Gadgets 2016 – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Fri, 03 Mar 2017 09:32:41 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : AirPods หูฟังไร้สายอัจฉริยะเพื่อผู้ใช้แอปเปิล https://cyberbiz.mgronline.com/review-airpods/ Thu, 29 Dec 2016 10:21:08 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=24861

airpods-head

Apple “AirPods (แอร์พอดส์)” เป็นหูฟังไร้สายจากแอปเปิลที่มาพร้อมกระแสร้อนแรงตั้งแต่ช่วงเปิดตัว ตั้งแต่เรื่องดีไซน์ ไปถึงราคาที่สูง ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา แต่สิบปากว่าจะเท่าตาเห็นและสัมผัสด้วยตัวเราเอง เพราะฉะนั้นในวันนี้เพื่อตอบข้อสังสัยที่หลายคนมีกับ AirPods ทีมงานไซเบอร์บิซจึงได้จัดหาหูฟังกระแสร้อนมาทดสอบกันอย่างละเอียดตั้งแต่การใช้งานไปถึงการทดสอบประสิทธิภาพเสียงว่าจะคุ้มค่าค่าตัวแสนแพงหรือไม่

ความต้องการระบบของ AirPods

iPhone (5 เป็นต้นไป iOS10)
iPad (mini 2 เป็นต้นไป iOS10)
iPod touch รุ่นที่ 6 (iOS10)
Apple Watch รุ่นที่ใช้ watchOS 3 หรือใหม่กว่า
Mac รุ่นที่ใช้ macOS Sierra หรือใหม่กว่า

การออกแบบและใช้งาน

IMG_0451

IMG_0453

แรกแกะกล่อง ตัวหูฟัง AirPods จะถูกบรรจุอยู่ในกล่องพลาสติกสีขาว ซึ่งกล่องนี้จะเปรียบเป็นที่ชาร์จไฟให้กับหูฟัง ทำให้เราสามารถใช้หูฟังได้ยาวนาน 24 ชั่วโมง

โดยด้านหลังจะมีปุ่มวงกลมเล็กๆ ไว้กดเพื่อกระตุ้นสัญญาณบลูทูธเมื่อต้องการใช้ AirPods ร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆที่ไม่ใช่ของแอปเปิล เช่น สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ พีซี โน้ตบุ๊ก เป็นต้น

IMG_0455

ส่วนด้านล่างจะเป็นพอร์ต Lightning สำหรับเชื่อมต่อกับอะแดปเตอร์ไอโฟน พาวเวอร์แบงค์หรือพอร์ต USB เพื่อชาร์จไฟเข้าตัวกล่อง

IMG_0457

จากนั้นเมื่อเราเปิดฝากล่องขึ้นมา เราจะพบตัวหูฟัง AirPods ซ้ายและขวาเก็บอยู่ในกล่อง และตรงกลางเป็นไฟแสดงสถานะ สีเขียว (ไฟเต็ม) สีส้ม (ชาร์จไฟ) สีขาว (กำลังตรวจจับสัญญาณบลูทูธ)

airpods-setup

โดยการเชื่อมต่อครั้งแรก วิธีง่ายสุดแค่นำกล่องไปอยู่ใกล้ iPhone (รองรับ iPhone 5 เป็นต้นไปและต้องติดตั้ง iOS 10) หรือ iPad จากนั้นเปิดบลูทูธที่ตัวเครื่องก่อน และเมื่อเปิดฝาขึ้นระบบจะค้นหากันและกันอัตโนมัติพร้อมปรากฏ Pop up “AirPods” และมีสถานะแบตเตอรีแสดงให้ผู้ใช้ทราบทั้งในส่วนของหูฟังสองข้างและกล่องเก็บหูฟัง เพียงเท่านี้ AirPods ก็พร้อมใช้งานแล้ว

*ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะแบตเตอรีได้จากทั้งส่วนแจ้งเตือนบน iOS, ส่วนเมนูบลูทูธใน Mac หรือฟังเสียงเตือนในหูฟังเมื่อแบตเตอรีใกล้หมด*

macbook-con-ap

batt-mac-ap

ส่วนรูปแบบการเชื่อมต่อสัญญาณ สำหรับผู้ใช้ Apple Family จะมีความพิเศษอย่างมาก เช่น ที่บ้านมี iPhone iPad MacBook iMac และใช้บัญชี iCloud เดียวกันทั้งหมด เมื่อเราเชื่อมต่อ AirPods กับอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งใน Apple Family อุปกรณ์อื่นๆจะรู้จักและพร้อมใช้งาน AirPods ด้วยเช่นกัน

โดยเวลาต้องการเลือกใช้งานก็เพียงเปิดอุปกรณ์ที่ต้องการเชื่อมต่อกับ AirPods ให้จอติดไว้ (ต้องเปิดบลูทูธทิ้งไว้ด้วย) เมื่อเปิดกล่องเก็บหูฟังขึ้น ระบบจะเชื่อมต่อกันทันที

android-airpods

ด้านการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์มีเดียอื่นที่ไม่ใช่ของแอปเปิล ก็เหมือนการเชื่อมต่อหูฟังบลูทูธทั่วไป (เปิดฝากล่องและกดปุ่มวงกลมสีขาวหลังกล่องข้างไว้จนไฟสีขาวปรากฏ) โดยเมื่อเชื่อมต่อครั้งแรกเสร็จสิ้น ครั้งต่อไปเมื่อเปิดกล่องแล้วดึงหูฟังขึ้นมา ระบบจะเชื่อมต่อกันอัตโนมัติ

IMG_0460

IMG_0462

มาดูตัวหูฟัง AirPods กันบ้าง มาพร้อมน้ำหนักข้างละ 4 กรัม ด้านการออกแบบจะเหมือนกับหูฟัง EarPods ที่แถมมากับ iPhone แต่วัสดุงานประกอบจะพรีเมียมกว่า และที่สำคัญเมื่อสวมใส่แล้วตัดเสียงรบกวนภายนอกได้ดีกว่า

IMG_0464

ส่วนสเปก AirPods ภายในจะมาพร้อมชิปประมวลผล W1 พร้อมเซ็นเซอร์ออปติคอลและอุปกรณ์จับการเคลื่อนไหว ทำให้ตัวหูฟังทั้งสองข้างสามารถรู้ได้ว่าตอนนี้เราถอดหรือใส่หูฟังอยู่ โดยระหว่างฟังเพลงเมื่อคุณถอดหูฟังออก เพลงจะหยุดเล่นทันทีและจะเล่นอีกครั้งเมื่อคุณใส่หูฟัง

นอกจากนั้นชิป W1 ยังรู้ได้ด้วยว่าเมื่อคุณอยากฟังเพลงด้วยลำโพงจากตัวเครื่อง คุณสามารถถอดหูฟังออกแล้วกดเล่นเพลงที่เครื่องต่อ ระบบจะสลับสัญญาณบลูทูธมาเป็นตัว iDevice ของเราอัตโนมัติ และระหว่างนั้นเมื่อเราอยากฟังจาก AirPods ก็เพียงหยิบใส่หูอีกครั้งระบบจะตัดการทำงานมาที่หูฟังโดยที่เราไม่ต้องกดสั่งงานใดๆ หรือแม้แต่การเปลี่ยนอุปกรณ์เชื่อมต่อ เช่น iPhone ไปเป็น MacBook ก็เพียงหยุดเล่นเพลงจาก iPhone จากนั้นก็ไปกดเชื่อมต่อที่ MacBook ระบบจะเชื่อมต่อกันทันทีโดยไม่เกิดปัญหาสัญญาณชนกัน

IMG_0463

ในส่วนฟีเจอร์อื่นๆ AirPods ยังมาพร้อมไมโครโฟนคู่แบบบีมฟอร์มมิ่งที่สามารถกรองเสียงรบกวนรอบข้างได้ รวมถึงใช้สนทนาโทรศัพท์ได้ โดยเมื่อมีสายโทรเข้าให้เคาะที่หูฟังสองครั้งก็จะเท่ากับรับสาย หรือถ้าใส่หูฟังสองข้างและคุยโทรศัพท์ไม่ถนัดก็สามารถถอดออกเหลือข้างเดียว ระบบจะรู้และสลับไมโครโฟนให้เอง

siri-pods

ด้านการสั่งงาน เพิ่มลดเสียง เปลี่ยนเพลง สามารถทำได้ผ่านสิริเท่านั้น โดยวิธีการเรียกสามารถเคาะที่หูฟัง 2 ครั้งหรือถ้าใช้ iPhone 6s ขึ้นไปสามารถพูด “หวัดดีสิริ” ก็ได้ จากนั้นผู้ใช้สามารถสั่งงานทั้ง ปรับเพิ่ม/ลด ระดับเสียง, เล่นเพลงถัดไป หรือถามสิริว่า “AirPods เหลือแบตเตอรี่เท่าไหร่”

สุดท้ายสำหรับแบตเตอรีส่วนหูฟังจะสามารถใช้งานต่อเนื่อง 5 ชั่วโมงต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง (สนทนาโทรศัพท์ต่อเนื่องได้ 2 ชั่วโมง) และเมื่อไฟหมดสามารถนำมาชาร์จที่กล่องเก็บหูฟัง 15 นาทีจะใช้งานได้ 3 ชั่วโมง เรียกได้ว่าถ้าต้องการใช้งานตลอดทั้งวัน กล่องเก็บหูฟังต้องชาร์จไฟไว้เต็มก็จะสามารถใช้งานหูฟัง AirPods ได้นานกว่า 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

airpods-play

ด้านการเชื่อมต่อสำหรับคนใช้ Apple Family หูฟัง AirPods ให้การเชื่อมต่อที่ง่ายเหมือนกับการใช้ Apple Watch ระบบเชื่อมต่อของแอปเปิลเรียกได้ว่าอัจฉริยะและไม่พบเจอปัญหาระหว่างใช้งานแต่อย่างใด โดยระยะทำงานของบลูทูธก็เป็นไปตามมาตรฐานประมาณ 10 เมตร

ส่วนการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์มีเดียอื่นๆก็สามารถทำได้เหมือนหูฟังบลูทูธทั่วไป แถมยังสามารถใช้วิธีเคาะที่หูฟัง 2 ครั้งเพื่อหยุดเพลงและเล่นเพลงได้ด้วย แต่การปรับเสียงและสั่งงานอื่นๆจะไม่สามารถใช้งานได้ ต้องปรับจากดีไวซ์เอาเอง

สำหรับการสวมใส่ ส่วนนี้ทำได้ประทับใจ ดีกว่าที่คิดไว้ ด้วยความเบาของ AirPods ทำให้การสวมใส่ทำได้สบายหูมากๆ ความรู้สึกเมื่อเราสวมใส่เป็นเวลานานจะเหมือนเราไม่ได้ใส่หูฟังไว้ แถมการออกแบบที่ใช้ลักษณะเกี่ยวรูหูไว้และดูว่าเหมือนจะหลุดง่าย แต่เมื่อทดลองใช้งานจริงพบว่า ไม่ว่าจะเดินหรือวิ่ง AirPods ทั้งสองข้างหลุดจากหูยากมาก แต่อาจจะมีคลายจากรูหูเล็กน้อยเวลาเราเอี้ยวตัวหรือใส่เป็นเวลานานมาก

Update – เรื่องความทนทาน ส่วนนี้ทำได้ดีเกินคาด ไม่ว่าจะทำตก ใส่ขณะฝนตก ทุกเหตุการณ์ที่ทีมงานได้ทดสอบ ไม่ทำให้หูฟังและกล่องชาร์จไฟมีปัญหาใดๆ คาดว่าน่าจะเป็นผลมาจากงานประกอบที่แน่นหนาและชิ้นส่วนภายในส่วนใหญ่ถูกยึดติดกับบอร์ดอย่างดีหนา ถึงขนาดตัวหูฟังไม่สามารถแกะซ่อมได้เลย เสียก็คือซื้อใหม่อย่างเดียว

ในส่วนคุณภาพเสียง ลักษณะของตัวหูฟังจะอยู่กึ่งกลางระหว่างหูฟังอินเอียร์กับหูฟังปกติ ทำให้เรื่องตัดเสียงรบกวนทำได้ดีพอประมาณ ส่วนเนื้อเสียงก็จะออกโทนกลางๆ ทั้งหมด ไม่เด่นไปทางใดทางหนึ่ง เบสไม่ลึก สัญญาณบลูทูธเชื่อมต่อได้เสถียรไม่แกว่งแม้อุปกรณ์และตัวหูฟังจะอยู่ห่างกันแค่ไหนก็ตาม (อย่างมากก็เสียงสะดุดเมื่อสัญญาณบลูทูธเริ่มอ่อนลง แต่ไม่พบอาการสัญญาณหลุดหาย) โดยรวมด้านคุณภาพเสียงถือว่าใช้ได้ ไม่ถึงกับโดดเด่นเป็นพิเศษ

สุดท้ายเรื่องแบตเตอรี ส่วนนี้ถือว่าทำได้น่าประทับใจเช่นกัน การใช้งานต่อเนื่อง 5 ชั่วโมงแล้วชาร์จครั้งหนึ่งถือว่าเพียงพอต่อการฟังเพลงช่วงเดินทางท่องเที่ยว อีกทั้งการชาร์จไฟทั้งส่วนหูฟังและกล่องเก็บหูฟังเองก็ไม่ได้นานเวอร์

ด้านปัญหาเรื่องแบตเตอรีรั่วที่มีคนพบเจอ สำหรับตัวที่ทีมงานทดสอบไม่พบเจออาการแต่อย่างใด

กับราคาค่าตัว 6,900 บาท เรียกได้ว่าสูงพอตัว แต่เมื่อเทียบกับคุณภาพและถ้าคุณเองเป็นคนใช้ Apple Family ที่ชอบใช้หูฟังฟังเพลงด้วยแล้ว AirPods ถือเป็นอีกหนึ่งหูฟังไร้สายที่ไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากความง่ายในการใช้งานแล้ว เรื่องความเสถียรถือว่าแอปเปิลทำได้ดีอย่างยิ่ง แม้เรื่องคุณภาพเสียงอาจจัดอยู่ในเกณฑ์ธรรมดาเมื่อเทียบกับหูฟังราคาระดับเดียวกัน แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า AirPods ถูกออกแบบมาเพื่อ Apple Family โดยเฉพาะ ซึ่งต่างจากหูฟังบลูทูธอื่นๆที่จะใข้งานฟีเจอร์ของแอปเปิลได้ไม่ครบเท่า AirPods

แต่ทั้งนี้สำหรับคนที่เน้นเรื่องคุณภาพเสียงมากกว่าฟังก์ชันใช้งาน AirPods อาจไม่ใช่คำตอบ เพราะราคา 6,900 บาทก็มีหูฟังที่ให้เสียงคุณภาพดีกว่า AirPods อยู่มากในท้องตลาด ต้องลองเลือกดูด้วยตัวเราเองครับ

ข้อดี

– รูปแบบการใช้งานและเชื่อมต่อทำได้ฉลาด
– ไม่หลุดออกจากหูได้ง่ายๆแม้จะวิ่งเดิน
– ถึงไม่ป้องกันน้ำและฝุ่น แต่สามารถกันเหงื่อจากการออกกำลังกายได้
– สวมใส่บาย เบาจนเหมือนไม่ได้ใส่หูฟัง
– แบตเตอรีทำได้น่าประทับใจ

ข้อสังเกต

– หูฟังคลายตัวจากรูหูเล็กน้อยเมื่อสวมใส่เป็นเวลานานหรือมีการเคลื่อนไหวรุนแรง
– คุณภาพเสียงธรรมดา โทนกลางๆ
– การสั่งงานฟังก์ชันต่างๆ เช่น เพิ่มลดเสียงต้องทำผ่าน Siri หรือปรับจากดีไวซ์เท่านั้น

Gallery

]]>
Review : AMD Radeon RX 470 อีกหนึ่งความคุ้มค่ากับราคาที่ทุกคนเอื้อมถึง https://cyberbiz.mgronline.com/review-amd-radeon-rx470/ Sat, 17 Dec 2016 07:24:31 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=24765

IMG_0371

ครั้งที่แล้วทีมงานไซเบอร์บิซพาทุกท่านไปรีวิวกราฟิกการ์ดพี่ใหญ่ AMD Radeon RX 480 พร้อมแรม 8GB ไปแล้ว มาวันนี้ถึงคิวน้องคนกลางกับ “Radeon RX 470” ที่เอเอ็มดียังคงประสิทธิภาพ เน้นความคุ้มค่าคุ้มราคาเงินไม่ถึงหมื่นบาทอีกเช่นเดิม

การออกแบบ

IMG_0378

IMG_0366

สำหรับตัวกราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 470 รุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบจะเป็น Reference Card ส่งตรงจากโรงงานของเอเอ็มดี เพราะฉะนั้นหน้าตาและขนาดจะเหมือนกับ RX 480 ทุกสัดส่วน (กินพื้นที่ติดตั้ง PCIE 2 ช่องตามมาตรฐาน)

IMG_0368

ในส่วนสเปกการ์ดยังคงใช้สถาปัตยกรรมรุ่นที่ 4 (GCN 4.0) “Polaris” เช่นเดียวกับการ์ดทุกรุ่นในตระกูล RX ด้านพอร์ตเชื่อมต่อการ์ดใช้ PCI Express 3.0 x16 และช่องไฟเลี้ยงใช้แบบ 6 พิน (บริโภคไฟสูงสุดไม่เกิน 120 วัตต์)

IMG_0373

มาดูพอร์ตเชื่อมต่อ เอเอ็มดีให้ Display Port (รองรับ HDR) มาจุใจถึง 3 พอร์ต รองรับ MST ฮับเพื่อเชื่อมต่อจอภาพได้สูงสุด 6 จอ (AMD Eyefinity Technology)

ส่วนพอร์ต HDMI ให้เป็นเวอร์ชัน 2.0 จำนวน 1 พอร์ต

สเปก

gpuz-rx470

AMD Radeon RX 470 มาพร้อมชิปประมวลผลกราฟิก (GPU) โค้ดเนม “Ellesmere” ขนาด 14 นาโนเมตร พร้อมแรม GDDR5 256-bit ขนาด 4GB ความเร็วสัญญาณนาฬิกาสูงสุด 1,206MHz รองรับ Compute Units 32 ยูนิต

ในส่วนฟีเจอร์ชุดคำสั่งกราฟิกที่รองรับ ได้แก่ DirectX 12, HDR Game, Vulkan, OpenCL 2.0, OpenGL 4.5 รวมถึงรองรับ Virtual Reality ในชื่อ “AMD LiquidVR”

ด้านซอฟต์แวร์ควบคุมใช้ “Crimson” รองรับฟีเจอร์ AMD FreeSync, Frame Rate Target Control, Virtual Super Resolution, WattMan และล่าสุดมาพร้อมฟีเจอร์ ReLive ที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถบันทึกหน้าจอเกมในรูปแบบวิดีโอหรือแคสเกมผ่านบริการ Twitch ได้ทันที

ส่วนอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจและเพิ่งเปิดให้ใช้งานผ่านซอฟต์แวร์ Crimson รุ่นล่าสุดก็คือ “Radeon Chill” ที่ออกแบบมาเพื่อกราฟิกการ์ดตะกูล RX โดยเฉพาะ โดยฟีเจอร์ดังกล่าวจะทำให้การจัดสรรพลังงานทำได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การ์ดบริโภคพลังงานน้อยลง ประหยัดไฟและความร้อนลดลง

ทดสอบประสิทธิภาพ

อย่างที่ทราบว่าตัวการ์ด RX 470 จะใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพต้องรันบนอินเตอร์เฟส PCI Express 3.0 แต่เพราะเมนบอร์ดของทีมงานรองรับแค่ PCI Express 2.0 เท่านั้น คะแนนที่ได้อาจคาดเคลื่อนไม่เป็นตามมาตรฐาน

amdsetrx470

ชุดคอมพิวเตอร์ที่ทีมงานใช้ร่วมกับการทดสอบกราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 470 – 4GB GDDR 5 เป็นเช็ทระดับกลางที่ทีมงานหวังว่าด้วยสเปกที่ไม่สูงมาก ผู้อ่านสามารถจับต้องได้ทุกคน น่าจะช่วยให้การทดสอบทำได้น่าตื่นเต้น มองแล้วไม่ไกลตัวเกินไป เหมาะกับสภาพเศรษฐกิจในยุคนี้

3dmark-rx470

เริ่มการทดสอบกับ 3DMark เรื่องคะแนนผมขอไม่ยกเป็นประเด็นสำคัญ เพราะผลคะแนนเป็นไปตามราคาการ์ดระดับกลาง แต่ผมจะขอเน้นการใช้งานจริงร่วมกับการเล่นเกมตามคลิปวิดีโอด้านล่าง (ทดสอบที่ความละเอียด 1080p ทุกเกม)

iw7_ship-2016-11-30-19-46-04-70

จากคลิปวิดีโอทดสอบเล่นเกม Call of Duty Infinite Warfare (DirectX 11) เกมนี้สามารถปรับค่ากราฟิกสูงสุดทั้งหมดได้ ยกเว้นส่วน Texture ต้องปรับประมาณ High และลบรอยหยักที่เปิดได้ไม่สูงสุด เฟรมเรตที่ได้จะอยู่ประมาณ 30-50 เฟรมต่อวินาที เล่นได้ลื่นไหลสบายๆ

GTA5-2016-12-03-16-38-29-38

GTA V (DirectX 11) สามรถปรับสุดและเล่นได้ลื่นไหลระดับ 40-60 เฟรมต่อวินาที แต่ต้องปิดลบรอยหยัก MSAA และปิดออปชันส่วน Advanced Graphics ทั้งหมด

catzilla-rx470

Catzilla 720p (DirectX 11) ทำคะแนนได้ 15,606 คะแนน น้อยกว่า RX 480 ประมาณ 2 พันคะแนน โดยการทดสอบทำได้ลื่นไหลไม่มีปัญหาใดๆให้พบเจอ

ffxiv-rx470

Final Fantasy XIV HEAVENSWARD (DirectX 11) ทำคะแนนทดสอบได้ 8,133 คะแนน ปรับค่ากราฟิกสูงสุดทั้งหมด ความลื่นไหลไม่พบอาการสะดุดระหว่างทดสอบ

Rise-of-the-Tomb-Raider-v1.0-build-668.1_64-3_12_2559-14_35_46

Rise of the Tomb Raider (DirectX 12) ปรับสุดทั้งหมด ยกเว้น Texture จะปรับได้แค่ High เนื่องจากการปรับสูงสุดต้องใช้แรมกราฟิกการ์ดประมาณ 6GB และลบรอยหยักภาพต้องปรับให้ต่ำสุดถึงจะเล่นได้ลื่นไหล (เฟรมเรตประมาณ 47-50 เฟรมต่อวินาที) แต่ถ้าเปิดลบรอยหยักสูงสุด เฟรมเรตจะตกลงเหลือประมาณ 27-38 เฟรมต่อวินาทีเท่านั้น (มีอาการภาพหน่วงๆให้เห็นเป็นระยะ)

อาจเพราะการปรับภาพสูงสุด เกมบริโภคแรมกราฟิกการ์ดจำนวนมากจึงทำให้เห็นความแตกต่างจากการรันบนการ์ด RX 480 ที่มีแรมมากถึง 8GB ชัดเจนอย่างมาก (RX 480 ปรับค่ากราฟิกสูงสุดได้ทั้งหมดโดยไม่พบอาการกระตุกหรือภาพหน่วงแต่อย่างใด)

สุดท้ายขยับมาทดสอบเกมที่อยู่คู่เอเอ็มดีมานานกับ Battlefield ทั้งภาค 4 (DirectX 11 และ Mantle) และภาค 1 (DirectX 12) เริ่มจากภาคเก่า Battlefield 4 ใช้ชุดคำสั่งกราฟิก AMD Mantle ปรับสูงสุดทั้งหมด ลื่นไหลไม่มีปัญหา ส่วนถ้าเปิดใช้ชุดคำสั่ง DirectX 11 เวลาเจอเอฟเฟ็กต์จำนวนมาก จะมีอาการภาพหน่วงให้เห็นเล็กน้อย

ส่วน Battlefield 1 โหมด DirectX 12 ที่หลายคนลงความเห็นว่าเข้ากันดีกับ RX 480 มากที่สุด ลองมาทดสอบกับ RX 470 พบว่า สามารถเล่นได้ลื่นไหลแบบปรับสุดได้เช่นกัน แต่เฟรมเรตจะมีอาการสวิงตั้งแต่ 30-50 เฟรมต่อวินาที ไม่นิ่งเหมือน RX 480 และอาจพบอาการภาพหน่วงเวลาเจอระเบิดจำนวนมาก

wattman-temp-rx470

ด้านการทดสอบอุณหภูมิระหว่างทำงานแบบ Full Load จะอยู่ที่ประมาณ 78 องศาเซลเซียส

สรุป

IMG_0385

สำหรับราคาขาย AMD Radeon RX 470 – 4GB จะอยู่ในช่วงตั้งแต่ 7 พันถึง 8 พันบาทปลายๆ โดยภาพรวมตัวการ์ดยังเน้นความคุ้มค่าคุ้มราคา แรมให้มา 4GB เพียงพอกับความต้องการของเกมในปัจจุบัน ส่วนประสิทธิภาพโดยรวมแล้วใกล้เคียงกับพี่ใหญ่ RX 480 เหมาะแก่เกมเมอร์ฮาร์ดคอร์ที่ใช้จอภาพความละเอียด 1080p ส่วนคนที่ใช้หน้าจอ 2-4K ทีมงานยังแนะนำให้เลือกใช้ RX 480 จะดีที่สุด

ข้อดี

– ราคาเทียบประสิทธิภาพจัดอยู่ในเกณฑ์คุ้มค่าคุ้มราคา
– AMD Radeon สถาปัตยกรรมใหม่ ประหยัดไฟมากขึ้น ความร้อนต่ำลงมาก

ข้อสังเกต

– ไม่มีพอร์ต DVI มาให้
– การอัปเดตไดร์วเวอร์ บางครั้งแสดงชื่อการ์ดผิดรุ่น (เป็น RX 480)

]]>
Review : D-Link DIR-895L อัลตร้าเราเตอร์ มาตรฐาน AC5300 https://cyberbiz.mgronline.com/review-dlink-dir-895l/ Sat, 10 Dec 2016 08:16:00 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=24616

001

เราเตอร์กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นมากขึ้น เมื่ออุปกรณ์ไอทีในบ้านเริ่มต้องการเครือข่ายที่ใช้งานได้จริง เพราะนอกจากจะต้องมีความเร็วและระยะการกระจายสัญญาณที่รับได้กับกิจกรรมที่เกิดขึ้นของคนทั้งบ้านแล้ว ยังต้องรองรับจำนวนของอุปกรณ์ที่ถูกใช้งานพร้อมกันในบ้านได้อย่างไม่มีสะดุด แน่นอนว่าคำตอบของเราเตอร์ที่รองรับได้เช่นนั้น ไม่เกิดขึ้นกับเราเตอร์ที่แถมมากับสัญญาณอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการอย่างแน่นอน เราลองมาดูเราเตอร์ขนาดใหญ่ที่สามารถลองรับการใช้งานได้ครอบคลุมความต้องการแบบทั่วพื้นที่กับ D-Link DIR-895L ซึ่งทำงานบนมาตรฐาน AC 5300 กัน

D-Link DIR-895L ถูกแบบมาให้ใช้งานภายในบ้านเป็นหลัก แม้ว่าตัวเครื่องจะมาพร้อมเทคโนโลยีชั้นสูงและขนาดที่ใหญ่ พร้อมการออกแบบที่สุดอลังการด้วยเสา 8 ต้น นั่นเพราะทางดีลิงค์มองว่า อุปกรณ์ภายในบ้านจะต้องการประสิทธิภาพการเชื่อมต่อที่ดีไต่างจากองค์กร เพราะท้ายที่สุดแล้วการเชื่อมต่อเน็ตเวิร์กเพื่อให้อุปกรณ์ที่มีทั้งหมดภายในบ้านทำงานได้อย่างเต็มความสามารถ ย่อมหมายถึงความสุขที่ไม่ติดขัดของผู้อยู่อาศัยด้วยเช่นกัน

การออกแบบ

002

D-Link DIR-895L มาพร้อมรูปลักษณ์สุดอลังการของสีแดงสด รูปร่างสามเหลี่ยมที่ทำให้นึกถึงยานบิน โดยขนาดของเครื่องถือว่าใหญ่พอตัว แถมยังมีเสาทั้ง 8 ตำแหน่งที่จำกัดให้การวางเครื่องที่เหมาะสมมีอยู่ด้านเดียวเท่านั้นนั่น ซึ่งทำให้การหาตำแหน่งวางเครื่องอาจจะดูลำบากสำหรับบ้านไปสักหน่อย ซึ่งโดยเทคนิคแล้วตำแหน่งการวางเครื่องมีผลต่อประสิทธิภาพของการจ่ายสัญญาณด้วยเช่นกัน

003

ด้านหน้า – จะเห็นเหลี่ยมของเครื่องสีแดงสดสโลปลงด้านข้างซ้ายและขวา มีแถบไปแสดงสถานะตรงกลาง บนพื้นสีบรอนซ์ที่เป็นเส้นแนวยาวตรงขึ้นด้านบน ขณะที่เยื้องไปทางด้านหลังจะเห็นช่องระบายความร้อนแบบรวงผื้งสีแดงแบบเดียวกัน พร้อมตราสัญลักษณ์ D-Link อยู่ตรงกลางโดดเด่น

004

ด้านหลัง – เป็นแถบช่องต่อสัญญาณต่าง โดยมีพอร์ตยูเอสบี2.0 และ 3.0 ให้อย่างละช่อง ถัดมาเป็นปุ่มรีเซ็ตที่จะต้องใช้เหล็กปลายแหลมจิ้มลงไปไป และปุ่ม WPS ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อง่ายขึ้นอยู่ด้านข้าง ถัดไปเป็บแถบช่องต่อแลนทั้งหมด 4 ช่องเรียงจากขวามาซ้าย และช่องอินเทอร์เน็ต สำหรับการต่อสัญญาณเข้าโดยจะเห็นความแตกต่างของช่องนี้ว่าเป็นสีเหลือง ถัดมาเป็นปุ่มพาวเวอร์เปิดปิด และช่องต่อไฟ DC และสุดท้ายเป็นสวิตซ์สำหรับสลับการใช้งานของเครื่องระหว่างเราเตอร์และเอ็กซ์เทนเดอร์นั่นเอง

005

ด้านล่าง – มีช่องระบายอากาศเป็นร่องตลอดทั้งผืน ทำด้วยวัสดุพลาสติกเป็นสีดำด้าน โดยมีช่องสำหรับแขวนผนังอยู่สองตำแหน่ง พร้อมสติ๊กเกอร์บอกรายละเอียดรุ่นและสเปกเครื่องโดยประมาณ

006

ด้านซ้ายและขวา – จะมีช่องต่อเสาสัญญาณแบบถอดได้ขนาดใหญ่อยู่ด้านละ 4 เสา ซึ่งเสาที่สี่จะอ้อมไปทางด้านหลังอย่างละข้าง โดยลักษณะของเสาเป็นแบบพับงอได้บริเวณขั้วเสา ตัวเสามีลักษณะแบนเล็กน้อยเป็นสีเทาและปลายเสามีสีดำ ทุกเสามีตราสัญลักษณ์ D-Link สีดำอยู่ 1 ด้าน

สเปก

007

ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต Broadcom BCM47094 1.4 GHz พร้อมเสาอากาศ 8 เสา สามารถปล่อยสัญญาณได้พร้อมกันถึง 3 ความถี่ โดยแบ่งเป็น 2 ย่านความถี่ 5 GHz ด้วยความเร็วของการส่งตามทฤษฎีอยู่ที่ย่านละ 2,165 Mbps และย่านความถี่ 2.4 GHz ได้อีก 1 ย่านด้วยความเร็ว 1,000 Mbps ทำให้ได้ความเร็วทั้ง 3 ย่านรวม 5,300 Mbps สามารถกระจายสัญญาณตามทฤษฏีได้ครอบคลุม 500 ตารางเมตร มาพร้อมเทคโนโลยี MU-MIMO (Multiple Users-Multiple Input/Multiple Output) ช่วยให้การรับส่งข้อมูลของอุปกรณ์หลายๆอย่างทำงานได้พร้อมกันอย่างไม่มีสะดุด รองรับ VPN Server แบบ L2TP over IPSec มีขนาดกว้าง 387 มม. ยาว 247.3 มม.และสูง 119.5 มม. น้ำหนักโดยรวม 1 กก.

ฟีเจอร์เด่น

008

Smart Connect ช่วยให้การเชื่อมต่อง่ายขึ้น โดยระบบจะเลือกย่านความถี่ที่เหมาะสมให้แบบอัตโนมัติ ช่วยให้การทำงานของทุกอุปกรณ์รับส่งข้อมูลได้อย่างลื่นไหล ทั้งนี้ตัวเครื่อง D-Link DIR-895L นั้นรองรับการปล่อยสัญญาณ 3 ย่านความถี่พร้อมกัน ดังรายละเอียดที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้า ดังนั้นเทคโนโลยีในการเลือกย่านความถี่ที่เหมาะสมอย่าง Smart Connect จึงเข้ามาช่วยจัดสรรการทำงานของแต่ละอุปกรณ์นั่นเอง

009

ระบบ D-Link Cloud ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อเราเตอร์ในบ้านเพื่อจัดการได้ทุกที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามผ่านอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อระบบ โดยสามารถปรับตั้งค่าการเชื่อมต่อ ตรวจสอบการเชื่อมต่อของเราเตอร์ หรือปิดกั้นการใช้งานจากบุคคลไม่พึงประสงค์ และแม้กระทั่งการควบคุมเนื้อหาการใช้งานของอุปกรณ์ผ่านเราเตอร์ได้อย่างไม่สะดวก

010

Mydlink Shareport ช่วยให้การเชื่อมอุปกรณ์จัดเก็บข้อมผ่านช่อง USB 3.0 และ USB 2.0 ทำให้การแชร์ภาพยนตร์ เอกสาร รูปภาพและเพลง ไปยังทุกอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่ภายในเราเตอร์นี้ได้อย่างรวดเร็ว

011

QRS (Quick Router Setup) ช่วยให้การติดตั้งผ่านสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที เพราะเพียงแค่เสียบเราเตอร์ แล้วเปิดแอปพลิเคชั่นและทำตามเพียงไม่กี่ขั้นตอนก็สามารถเชื่อมต่อเน็ตเวิร์คเข้ากับเราเตอร์ D-Link DIR-895L โดยที่ไม่ต้องแตะต้องคอมพิวเตอร์เลย แถมยังสามารถตั้งค่าความปลอดภัยผ่านปุ่ม Wifi- Protected ภายในแอปได้อีกด้วย

012

MU-MIMO (Multiple Users-Multiple Input/Multiple Output) รองรับการทำงานได้ถึง 4 อุปกรณ์พร้อมกันได้อย่างดีเยี่ยม โดยระบบจะทำการปล่อยสัญญาณแยกระหว่างอุปกรณ์แต่ละตัว ทำให้ความเร็วของการใช้งานไม่ลดค่าความเร็วเฉลี่ยลง

013

Guest zone ช่วยเพิ่มลูกเล่นของการจัดการเครือข่ายให้แขกผู้มาเยือนได้แยกใช้ได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น โดยสามารถเลือกช่องทางการตอบรับในกรณีที่ใช้งานในร้านอาหาร ให้กดถูกใจแฟนเพจก่อนเข้าใช้งานก็ได้ โดยสามาถกำหนดรูปแบบและจำกัดความเร็วของการเข้าใช้งานได้ตามที่ต้องการ

ทดสอบประสิทธิภาพ

014

การทดลองติดตั้งทำได้ง่ายดาย โดยหลังจากต่อสายเรียบร้อย สามารถติดตั้งได้ผ่าน Wizard ภายใน 3 ขั้นตอนเท่านั้น นับว่าสะดวกกับมือใหม่เป็นอย่างมาก แต่ก็ต้องบอกก่อนว่านี่เป็นการตั้งค่าพื้นฐาน หากต้องการเลือกแบ่งโซนการทำงาน หรือการตั้งค่าขั้นสูง อาจจะต้องยุ่งยากในการติดตั้งเพิ่มขึ้น แต่โดยรวมมีทางลัดเพื่อการตั้งค่าใช้งานปกติครับ

015

การทดสอบสัญญาณเป็นที่น่าพอใจ โดยในระยะทำการไม่เกิน 3 เมตรสามารถทำความเร็วในการดาวน์โหลดได้สูงสุด 92.15 Mbps และอัปโหลดเร็วสูงสุด 42.74 Mbps สามารถเปิดไฟล์วิดีโอ 4K ได้ลื่นไหลไม่สะดุด ขณะที่การเชื่อมต่อจากชั้นล่างนอกอาคาร โดยเราเตอร์ตั้งอยู่ในห้องชั้น 2 สามารถรับส่งสัญญาณได้ เปิดวิดีโอยูทูปได้ปกติ แต่สังเกตความเร็วน้อยลงตามระยะทาง ซึ่งน่าจะเกิดจากความสามารถที่จำกัดของตัวอุปกรณ์แท็บเล็ตที่ใช้ นอกจากนี้ประสิทธิภาพของการเชื่อมต่อยังถือว่าต่อเนื่อง

016

ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม Wifi-Test ได้ผลทดสอบอยู่ในระดับ Great มีความเร็วประมาณการอยู่ที่ 544 Mbps ของการส่งสัญญาณไวไฟ

สรุป

D-Link DIR-895L นับว่าเป็นเราเตอร์ประสิทธิภาพสูง ซึ่งแม้ว่าอาจจะดูดีเกินกว่าจะใช้ในบ้านสักหน่อย แถมราคาที่เปิดตัวก็อยู่ที่ราว 9,500 บาท แต่กระนั้น เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่จะได้รับแล้วนับว่าคุ้มค่าคุ้มค่าราคาจริงๆ หากไม่กังวลเรื่องงบประมาณแล้วจะรู้ว่า ไวไฟที่ดีใช้แล้วไม่สะดุดเป็นอย่างไร แถมมีประสิทธิภาพของสัญญาณที่ดีครอบคลุมทั้งบ้าน หากติดตั้งในตำแหน่งที่ดีและเหมาะสม งานนี้จึงนับว่าโดยรวมของการใช้งานอยู่ในเกณฑ์ดีมากครับ

ข้อดี

  • ประสิทธิภาพของการทำงานลื่นไหล
  • แบ่งสัญญาณ 3 ย่านความถี่พร้อมกันได้ บนมาตรฐาน AC5300
  • รองรับการสร้างกดถูกใจแฟนเพจ สำหรับร้านค้า
  • รัศมีสัญญาณครอบคลุมที่มากขึ้น

ข้อสังเกต

ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ โดดเด่นจนเกินไปทำให้อาจจะหาที่วางลำบาก ไม่หลบสายตา

Gallery

]]>
Review : Apple Watch Series 2 กันน้ำลึก 50 เมตร ใส่ว่ายน้ำได้ พร้อม GPS ในตัว https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-watch-series2/ Thu, 10 Nov 2016 03:55:04 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=24481

headwatch2

Apple Watch Series 2 เป็นอีกหนึ่งกลุ่มสินค้าจากแอปเปิลที่ได้รับการเปิดตัวและวางขายพร้อมกับ iPhone 7/7 Plus โดยแอปเปิลวอทช์รุ่นที่ 2 ดูภายนอกอาจไม่รู้สึกแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้า แต่ภายในแอปเปิลได้ปรับเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ไปพอสมควร โดยเฉพาะการป้องกันน้ำและฝุ่นเปลี่ยนไปใช้มาตรฐาน WR แทน IPX แล้ว

แต่ก่อนจะเข้าสู่บทความรีวิว ทีมงานไซเบอร์บิซขอพาผู้อ่านทุกท่านมาทำความรู้จักรุ่นย่อยของ Apple Watch Series 2 กันก่อน

โดยปกติ Apple Watch จะวางขาย 2 ขนาดหน้าจอคือ 38 มิลลิมเมตรและ 42 มิลลิเมตร เพื่อให้เหมาะสมกับข้อมือของผู้ใช้ที่มีหลากหลาย ส่วนตัวเรือนผู้ใช้สามารถเลือกได้ 3 รูปแบบก็คือ อะลูมิเนียม (ราคาประหยัดสุด) ถัดมาเป็นสแตนเลสสตีล และแพงสุด (Watch Edition) ตัวเรือนทำจากเซรามิก ทั้งหมดมาพร้อมสายนาฬิกาที่สามารถเลือกได้หรือจะซื้อสายเพิ่มก็สามารถทำได้ในราคาเริ่มต้น 1,900 บาท ไปจนถึงแพงสุด สายสแตนเลสสตีล 16,900 บาท

นอกจากนั้นใน Watch Series 2 ยังมีรุ่นพิเศษเพิ่มอีก 2 รุ่น ได้แก่ Apple Watch Nike+ แอปเปิลจับมือไนกี้ โดยเน้นการออกแบบสายให้มีน้ำหนักเบากว่าปกติพร้อมช่องระบายอากาศและหน้าปัดนาฬิกาสไตล์สปอร์ต เหมาะแก่นักวิ่ง

รุ่นพิเศษต่อมา Apple Watch Hermes ที่นอกจากตัวเครื่องจะเป็นสแตนเลสสตีลและหน้าปัดนาฬิกาแบบหรูหราแล้ว สายนาฬิกายังถูกออกแบบเป็นหนังในชื่อ Manchette Double Boucle ออกแบบโดย Hermes

สำหรับ Watch Series 2 ที่เราจะนำมาทดสอบในบทความรีวิวนี้มี 3 รุ่นได้แก่

DSC_2905

1.Watch Series 2 อะลูมิเนียม 42 มิลลิเมตร สีเทาสเปซเกรย์พร้อมสาย Woven Nylon สีดำ ราคา 14,900 บาท (ตัวเครื่องอะลูมิเนียม กล่องบรรจุภัณฑ์จะเป็นสีเหลี่ยมแนวยาว)

DSC_2934

2.Watch Series 2 สแตนเลสสตีล 38 มิลลิเมตร พร้อมสาย Modern Buckle สีมิดไนท์บลู ราคา 28,500 บาท (ส่วนตัวเครื่องอะลูมิเนียมจะเป็นกล่องสีเหลี่ยมจัตุรัส ข้างในหรูหราตามราคาที่สูงกว่า)

IMG_0010

IMG_0017

3.Watch Nike+ อะลูมิเนียม 38 มิลลิเมตร สีเทาสเปซเกรย์พร้อมสาย Nike Sport Band สีดำ/Volt ราคา 13,900 บาท (กล่องบรรจุภัณฑ์จะเหมือนกับรุ่นอะลูมิเนียมพร้อมสายนาฬิกาไซต์ M/L)

การออกแบบ

ในหัวข้อการออกแบบ ทีมงานจะขออธิบายภาพรวมของนาฬิกาทั้ง 3 รุ่นพร้อมกัน เนื่องจากส่วนประกอบหลักไม่ได้แตกต่างกัน

IMG_0074

DSC_2955

เริ่มจากหน้าจอ โครงสร้างภาพนอกดูแล้วไม่แตกต่างจากรุ่นเก่า โดยกระจกจอสำหรับตัวเรือนอะลูมิเนียมผลิตจาก Ion-X Glass ส่วนตัวเรือนสแตลเลสสตีลและเซรามิกผลิตจาก Sapphire crystal ทั้งสองรุ่นเคลือบป้องกันรอยนิ้วมือ

ด้านจอภาพถูกปรับปรุงใหม่ไปใช้หน้าจอ OLED Retina Display with Force Touch รุ่น 2 ความละเอียด 340×272 พิกเซล (38 มิลลิเมตร) 390×312 พิกเซล (42 มิลลิเมตร) ทำให้มีความสว่างมากถึง 1,000 นิตจากเดิมในรุ่นเก่าเพียง 450 นิตเท่านั้น

ส่วนน้ำหนักของตัวนาฬิกา

ในรุ่นอะลูมิเนียมหน้าปัด 38 มิลลิเมตร อยู่ที่ 28.2 กรัม
หน้าปัด 42 มิลลิเมตร น้ำหนักอยู่ที่ 34.2 กรัม

สแตนเลสสตีลหน้าปัด 38 มิลลิเมตร อยู่ที่ 41.9 กรัม
หน้าปัด 42 มิลลิเมตร น้ำหนักอยู่ที่ 52.4 กรัม

เซรามิกหน้าปัด 38 มิลลิเมตร อยู่ที่ 39.6 กรัม
หน้าปัด 42 มิลลิเมตร น้ำหนักอยู่ที่ 45.6 กรัม

DSC_2935

IMG_0062

chargewatch2

ด้านหลัง เริ่มจากตรงกลางเป็นส่วนเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจและส่วนสัมผัสกับอะแดปเตอร์ชาร์จไฟแบบแม่เหล็กสไตล์ Mag-safe ซึ่งติดตั้งอยู่บนพื้นผิวเซรามิก

ด้านบนและล่างเป็นปุ่มปลดล็อกสายนาฬิกา (กดปุ่มนี้ค้างไว้และดันสายออกด้านข้าง)

DSC_2918

DSC_2941

ด้านข้าง เริ่มจากด้านขวาจะเป็นที่อยู่ของเม็ดมะยม (Digital Crown) และ Side Button (กดเพื่อเรียก Dock)

DSC_2920

ด้านซ้าย เป็นส่วนของช่องลำโพงและไมโครโฟน

IMG_0061

มาดูเรื่องของสายนาฬิกาที่มีหลากหลายให้ผู้ใช้สามารถเลือกซื้อ ปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งานตั้งแต่ สายยางฟลูโอโรอีลาสโตเมอร์ เหมาะแก่ใช้งานร่วมกับการออกกำลังกาย เพราะทนน้ำทนฝุ่นได้ดีแถมน้ำหนักเบา สายหนังและสแตนเลส เน้นความหรูหราแต่การเก็บรักษาจะยากกว่าสายชนิดอื่น หรือสาย Buckle เน้นแฟชั่นสำหรับสุภาพสตรี เป็นต้น เพราะฉะนั้นการเลือกซื้อ Apple Watch นอกจากจะดูที่ขนาดหน้าปัดแล้ว สายนาฬิกาก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผู้ซื้อต้องให้ความสำคัญเช่นกัน

IMG_0064

ในส่วนสายนาฬิการุ่นพิเศษ Apple Watch Series 2 Nike+ จะเป็นสายยางฟลูโอโรอีลาสโตเมอร์ที่ไนกี้ออกแบบให้มีน้ำหนักเบาและมีความยืดหยุ่นกว่าสายยางปกติ แถมด้วยรูระบายความร้อนและเหงื่อ เหมาะแก่นักวิ่งโดยเฉพาะ

สเปกและฟีเจอร์เด่น

Apple Watch Series 2 ขับเคลื่อนด้วยซีพียูรุ่นที่สองในชื่อ “S2” แบบ Dual Core ทำให้มีความเร็วมากกว่าซีพียูของ Watch รุ่นเก่าถึง 50% พร้อมชิปกราฟิกตัวใหม่ที่ทำให้นาฬิกาสามารถรันแอปฯที่มีกราฟิก 3 มิติที่ความเร็ว 60 เฟรมต่อวินาทีได้

นอกจากนั้นทางแอปเปิลยังได้เพิ่มฮาร์ดแวร์ในส่วนของ GPS/GLONASS เพื่อทำให้ Watch Series 2 สามารถบันทึกพิกัดการวิ่งออกกำลังกายร่วมกับเซ็นเซอร์ Gyroscope และ Accelerometer ที่มีอยู่เดิม

ในส่วนสเปกอื่นๆ Watch Series 2 รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 802.11 b/g/n 2.4GHz บลูทูธ 4.0 และมี NFC รองรับ Apple Pay ด้วย

water2222

มาถึงฟีเจอร์เด่น เริ่มจากเรื่องแรก “การกันน้ำมาตรฐานใหม่” จากเดิม Apple Watch สามารถกันน้ำและฝุ่นตามมาตรฐาน IPX7 แต่ใน Watch Series 2 แอปเปิลเน้นการกันน้ำมากขึ้น พร้อมเปลี่ยนไปใช้มาตรฐาน “WR50 (Water Resistant to 50 meters)” หรือการกันน้ำได้ลึกสุด 50 เมตร เนื่องจาก Watch Series 2 ถูกออกแบบมาเน้นการใช้ตรวจจับการว่ายน้ำทั้งสำหรับคนทั่วไปและนักกีฬาอาชีพ

swimmode-watch2

ทำให้ในส่วนซอฟต์แวร์ Workout ใน WatchOS 3 จะเพิ่มโหมดว่ายน้ำเข้ามา โดยโหมดดังกล่าวจะทำงานร่วมกับ GPS และเซ็นเซอร์ในตัวเครื่องทั้งหมด เพื่อช่วยวิเคราะห์ว่าคุณกำลังว่ายน้ำท่าใดอยู่และว่ายไปกี่รอบสระแล้ว ทุกอย่างจะถูก Watch Series 2 ตรวจวัดและจัดเก็บพร้อมแสดงผลลัพท์ทั้งหมดผ่านทางแอปฯ Activity บน iPhone

*ระหว่างตรวจจับการว่ายน้ำอยู่ หน้าจอจะล็อกเพื่อป้องกันระบบทัชสกรีนทำงานโดยไม่ตั้งใจ ผู้ใช้สามารถปลดล็อกได้ด้วยการหมุนเม็ดมะยมจนกว่าลำโพงจะมีเสียงดังขึ้น*

water-watch2

นอกจากการใช้ว่ายน้ำปกติแล้ว Watch Series 2 ยังรองรับกิจกรรมทางน้ำอื่นๆอีก เช่น ใส่ลงเล่นน้ำทะเล ว่ายน้ำในคลอง ดำน้ำสน็อกเกิล แช่อ่างน้ำชิวๆ เป็นต้น โดยถ้าผู้ใช้ต้องการล็อกหน้าจอด้วยตัวเองก็สามารถทำได้ด้วยกดปุ่มหยดน้ำในหน้าตั้งค่าด่วน (ที่หน้านาฬิกาน้ำนิ้วสัมผัสจอด้านล่างแล้วเลื่อนขึ้นบน) ส่วนวิธีปลดล็อกตัวเครื่องคือ ยกนาฬิกาขึ้นแล้วหมุนเม็ดมะยมจนลำโพงส่งเสียงดัง (เสียงที่ได้ยินคือเทคนิคการไล่น้ำออกจากช่องลำโพงของแอปเปิลโดยใช้คลื่นความถี่ดันน้ำ)

WatchOS 3

watchapp-iphone

home-watch2

ถือเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ของระบบปฏิบัติการ WatchOS หลังจากแอปเปิลแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆจนระบบเริ่มเสถียรและใช้งานได้ลื่นไหลแล้ว ใน WatchOS เวอร์ชันใหม่ล่าสุด แอปเปิลได้ขยายขีดความสามารถของซอฟต์แวร์หลายส่วน โดยเฉพาะการเปิดให้ผู้พัฒนาแอปพลิเคชันรายอื่นสามารถนำฟีเจอร์ของนาฬิกาไปใช้งานได้เพิ่มขึ้น ยกตัวอย่าง แอปฯ HeartWatch ที่ใช้ตรวจวัดอัตราการเต้นหัวใจตลอดทั้งวันของผู้ใช้พร้อมสรุปผลผ่านแอปฯบน iPhone เป็นต้น

ส่วนระบบแจ้งเตือนจากแอปฯบน iPhone เช่น ไลน์ เฟสบุ๊ก โทรศัพท์ รับสายโทรศัพท์ สั่งถ่ายภาพ ยังคงมีให้ใช้งานบน Watch Series 2 ด้วยประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นกว่าเก่า

หรือถ้าต้องการทราบรายละเอียดการทำงานของ Apple Watch สามารถอ่านรีวิวเก่าประกอบได้ที่ http://www.cyberbiz.in.th/apple-watch/

nikeplus-watch2

nikeplus-app

Nike+ Run Club เป็นอีกหนึ่งแอปพลิเคชันตรวจจับการวิ่งออกกำลังกายที่รองรับกับ Watch Series 2 ได้สมบูรณ์แบบที่สุด เนื่องจากการเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกันผลิต Watch Nike+ ร่วมกับแอปเปิล

นอกจากนั้นในส่วนหน้านาฬิกาบอกเวลาก็เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งได้หลากหลายมากขึ้น และการจัดการตั้งค่านาฬิกาทั้งหมดสามารถทำจาก iPhone ได้แล้ว

bre-watch2

Breathe หรือแอปฯกำหนดลมหายใจเข้าออก (อานาปานสติ) ถือเป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Apple Watch เพราะบางครั้งเวลาเรานั่งทำงานนานเกินไป ร่างกายอาจเกิดความเครียดได้ ตามปกติแอปเปิลจะมีข้อความแจ้งเตือนให้ลุกเดินอยู่ก่อนแล้ว แต่ใน OS ใหม่จะมีการเพิ่ม Breathe เข้ามาจัดการความเครียดเสริมด้วย

โดยหลักการทำงานของแอปฯนี้ ค่ามาตรฐานเริ่มต้นจะตั้งไว้ทุก 5 ชั่วโมง (ต้องใส่นาฬิกาอยู่ที่ข้อมือด้วย ระบบถึงจะแจ้งเตือน) ระบบจะให้ผู้ใช้นั่งนิ่งๆจนผ่อนคลาย จากนั้นนาฬิกาจะเริ่มสั่น ให้หายใจเข้าตามการสั่นของนาฬิกาแล้วหลังจากนั้นสักพักค่อยๆปล่อยลมหายใจออก ทำไปเรื่อยๆจนจบขั้นตอน ระบบจะสรุปอัตราการเต้นของหัวใจให้ผู้ใช้ได้ทราบ รวมถึงเก็บข้อมูลไว้ใน Apple Health ด้วย

watchapp2

ด้าน Activity นอกจากใช้ดูจำนวนก้าวเดิน ระยะทางหรือเวลายืนด้วยวงกลมสามสีที่เราคุ้นเคยได้แล้ว เมื่อใช้ร่วมกับ Apple Watch Series 2 ที่มี GPS ในตัว ทำให้การออกกำลังกายผ่านแอปฯ Workout ทั้งหมดจะถูกเพิ่มพิกัดเส้นทางที่เราออกกำลังกายลงไปพร้อม Elevation Gain (การขึ้นที่สูง ความชัน) ไปถึงชื่อสถานที่และสภาพอากาศที่นาฬิการตรวจจับได้ระหว่าง Workout ทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้ในแอปฯนี้ทั้งหมด

รวมถึงถ้าใครมีเพื่อนที่ใช้ Apple Watch เหมือนกันก็สามารถแชร์สถิติของเรากับเพื่อนเพื่อแข่งขันกันได้

messages

ในส่วนการปรับปรุงที่น่าสนใจอื่นๆ เริ่มจาก Messages จะเหมือนกับ iOS 10 คือรองรับการส่งสติกเกอร์ รวมถึงรองรับฟีเจอร์พูดเพื่อให้ระบบพิมพ์ข้อความให้ (รองรับภาษาไทย) หรือใช้ Scribble เขียนเป็นตัวอักษรบนหน้าจอแล้วระบบจะแปลงเป็นข้อความให้ (ปัจจุบันยังไม่รองรับภาษาไทย)

othersos

ส่วนต่อมาเป็นฟีเจอร์ Home รองรับกับบ้านอัจฉริยะ, SOS ฟีเจอร์ขอความช่วยเหลือ เพียงกดปุ่มด้านข้าง (Side Button) ค้างไว้ระบบจะโทรหาบริการฉุกเฉินในพื้นที่ของเราอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องค่าใดๆ และสุดท้ายสำหรับคนใช้ Mac และมีการตั้งรหัสผ่านไว้ เมื่อสวมนาฬิกาที่ข้อมือคุณสามารถเข้าใช้งาน Mac ได้ทันทีโดยไม่ต้องใส่รหัสผ่าน

ทดสอบใช้งานและสรุป

ทีมงานได้มีโอกาสใช้งานทั้ง Apple Watch ตัวแรกและ Watch Series 2 พร้อมกัน ต้องบอกว่าในเรื่องภาพลักษณ์ภายนอก การสวมใส่ข้อมือใช้งานในชีวิตประจำวันไม่มีความแตกต่างจากเดิมเลย ยกเว้นภายในที่ทำงานได้รวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะการเปิดแอปฯต่างๆที่รวดเร็วกว่าเดิมจนเห็นได้ชัดเจน

maps-gps-details

ถ้าดูจากเส้นพิกัดที่นาฬิกาบันทึกไว้และนำมาแสดงผลผ่านแอปฯ Activity บน iPhone ต้องบอกตามตรงว่าทำได้ละเอียดพร้อมสีบอกความหนักเบาของการออกกำลังกายด้วย

ส่วนเรื่อง GPS จากการทดสอบตรวจจับการเดินตลอด 2-3 ชั่วโมงต่อวัน พบว่า GPS ใน Watch ทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำดีมาก อาการ GPS หลุดไม่ค่อยพบเจอตลอดการทดสอบ อีกทั้งถ้าเรานำ iPhone วางไว้ที่บ้านและพกแต่ Watch Series 2 ใส่ข้อมือไปออกกำลังกาย GPS ก็ยังทำงานพร้อมเก็บพิกัดและเก็บข้อมูลไว้ในตัวเองได้ปกติ ต่างจาก Watch ตัวแรกที่ต้องทำงานคู่กับ iPhone เสมอ

มาถึงเรื่องกันน้ำกันฝุ่น WR50 ความจริงจากรุ่นก่อนที่ได้มาตรฐาน IPX7 ทีมงานก็เคยทดสอบลงสระน้ำ ใส่อาบน้ำมาจนเกือบ 6-7 เดือนก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น มาในรุ่นนี้แอปเปิลเพิ่มดีกรีการกันน้ำไปถึงระดับ WR50 แน่นอนว่าคนที่ได้รับผลประโยชน์แห่งการปรับเปลี่ยนนี้เต็มๆคงอยู่ที่นักกีฬาว่ายน้ำมากกว่าคนทั่วไป

สุดท้ายในเรื่องแบตเตอรี ถึงแม้ Watch Series 2 จะใส่ GPS และปรับซีพียูให้แรงขึ้น แต่เรื่องการบริโภคพลังงานและแบตเตอรีแทบไม่แตกต่างจากเดิม ตัว Watch Series 2 สามารถใช้งานได้ประมาณ 18 ชั่วโมงเช่นเดิม

สรุปภาพรวม Apple Watch Series 2 เป็นการปรับปรุงอุดช่องโหว่ โดยเฉพาะเรื่องความรวดเร็วเพิ่มจากรุ่นแรกได้ค่อนข้างดี ฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาอย่าง GPS, กันน้ำกันฝุ่นระดับ WR50 ถ้าไม่ใช่นักกีฬาหรือคนชอบทำกิจกรรมนอกบ้านจริงๆก็คงไม่ค่อยได้ใช้ฟังก์ชันเหล่านี้เท่าใด

แต่ไม่ต้องห่วง สำหรับคนที่มอง Apple Watch อยู่และคิดว่าตัว Series 2 ให้ฟีเจอร์ที่เกินความจำเป็น เพราะในครั้งนี้แอปเปิลได้นำ Watch รุ่นแรกมาปรับปรุงเปลี่ยนซีพียูไปใช้แบบดูอัลคอร์ (S1P) และนำมาขายใหม่ในชื่อ Apple Watch Series 1 ในราคาเพียง 10,500 บาท มีให้เลือกเฉพาะตัวเรือนอะลูมิเนียม 38 มิลลิเมตร และราคา 11,500 บาท เป็นตัวเรือนอะลูมิเนียม 42 มิลลิเมตรเท่านั้น

ส่วนประสิทธิภาพจะเทียบเท่ากับ Series 2 ทุกประการ ยกเว้นไม่มี GPS ไม่มีโหมดว่ายน้ำเนื่องจากป้องกันน้ำได้แค่ระดับ IPX7 เหมือนรุ่นแรก

ด้านราคา Apple Watch Series 2 สำหรับตัวเรือนอะลูมิเนียม 38 มิลลิเมตร ราคาเริ่มต้น 13,900 บาท ตัวเรือนอะลูมิเนียม 42 มิลลิเมตร ราคาเริ่มต้น 14,900 บาท

ส่วนตัวเรือนสแตนเลสสตีล 38 มิลลิเมตร ราคาเริ่มต้น 20,500 บาท 42 มิลลิเมตร ราคาเริ่มต้น 22,500 บาท และตัวเรือนเซรามิก สีขาว ราคาเริ่มต้น 47,500 บาท

สุดท้าย Watch Bands (สายนาฬิกา) ราคาเริ่มต้น 1,900 บาท สามารถใช้ร่วมกับ Apple Watch Series 1 และ 2

ข้อดี

– WatchOS 3 ปรับปรุงมาได้ดีขึ้น การใช้งานลื่นไหล ใช้งานได้หลากหลายกว่าเดิม ซีพียูเร็วขึ้น ตอบสนองดีขึ้น
– GPS ทำงานได้ดี แม่นยำและละเอียด
– กันน้ำระดับ WR50 รองรับน้ำทะเลได้
– ประหยัดแบตเตอรี iPhone เพราะการตรวจจับพิกัดผ่าน GPS ขณะออกกำลังกายสามารถทำได้จาก Watch Series 2 โดยที่ผู้ใช้สามารถทิ้ง iPhone ไว้ที่บ้านได้

ข้อสังเกต

– แบตเตอรีต้องชาร์จวันต่อวัน

Apple Watch ทั้ง Series 1 และ 2 รองรับ iPhone 5 ขึ้นไป

Gallery

]]>
Review : gosh! LYNKDISK แฟลชไดร์ฟ MicroSD อเนกประสงค์ ทั้งเก็บข้อมูลและแทนสายชาร์จไฟได้ https://cyberbiz.mgronline.com/review-gosh-lynkdisk/ Fri, 16 Sep 2016 09:09:01 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=23828

lynkdhead

แฟลชไดร์ฟเพิ่มความจุประเภท OTG (On-the-Go) สำหรับเชื่อมต่อกับพอร์ต USB หรือ Lightning Port บนสมาร์ทดีไวซ์ ถือเป็นอุปกรณ์ต่อพ่วงที่ได้รับความนิยมสูงมาก โดยเฉพาะบรรดาคนชอบถ่ายภาพ ถ่ายคลิปวิดีโอ โดยในวันนี้ทีมงานไซเบอร์บิซมีอุปกรณ์ OTG เพิ่มความจุให้สมาร์ทดีไวซ์รูปแบบใหม่มารีวิวกับ “gosh! LYNKDISK” แฟลชไดร์ฟ OTG ที่ให้ผู้ใช้เพิ่มพื้นที่ที่ต้องการใช้งานได้ตามต้องการด้วย MicroSD Card (สูงสุด 512GB) รองรับครอบคลุมทั้ง พีซี แมค iOS และ Android

การออกแบบและสเปก

รูปทรง gosh! LYNKDISK จะเหมือนแฟลชไดร์ฟ USB โดยด้านหัวเชื่อมต่อหลักจะมี 2 รูปแบบได้แก่ USB Type A รองรับมาตรฐาน Super Speed USB 3.0 สำหรับใช้เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์หรือแมค ส่วนอีกด้านจะเป็นพอร์ต Lightning สำหรับเชื่อมต่อกับ iOS Device (iPhone iPad iPod เฉพาะรุ่นใหม่ที่เป็นพอร์ตเชื่อมต่อแบบ Lightning)

โดยภายในตัว LYNKDISK จะไม่มี Flash Memory ติดตั้งเหมือนแฟลชไดร์ฟทั่วไป ผู้ใช้จะต้องใส่ MicroSD Card ก่อน (เลือกความจุได้ตามต้องการ) ตัว LYNKDISK ถึงจะทำงาน

ด้านข้าง จะเป็นช่องใส่ MicroSD Card รองรับความจุสูงสุด 512GB

ในส่วนของความเร็วอ่านเขียน ถ้าเชื่อมต่อกับสมาร์ทดีไวซ์ ความเร็วในการอ่านจะทำได้สูงสุดที่ 30MB/s ส่วนความเร็วในการเขียนจะทำได้สูงสุดที่ 25MB/s และเมื่อเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่านพอร์ต USB 3.0 ความเร็วในการอ่านจะอยู่ที่ 100MB/s ความเร็วในการเขียนจะอยู่ที่ 90MB/s

เพราะฉะนั้นสเปก MicroSD Card ที่ควรใช้ ต้องเป็นมาตรฐาน Class 10 เป็นอย่างต่ำ เพื่อประสิทธิภาพการอ่านเขียนที่รวดเร็ว

อีกด้านจะเป็นที่อยู่ของพอร์ต MicroUSB สำหรับใช้เชื่อมต่อกับ Android สมาร์ทโฟน

มาถึงของแถมในแพกเกจ เริ่มจาก MicroSD Card SanDisk Ultra Class 10 ความจุ 16GB, สาย MicroUSB, ซองผ้าสำหรับใส่ตัว LYNKDISK และคู่มือใช้งาน

การใช้งานและฟีเจอร์เด่น

goshlynkapp

ขอเริ่มจากฝั่ง iOS กันก่อน หลังจากใส่ MicroSD Card และเชื่อมต่อกับ Lightning Port แล้ว อันดับแรกผู้ใช้ต้องเข้าไปดาวน์โหลดแอปฯ “gosh! LYNKDISK” ก่อน หลังจากนั้นคุณสามารถเข้าไปจัดการไฟล์ต่างๆผ่านแอปฯดังกล่าวได้ทันที

โดยตัวแอปฯจะรองรับทั้งการแบ็คอัพรายชื่อจากเครื่องมาสำรองไว้ในตัว LYNKDISK หรือแม้แต่การสั่งถ่ายภาพ บันทึกเสียง บันทึกวิดีโอผ่านแอปฯแล้วให้จัดเก็บลงในตัว LYNKDISK ก็สามารถทำได้ทันที (แต่ตัว OTG ต้องเสียบไว้กับ iOS Device ตลอด) หรือจะเข้าจัดการไฟล์ ย้ายรูปภาพ วิดีโอ ไปถึงการสร้าง Text File หรือใน LYNKDISK มีไฟล์ Word, Keynote อยู่ก็สามารถเปิดผ่านแอปฯตัวนี้ได้ทั้งหมด

ส่วนอีกด้านที่เป็น USB 3.0 Type A ส่วนนี้สามารถนำไปเสียบกับคอมพิวเตอร์ แมค เพื่อใช้งานในรูปแบบแฟลชไดร์ฟทั่วไปได้ (ไม่ต้องลงซอฟต์แวร์เสริมใดๆ)

Android สามารถเชื่อมต่อได้โดยการนำสาย MicroUSB มาเชื่อมต่อที่ตัว LYNKDISK กับแอนดรอยด์โฟน (ลักษณะ USB OTG) ก็พร้อมใช้งานทันทีโดยไม่ต้องติดตั้งแอปฯ เนื่องจากระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ปัจจุบันรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่อพ่วงผ่าน USB อยู่แล้ว ยิ่งเป็นเครื่องรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่จะมีแอปฯจัดการไฟล์ติดตั้งมาให้ด้วย ผู้ใช้สามารถคัดลอกไฟล์จากสมาร์ทโฟนโยนไปไว้ใน LYNKDISK ได้อิสระไม่ต่างจากใช้งานบนคอมพิวเตอร์เลย

อีกทั้งระหว่างที่คุณเชื่อมต่อแอนดรอยด์กับ LYNKDISK ผ่านสาย MicroUSB คุณยังสามารถนำหัว Lightning ไปเชื่อมต่อกับ iOS Device พร้อมกันได้ เพื่อเปิดให้ระบบถ่ายเทพลังงานจากแอนดรอยด์สมาร์ทโฟนไปชาร์จไฟให้ iOS Device ได้ในทันที

หรือแม้ถ้าคุณไม่มีสายชาร์จ Lightning สำหรับ iOS Device คุณสามารถนำพอร์ต USB Type A ไปเชื่อมต่อกับอะแดปเตอร์ชาร์จไฟหรือ Power Bank แทนได้ด้วย เรียกได้ว่า LYNKDISK เป็นอุปกรณ์ Smart Travel สุดอเนกประสงค์ ใช้งานได้ทั้งเรื่องเก็บข้อมูลและใช้แทนสายชาร์จไฟได้อีกต่างหาก

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

หลังจากทดสอบใช้งาน gosh! LYNKDISK ร่วม 1 อาทิตย์ ต้องยอมรับเรื่องความอเนกประสงค์ทั้งสามารถเป็นแฟลชไดร์ฟที่เปลี่ยนหน่วยเก็บข้อมูล (MicroSD Card) ได้ตามต้องการ ทุกที่ทุกเวลาแล้ว เรื่องการใช้งานแทนสายชาร์จไฟก็ถือว่าช่วยอำนวยความสะดวกได้อย่างดี

แต่ทั้งนี้ LYNKDISK จะออกแบบมาเอาใจสาวก iOS มากกว่าแอนดรอยด์เล็กน้อย (ดูได้จากพอร์ตเชื่อมต่อที่เลือกมาให้เฉพาะ Lightning กับ USB Type A / MicroUSB ต้องนำสายมาเชื่อมต่อเอง) ส่วนในเรื่องฟีเจอร์ถือว่าสามารถใช้งานได้ไม่ต่างกันนัก

ด้านประสิทธิภาพสำหรับการใช้งานหลัก คือ เป็นแฟลชไดร์ฟคัดลอกข้อมูล เก็บเอกสารต่างๆ ส่วนนี้ถือว่าทำได้ดีเหมือนแฟลชไดร์ฟทั่วไปรวมถึงแฟลชไดร์ฟ USB OTG สำหรับสมาร์ทดีไวซ์ ข้อสังเกตของ gosh! LYNKDISK จะอยู่ในเรื่องรูปแบบหน่วยเก็บข้อมูลที่ไม่ได้เป็นชิป Flash Memory แต่ใช้เป็นลักษณะการ์ด MicroSD ที่ถึงแม้จะมีจุดเด่นในเรื่องความยืดหยุ่นด้านการเลือกความจุ รวมถึงสามารถสลับการ์ดใช้งานได้หลายใบ แต่จุดอ่อนก็มีในเรื่องความรวดเร็วในการอ่านเขียนข้อมูลไปถึงความเสถียรที่ไม่อาจสู้หน่วยเก็บข้อมูลแบบชิปได้

แต่ทั้งนี้สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป เช่น นำรูปจากดีไวซ์หนึ่งไปอีกดีไวซ์หนึ่ง หรือใช้งานแค่เก็บไฟล์มัลติมีเดีย gosh! LYNKDISK ถือว่ามีความน่าสนใจ โดยเฉพาะคนที่ชอบถ่ายภาพหรือชอบเก็บคลิปวิดีโอจำนวนมาก LYNKDISK น่าจะตอบโจทย์ได้ดีที่สุด เพราะเมื่อไรก็ตามที่ MicroSD Card เต็ม เราก็สามารถหาซื้อการ์ดใบใหม่มาใช้งานต่อได้ทันที

สำหรับราคา gosh! LYNKDISK อยู่ที่ 2,590 บาท วางจำหน่ายที่ Generation-S ร้าน iStudio, Loft, Betrend และ Power Buy สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร 02-2740665 หรือ www.facebook.com/multigadgetstore

ข้อดี

– เป็นแฟลชไดร์ฟ MicroSD Card ผู้ใช้สามารถเลือกซื้อการ์ดตามความจุที่ต้องการมาใช้งานได้เอง สูงสุด 512GB
– ใช้งานครอบคลุมทุกดีไวซ์ เช่น iOS Android PC Mac ไปถึง Smart TV
– ใช้แทนสายชาร์จไฟให้กับสมาร์ทดีไวซ์ได้
– พอร์ต USB Type A 3.0

ข้อสังเกต

– ความเร็วการอ่านเขียนข้อมูลแปรผันไปตามความเร็วและคุณภาพการ์ด MicroSD ที่เลือกใช้

Gallery

]]>
Review : Philips SpeechAir PSP1100 เครื่องบันทีกเสียงไฮเอนด์ลูกผสมสมาร์ทโฟน https://cyberbiz.mgronline.com/review-philips-speechair/ Mon, 12 Sep 2016 06:50:23 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=23792

svoice-1111

วันนี้ทีมงานไซเบอร์บิซได้รับเครื่องบันทึกเสียงดิจิตอล Philips (ฟิลิปส์) “SpeechAir PSP1100” ที่โดดเด่นในเรื่องการออกแบบให้เป็นลูกผสมกับแอนดรอยด์สมาร์ทโฟน ใช้งานได้หลากหลาย อีกทั้งภายในยังมาพร้อมระบบรักษาความปลอดภัยระดับองค์กร รวมถึงฟีเจอร์และสเปกแบบจัดเต็มด้วยชุดไมโครโฟนคุณภาพสูง 3 ตัวรับเสียงได้กว้าง 360 องศา เน้นใช้บันทึกเสียงงานสัมภาษณ์เดี่ยว สัมภาษณ์กลุ่ม หรือบันทึกเสียงจากที่ประชุมต่างๆ

การออกแบบและสเปก

Philips SpeechAir มีหน้าตาคล้ายกับสมาร์ทโฟนอย่างมาก โดยตัวเครื่องมาพร้อมหน้าจอ IPS ทัชสกรีนขนาด 4 นิ้ว กระจกจอเป็น Gorilla Glass ความละเอียดหน้าจออยู่ที่ 480×800 พิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์ตรวจวัดแสง, Motion Sensor และ optical proximity sensor ติดตั้งเหนือหน้าจอขึ้นไปแบบเดียวกับที่อยู่ในแอนดรอยด์สมาร์ทโฟน รวมถึงมีการติดตั้งลำโพงสนทนาโทรศัพท์เหนือโลโก้ PHILIPS สำหรับใช้งานโทรศัพท์ผ่าน VoIP

ด้านขนาดตัวเครื่อง กว้างxสูง อยู่ที่ 62×127 มิลลิเมตร หนา 15 มิลลิเมตร น้ำหนัก 116 กรัม ตัวเครื่องป้องกันการตกกระแทกตามมาตรฐาน US military standard 516.6 อีกทั้งพื้นผิวรอบตัวเครื่องรวมถึงหน้าจอยังผลิตจากวัสดุที่เชื้อแบคทีเรียไม่สามารถเกาะติดได้

sair-setup

ในส่วนสเปกเครื่อง SpeechAir ขับเคลื่อนด้วยแอนดรอยด์ 4.4.2 ซีพียู Dual Core Cortex-A9 ความเร็ว 1.6GHz แรม 1GB รอมภายใน 16GB (เหลือให้ใช้งานจริงประมาณ 12.5GB) แบตเตอรี 2,700mAh ใช้งานบันทึกเสียงต่อเนื่อง 12 ชั่วโมง

ด้านหลัง จะเป็นที่อยู่ของกล้องถ่ายภาพ สามารถถ่ายภาพที่ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล บันทึกวิดีโอ 1080p 30fps และอ่าน QR-Code พร้อมไฟแฟลช LED

ถัดลงไปเป็นลำโพงและโลโก้ฟิลิปส์

มาดูตำแหน่งไมโครโฟนตัวหลัก Dictation microphone (directional microphone) มี 2 ตัว ติดตั้งอยู่บริเวณมุมขวาบนของเครื่องและข้างไฟแฟลชกล้องถ่ายภาพด้านหลัง โดยไมโครโฟนทั้งสองตัวนี้จะรับเสียงตรงเข้าทางเดียว (ใช้กับงานในลักษณะยื่นไมโครโฟนจ่อปากผู้ถูกสัมภาษณ์) ซึ่งจะให้เสียงที่คมชัดและมีน้ำหนักเสียงดีที่สุด

ในส่วนไมโครโฟนตัวที่ 3 จะถูกติดตั้งอยู่ด้านข้างของเครื่องเหนือปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง โดยไมโครโฟนตัวนี้จะใช้รับเสียง 360 องศา (omnidirectional microphone) สำหรับงานประชุม

ด้านขวาของตัวเครื่อง – ส่วนนี้จะเป็นที่อยู่ของปุ่มคำสั่งต่างๆ เริ่มจาก ช่องรีเซ็ทเครื่อง, สวิตซ์ปิดเปิดเครื่อง, Slide Switch (สำหรับสั่งงานบันทึกเสียง) และปุ่มฟังก์ชัน (ตั้งค่าใช้งานได้จากเมนู Button assignment)

ด้านล่างของตัวเครื่อง – ตรงกลางเป็นพอร์ตเชื่อมต่อ Docking ด้านซ้ายเป็นรูไมโครโฟนรับเสียงสนทนาเมื่อใช้งานโทรศัพท์ผ่าน VOIP ด้านขวาเป็นช่อง MicroUSB

ด้านบน – เริ่มจากตรงกลาง เป็นไฟ LED (ติดเป็นสีแดงเมื่อมีการกดบันทึกเสียง) ขวามือเป็นช่องเสียงไมโครโฟนภายนอกและช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร

มาดูในส่วน Docking Station (แถมมาในชุด) ทำหน้าที่หลักในการชาร์จไฟให้ตัว SpeechAir และสามารถชิงค์ข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ได้ โดยด้านหลังจะมีพอร์ตเชื่อมต่อเริ่มจากซ้ายสุด MicroUSB สำหรับเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ตรงกลาง LAN สำหรับเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตและระบบเครือข่ายภายในองค์กรผ่านสายแลน ขวาสุด MicroUSB 5V DC สำหรับเชื่อมต่อกับอะแดปเตอร์ชาร์จไฟบ้าน

svoice-222

โดยในส่วนไฟสถานะการทำงานด้านหน้า Docking ซ้ายเป็นไฟชาร์จแบตเตอรี ขวาเป็นไฟซิงค์ข้อมูลกับคอมพิวเตอร์

หน้าตาอุปกรณ์ที่แถมมาในกล่อง Philips SpeechAir PSP1100 เริ่มจาก แฟลชไดร์ฟ 4GB ภายในมีคู่มือและซอฟต์แวร์จัดการไฟล์เสียง, อะแดปเตอร์ชาร์จไฟ 5V 2A, หูฟังอินเอียร์ และสาย MicroUSB 2 เส้น แบ่งเป็น สายสั้นใช้สำหรับเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ส่วนสายยาวไว้เชื่อมต่อกับ Docking

การใช้งานและฟีเจอร์เด่น

sair-home

ด้วยความที่ตัวเครื่องขับเคลื่อนด้วยแอนดรอยด์ 4.2.2 Jelly Bean ทำให้ฟังก์ชันการใช้งานพื้นฐานจะเหมือนกับใช้บนสมาร์ทโฟนทั้งหมด คุณสามารถเชื่อมต่อ WiFi, บลูทูธ, ถ่ายภาพหรือท่องเว็บไซต์ผ่านบราวเซอร์ได้ปกติ

ส่วนการติดตั้งแอปฯเพิ่มเติม จะไม่สามารถทำได้เพราะไม่มี Play Store แต่ฟิลิปส์ให้แอปฯ Explorer สำหรับเพื่อเอาไว้จัดการไฟล์รวมถึงเลือกติดตั้ง apk หรือเฟริมแวร์จากภายนอกได้

sair-dict

ในส่วนแอปฯหลักก็คือ “Dictation recorder” ลิขสิทธิ์ใช้ได้เฉพาะ Philips SpeechAir เท่านั้น หน้าที่หลักก็คือใช้บันทึกเสียง โดยวิธีการควบคุมทำได้ง่ายผ่าน Slide Switch ด้านข้างเครื่อง (ดันขึ้น เริ่มบันทึก ดันลง หยุด ดันลงจนสุดแล้วค้างไว้ กรอคลิปเสียง)

นอกจากนั้นผู้ใช้ยังสามารถตัดต่อคลิปเสียงด้วยการบันทึกซ้ำหรือแทรกคลิปเสียงใหม่ได้ รวมถึงใส่รายละเอียดของคลิปเสียงได้ด้วย

sair-audioset

มาถึงรูปแบบไฟล์ที่บันทึก มาตรฐานจะเป็นไฟล์ DSS Pro .DS2 (28 kbit/s) เพราะให้ขนาดไฟล์ที่เล็กเหมาะกับส่งผ่านทางอีเมล์ แต่ทั้งนี้ถ้าคิดว่าไม่สะดวก ทางฟิลิปส์ได้ให้ออปชันบันทึกเป็น WAV PCM (256 kbit/s) มาให้อีกหนึ่งตัวเลือก

ในส่วนไมโครโฟน 3 ตัว ผู้ใช้สามารถปรับตั้งความไวของไมโครโฟนรวมถึงเลือกวิธีการรับเสียงของตัวไมโครโฟนได้ตามการใช้งานอีกด้วย เรียกได้ว่า SpeechAir PSP1100 สามารถใช้บันทึกเสียงได้ตั้งแต่สัมภาษณ์เดี่ยวไปถึงใช้บันทึกเสียงในที่ประชุมขนาดใหญ่ได้เลย

และนอกจากนั้นสำหรับคนที่ต้องการป้องกันคลิปเสียงหลุด ทางฟิลิปส์ยังให้ระบบเข้ารหัสไฟล์แบบ Real-Time Advanced Encryption Standard (AES) 256 bits มาให้ด้วย (แต่ระบบดังกล่าวจะป้องกันเฉพาะเมื่อใช้ภายในแอปฯ Dictation recorder เท่านั้น)

sair-dict2

มาถึงบริการพิเศษเฉพาะผู้ใช้เครื่องบันทึกเสียงฟิลิปส์ ก็คือ “SpeechLive“ หรือบริการถอดเทปแล้วพิมพ์เป็นเอกสาร Text file ให้” (มีค่าบริการรายเดือน) แต่ทั้งนี้บริการดังกล่าว ปัจจุบันไม่เปิดให้ผู้ใช้ในประเทศไทยและไม่รองรับภาษาไทย

speechair-manage

ส่วนวิธีการดึงคลิปเสียงออกจากตัวเครื่อง ระบบจะให้ทำผ่านซอฟต์แวร์ Philips SpeechAir Management software ในคอมพิวเตอร์ หรือเครื่อแมคจะเป็นซอฟต์แวร์ DPMConnect for Mac

email-sound

และอีกวิธีก็คือใช้ส่งผ่านอีเมล์ แต่ทั้งนี้ไฟล์ที่ได้มาไม่ว่าจะเป็น DSS Pro หรือ WAV จะต้องใช้ Audio Codec จากฟิลิปส์ร่วมกับ Media Player เพื่อใช้เล่นไฟล์ เพราะไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถเล่นคลิปเสียงบนคอมพิวเตอร์ได้

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

ในภาพรวมทั้งหมด SpeechAir PSP1100 จัดเป็นเครื่องบันทึกเสียงที่ถูกออกแบบมาเพื่องานบันทึกเสียงสัมภาษณ์หรือใช้บันทึกเสียงรายงานการประชุม โดย SpeechAir PSP1100 จัดเป็นรุ่นท็อปสุดของตลาด ทำให้ไม่ต้องห่วงเรื่องของคุณภาพไมโครโฟนและไฟล์เสียง โดยจากการทดสอบในสภาพแวดล้อมต่างๆ การรับเสียงพูด ทำได้ดี ชัดเจน

อีกทั้งแอปฯ Dictation recorder ก็ทำงานได้ค่อนข้างฉลาด กล่าวคือ ตัวแอปฯสามารถเรียนรู้ได้ว่าตอนนี้เรากำลังบันทึกเสียงในลักษณะสัมภาษณ์บุคคลหรือใช้ในที่ประชุมโดยใช้เซ็นเซอร์ภายในใน ตรวจจับการถือจับถือตัวเครื่องของเรา เพราะคนปกติเวลาสัมภาษณ์จะถือเครื่องไว้ในมือ แต่ถ้าเป็นการบันทึกเสียงประชุมเราจะวางไว้บนโต๊ะ ระบบภายในสามารถเรียนรู้และปรับแต่งเสียงให้อัตโนมัติ

อีกจุดเด่นหนึ่งที่ SpeechAir ทำได้ดีมากไม่แพ้กัน ก็คือ ความทนทานที่สูง อีกทั้งตัวเครื่องยังเลือกใช้วัสดุ ANTIMICROBIAL แน่นอนว่ารองรับการใช้งานในวงการแพทย์ ส่วนคนทั่วไปที่ต้องวางเครื่องบันทึกเสียงไว้ตามสถานที่ต่างๆก็มั่นใจได้ว่าแบคทีเรียจะไม่สามารถเกาะติดตัว SpeechAir แน่นอน

แต่ทั้งนี้ก็ใช่ว่า SpeechAir PSP1100 จะไม่มีข้อสังเกตเลย เพราะถึงแม้ตัวเครื่องจะบันทึกรูปแบบไฟล์เสียงตามมาตรฐาน DSS Pro (มาตรฐานกลาง) แต่เอาเข้าจริงๆแล้วสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ไฟล์ DSS Pro รวมถึง WAV PCM ต้องมีซอฟต์แวร์เฉพาะถึงจะสามารถเล่นได้ ความจริงไหนๆก็เป็นเครื่องบันทึกเสียงยุคใหม่แล้วน่าจะเพิ่มรูปแบบการบันทึกเสียงสำหรับงานทั่วไปที่ไม่ต้องมีการเข้ารหัส (เช่น MP3 หรือ MP4) ที่สามารถดึงไปใช้ได้ทันทีจากทุกดีไวซ์ น่าจะทำให้ SpeechAir PSP1100 ครอบคลุมทุกการใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการใช้งานแบบเร่งด่วนแบบสมาร์ทโฟนส่งต่อไปยังสมาร์ทโฟนหรือแชร์ผ่านแอปฯข้อความในเครื่อง SpeechAir PSP1100 ทำได้ยากมาก เนื่องจากฟังก์ชันแชร์ไฟล์ผ่านอินเตอร์เน็ตบังคับให้ส่งผ่านอีเมล์ในรูปแบบไฟล์ดิบได้อย่างเดียว

สำหรับราคาเปิดตัว Philips SpeechAir PSP1100 อยู่ที่ 39,990 บาท จัดจำหน่ายโดย บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ข้อดี

– ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ใช้งานเหมือนสมาร์ทโฟน ใช้งานอีเมล์ ปฏิทินนัดหมายได้
– รองรับการเชื่อมต่อ WiFi และ LAN
– มีระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุด ป้องกันคลิปเสียงหลุดและไฟล์ถูกเข้ารหัสไว้แน่นหนา
– ไมโครโฟน 3 ตัวบันทึกเสียงสนทนาได้ทุกรูปแบบ ยอดเยี่ยมทุกสภาพแวดล้อม
– ต่อไมโครโฟนภายนอกได้
– มีกล้อง สามารถถ่ายภาพแนบไปกับไฟล์เสียงหรือใช้อ่าน barcodes/QR ได้
– ตัวเครื่องมีความทนทานและวัสดุเป็น ANTIMICROBIAL

ข้อสังเกต

– ไฟล์เข้ารหัสแน่นหนา เวลาดึงไปใช้งานต้องทำผ่านซอฟต์แวร์ของฟิลิปส์เท่านั้น ไม่มีโหมดใช้งานทั่วไปมาให้
– SpeechLive ปัจจุบันยังใช้งานในประเทศไทยไม่ได้

]]>
Review : นาฬิกาป้องกันเด็กหายตัวใหม่ POMO Kids R2 จอสี ทัชสกรีน กันน้ำได้ https://cyberbiz.mgronline.com/review-pomo-kids-r2/ Thu, 08 Sep 2016 13:13:10 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=23720

IMG_6327

หลังจาก POMO (โพโมะ) Kids Watch นาฬิกาป้องกันเด็กหายรุ่นแรก ประสบความสำเร็จจนกลายเป็นเทรนด์ไปแล้ว วันนี้โพโมะก็พร้อมเปิดตัว Kids Watch รุ่นใหม่ในชื่อใหม่กับ “POMO Kids R2” ที่ในครั้งนี้ทางโพโมะปรับโฉมตัวเรือนนาฬิกาใหม่เพื่อรองรับการใช้งานที่สมบุกสมบันพร้อมซอฟต์แวร์ปรับปรุงใหม่หมด

การออกแบบและสเปก

IMG_6342

IMG_6369

POMO Kids R2 ได้รับการออกแบบตัวเรือนใหม่ให้มีสีสันสวยงามกว่ารุ่นแรก พร้อมความสามารถในการป้องกันน้ำ (100% Splash Proof) ตามมาตรฐาน IP65 รองรับการใช้งานกลางสายฝน ล้างมือ แต่ไม่แนะนำให้ใส่ว่ายน้ำหรือลงทะเล

หน้าจอ โพโมะปรับเป็นจอสี OLED ขนาด 0.96 นิ้วแบบทัชสกรีน หน้าจอทนแรงขีดข่วนได้ดีขึ้น แต่แนะนำให้ติดฟิล์มกันรอยหน้าจอซึ่งแถมมาให้ในกล่องก่อนใช้งานครั้งแรก

เหนือหน้าจอเป็นช่องไมโครโฟน ส่วนใต้จอภาพเป็นลำโพง

IMG_6344

IMG_6349

ในส่วนสายรัดข้อมือ มีการปรับไปใช้วัสดุเป็นยางนุ่มที่มีความยืดหยุ่นสูงกว่าเดิม และที่สำคัญความยาวสายเพิ่มขึ้นจากรุ่นที่แล้วอย่างมาก ทำให้รองรับขนาดข้อมือเด็กได้ทุกรูปแบบ รวมถึงหมุดล็อกสายมีความแข็งแรงและแน่นหนามากขึ้น

IMG_6351

IMG_6356

มาดูด้านหลังตัวเรือนนาฬิกา ในครั้งโพโมะย้ายช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์ (เปลี่ยนไปใช้ซิมแบบ Nano Sim) มาติดตั้งอยู่ด้านหลังในรูปแบบถาดใส่ซิมสแตนเลส พร้อมน็อตยึดขนาดเล็กสร้างความแน่นหนาปลอดภัยกว่ารุ่นก่อนเดิมมาก

IMG_6352

ถัดจากช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์ ตรงกลางเป็นเซ็นเซอร์ตรวจจับเมื่อมีการถอดนาฬิกาออกจากข้อมือ ด้านล่างเป็นพอร์ตเชื่อมต่อที่ชาร์จไฟแบบแม่เหล็กแปะติด

IMG_6346

IMG_6347

ด้านข้าง จะเป็นที่อยู่ของปุ่มเปิดปิดเครื่อง ปุ่มโทรด่วน (แบบกด 1 ครั้งค้างไว้แล้วโทรออกเลย) สามารถตั้งได้ 2 หมายเลข พร้อมปุ่ม SOS กรณีฉุกเฉินให้บุตรหลานกดค้างไว้ ระบบจะสั่งโทรออกพร้อมส่งพิกัดไปที่ปลายสายที่ตั้งไว้ในแอปฯโพโมะ

มาดูในส่วนสเปก เริ่มจากหน่วยประมวลผลภายในนาฬิกาใช้ MT6260D Single Core แรม 4MB รอม 4MB มี GPS บลูทูธ 4.0 ในตัว แบตเตอรี 450mAh ใช้งานได้ 72 ชั่วโมง น้ำหนัก 40 กรัม

ด้านการใช้งาน POMO Kids R2 จะใช้การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผู้ปกครองผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ระบบ 2G (GSM 800/900/1,800/1,900) เท่านั้น (โปรดตรวจสอบให้ดีเพราะระบบนาฬิกาไม่รองรับ 3G) โดยซิมการ์ดโทรศัพท์ที่นำมาใส่กับ POMO Kids R2 อย่างแรกต้องเป็น Nano Sim ของค่ายใดก็ได้ที่ทำงานบนเครือข่าย 2G สามารถโทรเข้าออก รับสายและใช้งานอินเตอร์เน็ตได้

โดยโพโมะเครมไว้ว่าใน 1 เดือน ถ้าใช้งานเต็มฟังก์ชันทุกวัน นาฬิกาจะบริโภคดาต้าอินเตอร์เน็ตไม่เกิน 500MB

ฟีเจอร์เด่นและการใช้งาน

IMG_6339

IMG_6340

ในกล่อง POMO Kids R2 จะมีการแถมประกันภัยจาก ฟอลคอนประกันภัย คุ้มครองกรณีเด็กถูกลักพาตัวในวงเงิน 200,000 บาทมาให้พิเศษเฉพาะผู้ใช้นาฬิการุ่นนี้

pm1

ในส่วนอินเตอร์เฟสนาฬิกา (สำหรับบุตรหลาน) เมื่อยกข้อมือขึ้นมาให้กดปุ่มข้างนาฬิกาปุ่มใดก็ได้ 1 ครั้ง หน้าจอแสดงเวลาจะปรากฏขึ้น และถ้ากดปุ่มใดก็ได้ค้างไว้จะเป็นการปลดล็อกหน้าจอ โดยหน้าจอหลักแสดงขีดสัญญาณโทรศัพท์/GPS พร้อมวันที่และสถานะแบตเตอรี

pm3pm2pm4

ในส่วนเมนูใช้งาน (สามารถสัมผัสหน้าจอเพื่อสั่งงานได้) มีให้ใช้ตั้งแต่ปรับเสียงนาฬิการวมถึงเพิ่มลดระดับความดังเสียงได้ ถัดไปเป็นจำนวนก้าวเดินในแต่ละวัน, BFF (Best Friend Forever) เป็นฟังก์ชันเพิ่มเพื่อนที่ใช้ Kids R2 เหมือนกัน (ใช้วิธีนำนาฬิกามาใกล้กันในระยะ 1 ไม้บรรทัด) โดยเมื่อเพิ่มเพื่อนสำเร็จจะมีระบบแจ้งผู้ปกครองให้รับรู้ด้วย, Family Voice สำหรับพูดคุยกับผู้ปกครองผ่านข้อความเสียงขนาดสั้น และสุดท้าย Contacts เป็นสมุดรายชื่อโทรศัพท์ (เวลาโทรศัพท์ เสียงจะออกลำโพงที่ตัวนาฬิกา)

appstore-pomo

pomo-menu

มาถึงฝั่งผู้ปกครองกันบ้าง อย่างแรกต้องดาวน์โหลดแอปฯ POMO Kids จากสโตร์ออกมาก่อน (รองรับ Android, iOS) จากนั้นต้องทำการเชื่อมต่อนาฬิกากับสมาร์ทดีไวซ์โดยใช้วิธีสแกน QR Code ผ่านแอปฯ POMO แล้วระบบจะเชื่อมต่อกัน หลังจากนั้นให้ตั้งค่าเบอร์โทรศัพท์ให้เรียบร้อย

pomo2

ในส่วนฟีเจอร์ที่ผู้ปกครองสามารถใช้งานได้ ส่วนใหญ่จะขึ้นกับระบบ GPS และสัญญาณโทรศัพท์ เริ่มตั้งแต่ Smart Locator สำหรับติดตามบุตรหลานว่าอยู่ที่ใด โดยความถี่ในการอัปเดตแผนที่จะอยู่ที่ประมาณ 3 นาทีต่อครั้ง (ตั้งค่าได้)

Voice Calling โทรหาบุตรหลาน

Baby Monitor เป็นฟีเจอร์ใหม่ โดยระบบจะสั่งให้นาฬิกาโทรกลับมาหาผู้ปกครองอัตโนมัติ และเมื่อผู้ปกครองรับสายจะสามารถแอบฟังเสียงจากปลายสายได้

Anti-Lost Alarm เป็นฟีเจอร์ป้องกันเด็กหายผ่านสัญญาณบูลทูธ เหมาะสำหรับเวลาพาบุตรหลานไปเดินเที่ยว เมื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ นาฬิกากับสมาร์ทดีไวซ์ของเราจะเชื่อมต่อกันผ่านสัญญาณบลูทูธ เมื่อบุตรหลานวิ่งจนออกนอกเขตสัญญาณ (ประมาณ 10 เมตร) ระบบจะส่งข้อความเตือนให้ผู้ปกครองทราบ

Journey History เป็นบันทึกประวัติการเดินทางของบุตรหลานว่าไปที่ใดมาบ้างใน 1 วัน

Voice Message พูดคุยกับบุตรหลานผ่านข้อความเสียงขนาดสั้น

Safe Zone เป็นฟีเจอร์กำหนดขอบเขตด้วยการวาดเส้นลงไปบนแผนที่ ถ้าบุตรหลานวิ่งออกนอกเขตที่กำหนดไว้ ระบบจะแจ้งเตือนผู้ปกครองให้ทราบ

pomo3-hs

H-S Reminder หรือ Home-School Reminder เป็นฟีเจอร์ใหม่เฉพาะ POMO Kids R2 ที่เปิดให้ผู้ปกครองยุคใหม่ที่จำเป็นต้องพึ่งพารถประจำในการรับส่งบุตรหลาน สามารถกำหนดเวลาเข้าเรียนและกลับบ้านของบุตรหลานพร้อมกำหนดตำแหน่งโรงเรียนและบ้านผ่าน GPS ได้ โดยเมื่อถึงเวลาเข้าเรียนถ้าบุตรหลานถึงโรงเรียนระบบจะแจ้งมาให้ผู้ปกครองทราบ อีกทั้งยังสามารถกำหนดเวลานั่งเรียน (In-class mode) ซึ่งจะช่วยให้ตัวนาฬิกาไม่ส่งเสียง พร้อมปรับเป็นโหมดสั่นรวมถึงไม่สามารถทำงานใดๆได้นอกจากใช้ดูเวลาอย่างเดียว

Common Places Alert เป็นฟีเจอร์ต่อยอดจาก H-S Reminder หลังจากบุตรหลานกลับจากโรงเรียน บางคนมีสถานที่ที่ชอบไป เช่น ไปสวนสาธารณะ A ไปรอพ่อที่เรียนพิเศษ B แน่นอนว่าผู้ปกครองสามารถบันทึกสถานที่เหล่านั้นไว้ในออปชันนี้ได้ โดยเมื่อถึงเวลาที่บุตรหลานเดินทางไปถึงระบบจะแจ้งเตือนกลับมายังผู้ปกครองได้ทราบด้วย

Accident Report ในนาฬิกาจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ถ้าระหว่างวันบุตรหลายของท่านเกิดอุบัติเหตุ (ใช้หลักนาฬิกามีการสั่นไหวรุนแรง เหมือน G Sensor ในกล้องหน้ารถ) ระบบจะส่งข้อความหาผู้ปกครองทันที

Watch off alarm เมื่อเปิดใช้ฟีเจอร์นี้ ระหว่างวันถ้านาฬิกาหลุดออกจากข้อมือของบุตรหลานหรือมีคนถอดออก ระบบจะแจ้งเตือนมายังผู้ปกครองเช่นกัน

Pedometer ฟีเจอร์สุขภาพ ตรวจดูจำนวนก้าวเดินในหนึ่งวัน

pomo4

สุดท้ายในส่วน More จะเป็นการเข้าสู่หน้าตั้งค่าปรับแต่งระบบ โดยผู้ปกครองสามารถกำหนดความถี่ของการรับสัญญาณ GPS ในตัวนาฬิกา รวมถึงกำหนดความไวของเซ็นเซอร์ต่างๆ สามารถเพิ่มเบอร์โทรศัพท์คนในครอบครัวกรณีฉุกเฉินและเปิดใช้ฟีเจอร์ห้ามรบกวน (Sleep time) เมื่อถึงเวลานอนได้ด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

IMG_6360

หลังจากทดลองใช้งานร่วมอาทิตย์ต้องบอกว่า POMO Kids R2 จัดเต็มเรื่องฟีเจอร์และฟังก์ชันการทำงานมาได้ครบครันกว่ารุ่นก่อนหน้ามาก ฟีเจอร์เด่นอย่าง H-S Reminder ใช้งานได้ค่อนข้างดี รวมถึงฟีเจอร์เดิมจากรุ่นก่อนหน้าก็ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ความซับซ้อนของเมนูลดน้อยลง โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ในตัวนาฬิกาถูกปรับแต่งใหม่ให้มีความเรียบร้อยเข้าที่เข้าทาง รวมถึงจอแบบสัมผัสสามารถช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้การใช้งานได้เร็วขึ้นจนสามารถใช้งานนาฬิกาได้เต็มประสิทธิภาพกว่ารุ่นเดิม

สำหรับราคาเปิดตัว POMO Kids R2 อยู่ที่ 4,990 บาท มีให้เลือก 2 สีได้แก่ สีชมพูและสีน้ำเงิน

ข้อดี

– กันน้ำ หน้าจอสีพร้อมทัชสกรีน
– ซอฟต์แวร์ออกแบบได้ลงตัว ใช้งานง่ายกว่ารุ่นแรกมาก
– สายยางรัดข้อมือปรับได้หลายขนาดมากขึ้น
– ถาดใส่ซิมออกแบบใหม่ แข็งแรงและถอดยากขึ้น

ข้อสังเกต

– ไม่รองรับ 3G
– GPS บางครั้งอาจบอกตำแหน่งผิดพลาดได้ ทางที่ดีที่สุดคือใส่ใจบุตรหลาน ถึงเวลาเลิกเรียนควรโทรหามากกว่าเชื่อตำแหน่งจาก GPS เพียงอย่างเดียว

Gallery

]]>
Review : RHA T20i หูฟังอินเอียร์ Hi-Res พร้อมฟิลเตอร์จูนเสียงได้ https://cyberbiz.mgronline.com/review-rha-t20i/ Mon, 29 Aug 2016 13:57:21 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=23664

headt20i

RHA (Reid Heath Acoustics) เป็นแบรนด์ผู้ผลิตหูฟังคุณภาพสูงจากอังกฤษ โดยในวันนี้ RHA ส่งหูฟังอินเอียร์รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อสาวกแอปเปิลในชื่อรุ่น T20i (i ย่อมาจาก iDevice ไม่ว่าจะเป็น iPhone iPad รวมถึง Mac ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน) ต่อยอดกับรุ่น T20 ซึ่งสเปกเหมือนกันต่างกันแค่ส่วนตัวควบคุมสมาร์ทโฟนเท่านั้นที่ T20 จะไม่มี

การออกแบบ สเปก และจุดเด่น

IMG_6264

IMG_6277

เริ่มตั้งแต่แกะกล่องกันเลย RHA T20i/T20 เป็นหูฟังอินเอียร์ที่สวมใส่แบบ Over-ear hooks เหมือนกับหูฟังมอนิเตอร์สำหรับนักดนตรีนักร้อง คือใช้เกี่ยวหูแล้วสายจะพาดไปด้านหลังหู ซึ่งข้อดีคือหูฟังจะหลุดจากหูยากขึ้น

*สำหรับคนไม่เคยใช้หูฟังประเภทนี้จะรู้สึกสวมใส่ยากและตัวหูมักหลุดจากหูง่ายในช่วงแรก ต้องอาศัยเวลาให้ขาเกี่ยวมีการปรับเข้ากับโครงใบหูก่อนถึงจะใส่ง่ายขึ้นในครั้งถัดไป

นอกจากนั้นด้วยตัวหูฟังเป็นแบบอินเอียร์ทำให้ป้องกันเสียงรบกวนภายนอกได้ดีและช่วยโฟกัสเสียงต่างๆให้คมชัดมากขึ้น รวมถึงส่วนของสายแจ็ค 3.5 มิลลิเมตรยังถูกออกแบบด้วย OFC หรือทองแดงที่ปราศจากออกซิเจนไปถึงหัวแจ็คแบบ gold plated ทั้งหมดเพื่อช่วยให้การนำไฟฟ้าทำได้ดีขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานของ Japan Audio Society ผู้ดูแลมาตรฐาน Hi-Res Audio

IMG_6278

IMG_6295

ในส่วนวัสดุเริ่มจากตัวหูฟัง โครงสร้างทั้งหมดจะผลิตจากสแตนเลส สตีลมีความแข็งแรงและน้ำหนักประมาณ 41 กรัม ไดร์ฟเวอร์ขับเสียงเป็น “DualCoil Dynamic” รองรับช่วงความถี่เสียง 16-40,000Hz และยังรองรับมาตรฐาน Hi-Res Audio ด้วย

IMG_6311

มาถึงจุดเด่นจุดขายหลักของ RHA T20i เริ่มจากส่วนแรก “ความสามารถในการจูนเสียงตามต้องการได้ด้วยการเปลี่ยนฟิลเตอร์ (Tunning filters)” ก็คือ ที่ส่วนของรูลำโพง ทาง RHA ได้ออกแบบให้มาพร้อมกับฟิลเตอร์ที่สามารถหมุนออกและใส่ฟิลเตอร์ใหม่เพื่อปรับเปลี่ยนบุคคลิกเสียงได้ (ตามภาพประกอบด้านบน)

IMG_6271

filter-t20i

โดยทาง RHA ให้ฟิลเตอร์กรองเสียงมา 3 รูปแบบ ได้แก่

1.Reference ฟิลเตอร์สีเทา ซึ่งติดมากับหูฟัง จะให้โทนเสียงกลางๆ
2.Bass ฟิลเตอร์สีดำ เน้นบูตเบสและกดเสียงแหลมให้น้อยลงเล็กน้อย เหมาะกับการฟังเพลงแนว ROCK, Alternative, Hardcore, Metal เป็นต้น
3.Treble ฟิลเตอร์สีทองแดง เน้นบูตเสียงแหลมและดันรายละเอียดเสียงต่างๆให้ชัดเจนขึ้น ส่วนเสียงเบสจะเบาบางลงเล็กน้อย

IMG_6273

มาถึงจุดขายอีกส่วนก็คือ จุกหูฟัง ear tips ที่มีให้เลือกใช้ 3 รูปแบบ ได้แก่

1.Dual density เป็นจุกซิลิโคนมี 6 คู่ 3 ขนาดได้แก่ S/M/L
2.Double flange เป็นจุกซิลิโคนสองชั้นมี 2 คู่ 2 ขนาดได้แก่ S/L
3.Memory foam เป็นจุกโฟม เน้นสวมใส่สบายมี 2 คู่

stalkjack-t20i

มาถึงส่วนของรีโมทควบคุมพร้อมไมโครโฟน (ออกแบบมาเฉพาะ iPhone iPad iPod เท่านั้น) โดยปุ่ม +/- ใช้เพิ่มลดเสียง

– ส่วนปุ่มตรงกลางกด 1 ครั้งเพื่อเป็นคำสั่ง เล่น/หยุดเพลง หรือถ้ามีโทรศัพท์เข้ามากด 1 ครั้งเพื่อรับสาย กดอีกครั้งเพื่อวางสาย
– และถ้าเล่นเพลงอยู่ กดปุ่มตรงกลาง 2 ครั้งเพื่อข้ามไปเล่นเพลงถัดไป กด 3 ครั้งเพื่อเล่นเพลงก่อนหน้า กดค้างไว้เรียก Siri

rha-pocket-t20i

สุดท้าย RHA T20i มาพร้อมกระเป๋าหนังไว้เก็บตัวหูฟังด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

IMG_6322

RHA T20i หลังจากทดลองฟังเพลงมาหลากหลายแนว ทีมงานพบว่าตัวหูฟังมีบุคคลิกเสียงสามารถรองรับกับทุกแนวเพลงได้ เพราะโทนเสียงออกแนวกลางๆ เบสใช้ได้ ไม่ถึงขนาด Deep Bass มาเป็นลูกๆจนสะใจ เสียงแหลม กลางก็มีรายละเอียดที่ดี อีกทั้งถ้าใครชอบย่านเสียงไหนเป็นพิเศษก็สามารถเปลี่ยนฟิลเตอร์ได้ตามต้องการ อย่างทีมงานชอบเบสจัดๆ ก็เปลี่ยนไปใช้ฟิลเตอร์ Bass เบสก็จะหนาขึ้น แต่ก็ไม่ได้ไปกดให้เสียงแหลมและกลางสูญเสียรายละเอียดไป ทุกอย่างยังคงอยู่ครบถ้วน

ส่วนเรื่องความกว้างของเสียง Sound Stage T20i ทำได้ดีจนไม่คิดว่านี่คือหูฟังอินเอียร์เลย รู้สึกการแยกเสียง ความกว้างของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นฟังแล้วมีระยะดีแถมรายละเอียดชัดเจนด้วย จะติดเรื่องเบสที่ยังไม่หนักแน่นได้ใจนัก – ทดลองด้วยการฟังเพลงจากอัลบั้ม 20/20 Experience – Justin Timberlake (Mastered for iTunes)

มาถึงเรื่อง ear tips ทีมงานทดสอบเกือบทุกแบบที่ทาง RHA แถมมาให้ ถือว่า T20i เป็นอินเอียร์อีกรุ่นที่ออกแบบส่วน ear tips มาให้สวมใส่ได้สบายดี ทดลองนั่งฟังเพลงต่อเนื่องประมาณ 4 ชั่วโมง ไม่พบอาการเมื่อยล้าหูให้รู้สึกแต่อย่างใด ear tips ตัวซิลิโคนค่อนข้างนุ่มใช้ได้เลย ส่วน Memory foam อันนี้ต้องแล้วแต่คนชอบเลยครับ เพราะทีมงานใช้ Memory foam ไม่ถนัดเลย

สรุปภาพรวมเรื่องการทดสอบเสียง RHA T20i จุดเด่นคือเป็นหูฟังอินเอียร์ที่ใช้ฟังเพลงได้ทุกแนว คุณภาพเสียงที่ได้ถือว่าดีสมราคาและ ear tips ใส่สบายหูจนต้องแนะนำอีกหนึ่งรุ่น

แต่ทั้งนี้ถ้าเป็นผู้ฟังที่ค่อนข้างจริงจังและมีย่านเสียงที่ชอบอยู่ในใจ T20i อาจให้บุคคลิกเสียงที่ไม่เน้นไปทางใดทางหนึ่งเลย ทุกย่านเสียงอยู่ตรงกลาง ถึงแม้จะสามารถบูตย่านเสียงด้วยการเปลี่ยนฟิลเตอร์แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้บุคคลิกเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

สำหรับราคา RHA T20i อยู่ที่ 10,490 บาท ส่วนแบบไม่มีส่วนควบคุมสมาร์ทโฟน T20 จะอยู่ที่ 10,090 บาท

ข้อดี

– วัสดุงานประกอบดีสมราคา
– ตัดเสียงรบกวนรอบข้างดี และให้ความเป็นส่วนตัวดี
– ear tips แบบซิลิโคนใส่สบายทุกแบบ
– เปลี่ยนฟิลเตอร์ได้
– Sound Stage อยู่ในเกณฑ์ดี
– เป็นหูฟังที่สามารถฟังเพลงได้ทุกแนว ถ้าเป็นคนไม่จริงจังกับเรื่องย่านเสียงต่างๆน่าจะชื่นชอบได้ไม่ยากเพราะคุณภาพเสียงที่ได้ค่อนข้างดีสมราคาแน่นอน

ข้อสังเกต

– สายหูฟังเป็นยาง ใช้นานๆมีโอกาสเสื่อมสภาพได้ง่าย
– เสียงเบสอาจยังเบาบางไปนิด

Gallery

]]>
Review : Jabra Eclipse หูฟังบลูทูธหรู มีระดับ https://cyberbiz.mgronline.com/review-jabra-eclipse/ Mon, 08 Aug 2016 07:17:54 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=22985

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีหูฟังที่ไปไกลถึงการชาร์จไร้สายพร้อมการควบคุมการทำงานแบบสัมผัส ทำให้หูฟังรุ่นใหม่ซึ่งมาพร้อมการออกแบบที่โดดเด่นอย่าง Jabra Eclipse ที่ให้พลังเสียงสมจริง พร้อมการควบคุมและสั่งการขั้นสูงผ่านแอปพลิเคชั่นอย่างลงตัว ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม

ความโดดเด่นของ Jabra Eclipse ที่นอกจากการออกแบบที่สวยหรูและแข็งแรงแล้ว ยังสามารถทำงานควบคู่กับแท่นชาร์จทรงกลมที่ฝังการเชื่อมต่อและควบคุมการเชื่อมต่อบางส่วนระหว่างเครื่องและสมาร์ทโฟนได้อย่างลงตัว และที่สำคัญคุณภาพของเสียงระดับ HD Voice ซึ่งให้ความคมชัดและมิติของเสียงจริงได้อย่างชัดเจน ช่วยตอบสนองการใช้งานในหลากหลายรูปแบบของชีวิตจริงได้เป็นอย่างดี

การออกแบบ

001

Jabra Eclipse ออกแบบมาให้ไร้ปุ่มกดโดยการปรับฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตัวเครื่องใช้การปัดนิ้วขึ้นลงแบบสัมผัส ตัวเครื่องทำจากวัสดุคุณภาพ น้ำหนักเบาเพียง 5.5 กรัม สอดรับกับสรีระโครงสร้างหูหลายรูปแบบ อีกทั้งยางรอบลำโพงมีความนิ่มในระดับที่น่าพอใจ ช่วยให้สวมใส่สบาย ไม่เจ็บหู แม้จะฟังเพลงหรือสนทนาเป็นระยะเวลานาน

002

ขณะที่ตัวตลับ ออกแบบมาให้เป็นทรงกลม พร้อมแม่เหล็กในตำแหน่งการวางหูฟังเพื่อช่วยให้วางลงล็อกได้อย่างรวดเร็ว ตัวตลับทำจากยางทั้งชิ้น พร้อมปุ่มกดด้านล่างสำหรับกดเพื่อเชื่อมต่อแอปพลิเคชั่นกับหูฟังผ่านระบบบลูทูธ นอกจากนั้นยังมีช่องต่อ ไมโครยูเอสบี เพื่อเชื่อมต่อสายชาร์จไฟ

003

การทำงานของตัวเครื่องจะเปิดระบบเมื่อทำการดึงส่วนของหูฟังออกจากตลับ ไฟสีเขียวจะแสดงขึ้นเป็นอันว่าเครื่องได้เปิดขึ้นแล้ว ขณะที่การปิดก็สามารถทำสวนทางกันโดยวางกลับเข้าสู่ตลับระบบก็จะเข้าสู่โหมดสแตนบายเพื่อประหยัดพลังงานทันที

004

ตัวเครื่องมาพร้อมลำโพงคุณภาพสูง ที่ช่วยถ่ายทอดพลังเสียงระดับ HD Voice พร้อมผสานการตัดเสียงรบกวนด้วยเทคโนโลยี Advanced Noise Blackout แบบ 2 ไมโครโฟน ที่ช่วยเพิ่มความคมชัดสมจริงให้กับทั้งเสียงสนทนา เสียงดนตรี รวมทั้งเสียงเซอร์ราวด์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

005

Jabra Eclipse มีน้ำหนักของตัวหูฟังเพียง 5.5 กรัม ขณะที่ตลับชาร์จมีน้ำหนักเพียง 35 กรัม ช่วยให้สะดวกในการพกพาไปในทุกที่ที่ต้องเดินทาง สามารถสนทนาได้กว่า 3 ชั่วโมง ฟังเพลงได้กว่า 7 ชั่วโมง และสแตนบายได้นานกว่า 3 วัน รองรับการจับคู่เชื่อมต่อแบบ NFC ช่วยค้นหาแอปพลิเคชั่นด้วยการสัมผัส รองรับการเล่นเพลงผ่านเครื่องสมาร์ทโฟน พร้อมระบบการสั่งงานด้วยเสียง เช่นการตรวจสถานะแบตเตอรี่ การจับคู่อุปกรณ์หรือเชื่อมต่อ สามารถทำงานร่วมกับระบบบลูทูธในหลากหลายอุปกรณ์ มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีขาวและสีดำ โดยวางจำหน่ายที่ราคา 4,490 บาท

สเปก

  • ระบบปรับเสียงอัตโนมัติ
  • ทำงานร่วมกับแอปพลิเคชั่น jabra assist
  • ระบบแจ้งเตือนชื่อหรือหมายเลขโทรเข้าด้วยเสียง
  • Noise blackout HD ลดเสียงรบกวนด้วยไมค์โครโฟน 2 ตัว
  • สั่งงานด้วยระบบสัมผัส ไม่มีปุ่มกด
  • น้ำหนักเบา 5.5 กรัม (เคสหนัก 35 กรัม)
  • bluetooth 4.1 ใช้งานได้ในระยะ 30 เมตร
  • รองรับ NFC
  • สนทนานาน 10 ชั่วโมง(Eclipse 3 ชั่วโมง + 7 ชั่วโมงด้วยเคส)
  • สแตนบายด์ได้ 10 วัน

ฟีเจอร์เด่น

006

Jabra Eclipseมาพร้อมระบบลดเสียงรบกวนด้วยเทคโนโลยี 2 ไมค์โครโฟน Noise blackout HD ช่วยให้เสียงสนทนาสมจริงมากยิ่งขึ้น ซึ่งผสานเข้ากับลำโพงเสียงระดับพรีเมี่ยมที่ทำให้ได้รับเสียงสนทนาที่คมชัด รวมถึงการฟังเพลง อ่านข้อความ เมื่อใช้งานโหมดแฮนด์ฟรีก็สามารถให้คุณภาพเสียงที่ดี

007

การทำงานควบคู่กับแอปพลิเคชั่น Jabra Assist ช่วยให้สามารถปรับแต่งการทำงานขั้นสูงทั้งการตั้งค่ารับสายเรียกเข้าด้วยเสียง เปิดปิดเสียงแนะนำการใช้งาน ได้ตรงความต้องการมากขึ้น และนอกจากนี้ยังสามารถอัปเกรดเฟิร์มแวร์ผ่านแอปพลิเคชั่นได้อย่างสะดวก โดยจะสามารถตั้งค่าในการอัปเดตเฟิร์มแวร์อัตโนมัติหรือจะเลือกการอัปเดตเมื่อเชื่อมต่อไวไฟก็สามารถตั้งค่าได้ตามชอบ

008

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่สำคัญคือ Find my jabra / car ฟังก์ชั่นเสริมที่ช่วยจดจำสถานที่วางหูฟังในตำแหน่งสุดท้าย ซึ่งแม้ว่าฟังก์ชั่นนี้จะต้องเปิดการใช้งานระบบระบุพิกัด GPSที่อาจจะทำให้เปลืองแบตเตอรี่ไปบ้าง แต่กระนั้นประโยชน์ที่มากกว่าการค้นหาหูฟังนั่นก็คือการค้นหาตำแหน่งรถยนต์ที่วางหูฟังไว้นั่นเอง นับเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่อาจจะมีประโยชน์แฝงที่คุ้มค่าเป็นอย่างมาก

009

ปรับเสียงอัตโนมัติช่วยลดอาการช็อกของเสียงเมื่อไฟล์เสียงมีบิทเรตหรือคุณภาพของเสียงไม่เท่ากัน ทำให้ความดังของเสียงแตกต่างกันจนเกินไป หรือการสนทนาของคู่สายที่มีระดับของเสียงที่แตกต่างกันระบบจะช่วยปรับเสียงให้อัตโนมัติ เพื่อการฟังเสียงที่สมจริง

010

ใช้งานควบคู่กับตลับทรงกลม โดยการเชื่อมต่อครั้งแรกจะมีปุ่มกดอยู่ด้านล่างของตลับ นอกจากนี้ตลับยังเป็นเสมือนแท่นชาร์จในตัว เนื่องจากมีช่องเสียบสายชาร์จไมโครยูเอสบีและหลุมวางที่มีแม่เหล็กดูดอยู่ข้างในช่วยให้ง่ายและสะดวกในการวางหูฟัวให้ลงบล็อกพอดี

011

การใช้งานคำสั่งเสียงเพื่อสั่งการ เนื่องจากขนาดที่เล็กและไม่มีปุ่มให้ ซึ่งแม้ว่าจะสามารถแตะเบาๆเพื่อตอบรับสายเรียกเข้า หรือวางสายได้ แต่กระนั้นฟีเจอร์การรับสายด้วยการพูด “Answer” เพื่อรับสาย หรือ “Ignore” เพื่อปฏิเสธการรับสายเรียกเข้าก็เป็นอีกฟีเจอร์ที่ช่วยเพื่อความสะดวกเมื่อต้องตกอยู่ในสถานะแฮนด์ฟรี(มือไม่ว่าง) นั่นเอง แน่นอนว่าคำสั่งเสียงไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่การใช้งานรับสายเรียกเข้าเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการเรียกคำสั่งเสียงอันเนื่องมาจากความสามารถของตัวเครื่อง เช่นเครื่องซัมซุงก็สามารถเรียกความสามารถของ S voice ขึ้นมาใช้งาน หรือจะเป็น Google Now ที่สามารถเปล่งเสียงเรียก ‘OK Google’ เพื่อเปิดหน้าจอการค้นหาด้วยเสียงของกูเกิลขุ้นมาได้อย่างง่ายดาย โดยคำสั่งเพิ่มเติมก็สามารถดูได้จากคู่มือภายในแอปพลิเคชั่นได้อย่างครบถ้วน

ทดสอบประสิทธิภาพ

012

กลับมามองเรื่องราคาจำหน่ายที่วางไว้ที่ 4,490 บาทนั้น นับว่าเป็นหูฟังบลูทูธที่มีราคาสูงอยู่พอสมควร ซึ่งเมื่อเทียบกับความสามารถและความจำเป็นของการใช้หูฟังบลูทูธในการใช้งาน แต่กระนั้นก็ต้องยอมรับว่า Jabra Eclipse เป็นหูฟังพรีเมี่ยมที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับสูงได้อย่างสมบูรณ์พร้อม ด้วยฟีเจอร์ ความสามารถ วัสดุที่เลือกใช้ ตลอดจนระดับราคาที่ตั้งขาย สะท้อนให้เห็นกลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้สนใจเรื่องราคา แต่ต้องการอุปกรณ์ที่ช่วยแบ่งเบาภาระมือที่อยู่ในสภาวะวุ่นอยู่ตลอดนั่นเอง แน่นอนว่าคนกลุ่มนี้จะต้องสร้างรายได้จากการใช้งานอุปกรณ์เช่นนี้ได้อย่างคุ้มค่าที่สุดนั่นเอง

013

การทดสอบฟังเสียงสนทนาเมื่อใช้งานผ่านการโทร เสียงที่ได้มีความชัดเจน และไม่พบการตัดเสียงแวดล้อมของคู่สนทนาออกแบบผิดปกติ เสียงที่ได้มีความใสของเสียงสมจริงดี ขณะที่การฟังเพลงแม้ว่าจะมีเพียงหูฟังด้านเดียว กระนั้นเสียงที่ได้รับก็สามารถแยกแยะมิติของเสียงได้ในระดับที่น่าพอใจ มีซาวน์ของเครื่องดนตรีครบถ้วน เสียงร้องฟังชัดสมบูรณ์ นอกจากนี้การจับเสียงเมื่อเปล่งออกไปเพื่อใช้งานคำสั่งเสียง ก็สามารถจับใจความและทำงานได้ตรงตามที่สั่ง แม้ว่าจะต้องออกเสียงเป็นภาษาอังกฤษเพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็ตาม

สรุป

สิ่งที่น่าสนใจใน Jabra Eclipse ก็คือการออกแบบและการใช้งานผ่านคำสั่งเสียงที่เพิ่มความสะดวกสบายได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่าคุณประโยชน์ของการใช้หูฟังบลูทูธหลักก็คือการลดใช้มือ ซึ่ง Jabra Eclipse สามารถตอบโจทย์เรื่องนี้ได้ดี เริ่มตั้งแต่การออกแบบที่ไม่มีปุ่มกด การทำเครื่องแบบใช้งานในหู ขนาดเล็ก เบา เพื่อลดการแตะต้องเครื่องโดยไม่จำเป็น ขณะที่คุณภาพของเสียงมีคุณภาพที่ดีในหลากหลายแง่มุมการใช้งาน

หากนับโดยรวมเมื่อเทียบกับราคายังไม่หวือหวาที่จะจองมาเป็นเจ้าของเนื่องจากราคาที่สูงอยู่พอสมควร แต่หากใครกำลังต้องการหูฟังบลูทูธที่มีคุณภาพโดยไม่คำนึงด้านราคา Jabra Eclipse รุนนี้ก็เหมาะด้วยรูปลักษณ์การออกแบบและฟังก์ชั่นของลูกเล่นในการใช้งานเช่นการรับสายหรือปฏิเสธด้วยเสียง ควบคุมการเล่นเพลงด้วยคำสั่งเสียง ตลอดจนตลับทรงกลมที่แม้ว่าจะเปื้อนฝุ่นได้ง่ายสักหน่อยเนื่องมีลักษณะเป็นยาง แต่ก็เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ช่วยเก็บรักษาหูฟังที่มีขนาดเล็กไม่ให้หายได้ง่ายๆได้เป็นอย่างดี

ข้อดี

  • ดีไซน์ขนาดเล็ก เบา ช่วยให้สวมใส่ได้อย่างสบายตลอดทั้งวัน
  • แบตเตอรี่ที่สามารถสนทนาได้นานต่อเนื่อง 3 ชั่วโมง
  • มาพร้อมตลับชาร์จที่ช่วยทั้งการจัดเก็บและการเชื่อมต่อให้ง่ายขึ้น
  • สามารถทำงานควบคู่กับแอปพลิเคชั่นได้อย่างดีเยี่ยม
  • มียางสวมให้ 3 ขนาดตรงตามขนาดหูเพื่อความกระชับ

ข้อสังเกต

  • เหมาะกับการใส่กับหูขวา เพียงด้านเดียว ไม่สามารถปรับแต่งได้
  • เสียงแวดล้อมของหูที่ใส่จะถูกบล็อก เนื่องจากยางที่ช่วยให้อุปกรณ์ไม่หลุดจากหู จะต้องอุดพอดีหู
  • คู่สนทนายังได้ยินเสียงแวดล้อมอยู่ ทำให้ความคมชัดลดน้อยลงระหว่างโทร
  • ยังไม่สามารถอ่านข้อความเข้าเป็นภาษาไทยได้

Gallery

]]>
Review : EZVIZ S5 plus อีกหนึ่งทางเลือก Action Camera รุ่นไฮเอนด์ https://cyberbiz.mgronline.com/review-ezviz-s5plus/ Mon, 25 Jul 2016 11:25:49 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=23247

IMG_5818

EZVIZ (อีซี่วิซ – นำเข้าโดย บริษัท เอสเทรค (ประเทศไทย) จำกัด) ชื่อนี้ฟังดูแล้วเหมือนเป็นเจ้าใหม่ของตลาด แต่ความจริงแล้ว EZVIZ เป็นแบรนด์เดียวกับ HIKVISION (ผู้คร่ำหวอดในวงการกล้องวงจรปิด) โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ EZVIZ จะเน้นจับกลุ่มไลฟ์สไตล์ด้วยราคาที่ทุกคนยอมรับได้ มีให้เลือกตั้งแต่กล้องวงจรปิด Cloud Camera ไปถึงกล้องแอคชันแคม (ทางอีซี่วิซเรียกว่า “Sport Camera”) EZVIZ S5 และ S1 ที่เน้นเป็นทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการแอคชันแคมประสิทธิภาพสูงในราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง

โดยในวันนี้ทีมงานไซเบอร์บิซได้รับ EZVIZ S5 plus ซึ่งเป็นแอคชันแคมรุ่นท็อปสุดมารีวิวให้ชมกัน

การออกแบบและสเปก

IMG_5852

IMG_5834

EZVIZ S5 plus เป็นแอคชันแคมรุ่นท็อปสุด ตัวเครื่องมีขนาด 58×45 มิลลิเมตร น้ำหนัก 99.7 กรัม มาพร้อมเคสกันน้ำ กันฝุ่น มารถลงน้ำได้ลึก 40 เมตร

ด้านสเปกกล้อง S5 Plus รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 2.4/5GHz กับสมาร์ทดีไวซ์และสามารถควบคุมกล้องผ่านแอปฯ EZVIZ Sports ได้ ด้านเลนส์กล้องให้มุมมองแบบกว้างพิเศษ (Ultra wide) 158 องศา เซ็นเซอร์รับภาพภายในเป็น CMOS 1/2.33” พร้อมรูรับแสงกว้าง f2.8 รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด 4K ที่ความเร็ว 30 เฟรมต่อวินาที (PAL 25 เฟรมต่อวินาที) วิดีโอสโลโมชันที่ความละเอียด 1080p ได้ความเร็ว 120 เฟรมต่อวินาที 720p ได้ความเร็ว 240 เฟรมต่อวินาที

IMG_5835

การถ่ายภาพนิ่ง – รองรับความละเอียดภาพสูงสุด 12 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้เร็วถึง 30 ภาพต่อวินาที

ด้านสเปกอื่นๆ – ทางอีซี่วิซจัดเต็มมาไม่ต่างจากตัวท็อปของคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นไมโครโฟนให้มา 2 ตัวพร้อมระบบตัดเสียงรบกวนและเสียงลม, ระบบป้องกันภาพสั่นไหว Electronic image stabilizer (EIS) พร้อม G-Sensor (ไว้ตรวจจับการเคลื่อนไหวกล้องเมื่อเปิดใช้ฟีเจอร์บันทึกวิดีโออัตโนมัติ หรือเปิด Driving Mode) รวมถึงมี Low Light Mode

และสุดท้ายแบตเตอรีให้มาขนาด 1,200mAh สามารถถ่ายวิดีโอต่อเนื่องได้ยาวนาน 2 ชั่วโมงโดยประมาณ

IMG_5841

IMG_5839

กลับมาดูปุ่มคำสั่งและพอร์ตเชื่อมต่อรอบตัวเครื่องกันบ้าง เริ่มจากด้านบน จะเป็นที่อยู่ของปุ่มบันทึกวิดีโอและไฟ LED แสดงสถานะการทำงานของตัวเครื่อง

ด้านล่าง – ไฟ LED แสดงการทำงานของตัวเครื่องอีกหนึ่งดวง ถัดไปเป็นช่องใส่ขาตั้งกล้อง ส่วนขวามือคือช่องใส่แบตเตอรี

IMG_5840

IMG_5842

ด้านซ้ายของตัวเครื่อง – จะเป็นช่องเชื่อมต่อ HDMI, MicroSD (รองรับความจุสูงสุด 128GB Class 10) พอร์ต MicroUSB และไฟ LED แสดงการทำงานของตัวเครื่องอีกดวง

ด้านขวาของตัวเครื่อง – จะเป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง (ถ้ากล้องเปิดใช้งานอยู่ กดปุ่มนี้ค้างไว้จะเป็นคำสั่งเปลี่ยนโหมดต่างๆ) ถัดลงมาเป็นปุ่มเข้าเมนูตั้งค่ากล้อง แต่ถ้ากดค้างไว้จะเป็นคำสั่งเปิดปิด WiFi

IMG_5843

IMG_5844

ด้านหลัง – เป็นหน้าจอสัมผัส IPS LCD ความละเอียด 480×320 พิกเซล

IMG_5829

IMG_5871

สุดท้ายสำหรับอุปกรณ์ที่แถมมาในกล่อง S5 plus นอกจากเคสกันน้ำแล้ว ทางอีซี่วิซยังให้อุปกรณ์ฝาปิดหน้าเลนส์ กรอบกันรอย ฐานใส่ตัวกล้อง 2 อัน และอะไหล่สำหรับชุดเคสกันน้ำ

ฟีเจอร์เด่น

menu-ez

home-ezapp

เพราะ S5 plus เป็นตัวท็อปสุด ทำให้ตัวเครื่องมี WiFi มาให้และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถควบคุมกล้องผ่านแอปฯบนสมาร์ทดีไวซ์ได้ หรือถ้าผู้ใช้ต้องการประหยัดแบตเตอรี ก็สามารถใช้นิ้วสัมผัสหน้าจอด้านหลังตัวเครื่องได้เช่นกัน

* ยกเว้นตอนใส่เคสกันน้ำหน้าจอจะสัมผัสไม่ได้เพราะติดฝาหลังเคส ต้องใช้วิธีกดปุ่มข้างกล้องสั่งงานแทนหรือใช้การควบคุมผ่าน WiFi กับสมาร์ทดีไวซ์จะสะดวกที่สุด

setup-appez

ในส่วนความละเอียดของวิดีโออย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าผู้ใช้สามารถเลือกใช้งานได้หลากหลายตั้งแต่ WVGA จนถึง 4K โดยเฟรมเรตวิดีโอสามารถเลือกได้หลากหลายตั้งแต่ 24-30 เฟรมต่อวินาทีสำหรับคุณภาพวิดีโอ 4K และเฟรมเรตจะมีให้เลือกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ 48-240 เฟรมต่อวินาที เมื่อดรอปคุณภาพวิดีโอลงมาตั้งแต่ 2.7K ถึง 720p

นอกจากนั้นส่วนของ Field of View ก็มีให้ผู้ใช้เลือกตามความต้องการได้ตั้งแต่ Wide, Medium และ Narrow ที่ความละเอียดตั้งแต่ 2.7K ลงมา (4K จะเลือกได้แค่ Wide เท่านั้น)

ezangle

อีกหนึ่งจุดเด่นที่สำคัญสำหรับ S5 plus ที่ไม่ต่างจากคู่แข่งก็คือเรื่องมุมมอง Super View หรือมุมมองแบบกว้างพิเศษใกล้เคียงเลนส์ Fisheye ก็มีให้เลือกใช้งานที่ความละเอียด 4K, 2.7K, 1080p และ 720p แต่สิ่งที่ได้หลังจากเลือกโหมด Super View ก็คือภาพจะมีความบิดเบี้ยวสูงมาก

dewarping-ez

เพราะฉะนั้นทางอีซี่วิซจึงต้องให้คำสั่งแก้ความบิดเบี้ยวของภาพด้วยซอฟต์แวร์มาด้วยในชื่อ “Dewarping” ซึ่งหลังจากเปิดใช้งานซอฟต์แวร์จะเข้าจัดการความบิดเบี้ยวของภาพที่เกิดจากชิ้นเลนส์ให้แบบเรียลไทม์ แต่ก็ต้องแลกกับมุมมองที่แคบลง

setup2-appez

setup1-appez

Protune (เลือกได้ทั้งหมดวิดีโอและภาพนิ่ง) – เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับกล้องแอ็คชันแคมเกือบทุกตัว ก็คือโหมด Manual ปรับค่ากล้องเอง

โดยเมื่อเปิดใช้ “Protune mode” ผู้ใช้สามารถปรับค่ากล้องตั้งแต่ความเร็วชัตเตอร์ช้าสุด 30 วินาที ปรับชดเชยแสง ปรับความไวแสงตั้งแต่ ISO400-12,800 และทีเด็ดสำหรับคนชอบตกแต่งภาพก็คือ Color Profile แบบ “Flat” ที่ช่วยขยายไดนามิกขอบเขตสีให้กว้างขึ้นเหมาะแก่ไปใช้เข้าโปรแกรมตกแต่งภาพเพิ่มเติมภายหลัง

4K Timelapse – เป็นจุดเด่นสุดท้ายของ S5 plus ที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับผู้ที่ชอบทำภาพ Timelapse เพราะในรุ่นนี้รองรับความละเอียดสูงสุดถึง 4K 30 เฟรมต่อวินาทีเลยทีเดียว (25 เฟรมต่อวินาทีสำหรับระบบ PAL)

ทดสอบประสิทธิภาพ

ทดสอบ EZVIZ S5 plus 4K 25 เฟรมต่อวินาที (Super View)

ทดสอบไมโครโฟนรับเสียงเมื่ออยู่ในสถานที่มีเสียงดัง

ทดสอบ Slow Motion 120 เฟรมต่อวินาทีที่ความละเอียด 1080p

ทดสอบด้านการถ่ายวิดีโอทั้ง 4K และ 1080p ถือว่าให้คุณภาพที่ดีพอควร วิดีโอค่อนข้างลื่นไหลทุกสภาพแสง ส่วนสัญญาณรบกวนถือว่าทำได้ดีมากที่สภาพแสงน้อย คุณภาพของวิดีโออยู่ในเกณฑ์ดี ความคมชัด สมดุลแสงขาวและความลื่นไหลถือว่าสอบผ่าน

แต่ทั้งนี้ในเรื่องการบันทึกเสียงอาจมีข้อสังเกตเล็กน้อยในเรื่องการสมดุลเสียงซ้ายขวาที่เสียงชอบแพนไปตกอยู่ที่ลำโพงซ้ายข้างเดียว บางทีก็แพนมาลำโพงขวาสลับไปมาไม่ลื่นไหล (ทดสอบฟังได้จากคลิปที่ 2) อีกทั้งเสียงมีอาการสะดุด (เดี๋ยวเบาเดี๋ยวดัง บางทีเสียงก็ทู่และเบามาก) เมื่อกล้องมีการเคลื่อนไหวหรือตัวกล้องเริ่มมีการสั่นสะเทือน

วิธีแก้ไขเรื่องเสียงแพนซ้ายขวา เสียงไม่สมดุล – นำไฟล์เข้าซอฟต์แวร์ตัดต่อจากนั้นในส่วนของเสียงจากวิดีโอให้รวมเสียงจากลำโพง L R เป็น Mono จะช่วยแก้ปัญหาได้

ส่วนอีกเรื่องก็คือระบบป้องกันภาพสั่นไหว EIS จะเปิดใช้งานได้ที่ความละเอียด 1080p ลงไป (4K เปิดไม่ได้) คาดว่าน่าจะเป็นการทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ซึ่งยังให้ผลลัพท์ยังไม่น่าประทับใจนัก

ส่วนภาพนิ่ง ถือว่าใช้ได้ ภาพมีความคมชัดพอสมควร ส่วนระบบโฟกัสเป็น Fixed Focus การถ่ายย้อนแสงถ้าตั้งจุดวัดแสงเป็นเฉลี่ยทั้งภาพจะให้ผลลัพท์ที่น่าพอใจดี ส่วนใครที่ชอบตกแต่งภาพเพิ่มเติมภายหลังแนะนำให้เลือก Color Profile : Flat จะดีที่สุด เพราะโปรไฟล์สีที่ระบบตั้งเป็นค่าเริ่มต้นจะให้สีค่อนข้างสดเกินธรรมชาติไปนิดนึง

สรุปภาพรวมสำหรับด้านปะสิทธิภาพถือว่าดีเลยทีเดียวสำหรับ EZVIZ S5 plus คุณภาพไฟล์ภาพนิ่งและเคลื่อนไหวทีมงานเชื่อว่าไม่น่าแตกต่างจากคู่แข่งระดับเดียวกันมากนัก

ส่วนแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ถือว่าทางอีซี่วิซออกแบบมาดี เมนู อินเตอร์เฟสการปรับแต่งทำได้ง่าย การเชื่อมต่อ WiFi ทำได้เสถียรดี แต่แนะนำถ้าเปิดใช้ WiFi อยู่แล้วต้องการจะปิดกล้องแนะนำให้กดปุ่ม Settings ค้างไว้เพื่อปิดสัญญาณ WiFi ก่อน เพราะเมื่อกล้องเข้าสู่โหมดสแตนบายแล้ว WiFi จะยังติดและเชื่อมต่ออยู่ อาจทำให้แบตเตอรีกล้องหมดลงได้รวดเร็ว

สรุป

IMG_5877

EZVIZ S5 plus ราคาอยู่ที่ 12,990 บาท รุ่นต่ำลงมา S5 (4K 15 เฟรมต่อวินาที) อยู่ที่ 7,990 บาท และรุ่นราคาประหยัดสุด S1 อยู่ที่ 4,990 บาท

ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่อยากได้แอคชันแคมราคาไม่สูงแต่ประสิทธิภาพ สเปกและฟีเจอร์ทั้งภาพนิ่งและงานวิดีโอ สามารถใช้งานทั้งระดับเริ่มต้นไปถึงระดับมืออาชีพ เทียบกับคู่แข่งที่มีราคาเกือบสองหมื่นบาทได้เลยทีเดียว

ข้อดี

– ราคาเทียบประสิทธิภาพและสเปกถือว่าคุ้มค่า
– ซอฟต์แวร์ควบคุมบนสมาร์ทดีไวซ์ออกแบบมาใช้งานง่าย
– หน้าจอ LCD เป็นแบบสัมผัส
– เลนส์ให้มุมกว้างที่ดี โดยเฉพาะ Super View Mode
– ปรับค่ากล้องแบบแมนวลได้ด้วย Protune

ข้อสังเกต

– การบันทึกเสียงด้วยไมโครโฟนสองตัว (ตัวหนึ่งรับเสียง ตัวหนึ่งตัดเสียงรบกวน) ยังทำงานได้ไม่ดีนัก
– WiFi ถ้าปิดเปิดบ่อยๆ จะพบอาการเครื่องค้างให้เห็นบ้าง ต้องปิดเปิดเครื่องใหม่

Gallery

]]>