สมาร์ทโฟนต่ำกว่า 10000 บาท – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Wed, 27 Mar 2019 13:41:42 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Infinix Hot 7 เด่นได้เพราะแบตอึด https://cyberbiz.mgronline.com/reveiw-infinix-hot-7/ Wed, 27 Mar 2019 13:41:42 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=30382 นอกจากดีไซน์ที่ดูหรูไม่แพ้ใคร Infinix Hot 7 มีจุดเด่นที่แบตเตอรี่ใหญ่จุใจ แถมยังมีเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือที่ทำให้ราคา 3,100 บาทของ Hot 7 ดูคุ้มค่าขึ้นอีกเป็นกอง แต่ทั้งหมดต้องแลกกับจุดด้อยเรื่องแรมน้อย 1GB ไม่ตอบโจทย์คอเกม และกล้องถ่ายภาพที่ไม่รองรับการถ่ายในที่แสงน้อย

ข้อดี

– ดีไซน์โมเดิร์น ไล่สีดูดีทันสมัย
– แบตเตอรี่อึดนาน 4000 MAh
– มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ

ข้อสังเกต

– RAM 1GB
– ไม่รองรับ 4G

ดูหรูกว่าราคา

Infinix Hot 7 เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดของ Infinix ที่เริ่มเปิดตัวในปี 2013 สินค้าส่วนใหญ่ตั้งเป้าเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ สำหรับประเทศไทย Infinix เปิดตัวทำตลาดในเมืองไทยช่วงปี 2017 มียอดขายรวมประมาณ 2 แสนเครื่องหลังจากทำตลาดมา 7 รุ่น ซึ่งล่าสุด HOT 7 เพิ่งเปิดตัวเดือนกุมภาพันธ์ใน ทำตลาดในราคา 3,190 บาท

ในภาพรวม Hot 7 ไม่ต่างจากจุดเด่นของสมาร์ทโฟน Infinix รุ่นอื่น ทั้งหน้าจอใหญ่คุณภาพความละเอียดสูงในระดับ HD และ Full HD ยังมีระบบเสียงดังสะใจ แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ทำให้ใช้งานได้นานตลอดวัน ไม่ต้องพกแบตสำรองเพื่อการใช้งานระหว่างวัน โดย Hot 7 ผ่ามาใช้ระบบปฏิบัติการ Android 8.1 (Go-Edition) ซึ่งเป็นรุ่นที่เน้นออกแบบมาเพื่อเจาะตลาดระดับเริ่มต้นอย่างแท้จริง

หน้าจอของ Infinix HOT 7 เป็นแบบ Notch Full View ขนาดใหญ่ 6.2 นิ้ว ความละเอียดระดับ HD+ ซึ่งแม้ Hot 7 จะใช้วัสดุตัวเครื่องจากพลาสติกทั้งหมด แต่ดีไซน์เรียบหรูและใหญ่ทำให้เครื่องดูดีเกินราคา โดยในกล่องยังแถมหูฟังมาให้ในขณะที่หลายแบรนด์ซึ่งจำหน่ายในราคาระดับเดียวกันไม่ได้แถมให้

พอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มม.ของ HOT 7 ถูกดึงไปติดไว้ที่ด้านบนของเครื่อง ด้านล่างของตัวเครื่องมีช่อง micro usb ที่คั่นกลางระหว่างไมค์สนทนาและลำโพง ปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่ม power อยู่ฝั่งขวาของเครื่อง ฝั่งซ้ายเป็นที่อยู่ของถาดใส่ซิมแบบ 3 สล็อตยอดฮิต ทั้งหมดนี้อยู่บนขนาดของ Infinix Hot 7 คือ 155.3 x 75.86 x 8.4 มม

ระบบเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือของ HOT 7 อยู่ที่ด้านหลังเครื่อง ทำให้ตอบโจทย์ผู้ที่ถนัดทั้งระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ และใบหน้าซึ่งใช้งานได้ง่ายกว่า

RAM 1GB ไม่เอื้อ

HOT 7 ใช้ชิปเซ็ต MediaTek MT6580 เป็นชิปเซ็ต Quad-Core MediaTek MT6580 ที่มีความเร็วในการประมวลผล 1.3 GHz หน่วยความจำ RAM ขนาด 1GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายในขนาด 16GB ระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 8.1 (Go Edition)

ปัญหาคือ RAM 1GB ไม่เอื้อต่อการใช้งานกับบางแอปพลิเคชัน เกมบางเกมนั้นหมดสิทธิ์เปิดใช้บน HOT 7 เพราะหน่วยความจำที่หดหายไปรวดเร็วเมื่อเปิดใช้งานไม่กี่แอปพลิเคชัน โดยการใช้งาน Facebook จำเป้นต้องใช้ผ่าน Facebook Lite เท่านั้น

กล้องของ HOT 7 ถือว่าทำได้ดีเมื่อถ่ายในที่แสงมาก เช่นเดียวกับเซลฟี่ที่ผู้ใช้บางรายอื่นชื่นชอบภาพถ่ายไร้สิวจากกล้องดิจิทัลด้านหน้าของ HOT 7 ที่ละเอียด 8 ล้านพิกเซล ขณะที่กล้องดิจิทัลด้านหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ซึ่งให้ภาพที่คมชัดดี แต่หากถ่ายในที่แสงน้อย HOT 7 ยังถือว่าสอบไม่ผ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนมือสั่นที่จะไม่รอดแน่นอนหากใช้ HOT 7 ถ่ายภาพแบบไม่มีเวลาเล็ง

หน้าตาโปรแกรมกล้องถ่ายภาพของ Hot 7 ถือว่าใช้งานง่าย ตัวเลือกไม่ซับซ้อน มีสัดส่วนถ่ายภาพให้เลือก 2 ขนาด ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับโหมดได้ตามต้องการ

ระบบเสียง Direct 3D Surrounding ของ HOT 7 นั้นดังกังวาลมาก ขณะที่แบตเตอรี่ขนาด 4000 mAh ถือว่าน่าประทับใจที่สุด เพราะการทดสอบพบว่าแม้จะเหลือแบตเตอรี่เพียง 19% แต่ก็ยังสามารถใช้งานได้อีก 3-4 ชั่วโมง

เมื่อชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม HOT 7 สามารถใช้งานต่อเนื่องแบบปกติได้เกิน 6 วัน แต่น่าเสียดายที่ HOT 7 ไม่รองรับเทคโนโลยีชาร์จไว ทำให้ HOT 7 ใช้เวลาเกิน 2 ชั่วโมง กว่าจะชาร์จเต็มจาก 0% เป็น 100%

เหมาะกับผู้เริ่มต้น

ด้วยราคา 3,190 บาท HOT 7 จึงอาจเป็นคำตอบของผู้เริ่มต้นใช้งานสมาร์ทโฟนที่ยังไม่ต้องการใช้แอปพลิเคชันมากมาย เพราะจำเป็นต้องเลือกใช้เฉพาะแอปพลิเคชันเล็กที่รองรับ Android 8.1 (Go-Edition) โดยที่บริการตระกูล Google Service ยังครบเครื่องพร้อมใช้งาน

แต่สำหรับผู้ใช้ระดับกลางที่หวังจะได้รับประสิทธิภาพเหมือนรุ่นราคา 4,000 บาทขึ้นไปอาจจะต้องผิดหวัง เนื่องจาก HOT 7 ให้พลังได้สมราคา โดยจุดที่เหนือความคาดหมายมีแต่แบตเตอรี่อึดทน ซึ่งหากใครคิดว่าจุดเด่นนี้โดนใจ HOT 7 ก็ถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพราะสมาร์ทโฟนระดับราคา 5,000 บาทบางรุ่น ก็ยังไม่กล้าให้แบตเตอรี่ถึง 4000 mAh อย่างที่ HOT 7 มี.

]]>
Review : Huawei Y7 Pro 2019 ใหญ่อึดใหม่แต่ราคาเดิม https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-y7-pro-2019/ Wed, 20 Feb 2019 05:56:42 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=30181 Huawei Y7 Pro 2019 คือภาคต่อจาก Y7 Pro 2018 ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาในกลุ่มสมาร์ทโฟนราคาต่ำกว่า 5,000 บาทมาก่อนหน้านี้ สำหรับปีนี้ Y7 Pro 2019 กลายเป็นรุ่นใหม่ที่ถอดสเปกมาแบบไม่เกรงใจใคร โดยเพิ่มความใหม่ที่แบตเตอรี่อึดกว่าเดิม กล้องหน้าละเอียดขึ้น ระบบกล้อง AI หน้าจอที่ขยายขึ้นเล็กน้อย และชิปที่แรงขึ้นนิดเดียว ทั้งหมดนี้จำหน่ายในราคาเดิมแบบไม่ต้องคิดมาก

ข้อดี

– คุณสมบัติเครื่องดีขึ้น แต่จำหน่ายในราคาเท่ารุ่นเก่า
– ระบบลื่นไหลแม้เครื่องทำงานหนักและเปิดหลายแอปพร้อมกัน
– แบตเตอรี่อึดทนนาน เหลือ 10% ยังใช้ได้ 3 ชั่วโมง

ข้อสังเกต

– ไม่มีเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือ
– ไม่เหมาะกับการภาพถ่ายแสงน้อย
– หากไม่ได้ชาร์จกับ adapter ที่ให้มา จะชาร์จได้ช้ามาก

ต่างกันนิดเดียว?

สิ่งที่ Huawei ทำกับ Y7 Pro 2019 นั้นต้องบอกว่าถอดแบบมาจาก Y7 รุ่นปี 2018 ชนิด copy แล้ว paste เพราะจุดขายใหม่อย่างกล้องหลังคู่ AI ที่เพิ่มมาให้ในรุ่นปี 2019 ก็ยังมีขนาด 13 ล้านพิกเซลและ 2 ล้านพิกเซลเท่ากับรุ่น 2018 (ภาพด้านล่าง) เพียงแต่จัดเรียงในแนวตั้ง แทนที่จะเป็นแนวนอนแบบเดิม

Y7 Pro 2019 มีขนาดยาว ใหญ่ และหนักกว่ารุ่น 2018 ขนาดตัวเครื่อง 158.9 x 76.9 x 8.1 มม. หนัก 168 กรัม (จากเดิม 158.3 x 76.7 x 7.8 มม. หนัก 155 กรัม) ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้จะเห็นได้ชัดเมื่อนำ 2 เครื่องมาวางทาบกันเท่านั้น

ขนาดที่ใหญ่ขึ้นเป็นเพราะหน้าจอของ Y7 Pro 2019 ถูกเปลี่ยนเป็นดีไซน์ไร้ขอบแบบหยดน้ำขนาด 6.26 นิ้ว (15.21 ซม.) ถือเป็นขนาดที่ใหญ่กว่า 5.99 นิ้วของรุ่น 2018 (15.9 ซม.) เพียงเล็กน้อย รูปแบบหน้าจอคือ IPS LCD ที่มีความหนาแน่นพิกเซล 269 ppi เท่าเดิม บนสัดส่วนที่ต่างกันเพราะรุ่นใหม่มีสัดส่วน 19.5:9 ยาวกว่ารุ่น 2018 ที่มีสัดส่วน 18:9

จาก Y7 รุ่นปี 2018 ที่ Huawei ออกแบบให้ด้านบนเครื่องไร้ร่องรอยใด ปีนี้ Huawei ดึงพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มม. ไปติดไว้ที่ด้านบนของเครื่อง ด้านล่างของตัวเครื่องมีช่อง micro usb ที่คั่นกลางระหว่างไมค์สนทนาและลำโพง

Y7 Pro 2019 ออกแบบให้ปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่ม power อยู่ฝั่งขวาของเครื่อง ฝั่งซ้ายเป็นที่อยู่ของถาดใส่ซิมแบบ 3 สล็อตยอดฮิต

สิ่งที่ Huawei ทิ้งไปคือระบบเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือ ทำให้ด้านหลังเครื่องของ Y7 Pro 2019 ราบเรียบไร้รอย จุดนี้ Huawei หยิบมาเฉพาะระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Unlock) ซึ่งได้รับความนิยมมากกว่าในผู้ใช้บางกลุ่ม

สำหรับหน้าจอไร้ขอบแบบหยดน้ำ Huawei เปิดช่องให้ลบรอยหยดน้ำออกได้เช่นเคย

ทำงานไหลลื่น

ชิปประมวลผลของ Y7 Pro 2019 คือ Qualcomm Snapdragon 450 แต่ของรุ่น 2018 เป็น Snapdragon 430 ที่ด้อยกว่าเล็กน้อยเท่านั้น ระบบปฏิบัติการยังเป็น Android 8.1 OREO (EMUI 8.2) เช่นเดิม

แบตเตอรี่ Y7 รุ่น 2019 ถูกจัดเต็มความจุมากถึง 4,000 mAh ใช้งานได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น จุดนี้ต้องชื่นชมเพราะเมื่อทำงานคู่กับ RAM 3GB เครื่องสามารถทำงานได้ลื่นไหลบนหน่วยความจำภายในเครื่อง 32GB (รองรับเมมโมรี่การ์ดสูงสุด 512GB) ซึ่งทั้งหมดเท่ากันกับรุ่น 2018

สำหรับคอเกม Y7 รุ่น 2019 จะไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะใช้ชิปการ์ดจอ Adreno 506 พัฒนาเล็กน้อยจากเดิม Adreno 505 ส่งให้เล่นเกมส์ได้ดีไม่น่าเกลียด

ผลการทดสอบของ Y7 รุ่น 2019 ถือว่ายังด้อยกว่ารุ่นกลางล่าง สำหรับส่วนของแบตเตอรี่ พบว่าแบตเตอรี่ที่ให้มามากถึง 4,000 mAh (จากเดิม 3,000 mAh) สามารถใช้งานได้ยาวนานเกิน 2 วัน แต่การไม่รองรับระบบชาร์จไว ทำให้การชาร์จจาก 10% เป็น 100% ใช้เวลาเกิน 2 ชั่วโมง

กล้องคู่ AI

การเพิ่มกล้อง AI ให้ Y7 Pro 2019 ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงลูกเล่นสำหรับการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ แต่น่าเสียดายที่ Master AI สามารถช่วยให้ถ่ายภาพได้สวยเฉพาะในช่วงแสงจ้าเท่านั้น เพราะในภาวะแสงน้อย Y7 Pro 2019 ถือว่าสอบไม่ผ่าน


Y7 Pro 2019 คือกล้องที่เหมาะกับคนรักการ Selfie เพราะกล้องหน้ามีการเพิ่มความละเอียดให้เป็น 16 ล้านพิกเซล จากรุ่นปี 2018 ทื่มีกล้องหน้า 8 ล้านพิกเซลเท่านั้น มีโหมด HDR มาให้พร้อมไฟแฟลชกล้องหน้า

ข้อมูลระบุว่า AI Camera พร้อมไฟแฟลช LED ของ Y7 ปี 2019 มีฐานข้อมูลการวิเคราะห์ภาพ AI Scene Recognition กว่า 500 ซีน 22 ประเภท การทดสอบพบว่าระบบจำแนกได้รวดเร็ว แต่ก็มีส่วนที่ผิดพลาดบ้าง นอกจาก AI โหมดการถ่ายรูปหลากหลายยังมีมาให้ครบใน Y7 2019 เช่นเดียวกับโหมดมืออาชีพสำหรับคนชอบตั้งค่า



สรุป

ตัวเครื่องและจอแสดงผลสวยงามทำให้ราคาจำหน่ายที่วางไว้ 4,990 บาทถูกมองว่าดีงามมาก โดยเฉพาะการถ่ายรูปที่ง่ายและรวดเพราะพลังของ AI Scene ยังมีแบตเตอรี่ 4000 mAh ที่ทำให้หมดห่วงไม่ต้องชาร์จทุกวัน (ระบบยังคงจะเตือนว่าแบตเตอรี่ต่ำเมื่อเหลือ 20% และตัดคุณสมบัติบางส่วนออกเพื่อประหยัดแบตเตอรี่แม้จะแสดงผลว่ายังสามารถใช้งานต่อได้กว่า 6 ชั่วโมง)

นอกจากนี้ Y7 Pro 2019 ยังสามารถตอบโจทย์คอเกมได้ระดับหนึ่ง ถือเป็นอีกสมาร์ทโฟนราคาไม่ถึง 5 พันบาทที่น่าสนใจมากทีเดียว.

]]>
Review : Xiaomi Redmi 5A จ่ายน้อย ได้ (ไม่) ครบ? https://cyberbiz.mgronline.com/review-xiaomi-redmi-5a/ Wed, 28 Mar 2018 11:30:33 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=28225 Xiaomi Redmi 5A เป็นสมาร์ทโฟนที่รวมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ระดับ “เชื่อถือได้” ไว้ภายใต้งบประมาณไม่เกิน 3,000 บาท ถือว่าสอบผ่านทั้งประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า การออกแบบเครื่อง และการเป็น IR Remote แอปพลิเคชันที่เปลี่ยนสมาร์ทโฟนให้เป็นรีโมทควบคุมของใช้ในบ้าน

แต่สิ่งที่ขาดหายไปใน Redmi 5A คือไม่มีเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือ ไม่มีไจโรสโคป (gyroscope) วัดการหมุนวนเครื่อง ซึ่งอาจกระทบกับการเล่นเกมและใช้แอปพลิเคชันบางประเภท

แม้เป็นโทรศัพท์ที่ดี แต่ 5A ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อหักลบพื้นที่ติดตั้งแอปพลิเคชันจากโรงงานและระบบประมวลผล จะเหลือพื้นที่หน่วยความจำที่ใช้ได้จริงเพียง 10.45GB ผิดจากที่ระบุไว้หน้ากล่องว่ามีหน่วยความจำ 16GB ซึ่งหากซื้อสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่น พื้นที่เก็บข้อมูลจริงจะอยู่ที่ราว 12GB

ข้อดี

– คุณสมบัติโดยรวมครบตามที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ต้องการ ราคาสบายกระเป๋าช่วงโปรโมชันต่ำกว่า 3,000 บาท

– ใช้ชิป Snapdragon 425 ทำให้เครื่องทำงานลื่นไหล

– กล้องหลัก 13 ล้านพิกเซล f/2.2 กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล f/2 ตามมาตรฐาน Redmi

– แบตเตอรี่ใหญ่ 3000mAh ใช้งานได้ข้ามวัน

ข้อสังเกต

– ไม่มีเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือ ทำให้ไม่ค่อยมีทางเลือกปลดล็อกเครื่องได้เร็วขึ้น

– ไม่มี gyroscope รองรับบางแอปพลิเคชันไม่เต็มที่

– ผู้นิยมถ่ายวิดีโออาจจำเป็นต้องใช้ microSD กับรุ่น 16GB เพราะพื้นที่เก็บข้อมูลฟรีเหลือเพียง 10.5GB เท่านั้น

Xiaomi เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงเรื่องสมาร์ทโฟนราคาประหยัด เกือบทุกรุ่นของ Xiaomi ถูกยกย่องว่าจัดสเปกตรงใจลูกค้าในราคาสบายกระเป๋า โดยในประเทศไทย Redmi 5A เป็นข่าว “ขายเกลี้ยงในไม่ถึงครึ่งชั่วโมง” หลังจากจับมือ Lazada จำหน่ายครั้งแรก 9 กุมภาพันธ์ 2561 ในราคา 2,790 บาท ทำยอดขายกว่า 2,000 เครื่องตั้งแต่ช่วง 15 นาทีแรก

สิ่งสำคัญที่ทำให้ Redmi 5A ได้รับความสนใจ เพราะความเชื่อว่าราคา 5A ถูกกำหนดไว้ประมาณครึ่งหนึ่งของราคาสมาร์ทโฟนอื่น ที่มักราคาเริ่มต้นเกือบ 5,000 บาทในคุณสมบัติใกล้เคียงกัน จุดขายหลักที่ Xiaomi ประกาศคือแรม 2GB และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล 16GB

คนไทยไม่ใช่ชาติเดียวที่สนใจ 5A ในราคาโปรโมชัน เพราะที่อินเดีย 5A จำหน่ายในราคา Rs 4,999 สำหรับ 5 ล้านเครื่องแรก หลังจากนั้นราคาจะกลับไปเป็น Rs 5,999 โดยรุ่นแรม 3GB และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล 32GB จะคงราคาขายปลีกที่ Rs 6,999

เครื่องสวยได้มาตรฐาน

ตามพิมพ์นิยมสมาร์ทโฟนทั่วไป ตัวเครื่องมีน้ำหนักให้ความรู้สึกแน่น ด้านหลังเครื่องโค้งเล็กน้อย ถือในมือข้างเดียวได้สบายตามฉบับสมาร์ทโฟนหน้าจอ 5 นิ้วทั่วไป

Redmi 5A ใช้วัสดุพลาสติกด้านหลังเครื่องซึ่งถือจับได้ไม่ลื่น น้ำหนัก 137 กรัม ขนาด 140.4 x 70.1 x 8.4 มม. รองรับหูฟัง ด้านหลังมีกล้องเดี่ยวพร้อมแฟลช LED และลำโพง

ส่วนบนสุดของเครื่องมีพอร์ตเสียงและ IR blaster สำหรับควบคุมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่รองรับ ด้านล่างเป็นพอร์ต USB สำหรับชาร์จ (ไม่ใช่พอร์ตที่รองรับการชาร์จเร็ว) ด้านขวาเรามีปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่มเปิด/ปิดเครื่อง ด้านซ้ายเป็นช่องใส่ 2 ซิมการ์ดและการ์ด microSD เพื่อขยายพื้นที่จัดเก็บข้อมูล

ทุกด้านของเครื่องไม่มีการติดตั้งเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือใด จุดนี้สำหรับคนที่ไม่คิดมาก ก็สามารถใช้งานได้ปกติเหมือนช่วงที่เทคโนโลยียังไม่โดดเด่น และเลือกปลดล็อกโทรศัพท์แบบวิธีดั้งเดิม เช่นการป้อนรหัสหรือเลื่อนมือลากเส้นตามรูปแบบเพื่อเปิดหน้าจอ

แรงพอเล่นเกม-ทำงาน

จอแสดงผลของ Redmi 5A ไม่ทำให้ผิดหวัง Redmi 5A มีหน้าจอ HD IPS ขนาด 5 นิ้วความละเอียด 720×1280 พิกเซล สีสันดูสดใสและคมชัด ขณะที่โปรเซสเซอร์ Snapdragon 425 ถือว่าคุ้มสำหรับโทรศัพท์ที่ราคาไม่สูง

เมื่อใช้งานหลายแอปพลิเคชัน-ท่องเว็บ-ดูวิดีโอพร้อมกันพบว่าไม่ดุด แต่การที่ระบบปฏิบัติการปิดแอปฯแบคกราวด์เป็นประจำเพื่อให้มีที่ว่าง การสลับจากแอปหนึ่งไปยังอีกแอปพลิเคชันหนึ่งจึงล่าช้าเล็กน้อย

เกมเช่น Castle Crush และ Asphalt Xtreme ทำงานได้ดี แต่มีรายงานว่าเกมอย่าง Final Fantasy XV: Pocket Edition ติดขัดแม้จะตั้งค่ากราฟิกต่ำสุด โดยลำโพงที่อยู่ด้านหลังเครื่องเป็นเรื่องดีเพราะนิ้วผู้ใช้ไม่บดบังเมื่อเล่นเกมแนวนอน

กล้องดีแต่มือต้องนิ่ง

ด้วยกล้องถ่ายรูปหลัก 13 ล้านพิกเซล f / 2.2 และกล้องหน้าเพื่อการ selfe f / 2 ขนาด 5 ล้านพิกเซล ทำให้ภาพจาก 5A อยู่ในระดับมาตรฐาน แต่ผู้ที่มีปัญหามือสั่นเมื่อถ่ายภาพ อาจเซ็งกับ 5A ได้เพราะภาพที่ถ่ายจะเบลอชัดเจน

ข้อดึของ 5A คือมีโหมด HDR ที่เป็นตัวเลือกให้สามารถปรับปรุงคุณภาพภาพได้อีกนิด และแอปกล้องถ่ายรูปใน 5A มีคุณสมบัติเหมาะสม และมีตัวเลือกเพียงพอที่จะทำให้การถ่ายภาพทำได้ง่าย มีโหมดแต่งสวยเพื่อขจัดสิวและทำให้ผิวนางแบบในภาพเรียบเนียนขึ้น

แบตเตอรี่ใช้ได้นานข้ามวัน

แม้ว่าความจุแบตเตอรี่จะไม่ใช่จุดตัดสินว่าสมาร์ทโฟนเครื่องนั้นแบตอึดหรือหมดเร็ว เพราะวิธีการบริหารแบตเตอรี่ในเครื่องต่างหากที่สำคัญกว่า แต่แบตเตอรี่ 3000mAh ใน 5A ถือว่าทำให้อุ่นใจได้ เพราะรองรับการใช้งานปกติได้ข้ามวัน ซึ่งหากเล่นวิดีโอต่อเนื่อง เราพบว่า 5A เล่นได้นานเกิน 5 ชั่วโมงเมื่อชาร์จเต็มที่

ทั้งหมดนี้ต้องยกความดีให้ประสิทธิภาพของ MIUI 9.2 ซึ่งเป็นส่วนติดต่อผู้ใช้ที่มีใน 5A จากโรงงาน มีการปรับแต่งค่าต่างๆสำหรับการแจ้งเตือน และการตั้งค่าแอปที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบให้ทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

จุดอ่อนที่พบใน 5A คือการชาร์จไฟ เพราะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะชาร์จเต็ม ดังนั้น Redmi 5A จะแบตเตอรี่เต็มได้เมื่อชาร์จนาน 2.5 ชั่วโมง ถือเป็นอีกจุดที่ต้องทำใจเพราะ 5A มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ แต่ไม่มีเทคโนโลยีชาร์จไวหรือ fast-charging

เมื่อเปิดเว็บบน Wi-Fi นาน 25 นาทีจะเสียแบตเตอรี่ราว 4% ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมงในการชาร์จจาก 0-90%

ฟันธงควรซื้อไหม?

Redmi 5A คือคำตอบที่ใช่สำหรับคนที่อยากได้สมาร์ทดฟนราคาไม่เกิน 3,000 บาท ราคาไม่แพง-เครื่องรับประกัน 1 ปี-ชิปเซ็ต Snapdragon และถาดใส่ซิมรวมถึง MicroSD 3 ช่อง ถือว่า 5A คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป

แต่ทั้งหมดนี้ต้องทำใจเรื่องการชาร์จที่ช้า และปลดล็อกแบบดั้งเดิมซึ่งไม่สะดวกเหมือนการใช้เซ็นเซอร์ลายนิ้วมือ ประเด็นนี้ทำให้ 5A ถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟนครั้งแรก เช่นกลุ่มเด็ก หรือผู้ที่ต้องการมือถือสำรองที่ใช้งานง่าย

สุดท้าย หากงบประมาณพอ การจ่ายเงินที่มากขึ้นเพื่อซื้อสมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพมากกว่า 5A ก็เป็นทางเลือกที่น่าพิจารณา เพราะจะทำให้ได้มือถือที่มีกล้องดีขึ้น และมีเซ็นเซอร์ลายนิ้วมือที่สะดวกกว่าเมื่อใช้งานจริง.

]]>
Review : Asus Zenfone 4 Max Pro เน้นหนักที่แบตอึด แชร์แบตให้เพื่อนก็ได้ https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-zenfone-4-max-pro/ Sat, 11 Nov 2017 13:13:11 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=27550

หนึ่งในซีรีส์ที่ได้รับความนิยมของเอซุสในปีที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้น Zenfone 3 Max ที่ชูจุดเด่นในเรื่องของการเป็นสมาร์ทโฟนที่มากับแบตเตอรีขนาด 5,000 mAh แถมยังพ่วงความสามารถในการแปลงสมาร์ทโฟนเป็นพาวเวอร์แบงค์เพื่อชาร์จแบตให้กับเครื่องอื่นได้ด้วย

ประกอบกับเมื่อดูในไลน์สินค้าของ เอซุส จะเห็นว่ามีการแตกไลน์ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆด้วยกันคือ ซีรีส์ Max ที่เป็นรุ่นเริ่มต้นเน้นเรื่องแบตฯเป็นพิเศษ ถัดมาเป็น Selfie ที่เน้นเรื่องกล้องหน้า และสุดท้ายคือรุ่นปกติที่จะจับตลาดกลางบนเป็นหลัก

ดังนั้น Asus Zenfone 4 Max และ Max Pro จึงเป็นสมาร์ทโฟนที่อยู่ในช่วงระดับราคาต่ำกว่าหมื่นบาท (5,990 – 7,990 บาท) แต่ไม่ใช่ว่าจะโดดเด่นที่เรื่องแบตเพียงอย่างเดียว เพราะตัวเครื่องก็มากับหน่วยประมวลผลระดับที่พอใช้งาน และยังมีกล้องหลังคู่มาให้ใช้งานด้วย

การออกแบบ

รุ่นที่ทีมงานได้มารีวิวในวันนี้คือ Asus Zenfone 4 Max Pro ที่จะมีแบตเตอรีมากกว่ารุ่น Zenfone 4 Max ธรรมดา โดยตัวเครื่องจะมากับขนาด ขนาด 154 x 76.9 x 8.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 181 กรัม มีให้เลือกด้วยกัน 3 สี คือ Deepsea Black Sunlight Gold และ Rose Pink

ด้านหน้าจะมีหน้าจอ 2.5D IPS ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด HD (1280 x 720 พิกเซล) โดยส่วนบนหน้าจอประกอบไปด้วยกล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช ลำโพงสนทนา และเซ็นเซอร์ตรวจจับใบหน้า ล่างหน้าจอเป็นปุ่มโฮมและเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ พร้อมปุ่มย้อนกลับ และเรียกดูแอปที่ใช้งานล่าสุด

ด้านหลังไล่จากส่วนบนจะมีกล้องหลักคู่ที่เป็นเลนส์ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล คู่กับเลนส์มุมกว้าง พร้อมไฟแฟลช ถัดลงมาเป็นสัญลักษณ์เอซุส โดยจะใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียม เน้นความเรียบง่ายเป็นหลัก ภายในมีแบตเตอรี 5,000 mAh อยู่

ด้านซ้ายจะมีช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์ (Nano Sim) ที่มีความพิเศษตรงช่องใส่ซิมที่ 2 ไม่ต้องแชร์กับช่องใส่การ์ด MicroSD เหมือนหลายๆแบรนด์ สะดวกสบายสำหรับคนที่ใช้ 2 ซิมแล้วต้องการใส่การ์ดความจำเพิ่มด้วย ถือเป็นอีกจุดที่น่าสนใจของรุ่นนี้

ด้านขวามีปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง และปุ่มเปิดปิดเครื่อง ด้านบนมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. และไมโครโฟน ด้านล่างเป็นพอร์ตไมโครยูเอสบี และช่องลำโพง (โมโน)

อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่อง นอกจากตัวเครื่อง อะเดปเตอร์ สายชาร์จ หูฟัง และคู่มือการใช้งานแล้ว เอซุส ยังได้แถมสาย OTG หรือสายแปลงหัวไมโครยูเอสบี เป็นพอร์ตยูเอสบีให้เสียบสายชาร์จ หรือแฟลชไดรฟ์เพื่อต่อใช้งานได้ทันทีมาให้ด้วย

สเปก

ASUS Zenfone 4 Max Pro จะขับเคลื่อนด้วยซีพียู Qualcomm Snapdragon 430 Octa-core ความเร็ว 1.4GHz กราฟิก Adreno 505 พร้อมแรม 3GB รอม 32GB ระบบปฏิบัติการเป็น Android 7.1.1 ครอบทับด้วย ASUS ZenUI 4.0 และแบตเตอรีความจุ 5,000 mAh

ด้านสเปกการเชื่อมต่อเครือข่าย รองรับ 3G/4G ในบ้านเราทั้งหมด โดย 4G (รองรับ VoLTE) จะรองรับความเร็วระดับ Cat4 ดาวน์โหลด 150Mbps 3G รองรับความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 42 Mbps ส่วน WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 b/g/n บลทูธ 4.0, มี GPS/A-GPS/GLONASS/BDSS และภาครับสัญญาณ FM

ฟีเจอร์เด่น

ในแง่ของฟีเจอร์การใช้งานทั่วไป Zenfone 4 Max Pro จะคล้ายๆกับรุ่นที่เคยรีวิวไปก่อนหน้านี้อย่าง Zenfone 4 Selfie ที่มีการใช้อินเตอร์เฟสของ Zen UI 4.0 มาครอบเพื่อให้ใช้งานได้ในสไตล์ของเอซุส ซึ่งถือว่าทำออกมาได้เบา ทำให้เครื่องไม่หน่วงเวลาใช้งานแม้จะให้ RAM มาเพียง 3GB

โดยจุดเด่นหลักๆของเครื่องรุ่นนี้จริงๆ ก็จะเป็นเรื่องของการแชร์แบตเตอรี ที่สามารถต่อกับอะเดปเตอร์เพื่อแชร์แบตให้เครื่องอื่นได้ เพราะด้วยแบตเตอรีที่ให้มา 5,000 mAh ก็เปรียบเหมือนพาวเวอร์แบงค์ขนาดเล็กๆอันหนึ่ง

แต่ถ้าไม่ได้ไปแชร์ใช้ให้ใคร เมื่อใช้เครื่องปกติ ระยะเวลาการใช้งานที่ได้ก็ถือว่าใช้งานได้สบายๆ 2-3 วัน ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งาน แต่ถ้าใช้งานต่อเนื่องหนักๆ ก็จะได้ประมาณ 1 วันสบายๆ เพราะด้วยสเปกที่ให้มาก็ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ตามระดับราคาของเครื่อง

ในส่วนของกล้องที่ให้มา แม้ว่าจะมีลูกเล่นอย่างกล้องคู่มาให้ด้วย แต่คุณภาพของรูปทีไ่ด้จากกล้องรองที่เป็นเลนส์มุมกว้างนั้น ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร เนื่องจากใช้เลนส์ความละเอียดต่ำ เหมือนใส่มาเพื่อให้การถ่ายภาพได้มุมมองที่แปลกไปมากกว่า

ขณะที่ในแง่ของโหมดถ่ายภาพที่ให้มาก็เป็นมาตรฐาน มีทั้งโหมดอัตโนมัติ โหมดโปร ที่เข้าไปตั้ง ISO และ Speed Shutter ได้เอง แต่ถ้าเน้นถ่ายง่ายๆ สนุกๆโหมดอัตโนมัติที่ให้มาก็พอแล้ว ไม่นับรวมกับพวกโหมดพิเศษอย่างพาโนราม่า หรือการถ่ายภาพเป็นไฟล์ GIF

ที่เหลือก็จะเป็นลูกค้าที่มากับ Zen UI ภายใต้ Zen Motion ที่จะมีให้เลือกตั้งค่าอย่างการจับภาพหน้าจอ สามารถกดปุ่ม Recent Apps ค้างไว้เพื่อบันทึกภาพแทน หรือการแตะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่อเปิดปิดหน้าจอ การวาดตัวอักษรบนหน้าจอเพื่อเรียกใช้แอปเป็นต้น

ทดสอบประสิทธิภาพ

Antutu Benchmark = 44,447 คะแนน
Quadrant Standard = 14,760 คะแนน

PassMark PerformanceTest
System = 3513 คะแนน
CPU Tests = 81,572 คะแนน
Memory Tests = 5,267 คะแนน
Disk Tests = 36,236 คะแนน
2D Graphics Tests = 2,446 คะแนน
3D Graphics Tests = 807 คะแนน

3D Mark

Sling Shot Unlimited = 566 คะแนน
Sling Shot Extreme = 296 คะแนน
Sling Shot = 569 คะแนน
Ice Storm Extreme = 5,838 คะแนน
Ice Storm Unlimited = 9,483 คะแนน
Ice Storm = 10,004 คะแนน

PC Mark

Work 2.0 = 3,716 คะแนน
Computer Vision = 1,704 คะแนน
Storage = 3,155 คะแนน
Work = 4,846 คะแนน

Geekbench 4
Single-Core = 656 คะแนน
Multi-Core = 2,493 คะแนน
Compute = 2,129 คะแนน

ขณะที่การทดสอบแบตเตอรีผ่าน PCMark จะอยู่ที่ 15 ชั่วโมง 5 นาที เมื่อแบตเตอรีเหลือ 20% ดังนั้นถ้าใช้งานต่อเนื่องจนถึงแบตหมดเหมือนใช้งานต่อเนื่องได้ทั้งวันสบายๆ หรือถ้าใช้งานทั่วๆไปในแต่ละวัน ก็สามารถอยู่ได้ 2-3 วัน

สรุป

ด้วยการที่เอซุสในซีรีส์เน้นเรื่องแบตเตอรีเป็นหลัก ดังนั้นถ้าอยากได้สมาร์ทโฟนที่แบตอึดๆ ใช้ได้ยาวๆก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในราคาระดับนี้ เพราะโดยรวมกับสเปกที่ให้มาอยู่ในช่วงกลางๆ พอกับการใช้งานทั่วๆไป อย่างใช้โซเชียลมีเดีย แชท เล่นเน็ต ดูซีรีส์ยาวๆ แต่ถ้าจะเอามาเล่นเกมหนักๆ ตัวเครื่องก็จะมีอาการหน่วงอยู่นิดๆ

ข้อดี

– แบตเตอรี 5,000 mAh ที่ใช้ได้ยาวๆ และแชร์แบตให้เพื่อนได้
– มีสาย OTG (แปลง MicroUSB เป็น USB) มาให้ในกล่อง
– มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือให้ใช้งาน
– กล้องหลังคู่ที่เป็นเลนส์มุมกว้าง

ข้อสังเกต

– ประสิทธิภาพตัวเครื่องจะอยู่ในระดับกลางๆ
– กล้องคู่ที่ให้มาคุณภาพไม่ค่อยดี ส่วนกล้องหลักตามราคาเครื่อง
– ZenUI ที่ให้มายังไม่ค่อยเสถียรมากนัก
– ดีไซน์ไม่ได้มีความแปลกใหม่จากรุ่นเดิมมากนัก

Gallery

]]>
Review : HUAWEI MediaPad T3 10 ใส่ซิมได้ จอใหญ่ ในราคาไม่ถึงหมื่น https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-t310/ Wed, 20 Sep 2017 04:47:46 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=27212

MediaPad T3 10 ถือเป็นอีกหนึ่งแท็บเล็ตจากหัวเว่ยที่มีราคาไม่แพง พร้อมเน้นความคุ้มค่าเท่าที่แท็บเล็ตจะให้ได้ทั้งหน้าจอขนาดใหญ่ 9.6 นิ้ว ใส่ซิมใช้งาน 4G โทรออก รับสาย รับข้อความได้ ไปถึงรองรับการเพิ่มการ์ดความจำ MicroSD ได้ตามต้องการ ทั้งหมดนี้  HUAWEI MediaPad T3 10 จัดให้ในราคาไม่ถึงหมื่นบาท

การออกแบบ

HUAWEI MediaPad T3 10 ใช้หน้าจอ IPS ขนาด 9.6 นิ้วความละเอียด HD 1,280×800 พิกเซล ความสว่างหน้าจออยู่ที่ 300 นิต ความหนาตัวเครื่องอยู่ที่ 7.95 มิลลิเมตร มาพร้อมกล้องหน้า 2 ล้านพิกเซล

ด้านหลังใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียม พร้อมกล้องหลังความละเอียด 5 ล้านพิกเซลแบบออโต้โฟกัส

ในส่วนปุ่มกดและช่องเชื่อมต่อรอบตัวเครื่อง เริ่มจากด้านล่างจะเป็นที่อยู่ของลำโพง 1 ตัวให้เสียงแบบโมโน

ด้านซ้ายเป็นช่องเชื่อมต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์แบบ Nano Sim (รองรับซิมเดียว) พร้อมช่องใส่ MicroSD Card ถัดมาเป็นช่อง MicroUSB สำหรับเชื่อมต่อสายชาร์จไฟหรือเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์

ด้านขวา เป็นปุ่มเพิ่มลดระดับเสียงและปุ่มเปิดปิดเครื่อง

ในส่วนอุปกรณ์เสริมนอกจากอะแดปเตอร์ชาร์จไฟแล้ว ทางหัวเว่ยยังให้ฟิล์มกันรอยและเคสแถมมากับ MediaPad T3 10 (แต่เมื่อใส่เคสแล้วจะไม่สามารถถ่ายรูปและเสียบหูฟังได้)

สเปก

MediaPad T3 10 ขับเคลื่อนด้วยซีพียู Qualcomm Snapdragon 425 Quad Core 1.4 GHz พร้อมแรม 2GB (เหลือให้ใช้งานจริงประมาณ 900MB-1GB) รอมให้มา 16GB (เหลือใช้งานจริงประมาณ 7-8GB) ขับเคลื่อนด้วย Android 7.0 Nougat ครอบทับด้วย EMUI 5 แบตเตอรี 4,800 mAh

ด้านการเชื่อมต่อเครือข่าย รองรับ 4G ในบ้านเรา สามารถใช้งานส่วนโทรศัพท์ รับข้อความได้ แต่ต้องเปิดลำโพงเครื่องเพื่อฟังเสียงหรือถ้าอยากได้ความเป็นส่วนตัวก็ต้องพึ่งพา Smalltalk

ส่วน WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n แบบ Dual Band บลูทูธรองรับเวอร์ชัน 4.1 มี GPS/AGPS/GLONASS และ BDS จับสัญญาณไวพอสมควร สามารถใช้นำทางได้

ฟีเจอร์เด่น

หน้าตาของยูสเซอร์อินเตอร์เฟส MediaPad T3 10 จะเหมือนกับสมาร์ทโฟนหัวเว่ยรุ่นใหม่ๆ แอปฯเสริมมีมาให้กำลังพอดี เช่น Microsoft Office ส่วนแอปฯโทรศัพท์ รับข้อความจะถูกซ่อนอยู่ในโฟลเดอร์เครื่องมือ

นอกจากนั้นหัวเว่ยยังได้ติดตั้งแอปฯสำหรับให้เด็กใช้งานไว้ด้วย โดยผู้ปกครองสามารถควบคุมและกรองการใช้งานแอปฯในตัวเครื่องให้เหมาะสำหรับลูกของคุณได้

ส่วนฟีเจอร์อย่าง Multitasking เปิด 2 แอปฯในหน้าจอเดียวก็มีให้เลือกใช้ใน MediaPad T3 10 เช่นกัน (แต่ทดลองเปิดบางแอปฯการใช้งานจะค่อนข้างหน่วง เนื่องมาจากแรมในตัวเครื่องมีเพียง 2 GB เท่านั้น)

สุดท้ายในส่วนกล้องถ่ายภาพ นอกจากโหมดอัตโนมัติปกติแล้วยังมี HDR และสามารถสแกนเอกสารได้

โดยในส่วนคุณภาพของกล้องหน้าและหลังถือว่าอยู่ในเกณฑ์พอใช้แก้ขัดได้ ส่วนกล้องหน้ามี Beauty Mode ทำหน้าใสมาให้ด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพ

PC Mark Work 2.0 = 3,568 คะแนน
AnTuTu Benchmark = 38,004 คะแนน

3D Mark
Sling Shot = 55 คะแนน
Ice Storm Extreme = 3,695 คะแนน
Ice Storm = 7,267 คะแนน

AndroBench
Seq. Read = 157.84MB/s
Seq. Write = 62.79MB/s

PassMark PerformanceTest
System = 2,343 คะแนน
CPU Tests = 54,826 คะแนน
Memory Tests = 5,961 คะแนน
Disk Tests = 2,663 คะแนน
2D Graphics Tests = 2,911 คะแนน
3D Graphics Tests = 523 คะแนน

ด้วยซีพียูที่จับกลุ่มระดับเริ่มต้นและแรมที่ให้มาเพียง 2GB แต่เหลือใช้จริงระดับ 900MB-1GB เท่านั้น แน่นอนว่าการใช้งานจริงทีมงานต้องเรียนตามตรงว่า “ตัวเครื่องทำงานได้หน่วงพอตัว แถมถ้าเปิดแอปฯเป็นจำนวนมาก อาจพบเจออาการแอปฯปิดตัวเองได้ด้วย” ความจริงหัวเว่ยน่าจะให้แรมมาอย่างน้อย 4GB น่าจะทำให้การทำงานดีขึ้นกว่านี้

ด้านรอมที่ให้มา 16GB พร้อมรองรับการใส่การ์ดความจำ MicroSD เพิ่มได้ เอาเข้าจริงแล้วถ้าเป็นคนไม่ได้ใช้งานแท็บเล็ตหนักหน่วงมากก็อาจจะเพียงพอในวันนี้ แต่วันข้างหน้าเมื่อแอปฯมีขนาดใหญ่ขึ้นก็อาจสร้างความวุ่นวายให้ผู้ใช้ต้องมาคอยตามลบหรือย้ายไฟล์ไปฝากไว้ที่ MicroSD Card (ความจริงความจุรอมในตัวเครื่องที่เหมาะสมกับปัจจุบัน ควรเริ่มต้นที่ 32GB เป็นอย่างต่ำ)

ส่วนการใช้เล่นเกมถามว่าทำได้หรือไม่ ทีมงานได้ทดสอบกับเกมหลากหลายรูปแบบก็ถือว่าพอใช้ได้ อย่าง ROV ปรับได้สูงสุดลื่นไหลกำลังดีแต่เกมบางเกมก็แนะนำให้ปรับไปที่ระดับกลาง-ต่ำสุดจะทำให้การเล่นลื่นไหลขึ้น

ด้านการทดสอบแบตเตอรีด้วย PC Mark เปิดหน้าจอทิ้งไว้ตลอดการทดสอบ ทำเวลาได้ 7 ชั่วโมง 5 นาทีเทียบกับแบตเตอรี 4,800 mAh และหน้าจอความละเอียดเพียง HD ถือว่ายังทำเวลาไม่ค่อยน่าประทับใจ

สรุป

สำหรับราคาขาย HUAWEI MediaPad T3 10 อยู่ที่ 8,900 บาท ถ้ามองถึงฟีเจอร์ ลูกเล่นที่ให้มาก็ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคาพอสมควร แต่ถ้ามองเรื่องคุณภาพและประสิทธิภาพ MediaPad T3 10 ยังทำได้ไม่น่าประทับใจนัก โดยเฉพาะแรมและรอมในตัวเครื่องที่ให้มาน้อยไปเสียหน่อย และไม่น่าเพียงพอต่อการใช้งานในอนาคต

แต่ถ้ามองในแง่ซื้อเป็นแท็บเล็ตเสริม เช่น ไว้ใช้งาน GPS หรือใช้เปิดเพลงผ่านแอปฯสตรีมมิ่งต่างๆในรถยนต์ หรือหาซื้อเป็นแท็บเล็ตเพื่อการศึกษาสำหรับลูกหลาน HUAWEI MediaPad T3 10 ก็ถือว่าตอบโจทย์ได้ดี เพราะตัวเครื่องมีขนาดใหญ่แถมใส่ซิมรับ 4G ได้ด้วย

ข้อดี

– ฟีเจอร์ครบครันทั้งใส่ซิม รับ 4G ถ่ายภาพ โทรออก รับสายและรับข้อความได้
– แถมเคสและฟิล์มกันรอยมาให้ในแพกเกจ
– มีกล้องหน้าหลัง คุณภาพพอใช้
– มี GPS นำทางได้

ข้อสังเกต

– รอม 16GB แรม 2GB ไม่เพียงพอใช้งานในอนาคต
– หน้าจอ HD ภาพไม่คมชัด
– มีอาการหน่วงให้เห็นเวลาเปิดแอปฯเป็นจำนวนมาก

Gallery

]]>
Review : ASUS Zenfone 4 Selfie เซลฟีกล้องคู่ในราคาไม่ถึงหมื่น https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-zenfone4selfie/ Sat, 16 Sep 2017 03:24:44 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=27168

เดินทางมาถึงรุ่นที่ 4 กับ ASUS Zenfone สมาร์ทโฟนกระแสแรง ที่ล่าสุดเลือกดึงดาราสุดร้อนแรงอย่าง กง ยู มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์อย่างเป็นทางการ ไปถึงการเปิดรุ่นย่อยของ Zenfone 4 ถึง 6 รุ่นตามแบบฉบับเอซุส ไล่ตั้งแต่รุ่นบนไฮเอนด์สุด อย่าง ASUS Zenfone 4 Pro ลงไปถึงตลาดราคาประหยัดแต่เน้นความอึดของแบตเตอรีอย่าง Zenfone 4 Max โดยรุ่นที่ทีมงานไซเบอร์บิซได้รับมารีวิวในวันนี้จะเป็นรุ่นระดับกลาง เน้นเซลฟีในชื่อ “ASUS Zenfone 4 Selfie” ที่มีความโดดเด่นในเรื่องกล้องหน้าแบบคู่ 2 ระยะเลนส์ เอาใจขาเซลฟีเป็นพิเศษ

การออกแบบ

สำหรับ Zenfone 4 Selfie จะเปิดตัวมาถึง 2 รุ่นย่อยคือรุ่น Pro และรุ่นเริ่มต้น (เป็นรุ่นที่เราจะรีวิวในวันนี้) เน้นราคาประหยัด โดยตัวเครื่องที่ทีมงานได้รับมาเป็นโมเดล ZD553KL มาพร้อมหน้าจอ 2.5D IPS ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด HD 720p (Zenfone 4 Selfie Pro จะเป็นหน้าจอ AMOLED Full HD)

ในส่วนขนาดตัวเครื่องจะมีความหนา 7.85 มิลลิเมตร หนัก 144 กรัม ซึ่งถือเป็นสมาร์ทโฟนอีกหนึ่งรุ่นที่มีน้ำหนักเบา

ใต้จอภาพจะเป็นที่อยู่ของปุ่มโฮมและเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (เป็นแบบสัมผัสไม่ใช่ปุ่มกดจริง) ขนาบข้างด้วยปุ่มย้อนกลับและปุ่มเรียก Recent Apps แบบดั้งเดิมของเอซุส โดยในรุ่นนี้ไม่มีไฟส่องสว่างติดตั้งใต้ปุ่มดังกล่าว

มาดูกล้องหน้าซึ่งถือเป็นจุดขายหลักของ Zenfone 4 Selfie โดยในรุ่นนี้เอซุสใส่กล้องหน้ามาถึง 2 ตัว 2 ระยะเลนส์ (Dual Camera) โดยกล้องหลักมาพร้อมระยะ 31 มิลลิเมตร รูรับแสง f2.0 ความละเอียดภาพสูงสุด 20 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหน้าตัวที่สองมาพร้อมระยะ 12 มิลลิเมตร เป็นเลนส์มุมกว้างพิเศษ 120 องศา (6 ชิ้นเลนส์) มาพร้อมความละเอียดภาพ 8 ล้านพิกเซล โดยกล้องทั้งสองตัวสามารถทำหน้าชัดหลังเบลอได้ และนอกจากนั้นทางเอซุสยังใส่ Softlight LED flash ที่เมื่อใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์ภายในจะช่วยเพิ่มความใสของใบหน้าได้ดีมาก

ด้านหลัง วัสดุจะเป็นอะลูมิเนียมแบบไร้รอยต่อ ในส่วนกล้องหลังมีระยะ 26 มิลลิเมตร ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล มาพร้อมไฟแฟลช LED และระบบออโต้โฟกัสในกล้องใช้เทคโนโลยี Phase detection

มาดูรอบข้างตัวเครื่องกันบ้าง เริ่มจากด้านซ้ายสุดจะเป็นที่อยู่ของช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์ (Nano Sim) ที่มีความพิเศษตรงช่องใส่ซิมที่ 2 ไม่ต้องแชร์กับช่องใส่การ์ด MicroSD เหมือนหลายๆแบรนด์ สะดวกสบายสำหรับคนที่ใช้ 2 ซิมแล้วต้องการใส่การ์ดความจำเพิ่มด้วย

ด้านขวา – เป็นที่อยู่ที่ของปุ่มเพิ่มลดระดับเสียงและปุ่มเปิดปิดเครื่อง

ด้านบน – เป็นช่องเชื่อมต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรและไมโครโฟน

ด้านล่าง – ซ้ายมือสุดเป็นส่วนของไมโครโฟน (รองรับระบบตัดเสียงรบกวน ASUS Noise Reduction Technology) ตรงกลางช่อง MicroUSB ขวามือเป็นช่องลำโพง (โมโน)

สเปก

ASUS Zenfone 4 Selfie รุ่นเริ่มต้นจะขับเคลื่อนด้วยซีพียู Qualcomm Snapdragon 430 Octa-core ความเร็ว 1.4GHz กราฟิก Adreno 505 พร้อมแรม 4GB รอม 64GB เหลือให้ใช้งานจริงประมาณ 49-50GB ระบบปฏิบัติการเป็น Android 7.1.1 ครอบทับด้วย ASUS ZenUI 4.0 และแบตเตอรีความจุ 3,000 mAh

ด้านสเปกการเชื่อมต่อเครือข่าย รองรับ 3G/4G ในบ้านเราทั้งหมด โดย 4G (รองรับ VoLTE) จะรองรับความเร็วระดับ Cat4 ดาวน์โหลด 150Mbps 3G รองรับความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 42 Mbps ส่วน WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 b/g/n บลทูธ 4.0, มี GPS/A-GPS/GLONASS/BDSS และภาครับสัญญาณ FM

ฟีเจอร์เด่น

ภาพรวมของ ZenUI 4.0 มีการอัปเกรดหน้าตาในดูเรียบร้อยและเบาขึ้น แอปฯจากโรงงานที่เกินความจำเป็นถูกตัดออกเหลือเพียงแอปฯที่จำเป็นต่อการใช้งานเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็น ZenUI ที่เบาสบาย ใช้งานลื่นไหลสุดตั้งแต่เอซุสพัฒนาออกมา

ในส่วนฟีเจอร์เด่นของ Zenfone 4 Selfie ก็ถือว่าจัดเต็มมาตามแบบฉบับเอซุส ไล่ตั้งแต่ความสามารถในการทำ Multitasking เปิด 2 แอปฯพร้อมกันในหน้าจอเดียวได้ ไปถึงความสามารถในการบันทึกเสียงสนทนาโทรศัพท์ได้ทันทีและตัวเด็ดที่มาพร้อมกับ ASUS Zenfone มานานอย่างระบบ Boost ที่จะช่วยเคลียร์แรมอัตโนมัติก็ยังมีให้เลือกใช้งานเช่นเดิม

และการใช้งาน Zenfone 4 Selfie ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง ทางเอซุสยังใส่ Outdoor Mode มาให้ โดยเมื่อเปิดใช้งาน ลำโพงของตัวเครื่องจะส่งเสียงดังกว่าเดิมเท่าตัว

Emergency Mode หรือโหมดฉุกเฉิน (เข้าใช้งานได้โดยกดปุ่มปิดเครื่องค้างไว้และกดที่ Emergency Mode) โดยเมื่อเปิดใช้งานและตั้งเบอร์คนสนิทไว้ ระบบจะเปิด GPS และส่งพิกัดให้กับคนสนิทผ่านระบบ ASUS Safeguard อีกทั้งยังช่วยติดต่อเบอร์ฉุกเฉินในพื้นที่ของเราได้ด้วย

Page Maker สำหรับคนที่ชอบอ่านข่าว อ่านบทความผ่านหน้าเว็บไซต์ ระบบ Page Maker จะสามารถเซฟหน้าเว็บไซต์เหล่านั้นเก็บไว้อ่านทีหลังได้ (ออฟไลน์โหมด) อีกทั้งผู้ใช้ยังสามารถเลือกใช้ปากกาสีไฮไลท์ข้อความได้ด้วย

ฟีเจอร์กล้องถ่ายภาพ

อย่างที่ทราบดีว่า Zenfone 4 Selfie จะถูกเน้นการใช้งานกล้องหน้าเพื่อถ่ายเซลฟีเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นฟีเจอร์เซลฟี เอซุสใส่มาแบบจัดเต็มตั้งแต่ Beauty Mode ที่ปรับแต่งได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทำหน้าเนียน เพิ่มความขาว ลบรอยไปถึงเปลี่ยนเชฟใบหน้าก็สามารถทำได้ หรือถ้าอยากปรับแต่งปรับโทนหน้าให้ละเอียดมากขึ้น ทางเอซุสได้ติดตั้งแอปฯ Selfie Master มาให้ใช้งานกันได้อย่างอิสระ

Portrait Mode ร่วมกับกล้องหน้า จะเห็นว่าหน้าชัดหลังเบลอของ ASUS Zenfone 4 Selfie จะใช้ซอฟต์แวร์ช่วยเป็นหลัก

นอกจากนั้นยังมีโหมดถ่ายภาพพิเศษ (ใช้ได้ทั้งกล้องหน้าและหลัง) คือ “Portrait” สำหรับทำหน้าชัดหลังเบลอ

ในส่วนโหมดกล้องปกติ จะไม่แตกต่างจากสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นของเอซุส โดยจะมีโหมดให้เลือกใช้งานตั้งแต่อัตโนมัติ โหมดโปร (ปรับค่ากล้องได้ตามต้องการ) ไปถึงโหมดพาโนรามาหรือ Time Lapse ก็มีให้เลือกใช้เช่นเดิม

สำหรับการใช้งานกล้องหน้า Dual Camera ผู้ใช้สามารถสลับเปลี่ยนกล้องทั้ง 2 ได้ผ่านไอคอนรูปคน โดยกล้องทั้งสองตัวจะทำงานแยกกันอย่างอิสระ เช่น ใช้งานกล้องตัวแรกระยะ 31 มิลลิเมตร ผู้ใช้จะถ่ายรูปที่ความละเอียดสูงสุด 20 ล้านพิกเซล ส่วนเมื่อกดใช้กล้องตัวที่สองระยะ 12 มิลลิเมตร ผู้ใช้ก็จะถ่ายภาพได้ที่ความละเอียดแค่ 8 ล้านพิกเซลเท่านั้น อีกทั้งคุณภาพไฟล์ภาพจากกล้องทั้งสองตัวยังแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ตามตัวอย่างต่อไปนี้

กล้องหน้าตัวที่ 1 ระยะ 31 มิลลิเมตร พร้อมเปิด Beauty Mode (ถ่ายในที่แสงน้อย)

กล้องหน้าตัวที่ 2 ระยะ 12 มิลลิเมตร พร้อมเปิด Beauty Mode จะเห็นว่าได้ภาพที่กว้างกว่ามาก ออกแบบมาเพื่อให้เราสามารถถ่ายเซลฟีกับภาพวิวทิวทัศน์ได้เหมือนกล้อง Action Cam หรือจะถ่ายเซลฟีหมู่ก็ได้ แต่คุณภาพจะลดลงไปพอสมควร (ถ่ายในที่แสงน้อย)

กล้องหน้าตัวที่ 1 ระยะ 31 มิลลิเมตร พร้อมเปิด Beauty Mode และเปิดใช้ Softlight LED flash ควบคู่ไปด้วย

ส่วนกล้องหลักด้านหลังจะให้คุณภาพกลางๆ และไม่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวมาให้

ทดสอบประสิทธิภาพ

AnTuTu Benchmark = 43,892 คะแนน
PCMark Work 2.0 = 3,628 คะแนน

3D Mark
Sling Shot Extreme = 298 คะแนน
Sling Shot = 582 คะแนน
Sling Shot Unlimited = 9,369 คะแนน
Ice Storm Extreme = 5,878 คะแนน

PassMark PerformanceTest
System = 3,575 คะแนน
CPU Tests = 80,284 คะแนน
Memory Tests = 5,367 คะแนน
Disk Tests = 50,023 คะแนน
2D Graphics Tests = 2,434 คะแนน
3D Graphics Tests = 823 คะแนน

AndroBench
Seq. Read = 276.77MB/s
Seq. Write = 211.92MB/s

สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพ อาจเพราะเอซุสเลือกใช้ซีพียูระดับเริ่มต้นทำให้การทำงานไม่ค่อยรวดเร็วนัก แต่ถ้านำไปใช้งานปกติเช่นเล่นเฟสบุ๊ก ท่องเว็บ แชทถือว่าตอบสนองได้ดี แต่ถ้านำไปเล่นเกม Zenfone 4 Selfie อาจไม่เหมาะ

ส่วนการใช้งานกล้องถ่ายภาพจะเจอปัญหาชัตเตอร์ช้าเล็กน้อย (อารมณ์เหมือนกดชัตเตอร์ลงไปแล้วต้องรอประมาณครึ่งถึงหนึ่งวินาทีภาพถึงจะถูกบันทึก) ไม่เหมาะสำหรับการถ่ายสแนป

ด้านแบตเตอรีทดสอบด้วย PC Mark ด้วยการเปิดหน้าจอและเชื่อมต่อ WiFi/4G ตลอดการทดสอบ สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ที่ 8 ชั่วโมง 25 นาที ส่วนทดลองใช้งานปกติจะอยู่ที่ 12-14 ชั่วโมง ใช้งานได้ตลอดทั้งวัน แต่ถ้าใช้งานกล้องถ่ายรูปบ่อยแบตเตอรีค่อนข้างลดลงรวดเร็วพอสมควร

สรุป

สำหรับราคาเปิดตัว ASUS Zenfone 4 Selfie อยู่ที่ 8,990 บาท ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนสเปกระดับกลางค่อนไปทางเริ่มต้นที่มึจุดขายหลักอยู่ที่กล้องหน้าแบบคู่ 2 ระยะเลนส์ เน้นเซลฟีได้ทั้งแบบกลุ่มหรือจะเน้นเดี่ยวแต่สามารถเก็บวิวทิวทัศน์ได่ในราคาไม่ถึงหมื่นบาท โดยถ้าต้องการคุณภาพที่ดีมากขึ้นอาจต้องรอ Zenfone 4 Selfie Pro เพราะในรุ่นที่ทีมงานทดสอบนี้ทั้งกล้องหน้าและหลังยังให้คุณภาพแค่ระดับกลางๆ เท่านั้น

ข้อดี

– ตัวเครื่องน้ำหนักเบา จอภาพขนาดกำลังพอดี
– ช่องใส่ซิม 2 ไม่ต้องแชร์กับ MicroSD
– กล้องหน้าคู่ 2 ระยะ เลนส์ตัวที่สองให้ภาพที่กว้าง สามารถถ่ายเซลฟีหมู่ได้
– ซอฟต์แวร์ช่วยเซลฟีมีให้เลือกใช้หลากหลาย
– ZenUI ปรับมาดีขึ้นมาก

ข้อสังเกต

– คุณภาพกล้องอยู่ระดับกลางๆ ทั้งหน้าและหลัง
– ชัตเตอร์กล้องช้ามาก

Gallery

]]>
Review : Moto M ดีไซน์สะดุดตา ราคาสะดุดใจ https://cyberbiz.mgronline.com/reviews-moto-m/ Mon, 13 Mar 2017 03:39:44 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=25454

ตั้งแต่เปลี่ยนมือจาก Google มาเป็น Lenovo สมาร์ทโฟน Moto ก็มีการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเราก็ได้เห็นสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ซีรีส์ Moto M สมาร์ทโฟนดีไซน์ทันสมัย สไตล์โลหะ (Metal)

นอกจากเรื่องของดีไซน์ที่โดดเด่นแล้ว ในส่วนของสเปกภายในก็เด่นไม่แพ้กัน ด้วยซีพียูแบบ 8 คอร์ หน่วยความจำ 4GB หน้าจอแบบ IPS ขนาด 5.5 นิ้ว Full HD การเชื่อมต่อผ่านทางพอร์ต USB-C รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมแบบ 4G/3G

การออกแบบ

Moto M มีการออกแบบที่ดูโฉบเฉี่ยวน่าสนใจ ตัวเครื่องทำจากโลหะซึ่งเป็นจุดขายของรุ่นนี้ มีขนาดโดยรอบ 151.35 x 75.35 x 7.85 มม. และมีน้ำหนัก 163 กรัม เรียกได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่บางและเบาตัวหนึ่ง แม้ว่าจะใส่เคสที่แถมมาให้ก็ดูไม่เทอะทะ และยิ่งทำให้จับถนัดมือมากขึ้น งานประกอบแน่นหนา มีสีให้เลือกซื้อสามสีคือ ทอง เทา และเงิน

หน้าจอเป็น IPS ขนาด 5.5 นิ้ว แบบ Full HD 1080p (1920×1080 พิกเซล) มีความละเอียดเม็ดสีที่ 401 ppi ทำให้การแสดงผลมีความชัดเจน คมชัด สีสันสดใส บริเวณด้านบนตรงกลางมีช่องลำโพงขนาดใหญ่ ให้เสียงชัดเจน มาพร้อมกล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซลพร้อมซอฟต์แวร์แต่งภาพ


Moto M
มีการออกแบบให้ไม่มีปุ่ม Home ที่ตัวเครื่องภายนอก มีเพียงแค่สัญลักษณ์ Moto แสดงไว้สวยๆ เท่านั้น แต่จะแสดงปุ่ม Home, Recent App และ Back เป็นแบบ Touch Screen ที่หน้าจอแทน

การเปิดปิดเครื่องจะทำได้ที่ปุ่มทางด้านขวาของตัวเครื่อง ซึ่งอยู่ใกล้กับปุ่มเพิ่มลดเสียง ช่องใส่ซิมจะอยู่ทางด้านซ้ายของตัวเครื่อง โดยจะเป็นแบบ Dual Sim สามารถใส่ซิมได้สองเบอร์ และที่ช่องใส่ซิมสองสามารถเลือกที่จะใส่หน่วยความจำเพิ่มเติม MicroSD ได้ (รองรับได้สูงสุด 128 GB)

ด้านบนของตัวเครื่องเป็นช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 นิ้ว ส่วนด้านล่างของตัวเครื่องเป็นช่องไมโครโฟน และพอร์ตเชื่อมต่อ USB-C ส่วนด้านหลังจะเป็นกล้องหลัง 16 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช LED คู่ แบบ CCT และมีที่สแกนลายนิ้วมืออยู่บริเวณด้านล่างของกล้อง

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มากับเครื่องจะมีสายชาร์จ USB-C พร้อมอะแดปเตอร์สำหรับชาร์จไฟ หูฟัง เข็มจิ้มถาดซิม คู่มือ เคสใส และฟิล์มกันรอย

สเปก

สมาร์ทโฟน Moto M ใช้ขุมพลังของซีพียู ARM MediaTek P15 CPU Octa-Core แบบ 64-bit ความเร็ว 2.2GHz และหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ARM Mali T860mp2 มีหน่วยความจำภายใน 4GB พื้นที่เก็บข้อมูล 32GB สามารถใส่ MicroSD เพิ่มได้ 128 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 6.0.1 (Marshmallow)

หน้าจอแสดงผลแบบ IPS ขนาด 5.5 นิ้วที่ความละเอียด Full HD เสริมความทนทานด้วยจอแบบ Corning Gorilla Glass ทนแรงขีดข่วนได้เป็นอย่างดี ตัวเครื่อง Moto M มีเทคโนโลยีไล่น้ำ Nano Coating หมายถึงเมื่อมีน้ำ ฝน หรือฝุ่นกระเซ็นมาใส่เครื่อง สามารถทำความสะอาดได้ง่าย น้ำหรือฝุ่นซึมเข้าตัวเครื่องได้ยาก (ถ่ายใต้น้ำไม่ได้)

Moto M รองรับสัญญาณคลื่นความถี่ LTE (4G)/WCDMA (3G) ถือว่ารองรับการใช้งานคลื่นของทุกค่ายในบ้านเรา การเชื่อมต่อ Wi-Fi รองรับการเชื่อมต่อ Dual Band มาตรฐาน IEEE 802.11 a/b/g/n/ac 2.4GHz และ 5GHz มาพร้อมเทคโนโลยี MIMO รองรับการทำงานร่วมกับเราท์เตอร์แบบ Dual Band ช่วยให้การรับส่งสัญญาณ Wi-Fi มีประสิทธิภาพมากขึ้น

รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 4.1 มีระบบตำแหน่ง GPS, GLONASS, A-GPS สำหรับการใช้พลังงาน Moto M ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาด 3050 mAh รองรับการชาร์จเร็ว 5V/2A

ฟีเจอร์เด่น

Moto M ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 6.0.1 (Marshmallow) แบบ Pure Android ไม่มีการเขียน UI เพิ่มลงไปในระบบ ข้อดีก็คือ มีความเร็วในการทำงาน ฟังก์ชันการทำงานแบบมาตรฐานจาก Google วิดเก็ตมาตรฐาน สามารถปรับแต่งได้ง่ายสำหรับคนที่ชอบโมฯ ระบบ หรือนักพัฒนาแอพฯ บนมือถือ แต่จะขาดความตื่นเต้น เพราะไม่มีวิดเก็ตหวือหวา หรือลูกเล่นแพรวพราวให้ได้ใช้กัน

จุดเด่นอีกอย่างที่น่าสนใจของ Moto M ก็คือ ระบบเสียง Dolby Atmos ระบบเสียงสามทิศทางที่ให้ความสมจริงไม่ว่าจะเล่นเกม ดูหนัง หรือฟังเพลง

ทดสอบประสิทธิภาพ

สำหรับการใช้งานทั่วไป Moto M สามารถทำได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต และความบันเทิงต่างๆ การใช้งานโทรศัพท์สามารถจับสัญญาณ 4G และ 3G ได้ (เมื่อใช้ 2 ซิม) โดยผู้ใช้สามารถเลือกว่าจะใช้ซิมไหนเป็นซิมหลัก และสามารถสลับการใช้งานได้ ตามต้องการ แต่หากต้องการเลือกเพิ่มพื้นหน่วยความจำ คุณจะเสียความสามารถในการใช้สล็อตซิม 2 ไป

คุณภาพเสียงของการรับสายโทรเข้าออกทำได้ชัดเจนดี แม้ในที่ที่มีเสียงรบกวนค่อนข้างเยอะ เช่น ริมถนน ก็ยังสามารถพูดคุยได้โดยไม่ต้องตะโกนเร่งเสียง ด้านการพกพา ด้วยรูปทรงที่ออกแบบมาตัวโทรศัพท์สามารถถือได้ถนัดมือ แต่การออกแบบที่ตัวเครื่องเป็นโลหะทั้งหมด ทำให้ตัวเครื่องค่อนข้างลื่นหลุดมือได้ง่าย แต่ถ้าใส่เคสเข้าไปก็จะช่วยลดความลื่นได้พอสมควร

การใช้งานกล้อง กล้องหลังมากับความละเอียด 16 ล้านพิกเซล F2.0 ขนาดเม็ดพิกเซล 1.0um ช่วยให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น แฟลชแบบ Color Correlated Temperature ช่วยให้ค่าอุณหภูมิสีที่แม่นยำมากขึ้น ภาพที่ใช้แฟลชจะไม่ขาวเวอร์เกินไป โดยเมื่อทดสอบถ่ายภาพโดยใช้แฟลชอัตโนมัติ ระบบจะทำการยิงแฟลชครั้งแรก (Pre Flash) เพื่อวัดแสงและค่าต่างๆ เพื่อคำนวณกำลังแฟลช ก่อนที่ยิงแฟลชจริงพร้อมบันทึกภาพ

นอกจากนี้ยังมีโหมดการใช้งานอาทิ Pro ที่ผู้ใช้สามารถปรับตั้งค่าการใช้งานเอง เช่น ระยะโฟกัส ค่าชดเชยแสง ความเร็วชัตเตอร์ ค่า White Balance และค่า ISO นอกจากนี้ยังมีโหมด Panorama โหมดถ่ายทิวทัศน์ในเวลากลางคืน และเอฟเฟกต์ต่างๆ ให้ใช้ด้วย

จากการใช้งานถ่ายภาพในโหมด Auto และ โหมด Panorama คุณภาพของภาพที่ได้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ทั้งคุณภาพของภาพ สีสัน ด้วยขนาดรูรับแสง F2.0 ทำให้สามารถถ่ายในที่แสงน้อยได้ดี และยังคมชัดอยู่ สำหรับโหมดถ่ายทิวทัศน์ในเวลากลางคืนหากจะใช้งานให้ได้ประสิทธิภาพดี อาจจะต้องมีขาตั้งหรือวางมือถือไว้กับพื้นที่มั่นคง ไม่สั่นไหวง่าย

โหมดถ่ายภาพวิดีโอสามารถบันทึกได้ที่ความละเอียด 4K 30 fps และ FullHD 1080p 60 fps จากการทดสอบถ่ายวิดีโอในตอนกลางคืน คุณภาพที่ได้อยู่ในระดับที่ดี แม้ว่าในการทดสอบเป็นการเดินถ่ายโดยไม่มีขาตั้ง ภาพที่ได้เลยอาจจะสั่นไหวไปบ้าง

หลังจากการใช้งานทั่วไปทั้งวันพบว่า แบตเตอรี่ความจุ 3050 mAh มีความอึดอยู่พอสมควร หากใช้งานหนักๆ จะใช้งานได้ประมาณ 4-5 ชั่วโมง แต่หากใช้งานพื้นฐานก็อาจจะยืดไปได้ถึง 8 ชั่วโมงหรือนานกว่านั้น

ผลการทดสอบ
AnTuTu Benchmark = 49,233
คะแนน
Multi-Touch = 10
จุด

Vellamo

Multicore = 2,439 คะแนน
Metal = 1,267
คะแนน
Chrome Browser = 3,238
คะแนน
Android WebView = 2,898
คะแนน

PCMark
Work 2.0 = 3,209
คะแนน
Computer Vision = 2,976
คะแนน
Storage = 7,479
คะแนน

Battery Life


5
ชั่วโมง 21 นาที

3DMark
Sling Shot using ES 3.1 = 461
คะแนน
Sling Shot using ES 3.0 = 595
คะแนน
Ice Storm Unlimited = 8,583
คะแนน
Ice Storm Extreme = 5,645
คะแนน
Ice Storm = 9,037
คะแนน

PassMark PerformanceTest Mobile
System = 4,955
คะแนน
CPU Tests = 121,267
คะแนน
Disk Tests = 33,797
คะแนน
Memory Tests = 4,876
คะแนน
2D Graphics Test = 3,394
คะแนน
3D Graphics Tests = 1,259
คะแนน

สรุป

Moto M คือสมาร์ทโฟนที่ครบเครื่อง คุ้มค่า รองรับการใช้งานตามที่ต้องการได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะโทรศัพท์ เล่นเกมที่ไม่เน้นกราฟิกหนักๆ ดูหนัง ฟังเพลง ในราคาที่ไม่เกินเอื้อม ประมาณ 9,900 บาท รองรับทั้งระบบ 4G มีระบบรักษาความปลอดภัยแบบสแกนลายนิ้วมือ มีเทคโนโลยีป้องกันละอองน้ำ มีระบบเสียงที่ดี อีกทั้งยังมีพอร์ตแบบ USB-C ที่จะสามารถรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ได้ในอนาคต

ข้อดี

ประสิทธิภาพดี หน้าจอใหญ่
รองรับ 4G และใส่ได้ 2 ซิม (ซิม 2 เลือกระหว่างซิมกับ MicroSD)
ราคาไม่สูงมาก
ระบบเสียง Dolby Atmos ดี

ข้อสังเกต

ตัวเครื่องเป็นโลหะ ถ้าไม่ใส่เคสจะลื่นง่าย
ใช้งานหนักต่อเนื่อง จะเกิดความร้อนง่าย
– Android Pure
เร็วดี แต่ไม่มีลูกเล่น
หน่วยความจำภายในน้อยไป หากใส่ 2 ซิม

]]>
Review : Wiko U Feel Fab ต่ำกว่า 6,000 แต่มาพร้อม 4G และ สแกนลายนิ้วมือ https://cyberbiz.mgronline.com/review-wiko-u-feel-fab/ Tue, 07 Mar 2017 10:51:12 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=25459

Wiko ถือเป็นสมาร์ทโฟนอีกแบรนด์ที่เข้ามาจับในตลาดกลุ่มผู้เริ่มใช้งาน ที่ต้องการเครื่องที่คุ้มค่าในระดับราคาไม่เกินหมื่นบาท ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีในตลาดต่างจังหวัด ด้วยการใส่เทคโนโลยีหลายๆอย่างมาให้ผู้บริโภคได้ใช้งาน

จุดเด่นของ Wiko U Feel Fab คือเป็นแอนดรอย์โฟนที่รองรับ 4G LTE และมาพร้อมกับฟังก์ชันสแกนลายนิ้วมือให้ได้ใช้งานกัน บนราคาจำหน่าย 5,690 บาท ที่มากับหน่วยประมวลผลระดับควอดคอร์ ให้ RAM 3 GB แม้ว่าจะมี ROM มา 32 GB แต่สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้

การออกแบบ

รูปลักษณ์ของ Wiko ยังถือว่าอยู่ในกรอบเดิมๆของสมาร์ทโฟน ที่เน้นจอขนาดใหญ่ โดยมีขอบตัวเครื่องโค้งรับการจับถือ ตัดกับลายฝาหลังสีเทา โดยมีขนาดรอบตัว 154.35 × 77.15 × 10.6 มม. น้ำหนัก 193 กรัม วางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 3 สี คือ ดำ เงิน และโรสโกลด์

ด้านหน้าเป็นจอ IPS ขนาด 5.5 นิ้ว โดยเป็นจอแบบขอบโค้ง 2.5D ความละเอียด HD (1280 x 720 พิกเซล) ความละเอียดเม็ดสี 266 ppi ส่วนบนหน้าจอ มีกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช ขนาบไปกับช่องลำโพงสนทนาที่อยู่ชิดขอบบนเครื่อง

ส่วนล่างหน้าจอจะมีปุ่มที่ทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไปในตัว ส่วนปุ่มย้อนกลับ โฮม และเรียกดูแอปล่าสุดจะถูกนำไปรวมกับหน้าจอแสดงผลภาย ทั้งนี้เมื่อแกะกล่องออกมาตัวเครื่องจะมีการติดฟิลม์มาให้อยู่แล้ว เรียกว่าเปิดมาก็พร้อมใช้งานทันที

ด้านหลังอย่างที่บอกว่าจะมีการทำลายฝาหลังเป็นสีเทาตัดกับตัวเครื่องสีดำ (จริงๆฝาหลังจะคลุมตัวเครื่องทั้งหมด) โดยจะมีการวางกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช สัญลักษณ์ Wiko และแนวลำโพงอยู่ตรงกึ่งกลางทั้งหมด

เมื่อแงะฝาหลังออกมา ภายในจะมีแบตเตอรีขนาด 4,000 mAh ที่ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้ ส่วนบนจะมีช่องใส่ไมโครซิมการ์ดโดยซิม 1 จะอยู่ทางซ้าย และซิม 2 กับช่องใส่ไมโครเอสดีการ์ดจะอยู่ทางขวา

ด้านซ้ายจะถูกปล่อยว่างไว้ ด้านขวามีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดเครื่อง (ปุ่มเปิดปิดค่อนข้างเล็ก) ด้านบนมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ด้านล่างจะมีช่องไมโครยูเอสบีอยู่ที่มุมซ้าย และไมโครโฟนสนทนา

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาภายในกล่องนอกจากตัวเครื่อง และแบตเตอรีแล้ว จะมีอะเดปเตอร์ชาร์จไฟ สายไมโครยูเอสบี หูฟัง อะเดปเตอร์แปลงซิมการ์ด คู่มือการใช้งาน ฟิลม์กันรอย และเคสใส ให้ใช้งานเบื้องต้น

สเปก

สำหรับสเปกของ Wiko U Feel Fab จะมาพร้อมกับหน่วยประมวลผล MediaTek MT6735 Cortex-A53 Quad-Core 1.25 GHz RAM 3 GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 32 GB รองรับไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติม 64 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 6 Mashmallow

ตัวเครื่องรองรับการทำงานแบบ 2 ซิม (ใช้เป็นไมโครซิมการ์ด) 4G LTE / 3G ทุกคลื่นที่ให้บริการในไทย พร้อมรองรับการเชื่อมต่อไวไฟ มาตรฐาน 802.11 b/g/n บลูทูธ 4.0 วิทยุ FM สามารถต่อพอร์ตไมโครยูเอสบีใช้เป็น OTG ได้ตามปกติ

ฟีเจอร์เด่น

การทำงานหลักๆของ Wiko U Feel Fab ส่วนใหญ่จะมาในลักษณะของ Pure Android ไม่ได้มีการครอบ UI พิเศษ เพื่อสร้างความต่างให้แก่ผู้ใช้งาน แต่เน้นความง่ายในการใช้งาน ไม่ซับซ้อนเป็นหลัก ทำให้หน้าหลักของการใช้งานจะมีการรรวมไอค่อนหลักมาไว้ ให้ผู้ใช้กดใช้ได้ทันที

ขณะเดียวกันก็จะมีหน้ารวมแอปพลิเคชัน ที่ใช้การแสดงผลแบบจัดเรียงอักษรมาให้ โดยส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับแอปพื้นฐานทั่วๆไป และกูเกิล เซอร์วิส รวมถึงการเพิ่มแอปอย่าง 360 Security ตัวเคลียแอปที่เปิดใช้งานค้างไว้มาให้ใช้เพิ่มเติม

นอกจากนี้ ก็จะมี Apps Lock ที่ไว้มาป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเข้าถึงแอปพลิเคชันส่วนตัว โดยผู้ใช้สามารถเลือกล็อกแอปที่ต้องการไว้ได้ ด้วยการใส่รหัส เมื่อเรียกใช้งานแอปที่ตั้งค่าไว้ก็จะต้องใส่รหัสก่อนเริ่มใช้งาน

ตัวจัดการไฟล์ในเครื่องที่จะแสดงผลเป็นไฟล์แต่ละประเภท ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ เพลง วิดีโอ เอกสาร ตัวติดตั้งแอป (Apks) และไฟล์ที่มีการบีบอัด (Zip) พร้อมระบุพื้นที่ว่างภายในโทรศัพท์ หรือจะเลือกดูตามโฟลเดอร์ของไฟล์ก็ได้เช่นเดียวกัน

แน่นอนว่า สำหรับผู้ที่ไม่เคยใช้งานสมาร์ทโฟนมาก่อน Wiko จะมีส่วนพิเศษที่จะแสดงผลเมื่อกดค้างที่หน้าจอหลัก จะมีการขึ้นแนะนำแอปพลิเคชันที่น่าสนใจ พร้อมกับทางลัดในการเข้าในงานแอปพลิเคชันต่างๆ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานสะดวกขึ้น

ส่วนฟังก์ชันที่ Wiko มีการใส่เพิ่มมาให้เป็นลูกเล่นของรุ่นนี้จะมีทั้ง Smart Action ไม่ว่าจะเป็นการดับเบิลคลิกเพื่อเปิดปิดหน้าจอคว่ำเครื่องเพื่อปิดเสียงยกเครื่องแนบหูเพื่อรับสายทันทีและฟีเจอร์อื่นๆที่รวมถึงการวาดตัวอักษรบนหน้าจอเพื่อเข้าแอปด่วนไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์เครื่องเล่นเพลงกล้อง

ในส่วนของการสแกนลายนิ้วมือ ผู้ใช้สามารถนำนิ้วมือที่ตั้งค่าไว้ไปสัมผัสที่เซ็นเซอร์ได้ทันที โดยไม่ต้องกดเปิดหน้าจอก่อน ช่วยให้สามารถกดใช้งานได้เร็วขึ้น โดยสามารถตั้งลายนิ้วมือได้สูงสุด 5 ลายนิ้วมือ ควบคู่ไปกับการป้อนรหัส หรือเลือกรูปแบบในการปลดล็อก

โหมดการใช้งานกล้องจะเน้นที่ความง่าย ผู้ใช้สามารถเปิดขึ้นมา พร้อมกดชัตเตอร์ในการถ่ายภาพได้ทันที หรือจะเข้าไปเลือกโหมดในการถ่ายภาพไม่ว่าจะเป็น ถ่ายภาพปกติ ถ่ายภาพหน้าสวย โหมดมืออาชีพในการปรับแต่งต่างๆ พาโนราม่า ถ่ายภาพชดเชยแสง โหมดกลางคืน และโหมดกีฬา

รวมถึงการเข้าไปตั้งค่าว่า เมื่อใช้นิ้วสัมผัสหน้าจอจะเป็นการถ่ายภาพทันทีหรือไม่ การสลับกล้องหน้าหลัง ถ่ายรูปอัตโนมัติเมื่อตรวจจับรอยยิ้ม เปิดปิดเสียงชัตเตอร์ เลือกขนาดภาพ ขนาดวิดีโอ บันทึกพิกัด GPS ถือว่าให้มาค่อนข้างครบ

การใช้งานโทรศัพท์จะมาพร้อมกับระบบคาดเดารายชื่อ เมื่อมีสายเข้าจะสามารถใช้นิ้วลากเพื่อรับสาย ตัดสาย ส่งข้อความกลับ ขณะสนทนาจะมีการแสดงผลว่าใช้งานบนระบบ HD Voice ชื่อ เบอร์ เวลาที่ใช้สาย พร้อมปุ่มลัดในการเปิดลำโพง ปิดไมค์ พักสาย บันทึกเสียง เรียกปุ่มกด ได้ทันที

เว็บเบราว์เซอร์ที่ให้มา กับการใช้งานหน้าจอขนาด 5.5 นิ้วถือว่าอยู่ในระดับที่กำลังดีผู้ใช้สามารถสลับการแสดงผลได้ทั้งแนวตั้งแนวนอนเลือกให้แสดงผลเป็นหน้าเว็บไซต์สำหรับพีซีและมือถือได้ตามปกติ

ทดสอบประสิทธิภาพ

AnTuTu Benchmark = 27,603 คะแนน

Quadrant Standard = 8,675 คะแนน

Multitouch Test = 5 จุด

Vellamo
Chrome Browser = 1,686 คะแนน
Android WebView = 1,758
Metal = 914
คะแนน
Multicore = 1,292
คะแนน

Geek Bench 4.0
Single-Core 525 คะแนน
Multi-Core 1,429 คะแนน
RenderScript = 761 คะแนน

Battery ผ่าน PC Mark ได้ 6 ชั่วโมง 33 นาที (แบตเหลืออีก 20%)


3DMark
Sling Shot Extreme = 102 คะแนน
Sling Shot = 154 คะแนน
Ice Storm Unlimited = 2,324 คะแนน
Ice Storm Extreme = 2,324 คะแนน
Ice Storm = 4,130 คะแนน

PC Mark
Work 2.0 = 2,507 คะแนน
Computer Vision = 1,433 คะแนน
Storage = 2,364 คะแนน
Work = 3,501 คะแนน

PassMark PerformanceTest Mobile
System = 3,117 คะแนน
CPU Tests = 18,216 คะแนน
Disk Tests = 23,312 คะแนน
Memory Tests = 3,885 คะแนน
2D Graphics Tests = 2,530 คะแนน
3D Graphics Tests = 771 คะแนน

สรุป

ถ้าเป็นกลุ่มผู้ใช้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนมาใช้งาน ถัดจากเครื่องที่ได้ฟรีจากโอเปอเรเตอร์ และมีงบประมาณจำกัด การเลื่อนขึ้นมาใช้งาน Wiko U Feel Fab ถือเป็นอีกรุ่นที่น่าสนใจในช่วงระดับราคาประมาณ 5,000 บาท จากการที่ตัวเครื่องรองรับ 4G LTE ทำให้ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้สะดวกขึ้น

แต่ถ้ามองในแง่ของประสบการณ์ใช้งานโดยรวม ก็ต้องยอมรับว่ากับระดับราคาดังกล่าว ถ้าต้องการเครื่องที่ลื่นไหลมากๆ ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะจะมีข้อจำกัดในแง่ของหน่วยประมวลผลพอสมควร ทำให้ประสิทธิภาพในการใช้งานอยู่ในระดับกลางๆเท่านั้น

สิ่งที่เพิ่มขึ้นมา และทำให้เครื่องน่าสนใจคือการใส่พวกเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ กับเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวต่างๆ ทำให้มีลูกเล่นเพิ่มเติมมาใช้งานกัน แต่ถ้าไม่ได้มองว่าพวกนี้สำคัญ กับมีงบประมาณที่เพิ่มขึ้น ก็ขยับไปเล่นในระดับ 8,000 – 10,000 บาท จะมีตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า

ข้อดี

ข้อสังเกต

Gallery

]]>
Review : HUAWEI GR5 2017 กล้องหลังคู่ ราคาโดน https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-gr5-2017/ Tue, 10 Jan 2017 10:32:53 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=25065

gr52017

หลังจากหัวเว่ยส่ง Mate 9/ Mate 9 Pro เข้ายึดหัวหาดสมาร์ทโฟนเรือธงประจำปีนี้ไปแล้ว เปิดปีใหม่มา หัวเว่ยก็พร้อมส่งน้องสุดท้องอย่าง “HUAWEI GR5 2017” เข้ายึดตลาดสมาร์ทโฟนราคาไม่ถึงหมื่นบาทอีกครั้ง

โดย GR5 รุ่นก่อนหน้าหัวเว่ยเน้นความหรูหราและลูกเล่นกล้องถ่ายภาพให้เลือกใช้มากมายในราคาที่ทุกคนเอื้อมถึง มาในรุ่น 2017 หัวเว่ยนำเทคโนโลยีกล้องคู่จากพี่ใหญ่ P9 และ Mate 9 มาใช้ครั้งแรกของโลกสมาร์ทโฟนราคาไม่ถึงหมื่นบาท แต่ประสิทธิภาพจะเป็นอย่างไร ติดตามได้จากบทความรีวิวนี้

การออกแบบ

IMG_0567

IMG_0574

HUAWEI GR5 2017 ถูกปรับเปลี่ยนด้านการออกแบบ ให้ตัวเครื่องมีความโค้งมนรับกับการจับถือได้ถนัดยิ่งขึ้น หน้าจอแสดงผลขนาดเท่าเดิมคือ 5.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1,920×1,080 พิกเซล พร้อมกล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล

ขนาดตัวเครื่อง เริ่มจากความกว้าง 76.2 มิลลิเมตร ยาว 150.9 มิลลิเมตร หนา 8.2 มิลลิเมตร น้ำหนัก 162 กรัม

IMG_0570

IMG_0573

ด้านหลังวัสดุเป็นอะลูมิเนียม พื้นผิวแบบ sandblast (นำทรายพ่นลงไปบนเนื้อเหล็ก) มาพร้อมกล้องถ่ายภาพแบบคู่ (Dual Camera) ติดตั้งอยู่ต่ำแหน่งเดียวกับ Mate 9 ความละเอียดภาพ 12 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ LED 1 ดวง

ถัดลงมาด้านล่าง เป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือรุ่น 3.0 ทำงานเร็วและปลอดภัยกว่าเดิม โดยหัวเว่ยเครมว่าสามารถปลดล็อคหน้าจอด้วยเวลาน้อยกว่า 1/3 วินาที

IMG_0577

มาดูปุ่มกดและช่องเชื่อมต่อรอบตัวเครื่อง เริ่มจากด้านบนของเครื่องเป็นที่อยู่ของช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรและไมโครโฟน

IMG_0576

ด้านล่างเป็นส่วนของไมโครโฟนหลัก พอร์ต USB 2.0 และลำโพง

IMG_0578

ด้านขวา เป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงและปุ่มเปิดปิดเครื่อง

IMG_0579

IMG_0584

ด้านซ้าย เป็นช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์ รองรับ 2 ซิม โดยช่องใส่ซิม 2 จะใช้ร่วมกับช่อง MicroSD Card

สเปก

spec-gr517

memgr517

เริ่มจากซีพียู ใช้ HUAWEI Kirin 655 Octa-core แบ่งความเร็วเป็น 4 แกนชุดแรกมีความเร็ว 1GHz และ 4 แกนชุดสองมีความเร็ว 1.7GHz มาพร้อมแรม 3GB รอม 32GB เหลือให้ใช้งานจริงประมาณ 24GB ขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 6.0 และ EMUI 4.1

ด้านการเชื่อมต่อเครือข่าย รองรับ 3G/4G ทุกเครื่อข่ายในประเทศไทย (แต่ไม่รองรับเทคโนโลยีรวมคลื่นความถี่) WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 b/g/n บลูทูธรองรับรุ่น 4.1 และแบตเตอรีภายในความจุ 3,340mAh

ซอฟต์แวร์และฟีเจอร์เด่น

home-gr517

apps-gr517

HUAWEI GR5 2017 ขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 6.0 (Marshmallow) และครอบทับด้วย EMUI 4.1 (ไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด) โดยแอปฯที่ติดตั้งมาจากโรงงานส่วนใหญ่จะคล้ายกับทุกรุ่นของหัวเว่ยพร้อมแอปฯฟังวิทยุ เพราะ GR5 จะมีภาครับสัญญาณวิทยุติดตั้งมาให้ด้วย

beauty-gr517

มาถึงแอปฯเด่น “Beauty Plus” ก็มีติดตั้งมากับ GR5 2017 ด้วย โดยตัวแอปฯน่าจะเหมาะแก่ผู้ชอบเซลฟี เพราะสามารถตกแต่งหน้าของเราได้ทุกสัดส่วนตั้งแต่ ทำหน้าเนียน ลบสิว ปรับทรงหน้ารวมถึงมีฟิลเตอร์ให้เลือกใช้หลากหลาย

multtask-gr517

ส่วนคนที่ชอบเปิดพร้อมกันในหน้าเดียว GR5 2017 ก็มีโหมดเปิดใช้งานสองแอปฯพร้อมกันได้โดยใช้เทคนิคแบ่งครึ่งหน้าจอ ใครอยากชมวิดีโอจากยูทูปพร้อมแชทหรือเล่นเฟสบุ๊กไปด้วยก็สามารถทำได้ทันที

ซอฟต์แวร์กล้อง

camera-gr517

ด้านซอฟต์แวร์กล้อง การออกแบบยูสเซอร์อินเตอร์เฟสจะคล้ายกับ HUAWEI P9/P9 Plus โดยการเปลี่ยนโหมดภาพสามารถปัดหน้าจอไปทางขวาจะมีโหมดภาพให้เลือกหลากหลายตั้งแต่ โหมดอัตโนมัติ โหมดโปรปรับตั้งค่ากล้องเอง HDR โหมดเซลฟี ถ่ายภาพกลางคืน (ความละเอียดภาพลดลงเหลือ 8 ล้านพิกเซล) พาโนรามา ถ่ายภาพอาหาร ภาพวาดด้วยแสง (ชัตเตอร์ช้า แนะนำใช้ร่วมกับขาตั้งกล้อง) เป็นต้น

widea-gr517

IMG_20170104_145738_1

ส่วนทีเด็ดสุดสำหรับโหมดถ่ายภาพก็คือ “Wide Aperture” ทำหน้าชัดหลังเบลอแบบเดียวกับ P9 และ Mate 9 ด้วยเทคนิคเดียวกันคือใช้เลนส์คู่ในการวัดระยะชัดของภาพ จากนั้นเมื่อถ่ายภาพเสร็จแล้ว เราสามารถกดเลือกโฟกัสพร้อมปรับรูรับแสง (จำลอง) ได้กว้างสุดถึง f0.95

ทดสอบประสิทธิภาพ

pcmark-gr517

PC Mark
Work 2.0 = 4,453 คะแนน
Computer Vision = 2,419 คะแนน
Storage = 5,379 คะแนน

bench-gr517

AnTuTu Benchmark = 56,422 คะแนน

3DMark
Sling Shot Extreme = 383 คะแนน
Sling Shot = 567 คะแนน
Ice Storm Extreme = 7,689 คะแนน
Ice Storm = 11,333 คะแนน

PassMark PerformanceTest Mobile
System = 5,461 คะแนน
CPU Tests = 144,551 คะแนน
Disk Tests = 48,198 คะแนน
Memory Tests = 5,923 คะแนน
2D Graphics Tests = 3,753 คะแนน
3D Graphics Tests = 1,340 คะแนน

Vellamo
Chrome Browser = 2,583 คะแนน
Metal = 1,497 คะแนน
Multicore = 2,003 คะแนน

Multitouch Test = 10 จุด

สรุปภาพรวมด้านการทดสอบประสิทธิภาพ HUAWEI GR5 2017 ถ้าเทียบคะแนนกับสมาร์ทโฟนเรือธงจะอยู่ประมาณ Nexus 5 หรือถ้าเทียบกับตลาดสมาร์ทโฟนปัจจุบันจะอยู่ในช่วงกลางๆค่อนไปทางกลุ่มราคาประหยัด ส่วนการใช้งานจริงก็ถือว่าหัวเว่ยปรับระบบมาพอใช้ได้ ความลื่นไหลสำหรับการใช้งานทั่วไปถือว่าดี แต่ถ้าผู้ใช้ชอบเล่นเกม 3 มิติ GR5 2017 อาจให้ผลลัพท์ที่ไม่ดีนัก ไม่แนะนำครับ

IMG_20170104_144010IMG_20170104_181536IMG_20170109_192337IMG_20170104_111056IMG_20170109_192246

ส่วนการถ่ายภาพด้วยกล้องหลังคู่เพื่อทำภาพหน้าชัดหลังเบลอ ส่วนนี้ถือว่าหัวเว่ยทำได้ดีไม่ต่างจากพี่ใหญ่เรือธง แต่เรื่องคุณภาพของไฟล์ภาพ สีสันและโทนจะแตกต่างกันพอสมควร โดยภาพที่ถ่ายได้จาก GR5 2017 จะดูทึมๆ สีสันไม่จัดจ้านนัก

batttest-gr517

สุดท้ายส่วนแบตเตอรี เป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากที่สุด เพราะแบตเตอรี 3,340mAh บวกระบบจัดการพลังงานของหัวเว่ยทำให้สามารถใช้งานต่อเนื่อง (เปิดหน้าจอตลอดการทดสอบ) ได้ถึง 10 ชั่วโมง 12 นาที ถ้าคิดเป็นเวลาใช้งานปกติของคนทั่วไปจะทำเวลาได้ประมาณ 16-18 ชั่วโมง เรียกได้ว่าใช้งานได้ทั้งวันสบายๆ

สรุป

IMG_0581IMG_0582

ราคาเปิดตัว HUAWEI GR5 2017 อยู่ที่ 8,900 บาท มีให้เลือก 3 สีได้แก่ สีทอง สีเทาและสีเงิน

เทียบกับประสิทธิภาพและฟังก์ชันใช้งานที่ได้แล้ว ก็ถือเป็นสมาร์ทโฟนราคาประหยัดประสิทธิภาพกลางๆ ไม่โดดเด่นและไม่แย่เกินไป แน่นอนจุดเด่นหลักของรุ่นนี้ก็คือกล้องหลังคู่ สามารถถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้ที่ชอบถ่ายภาพบุคคล มาโคร ภาพอาหาร โดยเฉพาะผู้หญิง GR5 2017 มีทั้งโหมดเซลฟี ซอฟต์แวร์ปรับแต่งภาพเซลฟีและกล้องหน้าที่ดีไว้ใจได้ แถมแบตเตอรีก็ถือเป็นจุดเด่นโดนใจขาแชทแน่นอน

ข้อดี

– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแม่นยำและทำงานได้รวดเร็ว
– กล้องหลังคู่ ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอไม่ต่างจากรุ่นเรือธง
– การออกแบบดูหรูหรา เก็บงานดี งานประกอบแน่นหนา
– แบตเตอรีอึด

ข้อสังเกต

– ยังเป็นแอนดรอยด์ 6.0 และ EMUI 4.1 จากปีที่แล้ว
– ประสิทธิภาพกลางๆ ไม่โดดเด่นไปทางใดพิเศษ

]]>
Review : Wiko Robby 2GB จอใหญ่ RAM เยอะในราคา 3,790- https://cyberbiz.mgronline.com/review-wiko-robby-2gb/ Fri, 28 Oct 2016 04:13:18 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=24300

DSC00820

ในตลาดสมาร์ทโฟนจอใหญ่ในช่วงระดับราคาต่ำกว่า 5,000 บาท ถือเป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง เนื่องจากผู้ผลิตหลายๆรายต่างเชื่อว่าจะสามารถเจาะเข้ามาในตลาดนี้ได้ง่าย เพราะเป็นกลุ่มที่มีความต้องการสูง ขอแบ่งเค้กในส่วนนี้นิดหน่อยก็เพียงพอที่จะสร้างรายได้ให้แก่บริษัทแล้ว

ในจุดนี้ Wiko ก็ถือเป็นอีกแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับฐานลูกค้าในกลุ่มนี้ จึงมีการออกผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนจับตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้มีการส่ง Wiko Robby  2GB เป็นสมาร์ทโฟน 3G 2 ซิม ขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้ว พร้อมกล้องหลัก 8 ล้านพิกเซล และกล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล มาจับกลุ่มลูกค้าที่เริ่มเปลี่ยนมาใช้งานสมาร์ทโฟนในราคา 3,790 บาท

การออกแบบ

DSC00803

ในแง่ของการออกแบบ Wiko Robby จะเน้นไปที่ความเรียบ ผสมกับความโค้งบริเวณขอบตัวเครื่อง เพื่อเพิ่มความหรูหรา และทำให้เครื่องดูแข็งแรง แม้ว่าฝาหลังที่คลุมจะใช้วัสดุที่ทำจากพลาสติกเป็นหลัก และส่งผลให้ตัวเครื่องมีน้ำหนักอยู่ที่ 185 กรัม ขนาดรอบตัวเครื่องอยู่ที่ 155 x 79.1 x 10 มิลลิเมตร มีให้เลือกด้วยกัน 3 สี คือ Space Grey Gold และ Rose Gole ซึ่งสีจะอยู่ที่ฝาหลังทั้งหมดทำให้สามารถหาซื้อฝาหลังมาเปลี่ยนสีได้

DSC00816

ด้านหน้า – ไล่จากส่วนบนจะมีช่องลำโพงสนทนา ถัดลงมาไล่จากซ้ายเป็นสัญลักษณ์ Wiko เซ็นเซอร์ตรวจวัดแสดง ไฟแฟลชสำหรับเซลฟี่ และกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ถัดลงมาเป็นหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว แบบ IPS 16 ล้านสี ความละเอียด 720p (1280 x 720 พิกเซล ความละเอียดเม็ดสี 267 ppi ขอบล่างก็จะมีลำโพงอีกตัวอยู่ จึงกลายเป็นมีลำโพงทั้งขอบบนและขอบล่าง

ความแตกต่างจากสมาร์ทโฟนทั่วไปของ Robby คือมีการใส่ลำโพงสนทนามาให้ใช้งานทั้งขอบบนและขอบล่าง ดังนั้นเวลาหยิบขึ้นมาใช้งานโทรศัพท์ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหยิบถูกด้านหรือไม่ เพราะหน้าจอจะหมุนแสดงผลตามทิศทางที่ถือเครื่อง และเรียกใช้งานลำโพง และไมค์ตามด้านที่ใช้งาน

DSC00805

ด้านหลัง – พื้นผิวจะเป็นพลาสติกเคลือบเงาให้ดูมีความคล้ายโลหะ โดยจะมีกล้องหลักความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ไฟแฟลช และสัญลักษณ์ Wiko เรียงกันอยู่ตรงกลาง สามารถถอดฝาหลังออกมาได้ เพียงแต่จะเป็นฝาหลังแบบหุ้มครอบทั้งตัวเครื่อง ทำให้เวลาแกะต้องงัดจากบริเวณขอบขวาล่างที่มีช่องให้งัดอยู่

DSC00829

เมื่อถอดฝาหลังแล้วจะพบกับแบตเตอรี Li-Polymer ขนาด 2,500 mAh ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ โดยมีช่องใส่ไมโครซิม 1 อยู่ที่ส่วนบน ขณะที่ไมโครซิม 2 จะใส่ได้ก็ต่อเมื่อถอดแบตเตอรีออกมา เช่นเดียวกับไมโครเอสดีการ์ดที่สามารถใส่เพิ่มได้สูงสุด 64 GB นอกจากนี้ ก็จะมีการระบุรายละเอียดตัวเครื่องว่ารุ่นนี้ได้รับการออกแบบที่ฝรั่งเศส ผลิตที่จีน ได้รับการขออนุญาตในการจำหน่ายเรียบร้อย

DSC00812DSC00813ด้านซ้าย – จะถูกปล่อยว่างไว้ ด้านขวา – มีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง

DSC00811DSC00810

ด้านบน – เป็นช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ด้านล่าง – พอร์ตไมโครยูเอสบีสำหรับเชื่อมต่อ และเสียบสายชาร์จ

DSC00823สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่อง ประกอบไปด้วยตัวเครื่อง เคสยางใส อะเดปเตอร์ สายยูเอสบี หูฟัง คู่มือ ถาดแปลงซิมการ์ด และฟิลม์ใสมาให้ติดใช้งานด้วย

สเปก

s06

สำหรับฮาร์ดแวร์ภายในของ Wiko Robby จะใช้งานหน่วยประมวลผลแบบ ควอดคอร์ 1.3 GHz บนพื้นฐานของ Cortex-A7 ใช้จีพียู ARM Mali 400 MP RAM 2 GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 16 GB ที่สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้ 64 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 6.0 (Marshmallow)

ด้านการเชื่อมต่อรองรับ 3G ทุกคลื่นความถี่ในประเทศไทย โดยอัตราการดาวน์โหลดอัปโหลดสูงสุดจะอยู่ที่ 21/5.76 Mbps รองรับการใช้งาน 2 ซิม แต่ซิมเสริมสแตนบายบน 2G เช่นเดิม ส่วนไวไฟทำงานบนมาตรฐาน 802.11 b/g/n บลูทูธ 4.0 มีระบบจีพีเอสภายใน วิทยุFM ตามปกติ

ฟีเจอร์เด่น

s01

ในแง่ของการใช้งานWiko Robby จะใช้พื้นฐานของแอนดรอยด์ 6.0 ในการทำงานอยู่แล้ว โดยเริ่มจากหน้าแรกที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่ง เลือกนำแอป หรือวิตเจ็ตที่ใช้งานประจำมาไว้เพื่อเรียกใช้งานได้ง่ายขึ้น ส่วนหน้าจอล็อกเครื่องก็จะมีแสดงผลการล็อกหน้าจอ เรียกกล้อง และเรียกใช้งานคำสั่งเสียงได้

ส่วนแถบการแจ้งเตือน ก็จะมีส่วนของการตั้งค่าเพิ่มเติมอย่างการปรับความสว่างหน้าจอ เปิดปิดการเชื่อมต่อไวไฟ บลูทูธ ดาต้า เปิดใช้งานโหมดเครื่องบิน ไวไฟฮ็อตสปอต โหมดห้ามรบกวน โหมดประหยัดพลังงาน การหมุนหน้าจอ โหมดง่าย ไฟฉาย และจีพีเอสได้ทันที

s02

ในส่วนของหน้ารวมแอป จะใช้การแสดงผลเรียงตามชื่อในแนวนอน โดยแอปที่ติดตั้งมาส่วนใหญ่จะเป็นแอปพื้นฐาน มีเพิ่มมาอำนวยความสะดวกในการใช้อย่างพวก Clean Master ไว้เคลีย RAM File Manager ไว้จัดการไฟล์ เพิ่มเติมนิดหน่อย

s03

หน้าจอการใช้งานโทรศัพท์จะเน้นความโล่ง ง่ายในการใช้งาน สามารถกดเลขหมายเพื่อคาดเดารายชื่อได้ หน้าจอสายเรียกเข้าจะมีแสดงชื่อ เบอร์โทร ให้กดเลือกรับสาย ตัดสาย หรือส่งข้อความกลับ ส่วนหน้าจอขณะสนทนาจะมีไอคอนให้เลือกเปิดลำโพง ปิดไมค์ เรียกปุ่มกด พักสาย เพิ่มการโทร และบันทึกเสียง

s04

นอกจากนี้ ยังมีการใส่แอปอย่าง ‘ผู้ช่วยโทรศัพท์’ ที่มาช่วยในการล้างเครื่อง จัดการพลักงาน ดูแลการอัปเดตแอปพลิเคชัน การจัดการอนุญาตต่างๆ ส่วนของซิมการ์ดจะมีให้เลือกใส่ 2 ซิม โดยเลือดได้ว่าจะให้ซิม 1 หรือ 2 เป็นซิมหลัก ซิมสำรองก็จะกลายเป็นการเชื่อมต่อบน 2G แทน

s05

จุดเด่นที่ Wiko Robby 2GB พยามชูขึ้นมาคือเรื่องของหน่วยความจำที่ให้มาเป็น 2 GB จากรุ่นแรกที่ให้มาแค่ 1 GB โดยเมื่อใช้งานทั่วๆไปจะกิน RAM ไปประมาณ 800 MB เหลือให้ใช้งานราว 1.1 GB

s09

ขณะเดียวกัน ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์ในการใช้งานด้วยลูกเล่นต่างๆของตัวเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัส 2 ครั้งเพื่อเปิด-ปิดหน้าจอ กาคว่ำเครื่องเพื่อปิดเสียง รับสายอัตโนมัติเมื่อนำเครื่องแนบหู รวมถึงการวาดตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ต่างๆบนหน้าจออย่างวาดตัว C เพื่อเรียกโทรศัพท์ M เพื่อฟังเพลง O เพื่อเปิดกล้อง ซึ่งผู้ใช้สามารถตั้งได้เอง

s07

โหมดการใช้งานกล้องของ Wiko Robby 2GB จะเน้นไปที่การใช้งานง่ายๆเป็นหลัก กล่าวคือเมื่อเปิดขึ้นมาจะเห็นปุ่มชัตเตอร์ขนาดใหญ่อยู่ทางฝั่งขวาหน้าจอให้กดถ่ายภาพได้ทันที หรือถ้าต้องการถ่ายวิดีโอก็กดที่ปุ่มบันทึกวิดีโอที่มุมขวาบนได้ ส่วนถ้าต้องการดูภาพล่าสุดก็กดที่มุมขวาล่าง

s08

ส่วนของการปรับตั้งค่าต่างๆ จะมีการปรับตั้งค่าด่วนมาให้ใช้งานที่ฝั่งซ้าย คือการหมุนกล้องหน้า-หลัง เปิด-ปิดแฟลช และเลือโหมดถ่ายภาพต่างๆที่มีให้เลือกทั้งโหมดอัตโนมัติ โหมดโปร (ปรับ ISO WB ชดเชยแสง และความคมชัด) พาโนรามา หน้าสวย HDR กลางคืน และแสงจ้า ถัดมาการตั้งค่าทั่วไปอย่างการแตะหน้าจอเพื่อถ่ายภาพ เปิดเสียงชัตเตอร์ การบันทึกพิกัดรูปภาพ เลือกความละเอียด โหมดตั้งเวลาถ่ายภาพเป็นต้น

ทดสอบประสิทธิภาพ

s10

เมื่อทดสอบ ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Antutu และ Quadrant Standart Wiko Robby 2GB ได้คะแนน 19,227 คะแนน และ 7,267 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 5 จุดพร้อมกัน

s11

ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo จากแอนดรอยด์เว็บวิวได้ 1,783 คะแนน โครมเบราว์เซอร์ 1,727 คะแนน ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ (Metal) 814 คะแนน Multicore 1,116 คะแนน คะแนน ส่วน GeekBench 4 ได้คะแนน Single-Core 411 คะแนน Multi-Core 1,162 คะแนน และ RenderScript 598 คะแนน

s12

ส่วนโปรแกรม PCMark ในส่วนของ Work Performance ได้ 2,503 คะแนน 3D Mark ทดสอบได้สูงสุดแค่ ตัว Ice Storm Unlimited ได้ 2,939 คะแนน ส่วน Ice Storm Extreme 2,026 คะแนน และ Ice Storm 3,265 คะแนน

ส่วน Passmark Performance Test Mobile ได้คะแนน System 2,460 คะแนน CPU 15,243 คะแนน Disk 12,597 คะแนน Memory 2,353 คะแนน 2D Graphics 2,135 คะแนน และ 3D Graphics 640 คะแนน

สรุป

DSC00806

Wiko Robby 2GB ถือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่นำเอา Robby ไปเพิ่ม RAM เพิ่มขึ้นมาเป็น 2 GB เพื่อให้การใช้งานโดยรวมลื่นไหลขึ้น พร้อมกับปรับระดับราคาขึ้นมาเล็กน้อยเป็น 3,790 บาท ซึ่งจะเหมาะกับกลุ่มผู้ที่เพิ่งเริ่มใช้งานสมาร์ทโฟน และต้องการเครื่องที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ ใช้งานง่าย

การทำงานโดยรวมของ Robby 2GB ก็ถือว่าสมกับราคา เพราะสามารถใช้งานทั่วๆไป อย่างการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ก เล่นอินเทอร์เน็ต ดูหนัง ฟังเพลงผ่านการสตรีมมิ่งได้ตามปกติ แต่ถ้าต้องการเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นก็อาจจะต้องมองหาตัวเลือกอื่นในตลาดแทน

ข้อดี

– ขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้ว

– ลำโพงคู่หน้า – สลับการใช้งานโทรศัพท์ได้ทั้ง 2 แนว

– ฝาหลังสามารถถอดเปลี่ยน-ถอดแบตได้

ข้อสังเกต

– ยังรองรับการทำงานบน 3G/2G เท่านั้น

– ตัวเครื่องทำจากพลาสติกเป็นส่วนใหญ่

Gallery

]]>