Gadgets 2017 – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Mon, 23 Oct 2017 07:33:59 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Apple Watch Series 3 ปรับสเปกใหม่ในร่างเดิม https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-watch3/ Sun, 22 Oct 2017 10:45:51 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=27522

Apple Watch กลายเป็นอีกหนึ่งสินค้าไอทีจากแอปเปิลที่หลายคนต่างเฝ้าจับตามองการเปลี่ยนแปลงในทุกปีไม่แพ้สินค้าในกลุ่ม iPhone โดยในวันนี้หลังจากเปิดตัว iPhone 8 และ iPhone X ไปแล้ว ก็ถึงคิวของสมาร์ทวอทซ์เรือนใหม่อย่าง Apple Watch Series 3 ที่แอปเปิลเลือกปรับสเปกใหม่พร้อมเซอร์ไพร์สเปิดตัวรุ่น Cellular (เซลลูลาร์มีซิมโทรศัพท์ภายในตัวเอง) ทำตลาดควบคู่ไปกับรุ่น GPS ปกติ

โดยในวันนี้สำหรับตลาดประเทศไทยเองได้เริ่มวางขาย Apple Watch Series 3 ในรุ่น GPS ซึ่งเป็นตัวที่ทีมงานจะนำมารีวิวให้ชมในวันนี้ ส่วนรุ่น GPS + Cellular สำหรับบ้านเรายังไม่มีกำหนดวางขายอย่างเป็นทางการจากแอปเปิล

การออกแบบ

ด้านการออกแบบ Apple Watch Series 3 ไม่มีความแตกต่างด้านรูปลักษณ์จาก Watch Series 2 แต่อย่างใด โดยในส่วนวัสดุตัวเรือนสำหรับรุ่น GPS จะเป็นอะลูมิเนียมทั้งหมด ขนาดความกว้างยาวสูง การจัดวางรูปแบบพอร์ตและสล็อตเชื่อมต่อสายนาฬิกาจะเท่ากับ Watch Series 2 ทำให้อุปกรณ์และสายนาฬิกาที่เคยใช้จากรุ่นก่อนหน้าสามารถนำมาเชื่อมต่อและใช้งานร่วมกับ Watch Series 3 ได้ทันที

ในส่วนหน้าปัดนาฬิกาจะมีให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ 38 มิลลิเมตร (ความละเอียดหน้าจอ 272×340 พิกเซล) และ 42 มิลลิเมตร (ความละเอียดหน้าจอ 312×390 พิกเซล) หน้าจอใช้วัสดุ Ion-X มีความแข็งแรงทนแรงขีดข่วนได้ ส่วนจอภาพเป็น OLED Retina รุ่น 2 (ความสว่าง 1,000 นิตตัวเดียวกับ Watch Series 2) พร้อม Force Touch รับรู้แรงกดหน้าจอได้หลายระดับ

มาดูด้านหลังนาฬิกา ฝาหลังใช้วัสดุคอมโพสิต ตรงกลางเป็นส่วนของเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจพร้อมไฟ LED 2 ดวง รวมถึงเป็นส่วนใช้เชื่อมต่อกับที่ชาร์จแบตเตอรีแบบแม่เหล็กและรองรับแผ่นรองชาร์จ AirPower ด้วย ส่วนปุ่มกดบนและล่างจะเป็นตัวปลดล็อกสายนาฬิกา (กดค้างเพื่อปลดล็อกและดันสายออกด้านข้าง)

ด้านข้างนาฬิกาเริ่มจากด้านขวา เป็นที่อยู่ของเม็ดมะยมและปุ่มเปิดปิด/สลับใช้งานแอปฯ

ด้านซ้าย จะเป็นที่อยู่ของลำโพงและไมโครโฟน

สเปก

Apple Watch Series 3 ถูกอัปเกรดสเปกภายในใหม่ตั้งแต่ซีพียูไปใช้ S3 แบบ Dual Core ทำงานเร็วขึ้น ประกบกับชิป W2 ที่เข้ามาจัดการเรื่องระบบเชื่อมต่อไร้สายรวมถึงจัดการการใช้พลังงานระหว่าง Watch Series 3 กับ Apple iPhone ให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดการใช้พลังงานลงและสามารถเชื่อมต่อกับหูฟังไร้สายอย่าง AirPods หรือ beats ได้โดยตรงด้วย

นอกจากนั้นแอปเปิลยังได้เพิ่มฮาร์ดแวร์ Barometric altimeter เพื่อใช้วัดระบบความสูงได้ในตัวเอง พร้อมมี GPS/GLONASS รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 802.11 b/g/n มีไจโรสโคป อุปกรณ์จับการเคลื่อนไหวภายในและรองรับบลูทูธ 4.2 ด้านหน่วยเก็บข้อมูลภายในมีขนาด 8GB ในรุ่น GPS ส่วนรุ่น GPS + Cellular จะให้มา 16GB (เหลือให้ใช้งานจริงประมาณ 4-5GB) และแบตเตอรีสามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 18-20 ชั่วโมง

สุดท้ายคุณสมบัติด้านการป้องกันน้ำ Watch Series 3 สามารถทนน้ำที่ระดับ 50 เมตรได้ รองรับกิจกรรมว่ายน้ำ ลงน้ำทะเล บุกป่าฝ่าดงได้สบายๆ

ฟีเจอร์เด่นและการใช้งาน

ด้วย WatchOS 4.0 ทำให้การเชื่อมต่อนาฬิกากับ iPhone ทำได้ง่ายขึ้น เพียงคุณเปิดนาฬิกาและเปิดหน้าจอ iPhone ขึ้น จากนั้นให้นำตัวนาฬิกามาวางใกล้กับ iPhone ระบบจะค้นหาและจับคู่อัตโนมัติเหมือนกับการเชื่อมต่อ Apple AirPods

อีกทั้งสำหรับคนที่มีนาฬิกา Apple Watch Series 3 มากกว่า 1 เรือน ชิป W2 จะเพิ่มประสิทธิภาพในการสลับใช้งานนาฬิกาแต่ละเรือนได้แม่นยำแบบไร้รอยต่อมากกว่ารุ่นก่อนหน้าที่มีโอกาสพบปัญหาสัญญาณเชื่อมต่อระหว่างนาฬิกาและ iPhone หลุดออกจากกัน โดยคุณสามารถเปลี่ยนนาฬิกา Watch ที่ข้อมือได้ทุกเวลา ระบบจะเรียนรู้เองว่าคุณกำลังใส่นาฬิกาเรือนไหนออกจากบ้าน ข้อมูลทุกอย่างจะเชื่อมถึงกันทั้งหมด

มาถึงในส่วนซอฟต์แวร์ควบคุม Apple Watch สำหรับ Series 3 จะติดตั้ง WatchOS 4.0 มาจากโรงงาน โดยสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากระบบปฏิบัติการตัวรุ่นก่อน อย่างแรกก็คือหน้าปัดนาฬิกาใหม่ เช่น ธีมทอยสตอรี่หรือจะเลือกดึงผู้ช่วยอัจฉริยะ Siri ขึ้นมาใช้งานบนหน้าปัดได้โดยตรงก็สามารถทำได้เพราะใน WatchOS ใหม่นี้ Siri สามารถพูดคุยกับเราได้เหมือนใน iOS หลังจากตัวก่อน Siri จะตอบกลับเราเป็นแค่ตัวหนังสือเท่านั้น

อีกส่วนที่ได้รับการอัปเดตใหม่ก็คือ “Apple Health” หรือแอปฯสุขภาพที่ในครั้งนี้แอปเปิลปรับปรุงส่วนวัดอัตราการเต้นของหัวใจใหม่ โดยแยกการวิเคราะห์อัตราการเต้นของหัวใจในช่วงพักผ่อนและเดินออกจากกัน นอกจากนั้นสำหรับคนเป็นโรคหัวใจ Health ตัวใหม่ยังสามารถวิเคราะห์อัตราการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติและแจ้งเตือนผู้ใช้ได้ด้วย

ส่วนถ้าต้องการตรวจจับการนอนหลับหรือใช้ตรวจวัดการวิ่งออกกำลังกายต่างๆ Apple Watch รองรับการติดตั้งแอปฯจากผู้พัฒนาภายนอก เช่น Strava, Nike Run Club, Pillow โดยเฉพาะแอปฯตรวจจับการนอนหลับที่ปัจจุบันสามารถทำงานร่วมกับ Watch Series 3 ได้ดียิ่งขึ้น เพราะระบบการจัดการแบตเตอรีในนาฬิการุ่นใหม่นี้ทำได้ดีแล้ว

อีกทั้งสำหรับคนที่มีดนตรีในหัวใจ Apple Watch Series 3 สามารถซิงค์เพลงเข้าไปไว้ในนาฬิกาแล้วเชื่อมต่หูฟัง เช่น AirPods เข้ากับตัวนาฬิกาเลือกฟังเพลงได้โดยตรง ส่วนรุ่น GPS + Cellular ในอนาคตจะรองรับการสตรีมมิงเพลงจาก Apple Music ผ่านนาฬิกาได้ด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

เดิมที่ผู้ทดสอบได้ใช้ Apple Watch Series 2 เป็นนาฬิกาประจำตัวอยู่แล้ว พอได้รับ Watch Series 3 รุ่น GPS มาทดสอบ สิ่งแรกที่รู้สึกก็คือ รูปทรงและฟีเจอร์ภายในไม่แตกต่างจากรุ่น Series 2 ที่อัปเดตระบบปฏิบัติการเป็น WatchOS 4 ทุกฟีเจอร์ที่ Series 3 มี เช่นระบบไล่น้ำจากรูลำโพง หน้าปัดนาฬิการแบบต่างๆไปถึงแอปฯและฟีเจอร์ทุกตัวที่มีใน Series 3 ก็สามารถใช้งานได้ใน Series 2 เช่นกัน

แต่เมื่อลองใช้งานไปร่วมอาทิตย์ ผู้ทดสอบเริ่มเห็นความแตกต่างที่เกิดขึ้นระหว่าง Watch รุ่นเก่าและใหม่ก็คือ ความเร็วที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพวกแอปฯจำพวก Line หรือ Messenger ที่ปกติตั้งรุ่น Original มาถึง Series 2 มักมีปัญหาเรื่องความล่าช้าในการโหลดข้อมูล แต่ใน Watch Series 3 การโหลดข้อมูลทุกอย่างทำได้รวดเร็วขึ้น แอปฯที่เคยทำงานล่าช้าในรุ่นก่อนหน้าสามารถเข้าใช้งานได้รวดเร็วขึ้นใน Apple Watch Series 3 รวมถึงระบบ GPS ทำงานได้รวดเร็วขึ้นและเซ็นเซอร์ตรวจวัดความสูงที่เพิ่มเข้ามา

นอกนั้นในส่วนการทำงานอื่นๆ Apple Watch Series 3 รุ่น GPS จะเหมือนกับ Watch Series 2 ทั้งหมด ใครมี Series 2 อยู่ที่ข้อมือไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนเป็น Series 3 แต่อย่างใด ยกเว้นเมื่อรุ่น GPS + Cellular เข้ามาทำตลาดแล้วคุณอยากได้ Apple Watch ที่สามารถโทรออกรับสายโดยไม่ต้องพึ่งพา iPhone ถึงวันนั้นก็คงต้องพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แต่โดยรวมในเรื่องฟีเจอร์และการใช้งานแทบแตกต่างจากรุ่นเดิมน้อยมาก ยกเว้นแค่ส่วนประสิทธิภาพความเร็วที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นรวมถึงระบบจัดการพลังงานได้ดีขึ้นจากความสามารถของชิป W2 และสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ไร้สายเช่น หูฟัง AirPods ได้โดยตรง

ในส่วนราคา Apple Watch Series 3 เริ่มต้นที่ 11,900 บาท (เข้ามาทำตลาดแทนที่ Series 2) ส่วนรุ่นประหยัด Series 1 ยังคงทำตลาดวางขายในราคาเริ่มต้น 8,900 บาท

ข้อดี

– สเปกซีพียูใหม่ เร็วขึ้น วัดความสูงได้ในตัว
– รองรับแผ่นรองชาร์จ AirPower ร่วมกับ iPhone X
– ระบบจัดการพลังงานทำได้ดีขึ้น แบตเตอรีใช้ได้นานขึ้นเล็กน้อย เหมาะแก่การใส่ตรวจจับการนอนหลับแล้ว
– เพิ่มรุ่น GPS + Cellular โทรศัพท์ได้โดยไม่ต้องพึ่ง iPhone
– รองรับการเชื่อมต่อกับหูฟังไร้สายผ่านบลูทูธได้โดยตรง

ข้อสังเกต

– ในรุ่น GPS ที่ทีมงานได้รับมาทดสอบถือว่าภาพรวมการใช้งานแตกต่างจาก Series 2 น้อยมาก ใครมี Series 2 อยู่ที่ข้อมือแล้วไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็น Series 3

Gallery

]]>
Review : WD My Passport SSD เอสเอสดีพกพา ตัวเล็กแรงดีเพื่อขาฮาร์ดคอร์ https://cyberbiz.mgronline.com/review-wd-mypassport-ssd/ Tue, 15 Aug 2017 10:20:14 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=26879

My Passport ถือเป็นกลุ่มสื่อบันทึกข้อมูลเน้นพกพาจาก WD (Western Digital) ที่ได้รับความนิยมสูงและมีรุ่นย่อยออกมาวางจำหน่ายมากมายหลากหลายรูปแบบ มาวันนี้ทาง WD ก็ได้ฤกษ์เปิดรุ่นย่อยใหม่ในกลุ่ม My Passport กับสื่อบันทึกข้อมูลระดับบนในรูปแบบ SSD กับชื่อรุ่น “WD My Passport SSD” ที่มีความจุให้เลือกตั้งแต่ 256GB ถึง 1TB

การออกแบบและสเปก

WD My Passport SSD ถูกออกแบบบนดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่ม My Passport ที่วางขายในปี 2017 โดยวัสดุพื้นฐานจะเป็นพลาสติกน้ำหนักเบาทั้งหมด โดยในรุ่น SSD ด้านบนจะเป็นสีดำด้านส่วนด้านล่างเป็นสีเงินพร้อมการเล่นลวดลายให้ดูหรูหรา โดยขนาด My Passport SSD จะกว้างเพียง 45 มิลลิเมตร ยาว 90 มิลลิเมตร หนา 10 มิลลิเมตร น้ำหนักเบา และที่สำคัญรองรับการตกกระแทกที่ความสูงถึง 1.98 เมตรได้อย่างสบายๆ

ด้านการเชื่อมต่อเป็น USB-C (มีสายมาให้พร้อมหัวแปลง USB-A) รองรับมาตรฐานเชื่อมต่อตั้งแต่ USB 2.0 (480Mb/s) USB 3.0 (5Gb/s) และ USB 3.1 Gen1/2 (สูงสุด 10 Gb/s) โดยความเร็วของ SSD ที่ติดตั้งไว้ภายในจะรองรับความเร็วในการอ่านเขียนสูงสุดที่ 515 MB/s

และจุดเด่นของ WD ที่มีมาให้ทุกรุ่นก็คือรองรับระบบ “Hardware Encryption” สามารถเข้ารหัสป้องกันข้อมูลใน My Passport SSD แบบ 256-bit AES ผ่านซอฟต์แวร์ที่แถมมาให้ได้

ในส่วนฟอร์แมตของ My Passport SSD หลังจากเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ครั้งแรก ทางโรงงานจะตั้งค่าเริ่มต้นเป็น exFat เพื่อให้สามารถใช้กับ Windows, Mac และเชื่อมต่อเครื่องเล่นเกมคอนโซล PS4, XBOX One ได้ทันที พร้อมพื้นที่ใช้งานสำหรับรุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบ 512GB จะอยู่ที่ 476GB

ทดลองเชื่อมต่อกับ PS4 Pro ผ่านพอร์ต USB 3.1 จะมองเห็น 470.2GB ส่วนคนใช้ Mac แล้วต้องการใช้งานให้เต็มประสิทธิภาพแนะนำให้ฟอร์แมต My Passport SSD ใหม่ตามรูปแบบที่ต้องการ

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

เริ่มจากการทดสอบเชื่อมต่อกับพีซี (Windows 10) เสียดายที่คอมพิวเตอร์ที่ทีมงานนำมาใช้ทดสอบรองรับมาตรฐาน USB แค่เวอร์ชัน 3.0 เท่านั้น แต่ผลทดสอบถือว่า My Passport SSD (512GB) ทำได้สูงและแรงมาก จากภาพจะเห็นว่าการทดสอบ Seq สามารถทำคะแนนอ่านได้สูงถึง 262.2MB/s ส่วนการเขียนข้อมูลอยู่ที่ 166.3MB/s นี่ขนาดแค่ทดสอบกับ USB3.0 รุ่นเก่า ถ้าเป็น USB 3.1 Gen 2 หรือเชื่อมต่อกับแมคใหม่ที่เป็นพอร์ต Thunderbolt 3 จะแรงเต็มสูบขนาดไหน (มีคนบอกว่าวิ่งประมาณ 400MB/s เลย ถือเป็นเป็นความเร็วที่เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันแล้ว)

ด้านการทดสอบคัดลอกไฟล์ ทีมงานเลือกคัดลอกไฟล์ขนาด 60GB จาก SSD Samsung 840 EVO (SATA 6Gb/s) ความเร็วในการคัดลอกไฟล์อยู่ที่ 168MB/s ตลอดการคัดลอกไฟล์เรียกได้ว่ากราฟประสิทธิภาพนั้นนิ่งไม่มีความเร็วแกว่งให้เห็นเลย

สุดท้ายเพิ่มความฮาร์ดคอร์นำ My Passport SSD 512GB ไปเชื่อมต่อกับเครื่องเกม PS4 Pro ผ่านพอร์ต USB 3.1 Gen 1 โดยเกมที่ใช้ทดสอบจะเป็น Horizon Zero Dawn จากโซนี่ ผลลัพท์ที่ได้ ทีมงานลองทดสอบเทียบกับฮาร์ดดิสก์จานหมุนที่ติดตั้งมากับ PS4 Pro พบว่า My Passport SSD ทำเวลาโหลดฉากได้รวดเร็วกว่าเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว (ลองรับชมคลิปวิดีโอด้านบนได้) และตลอดการทดสอบเล่นกว่า 1 วันเต็ม (ประมาณ 10 ชั่วโมง) ไม่พบอาการผิดปกติแต่อย่างใด ทุกอย่างทำงานได้รวดเร็วลื่นไหลดี

ด้านความร้อน ถ้าทำงานเต็มประสิทธิภาพถือว่าค่อนข้างความร้อนสูงอยู่ (น่าจะประมาณ 50 องศาเซลเซียสขึ้นไป) แต่เมื่อการโหลดข้อมูลเสร็จสิ้นความร้อนลดลงค่อนข้างเร็วเช่นเดียวกัน

สำหรับราคา WD My Passport SSD เริ่มต้น 256GB อยู่ที่ 3,990 บาท 512GB (รุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบ) อยู่ที่ 7,990 บาท และ 1TB อยู่ที่ 15,990 บาท ถือว่าด้านราคาก็ไฮเอนด์สมกับประสิทธิภาพที่ได้เช่นกัน

ใครมีงบและกำลังมองหาสื่อเก็บข้อมูลพกพาประสิทธิภาพสูง ทั้งคนที่กำลังคิดขยายพื้นที่เครื่องเล่นเกม PS4 XBOX One ไปถึงคนทำงานที่จำเป็นต้องใช้สื่อเก็บข้อมูลพกพาประสิทธิภาพสูง หรือผู้ใช้แอนดรอยด์รุ่นใหม่ที่เป็นพอร์ต USB-C และกำลังมองหาสื่อเก็บข้อมูล External Storage ให้สมาร์ทโฟนอยู่ ลองมอง My Passport SSD เป็นอีกหนึ่งทางเลือกครับ เพราะนอกจากประสิทธิภาพที่สูงแล้ว ด้านการพกพาและความทนทานยังถือว่าทำได้ดีมากอีกด้วย

ข้อดี

– ขนาดเล็ก น้ำหนักเบามาก ทนทาน
– รองรับ USB หลากหลายตั้งแต่ Type-C Type-A Thunderbolt 3 ใน Mac ใหม่
– สามารถเชื่อมต่อกับแอนดรอยด์ที่ใช้พอร์ต USB-C ได้โดยตรงเหมือนแฟลชไดร์ฟ
– ประสิทธิภาพสูงทั้งใช้งานแบบสตรีมไปถึงใช้เก็บข้อมูลหลักในการเล่นเกม
– ประกัน 3 ปี

ข้อสังเกต

– ราคาสูง (แต่จริงๆราคาก็ประมาณเราซื้อ SSD แบบ 2.5″ อยู่แล้ว) คนเน้นซื้อมาเก็บข้อมูลไว้เฉยๆไม่แนะนำ และการเชื่อมต่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดแนะนำให้เชื่อมต่อกับ USB 3.0 ขึ้นไป

]]>
Review : BeatsX อีกหนึ่งหูฟังไร้สายจากแอปเปิล ในสไตล์ Beats by Dre https://cyberbiz.mgronline.com/review-beatsx/ Sat, 25 Mar 2017 10:52:00 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=25622

หลังจากแอปเปิลส่ง AirPods ออกวางขายไปก่อนหน้านี้ BeatsX ถือเป็นหูฟังไร้สายรุ่นสองผลผลิตจากดีลแอปเปิลและบีตส์ อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเน้นจับกลุ่มวัยรุ่นด้วยเอกลักษณ์การออกแบบจาก Beats by Dre ผนวกชิป Apple W1 รวมถึงสามารถใช้งานกับสมาร์ทดีไวซ์รวมถึงอุปกรณ์มัลติมีเดียได้หลากหลายอีกด้วย

การออกแบบ

BeatsX จัดเป็นหูฟังไร้สายแบบ in ear ใช้การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ผ่านสัญญาณ Bluetooth โดยอุปกรณ์ iOS จะเชื่อมต่อแบบเดียวกับ AirPods คือเมื่อเปิดใช้งานหูฟังแล้วนำมาใกล้กับอุปกรณ์ของแอปเปิล (ต้องเปิดบลูทูธไว้ด้วย) ระบบจะเชื่อมต่อให้อัตโนมัติ ส่วนการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์มัลติมีเดียอื่นๆสามารถทำได้โดยการเลือกจับคู่ (Pair) ผ่านบลูทูธปกติ

ในส่วนสาย BeatsX ถูกออกแบบเป็นแบบ Flex-Form มีความยืดหยุ่น ลดการพันของสายเวลาจัดเก็บ อีกทั้งยังรองรับการใช้งานตลอดทั้งวัน และถูกออกแบบมาให้สามารถคล้องคอได้ด้วย

มาถึงตัวหูฟัง จุดเด่นอยู่ที่จุกหู in ear มีให้เลือก 4 ขนาด พร้อมขาเกี่ยวใบหูหรือ “Wingtip” ซึ่งช่วยให้การสวมใส่กระชับมากยิ่งขึ้น ส่วนบริเวณโลโก้ Beats (หลังหูฟัง) จะมาพร้อมแม่เหล็กเพื่อใช้ดูดหูฟังทั้งสองข้างติดกัน ซึ่งช่วยทำให้การม้วนเก็บสายทำได้ง่ายขึ้น

จากตัวหูฟังลงไปด้านล่าง ด้านซ้ายมือจะเป็น “RemoteTalk” โดยตรงกลางจะเป็นปุ่มกดเพื่อสั่งงานสมาร์ทโฟน เช่น เมื่อฟังเพลงอยู่กด 1 ครั้งเพื่อหยุดหรือเล่นเพลง กด 2 ครั้งข้ามเพลง ไปถึงใช้กดเพื่อรับสาย/วางสายโทรศัพท์หรือกดค้างเพื่อเรียก Siri (สำหรับ iOS) ก็สามารถทำได้ที่ปุ่มนี้ ส่วนถ้ากดตรงแป้นขึ้นหรือลงจะเป็นการเพิ่มลดเสียง

ขยับมาตรงสายด้านขวามือ จะเป็นส่วนที่อยู่ชิป Apple W1 พร้อมปุ่มกดสำหรับเปิดปิดเครื่องและไฟแสดงสถานะการทำงาน (ปุ่มนี้สามารถกดค้างเพื่อกระตุ้นการทำงานของบลูทูธในกรณีเชื่อมต่ออุปกรณ์หลากหลายยี่ห้อ) ส่วนอีกด้านจะเป็นพอร์ต Lightning สำหรับชาร์จไฟ โดยทางผู้ผลิตจะให้เฉพาะสายชาร์จ Lightning to USB มาเท่านั้น ส่วนอะแดปเตอร์ต้องใช้ร่วมกับสมาร์ทโฟนหรือจะเลือกเสียบชาร์จกับคอมพิวเตอร์ก็ได้

โดยระบบชาร์จจะเป็นแบบ Fast Fuel ชาร์จไฟเพียง 5 นาทีจะฟังเพลงได้นาน 2 ชั่วโมง ส่วนเมื่อชาร์จไฟเต็มจะฟังเพลงได้นานสูงสุด 8 ชั่วโมง

สุดท้ายในส่วนเคสเก็บหูฟังจะเป็นยางธรรมดา (ไม่มีระบบชาร์จไฟแบบ AirPods) โดยการเก็บต้องใช้วิธีม้วนสายแล้วค่อยใส่ลงไป (ต้องใช้การฝึกฝนในครั้งแรกเพราะเคสยางออกแบบมาพอดีกับหูฟังเลย)

ฟีเจอร์เด่น

ต้องยอมรับว่า ด้วยการที่ BeatsX เป็นของแอปเปิล เพราะฉะนั้นผู้ใช้ iOS Device เท่านั้นถึงจะใช้งานหูฟังรุ่นนี้ได้เต็มฟังก์ชันมากที่สุด อย่างเรื่องระบบจับคู่หูฟังกับสมาร์ทดีไวซ์ สำหรับแอปเปิลผู้ใช้มีหน้าที่เพียงเปิดหูฟังแล้วนำมาวางใกล้ๆ iOS Device เท่านั้นระบบจะจับคู่พร้อมตั้งชื่อให้เรียบร้อย ส่วนผู้ใช้สมาร์ทดีไวซ์แบรนด์อื่นจะต้องจับคู่ด้วยตัวเอง

นอกจากนั้นใน iOS ยังสามารถแสดงสถานะแบตเตอรีของตัวหูฟังได้ และการสลับใช้งาน สำหรับผู้ใช้ Apple Family สามารถทำได้ง่ายเช่นเดียวกับ AirPods เพราะทุกอย่างถูกเชื่อมต่อผ่านระบบ iCloud แล้ว (เชื่อมต่อครั้งเดียว อุปกรณ์ Apple ในบ้านจะรู้จักหูฟังตัวนี้ทั้งหมด เวลาใช้งาน คุณเพียงแค่สไลด์เลือกหูฟังที่ต้องการฟังเท่านั้น)

และสำหรับคนที่ฟังเพลงผ่าน Apple Music แอปเปิลได้ให้ Redeem Code ฟังเพลงฟรี 3 เดือนด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

เริ่มจากงานประกอบ การออกแบบ ถือว่าเป็นไปตามสไตล์ Beats ผสม Apple คือเน้นเรียบง่ายและดูจับกลุ่มวัยรุ่นได้ดีกว่า AirPods โดยในส่วนฟังก์ชันใช้งานถือว่าไม่แตกต่างจากหูฟังทั่วไปเท่าใด จะแตกต่างก็เพียงหูฟังรุ่นนี้เป็นระบบไร้สายจากชิป W1 ที่จัดการระบบการเชื่อมต่อได้ดีแม้จะไม่ใช้อุปกรณ์ของแอปเปิล แต่ก็สามารถเชื่อมต่อใช้งานได้ไม่มีปัญหาแถมอาการสัญญาณหลุดหรือเสียงสะดุดระหว่างใช้งานก็ไม่พบเจอเลย เรียกได้ว่าเคยชื่นชอบระบบของ AirPods อย่างไร BeatsX ก็มีคุณภาพดีไม่ต่างกัน

ส่วนเรื่องเสียง ด้วยความเป็น in ear ทำให้การป้องกันเสียงสภาพแวดล้อมเข้ามาในหูขณะฟังเพลงทำได้ค่อนข้างดี จุกหูฟังสวมใส่แน่นและสบาย เรื่องคุณภาพเสียงในภาพรวมถือว่าทำได้กลางๆ เบสไม่ได้หนักแน่นเหมือนหูฟังรุ่นบนของ Beats จะเด่นก็โทนเสียงสูงที่คมชัดดีมาก เหมาะแก่การนำไปฟังเพลงแนว Hip Hop, R&B, Soul หรือ Pop ส่วนขาร็อค Heavy Metal, Hardcore ขาโหด BeatsX ดูจะไปด้วยกันไม่ได้ เพราะโทนเสียงสูง (แหลม) ค่อนข้างบาดแก้วหูมากจนไปกลบเสียงต่ำแทบทั้งหมด

สุดท้ายเรื่องแบตเตอรี ก็ถือเป็นไปตามที่แอปเปิลเครมไว้ว่าอยู่ได้ 8 ชั่วโมง เสียดายเคสเก็บหูฟังไม่สามารถชาร์จไฟได้แบบเดียวกับ AirPods ทำให้คนที่ชอบฟังเพลงและเดินทางบ่อยอาจต้องขยันชาร์จไฟหน่อย

สำหรับราคาค่าตัว BeatsX อยู่ที่ 5,900 บาท (ถูกกว่า AirPods หนึ่งพันบาท) ถือเป็นหูฟัง in ear ที่มาเติมเต็มตลาดหูฟังไร้สายของแอปเปิลและ Beats ระดับเริ่มต้นกับราคาที่มองแล้วก็ตัดสินใจยากอยู่ เพราะตัวหูฟังก็เหมือน AirPods ลดฟังก์ชันไฮเทคแต่ไปเน้นเพิ่มเรื่องคุณภาพเสียงอีกเล็กน้อยและเป็น in ear ติดแฟชันเท่านั้น

ข้อดี

– ชิป Apple W1 ทำงานได้ดีเหมือน AirPods
– เชื่อมต่อง่าย เร็ว ไม่มีปัญหาสัญญาณหลุดหรือขาดหายระหว่างใช้งาน
– รองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์มัลติมีเดียอื่นๆผ่านบลูทูธด้วย

ข้อสังเกต

– เคสเก็บหูฟังพอดีเกินไป การเก็บม้วนสายทำได้ค่อนข้างยาก
– จุกยางและ Wingtip ฝุ่นเกาะง่ายมาก

Gallery

]]>
Review : WD Blue PC SSD 1TB โซลิดสเตตไดรฟ์เพื่อทุกการใช้งาน https://cyberbiz.mgronline.com/review-wdblue-pcssd-1tb/ Tue, 14 Mar 2017 04:29:35 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=25605

เป็นปีที่หน่วยเก็บข้อมูลประเภท “โซลิดสเตตไดรฟ์ (Solid State Drive)” หรือ “SSD” เติบโตสูงขึ้นมาก ทำให้ค่ายผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์เจ้าใหญ่อย่าง WD (Western Digital) ต้องหันมาเสริมทัพตลาดหน่วยเก็บข้อมูลแบบ SSD เป็นครั้งแรก แต่ถึงแม้จะเพิ่งลงมาตลาดโซลิดสเตตไดรฟ์ได้ไม่นาน แต่ WD ก็มีไม้ตายดัน SSD ให้สามารถจับกลุ่มผู้ใช้ทุกรูปแบบตั้งแต่คนทำงานไปถึงเกมเมอร์ พร้อมความจุให้เลือกหลากหลายรวมถึงราคาเทียบประสิทธิภาพแล้วถือว่าน่าสนใจทีเดียว

โดย WD PC SSD จะถูกแบ่งหมวดหมู่เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

1.WD Green PC SSD เน้นจับกลุ่มผู้ใช้ระดับเริ่มต้น คนทำงานทั่วไป มาพร้อมความจุให้เลือก 120-240GB มี Form Factor ให้เลือกทั้งขนาด 2.5 นิ้วปกติและ M.2 2280 (SSD แบบเป็นการ์ดเพื่อเชื่อมต่อกับเมนบอร์ดหรือโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่) พอร์ตเชื่อมต่อเป็น SATA

2.WD Blue PC SSD เป็นรุ่นกลาง เด่นที่ความจุมีให้เลือกหลากหลาย อีกทั้งยังรองรับการทำงานตั้งแต่งานทั่วไป ตัดต่อวิดีโอไปถึงเล่นเกม มีความจุให้เลือกตั้งแต่ 250GB 500GB และ 1TB พร้อม Form Factor ให้เลือกทั้งขนาด 2.5 นิ้วปกติและ M.2 2280 พอร์ตเชื่อมต่อเป็น SATA

3.WD Black PCIE SSD เน้นจับกลุ่มไฮเอนด์ที่ต้องการ SSD ประสิทธิภาพสูงสุด เพราะฉะนั้นจะมี Form Factor ให้เลือกแบบเดียวคือ เป็นการ์ด M.2 2280 เพราะต้องรองรับความเร็วในการอ่านข้อมูลสูงถึง 2,050 MB/s

สำหรับรุ่นที่ทีมงานไซเบอร์บิซได้รับมารีวิวในวันนี้ได้แก่รุ่น WD Blue PC SSD ความจุ 1TB

การออกแบบ สเปกและฟีเจอร์เด่น

เริ่มจากการออกแบบ ภายนอกของ WD Blue PC SSD จะเหมือนกับ SSD 2.5 นิ้วทั่วไป น้ำหนักประมาณ 60 กรัม ส่วนสเปกภายในทาง WD ระบุไว้ในเอกสารสเปกว่า WD Blue จะมีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลสูงสุดที่ 545 MB/s เมื่อเชื่อมต่อผ่านพอร์ต SATA 3 6Gb/s พร้อมค่าความทนทานอยู่ที่ 400 Terabytes Written (TBW) หรือประมาณ 1.75 ล้านชั่วโมง ตามสเปกของ SSD ยุคใหม่ที่มีความทนทานมากขึ้น

ในส่วนซอฟต์แวร์ตรวจวัดการทำงาน WD มี “WD SSD Dashboard” ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถตรวจสุขภาพของ SSD ได้ตลอดเวลา

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

เริ่มจาก CrystalDiskMark ทีมงานวัดเฉพาะ Seq Q32T1 ความเร็วในการอ่านอยู่ที่ 557.9MB/s เขียน 516.3MB/s เป็นไปตามที่ WD เครมไว้ในเอกสารสเปก

มาถึง PC Mark 8 ความเร็วที่ได้เฉลี่ยอยู่ที่ 217.62 MB/s คิดเป็นคะแนนอยู่ที่ 4,933 คะแนน

ส่วนการใช้งานจริง เริ่มตั้งแต่ทดลองคัดลอกเกมจากสตรีม (Steam) ขนาด 50.6GB จาก SSD ที่มีความเร็วอ่านเขียนระดับ 2,000MB/s ไปสู่ WD Blue PC SSD 1TB ความเร็วที่ได้เฉลี่ยประมาณ 316-400MB/s เรียกได้ว่าเร็วใช้ได้เลยทีเดียว (เชื่อมต่อผ่านพอร์ต SATA 3 6Gb/s ถ้าเชื่อมต่อกับ SATA รุ่นที่ต่ำกว่าความเร็วอ่านเขียนจะช้าลง)

อีกทั้งเมื่อนำไปใช้งานกับการตัดต่อวิดีโอทั้ง 1080p และ 4K WD Blue PC SSD 1TB ใช้งานได้ลื่นไหลดี ประสิทธิภาพจัดอยู่ในระดับกลางค่อนสูง ไม่ได้เร็วเวอร์หรือช้าจนเกินไป ถือเป็นรุ่นที่เหมาะกับการใช้งานปกติในชีวิตประจำวันทุกรูปแบบ

สุดท้ายทดสอบเล่นเกม “Tom Clancy’s Ghost Recon Wildlands” ประมาณ 6 ขั่วโมง WD Blue PC SSD สามารถใช้งานได้ลื่นไหล การโหลดฉากทำได้รวดเร็วดีและไม่มีอาการสะดุดให้พบเห็นตลอดการทดสอบ

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหา SSD ความจุสูง โดยเฉพาะราคาถือว่า WD เปิดตัวมาได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะความจุสูงๆอย่างรุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบ ราคาขายหน้าร้านอยู่ที่ 10,700 บาท เทียบกับคู่แข่งที่สเปกใกล้เคียงกันแล้ว WD จะถูกกว่าประมาณ 1-2 พันบาทเลยทีเดียว

ข้อดี

– มีความจุและ Form Factor ให้เลือกใช้งานหลากหลาย ครอบคลุมทุกกลุ่ม
– WD SSD Dashboard ตรวจสุขภาพ SSD ได้ตลอดเวลา

ข้อสังเกต

– รุ่นบนสุด WD Black มีแต่แบบเป็นการ์ด ซึ่งต้องใช้กับเมนบอร์ดหรือโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่เท่านั้น ไม่มีรุ่นย่อย SSD 2.5 นิ้ว

]]>
Review : Jabra Elite Sport หูฟังไร้สายเพื่อคนรักสุขภาพ วัดหัวใจได้ https://cyberbiz.mgronline.com/review-jabra-elite-sport/ Sat, 18 Feb 2017 07:25:09 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=25336

IMG_0975

Jabra (จาบร้า) ถือเป็นแบรนด์ผู้ผลิตหูฟังไร้สายจากเดนมาร์ก ซึ่งได้รับความนิยมตั้งแต่สมัยยังเป็นหูฟังบลูทูธสำหรับใช้สนทนาโทรศัพท์ จนปัจจุบัน Jabra แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ออกมาจับกลุ่มที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรักสุขภาพที่กำลังอยู่ในกระแสตอนนี้

โดย “Jabra Elite Sport” เป็นหูฟังไร้สายในกลุ่ม Wireless sport headphones ตัวใหม่ล่าสุดที่นอกจากขนาดที่เล็กกว่าหูฟังไร้สายทุกรุ่นในกลุ่มแล้ว เรื่องของเสียงและฟีเจอร์เพื่อคนรักสุขภาพก็จัดอยู่ในระดับไฮเอนด์เลยทีเดียว

การออกแบบและสเปก

IMG_0979

IMG_0982

Jabra Elite Sport เป็นหูฟังไร้สายแบบ in-ear ใช้การเชื่อมต่อผ่านสัญญาณบลูทูธ 4.1 รองรับทั้ง iOS และ Android

โดยตัวหูฟังจะถูกเก็บอยู่ในกล่องที่เป็นทั้งกล่องใส่และที่ชาร์จแบตเตอรี หูฟังสามารถใช้งานต่อเนื่อง 3 ชั่วโมง เมื่อไฟหมดสามารถนำมาใส่กล่องเพื่อชาร์จไฟได้มากสุด 2 ครั้ง หรือคิดเป็นเวลาใช้งานทั้งหมดประมาณ 6 ชั่วโมง หลังจากนั้นต้องนำกล่องไปเชื่อมต่อกับสาย MicroUSB เพื่อชาร์จไฟจากภายนอก (ไม่มีอแดปเตอร์ชาร์จไฟมาให้ แต่สามารถใช้ร่วมกับอแดปเตอร์สมาร์ทโฟน, Power Bank, หรือเชื่อมต่อโดยตรงกับคอมพิวเตอร์ก็ได้)

IMG_0983

IMG_0989

มาดูตัวหูฟัง มองภาพรวมจะเหมือนกับ Apple AirPods ทั้งรูปแบบการใช้งานและแนวคิดการออกแบบ เพียงแต่ Jabra Elite Sport จะเน้นจับกลุ่มคนออกกำลังกายเป็นหลัก ทำให้วัสดุครอบตัวหูฟังทั้งหมดจะผลิตจากยาง ป้องกันน้ำตามมาตรฐาน IP67 สามารถลงน้ำลึก 1 เมตรได้

IMG_0992

นอกจากนั้นตัวหูฟังยังมาพร้อมเซ็นเซอร์ภายในมากมาย เริ่มตั้งแต่ Tri-axis accelerometer รองรับการตรวจจับการเคลื่อนไหว (TrackFit Motion) สำหรับการวิ่งหรือเดินออกกำลังกาย

in-ear heart rate monitor หรือเซ็นเซอร์ตรวจวัดหัวใจ ก็ได้ถูกติดตั้งมากับตัวหูฟังเพื่อใช้ตรวจวัดชีพจรระหว่างออกกำลังกายด้วยเช่นกัน

IMG_0978

มาถึงส่วนหูฟัง Earbuds (EarGels) และ EarWings สามารถเปลี่ยนได้ 3 ขนาด S/M/L มีให้เลือกทั้งเป็นซิลิโคนและโฟม ส่วนสเปกด้านเสียงจะมาพร้อมระบบตัดเสียงรบกวน Passive noise cancelation ด้วย

hearthrough

ส่วนไมโครโฟนรับเสียงสำหรับสนทนาโทรศัพท์ นอกจากมาพร้อมเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวน (Advanced noise cancellation technology) จาบร้ายังได้ใส่ฟังก์ชันพิเศษ “HearThrough” มาให้ด้วย

HearThrough จะเป็นการแก้ปัญหาหูฟัง in-ear ที่เมื่อใส่ฟังเพลงวิ่งบนถนน ผู้ใช้มักไม่ได้ยินเสียงรถที่วิ่งอยู่ข้างหลังหรือสัญญาณเตือนต่างๆ แต่เมื่อเราเปิดใช้โหมดนี้ ไมโครโฟนจะรับเสียงรอบตัวเข้ามาที่หูฟัง ทำให้เราได้ยินเสียงสภาพแวดล้อมขณะสวมใส่หูฟังได้

การเชื่อมต่อและใช้งาน

jelitesp-app-1

jelitesp-app-2

การเชื่อมต่อ Jabra Elite Sport สามารถทำผ่านบลูทูธได้ตามปกติ โดยเมื่อเชื่อมต่อเสร็จสิ้นแล้ว สำหรับ iOS จะแสดงสถานะแบตเตอรีทั้งบนแถบสถานะด้านบนและในส่วน Battery บน Notifications แบบเดียวกับ Apple AirPods

ส่วนการใช้งานให้เต็มประสิทธิภาพต้องติดตั้งแอปพลิเคชัน “Jabra Sport Life” (มีให้ดาวน์โหลดบน iOS และ Android) เพิ่มเติม

jelitesp-app-3

โดยภายในแอปฯ Jabra Sport Life จะเน้นเรื่องการใช้เซ็นเซอร์จากหูฟังตรวจจับการออกกำลังกาย ตั้งแต่วัดอัตราการเต้นของหัวใจพร้อมบอกโซน VO2 Max สามารถตั้งโปรแกรมออกกำลังกาย ตรวจจับการวิ่ง บอกระยะทางแคลอรี่ที่เผาผลาญไปได้

และที่สำคัญ Jabra Sport Life ยังมาพร้อม Real Time audio coaching โดยระบบจะพูดบอกระยะทาง อัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้เราไม่ต้องคอยดูหน้าจอโทรศัพท์ขณะออกกำลังกาย

jelitesp-button

ส่วนปุ่มคำสั่งที่ตัวหูฟัง (ใช้การกดลงไป) เริ่มจากหูซ้ายจะเป็นปุ่ม +/- เพิ่มลดระดับเสียง หูขวา ปุ่มบนเป็น Sport Button

โดยกด 1 ครั้งจะเรียกแอปฯ Jabra Sport Life
กดค้างไว้ จะเป็นการเริ่มออกกำลังกาย (Workout) และระหว่างโหมด Workout ทำงานกดค้างไว้ 1 วินาทีจะเป็นการหยุดชั่วคราวและกดค้างไว้อีก 1 วินาทีจะเป็นการเริ่ม Workout ต่อ

ส่วนการควบคุมการเล่นเพลง รับและวางสายโทรศัพท์สามารถกดปุ่มคำสั่งด้านล่าง (วงกลม) ส่วนการเล่นเพลงถัดไปหรือก่อนหน้า ต้องกดปุ่มเพิ่มลดระดับเสียงค้างไว้ 1 วินาที และสุดท้ายการเปิดปิดโหมด Hearthrough ให้กดปุ่มวงกลม (หูขวา) 2 ครั้งติดกัน

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

IMG_0995

การทดสอบประสิทธิภาพเรื่องเสียง ถ้าเทียบกับ Apple AirPods ที่มีราคาใกล้ๆกันและรูปแบบใช้งานไม่ต่างกัน (Jabra Elite Sport ราคา 9,700 บาท AirPods ราคา 6,900 บาท) ต้องกล่าวว่าคุณภาพเสียงที่ได้ใกล้เคียงกันมาก (คุณภาพเสียงกลางๆไม่ได้เด่นไปทางใดทางหนึ่ง) แต่ AirPods จะให้เวทีเสียงที่กว้างกว่า Jabra Elite Sport นอกนั้นแทบไม่แตกต่างกันแต่อย่างใด

ด้านการสวมใส่ทำได้กระชับดี แต่เรื่องน้ำหนักและความสบายเมื่อสวมใส่เป็นเวลานาน ถือว่าทำได้กลางๆเท่านั้น ยิ่งเมื่อเทียบกับ AirPods ที่ขึ้นชื่อเรื่อเบามากแล้ว Elite Sport จะใส่แล้วอึดอัดกว่า อีกทั้งแบตเตอรีของตัวหูฟังสำหรับใช้งานต่อเนื่องทำได้เพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น

ในส่วนฟังก์ชัน HearThrough ถือว่าทำได้ดี คุณสามารถฟังเสียงสภาพแวดล้อมพร้อมกับฟังเพลงได้ และถือเป็นฟังก์ชันเด่นที่ควรเปิดใช้เมื่อคุณอยากวิ่งออกกำลังกายบนท้องถนน เพราะระบบนี้ช่วยให้คุณได้ยินเสียงรอบตัวทั้งหมด

สุดท้ายเรื่องการใช้งาน สำหรับ Jabra Elite Sport เกิดมาเพื่อเป็นหูฟังไร้สายสำหรับคนชอบออกกำลังกายอย่างมาก เพราะนอกจากไม่มีสายไฟให้เกะกะคอและมาพร้อมเซ็นเซอร์ต่างๆมากมายแล้ว เรื่องการใช้งานแบบลุยน้ำ ลุยฝนรวมทั้งเหงื่อก็ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยม พร้อมประกัน 3 ปีด้วย

ข้อดี

– กันน้ำ (Waterproof) ตามมาตรฐาน IP67
– ฟังก์ชันตอบสนองคนชอบออกกำลังกายอย่างดี โดยเฉพาะเซ็นเซอร์วัดหัวใจทำงานได้แม่นยำและอ่านค่ารวดเร็ว
– หูฟังใส่แล้วกระชับ ไม่หลุดร่วงง่ายเพราะมี EarWings ช่วย
– เคสเป็นทั้งที่เก็บหูฟังและชาร์จไฟ

ข้อสังเกต

– ปุ่มคำสั่งที่หูฟังต้องใช้แรงกดค่อนข้างมากและการกดเพื่อสั่งงานค่อนข้างซับซ้อนต้องอาศัยการเรียนรู้และจดจำก่อนใช้งานพอสมควร
– คุณภาพเสียงกลางๆ

Gallery

]]>