้ง Windows 10/8.1/8 ผ่านการเชื่อมต่อบลูทูธ โดยส่วนแบตเตอรีอัลคาไลน์ขนาด AAA สองก้อน

Surface Pen รุ่นใหม่ปี 2017 (ต้องซื้อแยกต่างหากในราคา 3,900 บาท) จะถูกอัปเกรดเรื่องการรองรับแรงกดได้มากถึง 4,096 จุดพร้อมปรับปรุงเรื่องการตอบสนองให้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า หัวปากกาขนาด HB ส่วนการเชื่อมต่อทำผ่านบลูทูธ แบตเตอรีใช้ถ่าน AAAA 1 ก้อน รองรับ Surface Pro ตั้งแต่รุ่น 3 ขึ้นไป

สเปก

สำหรับ Surface Pro รุ่นใหม่นี้จะวางตลาดด้วยสเปกซีพียูใหม่ 3 รุ่นย่อยได้แก่ Intel Core m3, i5 และ i7 (เจนเนอเรชั่น 7 ทั้งหมด) โดยรุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบวันนี้จะเป็นตัวกลางขับเคลื่อนด้วยซีพียู Intel Core i5 7300U ความเร็ว 2.60GHz กราฟิกการ์ดเป็นออนบอร์ด Intel HD Graphics 620 (ท็อปสุดสำหรับรุ่นซีพียู i7 จะเป็นการ์ดจอ Intel Iris Plus 640) พร้อมแรม DDR3 (Dual Channel) 8GB หน่วยเก็บข้อมูลเป็น SSD ความจุ 256GB (เหลือให้ใช้จริงประมาณ 190-200GB) มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro ตัวเต็ม พร้อมแถม Office ให้ใช้งานฟรี 30 วันด้วย

ด้านการเชื่อมต่อจะรองรับ WiFi มาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac บลูทูธ 4.1 ไม่รองรับการใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์ และไม่มี GPS นำทางในตัว

ฟีเจอร์เด่นและทดสอบประสิทธิภาพ

Surface Pro 2017 จะติดตั้ง Windows 10 Pro มาให้ ทำให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งซอฟต์แวร์ที่รองรับ Windows ได้ปกติเช่น ชุดซอฟต์แวร์ Adobe, Office ได้แบบเดียวกับการใช้บนพีซีหรือโน้ตบุ๊กทั่วไป ส่วนซอฟต์แวร์พิเศษ เนื่องจาก Surface Pro เป็นของไมโครซอฟท์เพราะฉะนั้นการปรับตั้งค่าระบบต่างๆจะสามารถทำผ่านหน้า Settings ได้ทั้งหมด รวมถึงการกำหนดรูปแบบการใช้พลังงานเพื่อประหยัดแบตเตอรีก็สามารถทำผ่านส่วนไอคอนแบตเตอรีได้ทันที

ทดสอบประสิทธิภาพ : PCMark 10 = 2,894 คะแนน

ทดสอบประสิทธิภาพ : Geekbench 4 / Single Core = 4,071 คะแนน / Multi Core = 8,415 คะแนน

ทดสอบประสิทธิภาพ : Cinebench R15 / OpenGL = 43.02 เฟรมต่อวินาที / CPU = 343cb

มาดูด้านการทดสอบประสิทธิภาพ โดยรุ่นที่เราได้รับมาเป็น Core i5 7300U ประกบกราฟิก Intel HD Graphics 620 ซึ่งถือเป็นสเปกระดับกลาง ภาพรวมถือว่าสามารถตอบโจทย์การทำงานได้หลากหลายตั้งแต่ใช้พิมพ์งาน ตกแต่งภาพจากไฟล์ RAW ของกล้อง DSLR ไปถึงตัดวิดีโอ 1080p ทุกอย่างทำงานได้ลื่นไหล หน่วยเก็บข้อมูล SSD ทำงานได้รวดเร็วดี และสามารถเพิ่มความจุด้วย MicroSD เพื่อใช้สำหรับเก็บไฟล์งานได้ (แต่ไม่แนะนำให้ใช้เก็บโปรแกรมเพราะอ่านเขียนช้า)

ส่วนข้อสังเกตจะเป็นเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อที่มีให้เพียง USB 3.0 จำนวน 1 พอร์ตเท่านั้น (ถ้ามีอุปกรณ์ต่อพ่วงเยอะอาจต้องหาอุปกรณ์เสริมอย่าง Surface Dock มาใช้งาน) อีกทั้งตัวเครื่องยังไม่มี USB-C ที่เป็นมาตรฐานใหม่ของปีนี้ติดตั้งมาให้ด้วย

ด้านการใช้งานคีย์บอร์ดและปากกา เริ่มจากคีย์บอร์ด ทีมงานรู้สึกว่านอกจากพื้นผิว Alcantara ในคีย์บอร์ดเวอร์ชัน Signature Type Cover ที่สัมผัสแล้วรู้สึกกระชับมือ วางพิมพ์งานบนตักแล้วตัว Cover เกาะกับขาและกางเกงไม่ลื่นหล่นได้ดีมาก ส่วนแป้นพิมพ์ให้ความรู้สึกกดง่ายและแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะส่วนทัชแพดที่ตอบสนองได้ดีมาก

ด้านปากกา Surface Pen นอกจากดีไซน์ที่ปรับเหมือนดินสอมากขึ้นแล้ว เรื่องสเปกฮาร์ดแวร์ภายยังถูกปรับปรุงให้ตอบสนองได้ดีขึ้นแถมรับแรงกดได้ละเอียดขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า ประสิทธิภาพถือว่าเทียบเท่าคู่แข่งแล้ว แถมตัวปากกายังมีฟีเจอร์เด่นอย่างท้ายปากกาเป็นยางสามารถใช้แทนยางลบดิจิตอลหรือแม้แต่หัวปากกาก็สามารถเปลี่ยนรูปแบบได้ทั้งเป็นแบบดินสอ HB/B หรือหัวปากกาลูกลื่น

สุดท้ายในส่วนของแบตเตอรีโดยทดสอบใช้งานเป็นโน้ตบุ๊กส่วนตัวเน้นพิมพ์งาน ต่อ WiFi เข้าเว็บไซต์ แชทและเล่นเกมฆ่าเวลาบ้างสลับตลอดทั้งวัน พบว่าเรื่องของแบตเตอรีทำได้น่าพอใจกว่ารุ่นก่อน โดยทีมงานทดสอบสามารถทำเวลาใช้งานได้มากถึง 9-11 ชั่วโมงเลยทีเดียว และอีกหนึ่งข้อดีของ Surface Pro ที่ถูกปรับระบบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ Windows 10 มาให้เข้ากันมากขึ้นก็คือ เวลาเราเลิกใช้งานเครื่องเราสามารถกดปุ่มปิดเครื่องครั้งเดียวเพื่อสั่งให้หน้าจอดับแล้วเข้าโหมดสแตนบายได้ทันทีแบบเดียวกับแท็บเล็ตแอนดรอยด์หรือ iOS และสามารถปลุกเครื่องให้ตื่นได้ตลอดเวลาโดยไม่พบอาการเครื่องค้างให้เห็น อีกทั้งถ้าเรากดสแตนบายเครื่องเป็นเวลานานเกินไป ระบบจะพาตัวเองเข้าสู่ Hibernate อัตโนมัติ เวลาเปิดเครื่องใหม่ระบบบู๊ตค่อนข้างเร็วกว่ารุ่นที่แล้ว ทำให้การใช้งาน Surface Pro 2017 ไม่พบอาการสะดุดให้เห็นตลอดการทดสอบร่วม 2 อาทิตย์ (ทีมงานไม่เคยสั่งชัทดาวน์เครื่องเลย ส่วนใหญ่ใช้วิธีกดปุ่มปิด 1 ครั้งให้หน้าจอดับแล้วก็ใส่กระเป๋าทันที)

กล้องหน้า

กล้องหลัง

สุดท้ายในส่วนการทดสอบกล้องถ่ายภาพ เริ่มจากด้านหน้า คุณภาพถือว่าอยู่ในระดับพอใช้ไม่ค่อยคมชัดเมื่ออยู่ในที่แสงน้อย แต่เรื่องความลื่นไหลของภาพถือว่าทำได้ดี ส่วนกล้องหลังถือว่าคุณภาพกลางๆ ใช้แก้ขัดได้

สรุป

สำหรับราคา Surface Pro 2017 จะเริ่มต้นที่ 30,900 บาทไปจนถึงรุ่นท็อปสุด Intel Core i7/1TB SSD/16GB RAM/Iris Plus Graphics 640 อยู่ที่ราคา 101,900 บาท

Surface Pro 2017 ถือว่าเป็นแท็บเล็ตลูกผสมโน้ตบุ๊กสายพันธุ์ Windows 10 จากไมโครซอฟท์ที่เน้นการปรับปรุงด้านสเปกภายในที่มีให้เลือกหลากหลายระดับตั้งแต่ระดับเริ่มต้นไปถึงเน้นประสิทธิภาพสูง เน้นงานตัดต่อวิดีโอ 4K รวมถึงการปรับปรุงเรื่องฟีเจอร์ในแบบแท็บเล็ต เช่น การปิดเปิดเครื่องที่รวดเร็วกว่าโน้ตบุ๊กปกติและสามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวันแบบไร้รอยต่อ สิ่งเหล่านี้ไมโครซอฟท์ปรับปรุงมาได้ดีมากขึ้น ผู้อ่านที่กำลังมองหาโน้ตบุ๊ก-แท็บเล็ตวินโดวส์เน้นน้ำหนักเบา พกพาง่ายแบบแท็บเล็ตแต่ประสิทธิภาพสูงสามารถใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์รองรับ Windows ได้แบบเดียวกับพีซี Surface Pro 2017 เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ

ส่วนผู้ใช้ที่เป็นแฟน Surface Pro อยู่แล้ว ต้องเรียนตามตรงเลยว่ารุ่นปี 2017 ถูกปรับปรุงเน้นความลงตัวและพยายามเป็นแท็บเล็ตไฮบริดที่สมบูรณ์มากกว่าเก่า จุดที่แตกต่างจากรุ่นเดิมจริงๆจะอยู่ที่ตัว m3 กับ i5 ที่ไม่มีพัดลมระบายความร้อนแล้วทำให้เครื่องทำงานเงียบมาก รวมถึงแบตเตอรีที่อึดขึ้น มองแล้วมีความเป็นแท็บเล็ตสูงกว่ารุ่นก่อน นอกนั้นจะแตกต่างจากเดิมไม่มากนัก ใครกำลังสนใจต้องลองช่างใจดูเองครับ

ข้อดี

– ปรับแต่งได้ลงตัวไม่ว่าจะใช้ในโหมดไหนก็ตาม
– ได้ Windows 10 Pro มาจากโรงงาน
– รุ่น m3 และ i5 ทำงานเงียบเพราะใช้ระบบระบายความร้อนแบบใหม่ ไร้พัดลม
– แบตเตอรีอึดกว่ารุ่นเดิมเกือบเท่าตัว
– ปากกา Surface Pen ใหม่ เขียนได้แม่นยำ ลื่นไหลขึ้นมาก

ข้อสังเกต

– กล้องหน้าและหลังคุณภาพแค่พอใช้
– ช่องเชื่อมต่อ USB ให้มาน้อย ไม่มี USB-C

Gallery

]]>
Review : VIVO V7+ เน้นเซลฟี 24 ล้านพิกเซลพร้อมระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า https://cyberbiz.mgronline.com/review-vivo-v7plus/ Fri, 06 Oct 2017 09:26:13 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=27333

ช่วงนี้ตลาดสมาร์ทโฟนระดับกลางค่อนข้างคึกคัก เพราะนอกจากกระแสจอแบบไร้ขอบ (Full View) จะถูกนำมาใช้มากขึ้นแล้ว เรื่องของกล้องหน้าเน้นถ่ายเซลฟีคุณภาพสูง ยังถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ปัจจุบันกลายเป็นจุดขายหลักของสมาร์ทโฟนราคาไม่เกิน 1 หมื่นห้าพันบาทไปเช่นกัน

โดยในวันนี้ทีมงานไซเบอร์บิซได้รับอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนระดับกลาง VIVO V7+ ที่มีความโดดเด่นตั้งแต่หน้าจอแบบ Full View ไปถึงเรื่องกล้องหน้าความละเอียดสูงถึง 24 ล้านพิกเซลและมาพร้อมระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าไม่ต่างกับ iPhone X อีกด้วย

การออกแบบ

เริ่มจากด้านหน้า VIVO V7+ การออกแบบหน้าจอของวีโว่จะเป็นแบบ Full View ที่ใช้การขยายขอบจอทั้ง 4 ด้านให้ชิดกับขอบเครื่องมากยิ่งขึ้น ทำให้อัตราส่วนภาพเปลี่ยนจาก 16:9 เป็น 18:9 พร้อมขอบจอบางเพียง 2.15 มิลลิเมตร ทำให้ V7+ จะมีหน้าจอที่ใหญ่ถึง 5.99 นิ้ว ความละเอียดหน้าจอ 1,440×720 พิกเซล แต่ตัวเครื่องยังคงความเล็กในแบบสมาร์ทโฟนจอ 5 นิ้วปกติ

ในส่วนปุ่มคำสั่ง Navigation Buttons จะทำผ่านซอฟต์แวร์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นปุ่มโฮม ย้อนกลับและเรียก Recent Apps โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่งสลับตำแหน่งปุ่มคำสั่งได้ในเมนูตั้งค่า

ด้านขนาดตัวเครื่องจะมีความหนาเพียง 7.7 มิลลิเมตรและน้ำหนัก 160 กรัม เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอใหญ่แต่ตัวเครื่องทั้งน้ำหนักและขนาดกำลังพอดีมือ

มาดูกล้องหน้า VIVO V7+ จะมีความละเอียดสูงสุดที่ 24 ล้านพิกเซล รูรับแสง f2.0 พร้อมไฟ LED Selfie Softlight และตัวกล้องรองรับระบบสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกสมาร์ทโฟนด้วย

ด้านหลัง ใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียม โดยด้านบนจะเป็นที่อยู่ของกล้องถ่ายภาพหลัก 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง f2.0 พร้อมไฟแฟลช LED 1 ดวง ถัดลงมาเป็นส่วนเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือและโลโก้วีโว่

มาดูในส่วนพอร์ตเชื่อมต่อและปุ่มกดรอบตัวเครื่อง เริ่มจากด้านล่างเครื่อง จะเป็นที่อยู่ของช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ไมโครโฟน พอร์ต MicroUSB และลำโพง 1 ตัว

ด้านบน เป็นที่อยู่ของไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน

ด้านซ้าย เป็นช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์แบบ Nano Sim รองรับ 2 ซิมการ์ดและ 1 MicroSD Card (รองรับความจุสูงสุด 256GB)

ด้านขวา เป็นปุ่มเพิ่มลดเสียงและปุ่มเปิดปิดเครื่อง (สังเกตบริเวณกล้องถ่ายภาพด้านหลังจะยื่นออกจากตัวเครื่องเล็กน้อย ทำให้ต้องระวังเรื่องการวางเครื่องบนโต๊ะเพราะอาจทำให้เกิดรอยที่เลนส์ได้ แนะนำให้ใส่เคสจะดีที่สุด)

สุดท้ายมาแกะกล่อง VIVO V7+ เสียหน่อย จะพบว่าทางวีโว่ได้แถมเคสพลาสติกพร้อมติดฟิล์มกันรอยที่หน้าจอมาให้ในกล่องเลย

สเปก

VIVO V7+ ขับเคลื่อนด้วยซีพียู Qualcomm Snapdragon 625 Octa-core ความเร็ว 1.80GHz มาพร้อมแรม 4GB รอม 64GB (เหลือให้ใช้จริงประมาณ 50GB) ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 7.1 (และ Funtouch OS 3.2 จากวีโว่) พร้อมแบตเตอรี 3,225mAh

ด้านสเปกเชื่อมต่อเครือข่ายรองรับ 3G/4G ทุกเครือข่ายในบ้านเรา ส่วน WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 b/g/n/ac บลูทูธ 4.2 GPS รองรับทั้ง GLONASS/BeiDou พร้อมภาครับวิทยุ FM ภายในตัว และสุดท้ายภายในตัวเครื่องยังมาพร้อมชิปเสียง AK4376A HiFi รองรับการถอดรหัสไฟล์เสียงคุณภาพสูงอย่างเต็มรูปแบบ

ฟีเจอร์เด่น

ต้องบอกว่าข้อดีของ Funtouch OS 3.2 จากวีโว่จะอยู่ในเรื่องหน้าตาที่ดูเรียบและเข้าถึงง่ายไม่ซับซ้อน แถมการออกแบบไอคอนไปถึงการจัดวางเรียกใช้ออปชันปรับแต่งค่าต่างๆยังให้ความรู้สึกเดียวกับ iOS บนไอโฟนอย่างมาก เช่น เวลาจะเรียก Quick Setting ปกติของแอนดรอยด์จะต้องรูดนิ้วจากขอบจอด้านบนลงล่าง แต่ของวีโว่จะใช้วิธีรูดจากขอบจอด้านล่างขึ้นบนพร้อมอินเตอร์เฟสแบบเดียวกับ Control Center บน iOS อย่างใดอย่างนั้น

ในส่วนแอปฯพื้นฐานติดตั้งมาจากโรงงานทางวีโว่ให้มาพอประมาณ ส่วนใหญ่จะเป็นแอปฯจำพวกจดโน้ต WPS Office เวอร์ชันอ่านแก้ภาษาไทยได้ VIVO Cloud รวมถึงเฟสบุ๊ก เป็นต้น

มาดูฟีเจอร์เด่นกันบ้าง เริ่มจาก “ระบบสแกนและจดจำใบหน้าเพื่อใช้ปลดล็อกตัวเครื่อง” ที่ทาง VIVO เรียกว่า “Facial Recognition” และมีลักษณะการทำงานคล้ายกับ Face ID บน iPhone X เพียงแต่ของวีโว่จะไม่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับใบหน้าโดยเฉพาะ แต่ใช้กล้องหน้าในการตรวจจับใบหน้าเราหลายส่วน และการปลดล็อกจะใช้เวลารวดเร็วเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น (ทำงานเร็วกว่าระบบตรวจจับใบหน้าที่เคยมีในแอนดรอยด์ทุกรุ่นรวมถึง Iris Scan ของซัมซุง)

แต่ทั้งนี้ระบบ Facial Recognition ของวีโว่ก็มีข้อจำกัดอยู่โดยเฉพาะเมื่อใช้ในที่แสงน้อยมาก ระบบจะไม่สามารถตรวจจับใบหน้าได้ หรือถ้าเรามีฝาแฝดที่หน้าตา โครงหน้าและไว้ทรงผมเหมือนกับเราระบบอาจมองว่าเป็นคนคนเดียวกันและยอมปลดล็อกหน้าจอได้ ส่วนการใช้รูปถ่ายในการปลดล็อก ทีมงานทดสอบแล้วว่าไม่สามารถทำได้

มาถึงฟีเจอร์ต่อไปกับความสามารถในการทำ Multitask เปิด 2 แอปฯใน 1 หน้าจอที่กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของแอนดรอยด์ทุกรุ่นในปัจจุบัน แน่นอนว่า VIVO V7+ สามารถใช้งานฟีเจอร์นี้ได้ลื่นไหล เพียงแต่ต้องเป็นแอปฯที่รองรับเท่านั้นถึงจะเข้าสู่โหมดใช้งานดังกว่าได้

นอกจากนั้น VIVO V7+ ยังมาพร้อมฟีเจอร์ Dual Apps ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ที่มีบัญชีแอปฯโซเชียล เช่น Facebook, LINE สามารถเข้าใช้งาน 2 บัญชีพร้อมกันได้ในเครื่องเดียว

สุดท้ายกับฟีเจอร์เด็ดเอาใจสาวสวย หนุ่มหล่อกับ Beauty Mode ที่ออกแบบมาเพื่อกล้องหน้า V7+ โดยเฉพาะและสามารถเปิดใช้งานเมื่อเราวิดีโอคอลล์หาเพื่อนผ่านแอปฯ เช่น LINE ผู้ใช้สามารถปรับเอ็ฟเฟ็กต์แต่งความงามบนใบหน้าหรือจะเปิดไฟ Softlight ช่วยให้หน้าขาวใสก็สามารถทำได้ทันที

กล้องถ่ายภาพ

อย่างที่ทราบดีว่า V7+ จะเน้นกล้องหน้าเป็นหลัก ส่วนกล้องหลังจะให้คุณภาพไม่โดดเด่นนัก โดยในส่วนของซอฟต์แวร์ก็เรียกได้ว่า วีโว่จัดเต็มเอาใจขาเซลฟีอย่างมาก โดยเมื่อผู้ใช้เปิดกล้องหน้าจะสามารถเลือกโหมดเซลฟีได้หลากหลายตั้งแต่ เซลฟีมุมกว้าง (พาโนรามา) สำหรับถ่ายเซลฟีร่วมกับวิวทิวทัศน์หรือจะประยุกต์ใช้ถ่ายเซลฟีหมู่ก็ได้ ใบหน้าสวยหรือ Beauty Mode โหมดปรับความขาวใสของใบหน้า รวมถึงมี Portrait Mode ทำหน้าชัดหลังเบลอ (ผ่านซอฟต์แวร์) และสุดท้ายกล้องหน้าสามารถบันทึกวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080p

วิดีโอตัวอย่างจากกล้องหน้าที่ความละเอียด 1080p

ส่วนกล้องหลังจะมีโหมดให้เลือกใช้ตั้งแต่ UltraHD, โหมดมืออาชีพปรับแต่งค่ากล้องเองได้รวมถึง Time Lapse และมี HDR, Live Photo รวมถึงมีฟิลเตอร์สีให้เลือกใช้และสามารถใส่ลายน้ำให้รูปได้ด้วย

ตัวอย่างภาพจากกล้อง VIVO V7+

กล้องหลัง

กล้องหลัง

กล้องหลัง

กล้องหน้า โหมดภาพปกติ

กล้องหน้า Beauty Mode (ใบหน้าสวย)

กล้องหน้าถ่ายย้อนแสงพร้อมเปิด Beauty Mode (ใบหน้าสวย) + Portrait Mode หน้าชัดหลังเบลอ

ภาพรวมเรื่องกล้องถ่ายภาพจะเห็นว่า VIVO V7+ จะโดดเด่นในเรื่องกล้องหน้ามากกว่า ส่วนกล้องหลังคุณภาพถือว่ากลางๆไม่ดีและแย่เกินไป พอใช้ถ่ายภาพสนุกๆได้ ส่วนความรวดเร็วของชัตเตอร์ถือว่ากำลังดี กดปุ๊บภาพมาปั๊บ ไม่เชื่องช้าให้จังหวะการถ่ายภาพเสียเหมือนหลายแบรนด์ในระดับเดียวกัน

ทดสอบประสิทธิภาพ

AnTuTu Benchmark = 56,570 คะแนน

PCMark Work 2.0 = 4,934 คะแนน

3DMark
Sling Shot Extreme = 435 คะแนน
Sling Shot = 799 คะแนน
Ice Storm Extreme = 7,879 คะแนน
Ice Storm = 12,063 คะแนน

PassMark PerformanceTest
System = 4,561 คะแนน
CPU Tests = 113,173 คะแนน
Memory Tests = 6,108 คะแนน
Disk Tests = 60,656 คะแนน
2D Graphics Tests = 3,284 คะแนน
3D Graphics Tests = 1,049 คะแนน

AndroBench
Seq. Read = 300.64 MB/s
Seq. Write = 218.44 MB/s

สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพ VIVO V7+ คะแนนถือว่าใช้ได้ตามาตรฐานกลุ่มสมาร์ทโฟนระดับกลาง ส่วนการใช้งานจริงถือว่าเป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนที่ทำงานลื่นไหลและไม่พบอาการแอปฯเด้งเพราะแรมหมดให้เห็น การทำงาน ลูกเล่นและการใช้งานทำได้ค่อนข้างประทับใจ สเปกและซอฟต์แวร์วีโว่ใส่มาให้พอดีเหมาะสมกับราคา โดยเฉพาะรอม 64GB ถือว่าเพียงพอในปัจจุบันแล้ว

ส่วนแบตเตอรีเป็นอะไรที่ว้าวมาก เพราะจากสเปกแล้วไม่น่าจะอึดทนถึงเพียงนี้ แต่ VIVO V7+ สามารถทดสอบใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานถึง 14-15 ชั่วโมงแบบเปิดหน้าจอทิ้งไว้ตลอดการทดสอบ (แบตฯเหลือ 20%) ส่วนเมื่อใช้งานปกติในชีวิตประจำวัน ถ้าไม่ใช่คนชอบถ่ายรูปหรือแชทตลอดทั้งวัน แบตฯของวีโว่สามารถใช้ได้เต็มวันเกือบ 24 ชั่วโมงแน่นอน

สรุป

สำหรับราคา VIVO V7+ อยู่ที่ 11,990 บาท มีให้เลือก 2 สีได้แก่ ดำด้านและทอง เทียบกับสเปก ประสิทธิภาพและลูกเล่นต่างๆก็ถือเป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนระดับกลางที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนเน้นกล้องหน้าเพื่อนำมาถ่ายวิดีโอไลฟ์ รีวิวสินค้าหรือเน้นเซลฟีเป็นหลัก V7+ น่าตอบโจทย์ได้ดี จะมีข้อสังเกตอยู่อย่างเดียวก็เรื่องกล้องหลังที่ให้คุณภาพระดับเริ่มต้นเกินไป แน่นอนว่าแพ้พี่ใหญ่ในกลุ่มที่เคยทำคะแนนทดสอบไว้ยอดเยี่ยมอย่าง OPPO R9s พอสมควร แต่เรื่องกล้องหน้าตามความรู้สึกของทีมงาน R9s สู้ V7+ ไม่ได้ ส่วนหลายคนที่สงสัยว่าสู้ ASUS Zenfone 4 Selfie รุ่นราคา 8,990 บาทได้หรือไม่ ต้องเรียนตามตรงว่า VIVO V7+ ดีกว่ามากครับ เพราะ Zenfone 4 Selfie จะจับกลุ่มระดับเริ่มต้นกว่า V7+ (ถ้าจะเทียบชนกันให้ถูกต้องเป็นรุ่น Zenfone 4 Selfie Pro)

ข้อดี

– กล้องหน้า 24 ล้านพิกเซล เป็นสมาร์ทโฟนที่เกิดมาเพื่อเน้นเซลฟีโดยเฉพาะ
– แบตเตอรีอึด
– งานประกอบค่อนข้างดี
– ระบบสแกนใบหน้าและปลดล็อกเครื่องทำงานรวดเร็ว
– ลำโพงถึงแม้จะเป็นโมโนแต่เสียงดีมาก
– รอม 64GB
– ในแพกเกจมีฟิล์มกันรอยหน้าจอและเคสแถมมาให้ด้วย

ข้อสังเกต

– กล้องหลังคุณภาพยังไม่น่าประทับใจ
– ระบบสแกนใบหน้าและปลดล็อกเครื่องเหมือนเป็นลูกเล่นเสริมมากว่าจะใช้งานจริงจังเนื่องจากเรื่องความปลอดภัยที่ไม่ดีเท่าสแกนลายนิ้วมือและรหัสผ่าน

Gallery

]]>
Review : QNAP TVS-682T NAS และ WD Red คู่หูงานวิดีโอระดับ 4K https://cyberbiz.mgronline.com/review-qnap-tvs682t/ Fri, 06 Oct 2017 02:54:08 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=27247

QNAP TVS-682T ถือเป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลบนเครือข่ายหรือ NAS (Network Attached Storage) รุ่นใหม่จากทาง QNAP ที่ในครั้งนี้ถูกออกแบบมาจับกลุ่ม Production House เน้นผลิตงานวิดีโอหรือภาพยนตร์ระดับมืออาชีพที่ต้องการอุปกรณ์ในการจัดเก็บข้อมูลที่มีความเร็วและประสิทธิภาพสูงกว่า NAS ปกติ

ในขณะที่ WD Red 10TB ถือเป็นฮาร์ดดิสก์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับ NAS ที่เน้นการทำงานแบบ 24 ชั่วโมง 7 วันรุ่นใหม่ที่มาพร้อมความจุถึง 10TB กับประสิทธิภาพที่ออกแบบมาให้ทำงานเน้นความรวดเร็วเหมาะสมกับ QNAP TVS-682T อย่างมาก โดยในวันนี้ทีมงานไซเบอร์บิซจะพาทุกท่านไปสัมผัสคู่หูสุดแรงทั้ง QNAP TVS-682T และ WD Red กัน

การออกแบบ สเปกและฟีเจอร์เด่น

QNAP TVS-682T ถูกออกแบบมาเป็น Multimedia NAS รองรับฮาร์ดดิสก์ 3.5 มิลลิเมตร 4 ตัว และ SSD สำหรับทำแคชอีก 2 ตัว รวมเป็น 6 ตัว (อินเตอร์เฟสเชื่อมต่อ SATA 6Gbps)

โดยระบบภายในจะขับเคลื่อนด้วยซีพียู Intel Core i3 6100 ความเร็ว 3.7GHz พร้อมแรม DDR4 8GB (สามารถอัปเกรดได้สูงสุด 64GB) ระบบปฏิบัติการเป็น QTS 4.2 (พื้นฐานจากลีนุกซ์)

ด้านขนาดตัวจะมีความสูง 231.9 มิลลิเมตร กว้าง 224.9 มิลลิเมตร หนา 319.8 มิลลิเมตร น้ำหนัก 7.7 กิโลกรัม ส่วนถ้าใส่ฮาร์ดดิสก์เต็ม 6 ลูกน้ำหนักจะอยู่ที่ประมาณ 9-11 กิโลกรัม

ด้านหน้า ส่วนบนจะเป็นช่องใส่ SSD จำนวน 2 ช่อง สำหรับใช้ทำ SSD Caching เวลาตัดต่อวิดีโอจะทำให้การรับส่งข้อมูลรวดเร็วไม่สะดุด โดยเฉพาะไฟล์วิดีโอคุณภาพสูง 4K-8K สามารถใช้งานผ่าน TVS-682T ได้ลื่นไหลเมื่อมี SSD Caching ส่วนด้านล่างเป็นที่อยู่ของช่องใส่ฮาร์ดดิสก์หลักสำหรับใช้เก็บข้อมูล ทั้งหมด 4 ช่อง พร้อมไฟแสดงสถานะการทำงาน

ด้านขวาจะเป็นปุ่มเปิด-ปิดเครื่องและพอร์ต USB 3.0 สำหรับเชื่อมต่อ External HDD ภายนอกเพิ่มเติมได้ (หลักการทำงานเหมือนคอมพิวเตอร์ทุกประการ)

พลิกมาดูด้านหลัง เริ่มจากหัวใจหลักของ NAS ตัวนี้ก็คือ ซ้ายมือคือช่องเชื่อมต่อ LAN แบบความเร็วสูง 10 Gigabit Base-T จำนวน 2 ช่อง และขวามือพอร์ต Thunderbolt 2 (20 Gigabit) อีก 2 ช่อง โดยในส่วนพอร์ต Thunderbolt 2 สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมของ QNAP อย่าง “Thunderbolt 2 storage expansion enclosures TX-800P/ TX-500P” ที่จะเพิ่มการรองรับฮาร์ดดิสก์มากสุด 52 ลูก รวมถึงเชื่อมต่อกับ Mac และ Windows ผ่านพอร์ต Thunderbolt 2 เพื่อใช้ตัดต่อวิดีโอความละเอียดสูงแบบ on-the-fly video editing ได้ด้วย

ลองรับชมตัวอย่างการใช้ QNAP Thunderbolt NAS กีบทีมตัดต่อวิดีโอมืออาชีพจาก Hey Guy Media แล้วคุณจะมองเห็นรูปแบบการทำงานของ TVS-682T ได้ชัดเจนมากขึ้น

มาดูพอร์ตเชื่อมต่ออื่นๆ เริ่มจากซ้ายมือจะเป็นช่องเชื่อมต่อไมโครโฟนขนาด 6.3 มิลลิเมตรและ 3.5 มิลลิเมตร ถัดมาทางขวาจะเป็นช่อง USB 3.0 จำนวน 4 ช่อง พอร์ตแลน Gigabit (ใช้เชื่อมต่อเป็น NAS เก็บข้อมูลปกติได้) อีก 4 ช่องและ HDMI 3 ช่อง รองรับการต่อภาพออก 3 จอพร้อมกันได้ เพราะภายในตัวเครื่องมีระบบปฏิบัติการ HD Station สามารถใช้งานเปิดไฟล์มัลติมีเดียต่างๆ (เล่นไฟล์ภาพ วิดีโอ เพลงที่เก็บไว้ใน HDD ได้) รวมถึงมี Google Chrome ด้วย

นอกจากนั้นทาง QNAP ยังได้ให้รีโมทสำหรับควบคุมการทำงานของระบบ HD Station และตัวเครื่องมีลำโพงภายใน เวลาเราสั่งรีบู๊ตระบบ ปิดเปิดเครื่องจะมีเสียงพูดบอกให้เราทราบ รวมถึงเวลาตัว NAS มีปัญหาจะมีเสียงเตือนแจ้งให้ทราบด้วย

มาถึงจุดเด่นสุดท้ายของ QNAP TVS-682T ก็คือทางผู้ผลิตอนุญาตให้เราสามารถเปิดฝาเครื่องเพื่ออัปเกรดอุปกรณ์ภายในบางส่วนได้ โดยผู้ใช้ต้องทำการถอดพัดลมระบายความร้อนออกก่อน ก็จะพบกับช่องใส่แรม DDR4 จำนวน 4 ช่องและสล็อต M.2 (ส่วนเก็บข้อมูลเหมือน SSD) รองรับขนาด 2242/2260/2280/22110 โดยทั้งสองส่วนนี้ผู้ใช้สามารถอัปเกรดได้ตามต้องการ (สำหรับการติดตั้ง M.2 ทาง QNAP แนะนำให้นำฮีทซิงค์มาติดบนชิปเพื่อช่วยเรื่องระบายความร้อนด้วย)

ซอฟต์แวร์และการใช้งาน

เพราะ QNAP TVS-682T ออกแบบมาเพื่อเป็น Multimedia NAS เมื่อเราเชื่อมต่อสาย HDMI เข้ากับจอภาพ จะสามารถเข้าใช้งานในส่วน HD Station ได้ทันที โดยภายในแอปฯดังกล่าวสามารถเปิดเล่นไฟล์มีเดียทุกรูปแบบ รวมถึงสามารถเลือกติดตั้งแอปฯ เช่น Google Chrome, Firefox, Skype, Plex Home Theater เป็นต้น

มาถึงหัวใจสำคัญอย่าง QTS (ปัจจุบันเวอร์ชัน 4.3.3) หรือระบบปฏิบัติการและส่วนควบคุมหลักของ QNAP TVS-682T ที่ได้รับการออกแบบมาให้เข้าใจง่าย เหมือนเราใช้ Windows โดยจุดเด่นของ QTS นอกจากใช้จัดการระบบ NAS และตรวจเช็คการทำงานได้แล้ว QTS ยังมาพร้อม AppCenter ให้เราสามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้ตามต้องการ

ในส่วนการเข้าใช้งาน QTS สามารถทำผ่าน HD Station, Mac, Windows ไปถึงสมาร์ทดีไวซ์ได้ โดยเข้าผ่าน IP ของตัวเครื่องหรือจะผ่านซอฟต์แวร์ QFinder ก็ได้ นอกจากนั้น QNAP TVS-682T ยังสามารถจัดการไฟล์ที่อยู่บน NAS ผ่านสมาร์ทดีไวซ์และระบบ QNAP Cloud ก็สามารถทำได้แบบเต็มระบบ

ด้านสเปกของ WD Red 10TB จะมีรอบหมุน 5,400 รอบต่อนาที เชื่อมต่อผ่านพอร์ต SATA 6GB/s พร้อมแคชระดับ 256MB และตัวฮาร์ดดิสก์ออกแบบมารองรับการทำงานแบบ 24/7 (ทำงานได้แบบทั้งวันทั้งคืน)

ทดสอบและสรุป

วันนี้เราจะทดสอบ QNAP TVS-682T ร่วมกับฮาร์ดดิสก์ WD Red 10TB จำนวน 2 ลูกและ SSD WD Blue 1TB สำหรับทำแคชไฟล์

มาถึงส่วนการทดสอบทีมงานได้มีโอกาสทดสอบร่วมกับ Mac ผ่านการเชื่อมต่อ Thunderbolt 2 เรียกได้ว่า TVS-682T ทำงานได้รวดเร็วมาก โดยทีมงานได้ทดสอบตัดต่อไฟล์วิดีโอ 4K จาก iPhone 7 Plus จำนวน 20 ไฟล์และวิดีโอ 6K ความละเอียดพิเศษ รวมถึงทดลองเก็บ RAW File จากกล้อง Nikon D810 และจัดการตกแต่งภาพผ่าน Lightroom โดยทุกไฟล์ที่กล่าวมาเรียกใช้และทำงานบน NAS ผ่าน Thunderbolt 2 ทั้งหมด

ในส่วนประสิทธิภาพถือว่าดีมาก SSD จาก WD สร้างแคชไฟล์และเรียกใช้งานได้รวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อทดลองโอเวอร์โหลดงาน เช่น เปิดวิดีโอ 6K ในขณะที่กำลังคัดลอกไฟล์ RAW และตัดต่อวิดีโอ 4K พร้อมกันทั้งหมด ซีพียูของ NAS ทำงานเต็ม 100% แต่ก็ไม่พบอาการสะดุดให้เห็น ส่วน WD Red 10TB ก็ถือเป็นฮาร์ดดิสก์ที่ออกแบบมาทำงานแบบ 24/7 โดยแท้จริง เพราะทีมงานได้ทดลองใช้งานเปิดต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 1 อาทิตย์ ด้วยรูปแบบเน้นการตัดต่อวิดีโอและจัดการไฟล์ภาพเป็นหลัก WD Red ทำงานได้ค่อนข้างดี ไม่มีปัญหาให้พบเห็น

นอกจากนั้นทีมงานยังได้มีโอกาสนำ WD Red 10TB ไปทดลองใช้งานร่วมกับระบบ Cloud Storage กับอุปกรณ์อย่าง WD My Cloud Mirror ใช้งานตลอดทั้งอาทิตย์พบว่าฮาร์ดดิสก์ยังทำงานได้ดีไม่พบปัญหาแม้จะใช้งานเก็บข้อมูลหนักหน่วงแค่ไหนก็ตาม

สำหรับราคา QNAP TVS-682T อยู่ที่ประมาณ 7 หมื่นกว่าบา ส่วน WD Red 10TB จำหน่ายในราคา 17,900 บาท (รุ่น : WD100EFAX) ถือเป็นคู่หูที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานด้านตัดต่อวิดีโอระดับมืออาชีพหรือใช้งานกับพวก Production House ทั้งขนาดเล็กและขนาดกลางที่จำเป็นต้องพึ่งพาการส่งข้อมูลความเร็วสูง ทั้ง QNAP TVS-682T และ WD Red 10TB รองรับการใช้งานได้ดีทั้งคู่

ข้อดี

– มีพอร์ตเชื่อมต่อความเร็วสูงทั้ง 10 Gigabit LAN และ Thunderbolt 2
– QTS หน้าตาสวยงาม ใช้งานง่าย
– SSD Caching ช่วยให้การส่งข้อมูลแบบสตรีมมิ่งทำได้รวดเร็ว ไร้อาการสะดุด
– ทำงานเงียบและไม่ร้อน
– WD Red ออกแบบเพื่อ NAS ที่มีความอึด สามารถใช้เก็บข้อมูล 24 ชั่วโมง 7 วันได้

ข้อสังเกต

– ราคาสูง

Gallery

]]>
Review : HUAWEI MediaPad T3 10 ใส่ซิมได้ จอใหญ่ ในราคาไม่ถึงหมื่น https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-t310/ Wed, 20 Sep 2017 04:47:46 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=27212

MediaPad T3 10 ถือเป็นอีกหนึ่งแท็บเล็ตจากหัวเว่ยที่มีราคาไม่แพง พร้อมเน้นความคุ้มค่าเท่าที่แท็บเล็ตจะให้ได้ทั้งหน้าจอขนาดใหญ่ 9.6 นิ้ว ใส่ซิมใช้งาน 4G โทรออก รับสาย รับข้อความได้ ไปถึงรองรับการเพิ่มการ์ดความจำ MicroSD ได้ตามต้องการ ทั้งหมดนี้  HUAWEI MediaPad T3 10 จัดให้ในราคาไม่ถึงหมื่นบาท

การออกแบบ

HUAWEI MediaPad T3 10 ใช้หน้าจอ IPS ขนาด 9.6 นิ้วความละเอียด HD 1,280×800 พิกเซล ความสว่างหน้าจออยู่ที่ 300 นิต ความหนาตัวเครื่องอยู่ที่ 7.95 มิลลิเมตร มาพร้อมกล้องหน้า 2 ล้านพิกเซล

ด้านหลังใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียม พร้อมกล้องหลังความละเอียด 5 ล้านพิกเซลแบบออโต้โฟกัส

ในส่วนปุ่มกดและช่องเชื่อมต่อรอบตัวเครื่อง เริ่มจากด้านล่างจะเป็นที่อยู่ของลำโพง 1 ตัวให้เสียงแบบโมโน

ด้านซ้ายเป็นช่องเชื่อมต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์แบบ Nano Sim (รองรับซิมเดียว) พร้อมช่องใส่ MicroSD Card ถัดมาเป็นช่อง MicroUSB สำหรับเชื่อมต่อสายชาร์จไฟหรือเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์

ด้านขวา เป็นปุ่มเพิ่มลดระดับเสียงและปุ่มเปิดปิดเครื่อง

ในส่วนอุปกรณ์เสริมนอกจากอะแดปเตอร์ชาร์จไฟแล้ว ทางหัวเว่ยยังให้ฟิล์มกันรอยและเคสแถมมากับ MediaPad T3 10 (แต่เมื่อใส่เคสแล้วจะไม่สามารถถ่ายรูปและเสียบหูฟังได้)

สเปก

MediaPad T3 10 ขับเคลื่อนด้วยซีพียู Qualcomm Snapdragon 425 Quad Core 1.4 GHz พร้อมแรม 2GB (เหลือให้ใช้งานจริงประมาณ 900MB-1GB) รอมให้มา 16GB (เหลือใช้งานจริงประมาณ 7-8GB) ขับเคลื่อนด้วย Android 7.0 Nougat ครอบทับด้วย EMUI 5 แบตเตอรี 4,800 mAh

ด้านการเชื่อมต่อเครือข่าย รองรับ 4G ในบ้านเรา สามารถใช้งานส่วนโทรศัพท์ รับข้อความได้ แต่ต้องเปิดลำโพงเครื่องเพื่อฟังเสียงหรือถ้าอยากได้ความเป็นส่วนตัวก็ต้องพึ่งพา Smalltalk

ส่วน WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n แบบ Dual Band บลูทูธรองรับเวอร์ชัน 4.1 มี GPS/AGPS/GLONASS และ BDS จับสัญญาณไวพอสมควร สามารถใช้นำทางได้

ฟีเจอร์เด่น

หน้าตาของยูสเซอร์อินเตอร์เฟส MediaPad T3 10 จะเหมือนกับสมาร์ทโฟนหัวเว่ยรุ่นใหม่ๆ แอปฯเสริมมีมาให้กำลังพอดี เช่น Microsoft Office ส่วนแอปฯโทรศัพท์ รับข้อความจะถูกซ่อนอยู่ในโฟลเดอร์เครื่องมือ

นอกจากนั้นหัวเว่ยยังได้ติดตั้งแอปฯสำหรับให้เด็กใช้งานไว้ด้วย โดยผู้ปกครองสามารถควบคุมและกรองการใช้งานแอปฯในตัวเครื่องให้เหมาะสำหรับลูกของคุณได้

ส่วนฟีเจอร์อย่าง Multitasking เปิด 2 แอปฯในหน้าจอเดียวก็มีให้เลือกใช้ใน MediaPad T3 10 เช่นกัน (แต่ทดลองเปิดบางแอปฯการใช้งานจะค่อนข้างหน่วง เนื่องมาจากแรมในตัวเครื่องมีเพียง 2 GB เท่านั้น)

สุดท้ายในส่วนกล้องถ่ายภาพ นอกจากโหมดอัตโนมัติปกติแล้วยังมี HDR และสามารถสแกนเอกสารได้

โดยในส่วนคุณภาพของกล้องหน้าและหลังถือว่าอยู่ในเกณฑ์พอใช้แก้ขัดได้ ส่วนกล้องหน้ามี Beauty Mode ทำหน้าใสมาให้ด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพ

PC Mark Work 2.0 = 3,568 คะแนน
AnTuTu Benchmark = 38,004 คะแนน

3D Mark
Sling Shot = 55 คะแนน
Ice Storm Extreme = 3,695 คะแนน
Ice Storm = 7,267 คะแนน

AndroBench
Seq. Read = 157.84MB/s
Seq. Write = 62.79MB/s

PassMark PerformanceTest
System = 2,343 คะแนน
CPU Tests = 54,826 คะแนน
Memory Tests = 5,961 คะแนน
Disk Tests = 2,663 คะแนน
2D Graphics Tests = 2,911 คะแนน
3D Graphics Tests = 523 คะแนน

ด้วยซีพียูที่จับกลุ่มระดับเริ่มต้นและแรมที่ให้มาเพียง 2GB แต่เหลือใช้จริงระดับ 900MB-1GB เท่านั้น แน่นอนว่าการใช้งานจริงทีมงานต้องเรียนตามตรงว่า “ตัวเครื่องทำงานได้หน่วงพอตัว แถมถ้าเปิดแอปฯเป็นจำนวนมาก อาจพบเจออาการแอปฯปิดตัวเองได้ด้วย” ความจริงหัวเว่ยน่าจะให้แรมมาอย่างน้อย 4GB น่าจะทำให้การทำงานดีขึ้นกว่านี้

ด้านรอมที่ให้มา 16GB พร้อมรองรับการใส่การ์ดความจำ MicroSD เพิ่มได้ เอาเข้าจริงแล้วถ้าเป็นคนไม่ได้ใช้งานแท็บเล็ตหนักหน่วงมากก็อาจจะเพียงพอในวันนี้ แต่วันข้างหน้าเมื่อแอปฯมีขนาดใหญ่ขึ้นก็อาจสร้างความวุ่นวายให้ผู้ใช้ต้องมาคอยตามลบหรือย้ายไฟล์ไปฝากไว้ที่ MicroSD Card (ความจริงความจุรอมในตัวเครื่องที่เหมาะสมกับปัจจุบัน ควรเริ่มต้นที่ 32GB เป็นอย่างต่ำ)

ส่วนการใช้เล่นเกมถามว่าทำได้หรือไม่ ทีมงานได้ทดสอบกับเกมหลากหลายรูปแบบก็ถือว่าพอใช้ได้ อย่าง ROV ปรับได้สูงสุดลื่นไหลกำลังดีแต่เกมบางเกมก็แนะนำให้ปรับไปที่ระดับกลาง-ต่ำสุดจะทำให้การเล่นลื่นไหลขึ้น

ด้านการทดสอบแบตเตอรีด้วย PC Mark เปิดหน้าจอทิ้งไว้ตลอดการทดสอบ ทำเวลาได้ 7 ชั่วโมง 5 นาทีเทียบกับแบตเตอรี 4,800 mAh และหน้าจอความละเอียดเพียง HD ถือว่ายังทำเวลาไม่ค่อยน่าประทับใจ

สรุป

สำหรับราคาขาย HUAWEI MediaPad T3 10 อยู่ที่ 8,900 บาท ถ้ามองถึงฟีเจอร์ ลูกเล่นที่ให้มาก็ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคาพอสมควร แต่ถ้ามองเรื่องคุณภาพและประสิทธิภาพ MediaPad T3 10 ยังทำได้ไม่น่าประทับใจนัก โดยเฉพาะแรมและรอมในตัวเครื่องที่ให้มาน้อยไปเสียหน่อย และไม่น่าเพียงพอต่อการใช้งานในอนาคต

แต่ถ้ามองในแง่ซื้อเป็นแท็บเล็ตเสริม เช่น ไว้ใช้งาน GPS หรือใช้เปิดเพลงผ่านแอปฯสตรีมมิ่งต่างๆในรถยนต์ หรือหาซื้อเป็นแท็บเล็ตเพื่อการศึกษาสำหรับลูกหลาน HUAWEI MediaPad T3 10 ก็ถือว่าตอบโจทย์ได้ดี เพราะตัวเครื่องมีขนาดใหญ่แถมใส่ซิมรับ 4G ได้ด้วย

ข้อดี

– ฟีเจอร์ครบครันทั้งใส่ซิม รับ 4G ถ่ายภาพ โทรออก รับสายและรับข้อความได้
– แถมเคสและฟิล์มกันรอยมาให้ในแพกเกจ
– มีกล้องหน้าหลัง คุณภาพพอใช้
– มี GPS นำทางได้

ข้อสังเกต

– รอม 16GB แรม 2GB ไม่เพียงพอใช้งานในอนาคต
– หน้าจอ HD ภาพไม่คมชัด
– มีอาการหน่วงให้เห็นเวลาเปิดแอปฯเป็นจำนวนมาก

Gallery

]]>
Review : ASUS Zenfone 4 Selfie เซลฟีกล้องคู่ในราคาไม่ถึงหมื่น https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-zenfone4selfie/ Sat, 16 Sep 2017 03:24:44 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=27168

เดินทางมาถึงรุ่นที่ 4 กับ ASUS Zenfone สมาร์ทโฟนกระแสแรง ที่ล่าสุดเลือกดึงดาราสุดร้อนแรงอย่าง กง ยู มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์อย่างเป็นทางการ ไปถึงการเปิดรุ่นย่อยของ Zenfone 4 ถึง 6 รุ่นตามแบบฉบับเอซุส ไล่ตั้งแต่รุ่นบนไฮเอนด์สุด อย่าง ASUS Zenfone 4 Pro ลงไปถึงตลาดราคาประหยัดแต่เน้นความอึดของแบตเตอรีอย่าง Zenfone 4 Max โดยรุ่นที่ทีมงานไซเบอร์บิซได้รับมารีวิวในวันนี้จะเป็นรุ่นระดับกลาง เน้นเซลฟีในชื่อ “ASUS Zenfone 4 Selfie” ที่มีความโดดเด่นในเรื่องกล้องหน้าแบบคู่ 2 ระยะเลนส์ เอาใจขาเซลฟีเป็นพิเศษ

การออกแบบ

สำหรับ Zenfone 4 Selfie จะเปิดตัวมาถึง 2 รุ่นย่อยคือรุ่น Pro และรุ่นเริ่มต้น (เป็นรุ่นที่เราจะรีวิวในวันนี้) เน้นราคาประหยัด โดยตัวเครื่องที่ทีมงานได้รับมาเป็นโมเดล ZD553KL มาพร้อมหน้าจอ 2.5D IPS ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด HD 720p (Zenfone 4 Selfie Pro จะเป็นหน้าจอ AMOLED Full HD)

ในส่วนขนาดตัวเครื่องจะมีความหนา 7.85 มิลลิเมตร หนัก 144 กรัม ซึ่งถือเป็นสมาร์ทโฟนอีกหนึ่งรุ่นที่มีน้ำหนักเบา

ใต้จอภาพจะเป็นที่อยู่ของปุ่มโฮมและเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (เป็นแบบสัมผัสไม่ใช่ปุ่มกดจริง) ขนาบข้างด้วยปุ่มย้อนกลับและปุ่มเรียก Recent Apps แบบดั้งเดิมของเอซุส โดยในรุ่นนี้ไม่มีไฟส่องสว่างติดตั้งใต้ปุ่มดังกล่าว

มาดูกล้องหน้าซึ่งถือเป็นจุดขายหลักของ Zenfone 4 Selfie โดยในรุ่นนี้เอซุสใส่กล้องหน้ามาถึง 2 ตัว 2 ระยะเลนส์ (Dual Camera) โดยกล้องหลักมาพร้อมระยะ 31 มิลลิเมตร รูรับแสง f2.0 ความละเอียดภาพสูงสุด 20 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหน้าตัวที่สองมาพร้อมระยะ 12 มิลลิเมตร เป็นเลนส์มุมกว้างพิเศษ 120 องศา (6 ชิ้นเลนส์) มาพร้อมความละเอียดภาพ 8 ล้านพิกเซล โดยกล้องทั้งสองตัวสามารถทำหน้าชัดหลังเบลอได้ และนอกจากนั้นทางเอซุสยังใส่ Softlight LED flash ที่เมื่อใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์ภายในจะช่วยเพิ่มความใสของใบหน้าได้ดีมาก

ด้านหลัง วัสดุจะเป็นอะลูมิเนียมแบบไร้รอยต่อ ในส่วนกล้องหลังมีระยะ 26 มิลลิเมตร ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล มาพร้อมไฟแฟลช LED และระบบออโต้โฟกัสในกล้องใช้เทคโนโลยี Phase detection

มาดูรอบข้างตัวเครื่องกันบ้าง เริ่มจากด้านซ้ายสุดจะเป็นที่อยู่ของช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์ (Nano Sim) ที่มีความพิเศษตรงช่องใส่ซิมที่ 2 ไม่ต้องแชร์กับช่องใส่การ์ด MicroSD เหมือนหลายๆแบรนด์ สะดวกสบายสำหรับคนที่ใช้ 2 ซิมแล้วต้องการใส่การ์ดความจำเพิ่มด้วย

ด้านขวา – เป็นที่อยู่ที่ของปุ่มเพิ่มลดระดับเสียงและปุ่มเปิดปิดเครื่อง

ด้านบน – เป็นช่องเชื่อมต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรและไมโครโฟน

ด้านล่าง – ซ้ายมือสุดเป็นส่วนของไมโครโฟน (รองรับระบบตัดเสียงรบกวน ASUS Noise Reduction Technology) ตรงกลางช่อง MicroUSB ขวามือเป็นช่องลำโพง (โมโน)

สเปก

ASUS Zenfone 4 Selfie รุ่นเริ่มต้นจะขับเคลื่อนด้วยซีพียู Qualcomm Snapdragon 430 Octa-core ความเร็ว 1.4GHz กราฟิก Adreno 505 พร้อมแรม 4GB รอม 64GB เหลือให้ใช้งานจริงประมาณ 49-50GB ระบบปฏิบัติการเป็น Android 7.1.1 ครอบทับด้วย ASUS ZenUI 4.0 และแบตเตอรีความจุ 3,000 mAh

ด้านสเปกการเชื่อมต่อเครือข่าย รองรับ 3G/4G ในบ้านเราทั้งหมด โดย 4G (รองรับ VoLTE) จะรองรับความเร็วระดับ Cat4 ดาวน์โหลด 150Mbps 3G รองรับความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 42 Mbps ส่วน WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 b/g/n บลทูธ 4.0, มี GPS/A-GPS/GLONASS/BDSS และภาครับสัญญาณ FM

ฟีเจอร์เด่น

ภาพรวมของ ZenUI 4.0 มีการอัปเกรดหน้าตาในดูเรียบร้อยและเบาขึ้น แอปฯจากโรงงานที่เกินความจำเป็นถูกตัดออกเหลือเพียงแอปฯที่จำเป็นต่อการใช้งานเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็น ZenUI ที่เบาสบาย ใช้งานลื่นไหลสุดตั้งแต่เอซุสพัฒนาออกมา

ในส่วนฟีเจอร์เด่นของ Zenfone 4 Selfie ก็ถือว่าจัดเต็มมาตามแบบฉบับเอซุส ไล่ตั้งแต่ความสามารถในการทำ Multitasking เปิด 2 แอปฯพร้อมกันในหน้าจอเดียวได้ ไปถึงความสามารถในการบันทึกเสียงสนทนาโทรศัพท์ได้ทันทีและตัวเด็ดที่มาพร้อมกับ ASUS Zenfone มานานอย่างระบบ Boost ที่จะช่วยเคลียร์แรมอัตโนมัติก็ยังมีให้เลือกใช้งานเช่นเดิม

และการใช้งาน Zenfone 4 Selfie ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง ทางเอซุสยังใส่ Outdoor Mode มาให้ โดยเมื่อเปิดใช้งาน ลำโพงของตัวเครื่องจะส่งเสียงดังกว่าเดิมเท่าตัว

Emergency Mode หรือโหมดฉุกเฉิน (เข้าใช้งานได้โดยกดปุ่มปิดเครื่องค้างไว้และกดที่ Emergency Mode) โดยเมื่อเปิดใช้งานและตั้งเบอร์คนสนิทไว้ ระบบจะเปิด GPS และส่งพิกัดให้กับคนสนิทผ่านระบบ ASUS Safeguard อีกทั้งยังช่วยติดต่อเบอร์ฉุกเฉินในพื้นที่ของเราได้ด้วย

Page Maker สำหรับคนที่ชอบอ่านข่าว อ่านบทความผ่านหน้าเว็บไซต์ ระบบ Page Maker จะสามารถเซฟหน้าเว็บไซต์เหล่านั้นเก็บไว้อ่านทีหลังได้ (ออฟไลน์โหมด) อีกทั้งผู้ใช้ยังสามารถเลือกใช้ปากกาสีไฮไลท์ข้อความได้ด้วย

ฟีเจอร์กล้องถ่ายภาพ

อย่างที่ทราบดีว่า Zenfone 4 Selfie จะถูกเน้นการใช้งานกล้องหน้าเพื่อถ่ายเซลฟีเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นฟีเจอร์เซลฟี เอซุสใส่มาแบบจัดเต็มตั้งแต่ Beauty Mode ที่ปรับแต่งได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทำหน้าเนียน เพิ่มความขาว ลบรอยไปถึงเปลี่ยนเชฟใบหน้าก็สามารถทำได้ หรือถ้าอยากปรับแต่งปรับโทนหน้าให้ละเอียดมากขึ้น ทางเอซุสได้ติดตั้งแอปฯ Selfie Master มาให้ใช้งานกันได้อย่างอิสระ

Portrait Mode ร่วมกับกล้องหน้า จะเห็นว่าหน้าชัดหลังเบลอของ ASUS Zenfone 4 Selfie จะใช้ซอฟต์แวร์ช่วยเป็นหลัก

นอกจากนั้นยังมีโหมดถ่ายภาพพิเศษ (ใช้ได้ทั้งกล้องหน้าและหลัง) คือ “Portrait” สำหรับทำหน้าชัดหลังเบลอ

ในส่วนโหมดกล้องปกติ จะไม่แตกต่างจากสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นของเอซุส โดยจะมีโหมดให้เลือกใช้งานตั้งแต่อัตโนมัติ โหมดโปร (ปรับค่ากล้องได้ตามต้องการ) ไปถึงโหมดพาโนรามาหรือ Time Lapse ก็มีให้เลือกใช้เช่นเดิม

สำหรับการใช้งานกล้องหน้า Dual Camera ผู้ใช้สามารถสลับเปลี่ยนกล้องทั้ง 2 ได้ผ่านไอคอนรูปคน โดยกล้องทั้งสองตัวจะทำงานแยกกันอย่างอิสระ เช่น ใช้งานกล้องตัวแรกระยะ 31 มิลลิเมตร ผู้ใช้จะถ่ายรูปที่ความละเอียดสูงสุด 20 ล้านพิกเซล ส่วนเมื่อกดใช้กล้องตัวที่สองระยะ 12 มิลลิเมตร ผู้ใช้ก็จะถ่ายภาพได้ที่ความละเอียดแค่ 8 ล้านพิกเซลเท่านั้น อีกทั้งคุณภาพไฟล์ภาพจากกล้องทั้งสองตัวยังแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ตามตัวอย่างต่อไปนี้

กล้องหน้าตัวที่ 1 ระยะ 31 มิลลิเมตร พร้อมเปิด Beauty Mode (ถ่ายในที่แสงน้อย)

กล้องหน้าตัวที่ 2 ระยะ 12 มิลลิเมตร พร้อมเปิด Beauty Mode จะเห็นว่าได้ภาพที่กว้างกว่ามาก ออกแบบมาเพื่อให้เราสามารถถ่ายเซลฟีกับภาพวิวทิวทัศน์ได้เหมือนกล้อง Action Cam หรือจะถ่ายเซลฟีหมู่ก็ได้ แต่คุณภาพจะลดลงไปพอสมควร (ถ่ายในที่แสงน้อย)

กล้องหน้าตัวที่ 1 ระยะ 31 มิลลิเมตร พร้อมเปิด Beauty Mode และเปิดใช้ Softlight LED flash ควบคู่ไปด้วย

ส่วนกล้องหลักด้านหลังจะให้คุณภาพกลางๆ และไม่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวมาให้

ทดสอบประสิทธิภาพ

AnTuTu Benchmark = 43,892 คะแนน
PCMark Work 2.0 = 3,628 คะแนน

3D Mark
Sling Shot Extreme = 298 คะแนน
Sling Shot = 582 คะแนน
Sling Shot Unlimited = 9,369 คะแนน
Ice Storm Extreme = 5,878 คะแนน

PassMark PerformanceTest
System = 3,575 คะแนน
CPU Tests = 80,284 คะแนน
Memory Tests = 5,367 คะแนน
Disk Tests = 50,023 คะแนน
2D Graphics Tests = 2,434 คะแนน
3D Graphics Tests = 823 คะแนน

AndroBench
Seq. Read = 276.77MB/s
Seq. Write = 211.92MB/s

สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพ อาจเพราะเอซุสเลือกใช้ซีพียูระดับเริ่มต้นทำให้การทำงานไม่ค่อยรวดเร็วนัก แต่ถ้านำไปใช้งานปกติเช่นเล่นเฟสบุ๊ก ท่องเว็บ แชทถือว่าตอบสนองได้ดี แต่ถ้านำไปเล่นเกม Zenfone 4 Selfie อาจไม่เหมาะ

ส่วนการใช้งานกล้องถ่ายภาพจะเจอปัญหาชัตเตอร์ช้าเล็กน้อย (อารมณ์เหมือนกดชัตเตอร์ลงไปแล้วต้องรอประมาณครึ่งถึงหนึ่งวินาทีภาพถึงจะถูกบันทึก) ไม่เหมาะสำหรับการถ่ายสแนป

ด้านแบตเตอรีทดสอบด้วย PC Mark ด้วยการเปิดหน้าจอและเชื่อมต่อ WiFi/4G ตลอดการทดสอบ สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ที่ 8 ชั่วโมง 25 นาที ส่วนทดลองใช้งานปกติจะอยู่ที่ 12-14 ชั่วโมง ใช้งานได้ตลอดทั้งวัน แต่ถ้าใช้งานกล้องถ่ายรูปบ่อยแบตเตอรีค่อนข้างลดลงรวดเร็วพอสมควร

สรุป

สำหรับราคาเปิดตัว ASUS Zenfone 4 Selfie อยู่ที่ 8,990 บาท ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนสเปกระดับกลางค่อนไปทางเริ่มต้นที่มึจุดขายหลักอยู่ที่กล้องหน้าแบบคู่ 2 ระยะเลนส์ เน้นเซลฟีได้ทั้งแบบกลุ่มหรือจะเน้นเดี่ยวแต่สามารถเก็บวิวทิวทัศน์ได่ในราคาไม่ถึงหมื่นบาท โดยถ้าต้องการคุณภาพที่ดีมากขึ้นอาจต้องรอ Zenfone 4 Selfie Pro เพราะในรุ่นที่ทีมงานทดสอบนี้ทั้งกล้องหน้าและหลังยังให้คุณภาพแค่ระดับกลางๆ เท่านั้น

ข้อดี

– ตัวเครื่องน้ำหนักเบา จอภาพขนาดกำลังพอดี
– ช่องใส่ซิม 2 ไม่ต้องแชร์กับ MicroSD
– กล้องหน้าคู่ 2 ระยะ เลนส์ตัวที่สองให้ภาพที่กว้าง สามารถถ่ายเซลฟีหมู่ได้
– ซอฟต์แวร์ช่วยเซลฟีมีให้เลือกใช้หลากหลาย
– ZenUI ปรับมาดีขึ้นมาก

ข้อสังเกต

– คุณภาพกล้องอยู่ระดับกลางๆ ทั้งหน้าและหลัง
– ชัตเตอร์กล้องช้ามาก

Gallery

]]>
Review : Samsung Galaxy Note 8 กลับมาพร้อมกล้องคู่และความสมบูรณ์แบบ https://cyberbiz.mgronline.com/review-galaxy-note8/ Thu, 07 Sep 2017 05:29:08 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=27022

ผ่านพ้นช่วงมรสุมชีวิตของซัมซุงไปแล้ว ในปีนี้หลังจากเปิดตัวแม่ทัพใหญ่ Galaxy S8/S8+ ก็ถึงคิวของสมาร์ทโฟนที่หลายคนจับตามองมากที่สุดอย่าง Samsung Galaxy Note 8 ที่ในครั้งนี้นอกจากซัมซุงจะออกแบบตัวเครื่อง ปากกาและปรับสเปกใหม่แล้ว ด้านกล้องถ่ายภาพด้านหลังยังถูกปรับใหม่ให้แตกต่างจาก Galaxy S8/S8+ เอาใจเหล่าสาวกกับกล้องคู่ Dual Camera พร้อมเลนส์ 2 ระยะครั้งแรกของสมาร์ทโฟนซัมซุง หลังจาก Galaxy S8/S8+ ซัมซุงโดนวิจารณ์เรื่องกล้องว่าไม่ค่อยมีความแตกต่างจากเดิมมากเท่าใด กลับมาในครั้งนี้ทุกสิ่งเลยถูกปรับให้ยิ่งใหญ่และสมบูรณ์แบบเพื่อให้สมกับคำว่า “Do bigger things”

*ตัวเครื่องที่ทีมงานได้รับมาทดสอบเป็นเครื่องเดโมไม่ใช่เครื่องจำหน่ายจริง*

การออกแบบ

ยอมรับว่าครั้งแรกที่ได้รับ Galaxy Note 8 มาจากทางซัมซุง ทีมงานค่อนข้างประหลาดใจกับการออกแบบที่ดูแล้วมีความแปลกมากกว่าสวยงาม ทั้งๆที่ตัวเครื่องมีพื้นฐานมาจาก Galaxy S8/S8+ ตั้งแต่สัดส่วนหน้าจอ 18.5:9 (ซัมซุงบอกว่าหน้าจอสัดส่วนนี้จะทำการให้รับชมภาพยนตร์ที่ส่วนใหญ่เป็นอัตราส่วน 21:9 ทำได้เต็มตาขึ้น) ไปถึงการจัดวางกระจกจอและปุ่มสั่งงานต่างๆนั้นเหมือนกับ Galaxy S8 แต่ในมุมมองของทีมงานกลับชื่นชอบดีไซน์ของ Galaxy S8 ที่ดูลงตัวกว่า

และทุกความคิดก็ต้องเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ทดลองจับถือใช้งาน Galaxy Note 8 ตลอดทั้งวัน พบว่าการออกแบบที่ดูแปลกประหลาดนี้ จริงๆแล้วทำให้การจับถือตัวเครื่องที่มาพร้อมหน้าจอ Infinity Display ขนาดใหญ่ 6.3 นิ้ว (Quad HD+ 1,440×2.960 พิกเซล 521ppi รองรับ HDR) ทำได้ถนัดมือมากยิ่งขึ้น (จับถือถนัดกว่า Galaxy Note ทุกรุ่น) อีกทั้งขอบจอที่โค้งสองด้านทั้งหน้าหลังยังช่วยลดอาการสมาร์ทโฟนลื่นหลุดจากมือได้ด้วย เพราะเวลาจับถือใช้งาน Note 8 สันเครื่องจะเข้ากับร่องนิ้วได้พอดี

ส่วนคนที่กังวลว่าขอบจอที่ออกแบบมาแทบจะไร้ขอบและหน้าจอมีขนาดใหญ่เต็มพื้นที่ด้านหน้าทั้งหมด เวลาจับถือโอกาสที่นิ้วมือจะไปโดนปุ่มคำสั่งต่างๆที่หน้าจอมีหรือไม่ สำหรับทีมงานไซเบอร์บิซเองตลอดการใช้งานกว่า 1 อาทิตย์ยังไม่พบปัญหาดังกล่าว คาดว่าภายในน่าจะมีระบบตรวจจับอยู่การจับถือบริเวณขอบจออยู่

คอนเทนต์อัตราส่วนภาพ 16:9 เมื่อเล่นบนหน้าจอ Galaxy Note 8 ที่มาพร้อมอัตราส่วน 18.5:9 จะมีขอบดำด้านซ้ายและขวา

แต่เราสามารถปรับให้คอนเทนต์อัตราส่วนภาพ 16:9 เล่นได้เต็มจอ Galaxy Note 8 แต่ภาพจะถูกครอปบนและล่างออกไป (ส่วนการเล่นคอนเทนต์ 21:9 ระบบจะขยายภาพให้อัตโนมัติ)

ปัจจุบันเริ่มมีเกมที่ออกมารองรับหน้าจออัตราส่วน 18.5:9 แล้ว เช่น Lineage2 Revolution

โดยในส่วนความหนาตัวเครื่องอยู่ที่ 8.6 มิลลิเมตรพร้อมน้ำหนัก 195 กรัม ส่วนกล้องถ่ายภาพด้านหน้ายกมาจาก Galaxy S8/S8+ ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f1.7 มาพร้อม Smart Auto Focus นอกจากนั้นยังมาพร้อมกล้องสแกนม่านตา (Iris Scan) อีกด้วย

มาดูในส่วนใต้จอภาพกันบ้าง จะเห็นว่าปุ่มโฮมแบบปุ่มกดจริงดั้งเดิมถูกเปลี่ยนเป็นปุ่มโฮมผ่านซอฟต์แวร์เหมือนกับ Galaxy S8/S8+ โดยใต้จอภาพทางซัมซุงได้ฝังเซ็นเซอร์วัดแรงกดไว้ ซึ่งจะสั่นเมื่อเรากดปุ่มนี้ลงไปทำให้ความรู้สึกเหมือนกดปุ่มโฮมของจริง ส่วนปุ่มคำสั่ง Recent Apps และปุ่มย้อนกลับจะปรากฏขึ้นเมื่อเราปลดล็อกหน้าจอแล้ว

พลิกเครื่องไปด้านหลังสิ่งแรกที่เห็นการเปลี่ยนแปลงไปก็คือส่วนของกล้องถ่ายภาพหลังถูกปรับเป็นกล้องคู่ Dual Camera ครั้งแรกของกลุ่มสมาร์ทโฟนซัมซุงหลังจากแฟนๆเรียกร้องมายาวนานร่วมปี (เพราะคู่แข่งเขาไปกล้องคู่หมดแล้ว) พร้อมไฟแฟลช LED เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจและถัดออกไปเป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือถูกย้ายมาติดตั้งด้านหลังแบบเดียวกับ Galaxy S8/S8+

โดยในส่วนสเปกกล้องหลังคู่ Dual Camera จะเป็นแบบเดียวกับ iPhone 7 Plus คือเป็นเลนส์ 2 ระยะ ได้แก่ กล้องตัวแรกเป็นเลนส์มุมกว้าง 26 มิลลิเมตร รูรับแสงกว้าง f1.7 ส่วนกล้องตัวที่สองเป็นเลนส์ระยะ Normal 52 มิลลิเมตร รูรับแสงกว้าง f2.4 โดยกล้องทั้งสองตัวจะให้ความละเอียดภาพสูงสุดที่ 12 ล้านพิกเซลบนเซ็นเซอร์รับภาพ 1.4 ไมครอนตัวเดียวกับ Galaxy S8/S8+ พร้อมระบบออโต้โฟกัส Dual Pixel

ทำให้ระบบกล้อง Note 8 รองรับการซูมออปติคอล 2 เท่าและสามารถทำหน้าชัดหลังเบลอ (ซัมซุงเรียก “Live Focus”) ได้เหมือน iPhone 7 Plus พร้อมเพิ่มระบบป้องกันภาพสั่นไหว Optical Image Stabilization (OIS) มาให้กับกล้องทั้งสองตัวด้วย (Dual OIS)

มาดูพอร์ตเชื่อมต่อและปุ่มกดรอบตัวเครื่องกันบ้าง เริ่มจากด้านล่างจะเป็นส่วนช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร พอร์ต USB-C ไมโครโฟน ลำโพง (มีตัวเดียวให้เสียงแบบโมโน) และช่องเก็บปากกา S Pen

ด้านบน เป็นส่วนของไมโครโฟนตัวที่สองและช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์แบบนาโน 2 ซิม โดยช่องใส่ซิมที่ 2 จะแชร์กับช่องใส่ MicroSD Card รองรับความจุสูงสุด 256GB

ในส่วนด้านซ้ายและขวาของตัวเครื่องจะเป็นที่อยู่ของปุ่มเพิ่มลดเสียง ปุ่มเรียกผู้ช่วย Bixby และปุ่มเปิดปิดเครื่อง

มาดูในส่วนปากกา S Pen มองภาพรวมภายนอกแล้วดูไม่มีการเปลี่ยนแปลงจาก Note 7 แต่ภายในซัมซุงได้อัปเกรดใหม่แทบทั้งหมดเริ่มตั้งแต่

1.หัวปากกาปรับไปใช้หัวยางขนาด 0.7 มิลลิเมตร ทำให้เขียนได้ลื่นไหลและไม่ทำให้หน้าจอเป็นรอย
2.S Pen ใหม่รองรับแรงกดได้ละเอียด 4,096 ระดับเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมเป็นเท่าตัว
3.S Pen รองรับการเขียนในน้ำตามมาตรฐาน IP68

สุดท้ายเป็นไปตามธรรมเนียมของซัมซุงก็คือตัวเครื่อง Galaxy Note 8 รองรับการป้องกันน้ำและฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 เช่นเดิม

สเปก

เริ่มจากซีพียูจะใช้แบบ 10 นาโนเมตร Samsung Exynos 8895 Octa ความเร็ว 2.3GHz พร้อมแรม LPDDR4 6GB รอม 64GB (เหลือใช้งานจริงประมาณ 51-52GB) ระบบปฏิบัติการ Android 7.1.1 (Nougat) และแบตเตอรีความจุ 3,300mAh

ด้านการเชื่อมต่อเครือข่าย รองรับ 3G/4G ทุกเครือข่ายในบ้านเรา รวมถึงรองรับ Next G ของ AIS เต็มรูปแบบ โดยในส่วน 4G LTE จะรองรับความเร็วถึง Cat.16 (LTE Advanced) พร้อมรองรับเทคโนโลยีรวมคลื่นความถี่มากถึง 4CA ส่วน WiFi มีการปรับปรุงให้เป็น MU-MIMO และบลูทูธเปลี่ยนไปใช้เวอร์ชัน 5.0 ที่สามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วถึง 2Mbps

ในส่วนการรองรับ NFC ยังมีให้เช่นเดิมพร้อม Samsung Pay ด้าน GPS รองรับ Galileo, Glonass และ BeiDou และ Note 8 สามารถถอดรหัสเสียง UHQ 32-bit และ DSD รองรับการเล่นไฟล์เพลงได้หลากหลายรูปแบบ

ฟีเจอร์เด่น

ภาพรวมหน้าตาและการใช้งานระบบปฏิบัติการจะเหมือนกับ Galaxy S8/S8+ ที่ซัมซุงเน้นเรื่องความเบาและใช้งานลื่นไหล โดยแอปฯของซัมซุงทั้งหมดจะไม่ถูกติดตั้งลงในระบบปฏิบัติการอีกแล้ว ถ้าผู้ใช้ต้องการใช้งานแอปฯใดต้องเข้าไปดาวน์โหลดเพิ่มเติมเอง

ในส่วน Navigation Buttons สามารถปรับแต่งได้ตั้งแต่เลือกสีไปถึงปรับการทำงานของเซ็นเซอร์วัดแรงกดว่าถ้าผู้ใช้กดหนักจะเป็นการสั่งงานคำสั่งใด อีกทั้งยังสามารถสลับตำแหน่งปุ่มคำสั่งได้ และทีเด็ดสุดก็คือในระหว่างใช้งานสามารถกดซ่อนแถบ Navigation Buttons จากหน้าจอได้ด้วยการกดปุ่ม ‘จุด’ ด้านซ้ายมือค้างไว้ (ส่วนการเรียกแถบ Navigation Buttons กลับมาก็เพียงสไลด์นิ้วจากขอบจอด้านล่างขึ้นมาและกดปุ่ม ‘จุด’ ค้างไว้อีกครั้งจะถือเป็นการตรึงแถบปุ่มคำสั่งเหมือนเดิม

S Pen การใช้งานหลักยังคงเหมือนทั้ง Galaxy Note 5 และ Note 7 คือสามารถเขียนผ่าน Samsung Notes สามารถเลือกตัดภาพที่ต้องการได้ เขียนบนหน้าจอ สร้าง GIF Animation จากวิดีโอโดยใช้ปากกาครอปภาพที่ต้องการ รวมถึงสามารถแปลภาษาได้ (รองรับการแปลไทย-อังกฤษ และสามารถแปล Subtitle ที่อยู่ในเกมหรือวิดีโอได้ด้วย) หรือจะเลือกครอปภาพอย่างอิสระก็สามารถทำได้แบบเดียวกับ Note 7 (อ่านรีวิวฟีเจอร์ปากกาเพิ่มเติม >คลิกที่นี่<)

แต่ทั้งนี้สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาใน S Pen พิเศษเฉพาะ Galaxy Note 8 ก็คือความสามารถในการทำ Live Message โดยผู้ใช้สามารถวาดภาพในรูปแบบ GIF Animation และส่งไปให้คนสนิทได้ทันที หรือจะเลือกรูปที่ส่งผ่าน Message มาแล้วนำมาแก้ไขใส่สีสันต่างๆก็สามารถทำได้เช่นกัน ยกตัวอย่างภาพ GIF ด้านบนทีมงานเลือกเขียนทักทายเพื่อนจากนั้นก็ส่งผ่านระบบ Message ในเครื่องหรือจะเก็บไว้แล้วค่อยไปส่งผ่านแอปฯแชท เช่น LINE หรือ Facebook Messenger ก็ได้

อีกส่วนที่ถือเป็นไฮไลท์เด็ดพิเศษเฉพาะ Galaxy Note 8 เช่นกัน ก็คือ ผู้ใช้สามารถเขียนข้อความหรือวาดภาพบนหน้าจอ Always on Display (AOD) จากนั้นเลือกตรึงข้อความไว้ที่หน้า AOD อารมณ์แบบเดียวกับการเขียน Post-it เพื่อใช้เตือนความจำ เช่น เขียนรายการซื้อสินค้าไว้ เมื่อไปถึงห้างเราก็เพียงยก Note 8 ขึ้นมาแล้วดูรายการสั่งซื้อได้ทันทีโดยไม่ต้องปลดล็อกหน้าจอให้เสียเวลา

Bixby (บิกซ์บี) ใน Galaxy Note 8 บิกซ์บีถูกเพิ่มความสามารถและประสิทธิภาพให้ดีขึ้น โดยเมื่อผู้ใช้กดปุ่มเรียกบิกซ์บี คุณสามารถพูดสั่งงานให้ช่วยเปิดแอปฯต่างๆ เลือกเล่นเพลง ไปถึงสามารถสั่งให้เซลฟีหน้าเราได้แล้วด้วย (แต่ยังไม่ฉลาดเท่า Siri ของแอปเปิล) แต่น่าเสียดายที่ปัจจุบัน Bixby ยังรองรับแค่ภาษาอังกฤษและเกาหลีเท่านั้น

Link sharing เป็นฟีเจอร์ที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการส่งรูปภาพหรือวิดีโอคุณภาพสูงไปให้เพื่อน แต่เพื่อนใช้สมาร์ทดีไวซ์คนละแพลตฟอร์มกับเรา เช่น เราใช้ Note 8 เพื่อนใช้ iPhone เป็นต้น Link sharing จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหา โดยระบบจะให้เราสามารถส่งรูปภาพ วิดีโอหรือไฟล์อะไรก็ได้ไม่เกินวันละ 2GB จากนั้นเมื่อเรากดใช้งาน ระบบจะนำไฟล์ของเราไปฝากไว้บนคลาวด์สตอเรจของซัมซุงชั่วคราว (ลิงค์มีอายุ 24 ชั่วโมงและต้องใช้อินเทอร์เน็ตในการส่งไฟล์) พร้อมสร้างลิงค์ไฟล์มาให้กับเรา เราก็เพียงนำลิงค์ไฟล์นั้นส่งให้เพื่อนไปดาวน์โหลดออกมา (หลักการทำงานคล้ายเราฝากไฟล์ไว้ใน Dropbox แต่ระบบนี้ใช้งานง่ายกว่าเพราะไม่ต้องล็อกอินเข้าใช้งานแอปฯใดๆ)

WiFi MIMO เป็นหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจเพราะ Galaxy Note 8 มาพร้อม WiFi แบบ MU-MIMO (Multi-User Multiple-Input and Multiple-Output) พร้อมรองรับความเร็วในการรับส่งข้อมูลผ่าน WiFi ระดับ Gigabit ทำให้ตัวสมาร์ทโฟนมีฟังก์ชันพิเศษที่หลายคนอาจยังไม่ทราบก็คือ สามารถแชร์ WiFi ที่เชื่อมต่อกับ Note 8 ส่งผ่าน WiFi อีกครั้งไปให้สมาร์ทโฟนเครื่องอื่นได้ จากเดิมปกติเราจะทำ Hotspot แชร์ได้แค่ 3G/4G เท่านั้น

นอกจากนั้น Galaxy Note 8 ยังมาพร้อมฟังก์ชัน Adaptive Wi-Fi ที่เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตแบบเสถียรเพราะเมื่อเปิดใช้ฟังก์ชันนี้ เมื่อใดก็ตามที่ WiFi ที่เราเชื่อมต่อสัญญาณไม่ดี ระบบจะดึงข้อมูลจากดาต้าอินเทอร์เน็ต 3G/4G มาเสริมทันที

นอกนั้นในส่วนฟีเจอร์เด่นอื่นๆ จะเหมือนกับ Galaxy S8/S8+ เช่น สามารถทำ Dual Messenger หรือความสามารถในการใช้เฟสบุ๊ก 2 บัญชีได้ในเครื่องเดียว, มีระบบป้องกันสแปมจากเบอร์โทรที่เราไม่รู้จัก ไปถึงความสามารถในการลดความละเอียดหน้าจอลงได้เพื่อประหยัดแบตเตอรี เป็นต้น

ทดสอบประสิทธิภาพ

มาถึงการทดสอบประสิทธิภาพด้านการประมวลผล ส่วนนี้ทีมงานไซเบอร์บิซ ออนไลน์จะไม่ขอลงรายละเอียดมากนักเพราะคะแนนก็ถือว่าติดอยู่ในระดับท็อปของตารางและประสิทธิภาพส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แตกต่างจาก Galaxy S8/S8+ (คะแนนอยากเทียบกับ Galaxy Note 7 หรือ S8+ สามารถรับชมได้โดยกดที่ชื่อรุ่น) ที่ทีมงานได้ทดสอบไปก่อนหน้านี้ โดยจุดเด่นของ Note 8 ที่ทีมงานรู้สึกแตกต่างจากตอนทดสอบ S8/S8+ ก็คือความลงตัวและสมบูรณ์ของซอฟต์แวร์ควบคุมต่างๆที่ซัมซุงปรับแต่งมาได้ดีขึ้น แต่คาดว่า Galaxy S8/S8+ ปัจจุบันก็คงได้รับการอัปเดตแก้ไขข้อบกพร่องไปพอสมควรแล้วเช่นกัน

ส่วนเรื่องแบตเตอรีกับระยะเวลาใช้งานถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติของสมาร์ทโฟนเรือธงปีนี้คือ 10-12 ชั่วโมง โดยทีมงานทดสอบด้วยการเปิดหน้าจอรันแอปฯ PC Mark ทิ้งไว้ตลอดทั้งวัน

กล้องถ่ายภาพ Dual Camera

ครั้งนี้ถือว่าซัมซุงเปิดตัว Galaxy Note 8 ได้อย่างหวือหวาเพราะเลือกใส่กล้องคู่มาให้ในรุ่นนี้ทันที (ปกติซัมซุงจะเลือกใส่นวัตกรรมใหม่มากับ Galaxy S เสียมากกว่า) โดยกล้องคู่ของ Note 8 ก็เดินตาม iPhone 7 Plus แบบเรียกได้ว่าเป็นพี่น้องกันเลย เนื่องจากกล้องทั้ง 2 ตัวที่ใส่มามีสองระยะคือ 26 มิลลิเมตรกับ 52 มิลลิเมตร หรือเทียบเท่าซูมออปติคอล 2 เท่า

โดยในส่วนของซอฟต์แวร์กล้องก็ยังคงหน้าตาเหมือนกับ Samsung Galaxy ทุกรุ่นคือเน้นใช้งานง่าย แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาเฉพาะ Galaxy Note 8 อย่างแรกคือปุ่ม x2 ซึ่งเมื่อกดแล้วก็เท่ากับจะเปลี่ยนไปใช้เลนส์ 52 มิลลิเมตร ภาพก็จะถูกซูมเข้ามา (ลองกดรับชมวิดีโอด้านบน) หรือจะใช้นิ้วจิ้มค้างไว้ที่ปุ่มชัตเตอร์แล้วลากขึ้นลงเพื่อซูมเข้าออก รวมถึงใช้วิธีใช้นิ้วถ่างขยายแบบปกติก็ได้ โดยระบบซูมออปติคอลจะอยู่ที่ระยะ x1-x2 หลังจากนั้นไปจนถึง x10 จะเป็นดิจิตอลซูม

Live Focus (โฟกัสตามเวลาจริง) หรือโหมดหน้าชัดหลังเบลอ ที่ซัมซุงออกแบบมาให้ใช้ได้ทั้งถ่ายภาพบุคคลและวัตถุ โดยหลักการทำงานของโหมดนี้ก็คือใช้เลนส์คู่ในการตรวจจับระยะ จำลองมิติและฉากหลังที่หลุดโฟกัส จากนั้นระบบจะบันทึกภาพให้ทั้งมุมกว้างจากเลนส์ตัวแรกและระยะใกล้จากเลนส์ตัวที่สอง เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกไฟล์ที่ดีที่สุดรวมทั้งสามารถปรับแก้ความเบลอของฉากหลังได้ด้วย

ในส่วนโหมดถ่ายภาพอื่นๆ Galaxy Note 8 จะมาพร้อม Pro Mode สามารถปรับตั้งค่ากล้องได้เองรวมถึงเปิดความสามารถในการบันทึกแบบ RAW File ได้ โหมด Hyperlapse, โหมดอาหาร, Slow Motion, Panorama เป็นต้น ส่วนกล้องหน้าจะเหมือนกับ Galaxy S8/S8+ คือรองรับการถ่ายภาพเซลฟีมุมกว้าง ทำหน้าชัดหลังเบลอได้ รวมถึงสามารถตกแต่งใส่สติกเกอร์ได้ตามต้องการ

ทดสอบกล้อง Galaxy Note 8

เลนส์ตัวแรก 26 มิลลิเมตร

เลนส์ตัวที่สอง 52 มิลลิเมตร (เท่ากับซูม 2 เท่า)

เลนส์ตัวแรก 26 มิลลิเมตร

เลนส์ตัวแรก 26 มิลลิเมตร

เลนส์ตัวแรก 26 มิลลิเมตร

ดิจิตอลซูมประมาณ 5 เท่า

เปิดใช้เลนส์ตัวที่สอง 52 มิลลิเมตร (เท่ากับซูม 2 เท่า) โหมดโปร ตั้งสปีดชัตเตอร์ 2 วินาที

เลนส์ตัวที่สอง 52 มิลลิเมตร (เท่ากับซูม 2 เท่า)

Food Mode

กล้องหน้า ยังคงสไตล์ซัมซุงคือเมื่อกล้องจับใบหน้าของเราได้ ระบบจะชดเชยแสงให้สว่างกว่าปกติเล็กน้อย

iPhone 7 Plus ปะทะ Galaxy Note 8

ด้วยสเปกกล้องที่เหมือนซัมซุงวางมาชนกับ iPhone 7 Plus ทำให้ทีมงานไซเบอร์บิซต้องจับมาชนกันแบบภาพต่อภาพให้ดูกัน

เริ่มจากภาพแรก หลายคนที่ดูภาพนี้อาจกำลังคิดว่าไม่ยุติธรรม เพราะระยะภาพจากตัวแบบไม่เท่ากัน ตรงนี้ทีมงานขอชี้แจงก่อนครับว่า ด้วยความที่ระบบหน้าชัดหลังเบลอของแต่ละเจ้ามีข้อจำกัดไม่เหมือนกัน เพราะต้องไม่ลืมว่าระบบใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในการจัดการความเบลอของส่วนที่หลุดโฟกัส เพราะฉะนั้นเมื่อถ่ายในที่แสงน้อย พอภาพเริ่มไม่คมชัดระบบจะตรวจจับระยะชัดของภาพและประมวลผลได้ยากขึ้น

ยกตัวอย่างภาพนี้ เราเลือกถ่ายด้วย Portrait Mode สำหรับ iPhone 7 Plus และ Live Focus สำหรับ Galaxy Note 8 ในที่แสงน้อยมากเพื่อให้กล้องแสดงประสิทธิภาพเต็มที่ แต่ปัญหาที่พบก็คือ iPhone 7 Plus ฟ้องว่า “แสงไม่พอ ให้ถอยห่างออกมา” ทีมงานก็ต้องถอยไปมาจนในที่สุดก็ถ่ายได้ที่ระยะอย่างที่เห็นตามภาพ ส่วน Note 8 ก็ไม่ต่างกัน ขยับจนกว่าจะถ่ายได้ก็เล่นเอาเหงื่อตก ทำให้ระยะที่ได้คลาดเคลื่อนไม่เท่ากัน ส่วนการวัดแสงผมเลือกที่ใบหน้าจุดเดียวกันทั้งหมด

จะเห็นว่าถ้ามองในเรื่องการเก็บรายละเอียด iPhone 7 Plus จะให้ภาพที่คมกว่าแต่ก็แลกมากับนอยซ์ที่มากและแสงที่มืดกว่า ในขณะที่ Note 8 จะเกลี่ยนอยซ์ออกได้ดีกว่า จนภาพดูเบลอๆเล็กน้อย และที่สำคัญอย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่าเมื่อใดก็ตามที่ระบบกล้องของ Note 8 (รวมถึง S8/S8+) รู้ว่าเป็นการถ่ายคน ซอฟต์แวร์จะปรับโทนภาพ สีผิวและความสว่างให้หน้าสดใสตามแบบฉบับซัมซุง

ภาพนี้ปิดไฟทั้งห้องเหลือเพียงแต่ไฟจากจอมอนิเตอร์คอมพิวเตอร์พร้อมครอปภาพ 100% ให้ดูกันระยะใกล้ไปเลย พบว่าในส่วนรายละเอียดตัวหนังสือที่ถ่ายด้วยกล้อง Note 8 จะมีความชัดเจนกว่า iPhone 7 Plus

ภาพนี้ถ่ายย้อนแสงเล็กน้อย HDR On วัดแสงตรงกลางภาพ ต้องยอมรับว่าเรื่องโทนภาพ iPhone 7 Plus ให้โทนที่สวยกว่า ในขณะที่ Galaxy Note 8 จะให้โทนติดอมฟ้าม่วง แต่ในเรื่องความคมชัดและรายละเอียด เมื่อซูมดูใกล้ๆ Galaxy Note 8 ทำได้ชัดเจนกว่า

ภาพนี้ถ่ายด้วย Portrait Mode สำหรับ iPhone 7 Plus และ Live Focus สำหรับ Galaxy Note 8 พบว่าคุณภาพของการเบลอส่วนที่หลุดโฟกัสดีใกล้เคียงกันมาก เพียงแต่ระบบ Live Focus ของ Galaxy Note 8 จะปรับแต่งได้มากกว่า ส่วนรายละเอียดภาพ Galaxy Note 8 ค่อนข้างเก็บได้ดีกว่า ส่วนอื่นลองพิจารณากันเองครับ

สรุป

สำหรับราคาเปิดตัว Samsung Galaxy Note 8 อยู่ที่ 33,900 บาท เรียกได้ว่าเป็นการกลับมาของ Galaxy Note ที่ซัมซุงจัดเต็มทุกสัดส่วน จนทำให้ Galaxy Note 8 น่าจะเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงทำตลาดแทนที่ Galaxy S8+ ได้เลย หลายส่วนดูสมบูรณ์แบบมาก โดยเฉพาะการมาของกล้องคู่ที่ซัมซุงทำได้น่าสนใจ รวมถึงลูกเล่น S Pen ที่ให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดี ยกเว้นเรื่องลำโพงที่ให้มาตัวเดียวเหมือนกับ Galaxy S8/S8+ เมื่อเทียบกับคู่แข่งทั้ง iPhone 7 Plus เองหรือ Huawei P10+ ลำโพงของ Note 8 ให้เสียงที่ด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

สรุปสั้นๆในตอนนี้ใครกำลังมองหาสมาร์ทโฟนเรือธงจากซัมซุงถ้าไม่ติดเรื่องงบทีมงานอยากให้มองข้ามมาที่ Galaxy Note 8 ทันทีเพราะสิ่งที่ S8/S8+ มีใน Note 8 จะทำได้สมบูรณ์แบบกว่า

ข้อดี

– การออกแบบจับถือทำได้ดีมาก หน้าจอใหญ่แต่สามารถใช้งานมือเดียวได้ถนัด
– กล้องหลังคู่ Dual Camera คุณภาพดี ซูม 2 เท่าแบบออปติคอล
– การรองรับ 4G ทำได้เหนือกว่าคู่แข่งในตลาดปัจจุบันพร้อม WiFi MU-MIMO
– ตัวเขียนและปากกา S Pen ป้องกันน้ำและฝุ่น เขียนใต้น้ำได้
– S Pen เขียนได้ลื่นไหลกว่าเดิม

ข้อสังเกต

– ลำโพงตัวเดียวให้เสียงด้อยกว่าคู่แข่ง
– ราคาเปิดตัว เริ่มต้นค่อนข้างสูง
– ลูกเล่นสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Bixby ยังน้อยและจำกัดแค่ภาษาอังกฤษ เกาหลี
– หน้าจอ Infinity Display ขนาดใหญ่ เวลาตกแตกราคาซ่อมสูงมาก

Gallery

]]>
Review : Nikon 28mm f1.4E ED Nano พรีเมียมไพรม์เลนส์ ได้ทั้งสายแลนด์สเคปและพอร์ตเทรตในตัวเดียว https://cyberbiz.mgronline.com/review-nikon-28mmf14/ Tue, 29 Aug 2017 06:20:22 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=26994

ครั้งก่อนเราได้รับเลนส์ไวด์อเนกประสงค์เน้นราคาประหยัดสำหรับกล้องนิคอนตัวคูณในตระกูล DX ไปแล้ว มาวันนี้ขยับมาทดสอบกลุ่มไพรม์เลนส์ (ฟิกซ์ระยะ) อย่างพี่ใหญ่ AF-S NIKKOR 28mm f/1.4E ED Nano ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานนี้ร่วมกับกล้อง Nikon D810 

การออกแบบและสเปก

สำหรับ Nikon 28mm f1.4E ED Nano (AF-S NIKKOR 28mm) จัดเป็นเลนส์มุมกว้างระยะ 28 มิลลิเมตร หน้าเลนส์ 77 มิลลิเมตร ออกแบบมากสำหรับกล้องฟูลเฟรม (FX) เกรดพรีเมียม สามารถใส่กับกล้องตัวคูณ DX ได้ แต่ระยะจะเพิ่มเป็น 42 มิลลิเมตร มาพร้อมรูรับแสงกว้างสุด f1.4 แคบสุด f16 โดยนิคอนกำหนดกลุ่มให้เลนส์รุ่นนี้เหมาะสำหรับถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ไปถึงใช้ถ่ายภาพบุคคลและสตรีทได้

ในส่วนน้ำหนักอยู่ที่ 645 กรัม ระยะโฟกัสใกล้สุดอยู่ที่ 28 เซนติเมตร ตัวเลนส์มีสเกลบอกระยะชัดลึก สามารถหมุนปรับโฟกัสแบบแมนวลได้ และที่สำคัญระบบโฟกัสในเลนส์ปรับไปใช้ Silent Wave Motor และ Rear Focusing System (โฟกัสโดยการเคลื่นที่ชิ้นเลนส์ด้านท้าย) ทำให้ระบบออโต้โฟกัสในเลนส์ตัวนี้ทำงานได้รวดเร็วและเงียบมาก

ด้านส่วนโครงสร้างเลนส์ จุดเด่นหลักก็คือตัวเลนส์ป้องกันละอองน้ำและฝุ่นได้ระดับหนึ่งตามแบบฉบับไพรม์เลนส์เกรดสูง รวมถึงหน้าเลนส์มีการเคลือบสาร Fluorine Coat ซึ่งช่วยลดการเกาะติดของหยดน้ำและโคลนได้

อีกทั้งตัวเลนส์ยังจัดเต็มในเรื่องกระจกเลนส์ภายในที่ใส่มามากถึง 14 ชิ้น 11 กลุ่ม แบ่งเป็น Aspherical Lens 3 ชิ้น, ED (Extra-Low Dispersion) Glass 2 ชิ้น – ช่วยแก้เรื่องความคลาดเคลื่อนสี นอกจากนั้นตัวเลนส์ยังเคลือบ Nano Crystal Coat ช่วยในการลดแฟร์และโกส์ทเพื่อภาพที่คมชัดมากขึ้น โดยจากภาพประกอบด้านบน เมื่อลองส่องเข้าไปในชิ้นเลนส์จะพบว่าเลนส์ค่อนข้างใสและเคลียร์มาก

มาถึงเรื่องไดอะแฟรม (มีหน้าที่ปิดเปิดเพื่อควบคุมปริมาณแสง) จะเป็น Electromagnetic Diaphragm Mechanism จำนวน 9 กลีบ รองรับการถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูง

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

เริ่มจากการทดสอบแฟร์และแฉกแสงที่เกิดขึ้นกันก่อน โดยในส่วนแฉกแสงสำหรับขาแลนด์สเคปชอบถ่ายภาพไฟยามค่ำคืน Nikon 28mm f1.4E ED Nano ให้แฉกแสงที่สวยงามและเป็กเอกลักษณ์ของเลนส์เกรดพรีเมียมนิคอนอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเปิดรูรับแสงแคบตั้งแต่ f11 ไปถึง f16 ตามภาพประกอบ

ส่วนการย้อนแสงแบบเต็มกำลัง (วันแดดจัดช่วงเกือบเที่ยง) พบว่าเลนส์ตัวนี้ให้ภาพที่เคลียร์ คมชัดอย่างมาก แฟร์ที่เกิดขึ้นน้อยและไม่รบกวนต่อความคมชัดของภาพแต่อย่างใด

ภาพต้นฉบับ – Nikon D810 1/160s, f16, ISO100

ครอปจากภาพบน เน้นให้ดูในส่วนขอบภาพ

ภาพต้นฉบับ – Nikon D810 1/125s, f16, ISO500 >ดาวน์โหลดภาพต้นฉบับ<

ครอปจากภาพบน เน้นให้ดูในส่วนขอบภาพ

Nikon D810 1/125s, f10, ISO250 >ดาวน์โหลดภาพต้นฉบับ<

ในส่วนการทดสอบถ่ายภาพ ด้วยความเป็นเลนส์ไวด์ ทีมงานจึงต้องขอเริ่มทดสอบในเรื่อง Distortion หรือความบิดเบี้ยวของภาพที่เกิดจากเลนส์ โดยภาพนี้ทีมงานเลือก Export จาก RAW ดิบๆไม่ผ่านการตกแต่งใดๆ และไม่ผ่านการแก้ไข Distortion จะเห็นว่าเลนส์ให้ผลลัพท์ภาพค่อนข้างดีมาก โดยในส่วน CA หรือความคาดเคลื่อนสีบริเวณขอบภาพแทบไม่มีให้เห็น รวมถึงความคมชัดถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีตั้งแต่ขอบภาพไปถึงกลางภาพ

Nikon D810 1/250s, f3.2, ISO64, DX Crop

ภาพนี้ทีมงานเน้นระยะใกล้ด้วยการเปิดโหมด DX Crop (เท่ากับเราได้เลนส์ระยะประมาณ 40 มิลลิเมตรอีกตัว) โดยการถ่าย เน้นเดินสแนปแบบรวดเร็วเพื่อจะทดสอบระบบโฟกัสของเลนส์ร่วมกับ Nikon D810 สิ่งแรกที่รู้สึกประทับใจก็คือมอเตอร์ Silent Wave ทำงานเงียบมาก แถมถ้าไม่เปิดจอ Live View แต่เน้นถ่ายภาพจากช่องมองภาพในแบบ DSLR มอเตอร์โฟกัสในเลนส์ยังทำงานได้เร็ว จนทีมงานสามารถถ่ายแมวที่กำลังตกใจกล้องได้อย่างแม่นยำมาก

Nikon D810 1/2,000s, f1.4, ISO100

สุดท้ายกับการทดสอบถ่ายภาพบุคคลด้วยรูรับแสง f1.4 ถือว่าผลลัพท์ออกมาดีมาก ภาพคมชัดแม้ภาพนี้จะถ่ายย้อนแสงเล็กน้อยแต่ภาพที่ได้ยังคงคุณภาพระดับบนอยู่ โดยเฉพาะส่วนหลังที่หลุดโฟกัส โบเก้กำลังสวย ส่วนสกินโทนและความคมชัดบริเวณผิวสำหรับทีมงานมองว่ากำลังสวย ไม่แข็งกระด้างหรือคอนทราสจัดจ้านเกินไป (ทดสอบด้วยโปรไฟล์ Standard) สมกับที่นิคอนคุยว่าเลนส์ตัวนี้ใช้ได้ครอบคลุมตั้งแต่ภาพวิวทิวทัศน์ไปถึงภาพบุคคลและสามารถใช้ถ่ายสตรีทก็ได้ ถ้าผู้ใช้ถนัดระยะ 28 มิลลิเมตร

Nikon D810 1/250s, f9, ISO1,100

Nikon D810 1/125s, f11, ISO80

สำหรับ Nikon 28mm f1.4E ED Nano (AF-S NIKKOR 28mm) เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งไพรม์เลนส์ตัวท็อปรุ่นใหม่ ที่ทีมงานมองว่าเหมาะสมสำหรับช่างภาพมืออาชีพที่ชื่นชอบการเก็บภาพวิวทิวทัศน์ วิถีชีวิตผู้คนไปถึงช่างภาพสตรีท แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในเลนส์ตัวนี้ก็คือเรื่องรูรับแสง f1.4 ที่ให้ระยะชัดและส่วนที่หลุดโฟกัสกำลังสวยจนอาจกลายเป็นเลนส์ถ่ายภาพบุคคลที่หลายๆคนอาจชื่นชอบถ้าได้ลองสัมผัส

เท่ากับว่าเลนส์ Nikon 28mm f1.4E ED Nano ในปัจจุบันน่าจะถือเป็นเลนส์ไพรม์ระยะไวด์ (Normal Wide) ตัวท็อปที่สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายที่สุดตั้งแต่ที่นิคอนเคยวางตลาดเลนส์แบบฟิกซ์ระยะตัวท็อปมา โดยเฉพาะส่วนการเก็บรายละเอียดและความคมชัดค่อนข้างสูงแถมเลนส์ยังทำงานเงียบและรวดเร็วกว่าเลนส์นิคอนสเปกใกล้เคียงกันแม้จะเปิดรูรับแสงกว้างถึง f1.4 ก็ตาม

ในส่วนราคาขายสำหรับต่างประเทศอยู่ที่ $1,999.95 หรือ 66,000 บาทโดยประมาณ ส่วนราคาไทยต้องรออัปเดตจากทางนิคอนประเทศไทยอีกครั้ง

ข้อดี

– ใช้งานได้ตั้งแต่ถ่ายภาพบุคคล วิวทิวทัศน์ไปถึงถ่ายสตรีท
– ชัดตั้งแต่ f1.4-f16 เลือกใช้ตามความเหมาะสมได้อย่างสบายๆ
– เลนส์ทำงานเงียบมากและเร็ว
– ตัวเลนส์ป้องกันละอองน้ำและฝุ่น หน้าเลนส์เคลือบสารป้องกันหยดน้ำเกาะและโคลนได้

ข้อสังเกต

– น้ำหนักค่อนข้างมากตามแบบฉบับเลนส์เกรดท็อป

Gallery

]]>
Review : WD My Passport SSD เอสเอสดีพกพา ตัวเล็กแรงดีเพื่อขาฮาร์ดคอร์ https://cyberbiz.mgronline.com/review-wd-mypassport-ssd/ Tue, 15 Aug 2017 10:20:14 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=26879

My Passport ถือเป็นกลุ่มสื่อบันทึกข้อมูลเน้นพกพาจาก WD (Western Digital) ที่ได้รับความนิยมสูงและมีรุ่นย่อยออกมาวางจำหน่ายมากมายหลากหลายรูปแบบ มาวันนี้ทาง WD ก็ได้ฤกษ์เปิดรุ่นย่อยใหม่ในกลุ่ม My Passport กับสื่อบันทึกข้อมูลระดับบนในรูปแบบ SSD กับชื่อรุ่น “WD My Passport SSD” ที่มีความจุให้เลือกตั้งแต่ 256GB ถึง 1TB

การออกแบบและสเปก

WD My Passport SSD ถูกออกแบบบนดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่ม My Passport ที่วางขายในปี 2017 โดยวัสดุพื้นฐานจะเป็นพลาสติกน้ำหนักเบาทั้งหมด โดยในรุ่น SSD ด้านบนจะเป็นสีดำด้านส่วนด้านล่างเป็นสีเงินพร้อมการเล่นลวดลายให้ดูหรูหรา โดยขนาด My Passport SSD จะกว้างเพียง 45 มิลลิเมตร ยาว 90 มิลลิเมตร หนา 10 มิลลิเมตร น้ำหนักเบา และที่สำคัญรองรับการตกกระแทกที่ความสูงถึง 1.98 เมตรได้อย่างสบายๆ

ด้านการเชื่อมต่อเป็น USB-C (มีสายมาให้พร้อมหัวแปลง USB-A) รองรับมาตรฐานเชื่อมต่อตั้งแต่ USB 2.0 (480Mb/s) USB 3.0 (5Gb/s) และ USB 3.1 Gen1/2 (สูงสุด 10 Gb/s) โดยความเร็วของ SSD ที่ติดตั้งไว้ภายในจะรองรับความเร็วในการอ่านเขียนสูงสุดที่ 515 MB/s

และจุดเด่นของ WD ที่มีมาให้ทุกรุ่นก็คือรองรับระบบ “Hardware Encryption” สามารถเข้ารหัสป้องกันข้อมูลใน My Passport SSD แบบ 256-bit AES ผ่านซอฟต์แวร์ที่แถมมาให้ได้

ในส่วนฟอร์แมตของ My Passport SSD หลังจากเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ครั้งแรก ทางโรงงานจะตั้งค่าเริ่มต้นเป็น exFat เพื่อให้สามารถใช้กับ Windows, Mac และเชื่อมต่อเครื่องเล่นเกมคอนโซล PS4, XBOX One ได้ทันที พร้อมพื้นที่ใช้งานสำหรับรุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบ 512GB จะอยู่ที่ 476GB

ทดลองเชื่อมต่อกับ PS4 Pro ผ่านพอร์ต USB 3.1 จะมองเห็น 470.2GB ส่วนคนใช้ Mac แล้วต้องการใช้งานให้เต็มประสิทธิภาพแนะนำให้ฟอร์แมต My Passport SSD ใหม่ตามรูปแบบที่ต้องการ

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

เริ่มจากการทดสอบเชื่อมต่อกับพีซี (Windows 10) เสียดายที่คอมพิวเตอร์ที่ทีมงานนำมาใช้ทดสอบรองรับมาตรฐาน USB แค่เวอร์ชัน 3.0 เท่านั้น แต่ผลทดสอบถือว่า My Passport SSD (512GB) ทำได้สูงและแรงมาก จากภาพจะเห็นว่าการทดสอบ Seq สามารถทำคะแนนอ่านได้สูงถึง 262.2MB/s ส่วนการเขียนข้อมูลอยู่ที่ 166.3MB/s นี่ขนาดแค่ทดสอบกับ USB3.0 รุ่นเก่า ถ้าเป็น USB 3.1 Gen 2 หรือเชื่อมต่อกับแมคใหม่ที่เป็นพอร์ต Thunderbolt 3 จะแรงเต็มสูบขนาดไหน (มีคนบอกว่าวิ่งประมาณ 400MB/s เลย ถือเป็นเป็นความเร็วที่เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันแล้ว)

ด้านการทดสอบคัดลอกไฟล์ ทีมงานเลือกคัดลอกไฟล์ขนาด 60GB จาก SSD Samsung 840 EVO (SATA 6Gb/s) ความเร็วในการคัดลอกไฟล์อยู่ที่ 168MB/s ตลอดการคัดลอกไฟล์เรียกได้ว่ากราฟประสิทธิภาพนั้นนิ่งไม่มีความเร็วแกว่งให้เห็นเลย

สุดท้ายเพิ่มความฮาร์ดคอร์นำ My Passport SSD 512GB ไปเชื่อมต่อกับเครื่องเกม PS4 Pro ผ่านพอร์ต USB 3.1 Gen 1 โดยเกมที่ใช้ทดสอบจะเป็น Horizon Zero Dawn จากโซนี่ ผลลัพท์ที่ได้ ทีมงานลองทดสอบเทียบกับฮาร์ดดิสก์จานหมุนที่ติดตั้งมากับ PS4 Pro พบว่า My Passport SSD ทำเวลาโหลดฉากได้รวดเร็วกว่าเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว (ลองรับชมคลิปวิดีโอด้านบนได้) และตลอดการทดสอบเล่นกว่า 1 วันเต็ม (ประมาณ 10 ชั่วโมง) ไม่พบอาการผิดปกติแต่อย่างใด ทุกอย่างทำงานได้รวดเร็วลื่นไหลดี

ด้านความร้อน ถ้าทำงานเต็มประสิทธิภาพถือว่าค่อนข้างความร้อนสูงอยู่ (น่าจะประมาณ 50 องศาเซลเซียสขึ้นไป) แต่เมื่อการโหลดข้อมูลเสร็จสิ้นความร้อนลดลงค่อนข้างเร็วเช่นเดียวกัน

สำหรับราคา WD My Passport SSD เริ่มต้น 256GB อยู่ที่ 3,990 บาท 512GB (รุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบ) อยู่ที่ 7,990 บาท และ 1TB อยู่ที่ 15,990 บาท ถือว่าด้านราคาก็ไฮเอนด์สมกับประสิทธิภาพที่ได้เช่นกัน

ใครมีงบและกำลังมองหาสื่อเก็บข้อมูลพกพาประสิทธิภาพสูง ทั้งคนที่กำลังคิดขยายพื้นที่เครื่องเล่นเกม PS4 XBOX One ไปถึงคนทำงานที่จำเป็นต้องใช้สื่อเก็บข้อมูลพกพาประสิทธิภาพสูง หรือผู้ใช้แอนดรอยด์รุ่นใหม่ที่เป็นพอร์ต USB-C และกำลังมองหาสื่อเก็บข้อมูล External Storage ให้สมาร์ทโฟนอยู่ ลองมอง My Passport SSD เป็นอีกหนึ่งทางเลือกครับ เพราะนอกจากประสิทธิภาพที่สูงแล้ว ด้านการพกพาและความทนทานยังถือว่าทำได้ดีมากอีกด้วย

ข้อดี

– ขนาดเล็ก น้ำหนักเบามาก ทนทาน
– รองรับ USB หลากหลายตั้งแต่ Type-C Type-A Thunderbolt 3 ใน Mac ใหม่
– สามารถเชื่อมต่อกับแอนดรอยด์ที่ใช้พอร์ต USB-C ได้โดยตรงเหมือนแฟลชไดร์ฟ
– ประสิทธิภาพสูงทั้งใช้งานแบบสตรีมไปถึงใช้เก็บข้อมูลหลักในการเล่นเกม
– ประกัน 3 ปี

ข้อสังเกต

– ราคาสูง (แต่จริงๆราคาก็ประมาณเราซื้อ SSD แบบ 2.5″ อยู่แล้ว) คนเน้นซื้อมาเก็บข้อมูลไว้เฉยๆไม่แนะนำ และการเชื่อมต่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดแนะนำให้เชื่อมต่อกับ USB 3.0 ขึ้นไป

]]>