Cameras 2015 – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Fri, 19 Feb 2016 10:18:44 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review: Sony RX100 Mark 4 เทพคอมแพกต์โปรกลับมาแล้ว https://cyberbiz.mgronline.com/review-sony-rx100-mark-4-%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%9e%e0%b8%84%e0%b8%ad%e0%b8%a1%e0%b9%81%e0%b8%9e%e0%b8%81%e0%b8%95%e0%b9%8c%e0%b9%82%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%a1%e0%/ Fri, 21 Aug 2015 06:22:09 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=17583

558000009805002

Sony RX-Series ถือเป็นกล้องคอมแพกต์ในกลุ่มไฮเอนด์ที่โซนี่ประสบความสำเร็จทั้งเรื่องผลตอบรับและยอดขายที่สูงมาก โดยเฉพาะ RX100 ที่ถึงแม้ราคาค่าตัวของกล้องตระกูลนี้จะถูกตั้งไว้สูงระดับเดียวกับ DSLR แต่ด้วยเทคโนโลยีที่สดใหม่ทุกครั้งที่เปิดตัว ไปถึงขนาดตัวเครื่องและฟังก์ชันที่ใช้งานง่ายบนแนวคิดกล้อง Point and Shoot ทำให้กล้องตระกูลนี้สามารถครองใจช่างภาพและผู้ใช้งานทั่วไปได้ทุกเวลา

558000009805003

โดยในวันนี้ ทีมงานได้รับ Sony RX-Series รุ่นที่ประสบความสำเร็จสูงสุดมารีวิวทดสอบกับ Sony RX100 ที่ปัจจุบันเดินทางมาถึงรุ่นที่ 4 (Mark 4) กับการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญในเรื่องของระบบประมวลผลภาพรุ่นใหม่ครั้งแรกของโลกที่มีหน่วยความจำพ่วงท้ายมาด้วย

แต่ก่อนจะไปรับชมรีวิว ผู้อ่านสามารถย้อนดูรีวิวกล้องตระกูล RX100 รุ่นก่อนหน้าได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Review : Sony Cybershot RX100 กล้องคอมแพกต์จิ๋วแต่แจ๋ว
Review: Sony Cybershot RX100 Mark 2 จิ๋วแจ๋วรุ่น 2 รองรับ NFC
Review : Sony DSX-RX100 Mark 3 คอมแพกต์โปรใช้ง่าย คุณภาพดี

การออกแบบ

558000009805004

มาดูเรื่องการออกแบบกันก่อน ภาพรวมจะเห็นภาพ RX100 Mark 4 รูปร่างจะไม่แตกต่างจาก RX100 Mark 3 แต่อย่างใด โดยตัวกล้องมีขนาด กว้างxสูงxหนา อยู่ที่ 101.6×58.1×41 มิลลิเมตร น้ำหนักรวมแบตเตอรีอยู่ที่ประมาณ 298 กรัม (สามารถพกเก็บใส่กระเป๋ากางเกงได้)

558000009805005

ด้านเลนส์กล้อง โซนี่ยังคงเลือกใช้บริการ ZEISS Vario Sonnar T* แบบเลนส์ซูม 2.9 เท่า (Clear Image Zoom ที่ 5.8 เท่า) ครอบคลุมระยะตั้งแต่ 8.8-25.7 มิลลิเมตร โดยเมื่อเทียบกับระยะทางยาวโฟกัสของกล้องฟูลเฟรมจะอยู่ที่ 24-70 มิลลิเมตร ส่วนเมื่อใช้งานในโหมดวิดีโอพร้อมเปิดระบบกันภาพสั่นไหวแบบอัจฉริยะจะได้ระยะทางยาวโฟกัสที่ 33.5-95 มิลลิเมตร

ในส่วนของรูรับแสงที่ระยะทางยาวโฟกัสกว้างสุดจะอยู่ที่ f1.8 ส่วนในระยะเทเล รูรับแสงจะไหลไปที่ f2.8 ส่วนรูรับแสงแคบสุดที่สามารถตั้งได้จะอยู่ที่ f11

ด้านระยะโฟกัส กว้างสุดสามารถถ่ายได้ใกล้สุดที่ 5 เซนติเมตร เทเล 30 เซนติเมตร

558000009805006558000009805007

มาดูส่วนจอแสดงผลภาพและปุ่มควบคุมต่างๆ จอ Live View Xtra Fine/TFT LCD มีขนาด 3 นิ้ว ความละเอียด 1,228,800 จุด หน้าจอสามารถพับขึ้นได้มากสุด 180 องศา พับลงได้ต่ำสุด 45 องศา

ในส่วนปุ่มคำสั่งปรับตั้งค่ากล้องจะถูกติดตั้งอยู่ด้านขวาของหน้าจอ โดยตำแหน่งปุ่มคำสั่งยังคงเหมือนกับ RX100 Mark 3 แต่จะมีการปรับขนาดและแป้นยางรองนิ้วบริเวณปุ่มบันทึกวิดีโอใหม่ ให้ผู้ใช้สามารถกดสั่งงานได้ง่ายขึ้นจากรุ่นก่อน

558000009805008

ด้านบน จากซ้ายสุดจะเป็นช่องมองภาพ OLED ถัดมาเป็นช่องไฟแฟลช ปุ่มเปิด-ปิดกล้อง ปุ่มชัตเตอร์ล้อมรอบด้วยวงแหวนซูมภาพ และสุดท้าย ด้านขวาสุดเป็นวงล้อปรับโหมดถ่ายภาพ (มีการปรับลดโหมด Intelligent Auto ออกให้เหลือแต่ AUTO เพียงอย่างเดียว)

558000009805009558000009805010558000009805011

ด้านข้างและด้านล่างของตัวกล้อง เริ่มจากซ้ายสุดจะเป็นที่อยู่ของสวิตซ์เปิดช่อง Finder ถัดลงมาบริเวณแถบสัมผัส NFC กับสมาร์ทดีไวซ์ ส่วนอีกด้านของตัวกล้องจะเป็นที่อยู่ของช่อง Multi (MicroUSB) สำหรับใช้ชาร์จไฟหรือเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่อส่งข้อมูล ถัดลงมาเป็น Micro HDMI รองรับสัญญาณภาพ 4K/30p

ส่วนด้านล่างของตัวเครื่องจะเป็นช่องใส่แบตเตอรีรหัส NP-BX1 และช่องใส่การ์ดความจำ รองรับการ์ด Memory Stick และการ์ด SD/SDHC/SDXC

สเปกและฟีเจอร์เด่น


558000009805012

Sony RX100 Mark 4 ถือเป็นกล้องดิจิตอลคอมแพกต์รุ่นแรกที่โซนี่ปรับเปลี่ยนเซนเซอร์รับภาพเป็น ExmorRS BSI Stacked CMOS (เซนเซอร์รับภาพขนาด 1 นิ้วเช่นเดิม) พร้อม DRAM Chip ที่ช่วยให้การส่งถ่ายข้อมูลจากเซนเซอร์รับภาพไปยังหน่วยประมวลผลภาพ BIONZ X ทำได้เร็วกว่าปกติถึง 5 เท่า

และด้วยชุดเซนเซอร์รับภาพใหม่นี้ทำให้ RX100 Mark 4 จะรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 4K (3,840×2,160 พิกเซล) 25p ในรูปแบบไฟล์ XAVC S และให้คุณภาพไฟล์สูงถึง 100Mbps พร้อมยังรองรับการถ่ายวิดีโอ Super Slow motion 40 เท่า ไปถึงการถ่ายภาพนิ่งด้วยความเร็วชัตเตอร์ 1/32,000 วินาทีแบบไม่เกิด Distortion Shutter ก็สามารถทำได้ในกล้องจิ๋วตัวนี้

558000009805013

ในส่วนสเปกอื่นๆ RX100 Mark 4 รองรับการถ่ายภาพนิ่งที่ความละเอียด 20.1 ล้านพิกเซลในรูปแบบ JPEG, RAW และ RAW+JPEG รองรับ Dual Record (ระหว่างถ่ายวิดีโอสามารถถ่ายภาพนิ่งได้ที่ความละเอียด 17 พิกเซล) และพาโนรามากว้างสุดที่ความละเอียด 12,416×1,856 พิกเซล/5,536×2,160 พิกเซล

สำหรับโหมดวิดีโอปกติรองรับรูปแบบ XAVC S ที่ความละเอียดสูงสุด 1,920×1,080 พิกเซล 25/50/100p ที่ความละเอียดไฟล์สูงสุด 100Mbps อีกทั้งยังรองรับไฟล์ AVCHD และ MP4 แบบดั้งเดิมที่ความละเอียด 1,920×1,080 พิกเซลด้วย

ด้านระบบป้องกันภาพสั่นไหว (Image Stabilizer System) สำหรับภาพนิ่งจะใช้ระบบป้องกันภาพสั่นไหวจากเลนส์กล้อง ส่วนในโหมดวิดีโอจะเป็นระบบ Intelligent Active คือใช้ทั้งระบบกันสั่นจากเลนส์กล้องพร้อมกับชดเชยด้วยระบบไฟฟ้าและซอฟต์แวร์ในตัวเอง อีกทั้งระบบดังกล่าวยังช่วยลดการเกิด Rolling Shutter (เวลาแพนกล้องด้วยความเร็วแล้วเกิดภาพล้ม)

มาดูค่าความไวแสงสำหรับภาพนิ่งรองรับ ISO 125-12,800 รองรับระบบ Multi-Frame Noise Reduction ที่ค่า ISO 200-25,600 ส่วนในโหมดวิดีโอรองรับ ISO 125-12,800

ด้านชัตเตอร์กล้อง RX100 Mark 4 แบ่งชัตเตอร์ออกเป็น 2 ชุด ได้แก่

1.ชัตเตอร์แบบกลไกล สามารถถ่ายภาพที่ความเร็วชัตเตอร์ช้าสุด 30 วินาที และในโหมด Manual ที่ Bulb ส่วนความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 1/2,000 วินาที
2.ชัตเตอร์แบบอิเล็กทรอนิกส์ สามารถถ่ายภาพที่ความเร็วชัตเตอร์ช้าสุด 4 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 1/32,000 วินาที

ในส่วนการถ่ายภาพต่อเนื่องเร็วสุดที่ 16 เฟรมต่อวินาที ส่วนอายุการใช้งานแบตเตอรี สำหรับการถ่ายภาพนิ่งอยู่ที่ประมาณ 230-280 ภาพ วิดีโอ 45 นาที

558000009805014

High Frame Rate (Super Slow motion mode) ถือเป็นฟังก์ชันเด่นครั้งแรกของโลกกล้องดิจิตอลคอมแพกต์ตัวเล็กจิ๋วที่สามารถถ่ายภาพสโลโมชันได้ โดยความเร็วเฟรมและความละเอียดไฟล์ที่ได้มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

250fps ช้าลง 5 เท่าเมื่อเล่นที่คุณภาพวิดีโอ 50p และช้าลง 10 เท่าเมื่อเล่นที่คุณภาพวิดีโอ 25p ในส่วนความละเอียดวิดีโอ โหมด Quality Priority (ถ่ายได้ 2 วินาที) จะได้ความละเอียดวิดีโอที่ 1,824×1,026 พิกเซล ส่วนโหมด Shoot Time Priority (ถ่ายได้ 4 วินาที) จะได้ความละเอียดวิดีโอที่ 1,676×566 พิกเซล

500fps ช้าลง 10 เท่าเมื่อเล่นที่คุณภาพวิดีโอ 50p และช้าลง 20 เท่าเมื่อเล่นที่คุณภาพวิดีโอ 25p ในส่วนความละเอียดวิดีโอ โหมด Quality Priority (ถ่ายได้ 2 วินาที) จะได้ความละเอียดวิดีโอที่ 1,676×566 พิกเซล ส่วนโหมด Shoot Time Priority (ถ่ายได้ 4 วินาที) จะได้ความละเอียดวิดีโอที่ 1,136×384 พิกเซล

1,000fps ช้าลง 20 เท่าเมื่อเล่นที่คุณภาพวิดีโอ 50p และช้าลง 40 เท่าเมื่อเล่นที่คุณภาพวิดีโอ 25p ในส่วนความละเอียดวิดีโอ โหมด Quality Priority (ถ่ายได้ 2 วินาที) จะได้ความละเอียดวิดีโอที่ 1,136×384 พิกเซล ส่วนโหมด Shoot Time Priority (ถ่ายได้ 4 วินาที) จะได้ความละเอียดวิดีโอที่ 800×270 พิกเซล

558000009805015

Picture Profile:S-log2/S-Gamut อีกหนึ่งฟังก์ชันเด่นที่มากับ Sony RX100 Mark 4 ก็คือความสามารถในการเลือกโปรไฟล์ภาพได้แบบเดียวกับกล้องรุ่นใหญ่ โดยโปรไฟล์ภาพที่น่าสนใจได้แก่แกรมม่าแบบ S-Log2 และโปรไฟล์สี S-Gamut ที่ช่วยขยายความกว้างของสีและไดนามิกของภาพเพื่อให้ผู้ใช้นำไปปรับแต่งต่อยอดได้ง่ายขึ้น แบบเดียวกับกล้องระดับโปรหรือกล้องถ่ายภาพยนตร์ต่างๆ

558000009805016

Built-in WiFi & Applications Sony RX100 Mark 4 นอกจากมาพร้อม NFC แล้วตัวกล้องยังมี WiFi ติดตั้งมาให้เพื่อรองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตเพื่อควบคุมกล้องและแชร์ภาพผ่านซอฟต์แวร์ PlayMemories หรือจะแชร์ภาพไปยังสมาร์ททีวีก็สามารถทำได้ผ่าน WiFi Direct

นอกจากนั้น ระบบยังรองรับการติดตั้งแอปพลิเคชันเสริมความสามารถกล้องเพิ่มเติมได้ โดยผู้ใช้สามารถเลือกซื้อเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ https://www.playmemoriescameraapps.com

558000009805017

สุดท้ายเรื่องการเลือกการ์ดความจำที่สามารถใช้ร่วมกับ Sony RX100 Mark 4 ตามสเปกโซนี่แนะนำให้ใช้ SD Card Class 10 เป็นต้นไป แต่สำหรับผู้ใช้ที่ชอบถ่ายวิดีโอ ทีมงานแนะนำให้ใช้การ์ดประเภท Class 10 UHS Speed Class 3 ความจุ 64GB จะดีที่สุด เนื่องจากคุณภาพไฟล์วิดีโอของกล้องตัวนี้ค่อนข้างสูงมาก โดยเฉพาะไฟล์วิดีโอ 4K (ความยาว 10 วินาที ขนาดไฟล์ประมาณ 140MB) และ ไฟล์วิดีโอ 100Mbps XAVC S

ทดสอบประสิทธิภาพ

งานวิดีโอ

ทดสอบโปรไฟล์ S-Log2/S-Gamut คุณภาพวิดีโอ 1080@100p

S-Log2/S-Gamut ขอประเดิมการทดสอบแรกกับโปรไฟล์ภาพตัวใหม่ ที่ทีมงานยอมรับว่าไดนามิกและโทนสีมาเต็มและกว้างมาก ISO จะถูกล็อกค่าเริ่มต้นไว้ที่ 6,400 สัญญาณรบกวนมีให้เห็นบ้างเล็กน้อย

ส่วนการปรับแต่ง สำหรับงานวิดีโอชุดนี้ทีมงานเลือกใช้ Magic Bullet Suite ในการเกลี่ยสีและ Final Cut Pro X ในการตัดต่อทั้งหมด

ผลลัพท์ที่ได้ถือว่าค่อนข้างพอใจมาก กล้องเก็บไดนามิกมาดี คุณภาพไฟล์ 100Mbps เยี่ยมมาก ส่วนการปรับแต่งทำได้ยืดหยุ่นดี จะติดอยู่ปัญหาเดียวก็คือ S-Log2 ล็อก ISO ให้เริ่มต้น 6,400 ทำให้เกิดสัญญาณรบกวนพอสมควร ยิ่งต้องถ่ายในที่แสงน้อยด้วยแล้วสัญญาณรบกวนเยอะมาก (แต่ก็แก้ไขได้ในขั้นตอน Post-Production)

High Frame Rate Mode Test Sony RX100 Mark 4 เป็นกล้องดิจิตอลจิ๋วตัวแรกของโลกที่สามารถถ่ายวิดีโอซุปเปอร์สโลโมชันได้หลากหลาย แถมไฟล์วิดีโอก็สามารถนำไปใช้งานจริงได้ โดยเฉพาะการนำไปถ่ายช็อตเด็ดกีฬาดังที่ทำได้ดีกว่ากล้อง Action Cam หลายตัวมาก

แต่ทั้งนี้โหมด High Frame Rate ก็มีข้อจำกัดในเรื่องระยะเวลาที่ถ่ายได้เพียง 2-4 วินาทีเท่านั้น แถมขั้นตอนการถ่ายทำก็ค่อนข้างยาก เพราะระยะเวลาที่ถ่ายมีเพียงไม่กี่วินาที ผู้ใช้จำเป็นต้องใช้การกะจังหวะถ่ายที่เหมาะสมถึงจะได้ภาพที่สวยงาม

4K UHD ด้วยการเข้ารหัสไฟล์แบบ XAVC S ทำให้ไฟล์ 4K ของ RX100 Mark 4 มีความคมชัดสูง และสามารถนำไปเข้าขั้นตอน Post Production ตัดต่อปรับแต่งสีได้ละเอียดมากขึ้น

แต่ทั้งนี้ข้อจำกัดของ 4K บน RX100 Mark 4 จะอยู่ที่ระยะเวลาถ่ายต่อเนื่องได้แค่ 5 นาที และอีกเรื่องคือ ด้วยขนาดไฟล์ที่ใหญ่มาก ทำให้โซนี่ล็อกสเปกการ์ดความจำที่สามารถใช้ร่วมกับโหมด 4K ได้คือ SD Card Class 10 UHS Speed Class 3 ความจุ 64GB เป็นต้นไป ถ้าใช้สเปกการ์ดต่ำกว่านี้จะไม่สามารถบันทึกวิดีโอ 4K ได้

ภาพนิ่ง

เริ่มจากการทดสอบสัญญาณรบกวนที่ค่า ISO ช่วงต่างๆ ถือว่า RX100 Mark 4 ทำผลทดสอบส่วนนี้ได้ดีมาก โดยค่า ISO 80-3,200 แทบมองไม่เห็นสัญญาณรบกวน (Noise) ที่เกิดขึ้น ภาพที่ได้คมชัด ส่วนที่ค่า ISO 6,400-12,800 เริ่มมองเห็นสัญญาณรบกวน แต่ถ้าไม่ซูม 100% เพื่อจับผิด ก็ถือว่าคุณภาพที่ได้ยอดเยี่ยมเกินขนาดตัวมากแล้ว

มาตรวจดูเรื่อง Skin Tone โซนี่ยังคงจัดการสิ่งเหล่านี้ได้ดีเหมือนรุ่นก่อนหน้า โดยเฉพาะการถ่ายภาพบุคคลด้วยโหมดอัตโนมัติ ระบบตรวจจับค่อนข้างฉลาด การปรับและประมวลผลสีผิวที่กล้องจับได้และแสดงผลออกมาผ่านภาพด้านบนนี้ทำได้นุ่มนวลและเป็นธรรมชาติมาก แม้ในสถานที่ถ่ายทำจะเป็นช่วงตอนเย็นแสงน้อยและถ่ายย้อนแสงด้วยก็ตาม

ด้านคุณภาพชิ้นเลนส์และการปรับรูรับแสงรีดระยะหน้าชัดหลังเบลอที่ f1.8-f2.8 ส่วนนี้ยังให้คุณภาพที่ดีไม่แตกต่างจาก RX100 Mark 3 หรือ Mark 2 นัก โซนี่จัดการสิ่งเหล่านี้มาได้ดีแล้ว และในรุ่นล่าสุดก็ยังคงความดีเหล่านี้ไว้เหมือนเดิม พร้อมเพิ่มความฉลาดในเรื่องการจับโฟกัสที่ทำได้เร็วและแม่นยำมากขึ้น

ลองมาทดสอบ “ชุปเปอร์ชัตเตอร์สปีด 1/32,000 วินาที” ด้วยรูรับแสงกว้างสุด f1.8-2.8 ในโหมด Shutter Priority ปรับแต่ความเร็วชัตเตอร์อย่างเดียว ค่าอื่นให้ระบบจัดการให้ ทำให้การถ่ายภาพความเร็วสูงทำได้ง่ายขึ้น สามารถใช้มือถือถ่ายได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์ใดๆให้ยุ่งยาก

อีกทั้งด้วยความเร็วชัตเตอร์ที่สามารถตั้งได้สูงประกอบกับรูรับแสงที่กว้างพร้อม ND Filter ระบบจึงเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถใช้ค่าเหล่านี้สร้างสรรค์ผลงานภาพถ่ายได้ตามใจต้องการ

ลองทดสอบตามกระแสด้วยการถ่ายภาพจาก RX100 Mark 4 จากนั้นแชร์ไปยังสมาร์ทโฟนและเข้าโปรแกรมตกแต่งภาพสุดฮิตอย่าง VSCO ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยม แอปฯควบคุมอย่าง PlayMemories สามารถตั้งเซฟภาพจากกล้องไปยังสมาร์ทโฟนแบบเต็มความละเอียด 20.1 ล้านพิกเซลได้ทันที

Sony RX100 Mark 4 – Shutter Speed: 1/60sec – f2.8 – ISO 125

Sony RX100 Mark 4 – Shutter Speed: 1/100sec – f3.5 – ISO 125

Sony RX100 Mark 4 – Shutter Speed: 1/500sec – f2.8 – ISO 125

Sony RX100 Mark 4 – Shutter Speed: 1/30sec – f2.8 – ISO 200

Sony RX100 Mark 4 – Shutter Speed: 1/30sec – f4.0 – ISO 1,250

Sony RX100 Mark 4 – Auto Mode – Shutter Speed: 1/80sec – f2.8 – ISO 250

Sony RX100 Mark 4 – Landscape – Shutter Speed: 1/100sec – f6.3 – ISO 200

Sony RX100 Mark 4 – Shutter Speed: 1/640sec – f2.8 – ISO 200

Sony RX100 Mark 4 – Shutter Speed: 1/400sec – f8.0 – ISO 200

Sony RX100 Mark 4 – Shutter Speed: 1/80sec – f4.5 – ISO 1,000

Sony RX100 Mark 4 – Shutter Speed: 1/80sec – f3.2 – ISO 200

Sony RX100 Mark 4 – Shutter Speed: 1/80sec – f8.0 – ISO 200

Sony RX100 Mark 4 – Shutter Speed: 1/80sec – f2.8 – ISO 320

สรุป

สำหรับส่วนทดสอบประสิทธิภาพ ถือเป็นการปรับสเปกที่แรงและโดนใจผู้ใช้กลุ่มไฮเอนด์ โดยเฉพาะช่างภาพวิดีโอที่น่าจะถูกใจกับสเปกวิดีโอคุณภาพสูง และน่าจะเป็นกล้องคอมแพกต์อีกหนึ่งตัวที่สามารถใช้ควบคู่กับกล้องมืออาชีพได้อย่างลงตัว

ในส่วนการถ่ายภาพนิ่ง โดยภาพรวมแล้วไม่แตกต่างจาก RX100 Mark 3 มากนัก แต่จะมีการปรับเพิ่มในส่วนไดนามิกภาพที่กว้างขึ้นเล็กน้อย อีกทั้งสำหรับคนที่ชอบการเกลี่ยสี (Color Grading) ก็สามารถเปิดใช้โปรไฟล์ภาพ Cine หรือ S-Log 2 รวมกับโปรไฟล์สี S-Gamut หรือโปรไฟล์อื่นๆได้เหมือนกล้องใหญ่อย่าง Sony A7

จุดสังเกตหลักก็ยังคงอยู่ที่เรื่องการควบคุมกล้องเมื่อถ่ายกลางคืน ซึ่งจำเป็นต้องตั้งกล้องบนขาตั้งและใช้ชัตเตอร์ช้ามาก ผู้ใช้อาจต้องเข้าไปปิดระบบกันสั่นและเข้าไปเลือกใช้ชัตเตอร์แบบกลไกลด้วยตัวเอง ไม่เช่นนั้นภาพที่ได้จะสั่นไหว โดยขั้นตอนการปิดออปชันเหล่านี้ค่อนข้างซับซ้อนพอสมควร

สำหรับราคาเปิดตัว Sony RX100 Mark 4 อยู่ที่ 32,990 บาท ถือเป็นราคาเปิดตัวที่สูงมาก แต่ถ้าเทียบกับสเปกและประสิทธิภาพที่ได้ ถึงอย่างไรทีมงานก็ยังยืนยันคำเดิมว่า RX100 ยังคงเป็นกล้องจิ๋วที่ให้คุณภาพสูง คุ้มค่าคุ้มราคา แถมในตัว Mark 4 ยังมาพร้อมเทคโนโลยีรุ่นใหม่ล่าสุดที่สามารถนำไปใช้งานครอบคลุมตั้งแต่ระดับเริ่มต้นถึงระดับโปรได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะงานวิดีโอที่ในรุ่น RX100 Mark 4 โซนี่ชูให้เป็นจุดขายเคียงคู่กับประสิทธิภาพการถ่ายภาพนิ่งที่ยังคงแจ๋วเหมือนเดิม

ถ้างบในกระเป๋าถึงและกำลังมองหาคอมแพกต์ตัวเล็กเท่าฝ่ามือที่มาพร้อมประสิทธิภาพแบบเดียวกับ DSLR ขอให้ลองทดสอบ Sony RX100 Mark 4 ก่อนครับแล้วคุณจะติดใจ ส่วนถ้าใครมองว่า RX100 Mark 4 เลนส์ซูมได้น้อยไปหรือเป็นคนชอบถ่ายภาพแนวสตรีทโฟโต้ อยากได้กล้องที่คุ้มค่าซื้อครั้งเดียวใช้ได้ทุกรูปแบบ ลุยไปได้ทุกที่ Sony RX10 Mark 2 ที่มาพร้อมเลนส์ซูม 8.3x และสเปกที่เหมือนกับ RX100 Mark 4 ก็เป็นอีกตัวที่น่าสนใจในราคาเพิ่มขึ้นอีก 1 หมื่นบาท

อีกทั้งระหว่างถ่ายภาพถ้าต้องการใช้ชัตเตอร์ Bulb ในโหมด Manual และคิดว่าการเชื่อมต่อกับแอปฯ PlayMemories บนสมาร์ทโฟนจะช่วยเป็นปุ่มชัตเตอร์ในโหมดนี้ได้ ทีมงานต้องเรียนตามตรงว่าคุณคิดผิดแล้ว โหมด Bulb จำเป็นต้องใช้ร่วมกับอุปกรณ์เสริมเฉพาะที่โซนี่วางขายแยกต่างหากเท่านั้น แอปฯ PlayMemories ไม่สามารถสั่งงาน Bulb ได้

ข้อดี

– สเปกเทพ เลนส์ดี ใช้งานได้ตั้งแต่มือสมัครเล่นถึงมืออาชีพ
– กล้องมีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา พกพาสะดวก
– การประมวลผลรวดเร็ว DRAM ใช้งานได้จริงตามที่โซนี่คุยไว้
– การจัดการสัญญาณรบกวนของ BIONZ X ทำได้ดีทุกค่าความไวแสง
– มี NFC WiFi
– รองรับการติดตั้งแอปพลิเคชันลูกเล่นกล้องเพิ่มเติมได้

ข้อสังเกต

– แบตเตอรีก้อนเล็ก หมดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อถ่ายวิดีโอบ่อยครั้ง
– บางฟีเจอร์ต้องเรียนรู้และฝึกฝนก่อนใช้งานจริง เช่น High Frame Rate Mode
– แกรมม่า S-Log 2 ให้สัญญาณรบกวนมากเกินไป แต่ก็ปรับแก้ได้ด้วยซอฟต์แวร์ตัดต่อ

Gallery

]]>
Review: Nikon 1 J5 กล้องตระกูลวันที่ดีและลงตัวที่สุดของนิคอน https://cyberbiz.mgronline.com/review-nikon1-j5/ Sun, 12 Jul 2015 15:32:11 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=17554

558000007776602

หลังจากทีมงานไซเบอร์บิซได้ลงบทความรีวิวสัมผัสแรก Nikon 1 J5 ไปเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาพร้อมเสียงตอบรับจากผู้อ่านว่าอยากเห็นคุณภาพไฟล์จากสภาพแวดล้อมต่างๆรวมถึงคุณภาพการจัดการสัญญาณรบกวนในแต่ละช่วงค่าแสง (ISO) เพิ่มมากขึ้น วันนี้ทางนิคอน ประเทศไทย ได้จัดส่งกล้อง Nikon 1 J5 มาให้ทีมงานได้ทดสอบแบบเจาะลึกกันอีกครั้ง

โดยก่อนรับชมรีวิวนี่กรุณาอ่านบททดสอบตอนแรกกันก่อนเพื่อความเข้าใจและรู้จัก Nikon 1 J5 เพิ่มมากขึ้น >แรกจับประทับใจ Nikon 1 J5<

สเปก


558000007776604558000007776603

Nikon 1 J5 จัดอยู่ในกลุ่ม ACIL มิร์เรอร์เลสของนิคอน ที่ในครั้งนี้นิคอนคิดใหม่ทำใหม่พยายามให้ J5 มีความลงตัวตั้งแต่ด้านการออกแบบให้มีขนาดเล็กพร้อมดีไซน์ย้อนยุคโดนใจคนทุกเพศทุกวัยด้วยน้ำหนักเพียง 265 กรัม คิทเลนส์ 10-30 f3.5-5.6 VR ถูกออกแบบมายืดหดเก็บตัวเองเมื่อไม่ใช่งานได้แบบเดียวกับดิจิตอลคอมแพกต์ทั่วไปเพื่อสะดวกต่อการพกพาอีกทั้งยังสามารถใช้ร่วมกับอะแดปเตอร์แปลงใส่เลนส์ Nikon DSLR ได้ด้วย

558000007776605

นอกจากนั้นในส่วนหน้าจอขนาด 3 นิ้วยังให้เป็นแบบสัมผัสและเป็นลักษณะ Tiltable พับเปลี่ยนหน้าจอเปลี่ยนองศาการรับชมได้

558000007776606

มาถึงส่วนสำคัญกับเรื่องหน่วยประมวลผลภาพที่นิคอนเปลี่ยนไปใช้ EXPEED 5A เซนเซอร์รับภาพ CMOS CX-Format รองรับความละเอียดภาพสูงสุด 20.8 ล้านพิกเซล วิดีโอความละเอียดสูง 1,920×1,080 พิกเซล 60 เฟรมต่อวินาที รองรับการถ่ายภาพความเร็วสูงสุด 60 เฟรมต่อวินาที ชัตเตอร์เร็วสุดตั้งได้ 1/16,000 วินาที ช้าสุด 30 วินาที ความไวแสง ISO มีให้เลือกใช้ตั้งแต่ 160-12,800 และออโต้โฟกัสที่มาพร้อมพื้นที่จับโฟกัสมากถึง 41 จุด ส่วนโฟกัสแบบจุดเดียว สามารถเลือกพื้นที่โฟกัสได้มากถึง 171 จุด

และสุดท้าย J5 ยังรองรับการเชื่อมต่อผ่าน WiFi และ NFC กับสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตด้วย

>สำหรับรายละเอียดสเปกเพิ่มเติม คลิกที่นี่<

ทดสอบประสิทธิภาพ


เริ่มจากสิ่งที่หลายคนอยากรู้มากที่สุดก็คือการทดสอบ ISO เมื่อตอนที่ 1 ผม เป๋า @dorapenguin ชมอย่างออกหน้าออกตาว่าครั้งนี้นิคอนทำได้ดีมาก หลังจากที่ผมได้รับ Nikon 1 J5 กลับมาทดสอบอีกครั้งด้วยรูปแบบการทดสอบเดิมของเรา ผมขอย้ำอีกครั้งว่านี่คือกล้องในตระกูล 1 ที่สามารถจัดการเรื่องสัญญาณรบกวน (Noise) ได้ดีที่สุดตั้งแต่เคยทดสอบมาและถือเป็นครั้งแรกที่นิคอนทำให้กล้องตระกูล 1 สามารถใช้งานได้สนุกและปราดเปรียวขึ้นมาก

จุดที่น่าสนใจอีกส่วนในเรื่อง ISO ก็คือ HIGH ISO Zone 12,800 ที่นิคอนเลือกใส่ช่วง ISO พิเศษมาก็คือ ISO 12,800 with Noise Reduction (์NR) ที่ระบบจะช่วยจัดการลบสัญญาณรบกวนออกให้ด้วยซอฟต์แวร์ภายในกล้อง เท่ากับว่าสำหรับผู้ใช้ทั่วไปคุณสามารถเลือกใช้ ISO ได้ทุกช่วงแสงจริงๆโดยไม่ต้องกังวลว่าภาพที่ได้จะแตกเละแต่อย่างใด ในขณะที่ผู้ใช้งานมืออาชีพขึ้นมาก็น่าจะพอใจช่วงค่าแสงตั้งแต่ ISO 160-6,400 ที่ EXPEED 5A ให้ผลลัพท์มาได้น่าประทับใจกว่า EXPEED ตัวเก่าที่อยู่ในวันรุ่นก่อนหน้าทั้งหมด

มาลองทดสอบกับการถ่ายภาพในสถานที่จริงในสภาพแสงน้อย (สองภาพบน ISO 1,600 – ภาพล่าง ISO 6,400) ผมเลือกถ่ายด้วยการดึง ISO ให้สูงและใช้มือถือถ่ายแทนขาตั้งกล้อง โดยตัวเลือกเสริมที่ผมเพิ่มเข้ามาก็คือเปิดใช้งานร่วมกับระบบกันสั่น VR (Vibration Reduction) ผลลัพท์ที่ได้ถือว่าประทับใจมากกับคุณภาพไฟล์ภาพที่ออกมา รวมถึงสีสัน ระบบวัดแสงและโหมดอัตโนมัติที่ทำได้ถูกต้องและรวดเร็ว

อีกทั้งเมื่อประกบกับหน้าจอแบบสัมผัสเรื่องการจับจุดโฟกัสแบบจิ้มหน้าจอก็ช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพได้ง่ายขึ้น และยิ่งประกบกับขนาดตัวกล้องที่ออกแบบมาได้เล็กจึงไม่เป็นจุดสนใจของผู้คนทั่วไปเมื่อต้องนำไปใช้งานถ่ายภาพท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆอีกด้วย

ทีนี้ลองถ่ายแบบ Manual ที่ต้องเน้นการปรับแต่งค่าด้วยตัวเอง ก็ถือว่าใน Nikon 1 J5 การจัดการค่ากล้องต่างๆก็สามารถทำได้ดีเหมือนใช้กล้อง DSLR ตัวใหญ่ รวมถึงจุดเด่นยังอยู่ที่ RAW File ซึ่งเก็บรายละเอียดภาพมาได้ดีเหมือนรุ่นพี่ใหญ่เลขสามหลัก Dxxx รุ่นใหม่มาก

ยกตัวอย่างภาพนี้ผมถ่ายแบบ RAW File ISO 160 f6.3 ชัตเตอร์ 30 วินาที ขนาดไฟล์อยู่ที่ 19.3MB เข้าตกแต่งผ่าน Capture NX-D และ Lightroom ด้วยการดึงฟ้าให้เห็นดาวมากขึ้น นอกนั้นส่วนอื่นเป็นภาพเดิม White Balance ติดกล้องเดิมไม่เปลี่ยนค่าใดๆ ภาพที่ได้ถือว่าทำได้ประทับใจลบความทรงจำแย่ๆที่เคยมีกับกล้องตระกูลวันไปทั้งหมดเลย

Nikon 1 J5 / 1 NIKKOR VR 10-30mm f/3.5-5.6 PD-ZOOM / f5.6 / 1/250s / ISO 400

Nikon 1 J5 / 1 NIKKOR VR 10-30mm f/3.5-5.6 PD-ZOOM / f4.0 / 1/30s / ISO 2,800

Nikon 1 J5 / 1 NIKKOR VR 10-30mm f/3.5-5.6 PD-ZOOM / f7.1 / 1/250s / ISO 220

Nikon 1 J5 / 1 NIKKOR VR 10-30mm f/3.5-5.6 PD-ZOOM / f7.1 / 1/250s / ISO 360

สุดท้ายกับการทดสอบถ่ายด้วยโหมดอัตโนมัติทั้งหมด โดยตั้งค่า ISO Auto ไว้ที่ช่วง 160-12,800 ถือว่าผลลัพท์ที่ได้น่าประทับใจทุกช่วงค่าความไวแสง การประมวลผลภาพและวิเคราะห์เลือกซีนภาพต่างๆทำได้ค่อนข้างดีจนถือเป็นมิรเรอร์เลสที่ถ่ายสนุกมาก

อีกส่วนหนึ่งที่มีการปรับปรุงคุณภาพให้ดีขึ้นก็คือโหมดวิดีโอสโลโมชันที่มีความคมชัดใช้จริงได้ตั้งแต่ 120-400fps แล้ว ส่วน 1,200fps ยังให้ภาพที่ความละเอียดต่ำเกินไป

นอกจากนั้นโหมดวิดีโอยังมาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวทั้ง Optical VR และ Electronic VR ช่วยให้การถือถ่ายวิดีโอทำได้นิ่งมาก

แต่ทั้งนี้ก็ใช่ว่าการปรับใหม่ของ Nikon 1 J5 จะไม่มีข้อสังเกตใดๆเลย โดยจากการทดลองใช้งานร่วม 1 อาทิตย์เต็มพบว่าข้อสังเกตหลักจะตกไปอยู่ที่เรื่องแบตเตอรีก้อนเล็กที่หมดเร็วมาก ถ่ายได้ประมาณ 200-240 รูปแบตเตอรีก็หมดแล้ว หรือถ้าใช้ถ่ายวิดีโอและเชื่อมต่อ WiFi หรือถ่ายชัตเตอร์ช้าบ่อยครั้งแบตเตอรีสามารถหมดลงได้เร็วกว่าปกติเป็นเท่าตัว รวมถึงฟีเจอร์ถ่าย 4K ที่ความเร็ว 15 เฟรมต่อวินาทีที่ผมมองว่าเป็นได้แค่ฟีเจอร์ลูกเล่นสนุกๆเท่านั้น ใช้จริงคงไม่เหมาะเท่าใด

สรุป


สำหรับราคาเปิดตัว Nikon 1 J5 พร้อมคิทเลนส์ 1 NIKKOR VR 10-30mm VR f/3.5-5.6 PD-ZOOM อยู่ที่ 21,990 บาท ถือเป็นมิร์เรอร์เลสที่ลงตัวสุดและดีที่สุดของนิคอนแล้ว โดยเฉพาะการถ่ายภาพนิ่งที่ทำได้สนุกเหมาะกับคนชอบเที่ยวชอบเก็บภาพความประทับใจต่างๆ กล้องสามารถจัดการให้คุณได้หมดทั้งแบบโหมดอัตโนมัติหรือปรับตั้งค่าเอง โดยคุณไม่ต้องกังวลเรื่องการปรับตั้ง ISO เพื่อหลีกเลี่ยง Noise เลยเพราะชิปประมวลผลภาพตัวใหม่สามารถให้ผลลัพท์ภาพที่ดีระดับสามารถดึงไปใช้งานทั่วไป เช่น อัปโหลดภาพลงโซเชียล เว็บไซต์ได้ คนที่เคยบ่นเรื่องเซนเซอร์ CX Format ขนาดเล็กและให้คุณภาพที่ยังไม่ดีลองมาทดสอบใช้ 1 J5 ดูก่อนแล้วคุณจะเปลี่ยนใจทันที

ข้อดี

– EXPEED 5A พระเอกคนสำคัญที่ทำให้ Nikon 1 J5 น่าใช้มากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะคุณภาพไฟล์ภาพถ่าย
– การออกแบบตัวกล้องทำได้ดี โดยเฉพาะคิทเลนส์เล็กกระทัดรัดและเบามาก
– โหมดกันสั่นวิดีโอมีทั้ง Optical VR และ Electronic VR
– วิดีโอสโลโมชันปรับปรุงใหม่คมชัดขึ้น
– RAW คุณภาพดีขึ้น

ข้อสังเกต

– แบตเตอรีหมดเร็วและแย่กว่ารุ่นก่อนหน้า
– วิดีโอ 4K เป็นได้แค่ลูกเล่นเสริมเพราะไม่มีความลื่นไหลเสียเลย

Gallery

]]>
Review: Nikon COOLPIX S9900 คอมแพกต์จัดเต็ม ทั้งจอหมุน เซลฟีฟรุ้งฟริ้ง ซูม 30x GPS และ NFC https://cyberbiz.mgronline.com/review-nikon-coolpix/ Sun, 22 Mar 2015 23:25:36 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=17508

558000003437902

ถือเป็นการปลุกตลาดกล้องดิจิตอลคอมแพกต์ให้คึกคักหลังตลาดกล้องขนาดเล็กโดนกลุ่มสมาร์ทโฟนกล้องเด่นแย่งชิงไป หลายค่ายสร้างจุดขายด้วยการเลือกใช้เลนส์ซูมครอบจักรวาลที่ให้ภาพคมชัดมากขึ้นหรือแม้แต่การเลือกใส่ NFC WiFi ไปถึงการกำเนิดกลุ่มกล้องแอนดรอยด์ก็ถือเป็นการช่วยปลุกตลาดดิจิตอลคอมแพกต์ไม่ให้ล้มหายตายจากไปอย่างรวดเร็ว

มาวันนี้ก็ถึงคิวของค่ายใหญ่อย่างนิคอนที่หลังจากปรับไลน์กล้อง DSLR ไปแล้วก็มาถึงคิวของกล้องเล็กตระกูล COOLPIX กันบ้างกับ “Nikon COOLPIX S9900” ที่นอกจากจะเป็นกล้องคอมแพกต์พร้อมเลนส์ซูมออปติคอล 30 เท่าครอบจักรวาลพร้อมรองรับการเชื่อมต่อไร้สาย NFC/WiFi เหมือนคู่แข่งแล้ว นิคอนสร้างความแตกต่างด้วยการใส่ GPS และเข็มทิศดิจิตอลมาให้ภายในตัวกล้องเพื่อเอาใจสาวกโซเชียลที่ชอบติดแท็กสถานที่ อีกทั้งยังเอาใจสาวสวยหนุ่มหล่อที่ชอบเซลฟีด้วยจอหมุนได้และโหมดรีทัชใบหน้าแบบพิเศษ

ทั้งหมดนี้นิคอนจัดเต็มมากับ COOLPIX S9900 เพื่อดึงตลาดกล้องขนาดเล็กให้น่าสนใจ เข้ากับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ยิ่งขึ้น

การออกแบบและสเปก

558000003437904558000003437903

Nikon COOLPIX S9900 ถูกจัดกลุ่มให้เป็นกล้องคอมแพกต์ระดับกลางค่อนไปทางระดับบนของกลุ่ม COOLPIX ด้านการออกแบบดูย้อนยุค (Retro-style) คล้าย COOLPIX A โครงสร้างยังคงเอกลักษณ์ของนิคอนไฮเอนด์คือเป็นแมกนีเซียม-อลูมิเนียมครอบด้วยพลาสติกบางส่วน ส่วนซีลรอยต่อถูกออกแบบและประกอบมาได้แน่นหนาและแข็งแรง สามารถป้องกันละอองน้ำ ฝุ่นและการตกกระแทกได้บ้างเล็กน้อย

ด้านขนาดตัวเครื่องกว้างxสูงxลึก อยู่ที่ 112.0×66.0x39.5 มิลลิเมตรหรือเทียบง่ายๆก็คือประมาณหนึ่งฝ่ามือ ด้านน้ำหนักตัวเครื่องรวมแบตเตอรีและการ์ดความจำอยู่ที่ 289 กรัม

558000003437905

ลักษณะเลนส์ที่ยื่นออกมาเมื่ออยู่ในระยะกว้างสุด

558000003437906

ลักษณะเลนส์ที่ยื่นออกมาเมื่ออยู่ในระยะซูมสุด 30 เท่า

16663046467_45693ceaee_c

นส่วนเลนส์กล้อง (ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้) นิคอนใช้เลนส์ NIKKOR Zoom Lens ที่ภายในมาพร้อมกระจก ED 3 ชิ้น กระจายแสงต่ำเป็นพิเศษเป็นครั้งแรกพร้อมกลุ่มชิ้นเลนส์ Aspherical ลดความผิดเพี้ยนของภาพ โดยเลนส์สามารถซูมแบบออปติคอล (ซูมโดยเลนส์ยืดออก) ได้สูงสุด 30 เท่าหรือเทียบระยะกล้องฟิล์ม 35 มิลลิเมตร (คูณ 5.53) อยู่ที่ 25-750 มิลลิเมตร) นอกจากนั้นยังรองรับระบบซูมด้วยเทคโนโลยี Dynamic Fine Zoom 60 เท่า (1,500 มิลลิเมตร) ด้วยการใช้ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ทำงานร่วมกัน

รูรับแสงเป็นแผ่นไดอะแฟรมแบบม่านรูรับแสง 3 กลีบควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ระยะไวด์สามารถตั้งรูรับแสงกว้างสุด f3.7 และเมื่อซูมค่ารูรับแสงกว้างสุดจะไหลไปที่ f6.4 ส่วนค่ารูรับแสงแคบสุดจะปรับตั้งได้แค่ f8.0 ตามแบบฉบับเลนส์ซูมครอบจักรวาลทั่วไปและสำหรับระยะมาโครใกล้สุดอยู่ที่ 1 เซนติเมตร

558000003437907

มาดูสเปกเซนเซอร์รับภาพ CMOS มีขนาด 1/2.3 นิ้ว ความละเอียดภาพสูงสุด 16 ล้านพิกเซล (4,608×3,456 พิกเซล) อัตราส่วนภาพ 4:3 ระบบป้องกันภาพสั่นไหวเป็นแบบ Hybrid VR 5 แกนคือใช้ทั้ง Lens Shift VR รวมกับ Electronic VR

558000003437908

ส่วนหน่วยประมวลผลภาพนิคอนเลือกใช้ EXPEED C2 รุ่นปรับปรุงใหม่ให้ทำงานได้เร็วขึ้น ด้านไฟล์ภาพเลือกได้เฉพาะ JPEG Fine/Normal เท่านั้น ไม่มีไฟล์ RAW ให้เลือกใช้ วิดีโอเลือกคุณภาพได้สูงสุด 1,920×1,080@60i ในรูปแบบไฟล์ MOV (วิดีโอ: H.264/MPEG-4 AVC, เสียง: สเตอริโอ LPCM)

สำหรับค่าความไวแสง ISO ที่สามารถเลือกใช้ได้จะอยู่ในช่วง ISO 125-6,400 แต่แนะนำให้ตั้งค่าเป็น Auto ISO ได้เลยเนื่องจากชิปประมวลผลรุ่นใหม่นี้ทำงานได้เร็วและฉลาดกว่ารุ่นก่อนหน้ามากแล้ว

ด้านระบบโฟกัสอัตโนมัติจะเป็นแบบตรวจจับคอนทราสต์ พื้นที่โฟกัสมีให้เลือก 99 จุด รองรับระบบตรวจจับใบหน้า โฟกัสแบบติดตามวัตถุอัตโนมัติและออโตโฟกัสค้นหาวัตถุ ส่วนความไวชัตเตอร์สามารถตั้งได้ตั้งแต่ 1/2,000 – 8 วินาที

558000003437909558000003437910

มาพลิกดูด้านหลังของกล้องกันบ้าง จะพบหน้าจอ Live View TFT LCD ขนาด 3 นิ้ว ความละเอียด 921,000 จุด (RGBW) หน้าจอสามารถปรับหมุนได้แบบเดียวกับ DSLR Nikon D5500 ที่เคยรีวิวไป ส่วนด้านขวามือจะเป็นปุ่มคำสั่งและวงแหวนที่สามารถหมุนเพื่อปรับค่ากล้องได้

จุดที่น่าสนใจและควรรู้คือปุ่มเปิด WiFi (รูปเสาสัญญาณ) ที่เมื่อกดลงไปหนึ่งครั้งตัวเครื่องจะปล่อย SSID ให้เราสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนที่ไม่มี NFC ได้โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน

558000003437911

ด้านบนของตัวเครื่องจากซ้ายสุดบริเวณชื่อรุ่นของกล้องจะเป็นไฟแฟลช ถัดมาใต้โลโก้ GPS/WiFi จะเป็นสวิตซ์เปิดไฟแฟลช มาดูด้านขวาเริ่มจากวงแหวนแรกสุดจะเป็นวงแหวนปรับเปลี่ยนโหมดถ่ายภาพมีให้เลือกตั้งแต่ M/A/S/P, Auto, Scene Mode, Smart Portrait และโหมดวิดีโอสั้นแบบสร้างสรรค์ ถัดไปเป็นปุ่มชัตเตอร์ล้อมรอบด้วยวงแหวนซูมภาพเข้าออก ปุ่มเปิดปิดตัวเครื่องและวงแหวนปรับแต่งค่าเพิ่มเติม

สำหรับช่องใส่สายคล้องข้อมือจะติดตั้งอยู่ทั้งด้านซ้ายและขวา สามารถเลือกใส่สายได้ตามความถนัดของผู้ใช้

558000003437912558000003437913

ด้านข้างขวาของตัวเครื่อง จุดที่ต้องสังเกตคือสัญลักษณ์ NFC สามารถใช้สมาร์ทโฟนที่รองรับแตะสัมผัสบริเวณนี้ ส่วนพอร์ตเชื่อมต่อ USB และ HDMI จะมีฝาปิดไว้ป้องกันฝุ่นและละอองน้ำ ส่วนอีกด้านจะเป็นปุ่มกดเพื่อเปิดแผนที่สำหรับคนที่ต้องการแก้ไขพิกัดรูปภาพ

558000003437914558000003437915

ส่วนช่องใส่แบตเตอรีและการ์ดความจำจะติดตั้งอยู่ด้านใต้สุด โดบแบตเตอรีที่ใช้ร่วมกับ COOLPIX S9900 เป็นรหัส EN-EL12 ก้อนเล็กขนาด 1,050mAh ชาร์จเต็มหนึ่งครั้งสามารถถ่ายภาพนิ่งได้ต่อเนื่องประมาณ 300 ภาพ นอกจากนั้นนิคอนได้ออกแบบระบบชาร์จไฟผ่านพอร์ต MicroUSB ให้สามารถชาร์จไฟและใช้งานพร้อมกันได้ (เหมาะแก่คนถ่าย Timelapse)

ฟีเจอร์เด่น

558000003437916

เริ่มจากเรื่องแรกที่ขอยกให้เป็นข้อเด่นด้านการออกแบบของ COOLPIX S9900 ก็คือบริเวณกริปและแผ่นรองนิ้วโป้งด้านหลังที่นิคอนเลือกใช้วัสดุเป็นยางแกะลายเลียนแบบหนังเทียม ซึ่งจับกระชับ ช่วยให้การถือกล้องเป็นไปอย่างมั่นคงไม่หลุดล่วงหล่นจากมือได้ง่าย

558000003437917

มาดูหน้าจอ Live View หลักๆก็ใช้แสดงสถานะการตั้งค่ากล้องทั้งหมดรวมถึงพรีวิวภาพถ่าย พร้อมสิ่งที่เพิ่มเข้ามาเฉพาะ COOLPIX S9900 ก็คือเข็มทิศดิจิตอลและพิกัดแบบแสดงเป็นชื่อสถานที่ที่อยู่ใกล้บริเวณที่ถ่ายภาพ โดยระบบจะดึงข้อมูลจาก HERE Maps เป็นหลัก

558000003437918

นอกจากนั้นผู้ใช้ยังสามารถเรียกแผนที่ HERE Maps ขึ้นมารับชมจุดพิกัดที่เราถ่ายภาพไปแล้วได้โดยการกดปุ่มรูปลูกโลกข้างกล้อง

558000003437919

ในส่วนไฟล์ภาพที่ถ่ายออกมาจาก COOLPIX S9900 จะมาพร้อมเลขพิกัด ทิศทางที่ถ่ายภาพและความสูงจากระดับน้ำทะเล ซึ่งผู้ใช้ที่ชื่นชอบการโพสต์รูปแล้วติดแท็กสถานที่น่าจะรักฟีเจอร์นี้เป็นพิเศษ

ตัวอย่าง Timelapse > ทิวทัศน์ 20 นาทีเมื่อประมวลผลเรียบร้อยแล้วจะเหลือวิดีโอความยาว 8 วินาที

มาดูฟีเจอร์ต่อไป Timelapse ที่มาในรูปแบบสำเร็จรูปไม่ต้องปรับตั้งค่าให้ยุ่งยาก โดยการใช้งานต้องเปลี่ยนเป็น Scene Mode > Timelapse แล้วจะพบกับโหมด Timelapse สำเร็จรูปสามารถเลือกได้ตั้งแต่ถ่ายทิวทัศน์ 20 นาทีไปถึงถ่ายหมู่ดาวยามค่ำคืน 150 นาที

558000003437920

สำหรับ NFC ก็ถือว่าช่วยอำนวยความสะดวกเวลาเราต้องการจะแชร์ภาพหรือใช้หน้าจอสมาร์ทโฟนเป็น Live View เพราะเพียงแค่นำสมาร์ทโฟนที่รองรับ NFC ไปแตะที่สัญลักษณ์ด้านข้างกล้องเท่านั้น ระบบ WiFi จะเชื่อมต่อกันและเรียกแอปพลิเคชัน Wireless Mobile Utility ขึ้นมาใช้งานในขั้นตอนเดียว

558000003437921558000003437922

ฟีเจอร์เด่นอีกหนึ่งหมัดเด็ดที่เกริ่นไปแล้วข้างต้นกับโหมด Smart Portrait ที่ระบบจะทำหน้าขาวนวลให้ระดับหนึ่ง ถ้าผู้ใช้ต้องการปรับแต่งส่วนอื่นอีกก็สามารถกดเข้าไปรีทัชภาพได้

โดยระบบรีทัชจะรองรับการปรับแต่งใบหน้าตั้งแต่ลดขนาดแก้ม เพิ่มขนาดดวงตา ทำหน้าใส ปรับสีผิว ลบสิว ปัดแก้ม ใส่ขนตา และอีกมากมายที่นิคอนออกแบบมาเอาใจคุณผู้หญิงเป็นพิเศษ คุณภาพของโหมดรีทัชก็ประมาณน้องๆกล้องฟรุ้งฟริ้งเลย

สุดท้ายมาดูอีกหนึ่งฟีเจอร์เด่นกับระบบป้องกันภาพสั่นไหว Hybrid VR แบบ 5 แกนที่จะให้ผลลัพท์ที่โดดเด่นมากในโหมดถ่ายวิดีโอ ยิ่งเมื่อผู้ใช้ซูมภาพระหว่าง 30-60 เท่า ระบบ Hybrid VR จะยิ่งให้ผลลัพท์ที่ดีมากยิ่งขึ้น อย่างวิดีโอตัวอย่างที่ผม @dorapenguin แอบถ่ายนกที่ระยะ 60 เท่า (1,500 มิลลิเมตร) ปกติถ้าเป็นกันสั่นออปติคอลธรรมดาภาพจะสั่นมากกว่านี้ แต่เมื่อเปิดใช้ Hybrid VR จะถือถ่ายได้ง่ายขึ้น ภาพไหวน้อยลงแต่เล็งยากพอสมควร เพราะเมื่อเคลื่อนไหวมือตามวัตถุที่ไม่อยู่นิ่งภาพที่ปรากฏบน Live View จะเกิดอาการดีเลย์เล็กน้อยเนื่องจากซอฟต์แวร์ภายในต้องมีการประมวลผลเรื่องการสั่นไหวมากกว่าปกติ

ในส่วนการถ่ายวิดีโอปกติ ก็เป็นไปตามสไตล์นิคอนยุคใหม่ก็คือโหมดวิดีโอทำงานได้ลื่นไหล ไมโครโฟนรับเสียงภายในเป็นแบบสเตอริโอ การปรับแสงสี สมดุลแสงสีขาวต่างๆทำได้ดี ภาพที่ได้ค่อนข้างคมชัดมาก ระบบซูมทำงานร่วมกับ Hybrid VR ได้อย่างยอดเยี่ยม ถือได้ว่า COOLPIX S9900 เป็นกล้องคอมแพกต์ราคาไม่เกิน 15,000 บาทที่ถ่ายวิดีโอได่้สวยติดอันดับต้นๆของตลาดตอนนี้

ทดสอบประสิทธิภาพ

ISO-9900

ทีนี้ลองมาทดสอบค่าความไวแสงในช่วงต่างๆกันบ้าง ต้องเรียนตามตรงว่าถ้ามองเผินๆ ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียด ISO ตั้งแต่ 125-6,400 แทบแยกความแตกต่างกันไม่ออกเลย เพราะเนื้อไฟล์ สีสันเนียนตาด้วยอานิสงส์จากชิป EXPEED C2 จนต้องลองซูมเทียบแบบ 100% ถึงจะเห็นความแตกต่างและการเกิดสัญญาณรบกวน (Noise) ที่เริ่มมีให้เห็นตั้งแต่ ISO 3,200 และมากสุดที่ ISO 6,400

DSCN0175จบเรื่องการทดสอบ ISO มาเริ่มทดสอบคุณภาพไฟล์ภาพจาก COOLPIX S9900 กันบ้าง เริ่มจากภาพแรกสุดที่ผมต้องการแสดงให้เห็นถึงคุณภาพชิ้นเลนส์ที่นิคอนเลือกใช้ ส่วนใหญ่ภาพที่ถ่ายย้อนแสงด้วย f8.0 รวมถึงแสงไฟยามค่ำคืนมักให้แฉกแสงที่สวยงามมากและน่าจะเป็นจุดเด่นของชุดเลนส์ที่ติดตั้งใน S9900 เลยทีเดียว

DSCN0209DSCN0270

ในส่วนการทดสอบระยะเลนส์ซูมครอบจักรวาล ผมขอคอนเฟริมว่าทุกช่วงซูม ใช้งานได้จริงหมด ภาพคมชัด ขอบภาพไม่เบลอเหมือนหลายแบรนด์ ส่วนนี้คงต้องยกความดีความชอบให้กับชุดชิ้นเลนส์ที่นิคอนเลือกใช้ส่วนหนึ่ง หน่วยประมวลผลปรับใหม่อีกส่วนหนึ่ง ยกตัวอย่างภาพที่ผมนำมาให้ชม 3 ภาพบน ผมเลือกซูมที่ระยะตั้งแต่ 30 เท่าถึงช่วง Dynamic Fine Zoom 60 เท่า (ภาพนกพิราบปากแหลม) ผลลัพท์ที่ได้คือภาพคมชัดทั้งหมด โดยเฉพาะช่วงเข้า Dynamic Fine Zoom ที่ใช้การทำงานของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์และคุณภาพไฟล์ JPEG ที่ดีผสมกัน ทำให้ภาพที่ได้สามารถนำไปใช้งานได้จริง

DSCN0289ระยะ(เทียบฟิล์ม 35 มิลลิเมตร): 24 มิลลิเมตร / f3.7 / ISO 280 / Shutter: 1/30 วินาที

DSCN0192

ระยะ(เทียบฟิล์ม 35 มิลลิเมตร): 24 มิลลิเมตร / f3.7 / ISO 500 / Shutter: 1/8 วินาที

DSCN0286ระยะ(เทียบฟิล์ม 35 มิลลิเมตร): 136 มิลลิเมตร / f6.0 / ISO 250 / Shutter: 1/30 วินาที

DSCN0181

ระยะ(เทียบฟิล์ม 35 มิลลิเมตร): 49 มิลลิเมตร / f4.5 / ISO 125 / Shutter: 1/125 วินาที

DSCN0190

ระยะ(เทียบฟิล์ม 35 มิลลิเมตร): 746 มิลลิเมตร / f6.4 / ISO 125 / Shutter: 1/250 วินา

DSCN0194ระยะ(เทียบฟิล์ม 35 มิลลิเมตร): 24 มิลลิเมตร / f3.7 / ISO 320 / Shutter: 1/30 วินาที DSCN0202 ระยะ(เทียบฟิล์ม 35 มิลลิเมตร): 24 มิลลิเมตร / Macro Mode / f3.7 / ISO 400 / Shutter: 1/25 วินาที DSCN0232

ระยะ(เทียบฟิล์ม 35 มิลลิเมตร): 24 มิลลิเมตร / Macro Mode / f6.3 / ISO 125 / Shutter: 1/60 วินาที

DSCN0204ระยะ(เทียบฟิล์ม 35 มิลลิเมตร): 115 มิลลิเมตร / f5.6 / ISO 125 / Shutter: 1/500 วินาที DSCN0205ระยะ(เทียบฟิล์ม 35 มิลลิเมตร): 35 มิลลิเมตร / f6.4 / ISO 125 / Shutter: 1/50 วินาที

DSCN0206ระยะ(เทียบฟิล์ม 35 มิลลิเมตร): 24 มิลลิเมตร / f4.8 / ISO 125 / Shutter: 1/2,000 วินาที DSCN0208

ระยะ(เทียบฟิล์ม 35 มิลลิเมตร): 24 มิลลิเมตร / f3.7 / ISO 125 / Shutter: 1/640 วินาที

สำหรับภาพรวมด้านคุณภาพไฟล์ที่ได้รับจาก Nikon COOLPIX S9900 ถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานกล้องคอมแพกต์เซนเซอร์เล็ก การจะทำโบเก้ฉากหลังละลายทำได้ยากพอตัว ส่วนไฟล์ภาพส่วนใหญ่ที่ได้รับจาก S9900 มีคุณภาพสูงตามหน่วยประมวลผลภาพที่ปรับปรุงใหม่ เลนส์ซูมไว้ใจได้ คมชัดทุกระยะออปติคอล 30x ระบบวัดแสงและจัดการต่างๆทำงานมีประสิทธิภาพจนทำให้ S9900 เป็นกล้อง Point and Shoot ที่ถ่ายสนุกตัวหนึ่ง

เสียดายอย่างเดียวจอไม่ใช่ระบบสัมผัส ไม่อย่างนั้นการใช้ซอฟต์แวร์ตกแต่งภาพและการจับโฟกัสด้วยการจิ้มหน้าจอจะทำให้การใช้ S9900 สะดวกสบายมากขึ้น

ในส่วนลูกเล่นพวก GPS NFC รีทัชโหมดต่างๆ ใช้งานได้จริงและทำได้ดีมาก โดยเฉพาะรีทัชโหมดสำหรับขาเซลฟีที่ออกแบบส่วนซอฟต์แวร์ตกแต่งมาได้ละเอียดและดึงความสามารถของระบบตรวจจับใบหน้ามาใช้งานได้สมบูรณ์แบบมาก ในขณะที่ลูกเล่นอื่นๆ เช่น Timelapse หรือเอ็ฟเฟ็กต์ตกแต่งภาพก็มีให้เลือกใช้งานครบครัน

สรุป

สำหรับราคาเปิดตัว Nikon COOLPIX S9900 อยู่ที่ประมาณ 12,900 บาท ถือเป็นกล้องคอมแพกต์ระดับกลางค่อนสูงที่มีฟังก์ชันใช้งานครบครันคุ้มค่าคุ้มราคาตัวหนึ่ง จุดเด่นของกล้องรุ่นนี้อยู่ที่เลนส์ซูมครอบจักรวาล พร้อม GPS NFC และโหมดรีทัชภาพเซลฟีที่น่าจะถูกใจผู้ใช้ที่กำลังมองหากล้องถ่ายภาพที่เน้นความคุ้มค่าเป็นหลัก

ถ้าเป็นเมื่อก่อนกล้องครอบจักรวาลลักษณะนี้มักให้คุณภาพไม่ว่าจะเป็นไฟล์ภาพหรือคุณภาพของเลนส์ซูมที่ไม่ดีนัก แต่ปัจจุบันจากที่ได้ทดสอบ COOLPIX S9900 เป็นเวลานานร่วมอาทิตย์ทำให้ความเชื่อเก่าๆกับกล้องครอบจักรวาลลักษณะนี้ต้องเปลี่ยนไปทั้งหมด จนทำให้ผมพูดได้เต็มปากเลยว่า “ถ้าคุณจ่ายเงิน 12,900 บาทไปสิ่งที่ได้ผมรับรองว่าคุ้มค่ากว่าราคาที่จ่ายออกไปแน่นอน”

ข้อดี

– งานประกอบดี แข็งแรง กริปจับถนัดมือ
– หน้าจอปรับหมุนได้
– ซอฟต์แวร์รีทัชภาพเซลฟีและถาพถ่ายบุคคลสามารถปรับแต่งได้ละเอียด
– เลนส์ซูมครอบจักรวาลคุณภาพสูง คมชัดทุกระยะ
– ระบบป้องกันภาพสั่นไหว Hybrid VR 5 แกนทำงานได้ดีมาก
– ฟีเจอร์ครอบคลุมทุกการใช้งาน เช่น Timelapse, เอ็ฟเฟ็กต์ภาพ, วิดีโอ 1080@60i พร้อมไมโครโฟรสเตอริโอ
– สามารถชาร์จแบตเตอรีและใช้งานกล้องพร้อมกันได้

ข้อสังเกต

– หน้าจอ Live View ไม่มีระบบสัมผัส
– ไม่มีไฟล์ RAW ให้เลือกใช้
– ถึงแม้ Hybrid VR จะทำงานได้ดี แต่เมื่อซูมเกิน 20 เท่าขึ้นไปจะเล็งภาพผ่าน Live View ยากขึ้นเพราะภาพจะหน่วงไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้การจัดองค์ประกอบภาพให้ถูกใจทำได้ยาก

Gallery

]]>
Review: Nikon D5500 ปรับใหม่เล็กลง ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น https://cyberbiz.mgronline.com/review-nikon-d5500/ Thu, 05 Mar 2015 03:28:16 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=17463

558000002699402

ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วนิคอนปรับปรุงไลน์สินค้ากลุ่มดีเอสแอลอาร์ FX Format ใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ D750, D810 ที่มาพร้อมหน่วยประมวลผลภาพ EXPEED 4 โปรไฟล์ภาพแบบใหม่ ระบบวัดแสงใหม่ ไปถึงการปรับปรุง D-Movie โหมดถ่ายวิดีโอใหม่เพื่อให้เทียบเคียงกับคู่แข่งได้

การปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญนี้ทำให้กล้องนิคอนยุคใหม่มีเอกลักษณ์ด้านภาพปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น กลุ่มเป้าหมายใหม่เกิดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ชื่นชอบงานวิดีโอ DSLR ที่เริ่มหันมาสนใจนิคอนมากกว่าแต่ก่อน

มาวันนี้นิคอนก็ได้เริ่มปรับไลน์กล้องตระกูลเลขสี่หลักที่ถือเป็นตลาดใหญ่เพราะจับกลุ่มตั้งแต่ระดับเริ่มต้นถึงระดับกลาง (upper-entry-level ราคาอยู่ในช่วง 3 หมื่นบาทเฉพาะบอดี้) เน้นวัยรุ่น คนชอบเที่ยวที่ต้องการกล้อง DSLR ขนาดเล็ก ต้องการฟีเจอร์ถ่ายภาพสำเร็จรูปมากกว่าฟังก์ชันมืออาชีพ เน้นถ่ายสนุก ใช้งานไม่ยุ่งยาก มี WiFi ถ่ายวิดีโอดี กับ “Nikon D5500” ด้วยการปรับเปลี่ยนหลายส่วนจนแทบจะเป็นแฝดพี่น้องกับ D750 รุ่นใหญ่เลยทีเดียว

การออกแบบและสเปก


558000002699404558000002699403

เริ่มจากรูปทรงยังคงความเล็กกระทัดรัดเช่นเดิม การออกแบบตัวเครื่องเป็นแบบ monocoque พร้อมคาร์บอน ไฟเบอร์ ขนาดตัวเครื่องมีการปรับลดจากรุ่น D5300 เหลือความกว้างxสูงxลึก ที่ 124x97x70 มิลลิเมตร น้ำหนักปรับลดจากรุ่นเดิม 480 กรัมเฉพาะตัวกล้องเหลือเพียง 420 กรัม พร้อมปรับส่วนกริปยางจับถือให้กระชับมือขึ้น

ด้านสเปกหน่วยประมวลผลกล้องยังใช้เซ็นเซอร์ CMOS DX-Format (F-mount) ขนาดเซ็นเซอร์ 23.5×15.6 มิลลิเมตรแบบไม่มี low-pass filter (OLPF) รองรับความละเอียดภาพ 24.2 ล้านพิกเซล (6,000×4,000 พิกเซล) ประกบชิป EXPEED 4 เหมือนตัวที่แล้วแต่มีการปรับซอฟต์แวร์ภายในใหม่ให้ทำงานได้ฉลาดขึ้นพร้อมระบบ Active D-Lighting เลือกปรับได้ตั้งแต่อัตโนมัติ สูงพิเศษ สูง ปกติ ต่ำและปิด

558000002699405

ในส่วนระบบออโต้โฟกัสใช้เซ็นเซอร์ Nikon Multi-CAM 4800DX ตัวเดียวกับ D5300 รองรับ AF-Single, AF-Continuous, AF-Auto ถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็ว 5fps ความเร็วชัตเตอร์เร็วสุด 1/4,000 วินาที ช้าสุด 30 วินาที จุดโฟกัสเลือกใช้งานได้ 39 จุดและ 11 จุด รองรับระบบตรวจจับโฟกัสอัตโนมัติแบบติดตามวัตถุ ค่าความไวแสง ISO ที่ให้มาเลือกใช้งานได้ตั้งแต่ 100-25,600 เลือกปรับขึ้นลงได้ขั้นละ 1/3EV หรือ 1/2EV

ด้านระบบวัดแสงหลายคนตั้งความหวังว่าจะมีโหมดวัดแสงใหม่อย่าง Highlight-Weighted Metering แบบเดียวกับใน Nikon D750 มาให้เลือกใช้ แต่ความเป็นจริงระบบวัดแสงของ Nikon D5500 ยังเป็นระบบเดิม รวมถึงวิดีโอรองรับความละเอียดสูงสุด 1,920×1,080 พิกเซล 60p พร้อม Manual Movie และระบบปรับชดเชยแสงด้วย ISO Auto

558000002699406558000002699407

มาดูด้านจอแสดงผลภาพของตัวกล้องกันบ้าง เริ่มจากหน้าจอไลฟ์วิวขนาด 3.2 นิ้ว ความละเอียด 1,037K เป็นหน้าจอสัมผัส พร้อมความสามารถในการปรับมุมมองการมองเห็นได้ 170 องศา ครอบคลุมการมองเห็นภาพ 100% (ส่วนวิวไฟเดอร์รองรับการครอบคลุมการมองเห็นภาพประมาณ 95%)

นอกจากนั้นหน้าจอยังรองรับระบบสัมผัสเพื่อจับจุดโฟกัสได้ตามใจต้องด้วย Contrast-AF ปรับปรุงใหม่ อีกทั้งหน้าจอไลฟ์วิวด้านหลังยังใช้สำหรับตั้งค่ากล้องทั้งหมด ดูจำนวนรูปที่ถ่ายภาพ โชว์ภาพพรีวิวด้วยระบบสัมผัสได้ด้วย

558000002699408

ด้านปุ่มและวงล้อเลือกโหมดถ่ายภาพจะมีการปรับการออกแบบใหม่เล็กน้อยโดยยกส่วนวงล้อปรับค่ากล้องขึ้นมาด้านบนพร้อมเปลี่ยนวัสดุเป็นอลูมิเนียม สัมผัสแล้วลื่นไหลและจัดวางตำแหน่งใช้งานได้ถนัดกว่าเดิม ส่วนปุ่มคำสั่งอื่นๆจะมีการเปลี่ยนตำแหน่งใหม่เล็กน้อยไม่ต่างจาก D5300 มากนัก

558000002699409

และอีกจุดเด่นหนึ่งของ Nikon D5500 ก็คือการออกแบบส่วนรับเสียงไมโครโฟนสเตอริโอใหม่ที่นอกจากเล็กลงยังรับเสียงได้ดีขึ้นโดยเฉพาะเสียงเบสที่ทำได้ดีกว่าเดิม

558000002699410558000002699411

มาดูด้านข้างของตัวเครื่อง ด้านซ้ายประกอบด้วยช่องเชื่อมต่อสายลั่นชัตเตอร์ ช่องไมโครโฟนขนาด 3.5 มิลลิเมตร (รองรับไมโครโฟนภายนอกแบบสเตอริโอ) และช่อง USB/AV OUT ส่วนด้านขวาจะเป็นช่อง HDMI และช่องใส่การ์ดความจำรองรับ SD/SDHC/SDXC มาตรฐานความเร็วอ่านเขียนสูงสุดที่รองรับ UHS-I

558000002699412

ในส่วนแบตเตอรีเป็นแบตฯลิเธียมไอออน EN-EL14a แบบเดียวกับ D5300 แต่ถ่ายภาพได้มากขึ้นจากเดิมประมาณ 600 ภาพเพิ่มเป็น 820 ภาพ แต่ทั้งนี้ถ้าเปิดใช้งาน WiFi ตลอดเวลา จำนวนภาพที่ถ่ายได้จะน้อยลงเกือบครึ่ง

และที่สำคัญ Nikon D5500 ตัด GPS ออกไป

ฟีเจอร์เด่น


558000002699413558000002699414

WiFi Built-in ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของกล้องนิคอนยุคใหม่จะมาพร้อมความสามารถในการเชื่อมต่อ Wireless LAN ภายใน โดย Nikon D5500 รองรับ WiFi ตามมาตรฐาน IEEE802.11 b/g สามารถใช้งานร่วมกับสมาร์ทดีไวซ์ผ่านแอปพลิเคชัน “Wireless Mobile Utility” เพื่อใช้ดึงภาพจากตัวกล้องและใช้เป็นรีโมทชัตเตอร์พร้อมไลฟ์วิวจากหน้าจอสมาร์ทดีไวซ์ได้โดยตรง

558000002699415

ระบบแนะนำการตั้งค่าถ่ายภาพ สำหรับมือใหม่ นิคอนได้ใส่ระบบแนะนำการตั้งค่าไว้ให้ที่ปุ่ม ? ด้านล่างของจอไลฟ์วิว โดยตัวระบบจะคอยบอกสภาพแสงว่าควรเปิดหรือปิดแฟลชรวมถึงควรใช้โหมดถ่ายภาพไหนเพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่ดีที่สุด และนอกจากนั้นด้วยระบบหน้าจอสัมผัสจึงทำให้การใช้งานกดคำสั่งตั้งค่าต่างๆ ทำได้ง่ายขึ้นมาก

558000002699416

Falt Picture Control เป็นโปรไฟล์ภาพที่โด่งดังมาจาก D750 และมีให้เลือกใช้ใน Nikon D5500 ด้วยเช่นกัน

558000002699417

ในส่วนคุณภาพไฟล์ภาพ Nikon D5500 รองรับ RAW File (NEF) 12 และ 14 บิต สามารถถ่ายภาพด้วยรูปแบบไฟล์ JPEG และ RAW+JPEG โดยขนาดไฟล์ RAW อยู่ที่ประมาณ 27-28MB ต่อหนึ่งไฟล์ ไฟล์ JPEG อยู่ที่ 12-13MB เพราะฉะนั้นผู้ใช้ท่านใดต้องการถ่ายไฟล์ RAW+JPEG หรือ RAW อย่างเดียวแนะนำให้ใช้การ์ดความจำ Class 10 หรือ UHS-I จะดีที่สุดครับ

ทดสอบประสิทธิภาพ


558000002699418

สำหรับชุดทดสอบที่ทีมงานได้รับมาได้แก่ Nikon D5500 ประกบเลนส์ระยะ 16-85 มิลลิเมตร f3.5-5.6 VR

ISOTEST-D5500

ยอมรับว่าครั้งแรกที่ได้จับสัมผัส Nikon D5500 รู้สึกว่ากล้องจับถนัดมือ น้ำหนักเบาแต่พอใส่เลนส์ 16-85 เข้าไป โอ่..เลนส์ใหญ่กว่ากล้องจนดึงให้ตัวกล้องหน้าทิ่มตลอดเวลา

จนถึงเวลาเริ่มใช้งานจริง ในครั้งนี้เวลาทดสอบมีไม่มากแค่ 2-3 วันเพราะผม @dorapenguin ติดภารกิจชีวิตส่วนตัวมากมาย อีกทั้งทางนิคอนก็มีคิวส่งมอบกล้องตัวนี้ให้กับสื่ออื่นอีกหลายคิว เวลาจึงค่อนข้างรัดตัวมากจนทำให้ผมต้องรีบไปค้นดูสเปกกล้องจากหลายสื่อรวมถึงรีบเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง D5300 เพื่อหวังจะได้ช่วยรวบรัดการรีวิวให้เร็วยิ่งขึ้น

แต่ยิ่งอ่านสเปกก็ยิ่งเกิดอาการประหลาดใจ และยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเมื่อนำสเปก D5500 มาเทียบกับ D5300 เพราะทั้งสองมีสเปกไม่ต่างกันนัก ยกเว้น Picture Control Flat ที่เพิ่มมาให้และรูปทรงที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่แค่แผ่นกระดาษบอกสเปกจะสู้การทดสอบภาคสนามจริงที่ไขข้อสงสัยของผมได้ทันที

เริ่มการทดสอบจากสัญญาณรบกวนในช่วงค่าความไวแสงต่างๆ ดูเผินๆ ไม่แตกต่างจาก D5300 ค่า ISO 100-6,400 ให้ความคมชัดสดใส สัญญาณรบกวนต่ำตามแบบฉบับนิคอนยุคใหม่ แต่พอดัน ISO แตะระดับตั้งแต่ 8,000 จนถึง 51,200 สัญญาณรบกวนที่ได้จะน้อยกว่า D5300 เล็กน้อยเท่านั้น

DSC_0044
DSC_0094

มาลองทดสอบถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยกับการพกพาติดตัวใช้งานจริงแบบไม่ใช้ร่วมกับขาตั้งกล้อง เน้นถือถ่ายแบบไม่ต้องตั้งค่ากล้องมากนัก ผมเลือกใช้โหมด A ปรับ ISO ด้วยตัวเอง ตัวอย่างภาพทั้งสองด้านบนตั้ง ISO 640 และ ISO 8,000 สำหรับภาพสนามบิน ISO 640 ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ กล้องรุ่นใหม่ทุกตัวที่วางขายตอนนี้ก็ให้ภาพที่ไม่ต่างกัน แต่สำหรับภาพแม่ค้าผัดไทด้วย ISO 8,000 กับ D5500 ถือว่าทำได้น่าประทับใจในภาพรวม โทนและสีเหมือนจะอิ่มตัวกว่า D5300 เล็กน้อย ส่วนเรื่องสัญญาณรบกวนก็มีให้เห็นเป็นเรื่องปกติของกล้องระดับนี้ที่ค่า ISO สูงๆ แต่ก็ไม่น่าเกลียดแต่อย่างใด ไฟล์ภาพ RAW ยังนำไปปรับแต่งต่อยอดได้อีกพอสมควร

DSC_0053
DSC_0055

คราวนี้มาทดสอบ Picture Control ใหม่ในนาม Flat ที่มีให้เห็นตั้งแต่ Nikon D750 ใน D5500 นิคอนใส่มาให้ใช้งานเป็นครั้งแรกอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงความสามารถในการปรับจูน Picture Control ได้ละเอียดขึ้น สองภาพนี้ผมจบหลังกล้องด้วยการประมวลผลไฟล์ RAW ผ่านระบบกล้องทั้งหมด

ผลลัพท์ที่ได้ต้องบอกว่า “นี่คือภาพถ่ายย้อนแสงที่ผมชื่นชอบมากที่สุดตั้งแต่จับกล้องถ่ายภาพมา” ปกติภาพลักษณะนี้ผมต้องจับ RAW เข้าคอมพิวเตอร์แล้วตกแต่งผ่านซอฟต์แวร์ แต่ Flat สามารถทำให้ผมสร้างภาพผ่านกล้องเพียวๆ จนได้ดั่งใจผมมาก การเก็บไดนามิกภาพทำได้น่าประทับใจ ไฟล์ RAW ทรงพลังแบบเดียวกับที่เคยเกิดกับฟูลเฟรมนิคอนยุคใหม่จนแทบจะทลายเส้นแบ่งเรื่องขนาดเซ็นเซอร์ทิ้งได้เลย

DSC_0068

ส่วนภาพนี้ก็ยังลอง Picture Control Flat เหมือนเดิมแต่เปลี่ยนจาก RAW เป็น JPEG และภาพนี้เป็นไฟล์ดิบจากกล้องก็ถือว่ายังให้ผลลัพท์ที่ดี น่าประทับใจอย่างมากถ้าต้องการภาพถ่ายย้อนแสงแบบแปลกใหม่เป็นเอกลักษณ์ที่นิคอนสร้างได้ดีเลยทีเดียว

DSC_0026

ระยะ 85 มิลลิเมตร – f5.6 – 1/250 วินาที – ISO 3,200

DSC_0093

ระยะ 85 มิลลิเมตร – f5.6 – 1/800 วินาที – ISO 640

DSC_0050

ระยะ 85 มิลลิเมตร – f5.6 – 1/320 วินาที – ISO 125

DSC_0061

ระยะ 85 มิลลิเมตร – f5.6 – 1/320 วินาที – ISO 125

DSC_0078

ระยะ 85 มิลลิเมตร – f36 – 1/320 วินาที – ISO 100 leo.

DSC_0074

ระยะ 52 มิลลิเมตร – f6.3 – 1/80 วินาที – ISO 110

DSC_0071

Auto Mode – Picture Control: Vivid

DSC_0067

Auto HDR Mode

DSC_0051

ระยะ 85 มิลลิเมตร – f8 – 1/500 วินาที – ISO 125

DSC_0046

ระยะ 72 มิลลิเมตร – f8 – 1/250 วินาที – ISO 125

DSC_0031

ระยะ 78 มิลลิเมตร – f9 – 1/160 วินาที – ISO 200

จากภาพถ่ายทั้งหมดผมเริ่มคลายข้อสงสัยหาความแตกต่างระหว่าง Nikon D5300 กับ D5500 และได้ข้อสรุปว่า “ไม่แตกต่างชัดเจนนัก” โดยการถ่ายภาพทั่วไปทั้ง D5300 กับ D5500 ให้คุณภาพไฟล์คล้ายกันมาก จะแตกต่างก็คงต้องมาพิสูจน์แบบจุดต่อจุดถึงจะเห็นว่า D5500 คุณภาพไฟล์ดีและเนียนกว่าเล็กน้อย

ส่วนเรื่องฟีเจอร์และการออกแบบ ส่วนนี้แหละครับคือข้อแตกต่างที่จะสามารถดึงดูดผู้คนให้หันมาสนใจ D5500 เริ่มจากส่วนแรกการออกแบบที่มีการปรับลดน้ำหนักลงเล็กน้อยพร้อมออกแบบให้ตัวเครื่องจับกระชับมือขึ้น พกพาท่องเที่ยวสะดวกสบายขึ้น ส่วนที่สองระบบหน้าจอสัมผัสครั้งแรกในตระกูล ใช้งานได้ลื่นไหลมาก การจับโฟกัสผ่านไลฟ์วิวด้วยการสัมผัสทำได้นุ่มนวล รวดเร็ว การโฟกัสแบบตรวจจับวัตถุด้วยการจิ้มลงไปที่หน้าจอทำให้ชีวิตนักถ่ายภาพสะดวกสบายมากขึ้น

DSC_0086

ส่วนที่สาม Killer Feature คือ Picture Control Flat ที่ให้ผลลัพท์ที่ดีและช่วยรีดพลังของกล้องออกมาได้ยอดเยี่ยมมากทั้งการถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอ รวมถึงการปรับแต่ง Picture Control ที่ทำได้ค่อนข้างละเอียดคล้ายการปรับแต่งใน Nikon D750

และสุดท้ายสำหรับงานถ่ายวิดีโอกับความรวดเร็วในการปรับสภาพแสง ผมรู้สึกว่าการปรับเพิ่มลด ISO และ Manual Movie ทำได้ดีและนุ่มนวลขึ้นมาก ไฟล์วิดีโอคมและสีสันเนียนตาขึ้น เสียอย่างเดียวระบบออโต้โฟกัสในโหมดวิดีโอยังไม่ฉลาดเท่าคู่แข่ง

สำหรับราคาค่าตัวเฉพาะบอดี้ Nikon D5500 อยู่ที่ 27,900 บาท ถ้าเป็นชุดมาพร้อมคิทเลนส์ AF-S DX NIKKOR 18-55mm f/3.5-5.6G VR II อยู่ที่ 30,900 บาทหรืออีกชุดมาพร้อมคิทเลนส์ AF-S DX NIKKOR 18-140mm f/3.5-5.6G ED VR จะอยู่ที่ 35,900 บาท ก็ขอสรุปทิ้งท้ายตรงนี้แบบตรงไปตรงมาคือ Nikon D5500 ก็เปรียบเหมือนรถยนต์รุ่นไมเนอร์เชนจ์ที่ปรับฟีเจอร์หน้าตาบางส่วนใหม่แต่ขุมพลังยังคงเดิม ลูกค้า Nikon D5300 เดิมถ้ายังพอใจในคุณภาพกล้องตัวนี้อยู่ ผมมองว่าการปรับเปลี่ยนไปใช้ D5500 ดูจะไม่คุ้มค่าเท่าใด เพราะสิ่งที่คุณจะได้แบบสัมผัสได้จริงๆก็มีเพียงโปรไฟล์ภาพ Flat ใหม่กับหน้าจอสัมผัสแบบลื่นไหลเหมือนสมาร์ทโฟน นอกนั้นจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆที่ต้องใช้การสังเกตถึงจะมองเห็น ยกเว้น GPS ในตัวเครื่อง ส่วนนี้ D5500 ถูกตัดออก ใครที่ชื่นชอบการติดแท็กสถานที่อาจไม่ชอบการปรับเปลี่ยนนี้

แต่ทั้งนี้ถ้าคุณมีเงินและคิดอยากใช้ของใหม่ซึ่งแน่นอนว่าต้องดีกว่ารุ่นเก่าและคุณไม่สนใจ GPS ที่ไม่มีมาให้ ส่วนนี้ผมก็ไม่ขัดข้องแต่ประการใด เพราะ D5500 ก็เป็นกล้องที่เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของ D5300 ได้ดีตัวหนึ่งและผมมองว่า D5500 ก็เหมือนเป็นการชุปชีวิตซีรีย์ยอดฮิตของนิคอนให้กลับมาต่อสู้กับคู่แข่งในปีนี้ได้สมน้ำสมเนื้อมากขึ้น

[usrlist “การออกแบบ:8” “สเปก/ฟีเจอร์เด่น:9” “ความสามารถโดยรวม:8.5” “ความคุ้มค่า:9″ avg=”true”]

Gallery

]]>