สมาร์ทโฟน 15001-20000 บาท – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Mon, 14 Aug 2017 07:21:50 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Moto Z2 Play รุ่นรองท็อป เน้นแบตอึด สเปกเกือบสุด https://cyberbiz.mgronline.com/review-moto-z2-play/ Mon, 14 Aug 2017 07:20:36 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=26776

ไม่รู้ว่า Motorola มองตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศไทยเป็นอย่างไร แต่คงเป็นหนึ่งในประเทศที่ให้ความสำคัญมากๆ ดังจะเห็นได้จากการที่นำสมาร์ทโฟนในตระกูล Z ซีรีส์ อย่าง Moto Z2 Play เข้ามาเปิดตัวระดับภูมิภาคในประเทศไทย พร้อมเชิญสื่อมวลชนจากประเทศเพื่อนบ้านมาร่วมงานเปิดตัวด้วย

เมื่อเป็นเช่นนั้น ความคาดหวังของ Motorola กับการจำหน่าย Moto Z2 Play ในประเทศไทยคงไม่ใช่เล่นๆ และคิดว่าผลตอบรับจะดีเหมือนในรุ่น Z Play ปีที่ผ่านมา ที่กลายเป็นรุ่นสร้างรายได้ให้แก่ Motorola ในประเทศไทย ด้วยการชูเรื่องของแบตที่อึดมาก

แต่พอมาเป็น Z2 Play ไม่รู้ว่า Motorola คิดอย่างไรถึงได้มีการปรับลดแบตเตอรีลง เหลือ 3,000 mAh จากในรุ่น Z Play ที่ให้มาแบบจุใจถึง 3,510 mAh ขณะที่ในส่วนของสเปกตัวเครื่องก็ปรับเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย จากซีพียู Snapdragon 625 เป็น Snapdragon 626 ที่แรงกว่าเดิมราว 10%

การออกแบบ

ในแง่ของการออกแบบ Moto Z2 Play ถอดแบบมาจากในรุ่นก่อนหน้าอย่าง Z และ Z Play ที่กลับมานำภาพของ Moto Razr มาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบให้เครื่องเน้นความบางมาก โดยมีขนาดเครื่องที่ 156 x 76.2 x 5.99 มิลลิเมตร น้ำหนัก 145 กรัม

ด้านหน้าหลักๆเลยคือหน้าจอ Super AMOLED 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล 441 ppi โดยมีลำโพงสนทนา โลโก้ Moto กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และไฟแฟลชอยู่ขอบบน ส่วนบอล่างจะมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่เท่านั้น

ด้านหลังตัวเครื่องจะดูเปลือยๆ เพราะออกแบบมาให้ใช้งานร่วมกับ Moto Mods ที่เป็นอุปกรณ์เสริมอย่างฝาหลัง หรือแบตเสริมที่สามารถหาซื้อเพิ่มเติมได้ ทำให้จะเห็นว่าบริเวณกล้องหลัก 12 ล้านพิกเซล และไฟแฟลชจะนูนขึ้นมาจากตัวเครื่อง ส่วนล่างก็จะมีขั้วทองแดงสำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริม

ด้านซ้ายตัวเครื่องถูกปล่อยว่างไว้ ด้านขวาจะมีปุ่มเปิดปิดเครื่อง และปุ่มปรับระดับเสียง

ด้านบนมีช่องใส่ถาดซิม 2 ซิม และไมโครเอสดีการ์ด ที่สามารถใช้งานพร้อมกันได้ทั้งหมด กับช่องไมโครโฟนที่ 2 ด้านล่างมีพอร์ต USB-C และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องจะประกอบไปด้วยตัวเครื่อง อะเดปเตอร์ สาย USB-C และหูฟังแบบ in-Ear

สเปก

สำหรับสเปกภายในของ Moto Z2 Play จะมากับหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 626 Octa-Core 2.2 GHz RAM 4 GB พื้นที่เก็บข้อมูลในตัวเครื่อง 64 GB สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้สูงสุด 256 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 7.1 (Nougat)

ด้านการเชื่อมต่อตัวเครื่องรองรับ 3G/4G แบบ 2 ซิม ที่แยกช่องกับไมโครเอสดีการ์ด ทำให้สามารถใส่ซิมหลักใช้งาน 4G ซิมรองสแตนบาย 3G ได้ ส่วน WiFi มาตรฐาน 802.11 a/b/g/n บลูทูธ 4.2 พร้อม NFC แบตเตอรีภายในอยู่ที่ 3,000 mAh

ฟีเจอร์เด่น

อย่างที่รู้กันว่า Motorola เคยเข้าไปอยู่ภายใต้ร่มธงของกูเกิลมาพักหนึ่ง ก่อนที่จะทางเลอโนโวจะซื้อออกมา ทำให้สิ่งหนึ่งที่ติดตัวมาด้วยคือการเป็น Pure Android Phone ที่ไม่ได้มีการนำอินเตอร์เฟสมาครอบ และในขณะเดียวกันก็ทำให้ตัวเครื่องได้รับการอัปเดตแอนดรอยด์เวอร์ชันใหม่ได้เร็วขึ้นด้วย

โดยในหน้าแรกของ Z2 Play จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆคือ ส่วนบนที่เป็นแถบแจ้งเตือน ซึ่งสามารถลากลงมาเพื่อเข้าไปตั้งค่าด่วนต่างๆได้ ถัดลงมาตรงกลางหน้าจอไว้สำหรับนำวิตเจ็ตต่างๆมาใส่ ส่วนล่างจะเป็นแถบเมนู (แสดง 5 ไอค่อนลัด) เมื่อปาดนิ้วขึ้นก็จะเข้าสู่หน้ารวมแอป

เบื้องต้นแอปที่ติดตั้งมาให้ในเครื่องจะเป็นแอปพลิเคชันพื้นที่ ที่เพิ่มเข้ามาก็จะมีพวกตัวจัดการพลังงาน Moto Actions และ Moto Mods ต่างๆ ที่เป็นส่วนเสริมของทาง Motorola รวมกับบริการต่างๆของกูเกิลที่เป็นพื้นฐาน

ดังนั้น Moto Actions จึงกลายเป็นจุดขายเดียวของ Z2 Play รวมถึงเครื่องรุ่นอื่นๆของ Moto อย่างการเขย่าเครื่องเพื่อเปิดใช้งานไฟฉาย บิดเครื่องไปมาเข้าโหมดกล้อง ปัดหน้าจอเพื่อย่อหน้าต่างลง ยกเครื่องเพื่อปิดเสียงสายเรียกเข้า พลิกเครื่องให้เข้าโหมดห้ามรบกวน

รวมถึง Moto Display อย่างการตั้งค่าให้ตัวเครื่องเข้าสู่โหมดตัดแสงสีฟ้า เพื่อถนอมสายตาในช่วงที่ใช้งานตอนกลางคืน โดยสามารถตั้งระยะเวลาได้เอง สุดท้ายก็คือ Moto Voice หรือการใช้คำสั่งเสียง ร่วมกับทาง Google Assistance ในการสั่งงานเครื่อง

ที่เหลือก็จะเป็นฟังก์ชันที่มากับฮาร์ดแวร์ตัวเครื่อง อย่างการที่เครื่องรองรับการใช้งาน 2 ซิม พร้อมกับใส่ไมโครซิมการ์ดได้พร้อมกัน ไม่ได้เป็นถาดแบบไฮบริดที่จะเลือกใส่งาน โดยตัวซิม 2 ก็จะสแตนบายใข้งานบน 3G ได้ตามปกติ หรือจะสลับใช้งาน 4G/3G กับซิมแรกก็ทำได้

สุดท้ายในส่วนของโหมดกล้อง Z2 Play ทำออกมาได้กลางๆ ไม่ได้โดดเด่นมากนัก โดยในโหมดมืออาชีพจะเปิดให้สามารถปรับตั้งค่าได้ส่วนหนึ่ง แต่จะเน้นไปที่การใช้งานบนโหมดอัตโนมัติมากกว่า ตัวอินเตอร์เฟสกล้องก็จะเน้นใช้งานง่ายๆเป็นหลัก

ทดสอบประสิทธิภาพ

Antutu Benchmark = 68,285 คะแนน
Quadrant Standard = 21,415

Geekbench 4
Single-Core = 914 คะแนน
Multi-Core = 4,642 คะแนน
Compute = 3,267 คะแนน

PassMark PerformanceTest
System = 5,671 คะแนน
CPU Tests = 137,932 คะแนน
Memory Tests = 6,598 คะแนน
Disk Tests = 43,593 คะแนน

2D Graphics Tests = 3,894 คะแนน
3D Graphics Tests = 1,380 คะแนน

PC Mark
Work 2.0 = 4,979 คะแนน
Computer Vision = 2,557 คะแนน
Storage = 5,626 คะแนน
Work = 6,008 คะแนน

3D Mark
Sling Shot Extreme Unlimited = 515 คะแนน
Sling Shot Unlimited = 460 คะแนน
Sling Shot Extreme = 866 คะแนน
Sling Shot = 848 คะแนน
Ice Storm Extreme = 8,425 คะแนน
Ice Storm Unlimited = 14,123 คะแนน
Ice Storm = 12,699 คะแนน

ส่วนระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรีทั่วๆไปจะอยู่ที่ราวเกือบๆ 11 ชั่วโมง ในการใช้งานต่อเนื่อง ซึ่งถามว่าแบตอึดไหมก็ยอมรับว่าอึด แต่ถ้าเทียบกับรุ่นก่อนอย่าง Z Play ยังทำได้ไม่เทียบเท่า ขณะที่ระยะเวลาในการชาร์จแบตจนเต็มจะอยู่ราว 2 ชั่วโมงนิดๆ

สรุป

ถ้าไม่นำ Moto Z2 Play ไปเทียบกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง Z Play ที่ทำได้ครบถ้วนรอบด้าน แต่พอมาใน Z2 Play กลับไม่ได้มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นเท่าที่ควร เพราะสิ่งที่ Motorola ทำคือการเปลี่ยนซีพียู ที่โอเวเอร์คล็อกความเร็วให้สูงขึ้น ส่วนสเปกรวมๆด้านอื่นๆ มีการพัฒนาเพิ่มเติมเล็กน้อยเท่านั้น และที่สำคัญคือเปิดตัวมาในราคาเท่ากันที่ 15,900 บาท

จุดเด่นที่เคยมีใน Z Play อย่างแบตอึด พอลดขนาดแบตลง แม้ว่าจะมีการบริหารจัดการแบตเตอรีที่ดีขึ้น แต่ก็ช่วยยืดระยะเวลาใช้งานได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ประกอบกับการที่เป็น Pure Android ที่ไม่ได้มีอินเตอร์เฟสครอบให้ใช้งาน แต่เน้นไปที่การเพิ่มความสะดวกในการใช้จาก Actions ต่างๆแทน

ที่ยังพึ่งพาได้ก็จะเหลือแต่ Moto Mods ที่มีอุปกรณ์ให้เลือกเล่นเพิ่มมากขึ้น แต่แน่นอนว่าเมื่อเป็นอุปกรณ์เสริมก็ต้องซื้อเพิ่ม ในจุดนี้คงต้องดูว่าจะมีผู้บริโภคสักกี่คนที่อินกับอุปกรณ์เสริมที่จะมาช่วยทำให้ Z2 Play น่าสนใจขึ้น

ข้อดี

  • ตัวเครื่องส่วนที่บางสุด 5.99 มม.
  • เป็นรุ่นรองท็อปที่เน้นความครบเครื่อง มากกว่าสเปกแรงๆ
  • Moto Actions ที่มาช่วยให้ใช้งานบางฟีเจอร์สะดวกขึ้น
  • รองรับการใช้งาน Moto Mods เพิ่มเติม

ข้อสังเกต

  • สเปกอัปขึ้นมาจากรุ่นปีที่แล้วนิดเดียว
  • แบตเตอรี่น้อยลง เปลี่ยนไปใช้การบริหารทรัพยากรเครื่องให้แบตอึดแทน
  • ไม่มี Moto Shell แถมมาให้ ทำให้หลังเครื่องโล้นๆ
  • ถ้าไม่ได้ซื้อ Moto Mods มาใช้เพิ่มก็ไม่มีจุดเด่นอะไรต่างจากแบรนด์อื่น

Gallery

]]>
Review : HUAWEI P10 มีดีที่กล้องคู่ไลก้าปรับปรุงใหม่ https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-p10/ Mon, 08 May 2017 11:11:49 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=25999

ช่วงนี้เปรียบเสมือนมรสุมลูกใหญ่กำลังซัดกระหน่ำแบรนด์หัวเว่ย (HUAWEI) โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนในกลุ่มแฟลกชิปไล่ตั้งแต่ Mate 9 ไปจนถึง P10 รุ่นที่เรานำมารีวิวให้ชมกันในวันนี้ โดยปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นคุณผู้อ่านต้องเป็นคนตัดสินด้วยตัวเอง (ใครกำลังสนใจ แนะนำให้เดินไปลองเล่นที่ตัวแทน จากนั้นตัดสินใจด้วยตัวเองเลยว่าชอบหรือไม่ชอบ) เพราะสุดท้ายคนที่จ่ายเงินซื้อก็คือตัวของคุณเอง ส่วนทีมงานไซเบอร์บิซก็ขอทำหน้าที่สื่อนำเสนอบทความรีวิวจัดเต็มแบบไม่เอนเอียงเช่นเดิม

โดยรุ่นที่เราได้รับมารีวิวในวันนี้เป็น HUAWEI P10 สี Graphite Black ความจุ 64GB ในราคา 19,900 บาท (เครื่องวางขายจริง)

การออกแบบ

ภาพลักษณ์ภายนอกของแฟลกชิป HUAWEI P10/P10 Plus จะมีการออกแบบมุมเครื่องให้โค้งมนโดยใช้ Hyper Diamond-Cut ในการเจียรขอบมุมให้ดูลงตัวกว่า P9/P9 Plus โดยรุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบ P10 จะมาพร้อมหน้าจอขนาด 5.1 นิ้ว ความละเอียด 1080p ส่วน P10 Plus จะมาพร้อมหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 2,560×1,440 พิกเซลหรือ 2K (หน้าจอทั้ง 2 รุ่นจะครอบทับด้วยกระจกจอ Corning Gorilla Glass 5)

ในส่วนกล้องหน้า ทั้ง P10/P10 Plus ปรับไปใช้กล้องหน้าจากไลก้า ความละเอียดภาพ 8 ล้านพิกเซล มีออโต้โฟกัสพร้อมรูรับแสงกว้าง f1.9

นอกจากนั้นใต้จอภาพจะเห็นว่าในรุ่น P10/P10 Plus จะมีการย้ายเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือจากด้านหลังมาติดตั้งไว้ด้านหน้าแทน

ด้านหลัง วัสดุที่ใช้จะเป็นอะลูมิเนียมพร้อมกล้องหลังแบบคู่ (Dual Camera) จากไลก้าเช่นเดิม โดยในรุ่น P10 จะเป็น LEICA Dual Camera 2.0 เซ็นเซอร์ถ่ายภาพแยกสี (RGB) และขาวดำ (Monochrome) ความละเอียด 12+20 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์ SUMMARIT-H ระยะ 27 มิลลิเมตร รูรับแสง f2.2 และไฟแฟลชแบบทูโทน มีเลเซอร์ออโต้โฟกัสแบบเดียวกับกล้องหลัง HUAWEI Mate 9

ส่วนถ้าเป็น P10 Plus เลนส์กล้องจะอัปเกรดเป็น SUMMILUX-H พร้อมรูรับแสงกว้างถึง f1.8 รับแสงได้มากกว่า P10 รุ่นเริ่มต้น

สำหรับขนาดตัวเครื่อง P10 จะมีความหนาอยู่ที่ 7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 145 กรัม ส่วน P10 Plus จะอยู่ที่ 6.98 มิลลิเมตร พร้อมน้ำหนัก 165 กรัม

มาดูในส่วนปุ่มกดและช่องเชื่อมต่อรอบตัวเครื่อง เริ่มจากขวามือเป็นที่อยู่ของปุ่มเปิดปิดเครื่อง (ออกแบบใหม่) และปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง

ด้านซ้าย เป็นที่อยู่ของช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์แบบ Nano Sim รองรับ 2 ซิมการ์ด โดยช่องใส่ซิมที่ 2 จะแชร์กับช่อง MicroSD รองรับสูงสุด 256GB

ด้านล่าง ตรงกลางเป็นช่อง USB-C ซ้ายช่องเชื่อมต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ขวาช่องลำโพง โดย P10 จะเป็นโมโน ส่วน P10 Plus จะเป็นลำโพงสเตอริโอ

ด้านบน จะเป็นที่อยู่ของไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน ส่วนถ้าเป็น P10 Plus จะเพิ่มช่องรับส่งสัญญาณอินฟาเรดมาด้วย

นอกจากนั้นยังมีสเปกด้านการออกแบบอีกหนึ่งฟีเจอร์เด่นที่หัวเว่ยไม่ได้ทำโฆษณาเหมือนคู่แข่งก็คือ ส่วนของเมนบอร์ดทั้ง P10 และ P10 Plus จะมีการเคลือบ Nano Coating ไว้ทำให้ตัวเครื่องสามารถป้องกันฝนได้ระดับหนึ่ง (ประมาณฝนตกเล็กๆน้อยๆเท่านั้น) แต่ P10 Plus จะได้รับมาตรฐาน IPX3 ป้องกันน้ำได้ดีกว่า แต่ก็ไม่แนะนำให้ใช้ขณะฝนตกหนักหรือลงไปเล่นน้ำในสระเด็ดชาด

สเปก

มาดูในส่วนสเปก ทั้ง HUAWEI P10 และ P10 Plus จะมาพร้อมหน่วยประมวลผล Kirin 960 Octa-core ความเร็ว 2.4GHz พร้อมแรม 4GB (รุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบตรวจเช็คแล้วเป็นแรม DDR4) รอม 64GB เหลือให้ใช้งานจริงประมาณ 50GB รองรับระบบชาร์จไฟแบบรวดเร็ว HUAWEI SuperCharge (มีอะแดปเตอร์แถมมาให้) ส่วนระบบปฏิบัติการเลือกใช้แอนดรอยด์ 7.0 (Nougat) ครอบทับด้วย HUAWEI EMUI 5.1

ด้านสเปกการเชื่อมต่อเครือข่าย เริ่มจาก 3G/4G รองรับทุกคลื่นความถี่ในประเทศไทย โดย 4G จะรองรับ VoLTE และเทคโนโลยีรวมคลื่นความถี่ 3CA ยกเว้น P10 Plus จะเพิ่มเสารับสัญญาณโทรศัพท์เป็น 4 เสา รองรับ 4.5G LTE Advanced

ส่วนการใช้งาน 2 ซิมการ์ด ซิมที่ 2 จะรับแค่ระบบโทรศัพท์เท่านั้น (รองรับ 2G/3G)

ด้านสเปกอื่นๆ WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac บลูทูธ 4.2 มี NFC รวมถึงรองรับการถอดรหัสไฟล์เสียงคุณภาพสูง 192Khz/24 บิต พร้อมแบตเตอรี สำหรับ P10 อยู่ที่ 3,200mAh และ P10 Plus อยู่ที่ 3,750mAh

ยูสเซอร์อินเตอร์เฟสและฟีเจอร์เด่น

ทั้ง P10 และ P10 Plus จะมาพร้อมกับยูสเซอร์อินเตอร์เฟส EMUI 5.1 บนแอนดรอยด์ 7.0 (Nougat) ภาพรวมการใช้งานของตัวซอฟต์แวร์จะไม่แตกต่างจากหัวเว่ยรุ่นอื่นๆ แต่สิ่งที่น่าประทับใจก็คือเรื่อง แอปฯติดตั้งมากับเครื่องถูกตัดออกไปเหลือแค่แอปฯที่จำเป็นเท่านั้น

ส่วนการย้ายเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาไว้ข้างหน้า มีหลายคนสงสัยว่าจะสามารถใช้แทนปุ่มโฮมได้เหมือนกับคู่แข่งอย่าง iPhone 7 หรือไม่ คำตอบคือได้ครับ เพียงแต่ค่ามาตรฐานจากโรงงานจะตั้งไว้ให้ส่วนนี้เป็นแค่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อกหน้าจอ และใช้ส่วน Navigation Buttons ต้องไปใช้แบบดั้งเดิมแทน

แต่ถ้าผู้ใช้ไม่พอใจก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ผ่านเมนู Navigation Buttons โดยทุกคำสั่งจะไปรวมอยู่ที่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือทั้งหมด ดังนี้

กดเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแรงๆ 1 ครั้ง = เรียกหน้าโฮมสกรีน (ปุ่มจะสั่น)
กดเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเบาๆ 1 ครั้ง = ย้อนกลับ
ปัดซ้ายไปขวาหรือขวาไปซ้ายที่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ = เรียกหน้า Recent Apps
ปัดขึ้นจากขอบจอภาพ = เรียก Google Now

ในส่วนระบบสแกนลายนิ้วมือ ส่วนนี้จะเหมือนเดิมคือรองรับการอ่านลายนิ้วมือได้สูงสุด 5 ลายนิ้วมือ รวมถึงประสิทธิภาพการใช้งานยังคงครองแชมป์สมาร์ทโฟนที่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือทำงานรวดเร็วสุดเช่นเดิม

กล้องถ่ายภาพ

ซอฟต์แวร์กล้องถ่ายภาพทั้ง HUAWEI P10 และ P10 Plus มองภาพรวมแล้วจะเหมือนกับ Mate 9 โดยลูกเล่นการใช้งานหัวเว่ยยังคงพัฒนาร่วมกับไลก้าเช่นเดิม ความละเอียดภาพมาตรฐานอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล สามารถซูมภาพได้ 2 เท่า (ซอฟต์แวร์ประมวลผลไม่ใช่การซูมผ่านเลนส์จริง) รองรับความละเอียดภาพสูงสุด 20 ล้านพิกเซล (ใช้งานระบบซูมภาพไม่ได้) สามารถถ่ายภาพสีและขาวดำได้เหมือนกับ P9 และ Mate 9 รวมถึงรองรับการถ่าย RAW และมี Manual Mode ปรับแต่งค่ากล้องเองได้

มาถึงส่วนที่เพิ่มเติมมาเป็นจุดขายหลักของ P10 และ P10 Plus ก็คือ “โหมดถ่ายภาพบุคคล” เพราะจากเดิมหัวเว่ยจะมีโหมด Wide Aperture ที่สามารถทำหน้าชัดหลังเบลอจากกล้องคู่หลังมาให้ แต่หัวเว่ยมองว่าโหมดดังกล่าวยังให้ประสิทธิภาพการทำหน้าชัดหลังเบลอหรือ Depth of field ที่ยังไม่เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะการถ่ายภาพบุคคลที่ดูหลอกตามาก

ตัวอย่างภาพจากโหมดถ่ายภาพบุคคล

ใน P10 และ P10 Plus หัวเว่ยและไลก้าจึงร่วมพัฒนาโหมด “ถ่ายภาพบุคคล” ขึ้นมาพิเศษ (รองรับทั้งถ่ายภาพสีและขาวดำ) โดยยึดโทนภาพในสไตล์ไลก้ารวมถึงมีการพัฒนาส่วนจำลองโบเก้ (Bokeh) หรือส่วนที่หลุดโฟกัสใหม่ให้เป็นธรรมชาติเหมือนถ่ายจากเลนส์กล้อง DSLR จริงๆ

ตัวอย่างภาพจากโหมด Wide Aperture จำลองรูรับแสงกว้าง f2

นอกจากนั้นในส่วนโหมด Wide Aperture เดิมก็ยังได้รับอานิสงส์จากการปรับปรุงครั้งนี้ด้วย

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง HUAWEI P10

ในภาพรวมเรื่องของกล้องถ่ายภาพทั้งหน้าและหลังน่าจะถือเป็นจุดขายสุดของ HUAWEI P10 และ P10 Plus แล้วเพราะในส่วนประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับการปรับเปลี่ยนอื่นๆแล้ว เรื่องกล้องถ่ายภาพดูจะให้ผลลัพท์ที่ชัดเจนสุดเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า โดยเฉพาะการวัดแสง ปรับสมดุลแสงขาวและการจัดการนอยซ์ในที่แสงน้อยถือว่าทำได้ดีขึ้น แต่ต้องเป็นรุ่น P10 Plus ถึงจะความชัดเจนในการปรับเปลี่ยนครั้งนี้มากที่สุด เพราะ P10 รุ่นเริ่มต้นให้ประสิทธิภาพไม่แตกต่างจาก Mate 9 จนเป็นนัยให้ต้องพูดถึง

ในส่วนวิดีโอมีการปรับปรุงจากรุ่นก่อนหน้าค่อนข้างมาก โดยเฉพาะระบบป้องกันภาพสั่นไหวถือว่าให้คุณภาพที่ดี แต่ทีมงานก็ยังยืนยันคำเดิมว่า ต้องเป็น P10 Plus คุณภาพวิดีโอ โดยเฉพาะในที่แสงน้อยถึงจะทำได้ดีกว่านี้ (ไม่เข้าใจว่าทำไมหัวเว่ยไม่ใช้กล้องหลัง P10 และ P10 Plus เป็นสเปกเดียวกัน เพราะแยกสเปกกันแบบนี้แล้ว P10 ดูเป็นไม้ประดับมาก)

ทดสอบประสิทธิภาพ

AnTuTu Benchamrk = 130,568 คะแนน

3D Mark
Sling Shot Extreme = 2,018 คะแนน
Sling Shot = 2,254 คะแนน
Ice Storm Extreme = 13,127 คะแนน

AndroBench
Seq. Read = 759.78 MB/s
Seq Write = 185.3 MB/s

PC Mark
Work 2.0 = 6,305 คะแนน
Computer Vision = 3,228 คะแนน

BaseMark = 44,038 คะแนน

Geekbench 4
Single-Core = 1,850 คะแนน
Multi-Core = 6,227 คะแนน

PassMark PerformanceTest
System = 10,161 คะแนน
CPU Tests = 239,074 คะแนน
Memory Tests = 11,022 คะแนน
Disk Tests = 73,844 คะแนน
2D Graphics Tests = 8,240 คะแนน
3D Graphics Tests = 2,385 คะแนน

ในส่วนประสิทธิภาพเรียกได้ว่า ถ้าหัวเว่ยไม่มีปัญหาเรื่องคละสเปกแรมและหน่วยเก็บข้อมูลกับชิปรุ่นเก่า อย่างตัวที่ทีมงานได้รับมาทดสอบทั้งแรมและรอมเป็นเทคโนโลยีล่าสุดทั้งหมด ประสิทธิภาพที่ได้ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะคะแนนทดสอบหลายส่วนติดระดับบนๆของตลาดแฟลกชิปได้เลย

มาถึงเรื่องแบตเตอรี สำหรับรุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบคือ HUAWEI P10 สามารถทำเวลาใช้งานต่อเนื่องได้ 7 ชั่วโมง 45 นาที ถ้าคิดเป็นเวลาใช้งานทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 12-14 ชั่วโมงเท่านั้น ตามความคิดของทีมงานขอเรียนตามตรงว่าไม่ค่อยประทับใจนัก

สรุป

สำหรับราคา HUAWEI P10 และ P10 Plus จะเริ่มต้นที่ 17,900 บาท ถึง 23,900 บาท มีให้เลือก 6 สี ได้แก่ Dazzling Blue, Dazzling Gold, Greenery (เฉพาะรุ่น P10 Plus), Mystic Silver, Graphite Black และ Prestige Gold

จุดขายหลักของ HUAWEI P10 และ P10 Plus จริงๆแล้วน่าจะอยู่ที่กล้อง Dual Camera เป็นสำคัญ เพราะในส่วนนี้หัวเว่ยปรับปรุงจนเห็นผลชัดเจนมากที่สุด โดยเฉพาะโหมดถ่ายภาพบุคคลรวมถึงการทำภาพหน้าชัดหลังเบลอคุณภาพสูง นอกนั้นจะเป็นการอัปเดตเทคโนโลยีไปตามกระแสโลกปกติ ไม่มีสิ่งใดหวือหวาเหมือนตอนเปิดตัว P9/P9 Plus

สุดท้ายใครที่กำลังมองหา HUAWEI P10 และไม่สนใจกระแสปัญหาที่ร้อนแรงอยู่ในตอนนี้ ผมขอเรียนตามตรงว่าให้มองข้าม P10 ไปมองรุ่น P10 Plus จะดีที่สุด เพราะเป็นรุ่นที่หัวเว่ยนำเทคโนโลยีใหม่ๆรวมถึงกล้องตัวใหม่ไปติดตั้งไว้ทั้งหมด ในขณะที่ P10 รุ่นเริ่มต้นจะเหมือนเป็น Mate 9 ในเรือนร่างขนาดเล็กเท่านั้น

ข้อดี

– กล้องหลัง Dual Camera 2.0 ปรับปรุงใหม่
– สแกนลายนิ้วมือทำงานรวดเร็ว
– โหมดถ่ายภาพบุคคลให้คุณภาพดี
– วิดีโอคุณภาพดีขึ้นมาก

ข้อสังเกต

– ฝาหลังหัวเว่ยเครมว่าเป็นรอยนิ้วมือยาก แต่ใช้งานไปสักพักรอยนิ้วมือติดเยอะมาก ประกอบกับตัวเครื่องค่อนข้างลื่น การจับถือไม่ค่อยกระชับ จำเป็นต้องใส่เคส
– สำหรับรุ่น P10 แบตเตอรีหมดเร็ว ไม่น่าประทับใจ
– จุดขายเด่นๆไปรวมอยู่ที่ P10 Plus แทบทั้งหมด ทำให้ P10 ดูไม่น่าสนใจ

Gallery

]]>
Review : ASUS ZenFone Zoom S เน้นกล้องคู่ ท้าชน iPhone 7 Plus https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-zenfone-zooms/ Thu, 20 Apr 2017 07:33:13 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=25806

เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว เอซุส (ASUS) เป็นแบรนด์เดียวที่สร้างปรากฏการณ์คลอดสมาร์ทโฟนตระกูล ZenFone 3 ออกมากถึง 7 รุ่นครอบคลุมทุกตลาดตั้งแต่ระดับเริ่มต้นราคาหลักพันถึงแฟลกชิปสองหมื่นปลายๆ

มาต้นปีนี้ เอซุสต่อยอดความแรงด้วยการประกาศเปิดตัวสมาร์ทโฟนในกลุ่ม ZenFone Zoom เอาใจคนรักการถ่ายภาพบ้างกับ “ASUS ZenFone Zoom S” หรืออีกชื่อก็คือ “ASUS ZenFone 3 Zoom” ต่อยอด ASUS ZenFone Zoom เดิม (คลิกอ่านรีวิวได้ที่นี่) ที่เคยสร้างปรากฏการณ์กล้องซูมได้จริง 3 เท่ามาก่อนหน้า แต่ผลตอบรับไม่ดีเท่าที่ควร

การออกแบบ

ZenFone Zoom S ถูกจัดเป็นรุ่นพิเศษในกลุ่ม ZenFone 3 ที่เอซุสเลือกเน้นปรับส่วนกล้องถ่ายภาพทั้งหน้าและหลังเป็นจุดขายหลัก โดยในส่วนสเปกจะคล้ายกับ ZenFone 3 รุ่นที่ทีมงานไซเบอร์บิซเคยได้รีวิวไปก่อนหน้านี้ (คลิกอ่านรีวิวที่นี่) เพราะฉะนั้นในบทความรีวิวนี้ ทีมงานจะขอเน้นลงรายละเอียดในส่วนกล้องถ่ายภาพทั้งหน้าและหลังเป็นหลัก

แต่ก่อนอื่น เรามารับชมเรื่องของการออกแบบที่ถูกปรับเปลี่ยนไปเล็กน้อยกันก่อน

เริ่มจากหน้าจอ เอซุสเปลี่ยนกระจกจอไปใช้ 2.5D Corning Gorilla Glass 5 ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1,920×1,080 พิกเซล

ด้านปุ่มคำสั่ง Navigation Buttons จะเป็นแบบสัมผัส แบ่งเป็น ปุ่มซ้ายย้อนกลับ ตรงกลางปุ่มโฮมและขวามือปุ่มเรียก Recent Apps โดยใต้ปุ่มคำสั่งจะไม่มีไฟส่องสว่างเวลากลางคืน

ในส่วนขนาดตัวเครื่อง ZenFone Zoom S จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 170 กรัม หนา 7.99 มิลลิเมตร

ด้านหลัง ใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียมมี 3 สีได้แก่ Navy Black, Glacier Silver และ Rose Gold พร้อมเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือและกล้องคู่รุ่นใหม่ล่าสุด

ด้านขวาของตัวเครื่อง จะเป็นที่อยู่ของช่องใส่ซิมการ์ดแบบ Nano Sim รองรับ 2 ซิมการ์ด โดยช่องที่ 2 จะแชร์กับช่องใส่ MicroSD Card รองรับความจุสูงสุด 128GB

ด้านซ้ายของตัวเครื่อง จะเป็นที่อยู่ของปุ่มเปิดปิดเครื่องและปุ่มเพิ่มลดเสียง

ด้านล่าง ตรงกลางเป็นพอร์ต USB-C ฝั่งซ้ายเป็นช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ถัดมาเป็นไมโครโฟน ฝั่งขวาเป็นลำโพง

ด้านบน เป็นส่วนของไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน

กล้องหน้าและหลังปรับใหม่หมด

ถึงแม้ ASUS ZenFone Zoom S จะมาพร้อมกล้องหลังแบบคู่ (Dual Camera) เหมือนสมาร์ทโฟนคู่แข่งหลากหลายรุ่น แต่จุดประสงค์การพัฒนากล้องคู่ของเอซุสจะแตกต่างจากคู่แข่งที่ส่วนใหญ่จะเน้นใช้ทำหน้าชัดหลังเบลอ (Depth of Field) แต่กล้องคู่ของ ZenFone Zoom S จะถูกนำมาใช้เพื่อทำให้กล้องหลังสามารถซูมได้ (ตามชื่อรุ่น Zoom S)

ภาพจากกล้องตัวแรก ระยะ 25 มิลลิเมตร

ภาพจากกล้องตัวที่สอง ระยะ 59 มิลลิเมตร หรือเทียบเท่าซูม 2.3 เท่า

โดยกล้องตัวแรกจะเป็นมุมกว้าง (Wide) 25 มิลลิเมตร พร้อมรูรับแสงกว้าง f1.7 ส่วนกล้องตัวสองจะเป็นเทเล (Tele) 59 มิลลิเมตร พร้อมรูรับแสง f2.6 โดยระบบซูมจะถูกควบคุมผ่านซอฟต์แวร์ ASUS PixelMaster 3.0 ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกซูมภาพแบบออปติคอล (ซูมจริงผ่านเลนส์กล้อง) มากสุด 2.3 เท่า และสูงสุด 12 เท่าเมื่อซูมผ่านซอฟต์แวร์

นอกจากนั้น กล้องหลังคู่ยังรองรับการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Depth of Field) แบบเดียวกับ iPhone 7 Plus หรือ HUAWEI P10 ได้ด้วย

มาดูในส่วนสเปกกล้องหลังกันบ้าง ใน ZenFone Zoom S เอซุสปรับเซ็นเซอร์รับภาพเป็น Sony IMX362 ที่มีขนาด 1/2.55″ เซ็นเซอร์รับภาพรับแสงได้มากกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป 2.5 เท่า รองรับความละเอียดภาพสูงสุด 12 ล้านพิกเซล พร้อมกันสั่น OIS 4 แกนสำหรับภาพนิ่งและ EIS 3 แกนสำหรับงานวิดีโอ 4K ประกบชิปประมวลผลภาพ ASUS SuperPixel ที่มาพร้อมเซ็นเซอร์ตรวจจับสี RGB ที่สามารถแก้ไขสีสันของภาพให้เป็นธรรมชาติได้

มาถึงระบบออโต้โฟกัสที่เอซุสปรับใหม่ยกแผงเช่นกัน โดยจากเดิมใน ZenFone 3 จะใช้เทคโนโลยีออโต้โฟกัส ASUS TriTech (Laser AF + Phase Detection AF + Continuous AF) แต่ใน ZenFone Zoom S จะปรับเปลี่ยนเป็น “ASUS TriTech+” ที่รวมเทคโนโลยีออโต้โฟกัสสุดฮิตของปัจจุบัน ตั้งแต่ Dual Pixel PDAF + Laser AF + Continuous AF (Subject Tracking) ทำให้การจับโฟกัสทำได้รวดเร็ว 0.03 วินาทีในทุกสภาวะแสง

พลิกกลับมาดูกล้องหน้า แน่นอนว่าถูกปรับเปลี่ยนใหม่เช่นกัน เริ่มตั้งแต่เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX214 รองรับความละเอียดภาพ 13 ล้านพิกเซล ไปถึงรูรับแสง f2.0 และกล้องหน้ายังรองรับเทคโนโลยี SuperPixel ทำให้สามารถเซลฟีในที่แสงน้อยได้ดีกว่าเดิม หรือถ้าอยู่ในที่มืดมิดจริงๆ หน้าจอสมาร์ทโฟนก็สามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นไฟแฟลชได้เหมือนกับ iPhone 7 Plus

สุดท้ายมาดูซอฟต์แวร์กล้อง PixelMaster กันบ้าง โดยภาพรวมการใช้งานจะไม่ต่างจากสมาร์ทโฟน ASUS ZenFone ทุกรุ่น แต่ใน ZenFone Zoom S จะมาพร้อมโหมด Manual ที่ปรับตั้งค่าได้อิสระตั้งแต่ ปรับชดเชยแสง ค่าสมดุลแสงขาว โฟกัส ระบบวัดแสง รวมถึงสามารถเปิดใช้งาน RAW File สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการนำภาพไปตกแต่งผ่านซอฟต์แวร์ภายนอก

และนอกจากนั้นในส่วนของโหมดถ่ายภาพสำเร็จรูปก็มีให้เลือกใช้มากมายตั้งแต่ HDR Pro, ถ่ายภาพบุคคล/เซลฟีที่มาพร้อมส่วนปรับแต่งใบหน้าเราได้ทุกส่วนของหน้า โหมด Super Resolution อัปสเกลภาพไปถึงระดับ 47 ล้านพิกเซล รวมถึงโหมดกล้องอ่าน QR-Code, เซลฟีหมู่, ทำสโลโมชั่น, Timelapse และโหมดถ่ายภาพอื่นๆอีก 20 กว่าโหมด

ตัวอย่างภาพถ่ายจาก ASUS ZenFone Zoom S

สเปกและฟีเจอร์เด่น

ASUS ZenFone Zoom S ยังคงขับเคลื่อนด้วยหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 625 Octa-core ความเร็ว 2.0GHz พร้อมแรม 4GB เช่นเดียวกับ ZenFone 3 โดยในส่วนรอมสำหรับรุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบจะมีความจุอยู่ที่ 64GB เหลือให้ใช้จริงประมาณ 51.94GB แบตเตอรีให้มา 5,000mAh ขับเคลื่อนด้วย Android 6.0.1 และ ZenUI 3.0

ด้านการเชื่อมต่อเครือข่าย รองรับ 3G/4G ทุกเครือข่ายในประเทศไทยพร้อมรองรับ VoLTE ในส่วน WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 b/g/n บลูทูธ 4.2 ไม่มี NFC

ส่วนสเปกอื่นๆที่น่าสนใจ ZenFone Zoom S มาพร้อมชิปถอดรหัสเสียง Hi-Res Audio 192kHz/24 บิต รองรับระบบเสียง DTS สำหรับหูฟังและมาพร้อมภาครับสัญญาณ FM Stereo

มาถึงส่วนของซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ ZenUI 3.0 จะเห็นว่าไม่แตกต่างจาก ZenFone 3 รุ่นที่ทีมงานได้รีวิวไปเมื่อปีที่แล้วแต่อย่างใด (คลิกที่นี่เพื่ออ่านรีวิว) จะมีเพิ่มเข้ามาก็เป็นแอปฯจำพวกตรวจวัดก้าวเดิน Health Hub และความสามารถในการซ่อนแจ้งเตือนแอปพลิเคชันที่เราไม่ต้องการได้

ที่สำคัญสำหรับคนที่เป็นเจ้าของ ASUS ZenFone Zoom S อย่าลืมล็อคอิน Google Drive ก่อนใช้งาน เพื่อเปิดใช้พื้นที่เก็บข้อมูลฟรี 100GB เป็นเวลา 2 ปี

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

PC Mark
Work 2.0 = 4,667 คะแนน
Computer Vision = 2,806 คะแนน
Storage Score = 3,988 คะแนน

Antutu Benchmark = 61236 คะแนน

3D Mark
Sling Shot Extreme = 467 คะแนน
Sling Shot = 849 คะแนน
Ice Storm Extreme = 8,132 คะแนน

Vellamo
Chrome Browser = 3,270 คะแนน
Metal = 1,490 คะแนน
Multicore = 2,571 คะแนน

PassMark PerformanceTest
System = 4,254 คะแนน
CPU Tests = 21,956 คะแนน
Memory Tests = 3,069 คะแนน
Disk Tests = 56,198 คะแนน
2D Graphics Tests = 2,965 คะแนน
3D Graphics Tests = 1,308 คะแนน

Geekbench 4
Single-Core = 857 คะแนน
Multi-Core = 4,096 คะแนน

ด้านการใช้งานจริง ZenFone Zoom S ซึ่งขับเคลื่อนด้วย ZenUI 3.0 ยังคงความลื่นไหลเช่นเดิม ตัว UI สามารถปรับแต่งได้อิสระแทบทุกส่วน การเรียกแอปฯและใช้งานไม่มีอาการหน่วงช้าหรือแอปฯเด้งออกให้พบเห็น แรม 4GB ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานทั่วไปแน่นอน รวมถึงการเล่นเกมถ้าไม่ใช่เกมกราฟิกสูงมาก ZenFone Zoom S ก็สามารถเล่นได้ลื่นไหล แต่อาจจะโหลดข้อมูลช้ากว่าสมาร์ทโฟนตัวท็อปของตลาดเล็กน้อย

มาถึงจุดที่น่าประทับใจที่สุดก็คือเรื่องแบตเตอรีขนาด 5,000 mAh กับระบบจัดการพลังงานที่ทำได้ค่อนข้างดีมาก (แถมยังปรับเลือกรูปแบบการใช้พลังงานได้ตามที่ผู้ใช้ต้องการได้ด้วย) ทำให้สามารถใช้งานต่อเนื่อง (เปิดหน้าจอตลอดเวลา) ได้ยาวนาน 14-20 ชั่วโมงเลยทีเดียว และถ้าเป็นคนใช้งานสมาร์ทโฟนไม่หนัก ชาร์จแบตเตอรีเต็มหนึ่งครั้งอาจอยู่ได้นานถึง 1-2 วันเลย

มาถึงในส่วนกล้องถ่ายภาพ หลังจากทดสอบอยู่ร่วมอาทิตย์ อย่างแรกกล่าวถึงความประทับใจก่อนว่า เทคโนโลยีกล้องของเอซุสถือว่าพัฒนามาได้ดี โดยเฉพาะระบบออโต้โฟกัสที่รวดเร็วและแม่นยำ กล้องหน้าลูกเล่นน่าสนใจและทำได้ดีกว่าหลายแบรนด์ในราคาระดับเดียวกัน รวมถึงการถ่ายในที่แสงน้อยก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน แต่ในเรื่องคุณภาพไฟล์ภาพ ส่วนนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่เอซุสยังคงต้องพัฒนา เพราะถ้าเทียบกับ iPhone 7 Plus ที่เอซุสตั้งให้เป็นคู่แข่งของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ ไฟล์ภาพของเอซุสจะค่อนข้างปรุงแต่งทั้งเรื่องความคมชัดของภาพที่มากเกินไปจนทำให้เวลาซูมดูภาพแล้วเกิดอาการภาพแตกเป็นวุ้นๆ ส่วนสีสันถ้ามองผ่านหน้าจอ ZenFone Zoom S จะให้สีสันที่สดจนเกินธรรมชาติไปมาก ต้องมาเปิดดูในคอมพิวเตอร์ถึงจะเห็นสีสันที่แท้จริง แม้จะปรับเลือกความเข้มของสีสันและแสงของหน้าจอได้ แต่เมื่อปรับเป็นค่ามาตรฐาน สีกลับจืดชืดไม่เป็นธรรมชาติ

อีกเรื่องที่เหมือนเอซุสยังไม่ได้แก้ไขตั้งแต่ ZenFone รุ่นก่อนหน้าก็คือ โหมดวิดีโอทั้ง 1080p และ 4K ยังให้คุณภาพที่ไม่ดี ถึงแม้วิดีโอจะสามารถปรับเลือกคุณภาพไฟล์ได้ทั้งแบบมาตรฐานและแบบละเอียด แต่เมื่อปรับใช้ค่าสูงสุด ไฟล์ที่ได้ดีขึ้นแต่ภาพกลับไม่ลื่นไหล มีอาการภาพสะดุดให้เห็น

ส่วนระบบกันสั่นวิดีโอและภาพนิ่งทั้ง OIS และ EIS ถูกปรับปรุงมาได้ดีมากแล้ว

โดยภาพรวมทุกส่วน ZenFone Zoom S มีดีที่เรื่องกล้องเพียงอย่างเดียว เนื่องจากซอฟต์แวร์และสเปกเครื่องไม่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าอย่างชัดเจน ทำให้จุดดีทั้งหมดมาอยู่ที่กล้อง ซึ่งถ้ามองถึงเรื่องเทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพ ส่วนนี้สอบผ่านเพราะออกแบบมาได้ดีมาก แถมใช้งานได้จริง แต่เมื่อมาเจาะลึกถึงเรื่องไฟล์ภาพ ส่วนนี้ถือว่าเอซุสยังต้องพัฒนาอีกมาก โดยเฉพาะส่วนของภาคซอฟต์แวร์ที่เข้าไปจัดการไฟล์ภาพมากเกินควร จนทำให้ภาพที่ได้ดูแข็งและไม่เป็นธรรมชาติอย่างมาก ต่างจากคู่แข่งที่เอซุสเลือกท้าชนอย่าง iPhone 7 Plus ที่ให้คุณภาพไฟล์ภาพที่ดีกว่า

แต่ทั้งนี้ถ้ามองถึงราคาเทียบกับสิ่งที่ได้กลับมา สำหรับ ASUS ZenFone Zoom S อยู่ที่ 16,900 บาท เทียบกับ iPhone 7 Plus แล้วราคาต่างกันเป็นเท่าตัว ทำให้ ASUS ZenFone Zoom S ดูจะคุ้มค่ามากกว่า สำหรับคนที่มีงบประมาณจำกัดและกำลังมองหาสมาร์ทโฟนกล้องคู่แบบ iPhone 7 Plus แต่ก็ใช่ว่าในช่วงราคานี้จะไม่มีตัวเลือกอื่นเลย เพราะในปีนี้สมาร์ทโฟนระดับราคาหมื่นกลางๆกำลังเข้ามาทำตลาดหลายรุ่น โดยหนึ่งในรุ่นที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ OPPO R9s Plus ที่มีดีกรีทั้งกล้องและประสิทธิภาพที่ปรับแต่งมาได้ลงตัวไม่แพ้กัน

ข้อดี

– ZenUI 3.0 มาพร้อมฟีเจอร์ที่สามารถปรับแต่งได้อิสระแทบทุกส่วน
– ลำโพงถึงแม้มีตัวเดียว แต่ให้เสียงดังฟังชัดมาก
– กล้องคู่เน้นสองระยะแบบเดียวกับ iPhone 7 Plus
– ฟีเจอร์กล้องมีให้เลือกใช้งานหลากหลาย
– กล้องมีกันสั่น OIS+EIS
– แบตเตอรีอึดมาก

ข้อสังเกต

– สเปกโดยรวมเหมือน ZenFone 3 เมื่อปีที่แล้ว
– วิดีโอ โดยเฉพาะความละเอียด 4K ยังให้คุณภาพไฟล์ที่ไม่ดี
– หน้าจอ สีและคอนทราสต์จัดเกินไป แม้จะปรับแต่งแล้วก็ยังให้ภาพที่ไม่เป็นธรรมชาติอยู่ดี

]]>
Review : OPPO R9s กล้องเด่น ราคาโดน กับสมาร์ทโฟนสุดคุ้มของปีนี้ https://cyberbiz.mgronline.com/review-oppo-r9s/ Thu, 06 Apr 2017 11:07:08 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=25713

หลังจาก OPPO (ออปโป้) เปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธง R9s Plus ไปเมื่อต้นปี (พร้อมขายแล้ว) วันนี้ก็ถึงคิวของน้องรอง R9s กับว่าที่สมาร์ทโฟนรองท็อปที่มีความโดดเด่นอยู่ที่สเปกกล้องหน้าและหลัง เอาใจทั้งขาเซลฟีและคนชอบถ่ายภาพ โดยในรุ่น R9s และ R9s Plus มีจุดขายที่น่าสนใจอยู่ในเรื่องราคาค่าตัวไม่เกิน 2 หมื่นบาท แต่สเปกและฟังก์ชันการใช้งานเทียบกับคู่แข่งเรือธงในท้องตลาดได้แน่นอน โดยเฉพาะรุ่นรอง R9s ที่ออปโป้คาดหวังจะให้เป็นสมาร์ทโฟนเน้นความคุ้มค่าคุ้มราคามากที่สุด

การออกแบบ

สำหรับ OPPO R9s จะมาพร้อมหน้าจอ AMOLED ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1,920×1,080 พิกเซล ครอบทับด้วยกระจกจอ 2.5D Gorilla Glass 5 พร้อมรองรับการสัมผัสขณะสวมถุงมือหรือแม้กระทั่งนิ้วเปียกก็สามารถจิ้มสั่งงานหน้าจอได้

ด้านกล้องถ่ายภาพด้านหน้า ติดตั้งอยู่ข้างลำโพงสนทนาโทรศัพท์ มาพร้อมความละเอียดภาพ 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f2.0

น้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 147 กรัม บาง 6.58 มิลลิเมตร มีสีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Gold และ Rose Gold

ในส่วนปุ่มโฮมจะใช้ระบบ Solid-State เป็นเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือ (ไม่ใช่ปุ่มกด) คล้ายกับ iPhone 7/7 Plus เพียงผู้ใช้นำนิ้วมาสัมผัสเบาๆ (ไม่ต้องออกแรงกด) ระบบจะอ่านลายนิ้วมือและปลดล็อกหน้าจอทันที หรือระหว่างใช้งานเพียงสัมผัสเบาๆที่ปุ่มนี้ ระบบจะพากลับมาที่หน้าโฮมสกรีนทันที

มาถึงจุดที่น่าสนใจและถือเป็นครั้งแรกของกลุ่มสมาร์ทโฟนราคาไม่เกิน 2 หมื่นบาทก็คือ “ออปโป้ได้ฝังเสาสัญญาณ Ultra-fine บาง 0.3 มิลลิเมตรมาให้จำนวน 6 เสา” แบ่งเป็น 2 ชุด (ด้านบน 3 เสา ด้านล่าง 3 เสา) ทำให้ทั้ง OPPO R9s และ R9s Plus จะสามารถจับทั้งสัญญาณ WiFi และ 4G ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

พลิกเครื่องมาดูรายละเอียดด้านหลัง นอกจากเสาสัญญาณ 6 เสา พาดผ่านดึงดูดสายตาแล้ว เรื่องของกล้องถ่ายภาพหลังยังถูกกล่าวเป็นจุดขายหลังของ R9s อีกด้วย โดยกล้องหลังจะมาพร้อมความละเอียด 16 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX398 รูรับแสงกว้าง f1.7 พร้อมเทคโนโลยีโฟกัส Dual PDAF แบบเดียวกับ Dual Pixel บน Samsung Galaxy S7 โดยระบบดังกล่าวจะทำให้กล้องสามารถจับโฟกัสได้เร็วขึ้น 40% แม้ในที่แสงน้อย รวมถึงความแม่นยำที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งในรุ่น R9s Plus จะมาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS+ (R9s รุ่นที่ทีมงานทดสอบ ไม่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวเชิงฮาร์ดแวร์ แต่ใช้ซอฟต์แวร์เป็นตัวจัดการแทน)

ส่วนไฟแฟลชจะเป็น Dual LED True Tone

กลับมาดูพอร์ตเชื่อมต่อและปุ่มกดรอบตัวเครื่อง เริ่มจากด้านขวาของเครื่อง จะเป็นช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์ รองรับ 2 ซิมแบบนาโน โดยช่องใส่ซิมที่ 2 จะแชร์กับช่อง MicroSD Card (รองรับความจุสูงสุด 256GB)

ถัดลงมาเป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง

อีกด้านเป็นปุ่มเพิ่มลดเสียง

ด้านล่าง เริ่มจากซ้ายมือจะเป็นช่องลำโพง ตรงกลางเป็นพอร์ต MicroUSB ไมโครโฟนและขวามือเป็นช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร

ด้านบน ไม่มีพอร์ตเชื่อมต่อและปุ่มกดใดๆ นอกจากช่องไมโครโฟนตัวที่ 2 สำหรับตัดเสียงรบกวนและใช้บันทึกวิดีโอ

ในส่วนระบบชาร์จไฟยังคงเอกลักษณ์ออปโป้ VOOC Flash Charge เช่นเดิม (สาย MicroUSB จะออกแบบพิเศษ สังเกตพอร์ตเชื่อมต่อจะเป็นสีเขียว) โดยการใช้เวลาชาร์จไฟ 30 นาทีจะเพิ่มระดับแบตเตอรีได้มากสุด 75% หรือคิดเป็น 4 เท่าของระบบชาร์จไฟปกติ พร้อมระบบตรวจวัดแรงดันไฟและตรวจจับความร้อนขณะชาร์จ ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรได้ด้วย

สเปก

สเปก OPPO R9s จะมาพร้อมหน่วยประมวลผล Qualcomm MSM8953 ‘Snapdragon 625’ Octa-core ความเร็ว 2.02GHz กราฟิก Adreno 506 มาพร้อมแรม 4GB (R9s Plus จะเพิ่มแรมเป็น 6GB) รอมความจุ 64GB เหลือให้ใช้งานจริงประมาณ 52GB

ด้านระบบปฏิบัติการเลือกใช้ Android 6.0.1 ประกบ ColorOS 3.0 จากออปโป้

ในส่วนสเปกอื่นๆ เริ่มจากการเชื่อมต่อเครือข่ายโทรศัพท์รองรับ 3G/4G ทุกเครือข่ายในประเทศไทย WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac บลทูธ 4.1, GPS/aGPS และไม่มี NFC

ยูสเซอร์อินเตอร์เฟสและฟีเจอร์เด่น

OPPO R9s มาพร้อมยูสเซอร์อินเตอร์เฟส ColorOS 3.0 ที่ในครั้งนี้ออปโป้เน้นปรับปรุง UI ให้มีความเรียบง่ายและเบาเข้าถึงได้เร็วมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะรูปแบบและฟังก์ชันการใช้งานจะคล้ายกับ iOS ใน iPhone อย่างมาก โดยในส่วนความลื่นไหลถือว่าออปโป้ปรับปรุงมาได้ดี ไม่พบปัญหาอาการหน่วงหรือแรมหมดระหว่างใช้งานแต่อย่างใด

นอกจากนั้น ทางออปโป้ยังเพิ่มโหมด Simple UI หรือหน้าอินเตอร์เฟสแบบเน้นปุ่มกดขนาดใหญ่และคัดเฉพาะแอปฯและฟังก์ชันเน้นโทรศัพท์กับรับข้อความเท่านั้น (แอปฯไม่สำคัญต่างๆจะถูกซ่อนไว้) โดย Simple UI ถูกออกแบบมาให้เหมาะสำหรับผู้สูงอายุเป็นสำคัญ

ในส่วนแอปฯติดตั้งมาจากโรงงาน ที่น่าสนใจจะเป็น “File safe” หรือตู้นิรภัยเก็บไฟล์ ที่ระบบจะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถป้องกันไฟล์ส่วนตัว เช่น เอกสาร รูปภาพต่างๆด้วยรหัสผ่าน และนอกจากนั้น ColorOS 3.0 ยังมาพร้อมระบบตรวจจับการทำงานของแอปฯขยะหรือแม้กระทั่งไวรัสต่างๆพร้อมจำกัดออกจากตัวเครื่องโดยไม่ต้องติดตั้งแอปฯเสริมจากภายนอกแต่อย่างใด

กล้องถ่ายภาพ

แอปฯควบคุมกล้องถ่ายภาพ ถือเป็นอีกส่วนที่ออปโป้ปรับปรุงใหม่ให้ทำงานได้รวดเร็วและมาพร้อมหน้าตาที่เรียบง่ายมากขึ้น (ออกแบบแนวเดียวกับ iOS บน iPhone อย่างมาก)

โดยโหมดถ่ายภาพจะมีให้เลือกตั้งแต่ Time Lapse, วิดีโอ, รูปถ่าย, สวยงาม (Beauty Mode) – สามารถปรับความเนียนของใบหน้าได้ตามต้องการ และพาโนรามา โดยในโหมดถ่ายภาพปกติจะมีโหมดย่อยให้เลือกใช้ตั้งแต่ UltraHD สูงสุด 64 ล้านพิกเซล, ตัวกรองสี – ถ่ายภาพแบบติดฟิลเตอร์สี, GIF Animation, Double Exprosure ถ่ายภาพซ้อนภาพ และที่ขาดไม่ได้คือโหมดผู้เชี่ยวชาญ (Professional Mode) ที่ระบบจะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับตั้งค่ากล้องด้วยตัวเองได้ตั้งแต่ ความเร็วชัตเตอร์ ค่าความไวแสง จุดโฟกัสและปรับเพิ่มลดชดเชยแสง

แต่น่าเสียดายที่ระบบไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเลือกปรับตั้งความละเอียดภาพและเปิดใช้ RAW File ได้เหมือนโหมดกล้องในแอนดรอยด์หลายๆรุ่น โดยภาพที่ถ่ายในโหมดถ่ายภาพปกติจะมีความละเอียดเต็ม 16 ล้านพิกเซลทั้งกล้องหน้าและหลัง

ถ่ายในโหมด UltraHD 64 ล้านพิกเซล

ครอป 100% จากภาพบน เหลือความละเอียด 10 ล้านพิกเซล ความคมชัดอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ โพสต์ลงโซเชียลคมชัด แต่ถ้าเน้นพิมพ์ภาพขนาดใหญ่ภาพจะติดเบลอเล็กน้อย เนื่องจากเทคโนโลยี 64 ล้านพิกเซลใช้การประมวลผลผ่านซอฟต์แวร์ไม่ใช่ฮาร์ดแวร์ถ่ายเป็น 64 ล้านฯจริงๆ

Beauty Mode ปรับตามค่ามาตรฐานจากโรงงาน

ภาพถ่ายในที่แสงน้อย ด้วยรูรับแสงกว้าง f1.7 ทำให้ภาพที่ได้มีนอยซ์ที่ต่ำ และคุณภาพไฟล์ภาพไม่ต่างจาก Samsung Galaxy S7/S7 edge แต่อย่างใด

ส่วนการถ่ายในสภาพแสงกลางวันปกติ แม้รูรับแสงจะกว้าง f1.7 แต่ภาพที่ได้ก็ถือว่ายังให้คุณภาพที่ดี ภาพอาจติดแสงฟุ้งเล็กๆเมื่อถ่ายในที่แสงแดดจัดมาก แต่เรื่องความคมชัดถือว่าาสอบผ่าน

ในส่วนของวิดีโอ ทีมงานได้ลองทดสอบถ่ายที่ความละเอียด 4K พบว่าระบบป้องกันภาพสั่นไหวจะไม่ทำงาน (ถ้าสังเกตในวิดีโอจะเห็นว่าภาพมีอาการไหวเล็กน้อย) แต่ถ้าใช้ความละเอียด 1080p ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบซอฟต์แวร์จะทำงาน แต่ก็ยังใช้งานได้ไม่ดีเท่ากับวิดีโอบน R9s Plus ที่ใช้ฮาร์ดแวร์ป้องกันภาพสั่นไหว OIS

ส่วนระบบออโต้โฟกัส Dual PDAF ถือว่าทำงานได้ดีมาก โฟกัสจับได้เร็ว แม่นยำและนุ่มนวลเหมือนกับ Dual Pixel ในสมาร์ทโฟนซัมซุง Galaxy S7

สรุปโดยภาพรวมสำหรับกล้องถ่ายภาพใน OPPO R9s ถือว่าให้ผลลัพท์ที่ดีเกินคาดหมายมาก ถ้าเปรียบเทียบแล้วเรียกได้ว่ากล้องหลัง OPPO R9s จะให้คุณภาพไฟล์ภาพไม่ต่างจากเรือธงอย่าง Samsung Galaxy S7/S7 edge แต่อย่างใด ความรวดเร็วในการจับโฟกัสและมิติภาพใกล้เคียงกันมาก จะต่างกันก็ในเรื่องโทนสีเท่านั้น

ทดสอบประสิทธิภาพ

ตามความจริง สเปก R9s จะเป็นรองสมาร์ทโฟนเรือธงในปีนี้หลายรุ่น แต่ถ้ามองเฉพาะกลุ่มราคาไม่เกิน 2 หมื่นบาทและมองเรื่องการใช้งานจริงเป็นหลัก R9s ถือว่าสอบผ่านแทบทุกอย่าง โดยเฉพาะการปรับระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์จากออปโป้ที่ทำได้ดีและน่าประทับใจ

ColorOS 3.0 ใช้งานได้ลื่นไหล ไม่พบอาการหน่วงให้รำคาญใจ แรม 4GB ถือว่าเพียงพอแล้ว และทีมงานเชื่อว่าหลายคนที่ได้ลองสัมผัสทั้ง R9s และ R9s Plus น่าจะชื่นชอบส่วนของ UI ใหม่จากออปโป้ไม่ต่างจากทีมงาน แม้จะมีข้อสังเกตเล็กน้อยในเรื่องการจัดวางเลย์เอาท์และออกแบบ UI ที่ไปเหมือน iOS บน iPhone มากจนขาดเอกลักษณ์ของออปโป้ก็ตาม

มาถึงแบตเตอรี R9s ให้ความจุแบตเตอรีมา 3,010mAh ในขณะที่ R9s Plus ให้ความจุแบตเตอรีมามากถึง 4,000mAh โดยเมื่อทดสอบผ่านซอฟต์แวร์ PC Mark พบว่าแบตเตอรีใน R9s สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง (เปิดหน้าจอ 4G+WiFi ตลอดการทดสอบ) ถึง 11 ชั่วโมง 49 นาที แบตเตอรีจะเหลือประมาณ 10% แต่ถ้าใช้จนแบตเตอรีเหลือ 0% จะทำเวลาได้ประมาณ 12-13 ชั่วโมง ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานตลอดทั้งวันแน่นอน

สรุป

สำหรับราคา OPPO R9s อยู่ที่ 14,990 บาท ส่วน R9s Plus (สเปกแรงกว่า R9s + แรม 6GB + แบตเตอรี 4,000mAh และกล้องมี OIS) อยู่ที่ 16,990 บาท

ทั้งสองรุ่นสำหรับทีมงานถือว่าเป็นการเปิดประสบการณ์สมาร์ทโฟนเรือธงไล่ไปถึงสมาร์ทโฟนระดับกลางครั้งใหม่ของออปโป้ที่ยังคงโดดเด่นในเรื่องราคาขายที่ตั้งมาได้โดนใจคนไทยอย่างมาก ส่วนเรื่องประสิทธิภาพแม้ในส่วนหน่วยประมวลผลจะใส่รุ่นระดับกลางมาให้ แต่ออปโป้ก็สามารถปรับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์จนสามารถทำงานสอดประสานกันได้ลื่นไหลไม่ต่างจากพวกเรือธงสองหมื่นบาท ถือเป็นการกลับมาของออปโป้ที่น่าจับตามองและถือเป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนสุดคุ้ม ไม่ควรมองข้ามประจำปี 2017 ได้เลย

แต่ทีมงานแอบเสียดายเล็กน้อยในเรื่องดีไซน์ตัวเครื่องและ UI หลายส่วนที่ขาดเอกลักษณ์ความเป็นออปโป้ไปเหมือนกับดีไซน์ของ iPhone และระบบปฏิบัติการ iOS มากเกินไป

ข้อดี

-ระบบปรับมาได้เสถียรทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ColorOS
-กล้องคมชัด ถ่ายในที่แสงน้อยดี โดยเฉพาะโฟกัส Dual PDAF ทำงานได้แม่นยำและนุ่มนวล
-แบตเตอรีอึด ใช้งานได้ตลอดทั้งวัน
-VOOC ชาร์จไฟเร็ว

ข้อสังเกต

-การออกแบบตัวเครื่องและ UI ขาดเอกลักษณ์ความเป็นออปโป้
-ลำโพงให้เสียงที่ธรรมดาและไม่เป็นสเตอริโอ

Gallery

]]>
Review : Lenovo Yoga Book แท็บเล็ต 2 in 1 มีคีย์บอร์ดและปากกาใช้หมึกจริง https://cyberbiz.mgronline.com/review-lenovo-yoga-book/ Wed, 07 Dec 2016 12:54:20 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=24643

lenovo-yoga-book-android-1

Lenovo Yoga Book ถือเป็นสีสันใหม่ของวงการแท็บเล็ตได้อย่างดี เนื่องจากการออกแบบตัวเครื่องให้เป็นลูกผสมระหว่างแท็บเล็ตและโน้ตบุ๊ก มีให้เลือก 2 ระบบปฏิบัติการ ได้แก่ แอนดรอยด์ และวินโดวส์ 10 ไปถึงส่วนการใช้งานที่ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ในตลาดแท็บเล็ตตอนนี้

สำหรับ Yoga Book รุ่นที่ทีมงานไซเบอร์บิซได้รับมาทดสอบขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์มาพร้อมแบตเตอรีขนาดใหญ่ซึ่งเลอโนโวเครมว่าใช้งานได้ยาวนานกว่า 15 ชั่วโมง (All Day Battery Life)

การออกแบบและฟีเจอร์เด่น

IMG_0212

IMG_0270

การออกแบบ ชื่อรุ่นก็บอกอยู่แล้วว่า Yoga Book เพราะฉะนั้นรูปทรงแท็บเล็ตจะคล้ายกับสมุด ใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน มาพร้อมความบางเพียง 4.05 มิลลิเมตร น้ำหนัก 690 กรัมและตัวเครื่องทั้งหมดผลิตจากโลหะ

IMG_0302

หน้าจอ – เป็นแบบสัมผัส Capacitive Touch ขนาด 10.1 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1,920×1,200 พิกเซล รองรับปากกา (AnyPen Technology)

yob-drawing

ส่วนอีกด้านถือเป็นสีสันใหม่ของโลกแท็บเล็ตและโน้ตบุ๊ก ซึ่งเลอโนโวเรียกว่า “Create Pad” เป็นส่วนที่ผู้ใช้สามารถนำปากกามาเขียนบนแพดได้เหมือนกับหน้าจอ (ใช้เทคโนโลยีจาก Wacom) อีกทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนเป็นคีย์บอร์ดเสมือนจริง (Halo Keyboard) ได้ด้วย

IMG_0227

IMG_0225

IMG_0307

และทีเด็ดสุดไม่มีใครเหมือนก็คือ บริเวณ “Create Pad” สามารถนำกระดาษจริงมาวางและเขียนด้วยปากกาของเลอโนโวด้วยหมึกจริง (Real Ink ออกแบบมาใช้งานเฉพาะ Lenovo Yoga Book เท่านั้น ไม่สามารถใช้ร่วมกับไส้หมึกยี่ห้ออื่นได้) หรือถ้าไม่อยากเขียนบนกระดาษจริง ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนไปใช้หัวปากกา Capacitive แล้วเขียนไปบนแพดเปล่าๆได้

สำหรับผู้อ่านที่ต้องการชมการทำงานระหว่างปากกากับ Create Pad ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถกดรับชมจากคลิปวิดีโอด้านบน

IMG_0314

ด้านสเปกตัวปากกาจะรองรับแรงกด 2,048 ระดับ ไม่ต้องใส่แบตเตอรี สามารถใช้งานได้ทั้งจดข้อความและวาดรูป

IMG_0276

IMG_0288

กลับมาดูงานออกแบบรอบตัวเครื่องกันต่อ อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจใน Yoga Book จะอยู่ที่บริเวณสันเครื่องที่ถูกออกแบบเป็นบานพับโลหะอันเป็นเอกลักษณ์เด่นของเลอโนโวตระกูล Yoga เพราะสามารถพับหน้าจอได้อิสระ 360 องศา 4 รูปแบบใช้งานดังนี้

IMG_0317

Type ใช้ในรูปแบบโน้ตบุ๊ก เน้นใช้พิมพ์งานและวาดภาพเป็นหลัก
Watch ใช้ในการรับชมวิดีโอ

IMG_0331

Browse ใช้ในรูปแบบแท็บเล็ต อ่านอีบุ๊ค ท่องเว็บไซต์

IMG_0306

IMG_0220

Create ใช้สำหรับเขียนหนังสือ จดเลคเชอร์ โดยอุปกรณ์เสริมแนะนำเพื่อให้การเขียนเหมือนเขียนลงกระดาษจริงมากขึ้น ได้แก่ Lenovo Book Pad (แถมมาให้ตามภาพประกอบ) หรือถ้าไม่อยากเขียนลงกระดาษด้วยหมึกจริงก็สามารถเปลี่ยนเป็นหัวปากกา Capacitive ได้ (ในกล่องแถมหัวปากกามาให้ 2 รูปแบบ)

IMG_0341

ด้านพอร์ตเชื่อมต่อรอบตัวเครื่อง เริ่มจากซ้ายมือ เป็นพอร์ต Micro USB 2.0 ช่องใส่ MicroSD Card รองรับความจุสูงสุด 128GB

ถัดมาเป็นช่อง Micro HDMI และลำโพงซ้าย

IMG_0343

ด้านขวา เริ่มจากซ้ายเป็นสวิตซ์เปิดปิดเครื่อง ถัดมาเป็นช่องลำโพงขวา ปุ่มเพิ่มลดระดับเสียงและช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร

ในส่วนกล้องถ่ายภาพมี 2 ตัวได้แก่ กล้องหน้า ติดตั้งบริเวณด้านบนของจอภาพ (ในแนวนอน) มีความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหลังเป็นแบบออโต้โฟกัส ติดตั้งอยู่บริเวณ Create Pad มุมบนขวา มีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล

สเปก

spec-yob

Lenovo Yoga Book รุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 6.0 Marshmallow ขับเคลื่อนด้วยหน่วยประมวลผล (x86) Intel Atom x5-Z8550 Processor Quad-Core ความเร็ว 2.4GHz แรม LPDDR3 ขนาด 4GB รอม 64GB (เหลือให้ใช้งานจริงประมาณ 46GB)

ด้านแบตเตอรี เป็น Li-ion Polymer ขนาด 8,500mAh ให้มาใหญ่จุใจ โดยเลอโนโวเครมว่า รุ่นระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์สามารถสแตนบายได้นาน 70 วันและอายุการใช้งานแบตเตอรีอยู่ที่ 15 ชั่วโมง

atmos-yob

ในส่วนสเปกอื่นๆ เริ่มจากการเชื่อมต่อเครือข่าย ถึงแม้จะมีช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์แต่จากสเปกจะไม่รองรับการเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือ (รุ่นที่วางขายอย่างเป็นทางการในไทยอาจรองรับ 3G/4G ต้องตรวจสอบจากเลอโนโว ประเทศไทยอีกครั้ง) ส่วน WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac ระบบเสียง Dolby Atmos มีบลูทูธ 4.0 และเซ็นเซอร์ภายในมีให้ทั้ง G-Sensor, Hall Sensor, GPS-AGPS และ Ambient Light Sensor เหมือนแท็บเล็ตทั่วไป

ซอฟต์แวร์เด่น

home-yob

แอนดรอยด์ 6.0 ที่ติดตั้งมาใน Yoga Book จะถูกปรับแต่งจากเลอโนโวเพิ่มเติม โดยเน้นให้ตัวระบบปฏิบัติการสอดคล้องกับการออกแบบสไตล์โน้ตบุ๊กมากขึ้น (จะต่างจากรุ่นที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 ที่ตัวโอเอสออกแบบมาเพื่อเป็นโน้ตบุ๊กอยู่แล้ว)

taskbar-yob

ยกตัวอย่างการใส่ Taskbar เข้ามา ทำให้ผู้ใช้สามารถกดสลับใช้งานแอปฯได้ลื่นไหลขึ้น รวมถึงสามารถกดเปิดปิดการใช้งานปากกากับตัว Halo Keyboard ได้สะดวกสบายขึ้น

multi-yob

อีกส่วนที่ทำให้ Yoga Book มีความคล้ายกับการใช้งานบน Windows มากยิ่งขึ้นก็คือ การรองรับ Multitasking สามารถเปิดแอปฯหลายตัวและใช้งานพร้อมกันได้อย่างอิสระ

web-yob

รวมถึงการใช้งานเว็บบราวเซอร์ผ่าน Chrome เมื่อเปลี่ยนรูปแบบไปใช้งานสไตล์โน้ตบุ๊ก ทั้งการแสดงผลและการควบคุม คุณสามารถใช้ทัชแพดเลื่อนเคอเซอร์เมาส์และคลิกเลือกได้เหมือนโน้ตบุ๊กทุกอย่าง

IMG_0324

halo-yob

Halo Keyboard – ถือเป็นคีย์บอร์ดเสมือน มีปุ่ม Function (Fn) เหมือนคีย์บอร์ดโน้ตบุ๊ก การทำงานใช้ Capacitive Touch ที่ให้แรงกดเหมือนคีย์บอร์ดจริงด้วย Haptic (กดแล้วจะมีแรงสั่นตอบกลับนิ้วให้เราได้รู้สึก) พร้อมทัชแพดใช้งานแบบเมาส์ได้ไม่ต่างจากโน้ตบุ๊ก โดยตัว Halo Keyboard รองรับภาษาไทย สมบูรณ์แบบ (แต่ไม่มีสกรีนคีย์ไทยไว้ ต้องใช้การพิมพ์สัมผัส) พร้อมฟีเจอร์ตรวจคำผิดและคาดเดาคำคัพท์

ในส่วนการเปิดใช้งาน Halo Keybaord สามารถทำได้ 2 วิธีได้แก่ 1.เมื่อใช้งานในรูปแบบโน้ตบุ๊ก คีย์บอร์ดจะทำงานอัตโนมัติ 2.กดปุ่มปิดปากกา คีย์บอร์ดจะทำงานทันที

ส่วนเมื่อพับส่วนคีย์บอร์ดไปด้านหลังเพื่อใช้งานแบบแท็บเล็ต คีย์บอร์ดจะปิดการทำงานอัตโนมัติ

ซอฟต์แวร์ปากกา

IMG_0228

อย่างที่เกริ่นไปแล้วข้างต้นว่า ปากกาที่ใช้กับ Yoga Book ถูกพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีจาก Wacom โดยเน้นการใช้งานไปในด้านเขียนตัวอักษรด้วยหมึกกับกระดาษจริงผ่านเทคโนโลยี EMR เป็นอันดับแรก ส่วนรองลงมาจะเป็นการใช้วาดภาพด้วยปากกาแบบเดียวกับ Sketch Pad ของ Wacom ที่เหล่าศิลปินน่าจะรู้จักกันดี

bookapp-yob

เพราะฉะนั้นในส่วนแอปฯที่ใช้แสดงศักยภาพของปากกา ทางเลอโนโวติดตั้งมาให้ 2 ตัวด้วยกัน เริ่มจาก Lenovo Note Saver ที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถจดโน้ตข้อความต่างๆผ่านแอปฯ รวมถึงใส่ภาพถ่ายหรือพิมพ์ข้อความผ่านคีย์บอร์ดและจัดเก็บเป็นไฟล์รูปภาพได้ หรือถ้าอยากวาดภาพเล็กๆน้อยๆด้วยปากกาก็สามารถทำผ่านแอปฯนี้ได้เช่นกัน

ส่วนถ้าผู้ใช้อยากใช้ฟีเจอร์เขียนลง Create Pad แล้วให้ระบบแปลงเป็นตัวพิมพ์ให้ ก็สามารถเข้า Play Store แล้วเลือกติดตั้ง “Google Handwriting Input” ได้ (ตัวอย่างการใช้งานตามคลิปวิดีโอด้านบน)

paint-yob

และสำหรับคนชอบวาดภาพ ทางเลอโนโวได้ติดตั้งแอปฯ “ArtRage” มาให้ โดยภายในแอปฯจะสามารถเปลี่ยนหัวปากกาปกติเป็น พู่กัน ดินสอ รวมถึงเลือกการลงสีได้หลากหลายรูปแบบ

anypen

AnyPen – เป็นเทคโนโลยีในส่วนของหน้าจอที่เปิดโอกาสให้คุณสามารถนำปากกามาเขียนที่ส่วนของหน้าจอได้ (ทดสอบแล้วปากกาที่เป็นหัว Capacitive ทั้งหมดรวมทั้ง Apple Pencil สามารถใช้งานได้) แต่ความแม่นยำและความลื่นไหลจะสู้การเขียนผ่านส่วน Create Pad ไม่ได้ โดยเฉพาะระบบรับรู้น้ำหนักแรงกดจะไม่ทำงาน

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

bench-yob

PC Mark
Work 2.0 = 4,702 คะแนน
Storage score = 3,709 คะแนน

AnTuTu Benchmark = 84,696 คะแนน

Geekbench 4.0
Single-Core = 1,118 คะแนน
Multi-Core = 3,239 คะแนน

bench2-yob

PassMark PerformanceTest Mobile
System = 6,380 คะแนน
CPU Tests = 65,894  คะแนน
Disk Tests = 55,804 คะแนน
Memory Tests = 6,324 คะแนน
2D Graphics Tests = 5,085 คะแนน
3D Graphics Tests = 1,583 คะแนน

3D Mark
Sling Shot Using ES 3.1 = 1,104 คะแนน
Sling Shot Using ES 3.0 = 1,444 คะแนน

vellamo-yob

Vellamo
Multicore = 2,614 คะแนน
Metal = 1,612 คะแนน
Chrome Browser = 3,946 คะแนน

เรื่องทดสอบประสิทธิภาพ ทีมงานขอกล่าวถึงภาพรวมหลังจากใช้ชีวิตร่วมกันมา 1 อาทิตย์เต็ม พบว่า Lenovo Yoga Book ซึ่งใช้ชิปประมวลผล x86 (Intel Atom) เมื่อมาอยู่ในเวอร์ชันแอนดรอยด์ การทำงานต่างๆก็ถือว่าลื่นไหล ยกเว้นการแสดงผลกราฟิก 3 มิติ เมื่อทีมงานลองทดสอบกับเกม ยกตัวอย่างเช่น Asphalt Xtreme จะพบอาการกระตุกจนไม่สามารถเล่นได้ รวมถึงอีกหลายเกมที่แสดงอาการไม่รองรับซีพียูสถาปัตยกรรม x86

ด้านปากกาและแอปฯที่รองรับ ถือว่าเพียงพอสำหรับคนทำงานที่เน้นเลคเชอร์เป็นหลัก เทคโนโลยี Wacom feel IT ทำให้ปากกาใช้งานได้เหมือนจริง โดยเฉพาะการเขียนด้วยหมึกจริงบนกระดาษจริง ให้ความรู้สึกที่ดีและเป็นธรรมชาติมากที่สุดในตลาดตอนนี้ อีกทั้งสเปกปากกาก็ถือว่าให้มาหรูหรา เช่น สามารถเอียงมุมปากกาได้สูงสุด 100 องศา และไม่จำเป็นต้องใช้แบตเตอรีด้วย

แต่ทั้งนี้ก็มีผู้ทดสอบหลายคนบ่นว่า การเขียนบนกระดาษจริงค่อนข้างสิ้นเปลืองและทำให้การใช้งานยุ่งยากกว่าเขียนบนหน้าจอโดยตรง ส่วนนี้ก็คงต้องให้ผู้อ่านและผู้สนใจไปลองทดสอบด้วยตัวเองครับ

ส่วนการใช้วาดภาพ ทีมงานมีความรู้สึกว่าตัวแอปฯยังดึงศักยภาพของปากกาออกมาได้ไม่เต็มที่นัก อาจต้องหาแอปฯจากผู้พัฒนารายอื่นมาใช้งานร่วมกัน

batt-yob

มาถึงเรื่องแบตเตอรี เป็นสิ่งที่น่าประทับใจเพราะ Yoga Book สามารถใช้งานต่อเนื่อง (ทดสอบด้วยแอปฯ Geekbench เปิดหน้าจอตลอดการทดสอบ) ได้ยาวนาน 10 ชั่วโมง 32 นาที 50 วินาที ซึ่งถ้าคิดเป็นเวลาใช้งานปกติก็จะอยู่ที่ประมาณ 14-15 ชั่วโมง เพียงพอต่อการใช้งานทั้งวัน

IMG_0350

สุดท้ายค่าตัว Lenovo Yoga Book เริ่มต้น 19,990 บาท (แอนดรอยด์) ส่วนเวอร์ชัน Windows เลอโนโวจะวางจำหน่ายเร็วๆนี้ แน่นอนว่าถ้าผู้ใช้เน้นงานออฟิซเป็นหลัก รุ่น Windows น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ส่วนถ้าผู้ใช้เน้นทำงานเล็กๆน้อยๆ แต่เน้นการพกพา ต้องการแบตเตอรีอึดและชอบขีดเขียนมากกว่าพิมพ์ เวอร์ชันแอนดรอยด์น่าจะตอบโจทย์ดีที่สุด

ข้อดี

– วัสดุ งานประกอบแข็งแรงมาก ปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย
– เป็นแท็บเล็ตมีคีย์บอร์ด น้ำหนักเบา พกพาสะดวก
– แบตเตอรีอึด
– ปากกาใช้หมึกจริง เขียนได้จริง และสามารถเปลี่ยนหัวปากกาได้
– Halo Keyboard ตอบสนองการกดดีเยี่ยม

ข้อสังเกต

– เวอร์ชันแอนดรอยด์ แอปฯที่ให้มายังไม่น่าสนใจเพราะเน้นเขียนและเซฟเป็นภาพมากกว่า (น่าจะมีระบบแปลงลายมือเป็นตัวอักษรได้ภายในแอปฯของเลอโนโว)
– หน้าจอรองรับการใช้ปากกาผ่านฟีเจอร์ AnyPen ยังทำงานได้ไม่ดีนัก
– ไส้น้ำหมึกต้องใช้เฉพาะรุ่นที่เลอโนโวออกแบบมาเท่านั้น

Gallery

]]>
Review : Samsung Galaxy A9 Pro จอใหญ่ แบตอึด ราคาดี https://cyberbiz.mgronline.com/review-samsung-galaxy-a9pro/ Mon, 22 Aug 2016 09:25:40 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=23525

IMG_5699กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่กำลังได้รับความนิยมในตลาดขึ้นมาทันทีหลังจาก Pokemon Go เปิดให้บริการในประเทศไทย เนื่องจากตัว Galaxy A9 Pro มีจุดเด่นอยู่ที่แบตเตอรีขนาด 5,000 mAh ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องกังวลแบตเตอรีหมดระหว่างวัน จนถึงกับที่ทางซัมซุงคิด “#อวสานพาวเวอร์แบงก์ขึ้นมาให้ใช้กันเลยทีเดียว

ก่อนหน้านี้ ทีมงานเคยเขียนถึง “4 จุดห้ามพลาดใน Galaxy A9 Pro” ซึ่งสามารถย้อนกลับไปอ่านกันได้ มาถึงในการรีวิวครั้งนี้ จะเน้นไปที่การใช้งานจริง เพื่อลงลึกในรายละเอียดของ Samsung Galaxy A9 Pro ที่ซัมซุงทำราคาจำหน่ายออกมาได้น่าสนใจ ที่ 15,900 บาท เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนจอ 6 นิ้วในท้องตลาด

การออกแบบ

IMG_5696

แม้ว่ารูปทรงการดีไซน์สมาร์ทโฟนของซัมซุง ในช่วงหลังๆจะเหมือนกันหมดแทบทุกซีรีส์ แต่ก็ยังมีจุดแตกต่างที่สัมผัสได้คือเรื่องของวัสดุ ที่ผลิตภัณฑ์ในตระกูล Galaxy A จะแข็งแรงกว่าในตระกูล Galaxy J เพราะขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับสินค้าในตระกูล Galaxy S และ Note พร้อมกับการใส่ฟังก์ชันพิเศษเข้ามาช่วยให้ใช้งานได้ง่าย

โดย Galaxy A9 Pro จะมีขนาดรอบตัวอยู่ที่ 80.9 x 161.7 x 7.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 210 กรัม มีวางจำหน่ายด้วยกัน 3 สี คือ ทอง เงิน และดำ  ซึ่งแน่นอนว่าด้วยขนาดของหน้าจอที่ใหญ่ ทำให้เวลาจับถือไม่สามาถใช้งานได้ด้วยมือข้างเดียว จุดนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้แล้วว่าชอบที่จะใช้งานสมาร์ทโฟนจอใหญ่เครื่องเดียวแทนทั้งแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนไปเลย หรือจะเลือกพก 2 เครื่องทั้งสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต แต่ถ้าเป็นผู้หญิงที่มือเล็กน้อยอาจจะมีปัญหาในการจับมือเป็นระยะเวลานานที่จะเมื่อยมือได้จากน้ำหนักของตัวเครื่อง

ด้านหน้าไล่จากส่วนบนจะเป็นช่องลำโพงสนทนา ที่ทำนูนเป็นตะแกรงออกมาจากตัวเครื่องเล็กน้อย โดยมีเซ็นเซอร์ตรวจจับใบหน้า และเซ็นเซอร์วัดแสง อีกฝั่งจะเป็นกล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ถัดลงมาเป็นโลโก้แบรนด์ “SAMSUNG” สีเงินพาดอยู่บนหน้าจอ

ส่วนหน้าจอจะเป็น HD SuperAMOLED ขนาด 6 นิ้ว ความละเอียด Full HD ที่ทำขอบจอมาบางเพื่อให้ขนาดคัวเครื่องไม่ใหญ่จนเกินไป ล่างหน้าจอจะมีปุ่มโฮม ที่ใช้เป็นจุดสแกนลายนิ้วมือเช่นเดิม (สามารถกด 2 ครั้งเพื่อเปิดกล้องได้เมื่อเปิดใช้งานเครื่องอยู่ และ กด 3 ครั้งถ้าล็อกหน้าจอเพื่อเข้าโหมดกล้อง) โดยมีปุ่มย้อนกลับอยู่ทางขวา และ เรียกดูแอปย้อนหลังทางซ้าย

IMG_5697

ด้านหลังด้วยการที่เป็นสินค้าในตระกูล Galaxy A ทำให้ฝาหลังจะใช้กระจกเช่นเดียวกับด้านหน้าเพื่อให้ความหรูหราแก่ตัวเครื่อง และแน่นอนว่าเป็นกระจกที่มีจอโค้ง 2.5d ทำให้ขอบกระจกโค้งรับไปกับตัวเครื่อง โดยมีกล้องความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ที่นูนออกมาจากตัวเครื่องเล็กน้อย (เป็นรอยค่อนข้างง่าย) และไฟแฟลขอยู่ ลงมาตรงกลางเป็นโลโก้ซัมซุงเช่นเดิม

IMG_5714IMG_5715IMG_5711IMG_5710ด้านซ้ายเป็นปุ่มปรับระดับเสียง ด้านขวามีปุ่มเปิดปิดเครื่อง และถาดใส่นาโนซิม แบบ 2 ซิม ที่สามารถสแตนบาย 3G ได้ทั้งคู่ ด้านบนมีถาดใส่ไมโครเอสดีการ์ด (รุ่นก่อนหน้าจะใช้รวมกับช่องใส่ซิม 2) และรูไมโครโฟนตัดเสียง ด้านล่างเป็นพอร์ตไมโครยูเอสบี ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ลำโพง และรูไมโครโฟน โดยทั้งขอบบนและล่างจะมีแถบรับสัญญาณติดอยู่ด้วย

สเปก

s13

สำหรับสเปกของ Galaxy A9Pro ถือว่าอยู่ในระดับกลางบนของกลุ่มสมาร์ทโฟน จากการแบ่งรุ่นของซีพียูที่ใช้เป็น Qualcomm Snapdragon 652 ที่เป็น Octa-Core 1.8 GHz Cortex-A72  กับ 1.4 GHz Cortex-A53 กราฟิกเป็น Adreno 510 RAM 4 GB พื้นที่เก็บข้อมูลในตัวเครื่อง 32 GB รองรับไมโครเอสดีการ์เพิ่มเติมสูงสุด 256 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 6.0.1

ด้านการเชื่อมต่อรองรับการใช้งาน 2 ซิม ที่สามารถเลือกซิมหลักเป็น 3G/4G และซิมสองเป็น 3G ได้ รองรับการใช้งานทุกคลื่นความถี่ในประเทศไทย ความเร็วในการดาวน์โหลดบน 3G 42.2/5.76 Mbps 4G LTE Cat7 350/50 Mbps นอกจากนี้ก็จะมี Wi-Fi มาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac บลูทูะ 4.2 NFC GPS และวิทยุFM

ฟีเจอร์เด่น

s01

ในแง่ของการใช้งานทั่วไป Galaxy A9Pro ยังคงมาพร้อมกับ TouchWiz UI ที่เป็นเอกลักษณ์ของสมาร์ทโฟนซัมซุงอยู่แล้ว ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าจอในการนำไอค่อนลัด หรือวิตเจ็ตต่างๆมาใส่ได้ตามปกติ โดยเมื่อเลื่อนไปทางซ้ายจะเจอกับหน้ารวมข้อมูลข่าวสารจาก Flipboard ให้ได้ใช้งานกัน หรือถ้าไม่ต้องการก็สามารถกดปิดการทำงานได้

IMG_5704การล็อกหน้าจอของ A9 Pro จะรองรับการสแกนลายนิ้วมือด้วย โดยผู้ใช้สามารถเข้าไปเพิ่มได้ในส่วนของการตั้งค่าหน้าจอล็อกและระบบป้องกัน โดยจะสามารถเลือกได้ว่าใช้งานคู่กับ Pattern หรือ การป้อนรหัส กรณีที่ไม่สามารถสแกนลายนิ้วมือได้จะได้ใช้ช่องทางอื่นแทน เพียงแต่ในส่วนของลายนิ้วมือนั้นสามารถเพิ่มได้เพียง 3 ลายนิ้วมือเท่านั้น

s03ถัดมาในส่วนของการแจ้งเตือนนอกจากมีแสดงวัน เวลา และการแจ้งเตือนต่างๆแล้ว จะมีส่วนสำหรับตั้งค่าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อไวไฟ บลูทูธ ดาต้า ปรับเสียง การหมุนหน้าจอ โหมดห้ามรบกวน การเปิดไฟลท์โหมด ระบบประหยัดพลังงานสูงสุด การเปิดไวไฟฮ็อตสป็อต NFC การซิงค์ข้อมูล รวมถึงโหมด S-Bike การจัดการแอปพลิเคชัน (Recent Apps) สามารถเคลียแอปทั้งหมด และสลับการใช้งานไปมาได้อยู่เช่นเดิม

s02

โหมด S-Bike คือโหมดล่าสุดที่ซัมซุงคิดค้นขึ้นมา และนำมาใส่ไว้ในสมาร์ทโฟนให้ผู้ที่ขับขี่มอเตอร์ไซค์ได้ใช้งาน ซึ่งจะทำได้เพียงการโทรเร่งด่วนเท่านั้น โดยจะทำงานร่วมกับ NFC ที่สามารถนำสติกเกอร์ที่มี NFC ไปติดไว้บนมอเตอร์ไซค์ นำโทรศัพท์ไปสแกนก็จะเข้าสู่โหมด S-Bike ทันที ซึ่งเมื่อเปิดใช้งานแล้ว จะสามารถดูได้เพียงการแจ้งเตือน ตอบข้อความอัตโนมัติ และดูระยะการเดินทางเท่านั้น ส่วนวิธีการออกจากโหมด S-Bike จะใช้วิธีกดที่สัญลักษณ์กลางหน้าจอค้างไว้

s06การใช้งานโทรศัพท์ ยังเป็นอินเตอร์เฟสเดิมที่ผู้ใช้ซัมซุงคุ้นเคย โดยผู้ใช้สามารถกดเลขหมายเพื่อคาดเดารายชื่อจากในระบบได้ทันที หน้าจอขณะสนทนาสามารถเพิ่มสาย พักสาย ปิดไมค์ เปิดลำโพง เรียกปุ่มกด สมุดจดขึ้นมาใช้งานได้ตามปกติ หน้าจอรับสายก็จะมีแสดงรูปผู้ติดต่อ ชื่อ เลขหมาย โดยให้เลื่อนปุ่มเพื่อรับสายเหมือนเดิม แต่ในกรณีที่ใช้งานโทรศัพท์อยู่ จะมีการแสดงสายเรียกเข้าที่แถบบนแทน เพื่อให้สามารถกดรับได้ทันที

s04

แป้นคีย์บอร์ดที่ให้มากับเครื่อง ผู้ใช้สามารถเลื่อนซ้าย-ขวา ที่ปุ่มสเปซบาร์เพื่อสลับภาษาได้ทันที ซึ่งถ้าไม่เคยใช้งานมาก่อนอาจจะไม่ชิน แต่เมื่อใช้ไปสักพักจะเริ่มใช้งานได้คล่องขึ้น สามารถกดเปลี่ยนภาษา เรียกใช้งานสัญลักษณ์พิเศษต่างๆได้ตามปกติ รองรับการทำงานทั้งแนวตั้ง และแนวนอน

s11

ส่วนของกล้องถ่ายภาพก็ใช้ยังอินเตอร์เฟสแบบเดิมที่คุ้นชินกันแล้ว โดยแถบซ้ายจะเป็นปุ่มลัดไว้ตั้งค่าการถ่ายภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใส่เอฟเฟกต์สี ตั้งเวลาถ่ายภาพ แฟลช ความละเอียดภาพ และเข้าไปดูการตั้งค่าทั้งหมด ส่วนฝั่งขวาก็จะส่วนไว้ดูรูปที่ถ่าย ปุ่มอัดวิดีโอ ปุ่มถ่ายภาพนิ้ง สลับกล้องหน้าหลัง และเลือกโหมดถ่ายภาพ

s12

สำหรับโหมดการถ่ายภาพที่มีมาให้เบื้องต้นประกอบไปด้วยอัตโนมัติ โหมดโปร (สามารถปรับการชดเชยแสง ISO และ WB ได้เท่านั้น) โหมดพาโนราม่า โหมดถ่ายภาพต่อเนื่อง โหมดชดเชยแสง โหมดถ่ายภาพกลางคืน ซึ่งผู้ใช้สามารถเข้าไปดาวน์โหลดโหมดกีฬา บิวตี้ เซลฟี่กล้องหลัง และทำภาพเคลื่อนไหว (Gif) เพิ่มเติมได้

โดยกล้องหลังของ A9Pro ที่ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับ F1.9 ทำให้สามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ค่อนข้างดี (แต่ยังไม่เทียบเท่ากับรุ่นพี่อย่าง Galaxy S6 หรือ S7) ส่วนกล้องหน้าที่ให้มา 8 ล้านพิกเซล ก็ถือว่าเพียงพอกับการถ่ายภาพแบบเซลฟี่อยู่แล้ว และถือเป็นกล้องหน้าที่ชัดสุดในตอนนี้ของทางซัมซุงด้วย

s05s07ขณะที่แอปพลิเคชันที่พรีโหลดมาให้ก็จะเป็นแอปทั่วๆไป ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ ข้อความ กล้อง แกลอรี่ นาฬิกา รายชื่อ การตั้งค่า ปฏิทิน เครื่องคิดเลข เครื่องเล่นเพลง สมุดบันทึก บริการต่างๆจากูเกิล ไมโครซอฟท์ และแอปของทางซัมซุงเองอย่างพวก S-Health แหล่งดาวน์โหลดแอป Galaxy Apps แหล่งรวมสิทธิพิเศษอย่าง Galaxy Gift และ Galaxy Rewards ก็ยังมีมาให้ใช้กันปกติ

s08ส่วนของการตั้งค่าก็มีการแบ่งออกเป็นสัดส่วนอย่างเรื่องของการเชื่อมต่อ  การจัดการแอปพลิเคชัน การตั้งค่าต่างๆของตัวเครื่อง ระบบความปลอดภัย และข้อมูลทั่วไป ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกการตั้งค่าที่ใช้งานบ่อยๆ ขึ้นมารวมไว้ที่บริเวณบนสุดได้ 9 ประเภท เพื่อลดความยุ่งยากในการตั้งค่า

นอกเหนือจากนี้ เมื่อทดลองใช้งาน 2 ซิม การที่ตัวเครื่องรองรับการสแตนบาย 3G ทั้ง 2 ซิม ช่วยให้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องอย่างไม่มีปัญหา ไม่ต้องกังวลเมื่อเข้าไปในพื้นที่ที่มีเฉพาะ 2G เหมือนเมื่อก่อน ซึ่งถือเป็นจุดดีเพราะโทรศัพท์ 2 ซิมส่วนใหญ่ในปัจจุบันซิมที่สแตนบายจะรองรับเพียง 2G เท่านั้น

s09

ในส่วนของแบตเตอรี เท่าที่ลองใช้งานทั่วๆไป ถ้าไม่ได้มีการใช้งานแบบต่อเนื่องมากนัก ใช้แบบทั่วๆไปเปิดใช้งานซิงค์อีเมล โซเชียลมีเดียต่างๆ แบตเตอรี 5,000 mAh สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 2 วันสบายๆ และแน่ใจได้ว่าจะไม่หมดระหว่างวันแม้ใช้งานหนักๆ

IMG_5818

โหมดอย่าง Ultra Power Saving ยังมีมาให้ใช้งานเช่นเดียวกัน ซึ่งระบบจะตัดการทำงานเบื้องหลังที่ไม่จำเป็นออกทั้งหมด ทำให้ตัวเครื่องสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องแม้แบตเตอรีเหลือน้อย โดยยังคงฟังก์ชันใช้งานหลักๆไว้ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ ข้อความ เบราว์เซอร์ และโซเชียลมีเดียต่างๆ แต่การแสดงผลจะเป็นจอสีขาวดำแทน

s17

แต่ถ้าใช้งานในแบบที่จริงจัง อย่างเช่นการเปิดหน้าจอใช้งานต่อเนื่อง นำมาจับโปเกม่อนตลอดเวลาก็อาจจะอยู่ไม่ถึงวัน แต่อย่างน้อยๆ ได้ต่อเนื่องเกิน 6 ชั่วโมงแน่ๆ ขณะที่ในการชาร์จแบตเตอรีขนาด 5,000 mAh ถ้าใช้ที่ชาร์จที่มากับเครื่องจะเป็นระบบ Fast Charge ทำให้สามารถชาร์จได้ 90% ในะเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง และชาร์จจนเต็มในเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง

ทดสอบประสิทธิภาพ

s14

เมื่อทดสอบ ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Quadrant Standart และ Antutu ได้คะแนน 35,492 คะแนน และ 68,429 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 10 จุดพร้อมกัน

s15

ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo จากอินเทอร์เน็ตเบราว์เซอร์ ได้ 3,905 คะแนน แอนดรอยด์เว็บวิวได้ 3,274 คะแนน โครมเบราว์เซอร์ 3,433 คะแนน ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ (Metal) 1,878 คะแนน Multicore 2,586 คะแนน คะแนน Geek Bench 3 Single-Core 1259 คะแนน Multi-Core 4,334 คะแนน

ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรีต่อเนื่องอยู่ที่ 11 ชั่วโมง 45 นาที คิดเป็นคะแนนของ Geekbench 3 ได้ 7,050 คะแนน จากแบตเตอรีที่ใหญ่ถึง 5,000 mAh

s16

ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม PCMark ในส่วนของ Work Performance ได้ 4,918 คะแนน 3D Mark ตัว Sling Shot ES3.1 ได้ 886 คะแนน Sling Shot ES3.0 ได้ 1,334 คะแนน Ice Storm Unlimited ได้ 16,766 คะแนน ส่วน Ice Storm Extreme 10,069 คะแนน และ Ice Storm ที่ทำคะแนนทะลุไป

ส่วน Passmark Performance Test Mobile ได้คะแนน System 7,763 คะแนน CPU 171,035 คะแนน Disk 64,856 คะแนน Memory 7,509 คะแนน 2D Graphics 5,927 คะแนน และ 3D Graphics 1,901 คะแนน

สรุป

จากการทำราคาที่ 15,900 บาท ทำให้ Galaxy A9 Pro ถือเป็นสมาร์ทโฟนในระดับราคาหมื่นกลางๆที่น่าสนใจ จากทั้งการที่เครื่องมีแบตเตอรีขนาด 5,000 mAh รองรับการใช้งาน 3G สแตนบายทั้ง 2 ซิม ที่ทำมาตอบโจทย์การใช้งานสมาร์ทโฟนในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ด้วยเครื่องที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ ส่งผลให้ในช่วงแรก A9 Pro ไม่พอจำหน่ายกันเลยทีเดียว

แน่นอนว่าถ้าเป็นผู้บริโภคที่ไม่ได้ใช้งานสมาร์ทโฟที่มีลูกเล่นพิเศษต่างๆในระดับไฮเอนด์ A9 Pro ถือเป็นรุ่นรองลงมาที่น่าสนใจ เพราะถ้ามองในแง่ของสเปกก็อยู่ในระดับที่มีประสิทธิภาพเพียงพอกับการใช้งานหนักๆในปัจจุบันได้อย่างสบายๆ และกลายเป็นรุ่นที่โดดเด่นที่สุดจากระดับราคาในช่วงเวลานี้

ข้อดี

สมาร์ทโฟนหน้าจอขนาด 6 นิ้ว ขอบจอแคบทำให้ตัวเครื่องไม่ใหญ่จนเกินไป

แบตเตอรี 5,000 mAh ที่สามารถใช้งานได้ 2 วันสบายๆ ถ้าไม่ได้ใช้งานหนัก

รองรับ 3G สแตนบายทั้ง 2 ซิม (เลือกซิมหลักเป็น 3G/4G ซิมรองเป็น 2G/3G พร้อมกันได้)

ข้อสังเกต

ตัวเครื่องอาจจะใหญ่เกินไปสำหรับมือผู้หญิง

ภายในไม่มี Gyroscope ทำให้อาจใช้งานบางฟีเจอร์กับ Pokemon Go ไม่ได้

Gallery

]]>
Review : iPhone SE ตัวเล็ก สเปกไฮเอนด์ https://cyberbiz.mgronline.com/review-iphone-se/ Tue, 10 May 2016 03:38:56 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=22540

head000111

ระหว่างที่ผู้อ่านหลายท่านกำลังรอการมาของ iPhone ใหม่อยู่นั้น แอปเปิลขอกลับมาเขย่าตลาดสมาร์ทโฟนราคาประหยัดอีกครั้งด้วย “iPhone SE” ขนาดหน้าจอ 4 นิ้ว ที่ในครั้งนี้ แอปเปิลตั้งใจให้เข้ามาทำตลาดแทนที่ iPhone 5s (รุ่นยอดนิยมทั้งในบ้านเราและต่างประเทศ) มากกว่า iPhone 5c ที่ประสบความล้มเหลวและเป็นไอโฟนที่แอปเปิลอยากจะลืมมากที่สุด

IMG_4745

โดยจุดเด่นของ iPhone SE จะอยู่ที่สเปกเครื่อง ซึ่งแอปเปิลเซอร์ไพรส์ด้วยสเปกระดับเดียวกับ iPhone 6s ตั้งแต่ซีพียูไปถึงกล้องหลัง iSight ในราคาเริ่มต้นไม่ถึง 17,000 บาท

การออกแบบ

IMG_4720one-hand-opera-se

แอปเปิลเลือกกลับไปใช้การออกแบบลักษณะเดียวกับ iPhone 5s (อลูมิเนียม Bead Blasting) พร้อมหน้าจอ Retina ขนาด 4 นิ้ว (ความละเอียด 1,136 x 640 พิกเซล) ซึ่งแอปเปิลเครมว่าเป็นขนาดที่ได้รับความนิยม เหมาะสมกับการใช้มือเดียวมากที่สุด

size-2-sesize-1-se

ตัวอย่างพื้นที่แสดงผลเว็บไซต์ในหน้าจอขนาด 4 นิ้วบน iPhone SE ทั้งแนวตั้งและแนวนอน

มาถึงสเปกหน้าจอส่วนที่แตกต่างจาก iPhone 6s เริ่มจากหน้าจอ SE จะไม่รองรับ 3D Touch (Taptic Engine) และไม่มี Dual-domain pixel ทำให้การแสดงผลเม็ดสีและความกว้างของสีสันที่แสดงผ่านหน้าจอ iPhone SE จะแคบกว่าหน้าจอของ 6s รวมถึงคอนทราสต์ที่น้อยกว่าด้วย

ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f2.4 เท่ากับ iPhone 5s แต่เพิ่มฟีเจอร์ Retina Flash เข้ามาแบบเดียวกับ iPhone 6s

6svsse

ด้านขนาดตัวเครื่อง ความกว้างอยู่ที่ 58.6 มิลลิเมตร สูง 123.8 มิลลิเมตร หนา 7.6 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 113 กรัม เมื่อเทียบกับ iPhone 6s แล้ว iPhone SE จะหนากว่าเล็กน้อย แต่ในส่วนน้ำหนักจะเบากว่า 6s แถมการจับถือโดยไม่ใส่เคสจะทำได้ถนัดกว่า iPhone 6 และ 6s ค่อนข้างมาก

IMG_4742

ปุ่มโฮม – จะมาพร้อมตัวอ่านลายนิ้วมือ Touch ID รุ่นแรก (ทำงานไม่เร็วเท่าตัวอ่านลายนิ้วมือใน iPhone 6s ที่เป็นรุ่นสอง)

IMG_4722IMG_4776

ด้านหลัง – เหมือน iPhone 5s แบ่งหัวและท้ายเป็นกระจกสี ขาว สำหรับรุ่นที่ตัวเครื่องสี เงิน เทาและโรสโกลด์ ส่วนกระจกบนล่างสีดำจะเป็นของรุ่นตัวเครื่องสีเทาสเปซเกรย์

ตรงกลางเป็นอลูมิเนียม Bead Blasting

กล้องถ่ายภาพ – iSight ที่แอปเปิลดึงสเปกกล้องจาก iPhone 6s มาอย่างครบถ้วน (แถมเลนส์ไม่นูนออกมาเหมือน 6s) ตั้งแต่ความละเอียดภาพ 12 ล้านพิกเซล (1.22 ไมครอน), รูรับแสง f2.2, แฟลช True Tone, เซ็นเซอร์รับภาพ BSI, Focus Pixel, พาโนรามาความละเอียดสูง 63 ล้านพิกเซล และไมโครโฟนรับเสียงสำหรับงานถ่ายวิดีโอ

ถัดลงมาจะเป็นโลโก้แอปเปิลขัดเงา ด้านล่างเป็นชื่อรุ่น iPhone SE และรายละเอียด โมเดลตัวเครื่องต่างๆ

IMG_4735IMG_4733

ขอบเครื่อง – เริ่มจากด้านขวามือ จะเป็นที่อยู่ของช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์แบบ Nano Sim ซ้ายมือ เป็นที่อยู่ของสวิตซ์เปิดปิดเสียงและปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง

IMG_4738

IMG_4736

ด้านบนและล่าง – เริ่มจากด้านบนเป็นที่อยู่ของปุ่มเปิดปิดเครื่อง ส่วนด้านล่างจะเป็นที่อยู่ของช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนสนทนาโทรศัพท์, Lightning Port และลำโพง

สเปก

IMG_4747

สเปกเป็นส่วนที่ทำให้ iPhone SE น่าสนใจเพราะในครั้งนี้แอปเปิลเลือกนำสเปกไฮเอนด์ของ iPhone 6s มาใส่ใน SE เกือบทั้งหมดตั้งแต่ ซีพียูใช้ Apple A9 + M9 Dual Core ความเร็ว 1.84GHz ประกบกราฟิกชิป PowerVR GT7600 พร้อมแรม 2GB ระบบปฏิบัติการ iOS 9.3 แบตเตอรีขนาด 1,624mAh (แอปเปิลเครมว่าใช้งานได้ยาวนานกว่า 6s ถึง 2-3 ชั่วโมงเลยทีเดียว)

และส่วนของเซ็นเซอร์ตรวจจับภายในจะมีมาให้เหมือน iPhone 6s ทั้งหมด ได้แก่ ไจโร 3 แกน อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ระบบตรวจจับระยะ ระบบปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติ ยกเว้นบารอมิเตอร์ ที่ใน SE จะไม่ได้ใส่มาให้ใช้งาน

setup-se

ด้านสเปกเชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆ เริ่มจาก 3G/4G รองรับทุกเครือข่ายในประเทศไทย โดย 4G จะรองรับความเร็วสูงสุด 150Mbps (ไม่รองรับ 4G LTE Advanced เหมือนพี่ใหญ่ iPhone 6s) พร้อมรองรับฟีเจอร์ VoLTE (Voice over LTE), มี NFC (Apple Pay), GPS/GLONASS ส่วน WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac พร้อม MIMO ความเร็วสูงสุด 433Mbps และรองรับฟีเจอร์ Always On (Hey Siri) เหมือน 6s ด้วย

ฟีเจอร์เด่นส่วนซอฟต์แวร์

home-se

ภาพรวมของระบบปฏิบัติการ ฟีเจอร์เด่น รวมถึงแอปฯต่างๆถ้าใช้งานบน iPhone 6s ได้ ก็สามารถใช้งานบน iPhone SE ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น AirDrop, ตัดต่อวิดีโอผ่าน iMovie แบบ 4K หรือแม้แต่ทำผลงานเพลงผ่าน Garage Band ทั้งหมดทำได้บน iPhone SE เช่นกัน

camera-se

อีกส่วนที่ถือเป็นฟีเจอร์เด่นไม่แพ้สเปกเครื่องก็คือสเปกกล้องถ่ายภาพกลัง iSight ที่นอกจากรองรับความละเอียดภาพ 12 ล้านพิกเซลแล้ว โหมดถ่ายภาพนิ่งยังรองรับการบันทึก Live Photos แบบเดียวกับ iPhone 6s

นอกจากนั้นโหมดบันทึกวิดีโอยังรองรับการบันทึกในระบบ 4K ที่ความเร็ว 30 เฟรมต่อวินาที หรือ 1080p ที่ความเร็ว 30/60 เฟรมต่อวินาทีพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว อีกทั้งขณะบันทึกวิดีโอ 4K ผู้ใช้ยังสามารถกดถ่ายภาพนิ่งที่ความละเอียด 8 ล้านพิกเซลได้เหมือนกับ iPhone 6s และ 6s Plus

ทดสอบประสิทธิภาพ

benchmark-se

iPhone SE โมเดลที่ทีมงานได้รับมามีความจุ 64GB โดยผลการทดสอบเริ่มจาก AnTuTu Benchmark ทำคะแนนรวมได้ 131,496 คะแนน, 3D Mark : Sling Shot Extreme ทำคะแนนได้ 1,434 คะแนน, Geekbench ทำคะแนนในส่วน Single core อยู่ที่ 2,546 คะแนน และ Multi core อยู่ที่ 4,435 คะแนน

game2-se

iPhone SE สามารถเล่นเกม 3 มิติได้ลื่นไหลไม่ต่างจาก iPhone 6s

ส่วนเมื่อเทียบคะแนน AnTuTu Benchmark ระหว่าง iPhone SE กับ iPhone 6s จะพบว่า iPhone SE จะมีคะแนนที่มากกว่า ซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะ SE มีสเปกประมวลผลเท่ากับ 6s ในขณะที่หน้าจอมีขนาดเล็กและความละเอียดน้อยกว่า จึงทำให้การประมวลผล SE ทำได้ลื่นไหลกว่า 6s เป็นเรื่องปกติ ยกเว้นการแสดงผลกราฟิก 3 มิติที่ SE จะทำคะแนนได้น้อยกว่า 6s เล็กน้อย

musicmaker-se

หรือแม้กระทั่งการทำเพลงผ่านฟีเจอร์ Live Loops ในแอปฯ GarageBand ที่ทีมงานนำไฟล์ที่สร้างจาก iPad Pro 9.7” มาเปิดใช้งานต่อใน iPhone SE ก็สามารถทำได้ลื่นไหลมาก แต่เสียดายที่หน้าจอเล็กและพื้นที่ใช้งานค่อนข้างแคบทำให้การบังคับ ควบคุมแทร็คเพลงจำนวนมากทำได้ลำบากกว่า iPhone 6s และ 6s Plus

batt-test

นอกจากนั้น ด้วยสเปก SE ที่ไหลลื่นกว่า 6s แล้ว ในส่วนแบตเตอรียังทำเวลาใช้งานได้ดีเทียบ iPhone 6s Plus ด้วย โดยการใช้งานทั่วไป (ดูยูทูป เล่นเกม แชท เฟสบุ๊ก เปิดเว็บบราวเซอร์) บนการเชื่อมต่อ 4G LTE และ WiFi สลับทั้งวัน iPhone SE สามารถทำเวลาใช้งานต่อเนื่องได้ประมาณ 11-13 ชั่วโมง (ส่วนถ้าเปิดหน้าจอใช้งานต่อเนื่องจะทำเวลาได้ประมาณ 7 ชั่วโมง 51 นาที) และถ้าในหนึ่งวันผู้ใช้เน้นสแตนบายแค่โทรออกรับสายมากกว่าเล่นอินเตอร์เน็ต แบตเตอรีจะสามารถอยู่ได้นานข้ามวันเลยทีเดียว

ทดสอบกล้องถ่ายภาพ

อย่างที่ทราบกันแล้วว่าทั้ง iPhone SE และ iPhone 6s ใช้โมดูลกล้องตัวเดียวกัน ยกเว้นกล้องหน้าที่ SE จะเลือกใช้กล้องหน้าของ iPhone 5s บวกฟีเจอร์ Retina Flash ซึ่งให้ผลลัพท์ภาพดังตัวอย่างต่อไปนี้

Photo-5-5-2559-BE,-17-27-22

ภาพจากกล้องหน้า 1.2 ล้านพิกเซล (1,280×960 พิกเซล) พร้อมเปิด Retina Flash และใช้แหล่งกำเนิดแสงเพิ่มเติมจากไฟฉาย ภาพที่ได้ถือว่าคมชัดดี แต่จะมีนอยซ์มากกว่ากล้องหน้า 5 ล้านพิกเซลใน iPhone 6s และ 6s Plus เล็กน้อย

IMG_0096Photo-5-5-2559-BE,-17-19-08Photo-5-5-16,-22-35-44Photo-5-5-2559-BE,-09-57-49IMG_0092Photo-5-5-2559-BE,-17-30-02Photo-5-6-2559-BE,-13-25-53

ส่วนภาพชุดที่สองทั้งหมดนี้เป็นผลผลิตจากกล้องหลัง iSight 12 ล้านพิกเซล ตัวเดียวกับที่อยู่ใน iPhone 6s จะเห็นว่าทั้งโทนภาพ สีสัน ไดนามิกและคุณภาพไฟล์ที่ได้ไม่ต่างจาก iPhone 6s แต่อย่างใด การถ่ายในที่แสงน้อย ออโต้โฟกัสทำได้ดี

ชมภาพทั้งหมดแบบความละเอียดสูง >คลิกที่นี่<

ตัวอย่างวิดีโอ 4K โดย iPhone SE

โดยเฉพาะการถ่ายวิดีโอที่เป็นจุดแข็งหลักของแอปเปิลมาตลอด ใน iPhone SE แอปเปิลยังทำได้ดีเหนือกว่าทุกแบรนด์ในปัจจุบันเช่นเดิม ตั้งแต่เรื่องออโต้โฟกัสที่ถึงแม้จะช้าแต่มีความนุ่มนวลและแม่นยำ รวมถึงระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบซอฟต์แวร์และความชัดเจนในการบันทึกเสียงที่ทำได้ดี ไว้ใจได้พร้อมผลลัพท์ที่น่าพอใจอย่างมาก

สรุป

IMG_4729

สำหรับราคาเปิดตัว iPhone SE (ยึดราคาตามแอปเปิล สโตร์) ความจุ 16GB อยู่ที่ 16,800 บาท 64GB อยู่ที่ 20,800 บาท มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีเงิน เทาสเปซเกรย์ ทอง และโรสโกลด์ ส่วนโปรโมชันร่วมกับโอเปอร์เรเตอร์ในไทย dtac >คลิกที่นี่< AIS >คลิกที่นี่< และ TrueMove H >คลิกที่นี่< 

สรุปภาพรวม iPhone SE ก็คือ iPhone 6s ลดสเปก ในร่าง iPhone 5s ที่ในครั้งนี้แอปเปิลตั้งใจผลิตเพื่อเอาใจทั้งคนชอบสมาร์ทโฟนจอเล็กและคนที่กำลังมองหาไอโฟนประสิทธิภาพสูงในราคาไม่แพงมากนัก iPhone SE คือคำตอบที่ดีที่สุดตอนนี้

“หรือมองให้ง่ายและเห็นภาพชัดเจน ก็คือ iPhone SE หน้าจอ 4 นิ้วคือน้องเล็กสุดในครอบครัว iPhone 6s ซึ่งถ้าไล่ตามลำดับสเปกจะเป็นไปตามนี้

iPhone SE หน้าจอ 4 นิ้ว ราคา 16,800 – 20,800 บาท > iPhone 6s หน้าจอ 4.7 นิ้ว ราคา 26,500 – 34,500 บาท > iPhone 6s Plus หน้าจอ 5.5 นิ้ว ราคา 30,500 – 38,500 บาท”

อีกทั้งเมื่อ iPhone SE ถูกจัดอยู่ในตลาดสมาร์ทโฟนระดับกลางที่ตอนนี้มีคู่แข่ง (แบ่งตามราคา) เช่น Samsung Galaxy A7 A8, ASUS Zenfone Zoom, Huawei P8, Sony Xperia Z5 Compact, OPPO R7 Plus ที่ถึงแม้หน้าจอ iPhone SE จะเล็กกว่า แต่ประสิทธิภาพถือว่าอยู่อันดับต้นๆของตลาด โดยเฉพาะสเปกหน่วยประมวลผลที่น่าจะโดนใจคนอยากใช้ iPhone 6s แต่งบไม่ถึง SE น้องเล็ก น่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะในส่วนประสิทธิภาพโดยรวมก็ถือว่าอยู่ในระดับท็อปของไอโอเอสดีไวซ์ตอนนี้ ถ้า iPhone 6s เล่นอะไรได้ iPhone SE ก็สามารถใช้งานได้เหมือนกัน อีกทั้งถ้าในอนาคต iPhone รุ่นท็อปตัวใหม่มาถึง วันนั้น iPhone SE ก็ยังถือว่ามีประสิทธิภาพที่ดีพร้อมอัปเกรด iOS ใช้งานต่อไปได้อีกหลายปี

ข้อดี

– สเปกส่วนใหญ่เหมือน iPhone 6s
– ตัวเครื่องจับถนัดมือ แม้ไม่ใส่เคสใดๆ
– แบตเตอรีให้อายุการใช้งานน่าพอใจ

ข้อสังเกต

– กล้องหน้า 1.2 ล้านพิกเซลเท่านั้น
– ลำโพงให้เสียงที่เบาและขาดมิติ

Gallery

]]>
Review : ASUS ZenFone Zoom ถึงเวลามือถือติดกล้องซูม https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-zenfone-zoom/ Mon, 29 Feb 2016 02:20:12 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=21693

head-az

ปี 2016 ถือเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพบนสมาร์ทโฟนครั้งสำคัญมากมาย โดยหนึ่งในนั้นก็คือ ASUS ZenFone Zoom กับสมาร์ทโฟนที่ได้ชื่อว่าเป็น “ยุคใหม่ของการถ่ายภาพบนมือถือ” เพราะกล้องหลังถูกออกแบบมาให้ซูมได้จริงถึง 3 เท่า แบบไม่ต้องมีเลนส์ยืดหดเหมือนคู่แข่ง รวมถึงสเปกเครื่อง ฟีเจอร์และราคาที่ยังคงคอนเซปคุ้มค่าคุ้มราคาเช่นเดียวกับรุ่นฮิต ASUS ZenFone 2 (สเปกเครื่องคล้ายกัน)

การออกแบบ/สเปกเด่น

IMG_3968

เริ่มจากหน้าจอเหมือน ZenFone 2 แทบทั้งหมด กล่าวคือหน้าจอเป็น IPS ครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 4 ขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1,920×1,080 พิกเซล ความหนาแน่น 401 พิกเซลต่อตารางนิ้ว พร้อมกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล f2.0

ใต้หน้าจอ เป็นที่อยู่ของปุ่มคำสั่ง Navigation Button แบบสัมผัส (ไม่มีไฟ Backlight) ได้แก่ ปุ่มย้อนกลับ, ปุ่มเรียกโฮมสกรีน และปุ่มเรียก Recent Apps

IMG_3992

ขอบเครื่องทั้งหมดจะผลิตจากเฟรมอลูมิเนียมขึ้นรูปชิ้นเดียว ซึ่งมีความแข็งแรงและหนามาก

IMG_4008

ส่วนขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 158.9 x 78.84 มิลลิเมตร หนา 11.95 มิลลิเมตร น้ำหนัก 185 กรัม เมื่อเทียบกับคู่เหมือน ZenFone 2 จะอยู่ที่ 152.5 x 77.2 มิลลิเมตร หนา 10.9 มิลลิมเตร น้ำหนัก 170 กรัม ซึ่งนับว่าขนาดใกล้เคียงกันมากแม้ ZenFone Zoom จะมีกลไกเลนส์ซูมเพิ่มเข้ามาก็ตาม

IMG_3972IMG_3975

ด้านหลัง ส่วนนี้ได้รับการออกแบบใหม่หมด ฝาหลังถูกครอบทับด้วยหนัง (Premium Leather) ผิวสัมผัสนุ่มและป้องกันรอยขีดข่วนได้ระดับหนึ่ง โดยใต้โลโก้ ASUS จะถูกปั้มเป็นสันนูนแนวยาวพร้อมด้ายเย็บด้วยเข็มจริง เพื่อช่วยการจับถือที่กระชับเวลาถือถ่ายภาพ

IMG_4028

นอกจากนั้นฝาหลังยังสามารถถอดออกได้ โดยจะพบกับช่องใส่ซิมการ์ดแบบ Micro Sim และช่องใส่การ์ดความจำ Micro SD สูงสุด 128GB ส่วนแบตเตอรีมีขนาด 3,000 mAh ไม่สามารถถอดออกได้

IMG_3977

มาถึงเรื่องกล้องถ่ายภาพ ขอกล่าวถึงสเปกภาพรวมกันก่อน อันดับแรกเรื่องเซ็นเซอร์รับภาพ น่าเสียดายเอซุสไม่ได้พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด แต่เลือกใช้เซ็นเซอร์รับภาพตัวเดียวกับที่อยู่ใน ZenFone 2 (คาดว่าใช้เซ็นเซอร์ขนาด 1/3.06”) รองรับความละเอียดภาพสูงสุด 13 ล้านพิกเซล มาโครได้ใกล้สุด 5 เซนติเมตร ประกบเทคโนโลยี PixelMaster 2.0 ช่วยให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยทำได้ดีขึ้น

lens-az

อันดับต่อไปเรื่องเลนส์กล้อง ส่วนนี้มีการปรับเปลี่ยนใหม่หมด โดยเอซุสส่งไม้ต่อให้ HOYA เป็นผู้ผลิตชิ้นเลนส์

สำหรับการออกแบบเลนส์ซูมออปติคอลสไตล์เอซุสคือ การซ่อนชิ้นเลนส์ 10 ชิ้นไว้ภายใน แต่เปลี่ยนจากการจัดวางชิ้นเลนส์แบบแนวนอนซ้อนทับกันเหมือนกล้องดิจิตอลที่เลนส์สามารถยืดหดได้ เป็นแนวตั้งด้วยหลักการแบบเดียวกับการผลิตกล้องเพอริสโคป ที่ใช้เลนส์ปริซึมในการสะท้อนภาพ (Periscope – ยกตัวอย่างคล้ายกล้องเรือดำน้ำ) พร้อมเพิ่มมอเตอร์ขยับระยะเลนส์ไว้ภายในอย่างแนบเนียน ทำให้เลนส์ซูมใน ZenFone Zoom ไม่ต้องใช้พื้นที่ภายนอกในการติดตั้งเลนส์ซูมแบบยืดหดขนาดใหญ่ ช่วยให้การออกแบบสมาร์ทโฟนทำได้บางเบาเหมือนปกติ

ในส่วนระยะเลนส์เมื่อเทียบกับกล้อง 35 มิลลิเมตรจะอยู่ที่ 28-84 มิลลิเมตร (3x Optical Zoom) รูรับแสงเป็นแบบแปรผันตามระยะซูมเหมือนกล้องดิจิตอลติดเลนส์ซูมทั่วไปคือ ที่ระยะกว้างสุด รูรับแสงจะอยู่ที่ f2.7 ส่วนเมื่อเริ่มซูม รูรับแสงจะไหลไปได้มากถึง f4.8

นอกจากนั้นตัวกล้องยังมาพร้อมไฟแฟลช Dual LED พร้อมเทคโนโลยีป้องกันภาพสั่นไหว OIS (Optical Image Stabilizer) ถึง 4 สตอป และ Laser Auto Focus ที่เอซุสเครมว่าจับโฟกัสได้รวดเร็วเพียง 0.03 วินาทีเท่านั้น

IMG_3990

มาดูในส่วนของปุ่มกดและพอร์ตเชื่อมต่อรอบตัวเครื่อง เริ่มจากด้านขวา เป็นที่อยู่ของปุ่มเพิ่ม-ลดระดับเสียง (เมื่ออยู่ในโหมดกล้องจะเปลี่ยนเป็นปุ่มซูมเข้าออก) ถัดมาเป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง ขวามือเริ่มจากปุ่มวงกลม (มีจุดสีแดง) คือปุ่มลัดเข้าสู่โหมดบันทึกวิดีโอ (กดค้างไว้เมื่อหน้าจอปิดอยู่หรือขณะอยู่หน้าโฮมสกรีนจะเข้าโหมดวิดีโอ) ถัดมาเป็นปุ่มชัตเตอร์กล้อง สามารถกดลงครึ่งหนึ่งเพื่อจับโฟกัสได้

IMG_3993IMG_3997

ด้านล่างของตัวเครื่อง ตรงกลางเป็นพอร์ตเชื่อมต่อข้อมูลและชาร์จไฟ Micro USB 2.0 ถัดไปเป็นช่องไมโครโฟนหลัก ที่มุมเครื่องจะเป็นช่องสำหรับใส่สายคล้องข้อมือ

ส่วนด้านบนจะเป็นที่อยู่ของช่องเชื่อมต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรและช่องไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวนเวลาสนทนาโทรศัพท์

spec-az

มาถึงสเปกของ ASUS ZenFone Zoom เลือกใช้ซีพียู Intel Atom Z3580/Z3590 Quad Core 64 บิต โดยรุ่นที่ทำตลาดในประเทศไทยจะมีสองโมเดล ต่างราคากัน ได้แก่ รุ่นแรกความเร็วซีพียู 2.3GHz (Z3580) พร้อมความจุ 64GB และรุ่นที่สองที่เราได้รับมารีวิวกับความเร็วซีพียู 2.5GHz (Z3590) พร้อมความจุ 128GB

ในส่วนสเปกกราฟิกการ์ดใช้ PowerVR Rogue G6430 รองรับ OpenGL 3.0 แรมระบบเอซุสให้มาเต็มที่ 4GB แบบ Dual Channel (หลังจากโหลดระบบแล้วเหลือให้ใช้ประมาณ 2GB) ระบบปฏิบัติการเป็นแอนดรอยด์ 5.0 Lollipop (รออัปเดตเป็น 6.0 Marshmallow) ครอบทับด้วย ASUS ZenUI 2.0

4g-az

ด้านการรองรับเครือข่าย ครอบคลุม 2G/3G และ 4G cat4+ (ความเร็วสูงสุด 250Mbps) ในบ้านเราทั้งหมด ส่วน WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac (ความเร็วสูงสุด 433Mbps), บลูทูธ 4.0, มี NFC, GPS รองรับ GLONASS/QZSS/SBAS/BDS ส่วนเซ็นเซอร์ตรวจจับภายในมีให้ครบครันไม่ว่าจะเป็น Accelerator/E-Compass/Gyroscope/Proximity/Ambient Light Sensor/Hall Sensor

quickcharge-azIMG_4046

อีกส่วนที่น่าสนใจคือ “ระบบชาร์จไฟอย่างรวดเร็ว (Boost Master)” โดยอะแดปเตอร์ชาร์จไฟที่แถมมาให้สามารถเลือกจ่ายไฟได้ทั้ง 5V 2A และ 9V 2A แบบเดียวกับระบบชาร์จไฟของ Qualcomm ทำให้เวลาชาร์จทำได้รวดเร็วขึ้น ยกตัวอย่าง 0-60% ใช้เวลาชาร์จประมาณ 30-40 นาที และ 0-100% ใช้เวลาชัวโมงกว่าๆเท่านั้นเอง

eq-az

สุดท้ายกับระบบเสียง Sonic Master 2.0 ที่นอกจากการออกแบบลำโพง 1 ตัว ให้สามารถกระจายเสียงได้กว้างแล้ว ระบบ Audio Wiazard ยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเลือกโปรไฟล์เสียงและเลือกปรับแต่งได้หลากหลายด้วย

ยูสเซอร์อินเตอร์เฟสและแอปพลิเคชัน

home-azhome2-az

ASUS ZenFone Zoom มาพร้อมระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 5.0 Lollipop และถูกครอบทับด้วยอินเตอร์เฟส ASUS ZenUI 2.0 พร้อมปรับแต่งให้การแสดงผลและอัตราการตอบสนองของหน้าจอกับการสัมผัสทำได้ลื่นไหลมากขึ้นระดับ 60 มิลลิวินาที อีกทั้งยังรองรับการสัมผัสเมื่อผู้ใช้สวมถุงมือด้วย

otherapps-az1otherapps-az2

ในส่วนแอปพลิเคชัน ยังคงคอนเซปเอซุสคือให้มาแบบจริงใจจัดเต็มครบทุกการใช้งานเหมือน ZenFone ทุกรุ่น รวมถึงแอปฯ โซเชียลของเอซุสอย่าง ZenCircle ก็มีให้เลือกใช้ แต่ในรีวิวนี้ทีมงานจะขอคัดเลือกเฉพาะแอปฯที่น่าสนใจมานำเสนอ

battery-azbatt-mode-az

แอปฯจัดการพลังงาน – เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สมารถเลือกหรือสร้างโปรไฟล์จัดการพลังงานและซีพียูได้ด้วยตัวเอง เพื่อยืดอายุแบตเตอรีให้นานขึ้น นอกจากนั้นระบบยังสามารถปรับเลือกใช้โปรไฟล์แบบอัตโนมัติตามรูปแบบการใช้งานได้ด้วย

wifi-file-azfilemanager-az

File Manager – แอปฯจัดการไฟล์ในเครื่อง เป็นอีกหนึ่งแอปฯที่เอซุสพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก เพราะนอกจากช่วยในเรื่องการจัดการไฟล์ต่างๆในหน่วยเก็บข้อมูลทั้งหมดได้แล้ว แอปฯนี้ยังรองรับระบบจัดการไฟล์แบบไร้สายกับคอมพิวเตอร์ที่บ้านผ่าน WiFi ได้ รวมถึงยังสามารถซิงค์การทำงานระหว่างสมาร์ทโฟนกับคอมพิวเตอร์ที่บ้าน (PC) ผ่าน USB ได้หลากหลายฟังก์ชัน ไม่ว่าจะเป็น PC Link แชร์หน้าจอไปยังคอมพิวเตอร์หรือเปลี่ยน ZenFone คุณให้เป็น Wireless TouchPad เพื่อควบคุมแทนเมาส์ได้

phone-azphone2-az

บันทึกสายสนทนาได้ – เป็นฟีเจอร์ที่ไม่ต้องหาแอปฯติดตั้งเพิ่ม เพราะเอซุสจัดมากับระบบ ZenUI โดยระหว่างโทรศัพท์คุณสามารถกดปุ่ม REC เพื่อบันทึกเสียงสนทนาได้ทันทีในรูปแบบไฟล์เสียง 3GP ปกติ (บันทึกเสร็จแล้วไฟล์จะอยู่ที่โฟลเดอร์ callrecordings)

keyboard-az

Keyboard – ปรับแต่ง เลือกธีมได้ และมาพร้อมฟีเจอร์ Write to Type เขียนตัวอักษรด้วยลายมือและระบบจะแปลงเป็นตัวพิมพ์ให้ (รองรับภาษาไทย)

kid-az

Kid Mode – ผู้ปกครองสามารถเลือกอนุญาตให้เด็กเข้าถึงแอปฯต่างๆในเครื่องได้ตามต้องการ

gallery-az

Gallery – นอกจากใช้รับชมภาพแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถกดรูปม้วนฟิล์มเพื่อรวมภาพนิ่งตัดต่อเป็นวิดีโอพร้อมใส่ดนตรี ข้อความประกอบผ่านแอปฯ MiniMovie หรือจะกดปุ่มสีส้มเพื่อทำ PhotoCollage ก็ได้

กล้องถ่ายภาพ

camera-ui-azcamera-az

แอปฯควบคุมกล้องถ่ายภาพของ ZenFone Zoom ใช้งานง่ายมาก และในโหมดอัตโนมัติจะมีระบบแนะนำการถ่ายภาพด้วย ส่วนการซูมภาพสามารถกดซูมเข้าออกที่ปุ่มเพิ่มลดเสียงหรือใช้นิ้วสัมผัสหน้าจอแล้วถ่างออกก็ได้

คลิปวิดีโอแสดงการซูมภาพตั้งแต่ระยะกว้างสุดจนถึง Optical Zoom 3x และ Digital Zoom 12x

โดยขีดซูมสีฟ้าที่ 1x-3x จะเป็นระยะออปติคอลซูมด้วยการเคลื่อนที่ของเลนส์ภายใน แต่พอพ้นระยะ 3x ไปจนถึง 12x ส่วนนี้จะเป็น Digital Zoom

wide28-az

ระยะกว้างสุด 28 มิลลิเมตร

zoom84-az-3x

ซูม 3 เท่าที่ (ระยะ 84 มิลลิเมตร)

digi12x-az

เข้าสู่ Digital Zoom 12 เท่า

มาดูในส่วนการตั้งค่า จุดที่ทุกคนจำเป็นต้องทราบรายละเอียดก่อนกดถ่ายภาพก็คือ คุณสามารถเปิดระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบซอฟต์แวร์ให้ทำงานควบคู่กับ OIS ในกล้องได้ เพียงแต่ในโหมดวิดีโอ จะถ่ายได้ที่ความละเอียด 720p เท่านั้น อีกทั้งคุณยังสามารถเลือกความละเอียดของไฟล์ภาพได้จากเมนู “คุณภาพของภาพ” ได้สองระดับคือ มาตรฐานกับเน้นคุณภาพ โดยการเลือกแบบหลังจะให้ไฟล์ที่มีขนาดใหญ่แต่คุณภาพไฟล์จะดีกว่ามาก

โหมดถ่ายภาพแนะนำ

highres-1

ภาพระยะจริงถ่ายด้วย Super resolution mode

30mp-crop-az

ลองครอปภาพจาก 50 ล้านพิกเซลเหลือ 30 ล้านพิกเซล

15mp-crop-az

ลองครอปภาพจาก 50 ล้านพิกเซลเหลือ 15 ล้านพิกเซล

3mp-crop-az

ลองครอปภาพจาก 50 ล้านพิกเซลเหลือ 3 ล้านพิกเซล

Super resolution mode – เป็นโหมดความละเอียดสูง 50 ล้านพิกเซล เหมาะแก่การใช้งานในสถานการณ์ที่ไม่สามารถซูมถึงสิ่งที่ต้องการถ่าย โหมดนี้จะช่วยให้การครอปภาพทำได้ง่ายและให้คุณภาพดีขึ้น ตามตัวอย่างด้านบน

filsize-az

ในส่วนขนาดไฟล์ภาพที่ความละเอียดปกติ 13 ล้านพิกเซลจะตกไฟล์ละประมาณ 4.5-5.2MB ส่วนที่ความละเอียด Super resolution ตกไฟล์ละประมาณ 6.7-7.2MB

az-p10

HDR – โหมดนี้สมาร์ทโฟนทั่วไปในปัจจุบันมีเกือบทุกรุ่น แต่ใน ZenFone จะแตกต่างตรงที่เอซุสเลือกใช้เทคโนโลยี PixelEnhancing ที่พัฒนาขึ้นมาเป็นตัวจัดการภาพ HDR โดยเฉพาะ ทำให้ภาพ HDR ส่วนที่มืดจะถูกดึงให้สว่างและไม่สูญเสียรายละเอียดใดๆเลย

manual-laser-az

Manual Mode – โหมดถ่ายภาพสุดท้ายที่น่าจะถูกใจช่างภาพมืออาชีพ เพราะระบบจะอนุญาตให้เราสามารถปรับตั้งค่ากล้องถ่ายภาพด้วยตัวเองทั้งหมด ตั้งแต่ความเร็วชัตเตอร์ (Long exposure ตั้งได้ช้าสุดถึง 32 วินาที) สามารถปรับความไวแสง ชดเชยแสง +/- สมดุลแสงสีขาวและเลือกล็อกโฟกัสได้

นอกจากนั้นในโหมดนี้ บริเวณจุดโฟกัสยังมาพร้อมขีดวัดระดับความลาดเอียงและมี Histogram ด้วย รวมถึง Laser Auto Focus ยังสามารถนำไปประยุกต์เป็นไม้บรรทัดวัดขนาดสิ่งของได้ผ่านแอปฯ Laser Ruler

ตัวอย่างภาพถ่ายจาก ASUS ZenFone Zoom

az-p1

ถ่ายที่ระยะซูม Optical

az-p2

ถ่ายที่ระยะซูม Optical

az-p3

ถ่ายที่ระยะซูม Optical

az-p7

ถ่ายที่ระยะซูม Optical

az-p5

ถ่ายระยะกว้างสุด (มาโคร)

az-p6

ถ่ายระยะกว้างสุด

az-p4

ถ่ายที่ระยะซูม Optical

az-p8

ถ่ายระยะกว้างสุด

az-p9

ถ่ายที่ระยะซูม Optical ประมาณ

az-p12

ถ่ายระยะกว้างสุด

az-p11

ถ่ายระยะกว้างสุด

az-p14

กล้องหน้า

az-p13

ถ่ายระยะกว้างสุด

สรุปผลทดสอบกล้องถ่ายภาพ

croptest-az

เริ่มจากส่วนถ่ายภาพนิ่ง เรื่องออปติคอลซูมและฮาร์ดแวร์ทั้งหมด ส่วนนี้ขอชมเชยเอซุสว่าออกแบบและพัฒนามาได้ดี ใช้งานได้จริง ซูมออปติคอล 3 เท่าให้คุณภาพที่ดีเหมือนกล้องดิจิตอลตัวเล็ก

แต่ทั้งนี้ก็มีข้อสังเกตในเรื่องซอฟต์แวร์ควบคุมกล้องเล็กน้อย โดยเฉพาะเรื่องระบบ OIS ที่ฟังจากสเปกแล้วป้องกันภาพสั่นไหวได้ถึง 4 สตอปแต่พอทดลองใช้จริงกลับพบว่า OIS ทำงานไม่ค่อยเสถียรนัก บางจังหวะใช้งานได้ดี บางจังหวะขนาดถ่ายในที่แสงปกติ ไม่ใช่ที่มืด ภาพที่ได้กลับสั่นไหวอย่างไม่น่าเชื่อ

อีกทั้งเรื่องของ ออโต้โฟกัสที่ทำงานเร็วจริง แต่พอกดชัตเตอร์ลงไปเท่านั้น บางครั้งระบบโฟกัสกับวิ่งวืดวาดไปมาจนพลาดเป้าบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในที่แสงน้อยและซูม 3 เท่า ออโต้โฟกัสจะทำงานช้า เหมือนหาโฟกัสไม่พบ รวมถึงอาการ Shutter Lag และการบันทึกภาพที่ล่าช้าระดับวินาทีที่ทีมงานพบเจอตลอด

highres-crop

ครอป 100% จากภาพทดสอบ Super resolution ด้านบน

ส่วนโหมด Super resolution ก็ถือเป็นลูกเล่นที่น่าสนใจ เหมาะสำหรับคนที่ชอบครอปภาพลงโซเชียลเท่านั้น เพราะถ้าตั้งใจจะใช้โหมดนี้ถ่ายภาพเพื่อทำโปสเตอร์ ทีมงานแนะนำให้ชมภาพตัวอย่างด้านบนก่อน

และอีกเรื่องสำคัญก็คือ ZenFone Zoom ไม่มีคุณภาพไฟล์แบบ RAW ให้เลือกเหมือนคู่แข่ง

สรุปเรื่องฮาร์ดแวร์ถือว่าพัฒนามาได้ดีและน่าจะเป็นอีกหนึ่งต้นแบบสมาร์ทโฟนเน้นกล้องในอนาคตได้ เพียงแต่เอซุสต้องปรับปรุงเรื่องเฟริมแวร์และระบบซอฟต์แวร์ควบคุมกล้องให้ดีกว่านี้

ตัวอย่างวิดีโอจาก ASUS ZenFone Zoom และสรุปผลทดสอบ

มาถึงการทดสอบวิดีโอ ส่วนนี้ถือเป็นข้อสังเกตใหญ่สุดที่เอซุสควรเรียบปรับปรุง โดยเฉพาะคุณภาพไฟล์วิดีโอที่ไม่ค่อยคมชัดนัก อีกทั้งการเลือกออปชันเน้นคุณภาพยังให้ภาพวิดีโอที่กระตุกเกินไป จนไม่น่าเชื่อว่าเป็นวิดีโอที่ถ่ายจากสมาร์ทโฟนระดับกลางที่มีฮาร์ดแวร์กล้องไม่แพ้ไฮเอนด์

ส่วนระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS เมื่ออยู่ในโหมดวิดีโอเหมือนระบบดังกล่าวจะทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพหรือไม่ทำงานก็ไม่ทราบ เพราะเท่าที่ทดลองเปิดฟังก์ชันป้องกันภาพสั่นไหว ระบบจะเลือกใช้ความสามารถจากซอฟต์แวร์มากกว่า ถึงทำให้สามารถเลือกความละเอียดวิดีโอได้สูงสุดแค่ 720p อีกทั้งคุณภาพที่ได้ก็อยู่ในเกณฑ์ต้องปรับปรุงด่วน

ทดสอบประสิทธิภาพด้านการประมวลผล

antutu-az

AnTuTu Benchmark – ทำคะแนนได้ 62,673 คะแนน, Multitouch 10 จุด

pc3dmark-az

PC Mark – ทำคะแนนได้ 5,679 คะแนน
3D Mark Sling Shot – ทดสอบไม่ผ่าน เพราะกราฟิกไม่รองรับ OpenGL ES เวอร์ชัน 3.1
3D Mark Ice Storm – ทำคะแนนชุดทดสอบ Unlimited ได้ 21,073 คะแนน Extreme ได้ 10,461 คะแนน

bench-az

Vellamo – Chrome Browser ได้คะแนน 3,119 คะแนน Metal ได้ 1,543 คะแนน และ Multicore ได้ 1,569 คะแนน
Geekbench 3 – Single-Core ได้ 957 คะแนน Multi-core ได้ 2,888 คะแนน
Quadrant Standard – ได้คะแนน 15,189 คะแนน
PassMark Performance Test – System ได้ 5,573 คะแนน CPU Tests ได้ 28,347 คะแนน Disk Tests ได้ 19,799 คะแนน Memory Tests ได้ 5,843 คะแนน 2D Graphics Tests ได้ 4,119 คะแนน และ 3D Graphics Tests ได้ 1,568 คะแนน

batttest-az

ทดสอบแบตเตอรี ตั้งโปรไฟล์พลังงาน “ปกติ (Normal)” ทำเวลาได้ 5 ชั่วโมง 9 นาที 10 วินาที คิดเป็นคะแนนได้ 3,089 คะแนน
ตั้งโปรไฟล์ “โหมดสมรรถนะ (Performance)” ทำเวลาได้ 4 ชั่วโมง 25 นาที คิดเป็นคะแนน 2,650 คะแนน
ตั้งโปรไฟล์ “ประหยัดพลังงาน (Power Save)” ทำเวลาได้ 5 ชั่วโมง 21 นาที คิดเป็นคะแนน 3,210 คะแนน

game-az

สรุปโดยภาพรวมในส่วนการทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผล ทั้ง ZenUI 2.0 และประสิทธิภาพของซีพียู Intel Atom 64 บิต รวมถึงการใส่แรมมามากถึง 4GB Dual Channel ซึ่งเพียงพอต่อการรันแอปฯเบื้องหลังจำนวนมาก จนทำให้การใช้งานทั่วไปลื่นไหลดีมาก แอปฯที่ติดตั้งมาจากโรงงานครอบคลุมทุกการใช้งาน

จุดนี้เอซุสยังคงรักษามาตรฐานตัวเองได้ดีมาก คุณเคยประทับใจ ZenFone 2 ยังไง ZenFone Zoom ก็ไม่ต่างกัน

สรุป

IMG_4003

สำหรับราคาค่าตัว ASUS ZenFone Zoom ในประเทศไทยมีการแยกขายเป็นสองรุ่น ได้แก่

  • รุ่นแรกความเร็วซีพียู 2.3GHz (Z3580) พร้อมความจุ 64GB ราคาอยู่ที่ 16,990 บาท
  • ส่วนรุ่นที่สองความเร็วซีพียู 2.5GHz (Z3590) พร้อมความจุ 128GB และแถม ZenFlash (ไฟแฟลชแยก) มาให้ด้วยในราคา 18,990 บาท

เรื่องประสิทธิภาพทีมงานขอไม่กล่าวสรุปถึงเพราะได้ความรู้สึกไม่ต่างจาก ZenFone 2 ที่ได้ทดสอบไปเมื่อปีก่อนนัก แต่สิ่งที่ทีมงานอยากกล่าวถึงเป็นบทสรุปมากที่สุดก็คือเรื่องจุดประสงค์หลักของ ASUS ZenFone Zoom นั่นก็คือกล้องถ่ายภาพซูมแบบออปติคอล ชนิดซูมจริง ชัดจริง ซึ่งถามว่าเอซุสทำได้ดีคุ้มค่าคุ้มราคาหมื่นปลายๆหรือไม่ ทีมงานขอเรียนตามตรงว่าถ้ามองในแง่ฮาร์ดแวร์ แนวคิดและการต่อยอด ส่วนนี้เอซุสทำได้ดีเกินราคาไปมากแล้ว แต่ในเรื่องความลงตัวของซอฟต์แวร์ควบคุม ไปถึงคุณภาพไฟล์ภาพ โดยเฉพาะการถ่ายวิดีโอส่วนนี้ ZenFone Zoom ยังทำได้ไม่ดี คงต้องรอการอัปเดตแก้ไขในอนาคตต่อไปหรือไม่ก็อาจต้องรอรุ่น 2 หลายๆสิ่งน่าจะลงตัวมากกว่านี้

สุดท้ายเชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านที่กำลังสนใจ ZenFone Zoom คงตั้งความคาดหวังไว้สูง เอาเป็นว่าอย่าเชื่อคำวิจารณ์ของทีมงานทั้งหมด อยากให้ลองไปทดสอบด้วยตัวเองครับ ถ้าชอบก็ซื้อได้เลย เนื่องจากถ้ามองในภาพรวม ประสิทธิภาพหลายส่วนของ ZenFone Zoom ก็ดีไม่แพ้ใครในตลาดระดับเดียวกัน แม้หน้าตาอินเตอร์เฟสจะรกไปสักหน่อยก็ตาม

ข้อดี

– รองรับการอัปเดตเป็นแอนดรอยด์ 6.0
– สเปกเครื่องดี แรม 4GB Dual Channel
– ฝาหลังดูดี ขอบเครื่องแข็งแรงมากจริงๆ
– การออกแบบกล้องและซ่อนเลนส์ซูมที่ยอดเยี่ยม น้ำหนักและความหนาไม่ต่างจากสมาร์ทโฟนทั่วไป
– ความจุเริ่มต้น 64GB
– ฟีเจอร์และฟังก์ชันการใช้งานทั่วไปครบครัน มี NFC รองรับ 2G 3G 4G และ WiFi AC
– ชาร์จไฟเร็วมาก
– มีปุ่มชัตเตอร์ ปุ่มบันทึกวิดีโอแยกจากกัน สะดวกต่อการเรียกใช้งาน
– หน้าจอลื่นไหลมาก
– โหมดกล้องหลากหลาย มี Manual Mode

ข้อสังเกต

– แบตเตอรีหมดเร็วเกินไป
– ซอฟต์แวร์ควบคุมกล้องยังไม่ลงตัวนัก ไม่สามารถถ่าย RAW ได้
– โหมดถ่ายวิดีโอต้องปรับปรุงเร่งด่วน
– ZenUI รกไปนิด

Gallery

]]>
Review : iPad mini 4 ยกเครื่องใหม่ แรงขึ้น เบาบางลง https://cyberbiz.mgronline.com/review-ipad-mini-4/ Wed, 06 Jan 2016 05:20:01 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=20922

first-image-mini4

หลังจากกลุ่มผลิตภัณฑ์แท็บเล็ตตัวเล็กของแอปเปิลอย่าง iPad mini (เป็นแท็บเล็ตยอดนิยมในบ้านเรามาก) กำลังตกอยู่ในช่วงเงียบเหงา ไร้การอัปเกรดสเปกเครื่องให้สดใหม่มาร่วมปี แถมรุ่น 3 ที่ออกวางจำหน่ายไปเมื่อปีก่อนก็โดนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องสเปกเครื่องที่ไม่แตกต่างจากรุ่น 2 อย่างหนักจนยอดขายไม่ดี

มาวันนี้แอปเปิลขอแก้ตัวใหม่ด้วยการคลอด iPad mini 4 กับการปรับเปลี่ยนสเปกเครื่องใหม่หมดทุกส่วนเพื่อมาแทนที่ iPad mini 3 ที่ปัจจุบันแอปเปิลเลิกผลิตไปแล้ว

การออกแบบ

IMG_3528IMG_3499

iPad mini 4 มีการปรับเปลี่ยนขนาดรูปทรงจากรุ่นเดิมให้บางลง 18% (หนา 6.1 มิลลิเมตร) พร้อมน้ำหนักเพียง 298.8 กรัมในรุ่น WiFi และ 304 กรัมในรุ่น WiFi + Cellular

หน้าจอ – ถือเป็นครั้งแรกของตระกูล mini ที่แอปเปิลเคลือบสารกันแสงสะท้อนเข้ามา โดยพาเนลจอยังคงเป็น LED Retina ขนาด 7.9 นิ้ว ความละเอียด 2,048×1,536 พิกเซล ความหนาแน่นพิกเซลอยู่ที่ 326 พิกเซลต่อนิ้ว

นอกจากนั้นแอปเปิลยังใส่เทคโนโลยี Full Lamination แบบเดียวกับ iPad Air 2 และ iPad Pro เข้ามา ซึ่งช่วยให้ภาพที่แสดงผ่านหน้าจอจะได้สีสันและคอนทราสต์ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะสีดำจะดำสนิทและความคมชัดจะสูงขึ้นกว่า iPad mini รุ่นเดิมมาก

ใต้หน้าจอ – ยังคงเป็นปุ่มโฮมพร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ TouchID ส่วนด้านบนเป็นกล้องหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซลเหมือน iPad ทุกรุ่น

IMG_3506

ด้านหลัง – วัสดุด้านหลังเป็นอลูมิเนียมพร้อมสีให้เลือก 3 สีได้แก่ สีทอง สีเงินและสีเทาสเปซเกรย์ พร้อมกล้องหลัง iSight ปรับใหม่เพิ่มความละเอียดจาก 5 ล้านพิกเซลเป็น 8 ล้านพิกเซล รองรับโหมดถ่ายภาพต่อเนื่องและวิดีโอสโลโมชันเพิ่มจากรุ่นเดิม

IMG_3509

มาถึงพอร์ตเชื่อมต่อและปุ่มกดต่างๆรอบตัวเครื่อง เริ่มจากด้านขวา เป็นปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง และสำหรับรุ่น WiFi + Cellular ด้านล่างจะเป็นช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์ Nano Sim

ส่วนด้านซ้ายจะไม่มีปุ่มกดและพอร์ตเชื่อมต่อใดๆติดตั้งอยู่

IMG_3511IMG_3513

มาดูด้านบนของตัวเครื่อง ตรงกลางแถบสีขาว จะเป็นส่วนของเสาสัญญาณโทรศัพท์ (ถ้าเป็น WiFi จะไม่มีแถบสีขาวนี้) ด้านขวามือ (ซ้ายของภาพ) จะเป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง และซ้ายมือ (ขวาของภาพ) เป็นช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร

ด้านล่างเป็นลำโพงสเตอริโอซ้าย ขวา (จุดสังเกตว่าเครื่องเป็น iPad mini 3 หรือ 4 สามารถดูได้จากลำโพง โดยรุ่น 3 ช่องลำโพงจะเป็นสองแถว ส่วนรุ่น 4 จะเป็นแถวเดียวและรูลำโพงใหญ่กว่า) ตรงกลางเป็นพอร์ต Lightning

สเปกและฟีเจอร์เด่น

IMG_3532

iPad mini 4 มาพร้อมสเปกที่ใกล้เคียงกับ iPad Air 2 อย่างมาก โดยหน่วยประมวลผลเลือกใช้ Apple A8 Dual Core 1.5GHz 64 บิต (เร็วกว่าเดิม 30%) พร้อมชิปประมวลผลการเคลื่อนไหว M8 กราฟิกชิป PowerVR GX6450 แรม 2GB หน่วยเก็บข้อมูลภายในมีความจุให้เลือกตั้งแต่ 16/64/128GB (รุ่นที่ทดสอบความจุ 128GB เหลือพื้นที่ใช้งานจริงประมาณ 110GB) ขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการ iOS 9 (ปัจจุบัน iOS 9.2)

ipadmini4-multitask

ในส่วนฟีเจอร์เกือบทุกส่วนเหมือนกับ iPad mini รุ่นก่อนเกือบทั้งหมด Split View สามารถใช้งานได้ลื่นไหลขึ้นเมื่อเทียบกับ iPad mini รุ่นที่แล้ว โดยเมื่อเปิดใช้งานแอปฯสองหน้าจอ ระบบจะปรับขนาดเป็น iPhone Size

สำหรับสเปกปลีกย่อยที่เปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นก่อนหน้า WiFi พร้อม MIMO รองรับมาตรฐานใหม่ 802.11 a/b/g/n/ac สองช่องความถี่ 2.4GHz และ 5GHz สามารถรับส่งข้อมูลความเร็วสูงสุด 866Mbps ส่วนบลูทูธปรับไปใช้รุ่น 4.2

ในส่วนเซ็นเซอร์ภายใน นอกจากการเพิ่ม TouchID เข้ามาแล้ว ตัวเครื่องยังมาพร้อมเซ็นเซอร์บารอมิเตอร์และรองรับบริการ Apple Sim ด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพ

ipadmini4-game-test

ในส่วนประสิทธิภาพ iPad mini 4 ได้คะแนนทดสอบอยู่เหนือ iPhone 6 / 6 Plus และใกล้เคียงกับ iPad Air 2

การใช้งานตัดต่อวิดีโอผ่าน iMovie และเล่นเกม 3 มิติทำได้ลื่นไหลขึ้น และมีสิ่งที่น่าสนใจคือ หน้าจอ iPad mini 4 ให้สีสันที่สวยงามและความคมชัดมากกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด

ipadmini4-benchmark-battery-test

แต่สิ่งหนึ่งที่อาจเป็นข้อสังเกตสำคัญของ iPad mini 4 ก็คือเรื่องแบตเตอรีที่ปรับลดลงเหลือเพียง 5,124 mAh (จากเดิมใน iPad mini 3 อยู่ที่ 6,471 mAh) ถึงแม้แอปเปิลจะเครมว่าแบตเตอรีจะให้เวลาใช้งานเท่าเดิมคือประมาณ 10 ชั่วโมง แต่จากการทดสอบด้วย Geekbench 3 และทดลองใช้งานจริงพบว่า แบตเตอรี iPad mini 4 หมดเร็วกว่ารุ่นก่อนหน้าเล็กน้อย โดยถ้าใช้งานแบบหนักหน่วงแบตเตอรีจะอยู่ได้ประมาณ 5-6 ชั่วโมง ในขณะที่รุ่น 3 จะอยู่ที่ประมาณ 6-7 ชั่วโมง ส่วนเมื่อใช้งานทั่วไป เช่น แชท เล่นเฟสบุ๊ก ท่องเว็บไซต์ ระยะเวลาที่ได้ไล่เลี่ยกันมาก

ipadmini4-phototest2ipadmini4-phototest1

มาถึงการทดสอบสุดท้ายกับกล้อง iSight ปรับใหม่ ที่ดูแล้วสเปกใกล้เคียงกับ iPhone 6 และ 6 Plus โดยเมื่อทีมงานทดลองถ่ายภาพ ผลลัพท์ที่ได้ใกล้เคียงกับการถ่ายภาพด้วยกล้องบน iPhone 6 มาก จะแตกต่างก็ตรงระบบจัดการนอยซ์ที่ iPhone ทำได้ดีกว่า

สรุป

IMG_3522

สำหรับราคาเปิดตัว iPad mini 4 ในรุ่น WiFi ราคาเริ่มต้น 13,400 บาท รุ่น WiFi + Cellular เริ่มต้น 17,900 บาท ถือเป็นแท็บเล็ตขนาดพอดีมือ ที่ในครั้งนี้ถูกปรับสเปกมาได้พอดีและน่าสนใจจนสามารถตอกปิดฝาโลง iPad mini 3 ได้อย่างสวยงาม โดยเฉพาะประสิทธิภาพที่ถูกจัดอยู่ตรงกลางระหว่าง iPhone 6 และ iPad Air 2 จนกลายเป็นรุ่นที่เร็วที่สุดในตระกูล iPad mini

ผู้อ่านที่เคยผิดหวังกับการมาของ iPad mini 3 ลองหันกลับมามองรุ่น 4 ใหม่อีกครั้ง ผมเชื่อว่าคนที่กำลังรอแท็บเล็ตขนาดพอดีมือจากแอปเปิลจะต้องถูกใจรุ่นนี้ที่สุด

ข้อดี

– เล็กและน้ำหนักเบาลง
– ประสิทธิภาพดีขึ้น เหมือน iPad Air 2 ย่อส่วนลดสเปก
– หน้าจอรุ่นใหม่ สีสวย ภาพคมชัดขึ้น
– กล้อง iSight คุณภาพใกล้เคียง iPhone 6

ข้อสังเกต

– แบตเตอรีความจุน้อยลง ใช้งานหนัก แบตฯหมดเร็ว
– ไม่มีฟีเจอร์สดใหม่ เหมือนนำ iPad Air 2 มาย่อส่วน ลดสเปกลง
– ขนาดตัวเครื่องแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้ามาก โดยเฉพาะความบาง ต้องใช้เคสที่ออกแบบมาเฉพาะ iPad mini 4

Gallery

]]>
Review: Samsung Galaxy Tab S2 8” ต่อยอดแท็บเล็ตพรีเมียม https://cyberbiz.mgronline.com/samsung-tabs2/ Tue, 15 Sep 2015 04:37:38 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=18263

558000010576503

การมาของ Tab S2 ถือเป็นแท็บเล็ตรุ่นที่ต่อยอดจาก Tab S รุ่นที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับค่อนข้างดี จากการที่วางโพสิชันเป็นแท็บเล็ตในระดับพรีเมียมของทางซัมซุง ชูจุดเด่นในเรื่องของหน้าจอแสดงผลความละเอียดสูง รวมถึงประสิทธิภาพตัวเครื่องที่อยู่ในระดับไฮเอนด์

จุดเด่นหลักของ Tab S2 ที่นำมารีวิวในครั้งนี้ก็คือจอแสดงผล SuperAMOLED ระดับ 2K ตัวเครื่องมากับหน่วยประมวลผลแบบ 64 บิต Octa Core Exynos 5433 ให้ RAM มาสูงถึง 3 GB กับการเชื่อมต่อที่ครบครันทั้ง 4G และ WiFi ที่สำคัญคือความบางเครื่องที่ 5.6 มิลลิเมตร

โดยจริงๆแล้ว Tab S2 วางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่นคือ รุ่นหน้าจอขนาด 8 นิ้ว และรุ่นหน้าจอขนาด 9.7 นิ้ว โดยมีความต่างอยู่เพียงที่ขนาดหน้าจอ น้ำหนัก 272 กรัม กับ 389 และแบตเตอรีจาก 4,000 mAh เป็น 5,870 mAh ในราคา 15,900 บาท และ 18,900 บาท ตามลำดับ

การออกแบบและสเปก

558000010576504

ถ้ามองแล้ว Galaxy Tab S2 8” จะถูกออกแบบมาคล้ายๆกับ Galaxy Note 4 ที่เน้นวัสดุอลูมิเนียมรอบตัวเครื่อง และฝาหลังเป็นพลาสติกเพื่อให้น้ำหนักเบา มีขนาดรอบตัวเครื่องอยู่ที่ 198.6 x 134.8 x 5.6 มิลลิเมตร น้ำหนัก 272 กรัม วางจำหน่ายด้วยกัน 2 สีคือ สีขาว และสีทอง

ด้านหน้า – ที่เด่นที่สุดคือหน้าจอ SuperAMOLED ขนาด 8 นิ้ว ความละเอียด QXGA (2048 x 1536 พิกเซล) โดยจะมีช่องลำโพงสนทนาอยู่ส่วนบน พร้อมกับกล้องหน้าความละเอียด 2.1 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ตรวจจับใบหน้า และวัดแสง

ล่างหน้าจอเป็นปุ่มกดเรียกดูแอปที่ใช้งานล่าสุด (กดค้างเพื่อเข้าสู่โหมดมัลติสกรีน) ปุ่มโฮม (มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ) และปุ่มย้อนกลับ

558000010576505

ด้านหลัง – อย่างที่บอกไปว่าวัสดุส่วนหลังจะใช้เป็นพลาสติกเพื่อให้มีน้ำหนักเบา โดยจะมีกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ที่นูนขึ้นมาเล็กน้อยอยู่ กับจุดสำหรับยึดกับเคสเฉพาะของ Tab S2 เพื่อให้สะดวกในการใช้งาน ภายใน Tab S2 8” จะมากับแบตเตอรีขนาด 4,000 mAh ไม่สามารถถอดเปลี่ยนแบตเตอรีได้

558000010576507

558000010576508

ด้านซ้าย – จะถูกปล่อยว่างไว้ เพื่อให้เป็นฐานในการตั้งเครื่องกรณีที่ใช้งานคู่กับเคส ด้านขวา – จะมีทั้งปุ่มปรับระดับเสียง ปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง ช่องถาดใส่นาโนซิมการ์ด และไมโครเอสดีการ์ด ที่ต้องใช้เข็มจิ้มถาดออกมา

558000010576509558000010576510

ด้านบน – ถูกปล่อยว่างไว้เช่นเดียวกัน ด้านล่าง – มีพอร์ตไมโครยูเอสบี ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. และช่องลำโพงภายนอก

558000010576537558000010576525

สำหรับสเปกภายในของ Tab S2 8” มากับหน่วยประมวลผล Exynos 5433 Octa-core 1.9 GHz (QuadCore 1.9GHz กับ 1.3GHz) RAM 3 GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายในตัวเครื่อง 32 GB สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้สูงสุด 128 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอดย์ 5.0

ด้านการเชื่อมต่อรองรับทั้ง 3G และ 4G ทุกคลื่นที่ใช้งานในประเทศไทย ไวไฟ มาตรฐาน 802.11 b/g/n/ac บลูทูธ 4.1 GPS สามารถใช้สายต่อ MHL เพื่อเชื่อมกับจอทีวีได้ แต่ไม่มี NFC

ฟีเจอร์เด่น

558000010576521

ด้วยการที่ชูจุดเด่นเป็นแท็บเล็ตระดับพรีเมียม ทำให้ Tab S2 ถูกเน้นไปที่การใช้งานในชีวิตประจำวัน ทั้งการใช้ทำงาน รวมถึงเพื่อสร้างความบันเทิง โดยอินเตอร์เฟสการใช้งานจะเป็นรูปแบบของซัมซุงคือ TouchWiz เพียงแต่ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ทำให้มีขนาดไอค่อนใหญ่ขึ้นตามมาด้วย

558000010576523

หน้าจอหลักผู้ใช้สามารถเลือกนำวิตเจ็ตที่ต้องการ หรือไอค่อนลัดเรียกใช้งานแอปมาวางไว้ได้ตามต้องการ ส่วนแถบการแจ้งเตือน จะมีไอค่อนลัดสำหรับการตั้งค่าด่วนมาให้ แน่นอนว่าสามารถปรับที่ใช้งานบ่อยๆมาไว้ได้เช่นเดียวกัน รวมกับแถบปรับความสว่างหน้าจอ และ S Finder และ Quick Connect ที่ให้มา

558000010576522

แอปพลิเคชันที่ให้มาในตัวเครื่องจะเป็นแอปพื้นฐานทั่วๆไป รวมกับบริการของกูเกิล เพียงแต่จะมีใน่สวนของซัมซุงพิเศษเพิ่มขึ้นมาอย่างตัว SideSync Galaxy Gift Galaxy Apps ที่ถือเป็นโปรแกรมเฉพาะของผู้ใช้งานสินค้าในตระกูล Galaxy

558000010576533

ด้วยการที่เป็นแท็บเล็ตหน้าจอใหญ่ จึงมาพร้อมกับความสามารถในการใช้งานอย่าง Multi Screen กล่าวคือผู้ใช้สามารถกดปุ่ม Recent Apps ค้างเพื่อแบ่งครึ่งหน้าจอในการเปิดใข้งาน 2 แอปพลิเคชันที่รองรับพร้อมๆกัน โดยผู้ใช้สามารถปรับขนาดได้ตามความต้องการ และเลือกใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน

558000010576531

การใช้งานเว็บเบราว์เซอร์ถือว่าทำได้ลื่นไหล สมกับเป็นแท็บเล็ตประสิทธิภาพสูง การเปิดหน้าเว็บทำได้รวดเร็วดี ใช้งานสะดวกทั้งแนวตั้งและนอนนอน โดยในการสลับหน้าต่างการใช้งานสามารถใช้ปุ่ม Recent Apps ควบคู่ไปได้ทันที

558000010576526558000010576527

โหมดการถ่ายภาพ เป็นการนำอินเตอร์เฟสแบบเดียวกับในสมาร์ทโฟนมาใส่ไว้ใน Tab S2 ดังนั้น ถ้าเป็นผู้ที่คุ้นเคยในการใช้งานซัมซุงอยู่แล้ว ก็สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องแน่นอน ด้วยความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ทำให้รองรับการถ่ายภาพแบบความละเอียดสูงระดับ QHD ได้ด้วย

นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถเข้าไปดาวน์โหลดโหมดการถ่ายภาพเพิ่มเติม จากที่มากับตัวเครื่องได้จากสโตร์ของทางซัมซุง นอกเหนือไปจากที่มีมาให้อย่างโหมดอัตโนมัติ โหมดโปร โหมดพาโนราม่า ถ่ายภาพชดเชยแสง ถ่ายกล้องหน้ากล้องหลักพร้อมกันเป็นต้น

558000010576529

ด้านการใช้งานมัลติมีเดีย ทั้งดูหนัง ฟังเพลง ทำออกมาโดยรวมได้ค่อนข้างดี เพราะจากหน้าจอที่ละเอียดทำให้สามารถแสดงผลได้ชัดเจน เช่นเดียวกับเรื่องของเสียงที่ให้เสียงดังชัดเจน ดังนั้นในแง่ของมัลติมีเดียถือว่าสอบผ่าน

558000010576534

การใช้งานโทรศัพท์ในรุ่นจอ 8 นิ้ว จะสามารถยกแท็บเล็ตขึ้นมาคุยแนบหู หรือใช้งานผ่านลำโพง และหูฟังบลูทูธได้ แต่ในรุ่น 9.7 นิ้ว จะไม่สามารถยกคุยแบบแนบหูได้ หน้าจอการใช้งานโทรศัพท์ในส่วนของการกดเลขหมายจะเป็นแบบเต็มจอ แต่เมื่อเข้าสู่หน้าสนทนาจะเด้งออกมาเป็นป็อปอัปแยกให้ควบคุมแทน

558000010576532

ส่วนของคีย์บอร์ดเป็นไปตามมาตรฐานของซัมซุง ผู้ใช้สามารถสลับเปลี่ยนภาษาได้ด้วยการสไลด์บริเวณแถบสเปซบาร์ หรือกดปุ่มลูกโลกแทนก็ได้ แน่นอนว่ารองรับการใช้งานทั้งแนวตั้ง และแนวนอน โดยในการพิมพ์ภาษาอังกฤษจะเป็นแบบ 4 แถว ทำให้สามารถป้อนตัวเลขได้ทันทีด้วย

558000010576530

Smart Manager ถือเป็นแอปที่ซัมซุงใส่เพิ่มเข้ามาเพื่อช่วยบริหารจัดการแบตเตอรี หน่วยความจำ RAM และเรื่องของความปลอดภัย โดยช่วยให้ผู้ใช้สามารถเคลียแรมเพื่อให้ตัวเครื่องตอบสนองการใช้งานได้เร็วขึ้น

558000010576524

ในส่วนของการตั้งค่าแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลักๆเช่นเดิมคือ การเชื่อมต่อ การตั้งค่าตัวเครื่อง การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว และระบบ โดยมีสิ่งที่น่าสนใจอย่างฟังก์ชันการสแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อกเครื่อง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลในการใช้งาน รวมถึงระบบอัจฉริยะต่างๆ อย่างการโทรออกทันทีที่นำเครื่องแนบหู คว่ำเครื่องเพื่อปิดเสียง

ทดสอบประสิทธิภาพ

558000010576535

มาถึงส่วนของผลการทดสอบ ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Quadrant Standart และ Antutu ได้คะแนน 27,741 คะแนน และ 45,331 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 10 จุดพร้อมกัน

ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo จากเว็บเบราว์เซอร์ได้ 4,694 คะแนน โครมเบราว์เซอร์ 3,620 คะแนน Android WebView 3,582 คะแนนๅ ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ (Meta) 1,893 คะแนน Multicore 2,187 คะแนน คะแนน Geek Bench 3 Single-Core 1,214 Multi-Core 4,094 คะแนน

ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรีต่อเนื่องอยู่ที่ 6 ชั่วโมง 36 นาที 10 วินาที คิดเป็นคะแนนของ Geekbench 3 ได้ 3,945 คะแนน

558000010576536

ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม PCMark ในส่วนของ Work Performance ได้ 6,065 คะแนน 3D Mark ตัว Sling shot ได้ 449 คะแนน Ice Storm Unlimited ได้ 14,454 คะแนน ส่วน Ice Storm Extream 9,158 คะแนน และ Ice Storm คะแนนทะลุเกินไป

ส่วน Passmark PerformanceTest Mobile ได้คะแนน System 5,435 คะแนน CPU 34,157 คะแนน Disk 35,817 คะแนน Memory 3,462 คะแนน 2D Graphics 3,578 คะแนน และ 3D Graphics 1.,811 คะแนน

สรุป

ถ้ามองถึงแท็บเล็ตในระดับราคาประมาณหมื่นบาทกลางๆ รองรับการใช้งาน 4G เชื่อว่าชื่อของ Galaxy Tab S2 จะขึ้นมาเป็นชื่อแรกๆที่แนะนำ เพราะว่าด้วยความละเอียดหน้าจอ สัดส่วนจอแบบ 4:3 ความบาง และน้ำหนัก จะเหมาะกับการใช้งานเป็นแท็บเล็ตมาก เพราะเมื่อถือใช้เป็นเวลานานๆแล้วจะไม่เมื่อยมือมาก

ในแง่ของประสิทธิภาพ ถ้าไม่นับตัวกล้องที่ให้มาแค่ 8 ล้านพิกเซล ที่เหลือต้องยอมรับว่าอยู่ในระดับไฮเอนด์เลยก็ว่าได้ทั้งซีพียู RAM พื้นที่เก็บข้อมูลที่ให้มาสามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้ ทำให้สามารถใช้ทั้งทำงาน และเพื่อความบันเทิงได้สมบูรณ์แบบ

แน่นอนว่าคู่แข่งในระดับเดียวกันกับ Tab S2 คงหนีไม่พ้น iPad ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้แล้วว่าอยากได้แท็บเล็ตอเนกประสงค์ที่ใช้แอนดรอยด์ หรือ iOS มากกว่ากัน เพราะถ้าถามถึงการใช้งานทั่วไปแท็บเล็ตทั้ง 2 รุ่นทำงานได้ไม่ต่างกัน

ข้อดี

– แท็บเล็ตระดับพรีเมียม ในราคาหมื่นกลางๆ
– ตัวเครื่องรองรับการใช้งาน 4G สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้
– หน้าจอ QHD (2K) ให้ภาพที่คมชัด
– บาง 5.6 มม. น้ำหนัก 272 กรัม

ข้อสังเกต

– แบตเตอรีใช้งานได้ต่อเนื่องราว 6.5 ขั่วโมง อาจจะไม่เพียงพอกับการใช้งานหนักๆ
– ไม่มีระบบ Fast Charge และ Wireless Charge มาให้ด้วย

Gallery

]]>