Notebooks 2016 – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Fri, 03 Mar 2017 09:34:09 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Apple MacBook Pro with Touch Bar กับแนวคิดใหม่ที่รอการพิสูจน์ https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-macbook-pro-with-touch-bar/ Wed, 04 Jan 2017 09:05:15 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=24907

IMG_6754

ถือเป็นการปรับเปลี่ยนอีกครั้งสำคัญในสินค้าตระกูล Macbook Pro ที่นอกจากจะมีการปรับดีไซน์ตัวเครื่องให้มีความบาง ให้เพรียวลงมาอีก ถัดจากในยุคก่อนหน้าที่ปรับมาแล้วรอบนึงในสมัยที่มี Macbook Pro with Retina Display ที่ชูความโดดเด่นของหน้าจอที่คมชัด สมจริงมากขึ้น พร้อมกับประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จนมาถึงในรุ่นล่าสุดคือ MacBook Pro with Touch Bar ที่ปรับแนวคิดใหม่ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีความบางมากขึ้น ปรับพอร์ตที่ใช้ให้กลายเป็น USB-C เหมือนใน Macbook ที่เริ่มใช้งานมาแล้ว 2 รุ่น พร้อมกันตลาดที่เริ่มให้ความยอมรับมากยิ่งขึ้น

แต่จุดที่เป็นของใหม่มากที่สุดในรุ่นนี้คือ Touch Bar หรือแถบควบคุมแบบสัมผัสบริเวณเหนือคีย์บอร์ด ที่จากเดิมเป็นปุ่ม ควบคุมการทำงานต่างๆของเครื่อง ไม่ว่าจะปรับแสงหน้าจอ เรียกดูหน้าจอทั้งหมด เข้าถึงโปรแกรมในเครื่อง ปรับแสงคีย์บอร์ด ปุ่มควบคุมเครื่องเล่นเพลง ปรับระดับเสียง ที่เป็นปุ่ม F1-F12 ในตัวหายไป กลายเป็นแถบจอสัมผัสให้ใช้งานแทน

การออกแบบ

IMG_6678

ในแง่ของการดีไซน์ ตัวเครื่องจะไม่ได้เปลี่ยนแนวแบบ All New แต่ก็ถือว่าเป็นการปรับรูปลักษณ์ของตัว Macbook Pro ให้ดูทันสมัยมากขึ้น ด้วยการนำดีไซน์ของ Macbook Pro รุ่นเดิมมาทำให้ตัวเครื่องบางลงกับขนาดขอบจอที่แคบลง ทำให้ตัวเครื่องโดยรวมของรุ่น 13 นิ้ว อยู่ที่ 304.1 x 212.4 x 14.9 มิลลิเมตร นำ้หนัก 1.37 กิโลกรัม พร้อมกับเพิ่มสี จากเดิมที่มีเฉพาะสีเงิน (Silver) ด้วยสีเทา (Space Gray) ให้เลือกด้วย

IMG_6686

บนเครื่องความโดดเด่นของ แอปเปิล Macbook Pro ที่ผ่านมาไม่ใช่ดีไซน์ที่มีสีสรรฉูดฉาดอยู๋แล้ว เพราะจะเน้นความเรียบง่ายด้วยการมีสัญลักษณ์ ‘Apple’ ติดอยู่ตรงกึ่งกลาง เพียงแต่ในรุ่นนี้สัญลักษณ์ดังกล่าวจะไม่ได่มีไฟติด เพื่อแสดงสถานะการเปิดเครื่องอีกต่อไป กลายเป็นสัญลักษณ์เหมือนใน Macbook ที่ใช้ความเงาของโลโก้ มาสร้างความแตกต่างแทน

IMG_6708

ใต้เครื่องยังคงสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแอปเปิล คือมีจุกยางรองที่บริเวณมุมเครื่องทั้ง 4 พร้อมกับ รูสำหรับไขน็อตรอบเครื่อง ส่วนพื้นที่ที่เหลือจะปล่อยว่างไว้ เน้นความเรียบง่าย โดยจะมีการระบุเลขซีเรียลเครื่อง และสัญลักษณ์มาตรฐานต่างๆไว้ตรงกึ่งกลางบนเท่านั้น

IMG_6682

หน้าจอจุดที่สร้างความโดดเด่นให้กับ Macbook Pro มากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องของหน้าจอ Retina แบบ IPS ที่มีขนาด 13.3 นิ้ว ความละเอียด 2560 x 1600 พิกเซล ความละเอียดเม็ดสี 227 ppi ให้ความสว่างสูงสุด 500 nit และยังได้ในเรื่องของความกว้างของสีระดับ P3 ที่เมื่อได้มองแล้วจะเห็นถึงความแตกต่างในการแสดงผลเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม

IMG_6716

ทั้งนี้ ส่วนบนของจอภาพจะมีกล้องหน้าสำหรับใช้ Factime ความละเอียด HD (720p) และขอบล่างจะมีการสกรีนชื่อรุ่น Macbook Pro อยู่ นอกจากนี้ การที่มีขอบจอ (Bazel) เล็กลง ทำให้ตัวเครื่องของ Macbook Pro 13 นิ้ว รุ่นปี 2013 จะมีขนาดเล็กลง และยิ่งเมื่อเทียบกับ Macbook Air 13 นิ้ว ก็จะเห็นได้ชัดว่า ขอบจอที่เล็กลงช่วยให้ตัวเครื่องดูพกพาใช้งานสะดวกขึ้น

IMG_6724

บริเวณแป้นพิมพ์ในส่วนนี้จะประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลักๆคือ โครงของตัวบอดี้ที่ยังคงใช้การเจาะอะลูมิเนียมชิ้นเดียวเป็นหลัก โดยจะมีช่องลำโพงอยู่ขนาบไปกับคีย์บอร์ดทั้ง 2 ฝั่ง ตรงกึ่งกลางส่วนบนจะเป็นส่วนของคีย์บอร์ด และ Touch Bar ส่วนล่างจะเป็น แทร็กแพด ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเท่าตัว เมื่อเทียบกับรุ่นที่ผ่านมา

IMG_6717IMG_6720ทีนี้เมื่อแยกพูดถึงกันทีละส่วนจะพบว่า ในแง่ของลำโพงสนทนาที่มีการปรับให้อยู่ขนาบไปกับคีย์บอร์ดนั้น ช่วยให้พลังเสียงที่ ดังขึ้น ชัดขึ้น และละเอียดขึ้น จากการที่แอปเปิลมีการปรับดีไซน์ของลำโพงใหม่ เพื่อให้ครอบคลุมช่วงเสียงที่กว้างขึ้น ให้สามารถใช้งานได้ทั้งชมภาพยนตร์ ฟังเพลง และเล่นเกม

IMG_6793

ส่วนของคีย์บอร์ด ได้มีการปรับมาใช้คีย์บอร์ดแบบ ปีกผีเสื้อ (Butterfly mechanism) ที่พัฒนาขึ้นมาเป็นเวอร์ชัน 2 ที่ช่วยให้พิมพ์ใช้งานได้สะดวกขึ้น เพียงแต่ถ้าใช้งานในช่วงแรกแล้วยังไม่ชิน อาจจะต้องใช้เวลาปรับนิ้วให้เข้ากับคีย์บอร์ดสักพัก แต่ถ้าใช้งานคุ้นแล้วจะพบว่าสามารถพิมพ์ได้เร็วขึ้นอย่างชัดเจน

IMG_6718

ขณะที่ส่วนของแทร็กแพด ก็ยังใช้เป็นแบบ Force Touch Trackpad ที่ใช้ระบบไฟฟ้าสถิตมาช่วยเพื่อให้ความรู้สึกเหมือนการกดปุ่ม ซึ่งแน่นอนว่าด้วยการที่ปรับขนาดให้ใหญ่ขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม ทำให้ใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันเมื่อใช้งานร่วมกับคีย์บอร์ดบางครั้งจะมีพลาดไปโดนบริเวณขอบของแทร็กแพดด้วย

IMG_6727สุดท้ายคือส่วนของ Touch Bar ที่เป็นแถบคำสั่งแบบสัมผัส ที่เผยโฉมครั้งแรกใน Macbook Pro รุ่นใหม่ในปีนี้ คิดง่ายๆก็มองเหมือนเป็นหน้าจอ OLED ระบบสัมผัส 10 จุด ความละเอียด 2170 × 60 พิกเซล ที่มาแทนที่แถบควบคุม และปุ่ม F1-F12 เดิม พร้อมกับระบบ Touch ID หรือเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ช่วยให้ใช้งานเครื่องได้สะดวก และปลอดภัยมากขึ้น

IMG_6694IMG_6695พอร์ตเชื่อมต่ออีกจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเลยคือเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อ ที่แอปเปิลเลิกใช้งานพอร์ต USB แบบปกติ รวมถึงพอร์ต Thunderbolt เดิม ที่มีขนาดใหญ่ มาเหลือเป็นพอร์ต Thunderbolt 3 (USB-C) แทน ทำให้พอร์ตเชื่อมต่อของ Macbook Pro With Touch Bar จะมา USB-C ให้ทั้งหมด 4 พอร์ต และช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม.

IMG_6759

ข้อดีของการที่มีพอร์ตเชื่อมต่อมาให้ 4 พอร์ต คือ ผู้ใช้สามารถเลือกเสียบสายชาร์จเข้ากับพอร์ตใดก็ได้ โดยตัวเครื่องจะมีระบบเลือกไฟเข้าเฉพาะพอร์ตเดียว ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าเมื่อเสียบซ้อนกัน 2 พอร์ตเครื่องจะมีปัญหา โดยแบตเตอรีของเครื่องจะมีขนาด 4,415 mAh นอกจากนี้ ก็ยังสามารถใช้ต่อกับอุปกรณ์เสริมที่เป็นพอร์ตแปลงเป็น USB 3.0 HDMI ช่องต่อสายแลน และอุปกรณ์อื่นๆที่รองรับได้

สเปก

About

สำหรับสเปกของ MacBook Pro with Touch Bar 13” ที่ได้มาทดสอบ จะมาพร้อมกับหน่วยประมวลผล Intel Core i5 ที่เป็น Dual-Core 2.9 GHz (Turbo Boost 3.3GHz) L3-Cache 4MB หน่วยประมวลผลภาพเป็น Intel Iris Graphic 550 RAM LPDDR3 2133 MHz ขนาด 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูลเป็น SSD ขนาด 512 GB (เริ่มต้นที่ 256 GB)

โดยผู้ใช้สามารถเลือกปรับเปลี่ยนหน่วยประมวลผลในรุ่นจอ 13” ขึ้นไปเป็น  Intel Core i7 Dual-core 3.3 GHz (Turbo Boost 3.6 GHz) L3-Cache 4MB พร้อมเพิ่ม SSD ได้สูงสุดที่ 1 TB

ในขณะที่ในรุ่น 15” จะมากับ Intel Core i7 Quad-Core 2.7 GHz (Turbo boost 3.5 GHz) L3-Cache 6 MB สามารถปรับเพิ่มเป็น Intel Core i7 Quad-core 2.9GHz (Turbo Boost 3.8GHz) L3-Cache 8 MB ได้ RAM 16 GB พื้นที่เก็บข้อมูล SSD เริ่มต้นที่ 256 GB – 2 TB โดยในรุ่น 15” จะมากับการ์ดจอแยกเป็น Radeon Pro 450 (เพิ่มเป็น Radeon Pro 460 ได้)

ฟีเจอร์เด่น

IMG_6730

ในแง่ของฟีเจอร์การใช้งานที่ต้องพูดถึงแน่นอนว่าคงหนีไม่พ้น Touch Bar และ Touch ID ที่เป็นของใหม่สุด และเพิ่งเริ่มใช้งานกับ Macbook Pro รุ่นปี 2016 ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความที่เป็นของใหม่ ทำให้ในช่วงแรกแอปพลิเคชัน หรือ โปรแกรมที่รองรับนั้นมีค่อนข้างน้อย และต้องรอให้โปรแกรมอื่นๆมีการอัปเดตให้รองรับเพิ่มเติม

TouchFeature

ทีนี้มาดูความสามารถเบื้องต้นของ Touch Bar เมื่อไม่ได้เปิดใช้งานโปรแกรมใดๆ ตัวแสดงผลจะขึ้นเพียงปุ่ม ESC พร้อมกับอีก 4 ไอค่อนหลัก อย่างปุ่มปรับระดับความสว่างหน้าจอ ปรับระดับเสียง ปิดเสียง และเรียกใช้งาน SIRI และเมื่อกดปุ่ม fn แถบปุ่ม F1-F12 ก็จะโชว์ขึ้นมาให้ใช้งาน

เมื่อกดปุ่มลูกศรข้างๆ ก็จะเป็นการยืดแถบควบคุมที่คุ้นเคยออกมา คือจะมีให้เลือกปรับความสว่างหน้าจอ เข้าหน้าจอแสดงโปรแกรมที่ใช้งานทั้งหมด (Mission Control) เรียกดูโปรแกรม (Launchpad) ปรับความสว่างไฟคีย์บอร์ด ปุ่มควบคุมเครื่องเล่นเพลง ปรับระดับเสียง และปุ่มเรียกใช้ SIRI

touchbaredit

ทั้งนี้ บริเวณแถบดังกล่าว ผู้ใช้สามารถเข้าไปปรับแต่งด้วยตนเองได้ด้วยการเข้าไปที่ System Preferences > Keyboard > Customize Control Strip หลังจากนั้น ทำการเลือกปุ่มควบคุมที่ต้องการจากหน้าจอลงไปไว้ที่ Touch Bar ได้ทันที โดยจะเลือกปรับเฉพาะ 4 ไอค่อนหลัก หรือทั้งแถบควบคุมเลยก็ได้

โดยปุ่มควบคุมที่สามารถตั้งได้จะประกอบด้วย ปุ่มปรับระดับความสว่างหน้าจอ Mission Control เรียกเมนูค้นหา (Spotlight) ปุ่มสั่งเล่น/หยุดเพลง ปรับระดับเสียง เปิด/ปิดเสียง SIRI เรียกดูการแจ้งเตือน ตั้งโหมดห้ามรบกวน จับภาพหน้าจอ ระบบค้นหาคำศัพท์ สลับภาษา Dasboard Launchpad แสดงหน้าจอ เรียกภาพพักหน้าจอ ล็อกจอ เข้าโหมดสลีป เพิ่ม/ลดความสว่างหน้าจอ เพิ่ม/ลดไฟคีย์บอร์ด ปุ่มควบคุมมีเดีย แถบควบคุมระดับเสียง และเว้นว่างไว้

IMG_6734

เบื้องต้น โปรแกรมที่รองรับการใช้งาน Touch Bar จะเป็นโปรแกรมพื้นฐานที่มากับ Mac OS อย่าง รูปภาพ (Photos) ผู้ใช้สามารถใช้นิ้วสัมผัสแถบ Touch Bar เพื่อกดถูกใจรูปแบบ (Favorite) หมุนภาพ กดปรับแต่งภาพ ไม่ว่าจะเป็นปรับสีอัตโนมัติ เลือกเพิ่มความสว่าง เพิ่มสี ทำรูปขาวดำ ครอบรูป ปรับองศา เลือกสัดส่วนภาพ ใส่ฟิลเตอร์ ปรับขนาด Retouch รูปภาพเบื้องต้น

ถัดมาคือ อีเมล (Mail) ผู้ใช้สามารถสั่งเขียนจดหมายใหม่ กด reply หรือ forword เก็บอีเมล (Archive) ย้ายไปเก็บยังกล่องต่างๆ ตั้งเป็น Junk Mail ปักหมุด นอกจากนี้ เมื่อกดเข้าสู่หน้าส่งข้อความใหม่ ก็จะมีปุ่มให้กดส่งเมลได้ทันที พร้อมกับตัวเลือก Emoticon ต่างๆให้เลือกใช้

ในส่วนของ ซาฟารี (Safari) Touch bar จะทำหน้าที่หลักๆ 2 ส่วน คือกดเพื่อพิมพ์ URL เว็บไซต์ หรือพิมพ์ข้อความเพื่อค้นหาต่างๆ กับ การเรียกหน้าใหม่ขึ้นมาพร้อมกดเข้าสู่เว็บไซต์จาก บุ๊กมาร์คที่ตั้งไว้ รวมถึงใช้สลับหน้าต่าง (Tabs) ขณะใช้งานจาก Touch bar ได้ทันที

นอกจากนี้ ยังสามารถใช้คู่กับ Keynote Pages และ Numbers ได้ โดย Touch Bar ก็จะปรับเปลี่ยนแถบคำสั่งในระหว่างใช้งานไม่ว่าจะเป็นการเลือกรูปแบบอักษร ปรับสีพื้นหลัง สีตัวอักษร สีกรอบ เลือกเส้นประ ความโปร่งใส จัดเรียงหน้ากระดาษ ใส่ Bullet ตั้งฟอร์แมตช่องต่างๆเมื่อใช้งานใน Numbers เหมือนเป็นแถบคำสั่งเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานมากกว่า

เช่นเดียวกับใน สมุดจด (Notes) ที่ Touch Bar จะทำหน้าที่แสดงผลการคาดเดาคำศัพท์ (Word Prediction) ที่ปัจจุบันยังไม่รองรับภาษาไทย การขึ้นหน้าใหม่ ปรับรูปแบบตัวอักษรต่างๆ ยังมีการนำมาใช้ร่วมกับการตัดต่อภาพยนตร์ ทั้งผ่าน Final Cut และ iMovie ที่สามารถใช้เลื่อน Timeline และคำสั่งในการตัดต่อต่างๆ

IMG_6744IMG_6745

รวมถึงโปรแกรมพื้นฐานอย่าง สมุดรายชื่อ สามารถกดเพื่อส่งข้อความหาได้ทันที เครื่องคิดเลข ใช้ในการกดสูตรต่างๆ การใช้โทร Facetime ก็จะโชว์ปุ่มโทรออก วางสาย แสดงชื่อผู้ติดต่อ แน่นอนว่าถ้าใช้งานร่วมกับ iPhone ก็สามารถใช้กดรับโทรศัพท์บน Macbook ได้ทันที

IMG_6756

กรณีที่ใช้พวกโปรแกรมตกแต่งภาพอย่าง Adobe Photoshop CC หรือ Lightroom CC ทาง Adobe ก็มีอัปเดตให้โปรแกรมดังกล่าวรองรับการทำงานร่วมกับ Touch Bar แล้วด้วย หรือถ้าอยากหาโปรแกรมอื่นที่รองรับก็สามารถเข้าไปดูได้ใน App Store เลือกเมนู Enchance for Touch Bar

IMG_6674

นอกจากนี้ ที่บริเวณขวาสุดของ Touch Bar จะมีปุ่ม Touch ID ซ่อนอยู่ ไว้ใช้สำหรับสแกนลายนิ้วมือ เพื่อปลดล็อกเครื่อง ใช้ติดตั้งโปรแกรม รวมถึงใช้สำหรับยืนยันการซื้อแอปฯ หรือชำระค่าบริการต่างๆได้ด้วย (Apple Pay) เปรียบเหมือนระบบช่วยยืนยันตัวตน เพียงแต่ระบบดังกล่าวจะเริ่มใช้ เมื่อมีการกรอกรหัสปลดล็อกเครื่องครั้งแรกก่อน หลังจากนั้นจึงสามารถใช้ลายนิ้วมือได้

TouchID-Seting

สำหรับ Touch ID ผู้ใช้สามารถเลือกป้อนข้อมูลนิ้วมือได้ 3 ลายนิ้วมือ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีการตั้งรหัสป้องกันเครื่องไว้ก่อน เพื่อใช้ปลดล็อกเครื่องในกรณีที่ไม่สะดวกใช้ลายนิ้วมือแต่ทั้งนี้ ถ้ามีผู้ใช้งานหลายบัญชีในเครื่องเดียว ตัวเครื่องก็จะรองรับการบันทึกลายนิ้วมือสูงสุดแค่ 3 ลายนิ้วมือเช่นเดิม

IMG_6729

หลักๆแล้ว การใช้งานของ Touch ID จะได้ใช้จริงเมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาใช้งานจากโหมด Sleep กับอีกกรณีคือเมื่อต้องการปรับตั้งค่าในส่วนของ System Preference และกรณีที่มีการติดตั้งโปรแกรม หรือแอปพลิเคชันเพิ่มเติม ส่วนเสริมอื่นๆอย่างใช้การยืนยันรหัส Apple ID และ Apple Pay อาจจะได้ใช้กันมากขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มความสามารถพิเศษอย่างกรณีที่ปิดเครื่อง เมื่อเปิดหน้าจอขึ้นมาเครื่องจะติดโดยอัตโนมัติ พร้อมให้ผู้ใช้กรอกรหัสเพื่อเข้าใช้งานครั้งแรกได้เลย จากเดิมในรุ่นก่อนๆที่ต้องกดปุ่มเพื่อเปิดเครื่องก่อนเป็นต้น

ตัวอย่างการใช้งาน Touch Bar

ทดสอบประสิทธิภาพ

โดยรวมแล้วฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่มีใน Macbook Pro with Touch Bar ก็คือเรื่องความสามารถในการใช้งาน Touch Bar และ Touch ID ที่เพิ่มเข้ามา ส่วนที่เหลือหลักๆก็จะมีการเพิ่มเติมในแง่ของ คุณภาพเสียงจากลำโพงที่ดังขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม

การแสดงผลของหน้าจอที่ให้สีที่สดใส และคมชัดมากขึ้น เพียงแต่ว่า จากเดิมเมื่อใช้งานใน Macbook เมื่อปรับความสว่างเกือบต่ำสุด ก็ยังสามารถมองจอเพื่อใช้งานแบบประหยัดพลังงานได้ แต่ใน Macbook Pro การปรับแสดงเกือบต่ำสุด หน้าจอจะมืดเกินไป ทำให้ต้องเพิ่มความสว่างขึ้นมา อยู่ระดับกลางๆจึงใช้งานได้ตามปกติ

Screen-Shot-2560-01-13-at-6.41.01-PM

[Updated 13-01-18] ล่าสุด ทางแอปเปิลได้ลองปล่อยอัปเดตสำหรับนักพัฒนา macOS 10.12.3 Public Beta 4 ออกมา พร้อมระบุว่าได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้ว หลังจากทีมงานทดสอบแล้วจะมาแจ้งผลให้ทราบอีกทีหนึ่ง

ปัญหาเรื่องแบตเตอรี กลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะจากเดิมทีมงานเคยใช้งาน Macbook และ Macbook Pro รุ่นเก่ามาก่อน จะพบว่า แบตเตอรีเมื่อใช้งานต่อเนื่องจะอยู่ได้ 7-8 ชั่วโมงขึ้นไป แต่เมื่อมาลองใช้งานบน Macbook Pro with Touch Bar ปรากฏว่า ใช้งานต่อเนื่องได้ไม่เกิน 6 ชั่วโมง เมื่อใช้งานทั่วไป และลดลงน้อยกว่านั้นเมื่อใช้งานหนักๆ

ดังนั้น คงต้องรอดูการอัปเดตของแอปเปิลต่อไปว่า จะมีการปรับแต่งการใช้งานแบตเตอรีอย่างไร เพราะจากอัปเดตล่าสุดได้มีการ ปรับการแสดงผลแบตเตอรีในเครื่อง เหลือเพียงเปอเซนต์แบตที่เหลืออยู่ และไม่มีการคำนวนระยะเวลาที่ใช้งานได้ต่อเนื่องให้ดูเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

Geek32Geek63สำหรับการทดสอบด้วยโปรแกรมทดสอบอย่าง GeekBench 32 bit และ 64 bit จะได้คะแนน Single Core 3,387 – 3,659 คะแนน และ Multi Core 6,815 – 7,625 คะแนน ตามลำดับ

Cinebench

ขณะที่ CineBench R15 ได้คะแนน OpenGL 36.76 fps และ CPU 339 cb

สรุป

MacBook Pro with Touch Bar อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด เมื่อคำนวนถึงค่าใช้จ่ายที่เสียไปกับราคาเครื่องที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้ ซึ่งก็เป็นไปตามแนวทางของแอปเปิลอยู่แล้ว ที่จะมองในแง่ของการใช้งานเป็น รวมถึงทางด้านของนวัตกรรม การมาของ Touch Bar จะเป็นที่น่าสนใจในท้องตลาด เพราะช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานได้เป็นอย่างดี

ความว้าวหลักของเครื่องรุ่นนี้ จะตกไปอยู่ที่หน้าจอที่ให้สีสมจริง เหมาะกับการทำงานกราฟิกเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันในแง่ของคีย์บอร์ดที่เป็นแบบปีกผีเสื้อถือว่าพัฒนาขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า พิมพ์ได้สะดวกขึ้น ทัชแพดที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ประกอบกับการเพิ่มช่องต่อ USB-C มาให้ 4 ช่อง ช่วยให้การทำงานโดยรวมดีมากขึ้น (สำหรับผู้ที่มีอุปกรณ์ที่ใช้งาน USB-C)

แต่สิ่งที่แอปเปิล ต้องพิสูจน์ในเครื่องรุ่นนี้ และแก้ปัญหาพร้อมกับเรียกความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับคืนมาคือเรื่องของแบตเตอรี เพราะจากอัปเดตล่าสุดของ masOS ได้มีการนำการคำนวนระยะเวลาใช้งานบนแบตเตอรีออกไป เหลือแสดงผลเพียงปริมาณแบตเตอรีเท่านั้น จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเพราะเหตุใด ประกอบกับการใช้งานจริงที่เมื่อใช้งานหนักๆ ระยะเวลาใช้งานบนแบตเตอรีก็จะน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

ทั้งนี้ ราคา จำหน่ายของ MacBook Pro รุ่นปี 2016 จะมีให้เลือกหลักๆ 3 รุ่นคือ

MacBook Pro 13-inch: ราคาเริ่มต้นที่ 56,900 บาท

MacBook Pro 13-inch with Touch Bar and Touch ID: ราคาเริ่มต้นที่ 67,900 บาท

MacBook Pro 15-inch with Touch Bar and Touch ID: ราคาเริ่มต้นที่ THB 89,900 บาท

ข้อดี

หน้าจอ 2K ที่ให้การแสดงผลคมชัด สมจริง

คีย์บอร์ด และแทร็กแพดที่ปรับปรุงประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

– Touch Bar & Touch ID ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งาน

ดีไซน์ตัวเครื่องที่บางลง Macbook Pro รุ่น 13” น้ำหนักเท่า Macbook Air 13”

ข้อสังเกต

ปัญหาเรื่องแบตเตอรีที่ยังไม่ค่อยเสถียร

พอร์ต Thunder Bolt 3 (USB-C) ยังมีอุปกรณ์รองรับน้อย ต้องใช้งานคู่กับอะเดปเตอร์เสริม

ประสิทธิภาพไม่ได้เพิ่มจากรุ่นเดิมมาก จนต้องเปลี่ยนมาใช้

Gallery

]]>
Review : Acer Aspire E5-553G-T03K โน้ตบุ๊กสุดคุ้ม พลัง AMD ควอดคอร์ ในราคาไม่ถึงสองหมื่นบาท https://cyberbiz.mgronline.com/review-acer-aspire-e-amd/ Tue, 22 Nov 2016 10:14:53 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=24564

IMG_0084

วันนี้ทีมงานไซเบอร์บิซได้รับโน้ตบุ๊กฝั่ง AMD (เอเอ็มดี) มาทดสอบกับแบรนด์ Acer ตระกูล Aspire E Series ที่เน้นการใช้งานในชีวิตประจำวันที่หลากหลาย โดยรุ่นที่ทีมงานได้รับมาเป็นรหัส E5-553G-T03K ใช้ซีพียู AMD A-Series เจนเนอเรชันที่ 7 พร้อมกราฟิกการ์ดแยกและไม้ตายเด็ดคือราคาไม่ถึงสองหมื่นบาท

การออกแบบ

IMG_0080

IMG_0124

เริ่มจากการออกแบบ Aspire E Series ถูกจัดอยู่ในกลุ่มโน้ตบุ๊กเน้นใช้งานหลากหลายในราคาที่คุ้มค่า เพราะฉะนั้นเอเซอร์จึงจัดสเปกฮาร์ดแวร์มาให้เพียงพอต่อการใช้งานทุกรูปแบบ ตั้งแต่หน้าจอแบบด้าน ที่ให้ขนาดมาใหญ่โตถึง 15.6 นิ้ว แต่ด้านพาเนลจะลดสเปกไปใช้ Active Matrix TFT Color LCD ที่ความละเอียด HD 1,366×768 พิกเซล พร้อมกล้องเว็บแคมรองรับ HDR และไมโครโฟน

IMG_0108

ด้านวัสดุ ฝาเปิดปิดเป็นพลาสติกขัดลายให้เหมือนโลหะดูหรูหรา

ในส่วนขนาดตัวเครื่องค่อนข้างใหญ่โตตามขนาดหน้าจอ โดยตัวเครื่องมีความหนา 23.90 (ด้านหน้า)ถึง 30.20 มิลลิเมตร (ด้านหลัง) พร้อมน้ำหนัก 2.23 กิโลกรัม

IMG_0094

แน่นอนว่าด้วยตัวเครื่องขนาดใหญ่ ทำให้แป้นคีย์บอร์ดสามารถติดตั้ง Num Pad (แผงปุ่มตัวเลข) เพิ่มได้ โดยแป้นคีย์บอร์ดจะไม่มีไฟส่องสว่างด้านหลังเวลาใช้งานกลางคืน ส่วน Touch Pad เป็นมัลติทัชรุ่นใหม่แบบมีระบบป้องกันการตอบสนองต่ออุ้งมือจากการสัมผัสโดยไม่ตั้งใจ

IMG_0131

ด้านล่างตัวเครื่อง ในรุ่นใหม่นี้จะมาพร้อมแบตเตอรี 4 เซลล์ขนาด 2,800mAh ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้ด้วยตัวเอง ลงมาด้านล่างจะเป็นฝาปิดช่องใส่แรมและฮาร์ดดิกส์ (สามารถอัปเกรดได้ภายหลัง แต่ระหว่างอยู่ในประกันเมื่อแกะฝาปิดนี้ออกด้วยตัวเอง ประกันจะขาดทันที) 

IMG_0139

ส่วนช่องซ้ายขวาด้านล่างจะเป็นลำโพงสเตอริโอ 2 ตัวบนเทคโนโลยี Acer TrueHarmony เน้นให้เสียงมีมิติมากขึ้น

IMG_0120

มาดูพอร์ตเชื่อมต่อรอบตัวเครื่อง เริ่มจากขวามือเป็นไดร์ฟ DVD อ่านเขียนได้ ถัดมาเป็นช่องเสียบอะแดปเตอร์ไฟบ้าน พอร์ต USB 2.0 และช่องหูฟัง/Headset 3.5 มิลลิเมตร

IMG_0119

ซ้ายมือ เริ่มจากบนสุดเป็นช่องใส่สายล็อคกันขโมย ถัดลงมาเป็นช่องระบายความร้อน พอร์ต USB-C 3.1, พอร์ต LAN RJ-45, VGA D-sub, HDMI และ USB 3.0 อีก 2 พอร์ต (เรียกได้ว่าครบครันทุกพอร์ตเชื่อมต่อที่ใช้ในปัจจุบันเลย)

IMG_0133

ด้านหน้า เป็นช่องอ่านการ์ด SD Card Reader และไฟแสดงสถานะการทำงานของตัวเครื่องและไฟฮาร์ดดิสก์

สเปก

cpu-a10

มาถึงสเปก เริ่มจากซีพียูใช้เจนใหม่ระดับกลาง เน้นประหยัดพลังงาน (7th Gen) AMD A10 9600P Quad Core ความเร็ว 2.40GHz 10 Compute Cores (GPU+CPU) รองรับ AMD Turbo Core Technology เพิ่มความเร็วได้สูงสุด 3.30GHz แรมเป็น DDR4 Dual Channel ขนาด 8GB

gpuz-a10

amdset1

ในส่วนกราฟิกการ์ดจะมี 2 ตัว (Dual Graphics) คือหนึ่งตัวมากับซีพียูเป็น Accelerated Processor (APU) “Radeon R5” พร้อมแรม 512MB แชร์มาจากแรมตัวเครื่อง DDR4 ส่วนอีกตัวเป็น “AMD Radeon R8 M445DX” (ในรูปจะแสดงชื่อรุ่นผิด ต้องรออัปเดตซอฟต์แวร์) พร้อมแรม DDR3 ขนาด 2GB โดยการทำงาน ระบบจะจัดการพลังงานและประสิทธิภาพแปรผันตามการใช้งานผ่านซอฟต์แวร์ควบคุมอัตโนมัติ

specaceramdddddd22

ด้านสเปกฮาร์ดแวร์ส่วนอื่น Acer Aspire E5-553G-T03K มาพร้อมฮาร์ดดิสก์เก็บข้อมูลความจุ 1TB จากโตชิบ้า ชิป WiFi จาก Qualcomm รองรับมาตรฐานเชื่อมต่อสูงสุด IEEE 802.11ac พร้อมบลูทูธ

สำหรับระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งมากับเครื่องจะเป็น Linpus Linux เท่านั้น ใครอยากได้ Windows 10 ต้องซื้อแยกมาติดตั้งเอง

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

pcmark-amdacer1

pcmark-amdacer4pcmark-amdacer2pcmark-amdacer3

ขอเริ่มจาก PCMark 8 กันก่อน จะเห็นว่าผลคะแนนที่ออกมาถ้าเทียบกับโน้ตบุ๊กรุ่นที่ใช้ซีพียูคู่แข่งจะอยู่ประมาณ Intel Core i5 ได้ประสิทธิภาพคุ้มราคาดีเหมือนกันโดยเฉพาะเมื่อใช้งานแอปพลิเคชันเป็นจำนวนมากพร้อมกัน 4 แกนสมองของเอเอ็มดีช่วยเหลือได้ดีมาก

3dmark13dmark2

โดยเฉพาะส่วนกราฟิกแม้เมื่อรวมกันทำงานจะให้ประสิทธิภาพเพียงแค่ระดับเริ่มต้น (3DMark ทดสอบได้แค่ชุด Sky Diver กับ Cloud Gate สูงกว่านั้นสเปกกราฟิกไม่พอ) แต่สำหรับการนำไปใช้ทำงาน เช่น ตกแต่งภาพ เรนเดอร์วิดีโอถือว่าทำได้ลื่นไหลพอตัว โดยทีมงานได้ทดลองตัดต่อวิดีโอ 4K ก็พบว่าสามารถทำได้ในระดับกลางๆ น่าพอใจ อาจไม่รวดเร็วแต่ก็ไม่มีอาการติดขัดใดๆระหว่างใช้งานเลย

geekaceramd

คะแนน Geekbench 4 สำหรับ Single Core อยู่ที่ 1,951 คะแนน Multi-core อยู่ที่ 4,159 คะแนน

ffxiv_dx11-2016-11-19-13-06-17-36

ffxivaceramd

Rise-of-the-Tomb-Raider-v1.0-build-668.1_64-19_11_2559-12_38_39

มาถึงการทดสอบเล่นเกม ตามสเปกและราคา Aspire E5-553G-T03K อาจไม่รองรับกับเกม 3 มิติทุกเกมที่วางขายในท้องตลาดตอนนี้ เนื่องจากสเปกฮาร์ดแวร์ค่อนข้างจำกัดอย่างมาก ยกตัวอย่างเกม Rise of the Tomb Raider สามารถเล่นบน DirectX 12 ที่ค่ากราฟิกต่ำสุดได้เฟรมเรตประมาณ 15-20 เฟรมต่อวินาทีเท่านั้น ถือว่าพอเล่นได้ กราฟิกไม่มีแสดงผลผิดเพี้ยน ถ้าเป็นเกมที่กราฟิกไม่สูงมาก เช่น Overwatch สามารถปรับค่ากราฟิกกลางๆก็สามารถเล่นได้ลื่นไหลสบายๆ หรือ GTA V ถ้าปรับออปชันกราฟิกกลาง-ต่ำ ก็สามารถเล่นได้ลื่นไหลเช่นกัน (เทียบกับคู่แข่งก็ประมาณ NVIDIA GeForce 940M)

aceramda10-batterytest

สุดท้ายกับการทดสอบแบตเตอรี ถือเป็นจุดอ่อนสุดของโน้ตบุ๊กรุ่นนี้เพราะทำเวลาใช้งานต่อเนื่องได้แค่ 2 ชั่วโมง 33 นาทีเท่านั้น ถ้านับเป็นเวลาใช้งานทั่วไปไม่น่าจะถึง 6 ชั่วโมง

สรุปสำหรับค่าตัว Acer Aspire E5-553G-T03K ราคาเต็มอยู่ที่ 17,990 บาท (ตอนนี้มีการปรับราคาลงเหลือ 14,990 บาท) เรียกว่าเป็นราคาเปิดตัวที่คุ้มค่าอย่างมากเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้ ยิ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้ว โน้ตบุ๊กรุ่นนี้ที่มาพร้อมซีพียูเจนเนอเรชันที่ 7 จาก AMD สามารถฟัดชนะคู่แข่งได้ไม่ยากเลย (ประสิทธิภาพสูสีกันแล้ว) ยิ่งราคาเปิดตัวมาไม่เกินสองหมื่นบาทด้วยแล้ว ใครมีงบประมาณจำกัด ทีมงานแนะนำให้มองรุ่นนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกได้เลย

แต่ทั้งนี้ทีมงานก็อยากให้ทางเอเซอร์ปรับความสมบูรณ์ของไดร์ฟเวอร์กราฟิกการ์ดและเฟริมแวร์ตัวเครื่องอีกเล็กน้อย เนื่องจากระบบมองชื่อรุ่นกราฟิกการ์ดผิดรุ่นและบางครั้งระบบมองไม่เห็นกราฟิกการ์ดตัวที่สองทำให้ประสิทธิภาพลดลงไปถึงการจัดการพลังงานภายในที่ต้องได้รับการแก้ไขอีกเล็กน้อย Aspire E5-553G-T03K ก็น่าจะสมบูรณ์แบบและน่าใช้ยิ่งขึ้นไปอีก

ข้อดี

– สเปกเทียบราคาคุ้มค่ามาก
– ซีพียูควอดคอร์
– จอ 15.6 นิ้ว คีย์บอร์ดมีแป้นตัวเลข
– พอร์ตเชื่อมต่อครบครัน มี USB-C ด้วย
– อัปเกรดแรมและฮาร์ดดิสก์ได้ภายหลัง

ข้อสังเกต

– ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่
– แบตเตอรีหมดเร็ว
– ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ระบบยังไม่ค่อยเสถียรนัก
– ฮาร์ดดิสก์ 1TB ที่ิติดตั้งมากับเครื่องอ่านเขียนค่อนข้างช้า

Gallery

]]>
Review : Acer Aspire S 13 เด่นที่บางเบา รองรับ USB-C https://cyberbiz.mgronline.com/review-acer-aspire-s13/ Tue, 11 Oct 2016 06:07:47 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=24127

acers13-head

Aspire S เป็นตระกูลอัลตร้าบุ๊กจากเอเซอร์ที่เน้นความบางเบาเป็นหลัก โดย Aspire S 13 เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดของปี 2016 มี 2 รุ่นให้เลือกได้แก่ S5-371-56U8 มาพร้อมซีพียู Intel Core i5 และรุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบ S5-371-74P0 มาพร้อมซีพียู Intel Core i7

การออกแบบ

DSC_2386

DSC_2404

Acer Aspire S 13 ทุกรุ่นมาพร้อมหน้าจอด้าน LED IPS ขนาด 13.3 นิ้ว (Active Matrix TFT Color LCD) ความละเอียดหน้าจอ Full HD 1,920×1,080 พิกเซล พร้อมกล้องเว็บแคม ไมโครโฟน และด้านในหน้าจอยังมีการวางเสาอากาศรับ WIFi แบบ 2×2 MU-MIMO ขนาบไว้ทั้งสองข้างหน้าจอด้วย

ส่วนขนาดตัวเครื่อง กว้าง 327 มิลลิเมตร ลึก 288 มิลลิเมตร หนา 14.6 มิลลิเมตร พร้อมน้ำหนัก 1.30 กิโลกรัม

DSC_2413

DSC_2451

ด้านการออกแบบ ตัวเครื่อง Core i5 จะเป็นสีดำ ส่วนตัว Core i7 จะเป็นสีขาว ฝาเครื่องใช้การพิมพ์ลายนาโน ส่วนบานพับเป็นโลหะชุปสีทองแดงผิวเรียบ มุมเครื่องได้รับการออกแบบให้โค้งมน พร้อมชื่อรุ่น Aspire S สลักอยู่บริเวณตรงกลางของบานพับโลหะ

DSC_2390

DSC_2441

คีย์บอร์ด มาพร้อมปุ่ม Function (Fn) ปุ่มเปิดปิดเครื่อง ไฟ Backlight และมีการออกแบบให้คีย์แป้นพิมพ์เตี้ยลง กดสัมผัสได้ง่าย รวดเร็ว ไม่ต้านนิ้ว ส่วนทัชแพดเป็นมัลติทัช ตอบสนองเร็วกว่ารุ่นก่อนหน้า

DSC_2416

ด้านข้าง เริ่มจากขวามือจะเป็นที่อยู่ของพอร์ต USB 3.1 Type-C , USB 3.0, พอร์ต HDMI, ไฟแสดงสถานะการทำงานของตัวเครื่อง, ไฟแสดงสถานะการชาร์จแบตเตอรีและสุดท้ายช่องเชื่อมต่ออะแดปเตอร์ไฟบ้าน

DSC_2417

อีกด้านจะเป็นที่อยู่ของพอร์ต USB 3.0, ช่องหูฟัง/Headset ขนาด 3.5 มิลลิเมตร และช่องอ่านการ์ด SD

DSC_2420

ด้านหลัง จะเป็นส่วนบานพับโลหะทั้งหมดพร้อมช่องระบายความร้อนขนาดใหญ่จำนวน 2 ช่อง

DSC_2421

พลิกเครื่องมาดูด้านล่าง (ไม่สามารถถอดแบตเตอรีและอัปเกรดฮาร์ดแวร์ได้ด้วยตัวเอง) ด้านบนจะเป็นส่วนหมุนเวียนอากาศเพื่อระบายความร้อน ส่วนด้านล่างบริเวณซ้ายและขวาของตัวเครื่องจะเป็นส่วนลำโพงสเตอริโอ

สเปก

cpu-z-s13

win10details-s13

มาดูสเปกเครื่อง สำหรับรุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบเป็นรุ่นท็อปสุด ใช้ซีพียูดูอัลคอร์ Intel Core i7 6500U ความเร็ว 2.50GHz แรมให้มา 8GB แบบ Dual Channel LPDDR 3 กราฟิก ให้มาเฉพาะออนบอร์ด Intel HD Graphics 520 ฮาร์ดดิสก์ SSD ความจุ 512GB, WiFi รองรับมาตรฐานสูงสุด IEEE 802.11ac

ในส่วนระบบปฏิบัติการเป็น Windows 10 Home Single Language แบตเตอรีภายในเป็น ลิเธียมโพลิเมอร์ 3 เซลล์ 4,030 mAh

ฟีเจอร์เด่น

Win10home-s13

acercare-s13

นอกจากระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ ติดตั้งมาจากโรงงานแล้ว ตัวเครื่องยังรองรับระบบคลาวด์ BYOC (Build Your Own Cloud) ของเอเซอร์อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นทางเอเซอร์จึงจัดเต็มติดตั้งแอปพลิเคชันเกี่ยวกับคลาวด์ส่วนตัวมาให้ใช้งานอย่างครบครัน รวมถึง Acer Care Center ที่มีให้ผู้ใช้สามารถตรวจเช็คอัปเดตเฟริมแวร์ สำรองข้อมูลได้อย่างง่ายดายเช่นเดิม

ด้านระบบเสียง Aspire S 13 รองรับ Dolby Audio ผู้ใช้สามารถปรับแต่งเสียงได้อย่างอิสระตามรูปแบบการใช้งาน

ทดสอบประสิทธิภาพ

pcmark-s13

geekbench-s13

ในครั้งนี้ทีมงานคงไม่ลงรายละเอียดส่วนทดสอบประสิทธิภาพมากนัก เนื่องจากจุดประสงค์ของตัวเครื่องออกแบบมาเพื่อเน้นเรื่องความบางเบา และใช้งานทั่วไป เพราะฉะนั้นการทดสอบจึงเน้นเรื่องประสิทธิภาพสำหรับงานเอกสาร ตัดแต่งปรับสีภาพ รวมถึงการใช้เล่นเกมฆ่าเวลาเล็กๆน้อยๆ แน่นอนว่า Acer Aspire S 13 สามารถตอบสนองการใช้งานเหล่านั้นได้ดี ซีพียู Intel Core i7 Dual Core สามารถใช้งานได้ครอบคลุมตั้งแต่งานมัลติมีเดีย ตัดต่อคลิปวิดีโอจากสมาร์ทโฟน ไปถึงการตัดแต่งปรับสีภาพถ่าย RAW, JPEG จากซอฟต์แวร์เฉพาะก็สามารถใช้งานได้ลื่นไหลจาก Aspire S 13

batt-s13

นอกจากนั้นเรื่องแบตเตอรี สำหรับการใช้งานแบบหนักหน่วงผ่านชุดทดสอบ PC Mark 8 สามารถทำเวลาได้ 4 ชั่วโมง 2 นาที และเมื่อทดสอบใช้งานจริงพบว่า ตัวเครื่องสามารถใช้งานต่อเนื่องประมาณ 6-9 ชั่วโมง ไม่แตกต่างจากอัลตร้าบุ๊กแบรนด์อื่นนัก

สรุป

DSC_2388

สำหรับราคาค่าตัว Acer Aspire S 13 (Core i7) อยู่ที่ 39,990 บาท เรียกได้ว่าเป็นอัลตร้าบุ๊กเน้นความเบาบางติดอันดับโน้ตบุ๊กพกพาสะดวกสบายอันดับต้นๆของกลุ่มได้สบายๆ

ด้านการออกแบบ วัสดุที่เลือกใช้ ถือว่าสอบผ่าน โดยเฉพาะบานพับที่ผลิตจากโลหะ มีความแข็งแรง หรูหราเหมาะกับกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นนักธุรกิจอย่างดี ส่วนประสิทธิภาพก็เป็นไปตามสเปก i7 Dual Core คือใช้งานทั่วไป ไปถึงสามารถตัดคลิปวิดีโอเล็กๆน้อยๆได้ทั้งหมด แต่ถ้านำไปใช้งานเฉพาะทาง เช่น ตัดต่อวิดีโอความละเอียดสูง 4K หรือตกแต่งภาพเป็นหลัก Aspire S 13 อาจไม่เหมาะแก่งานเหล่านั้น

ข้อดี

– บางเบา พกพาสะดวกสบาย
– การออกแบบ บานพับโลหะ หรูหราแข็งแรง เก็บงานดีมาก
– แป้นคีย์บอร์ดกดสัมผัสง่าย ใช้งานลื่นไหลเป็นธรรมชาติ
– มี USB 3.1 Type-C มาให้

ข้อสังเกต

– อะแดปเตอร์ไฟบ้านมีขนาดใหญ่เกินไป น่าจะได้รับการออกแบบใหม่ให้เข้ากับความเป็นตระกูลเน้นบางเบา
– เมื่อพัดลมระบายความร้อนทำงานแรงสุด เสียจะดังมาก

Gallery

]]>
Review : Acer Predator 17 โน้ตบุ๊กพันธุ์โหดเพื่อคอเกมและไฮเอนด์ยูสเซอร์ https://cyberbiz.mgronline.com/review-acer-predator17/ Mon, 27 Jun 2016 02:01:35 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=23050

IMG_5320

ขึ้นชื่อซับแบรนด์ “Predator” จากเอเซอร์ คอเกมคงทราบดีรู้แล้วว่าเน้นจับกลุ่ม ”เกมเมอร์” ที่ต้องการคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เล่นเกมประสิทธิภาพสูง โดยในวันนี้ทีมงานไซเบอร์บิซได้รับโน้ตบุ๊กตัวท็อปสุดของซับแบรนด์นี้ (สำหรับตลาดประเทศไทย) มารีวิวกับ “Acer Predator 17”

การออกแบบ

IMG_5375

predator-sideall

เริ่มจากการออกแบบ Acer Predator 17 รุ่นท็อปสุดในบ้านเราจะเป็นโมเดล G9-791-72Q4 โดยตัวเครื่องมาพร้อมหน้าจอ LED ขนาด 17.3 นิ้ว พาเนลจอเป็น IPS ความละเอียดจอ 1,920×1,080 พิกเซล (รองรับ Output 4K) และมีกล้องเว็บแคมพร้อมไมโครโฟนติดตั้งเหนือจอภาพขึ้นไป

ขนาดตัวเครื่องถือว่าใหญ่และหนักถึง 3.95 กิโลกรัมเมื่อรวมอะแดปเตอร์จ่ายไฟแล้วน้ำหนักจะเขยิบไปที่ประมาณเกือบ 5 กิโลกรัมเลยทีเดียว

IMG_5350

มาดูส่วนคีย์บอร์ด Predator ProZone จะเป็นแป้นแบบ Full Keyboard พร้อมแป้นตัวเลขครบถ้วน นอกจากนั้นเพื่อความเป็นเกมเมอร์เอเซอร์ยังได้เพิ่มสีแดงเข้าไปที่คีย์ WASD และปุ่มทิศทางเพื่อให้ผู้ใช้ เวลาเล่นเกมจะสามารถสังเกตเห็นปุ่มเหล่านี้ได้ง่าย

ถัดมาซ้ายมือสุดจะเป็นปุ่มโปรไฟล์พิเศษที่ผู้ใช้สามารถตั้งเป็นคีย์ลัดหรือมาโครปุ่มร่วมกับเกมที่เล่นได้ตามต้องการ

ด้านล่างสุด – จะเป็นทัชแพดขนาดใหญ่พร้อมปุ่มแทนการคลิกเมาส์ซ้ายและขวาและปุ่มเปิดปิดใช้งานทัชแพด

IMG_5341

นอกจากนั้นใต้แป้นพิมพ์ทางเอเซอร์ยังได้ติดตั้งไฟ LED ส่องสว่างไว้ด้วย โดยรุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบไฟจะเปลี่ยนสีไม่ได้ (ยกเว้นบริเวณปุ่มโปรไฟล์พิเศษ)

IMG_5346

ถัดขึ้นมาบนขวามือจะเป็นไฟแสดงสถานะเปิดเครื่อง ไฟแสดงสถานะการทำงานของฮาร์ดไดร์ฟและไฟแสดงการชาร์จไฟ (ถ้าเป็นสีส้มแสดงว่ากำลังชาร์จไฟเข้าอยู่ ถ้าเป็นสีแดงแสดงว่าใช้ไฟตรงจากอะแดปเตอร์ไฟบ้าน)

IMG_5329

สำหรับด้านหลังเครื่อง เริ่มจากบริเวณหน้าจอ (ฝาปิด) จะมีโลโก้ Predator อยู่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยเส้นสีแดงสองเส้น (เมื่อเปิดเครื่องจะมีไฟสีแดงเรืองแสงดูน่าเกรงขามดี)

cooling-pre17

ส่วนด้านหลังเครื่องตรงที่ล้อมด้วยกรอบสีแดง บริเวณนั้นจะเป็นช่องระบายความร้อน โดยภายในจะมีพัดลม 2 ตัวช่วยกันระบายความร้อนบนเทคโนโลยี Predator FrostCore ซึ่งทางเอเซอร์ได้เขียนคำเตือนไว้ในคู่มือว่า ระหว่างเล่นเกมบริเวณด้านหลังนี้จะมีความร้อนสูง (สูงกว่าโน้ตบุ๊กทั่วไปหลายเท่าตัว) เพราะฉะนั้นการวาง Acer Predator 17 ระหว่างเล่นเกม ควรวางให้ด้านหลังตัวเครื่องออกห่างจากกำแพงหรือสิ่งของที่ไม่สามารถทนความร้อนได้

แต่ทั้งนี้สำหรับการใช้งานทั่วไปที่ไม่ต้องมีการประมวลผลกราฟิกหรือใช้ซีพียูสูง บริเวณด้านหลังจะมีความร้อนออกมาเหมือนโน้ตบุ๊กทั่วไป

IMG_5368

มาถึงเรื่องพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆรอบตัวเครื่อง เริ่มจากขวามือ ช่องสีแดงเป็นช่องเชื่อมต่ออะแดปเตอร์ไฟบ้าน ถัดมาเป็น USB 3.0 จำนวน 2 พอร์ต ช่องเชื่อมต่อไมโครโฟนและหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร (ออกแบบมาให้รองรับหูฟังเกมเมอร์) ถัดมาเป็นช่องอ่าน SD Card

IMG_5402

IMG_5401

ส่วนบริเวณขวาสุด ปกติแกะเครื่องออกจากกล่องครั้งแรกจะเป็นไดร์ฟ Blu ray + DVD แต่ในแพกเกจจะมีการแถมพัดลมช่วยระบายความร้อนตัวที่สองมาให้จาก Cooler Master โดยผู้ใช้สามารถถอดเปลี่ยนได้ด้วยการพลิกใต้เครื่องขึ้นแล้วดันสวิตซ์ตามรูปประกอบ

IMG_5372

อีกด้าน เริ่มจากขวามือสุดจะเป็นช่องใส่สายล็อกกันขโมยเครื่อง ถัดมาเป็นพอร์ตแลน RJ45, Display Port, HDMI, USB 3.0 จำนวน 2 พอร์ต โดยพอร์ตที่สองสามารถใช้ชาร์จสมาร์ทดีไวซ์ได้ และสุดท้าย USB-C/Thunderbolt 3

IMG_5371

IMG_5395

ด้านหน้าและใต้เครื่อง – เริ่มจากด้านหน้าจะเป็นช่องลำโพงซ้ายขวาแบ่งเป็นด้านละ 2 ตัวรวม 4 ตัวเพื่อช่วยกระจายเสียงรอบทิศทางตามหลัก Dolby Audio โดยเมื่อผู้ใช้พลิกดูใต้เครื่องจะเห็นว่าลำโพงถูกติดตั้งให้เสียงสามารถยิงสะท้อนกับโต๊ะเพื่อสร้างเสียงรอบทิศทางได้ ในขณะเดียวกันเสียงก็ถูกยิงออกจากช่องลำโพงที่ติดตั้งไว้บริเวณด้านหน้าเครื่องด้วย

แต่แค่เสียงรอบทิศทางอย่างเดียวคงไม่เพียงพอต่อเกมเมอร์ ใต้เครื่องบริเวณแผ่นเหล็กสีแดง เอเซอร์ยังได้ติดตั้ง Subwoofer ช่วยกระจายเสียงเบสออกมาด้วย ซึ่งเมื่อรวมการทำงานของลำโพงทั้งหมดก็เท่ากับว่า Predator 17 เป็นระบบ 4.2 Channel หรือชื่อเรียกอย่างเป็นทางการคือ Predator SoundPound 4.2

สเปก

cpupre17-spec

สเปกซีพียู Acer Predator 17 ใช้ Intel Core i7 6700HQ 4-cores 8-Threads ความเร็ว 2.6GHz สามารถ Turbo Boost ได้สูงสุดถึง 3.5GHz แรม DDR4 32GB กราฟิก NVIDIA GeForce GTX 980M พร้อมแรม 4GB ส่วนระบบปฏิบัติการติดตั้งมากับตัวเครื่องเป็น Windows 10 Home

hdd-spec-pre17

ในส่วนฮาร์ดไดร์ฟเก็บข้อมูลมี 2 ชุดรวม 2TB กว่าๆ แบ่งเป็นชุดแรกไดร์ฟ C เป็น Intel SSD 2 ตัว ความจุตัวละประมาณ 238GB เชื่อมต่อการทำงานกันบน RAID 0 ส่วนชุดที่ 2 เป็นฮาร์ดดิสก์จานหมุนจาก Seagate ขนาดประมาณ 2TB เชื่อมต่อผ่านพอร์ต SATA600

ด้านการเชื่อมต่อเครือข่าย แลนรองรับความเร็วสูงสุดระดับกิกะบิต ส่วน Wireless LAN รองรับมาตรฐานสูงสุด 802.11ac

แบตเตอรีภายในเป็น Lithium Ion ขนาด 6,000mAh (8 เซลล์) และตัวเครื่องบริโภคพลังงานประมาณ​ 180W

ฟีเจอร์เด่น

win10-home-pre17

ขอกล่าวถึงตัว Windows 10 ที่ติดตั้งมากับ Predator 17 ก่อน ก็คือตัววินโดวส์ที่ให้มาในครั้งนี้ทางเอเซอร์จะเน้นความเพียวของระบบปฏิบัติการให้มากที่สุด เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของการประมวลผล เพราะฉะนั้นพวกซอฟต์แวร์ช่วยเหลือต่างๆ เอเซอร์จะเลือกติดตั้งมาให้เฉพาะที่จำเป็นต่อการควบคุมระบบเท่านั้น

dust-defend-pre17

เริ่มจากซอฟต์แวร์ควบคุมซึ่งเป็นจุดขายหลักก่อนเลยกับ Predator DustDefender ย้อนกลับไปตรงการออกแบบพัดลมระบายความร้อนกันก่อน อย่างที่ทราบดีว่าโน้ตบุ๊กเกมมิ่งจะมีความร้อนระหว่างประมวลผลที่สูงกว่าโน้ตบุ๊กทั่วไป เพราะฉะนั้นนอกจากการออกแบบพัดลมระบายความให้สามารถดึงอากาศภายนอกมาช่วยถ่ายเทภายในตัวเครื่องได้ดีแล้ว เอเซอร์มองว่าเรื่องของฝุ่นก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาช่วยลดประสิทธิภาพการระบายความร้อนได้ เพราะฉะนั้นเอเซอร์จึงได้คิดค้นชุดพัดลมระบายความให้สามารถหมุนย้อนกลับเพื่อระบายฝุ่นออกจากตัวเครื่องผ่านช่องทางพิเศษที่ติดตั้งไว้ใต้เครื่อง

โดยปกติระบบไล่ฝุ่นจะทำงานอัตโนมัติทุก 3 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้ผู้ใช้สามารถสั่งงานแบบแมนวลได้ผ่านซอฟต์แวร์ Acer DustDefender

acercare-pre17

Acer Care Center เป็นซอฟต์แวร์ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบแบตเตอรี สำรองข้อมูลระบบ รวมถึงสั่งอัปเดตเฟริมแวร์และซอฟต์แวร์ควบคุมระบบได้

killer-network-pre17

Killer DoubleShot Pro เป็นฟีเจอร์และซอฟต์แวร์ควบคุมระบบเชื่อมต่อเน็ตเวิร์คทั้งหมดที่ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์โดยเฉพาะ โดยระบบจะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถจัดการแบนด์วิดธ์แบ่งระหว่างสัญญาณอินเตอร์เน็ตและระบบแลนได้ตามต้องการ เพื่อช่วยลดอัตราการดีเลย์ในการรับส่งข้อมูลระหว่างเล่นเกมออนไลน์ได้

predator-sense-17

predator-sense-17-2

Predator Sense ส่วนนี้คือส่วนควบคุมกลางของตัวเครื่องทั้งหมด ตั้งแต่การปรับตั้งคีย์โปรไฟล์พิเศษที่คีย์บอร์ด สร้างปุ่มมาโคร ปิดเปิดไฟส่องสว่างต่างๆ ไปถึงการตั้งค่าเลือกใช้การฟิก ปรับสีจอภาพ และสามารถเช็คอุณหภูมิเครื่อง เมนบอร์ด และดูรอบพัดลมได้จากส่วนนี้ทั้งหมด

xsplit-games-pre17

Split Gamecaster (ลูกค้า Predator ใช้งานฟรี 6 เดือน) เป็นซอฟต์แวร์พิเศษสำหรับนักเล่นเกมที่ชอบทำ Gamecast แอปฯตัวนี้จะช่วยในการบันทึกวิดีโอระหว่างเล่นเกมและสามารถถ่ายทอดสดผ่าน twitch.tv ได้ด้วย

dolby-pre17

Dolby Audio สุดท้ายกับส่วนปรับแต่งระบบเสียงจาก Dolby ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเลือกโปรไฟล์เสียงได้ตามการใช้งานหรือจะปรับแต่งเองก็สามารถทำได้จากแท็บ Personalize

ทดสอบประสิทธิภาพ

3dbench-pre17

pcmark-pre17

เริ่มจากทดสอบกราฟิกสไตล์เกมเมอร์กับ 3D Mark และ PC Mark กันก่อนเลย จะเห็นว่าทำคะแนนทดสอบได้สมกับเป็นโน้ตบุ๊กเกมเมอร์เสียจริงๆ คะแนนอยู่ระดับเดียวกับ PC Gamer ระดับกลางเลย (ยังไม่ถึงระดับ Notebook Gamer 4K เพราะต้องเป็น Predator รุ่นพิเศษที่ใช้การ์ดจอ GTX 980 ตัวใหญ่) ยิ่งได้ฮาร์ดไดร์ฟ SSD ต่อ RAID 0 มาช่วยเรื่องการโหลดระบบต่างๆยิ่งทำให้คะแนนหลายส่วนเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ

คะแนน Geekbench 32 บิต
คะแนน Geekbench 32 บิต

คะแนน Geekbench 64 บิต
คะแนน Geekbench 64 บิต


hddtest-pre17

ทดสอบอ่านเขียนข้อมูลฮาร์ดดิสก์ SSD ต่อ RAID 0 คะแนนพุ่งสูงมาก (เวลาทำงานตัดต่อวิดีโอหรือตกแต่งภาพความละเอียดสูงมากแนะนำให้ทำงานจากไดร์ฟ C เป็นหลัก จะได้ประสิทธิภาพสูงสุด) ส่วนไดร์ฟ D เป็นจานหมุนถือว่าทำคะแนนอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดีเลย

4ktest-pre7

มาถึงการใช้งานด้านตัดต่อวิดีโอ ตกแต่งภาพ ส่วนนี้สามารถใช้งานได้ลื่นไหล หายห่วง เพราะทีมงานได้ลองนำไปตัดไฟล์วิดีโอ 4K จากกล้อง Nikon D500 ผ่านซอฟต์แวร์ Adobe Premiere CC 2015 ทุกอย่างทำงานได้ลื่นไหลเนื่องจากระบบสามารถนำ CUDA จากการ์ดจอ NVIDIA มาใช้งานร่วมได้ ทำให้การเรนเดอร์และ Export ไฟล์ทำได้รวดเร็วมากขึ้น

ทดสอบเกม Final Fantasy X
ทดสอบเกม Final Fantasy X

ทดสอบกับชุดวัดประสิทธิภาพ Unreal 4 (DirectX 12)
ทดสอบกับชุดวัดประสิทธิภาพ Unreal 4 (DirectX 12)

ทดสอบกับชุดวัดประสิทธิภาพ Catzilla ที่ความละเอียด 720p (DirectX 11)
ทดสอบกับชุดวัดประสิทธิภาพ Catzilla ที่ความละเอียด 720p (DirectX 11)


มาดูเรื่องการเล่นเกมกันบ้าง ทีมงานเน้นทดสอบไปที่เกม DOOM 2016 ตั้งค่ากราฟิกสูงสุดทั้งหมด พบว่าทุกอย่างทำงานได้ลื่นไหล เฟรมเรตเฉลี่ยที่ทำได้ (ความละเอียด 1080p) อยู่ที่ประมาณ 50 เฟรมต่อวินาที ส่วนการทดสอบเกมอื่นๆที่ความละเอียด 1080p ส่วนใหญ่จะสามารถเล่นแบบเปิดค่ากราฟิกสูงสุดทั้งหมดได้ไม่มีปัญหา ยกเว้นเมื่อลองทดสอบกับจอภาพ 4K และเปิดเต็มความละเอียดอาจพบอาการกระตุกให้เห็นบ้าง

แต่โดยภาพรวมก็ถือว่า Acer Predator 17 สามารถรันเกมที่วางขายในปัจจุบันได้ทั้งหมด รวมถึงเมื่อใช้งานกราฟิกตัดต่อวิดีโอหรือรูปภาพ ไม่ว่าจะความละเอียดสูงถึง 4K หรือภาพระดับ 40 ไปถึง 100 ล้านพิกเซล Predator 17 จัดการทุกอย่างได้อยู่หมัดแน่นอน

batt-test-pre17

การทดสอบสุดท้ายกับอายุการใช้งานของแบตเตอรี 6,000mAh ถือว่าทำได้ดีเกินคาดหมายพอสมควร เวลาใช้งานต่อเนื่องทำเวลาได้ถึง 4 ชั่วโมง 16 นาที พอๆกับอัลตร้าบุ๊กเลยทีเดียว

สรุป

prelogo-acer

ราคาค่าตัว Acer Predator 17 รุ่นท็อปสุดในบ้านเราอยู่ที่ 89,900 บาท (ความจริงในต่างประเทศจะมีรุ่นปรับแต่งพิเศษให้เป็น 4K Gaming Notebook กับ Predator 17x แต่บ้านเราไม่แน่ใจว่าเอเซอร์ประเทศไทยจะมีให้สั่งซื้อในอนาคตหรือไม่) ซึ่งถ้ามองว่าราคาสูงเกินไป เอเซอร์มีตัวเลือกเป็นรุ่นสเปกรองลงมา (ลดแรมเหลือ 16GB และฮาร์ดดิสก์เหลือ 1TB) อยู่ที่ 79,900 บาท และรุ่นเล็กสุดหน้าจอ 15 นิ้วเริ่มต้นที่ 59,900-69,900 บาท

ถือเป็นไฮเอนด์โน้ตบุ๊กตั้งแต่ซีพียูไปถึงการ์ดจอในตอนนี้ แน่นอน Predator จากเอเซอร์มีความชัดเจนในแบรนด์อยู่แล้วว่าจับกลุ่มเกมเมอร์และไฮเอนด์ยูสเซอร์ที่ต้องการโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูงเพื่อใช้เล่นเกมหรือทำงานที่ต้องการสเปกประมวลผลระดับสูงโดยเฉพาะ

โดยสำหรับคนที่สนใจสิ่งหนึ่งที่คุณต้องรับให้ได้นอกจากราคาค่าตัวระดับครึ่งแสนบาทเป็นต้นไปแล้วก็คือ น้ำหนักและความใหญ่โต (เป็นโน้ตบุ๊กที่ผมไม่สามารถยกมือเดียวได้ แถมใส่กระเป๋าสะพายหลังน้ำหนักพี่ท่านเหมือนเราแบกอาวุธสงครามมากกว่าแบกโน้ตบุ๊ก) สิ่งเหล่านี้คือเรื่องที่ต้องรับให้ได้ก่อนคิดจะเลือกซื้อโน้ตบุ๊กกลุ่ม Predator

ข้อดี

– งานออกแบบดูดุดัน เฟรมทั้งหมดงานประกอบดูแข็งแรงมาก
– พัดลม ระบายความร้อนได้ดีและฉลาด ส่วนแรงลมที่เป่าความร้อนออกมาถือว่าแรงใช้ได้
– นอกจากนั้นรังสีความร้อนยังถูกควบคุมให้มีอยู่แค่ช่องระบายความร้อนเท่านั้น บริเวณตัวเครื่อง คีย์บอร์ดจะไม่มีความร้อนสะสมให้ผู้ใช้ได้รู้สึกตลอดการเล่นเกมและใช้งานเลย
– แรม 32GB ให้มาใช้งานเหลือเฟือมาก
– มีพอร์ตใหม่ USB-C และ Thunderbolt 3 ให้ใช้
– รองรับการต่อจอนอก 4K และรองรับจอที่มีเทคโนโลยี NVIDIA G-SYNC

ข้อสังเกต

– ตัวเครื่องใหญ่และหนักเกินจะใส่กระเป๋าธรรมดาเพื่อสะพายหลังได้
– วัสดุหุ้มตัวเครื่องทั้งหมดเป็นรอยง่าย
– ลำโพงให้เสียงทู่ๆและไม่ค่อยสมดุล/วูฟเฟอร์ยังขับเสียงได้ไม่เร้าใจพอ
– มุมเครื่องค่อนข้างแหลมและชอบทิ่มแขนเวลาวางมือบนคีย์บอร์ด
– ทัชแพดตอบสนองไม่ค่อยดี

Gallery

]]>
Review : Apple Macbook (2016) เพิ่มเติมคือสีใหม่ และเร็วขึ้น https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-macbook2016/ Mon, 30 May 2016 08:00:07 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=22624

IMG_2961

ในปีที่ผ่านมา Apple Macbook ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่เข้ามาสร้างนวัตกรรมให้แก่ตลาดโน้ตบุ๊กอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการเป็นโน้ตบุ๊กที่มีความบางที่สุดในโลก ประกอบกับเป็นเครื่องที่มีหน้าจอขนาด 12 นิ้ว ความละเอียด Retina Display ในขนาดตัวเครื่องใกล้เคียงกับ Macbbok Air 11 นิ้ว เข้ามาตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการโน้ตบุ๊กเครื่องบางเบา และมีประสิทธิภาพในการใช้งาน

color

การมาของ Macbook (2016) ในรุ่นปีนี้ ที่ถือเป็นไมเนอร์เชนจ์ ด้วยการใช้ดีไซน์ตัวเครื่องแบบเดิม แต่แอปเปิล เลือกที่จะเพิ่มเติมด้วยสีตัวเครื่องใหม่ที่เพิ่มเข้ามาเป็น 4 สี คือ เงิน ทอง เทาสเปซเกรย์ และล่าสุดโรสโกลด์ เข้ามาจับกลุ่มผู้ที่ต้องการสร้างความแตกต่างในการใช้งานโน้ตบุ๊ก

ประกอบกับการที่อินเทล มีการอัปเดตรุ่นหน่วยประมวลผลประหยัดพลังงานอย่าง Intel Core M เป็น Generation ที่ 6 ซึ่งให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ทำให้สิ่งที่เพิ่มเข้ามาใน Macbook (2016) คือเรื่องของการมีสีใหม่เข้ามา และประสิทธิภาพในการใช้งานที่เพิ่มขึ้น

การออกแบบ

IMG_2953

ในแง่ของดีไซน์ Apple Macbook (2016) นั้นถูกใช้โมเดลเดียวกับรุ่นปีที่ผ่านมา ซึ่งถ้ามองในแง่ของการออกแบบแล้วก็ยังถือเป็นโน้ตบุ๊กที่บางอันดับต้นๆอยู่เช่นเดิม ด้วยฟอร์มเฟคเตอร์เครื่องขนาด 11 นิ้ว แต่ให้หน้าจอขนาด 12 นิ้ว พร้อมกับการเพิ่มสี Rose Gold เข้ามาในไลน์ ขณะที่ขนาดยังอยู่ที่ 280.5 x 196.5 x 3.5-13.1 มิลลิเมตร น้ำหนัก 920 กรัม

IMG_2958

ด้านหน้าจะมีสัญลักษณ์ Apple ที่ทำเงาอยู่ตรงกลาง แน่นอนว่าไม่มีไฟแสดงการเปิดเครื่องเหมือน Macbook Air และ Macbook Pro เช่นเดิม

เมื่อเปิดหน้าจอขึ้นจะก็จะพบกับจอขนาด 12 นิ้ว ความละเอียด 2304 x 1440 พิกเซล ที่แม้ว่าขอบจอจะไม่ได้บางมาก แต่ก็อยู่ในอัตราส่วนที่เกือบเต็มพื้นที่ ส่วนบนหน้าจอจะมีกล้องความละเอียด 480p ส่วนล่างเป็นอักษร ‘MacBook’ ที่สะท้อนสีชมพูขึ้นมาจากตัวเครื่องให้เห็น

ร่องระหว่างหน้าจอและตัวเครื่อง ถือเป็นช่องระบายอากาศที่สำคัญที่สุดของ MacBook ร่วมกับบริเวณปุ่มคีย์บอร์ด เพราะในเครื่องรุ่นนี้จะไม่มีการใช้พัดลมระบายความร้อน เนื่องจากหน่วยประมวลผลที่ใช้งานเป็นแบบ Core M ซึ่งใช้พลังงานต่ำ ทำให้ความร้อนสะสมไม่สูง

จุดเด่นที่สุดของ MacBook ยังคงเป็นแป้นคีย์บอร์ดที่ใช้เป็นกลไกแบบปีกผีเสื้อ (Butterfly) ทำให้ปุ่มกดมีความบาง รับสัมผัสได้ง่ายขึ้น และยังมาพร้อมกับไฟบนคีย์บอร์ดให้ใช้งานในเวลากลางคืนได้ เช่นเดียวกับส่วนของ แทร็กแพด ที่รองรับการกดแบบ Force Touch ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งาน ความสามารถพิเศษต่างๆของโปรแกรม

IMG_2941

ด้านหลังพื้นที่ส่วนใหญ่จะถูกปล่อยเรียบไว้ โดยมีการสกรีนสัญลักษณ์ และข้อมูลต่างๆไว้ส่วนหนึ่ง ที่เหลือจะเป็นช่องน็อตสำหรับยึดฝาหลัง และยางรองเพื่อยกเครื่องขึ้นมาจากระนาบพื้น ช่วยให้ตัวเครื่องไม่ลื่นไหล และระบายความร้อนได้ดีขึ้นด้วย

ด้านซ้ายจะเป็นที่อยู่ของพอร์ต USB-C ที่สามารถเชื่อมต่อสายชาร์จ และอะเดปเตอร์เพื่อเชื่อมต่อพอร์ตอื่นๆได้ ด้านขวามีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม.และช่องไมโครโฟนรับเสียงอยู่

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องจะประกอบไปด้วยตัวเครื่อง สาย USB-C ยาว 2 เมตร อะเดปเตอร์ และคู่มือการใช้งาน ไม่ได้แถมสายยาวสำหรับเชื่อมต่อกับอะเดปเตอร์เหมือนใน MacBook Air และ MacBook Pro

สเปก

elcap

ในส่วนของสเปกภายใน Macbook (2016) จะมีให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่น ซีพียูคือ ตัวเริ่มต้นจะมาพร้อมกับหน่วยประมวลผล Intel Core M3 6Y30 ความเร็ว 1.1 GHz (Turbo Boost up to 2.2 GHz) L3 Cache 3 MB SSD 256 GB กับอีกรุ่นคือ Intel Core M5 6Y54 ความเร็ว 1.2 GHz (Turbo Boost up to 2.7 GHz) L3 Cache 3 MB SSD 512 GB ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับ RAM LPDDR3 8 GB ให้เลือกใช้งาน

แต่ทั้งนี้ ถ้าต้องการประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ผู้ใช้ยังสามารถที่จะเลือกเปลี่ยนเป็นซีพียูรุ่นสูงสุดในตระกูลคือ Intel Core M7 6Y75 ความเร็ว 1.3 GHz (Turbo Boost up to 3.1 GHz)  L3 Cache 3 MB แทนได้ ด้วยการเพิ่มเงินอีก 6,000 – 10,000 บาทได้เช่นเดียวกัน

priceทำให้ราคาของ Macbook (2016) แบ่งให้สามารถเลือกเป็น 4 รูปแบบคือ Core M3 1.1 GHz SSD 256 GB 49,900 บาท / 1.2 GHz 512 GB 59,900 บาท / 1.3 GHz 256 GB 59,900 บาท และ 1.3 GHz 512 GB 65,900 บาท นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นแป้นพิมพ์ภาษาไทย หรือ อังกฤษอย่างเดียวสำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทย

ถัดมาในส่วนของหน่วยประมวลผลภาพที่มากับ Core M Gen 6 คือ Intel HD Graphic 515 รองรับการแสดงผลบนตัวเครื่องที่ความละเอียดสูงสุด 2304 x 1440 ตามความละเอียดหน้าจอ และสามารถแสดงความละเอียดได้สูงสุดเมื่อต่อกับจอภายนอกคือ 3840 x 2160 พิกเซล

ด้านการเชื่อมต่อตัวเครื่องรองรับ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac พร้อมกับ Bluetooth 4.0 ส่วนพอร์ต USB-C นอกจากใช้ชาร์จแล้ว ยังรองรับ USB 3.1 ที่ให้ความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุด 5 Gbps เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่อจอภาพภายนอกทั้ง VGA และ HDMI ได้ผ่านตัวแปลงที่มีวางจำหน่ายแยก ทำงานบนระบบปฏิบัติการ OS X El Capitan

ฟีเจอร์เด่น

screenสำหรับจุดเด่นที่มากับ MacBook สามารถย้อนกลับไปอ่านกันได้จาก Review Apple MacBook (2015) http://www.cyberbiz.in.th/review-apple-macbook-2015/ เพราะความสามารถโดยรวมทั้งหมดเหมือนกัน เนื่องจากรุ่นนี้มีการปรับเพิ่มในส่วนของหน่วยประมวลผลเพิ่มเติมเท่านั้น แต่ความสามารถอื่นๆยังคงโดดเด่นเหมือนเดิม

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคีย์บอร์ด แทร็กแพดที่รองรับการกดน้ำหนักต่างๆ เรื่องของระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรี ทำให้เน้นการใช้งานแบบไร้สายมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการพัฒนาของทั้ง OS X El Capitan กับ iOS 9.3 ที่ทำมาให้รองรับการเชื่อมต่อกันมากยิ่งขึ้น ดังนั้นถ้าเป็นผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของแอปเปิลอยู่แล้ว ข้อจำกัดเรื่อง USB-C ที่ให้มาพอร์ตเดียวจึงหมดไป

app

โปรแกรมที่ติดตั้งมาให้เบื้องต้น ถือว่าเป็นโปรแกรมพื้นฐานทั่วไป สามารถใช้งานได้ครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นด้านการทำงานผ่าน Pages Number Keynote ด้านความบันเทิงจาก iTunes พร้อมกับการที่มีแอปสโตร์ให้เข้าไปดาวน์โหลดแอปเพิ่มเติมได้ทันที

ทดสอบประสิทธิภาพ

ssd

ในแง่ของประสิทธิภาพที่พัฒนาขึ้นมาคือการแสดงผลภาพของ Intel HD 515 ที่ทางแอปเปิลระบุว่า มีประสิทธิภาพเร็วขึ้น 25% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า เช่นเดียวกับ SSD ที่อ่านข้อมูลได้เร็วขึ้น 20% และเขียนข้อมูลได้เร็วขึ้น 90% ซึ่งถ้าเทียบกับโน้ตบุ๊กที่ใช้งานฮาร์ดดิสก์ 5400 rpm จะเร็วกว่าถึง 10 เท่า

สิ่งที่น่าสนใจในรุ่น Macbook (2016) คือการพัฒนาของซีพียู ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น โดยทางแอปเปิลเคลมไว้ว่า สามารถใช้งานเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อเข้าใช้เว็บไซต์ได้ต่อเนื่อง 10 ชั่วโมง หรือกรณีที่ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแต่ใช้เล่นภาพยนตร์ความละเอียดสูง 1080p ผ่าน iTunes จะได้ต่อเนื่องถึง 11 ชั่วโมง

เมื่อทดสอบในการใช้งานจริง ระยะเวลาใช้งานบนแบตเตอรี แม้ว่าจะไม่ได้ตามที่เคลมไว้ แต่ก็ใกล้เคียง ด้วยการใช้งานทั่วๆไป ฟังเพลง เล่นอินเทอร์เน็ต พิมพ์งาน ได้ราวๆ 9-10 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการปรับความสว่างหน้าจอ ยิ่งถ้าไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระยะเวลาใช้งานก็จะนานเพิ่มเข้าไปอีก

geek32geek64ส่วนการทดสอบผ่านโปรแกรมอย่าง GeekBench ในแบบ 32 bit จะได้คะแนน Single-Core 2,417 คะแนน ส่วน Multi-Core 4,584 คะแนน ส่วนการทดสอบแบบ 64 bit จะได้ Single-Core 2,582 คะแนน ส่วน Multi-Core 5,087 คะแนน ซึ่งเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

Cinebench

Cinebench R15 ได้คะแนน OpenGL 19.93 fps คะแนน CPU 186 cb

สรุป

ในช่วงปีที่ผ่านมา MacBook ได้รับการพิสูจน์มาแล้วค่อนข้างเยอะ ทั้งในแง่ของการใช้งาน ประสิทธิภาพ ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งผู้ที่ชอบ และผู้ที่ไม่ชอบ ดังนั้นถ้าถามว่า MacBook เป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าใช้งานหรือไม่ ถ้าเป็นผู้ที่ใช้งาน OS X อยู่แล้ว ต้องการโน้ตบุ๊กที่มีขนาดบางเบา เน้นการใช้งานยาวๆบนแบตเตอรี ไม่ได้เน้นการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆผ่านสาย MacBook ถือว่าค่อนข้างตอบโจทย์การใช้งานได้

แต่ถ้าเป็นผู้ใช้งานที่ต้องการประสิทธิภาพในการประมวลผล มีการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วง MacBook อาจจะไม่ตอบโจทย์ เพราะด้วยระดับราคาแล้ว สามารถข้ามไปซื้อ MacBook Pro ได้ด้วยการเพิ่มเงินอีกนิดแต่ได้ประสิทธิภาพที่ดีกว่ามาก แต่ก็แลกกับการที่เครื่องมีขนาด และน้ำหนักมากขึ้น

ข้อดี

บาง เบา พกพาง่าย

มีสีให้เลือก เงิน เทา ทอง และชมพู

คีย์บอร์ด และแทร็กแพดยังคงเป็นจุดเด่นสำคัญที่ต้องลองใช้แล้วจะชอบ

แบตเตอรีที่ใช้งานได้ต่อเนื่องมากกว่า 9 ชั่วโมง

ข้อสังเกต

เรื่องของประสิทธิภาพในการประมวลผล ยังไม่เหมาะกับการใช้งานหนักๆ

พอร์ต USB-C ยังต้องพึ่งพาอุปกรณ์กลางในการเชื่อมต่อ แม้ว่าจะมีมากขึ้นในตลาดก็ตาม

Gallery

]]>
Review : Dell XPS 12 โน้ตบุ๊กกึ่งแท็บเล็ต จอชัดระดับ 4K https://cyberbiz.mgronline.com/review-dell-xps-12-2016/ Mon, 09 May 2016 09:00:33 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=22482

IMG_3022

ตระกูลสินค้า XPS ถือว่าเป็นรุ่นในระดับเรือธงของเดลล์ตลอดมาในการทำตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊ก ที่ชูความโดดเด่นทั้งในแง่ของประสิทธิภาพ และดีไซน์ ที่มักจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้แก่ตลาดในช่วงเวลาที่ผ่านมา ประกอบกับด้วยเทรนด์การใช้งานของโน้ตบุ๊กที่เปลี่ยนไป จึงทำให้เกิด XPS 12 ที่มีการพัฒนาต่อเนื่องสู่ตลาด

จุดเด่นหลักของ Dell XPS 12 คือการเป็นโน้ตบุ๊กขนาดหน้าจอ 12.5 นิ้ว ในฟอร์มเฟคเตอร์ขนาด 11 นิ้ว ที่สามารถแยกจอออกมาใช้งานเป็นแท็บเล็ตวินโดวส์ เพื่อใช้พกพาไปใช้งานได้ หรือจะประกอบเข้ากับฐานคีย์บอร์ดเพื่อใช้งานเป็นโน้ตบุ๊กเพิ่มความสามารถในการสร้างโปรดักทิวิตี้ให้มากขึ้น ที่สำคัญคือมากับหน้าจอความละเอียดแบบ 4K

แม้ว่า XPS 12 จะใช้หน่วยประมวลผล Intel Core M7 ทำให้ไม่สามารถใช้งานหนักๆ อย่างการตัดต่อวิดีโอ หรือใช้ในการออกแบบ 3D แต่ถ้าเป็นการใช้งานทั่วๆไปอย่างทำงานภายใต้ Microsodt Office เล่นเน็ต หรือใช้ในการแต่งภาพความละเอียดสูงๆบน Photoshop ใช้งานโปรแกรมทั่วไป XPS 12 สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี

การออกแบบ

IMG_3006

ตัวเครื่อง XPS 12 หลักๆจะอยู่ที่หน้าจอ ที่จริงๆแล้วเป็นแท็บเล็ตมีการบรรจุทั้งชิปหน่วยประมวลผล เมนบอร์ด และแบตเตอรีต่างๆไว้ที่ตัวหน้าจอ ทำให้ตัวจอจะมีความหนาขึ้นมาเมื่อเทียบกับจอโน้ตบุ๊กทั่วๆไป ตัวเครื่องทำจากวัสดุที่เป็นแมกนีเซียมอัลลอยด์แบบยูนิบอดี้ ขนาดรอบตัวเครื่องเฉพาะส่วนทีเเป็นแท็บเล็ตอยู่ที่ 291 x 193 x 8 มิลลิเมตร น้ำหนัก 790 กรัม

หน้าจอของ XPS 12 เป็นหน้าจอทัชสกรีน ที่ใช้กระจก Gorilla Glass แบบ Edge-to-Edge มีขนาด 12.5 นิ้ว ที่ให้ความละเอียด 4K Ultra HD (3840 x 2160 พิกเซล) โดยมีกล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซล อยู่บริเวณขอบด้านบน โดยมีช่องลำโพงแยกอยู่ฝั่งซ้าย และขวา ส่วนขอบล่างหน้าจอเป็นสัญลักษณ์ วินโดวส์

IMG_3011

พื้นผิวหลังหน้าจอด้วยการที่เดลล์ทำเป็นแบบ Soft touch paint ทำให้เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเหมือนเป็นยางนุ่มๆหุ่มอยู่รอบตัวเครื่อง โดยมีสัญลักษณ์ เดลล์ สีดำอยู่ตรงกลาง ส่วนขอบบนเป็นกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และไมโครโฟนแบบ Dual Array

IMG_3043

รอบตัวเครื่องของ XPS 12 เริ่มจากทางฝั่งซ้าย จะมีปุ่มปรับระดับเสียง ช่องใส่ไมโครเอสดีการ์ดที่มีฝาปิดอยู่ ถัดลงมาเป็นพอร์ต USB-C ที่รองรับ Thunderbolt 3 พร้อมเป็นสายชาร์จภายในตัว รวมถึงใช้ร่วมกับอะแดปเตอร์แปลงเพื่อใช้งานพอร์ต VGA HDMI LAN และพอร์ตยูเอสบีขนาดปกติ ติดกัน 2 พอร์ต และช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม.

IMG_3046

ส่วนฝั่งขวา จะมีปุ่มเปิดเครื่อง และช่องล็อกเครื่อง ขอบบน จะมีไมโครโฟนจับช่วยจับเสียงเพิ่มเติม และขอบล่างเป็นแถบแม่เหล็กไว้เชื่อมต่อกับฐานคีย์บอร์ด แบตเตอรีที่อยู่ภายในเครื่องขนาด 30 WHr

laptop-xps-12-9250-pdp-polaris-02

ในส่วนของฐานคีย์บอร์ดทางเดลล์จะมีให้เลือก 2 รูปแบบคือ XPS 12 Premier Keyboard with Dell Premier Magnetic Folio ที่เป็นฐานคีย์บอร์ดขนาดปกติแบบ 5 แนว และแทร็กแพด ทำให้สามารถใช้งานได้ไม่แตกต่างจากโน้ตบุ๊กทั่วไป และมาพร้อมกับเคสแม่เหล็ก โดยเมื่อเชื่อมต่อกับคีย์บอร์แล้วขนาดของ XPS 12 จะขยับไปอยู่ที่ 291 x 198 x 16-25 มิลิเมตร น้ำหนัก 1.27 กิโลกรัม

IMG_3026

แต่ข้อเสียของคีย์บอร์ดรุ่นนี้คือไม่สามารถปรับมุมมองในการใช้งานได้ ทำได้เพียงเอียงมาข้างหน้าเพื่อถอดแท็บเล็ตออกจากฐานเท่านั้น แต่ในขณะใช้งานทั่วไปตัวแม่เหล็กที่ติดตั้งไว้สามารถยกตัวแท็บเล็ตและฐานคีย์บอร์ดติดขึ้นมาได้ ส่วนคีย์บอร์ดอีกรูปแบบหนึ่งจะเป็น XPS Slim 12 ถ้าให้นึกง่ายๆก็จะคล้ายกับคีย์บอร์ดของทาง Microsoft Surface มีขนาดปุ่มที่บางลงเหลือ 1.3 มิลลิเมตร

IMG_3049

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาพร้อมกับตัวเครื่อง และฐานคีย์บอร์ดแล้วก็จะมี เคสแบบ Folio ที่รองรับการใช้งานเฉพาะแท็บเล็ตอย่างเดียว ไว้ในการตั้งหน้าจอบนพื้นราบ และยังสามารถติดตั้งฐานคีย์บอร์ดเข้าไปใช้งานร่วมได้ เพียงแต่เคสจะคลุมไม่เต็มตัวคีย์บอร์ดด้านหลัง

IMG_3053

ขณะที่สายชาร์จ แยกออกเป็น 2 ส่วนคือสายไฟ และตัวอะเดปเตอร์ที่เป็นพอร์ต USB-C ขนาดถือว่าไม่เล็กและใหญ่จนเกินไป ช่วยให้พกพาไปใช้งานข้างนอกได้สะดวกมากขึ้น

สเปก

windows-10cpuz

ในส่วนของสเปกภายใน XPS 12 จะมากับหน่วยประมวลผล 6th Generation Intel Core m7 6Y74 (4M Cache, up to 3.1 GHz) RAM 8GB LPDDR3 1600MHz พื้นที่เก็บข้อมูลเป็นแบบ SSD 512GB หน่วยประมวลผลภาพจากชิป Intel HD Graphics 515 ทำงานบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 10 Home 64bit ด้านการเชื่อมต่อรองรับการเชื่อมต่อไร้สายบนมาตรฐาน 802.11 ac บลูทูธ 4.1

ฟีเจอร์เด่น

IMG_3023

จุดเด่นหลักที่เดลล์พยายามชูขึ้นมามากที่สุดในสินค้าของเดลล์ คงหนีไม่พ้นเรื่องของ หน้าจอ ที่เดลล์ระบุว่าให้สีที่ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด และใน XPS 12 ก็เช่นเดียวกัน จากหน้าจอที่ให้มาขนาด 12.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ 4K Ultra HD ที่ให้ความละเอียด 3840 x 2160 พิกเซล ให้ความละเอียดเม็ดสีสูงถึง 352 ppi ที่สำคัญคือเป็นหน้าจอแบบทัชสกรีนแบบมัลติทัช 10 จุดด้วย นอกจากนี้ ตัวหน้าจอยังให้ความสว่างถึง 400 nit กับมุมมองกว้างถึง 170 องศา ให้สี 100% Color Gamut คอนทราสเรโชอยู่ที่ 1,500 : 1

อีกจุดหนึ่งก็คือการที่เป็นแท็บเล็ต ที่สามารถเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ดที่เป็น Backlit Chiclet ทำให้เมื่อเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ด สามารถใช้งานได้ไม่แตกต่างจากโน้ตบุ๊กทั่วไป จะมีก็เพียงในแง่ขององศาจอที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนมุมได้ ทำให้ไม่เหมาะจะใช้งานขณะพกพา ควรใช้งานเมื่อวางบนโต๊ะหรือพื้นเรียบๆจะดีกว่า

IMG_3044

ในแง่ของการเชื่อมต่อด้วย USB-C ที่ให้มา 2 พอร์ต ทำให้สามารถใช้เพื่อเสียบสายชาร์จ 1 ช่อง พร้อมไปกับการเชื่อมต่ออะเดปเตอร์เพิ่มเติมไว้สำหรับเชื่อมต่อแฮนดี้ไดร์ฟที่รองรับถึง USB 3.1 Gen 2 (ความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงถึง 10 Gbps) หรือแม้แต่พอร์ต Thunderbolt 3 (ความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงถึง 40 Gbps) รวมถึงต่อเข้ากับต่อภาพผ่านพอร์ตอย่าง VGA HDMI แลน หรือยูเอสบีปกติผ่านอะเดปเตอร์ของทางเดลล์

s02s01

โดยผู้ใช้สามารถเลือกสลับการใช้งานระหว่าง Tablet Mode กับ Desktop Mode ได้ ซึ่งเบื้องต้นเมื่อเชื่อมต่อกับฐานคีย์บอร์ดตัวเครื่องจะสลับเข้าสู่ Desktop Mode ให้อัตโนมัติ และเมื่อถอดตัวเครื่องออกจากฐานก็จะปรับเข้าสู่ Tablet Mode ทั้งนี้ ที่มุมขวาล่างจะมีข้อความแจ้งเตือนขึ้นมาบอกด้วย

keyboard

คีย์บอร์ดที่มีให้ใช้งานในแท็บเล็ตโหมด สามารถสลับเปลี่ยนภาษาได้ที่ไอคอนมุมขวาล่าง รองรับการใช้งานภาษาไทย อังกฤษตามปกติ กรณีที่ตัวเครื่องกว้างเกินไป ก็สามารถปรับโหมดคีย์บอร์ดให้อยู่ที่มุมขอบจอทั้ง 2 ฝั่งได้ ถือเป็นความสามารถปกติของวินโดวส์อยู่แล้ว

dell-suport

ส่วนโปรแกรมที่ทางเดลล์ติดตั้งมาอำนวยความสะดวกในการใช้งานเพิ่มเติมจะมีตั้งแต่ Dell Support Assist ที่แสดงระยะเวลารับประกัน แจ้งเตือนการตรวจเช็กระบบต่างๆของตัวเครื่อง ซึ่งจุดโดดเด่นของรุ่นนี้อีกอย่างคือการรับประกันแบบ 24/7 เป็นระยะเวลานาน 3 ปี

Dell-Help

ถัดมาเป็น Dell Help & Support ที่เป็นการแสดงข้อมูลการใช้งานเล็กๆน้อยๆ อย่างการใช้งานวินโดวส์ 10 การเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต และอุปกรณ์ไร้สายอื่นๆ การตั้งค่าส่วนบุคคล ทำความรู้จักกับตัวเครื่อง รวมถึงทิปส์ในการยืดระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรี และการเข้าไปค้นหาอุปกรณ์เสริมอื่นๆผ่านช่องทางออนไลน์

dell-audio

ในส่วนของระบเสียงก็จะมีตัวควบคุมอย่าง Dell Audio ที่เข้ามาช่วยบริหารจัดการทั้งเสียงลำโพง ไมโครโฟน การตัดเสียงรบกวนต่างๆ ถือว่าค่อนข้างครบถ้วนกับการใช้งานทั่วๆไป


ระบบรักษาความปลอดภัย McAfree LiveSafe ที่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ 15 เดือน แต่ถ้ามีโปรแกรมแอนตี้ไวรัสตัวอื่นใช้งานอยู่แล้วก็สามารถถอนการติดตั้งออกได้ตามปกติ

ขณะที่ในแง่ของการใช้งานทั่วๆไป XPS 12 สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งการทำงานจากการใช้งาน Microsoft Office ต่างๆ รวมถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านเว็บเบราว์เซอร์ หรือโปรแกรมต่างๆที่ลงบนวินโดวส์ได้ ส่วนในแง่ของความบันเทิง ด้วยการที่ให้จอความละเอียด 4K การรับชมภาพยนตร์ ก็จะให้ความละเอียดที่สูงมาก ระบบเสียงที่ให้มาอยู่ในระดับมาตรฐาน

ส่วนถ้าทำมาใช้ในการเล่นเกม ด้วยการที่ XPS 12 ใช้หน่วยประมวลผลเป็น Core M5 ที่แม้จะเป็นรุ่นประสิทธิภาพสูงแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในตระกูลชิปเซ็ตที่ประหยัดพลังงานของอินเทล ทำให้การใช้งานที่เน้นการประมวลผลหนักๆอาจจะไม่สามารถทำได้ แต่ก็สามารถใช้เล่นเกมระดับทั่วๆไปได้เป็นอย่างดี

ทดสอบประสิทธิภาพ

pcmark

PC Mark 8 ชุดทดสอบ Home Accelerated 3.0 ได้คะแนน 2,323 คะแนน Creative Accelerated 3.0 ได้คะแนน 2,989 คะแนน Work Accelerated 3.0 ได้คะแนน 3,032 คะแนน ส่วน Storage ไม่สามารถทดสอบได้

geek

สำหรับคะแนน Geekbench ทดสอบแบบ 32 บิต ชุดทดสอบ Single Core ได้คะแนน 2,625 คะแนน Multi Core ได้คะแนน 4,489 คะแนน ส่วนการทดสอบแบบ 64 บิต ชุดทดสอบ Single Core ได้คะแนน 2,735 คะแนน Multi Core ได้คะแนน 4,668 คะแนน

3d

มาถึงการทดสอบในส่วนกราฟิก 3 มิติ ด้วยชุดทดสอบ 3D Mark จากหน่วยประมวลผลภาพ Intel HD 515 จะทดสอบได้เพียง Ice Storm 30,632 คะแนน Ice Storm Extreme 24,722 และ Sky Diver 2,355 คะแนนเท่านั้น ส่วนที่เหลือไม่สามารถทดสอบได้เพราะประสิทธิภาพไม่ถึง

ลองขยับมาทดสอบเกม 3 มิติจริงๆกันบ้างกับ Catzilla ชุดทดสอบที่ดึงประสิทธิภาพทั้งในส่วนซีพียูและกราฟิกการ์ดออกมาได้เต็มประสิทธิภาพที่สุด โดยทีมงานทดสอบที่ความละเอียด 576p สามารถทำคะแนนได้ 1,503 คะแนน ส่วนการทดสอบบน 720p ไม่สามารถทำได้ จากข้อจำกัดของซีพียู แม้ว่าจะให้ความละเอียดหน้าจอมาสูงสุดถึง 4K ก็ตาม

pcbatt

สุดท้ายกับการทดสอบแบตเตอรีด้วย PC Mark 8 ชุดทดสอบ Home Accelerated 3.0 (ทดสอบโดยเปิดหน้าจอตลอดเวลาและการทดสอบจะเน้นเรื่องการใช้งานทั่วไป เช่น ตกแต่งภาพ เข้าเว็บบราวเซอร์ พิมพ์งาน เป็นต้น) Dell XPS 12 สามารถทำเวลาได้ 3 ชั่วโมง 5 นาที ส่วนถ้าเป็นการทดสอบ Creative Accelerated จะได้ราว 2 ชั่วโมง 15 นาที ขณะที่การใช้งานทั่วๆไปจะอยู่ราว 4-5 ชั่วโมงเท่านั้น

สรุป

เมื่อดูถึงความสามารถต่างๆของ XPS 12 แล้ว ดังนั้นมองว่าจะเหมาะกับผู้ที่ต้องการใช้งานโน้ตบุ๊ก 2-1 หรือที่สามารถแยกพกพาเป็นแท็บเล็ตได้ เน้นการใช้งานแบบโมบิลิตี้เป็นหลัก กล่าวคือสามารถนำ XPS 12 มาใช้งานร่วมกับคีย์บอร์ดขณะอยู่ที่ทำงาน และเลือกเปลี่ยนเป็นใช้โหมดแท็บเล็ตขณะออกไปพรีเซนต์งานนอกสถานที่ รวมถึงใช้ในการดู และแก้ไขข้อมูลบางส่วนขณะเดินทาง เพียงแต่ราคาจำหน่ายค่อนข้างสูงอยู่ที่ 79,990 บาท

แต่ถ้าต้องการ XPS 12 มาเพื่อใช้งานที่เน้นสร้างโปรดักทิวิตี้นอกสถานที่คงต้องมองผ่านไปใช้รุ่นที่สูงขึ้นอย่าง XPS 13 น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะให้ความรู้สึกเป็นโน้ตบุ๊กที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น ในขณะที่ XPS 12 จะเน้นเรื่องความสะดวกในการใช้งานเป็นหลัก ประกอบกับระยะเวลาใช้งานบนแบตเตอรีต่อเนื่องราว 5 ชั่วโมง ทำให้ถือเป็นรุ่นที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องประสิทธิภาพดี ดีไซน์สวย

ทั้งนี้ XPS 12 ที่นำมารีวิวถือเป็นรุ่นท็อป ดังนั้นถ้าต้องการรุ่นที่รองลงมาอย่างปรับลดหน้าจอลงมาเป็น Full HD ลดหน่วยประมวลผลลงมาเป็น Core M5 ลด SSD ลงมาเหลือ 128 GB ราคาจำหน่ายก็จะปรับลดลง เพียงแต่อาจต้องสอบถามทางตัวแทนจำหน่ายอีกที

ข้อดี

โน้ตบุ๊ก 2-1 ขนาดหน้าจอ 12.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ 4K

คีย์บอร์ดขนาดมาตรฐาน ที่สามารถถอดประกอบกับตัวเครื่องได้ง่าย มีไฟที่ตัวคีย์บอร์ดด้วย

มีพอร์ต USB-C ให้ 2 พอร์ต ทำให้สามารถเชื่อมต่อได้มากขึ้น

ข้อสังเกต

เมื่อใช้งานร่วมกับคีย์บอร์ดจะไม่สามารถปรับมุมหน้าจอได้ และไม่สามารถใช้งานบนตักได้

พอร์ต USB-C ยังต้องใช้ร่วมกับอะแดปเตอร์แปลงให้กลายเป็นพอร์ตต่างๆ

แบตเตอรีใช้งานได้ไม่ยาวนานเท่าที่ควร แม้ว่าจะเป็น Intel Core M

Gallery

]]>
Review : Hp ENVY 14 โน้ตบุ๊กสเปกสูง Core i7 Gen6 https://cyberbiz.mgronline.com/review-hp-envy-14-2016/ Sun, 17 Apr 2016 09:40:38 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=22133

IMG_2635

แม้ว่าตลาดโน้ตบุ๊กในช่วงที่ผ่านมาจะไม่ค่อยได้มีความเคลื่อนไหวมากนัก แต่เมื่อมีการออกซีพียูใหม่จากผู้ผลิตอย่างอินเทลที่นำ Intel Core i Gen 6 ออกมาสู่ตลาด ในฝั่งของผู้ผลิตก็จะมีการนำซีพียูในซีรีส์ดังกล่าว เข้ามาร่วมกับผลิตภัณฑ์ในไลน์เพื่อออกสู่ตลาด มาจับความต้องการของผู้บริโภค

สำหรับ HP ENVY Notebook 14-j109TX ที่นำมารีวิวในวันนี้ จะเป็นโน้ตบุ๊กที่เน้นจับกลุ่มพรีเมี่ยม ที่ต้องการประสิทธิภาพตัวเครื่องสูงเป็นหลัก ด้วยการใส่หน่วยประมวลผลอย่าง Core i7-6700 เข้ามาร่วมกับอัด RAM มา 12 GB เรียกได้ว่า ตอบสนองการใช้งานทุกรูปแบบ

การออกแบบ

IMG_2627

ด้วยการดีไซน์ของ ENVY 14 ในรุ่นปี 2016 ที่แทบไม่แตกต่างจากในรุ่น 2015 เนื่องจากเอชพี มองว่าเป็นดีไซน์ที่เหมาะสมแล้ว สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ในซีรีส์ดังกล่าว ซึ่งถ้าต้องการดีไซน์ที่แปลกใหม่ เอชพีก็จะมีในรุ่นที่กำลังจะวางจำหน่ายอย่าง HP Spectre ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานนี้ และมีความแตกต่างจากรุ่นเดิมๆอย่างชัดเจน

โดยตัวเครื่องจะเน้นไปที่สีเงิน เพื่อเพิ่มความหรูหรา ที่มีโลโก้ เอชพี ในรูปวงกลมอยู่ตรงกลาง แน่นอนว่าโลโก้ยังเป็นรูปแบบเก่าอยู่ ขนาดตัวเครื่องของ HP Envy 14 จะอยู่ที่ 34.49 x 24.61 x 2.26 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 1.99 กิโลกรัม

IMG_2603

เมื่อเปิดฝาพับขึ้นมาจะพบกับหน้าจอ IPS ขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920 x 1080 พิกเซล) ที่เป็นพาแนลแบบ WLED-Backlit ทำให้หน้าจอสามารถใช้งานได้ในหลายๆมุม และให้สีสรรที่คมชัด โดยมีกล้องเว็บแคมความละเอียด 720p ติดมาให้ พร้อมไมค์ 2 จุดอยู่ข้างๆ ส่วนล่างหน้าจอมีสัญลักษณ์ เอชพี อยู่เช่นเดียวกับภายนอก

IMG_2609

ในส่วนของตัวเครื่องส่วนล่าง จะมีปุ่มเปิดเครื่องอยู่ที่มุมซ้ายบน ส่วนมุมขวาบนสกรีนระบบพลังเสียง Bang & Olufsen เพื่อยืนยันว่าเครื่องรุ่นนี้มาพร้อมกับระบบเสียงดังกล่าว ช่วยยืนยันถึงพลังเสียงที่จะได้จากเครื่องรุ่นนี้ จากลำโพงที่ขนาบข้างคีย์บอร์ดทั้ง 2 ฝั่ง ถัดจากคีย์บอร์ดเป็นทัชแพดที่มีกรอบสีเงินล้อมรอบ และระบบสแกนลายนิ้วมือเพื่อความปลอดภัย ส่วนมุมขวาล่างมีสัญลักษณื Envy และสติกเกอร์ อินเทล และเอ็นวีเดีย

IMG_2613IMG_2612

สำหรับคีย์บอร์ดของ HP Envy 14 จะเป็นคีย์บอร์ดแบบ 5 แถว เพียงแต่แถวบนสุดจะมีขนาดประมาณ 1 ใน 3 ของปุ่มปกติ ส่วนเลย์เอาท์คีย์บอร์ดจะมีการนำปุ่ม delete Home PageUp PageDown End มาไว้ที่แถบฝั่งขวา ทำให้เวลาใช้งานอาจจะมีการพลาดกดผิดไปจากแป้นคีย์บอร์ดปกติได้ นอกเหนือไปจากนี้ก็จะมีปุ่มตัวอักษรขึ้นลงที่เล็กกว่าปกติ ที่เหลือก็ถือว่าเป็นไปตามมาตรฐาน เพิ่มด้วยไฟ Backlit ทำให้สามารถใช้งานตอนกลางคืนได้ด้วย

IMG_2597

ด้านหลังเครื่อง พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นช่องระบายความร้อน โดยมีการสกรีนรายละเอียด สัญลักษณ์มาตรฐานต่างๆอยู่ ส่วนของข้อต่อฝาพับจะเป็นอะลูมิเนียมที่เพิ่มความแข็งแรงให้กับการใช้งาน นอกเหนือจากนี้ก็จะเป็นช่องน็อตต่างๆรอบฝาหลัง 10 จุด ภายในจะมีแบตเตอรี Lithium-ion ขนาด 3-cell 55.5WHr

IMG_2625IMG_2624

มาถึงในส่วนของพอร์ตการใช้งานทางฝั่งซ้าย จะมีตั้งแต่ช่องล็อกโน้ตบุ๊ก พอร์ต HDMI ขนาดปกติ พอร์ตยูเอสบี 3.0 2 พอร์ต ช่องเสียบหูฟัง และการ์ดรีดเดอร์ขนาดเอสดี ส่วนฝั่งขวาจะเป็นช่องเสียงสายชาร์จ ช่องเสียบสายแลน ที่จะมีฝาปิดอยู่ต้องง้างออกมาเล็กน้อยเพื่อใช้งาน และพอร์ตยูเอสบี 3.0 อีก 1 พอร์ต โดยมีไฟแสดงการทำงานของเครื่องอยู่ข้างๆ

สเปก

w4

สำหรับสเปกภายในของ HP ENVY 14-j109TX จะมาพร้อมกับหน่วยประมวลผล Intel® Core i7-6700HQ ที่มีกราฟิกการ์ดภายในเป็น Intel HD Graphics 530 และยังเพิ่มด้วยกราฟิกการ์ดจาก NVIDIA GeForce GTX 950M RAM 12 GB (Onboard 4 GB + DIMM 8 GB) พื้นที่เก็บข้อมูลเป็นฮาร์ดดิสก์ขนาด 2 TB 5400 rpm ทำงานบนระบบปฏับัติการวินโดวส์ 10 64 บิต ด้านการเชื่อมต่อแบบไร้สายจะมาพร้อมกับไวเลส มาตรฐาน 802.11ac และบลูทูธ 4.0

ฟีเจอร์เด่น

IMG_2626

ในส่วนของฟีเจอร์การใช้งานที่น่าสนใจ เริ่มกันจากภายนอกก่อน ตัวเครื่อง ENVY 14 จะแตกต่างจากโน้ตบุ๊กรุ่นอื่นๆในท้องตลาดอยู่ส่วนหนึ่งคือ เมื่อมีการเปิดหน้าจอขึ้นมาแล้ว ตัวจอจะทำการยกตัวเครื่องขึ้นมาเพื่อให้คีย์บอร์ดรับกับมือเวลาใช้งาน และในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยระบายความร้อนได้สะดวกขึ้น ในกรณีที่วางใช้งานบนโต๊ะเรียบๆ

IMG_2606

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อถูกออกแบบมาให้เป็นแบบนี้ ทำให้องศาในการกางหน้าจอเพื่อใช้งานจะถูกจำกัดอยู่ที่ประมาณ 120 องศา ไม่สามารถแหงนหน้าจอมากไปกว่านี้ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าตรงข้อพับของตัวเครื่องออกแบบมาได้ค่อนข้างดี เพราะจอไม่มีการโยกเวลาใช้งานแต่อย่างใด

ถัดมาอีกส่วนก็คือลำโพงจาก B&O ที่ใส่ลำโพงมาให้ด้วยกัน 4 จุด คือบริเวณข้างคีย์บอร์ดทั้ง 2 ฝั่ง และหลังเครื่อง พร้อมกับซัพวูฟเฟอร์อีก 1 ตัว อยู่ด้านล่างเครื่อง ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่สินค้าในตระกูล ENVY พยายามใช้ทำตลาดตลอดช่วงที่ผ่านมา ซึ่งภายในก็จะมีซอฟต์แวร์ทำการควบคุมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเสียงอีกระดับหนึ่ง

w1

เมื่อเปิดใช้งาน ก็จะพบกับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 10 Home 64 bit โดยจะมีการลงโปรแกรมทั่วๆไปที่ติดตั้งมาพร้อมกับวินโดวส์ไว้ และโปรแกรมช่วยเหลือจากทางเอชพีอีกนิดหน่อย เพื่อให้ตัวเครื่องพร้อมใช้งานในเบื้องต้นได้ทันที นอกจากนี้ยังมีสิทธิในการได้พื้นที Dropbox 25 GB เพิ่มเติมด้วยเมื่อลงทะเบียนใช้งาน

w2

สำหรับโปรแกรมจากเอชพีที่ลงไว้และน่าสนใจจะมีด้วยกัน 2 ส่วนคือ ในแง่ขงอระบบรักษาความปลอดภัย ที่มีการใส่ระบบสแกนลายนิ้วมือมาให้ ผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งค่า HP Simple Pass ร่วมกับระบบสแกนลายนิ้วมือ เพื่อใช้ในการล็อกอินเข้าใช้งานตัวเครื่องได้ทันที

w3

อีกส่วนคือในแง่ของความช่วยเหลือ ที่ทางเอชพี จะมีโปรแกรมที่คอยช่วยอัปเดตไดร์ฟเวอร์ และโปรแกรมที่ติดตั้งอยู่ภายในตัวเครื่อง รวมถึงสามารถใช้ในการเช็กความปลอดภัย ระยะเวลารับประกันตัวเครื่อง (ปัจจุบันขยายระยะเวลารับประกันเป็น 2 ปีแบบออนไซด์เซอร์วิส) ตรวจสอบตัวเครื่อง เช็กพื้นที่เก็บ้ขอมูลต่างๆได้ทันที ถ้าต้องการความช่วยเหลือก็สามารถส่งข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ได้ทันที

ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานแล้วว่าจะติดตั้งโปรแกรมอะไรเพิ่มเติมเพื่อมาใช้งาน โดยทีมงานทดลองใช้งานทั่วๆไปอย่างการเล่นเกมที่ใช้สเปกแรงๆ ใช้ดูภาพยนตร์ความละเอียดสูง ตัดต่อวิดีโอสั้นๆ ตัวเครื่องสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ทั้งหมด เพียงแต่ด้วยตัวเครื่องมีขนาดค่อนข้างใหญ่ทำให้พกพาลำบากเล็กน้อย แต่ก็ถือเป็นขนาดปกติของเครื่องหน้าจอ 14 นิ้วอยู่แล้ว

ทดสอบประสิทธิภาพ

w8

เมื่อทำการทดสอบด้วยโปรแกรมทดสอบ PC mark 8 Home accelerated ได้ 3,371 คะแนน Creative accelerated ได้ 3,862 คะแนน Work accelerated 4,194 คะแนน Storage ได้ 2,100 คะแนน เมื่อทดสอบเวลาใช้งานบนแบตเตอรีผ่าน PC Mark 8 แบบ Home Accelerated จะได้ระยะเวลาใช้งานอยู่ที่ 3 ชั่วโมง 2 นาที

w9

ส่วน 3D mark Fire Strike Ultra 720 คะแนน Fire Strike Extreme 1,426 คะแนน Fire Strike 2,783 คะแนน Sky Driver 10,244 คะแนน Cloud Gate 14,337 คะแนน Ice Storm Unlimited 109,337 คะแนน Ice Storm Extreme 62,201 คะแนน Ice Storm 64,729 คะแนน

w7

Geek bench 3 Pro แบบ 32 bit Single-Core ได้ 2,923 คะแนน Multi-Core ได้ 11,311 คะแนน ส่วน 64 bit Single-Core ได้ 3,094 คะแนน Multi-Core ได้ 11,875 คะแนน

w6

CineBench R15 OpenGL ได้ 47.29fps CPU 585cb

w5

Catzilla ได้ 7,536 คะแนน

สรุป

สินค้าในตระกูล ENVY ถือเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพรีเมียมที่เน้นประสิทธิภาพในการใช้งานอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อต้องการโน้ตบุ๊กที่มำงานได้ครบถ้วน และมีงบประมาณที่เพียงพอ ก็ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะด้วยราคาเปิดตัวรุ่นนี้ที่ 42,990 บาท อาจจะสูงไปสักหน่อย ถ้าซื้อไปใช้งานทั่วๆไป

ดังนั้น กลุ่มลูกค้าที่จะเหมาะกับ HP ENVY 14 จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูงมาใช้งาน เพราะจากหน่วยประมวลผลที่เป็น Intel Core i7 กับ RAM ที่อัดมา 12 GB ถ้านำมาใช้งานทั่วๆไปคงน่าเสียดาย แต่อีกจุดที่ถ้ามีงบประมาณเพิ่ม อาจจะลองเปลี่ยน HD เป็น SSD แทนเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการใช้งานที่สูงขึ้น

ข้อดี

โน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง รองรับการใช้งานทุกรูปแบบ

มีพอร์ตการเชื่อมต่อให้ใช้งานครบทั้ง HDMI USB Card Reader LAN

จอ IPS 14 นิ้ว ความละเอียด FullHD คีย์บอร์ดมีไฟ Backlit

ลำโพง B&0

ข้อสังเกต

ตัวเครื่องมีขนาดค่อนข้างใหญ่

ระยะเวลาใช้งานบนแบตเตอรี เมื่อใช้งานหนักๆจะอยู่ไม่ถึง 3 ชั่วโมง

ไม่มีช่อง DVD

Gallery

]]>
Review : Lenovo YOGA 700 อัลตร้าบุ๊ก 360 องศา เด่นที่การ์ดจอแยก และ SSD https://cyberbiz.mgronline.com/review-lenovo-yoga700/ Wed, 17 Feb 2016 10:35:44 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=21523

ถ้าจะกล่าวถึงโน้ตบุ๊กบางเบา (อัลตร้าบุ๊ก) รุ่นยอดนิยมจาก Lenovo (เลอโนโว) ก็คงหนีไม่พ้นตระกูล YOGA (โยก้า) ที่สร้างชื่อเสียงให้เลอโนโวมานานกว่า 3 ปี ด้วยรูปแบบการใช้งานแปลกใหม่และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนมุมองจอภาพได้หลากหลายด้วยมัลติโหมดถึง 4 รูปแบบ

โดยในวันนี้ Lenovo YOGA ก็เดินทางมาถึงรุ่นใหม่ล่าสุด กับ YOGA 500, 700 และ 900 ที่นอกจากเลอโนโวจะปรับสเปกไปใช้ประมวลผลใหม่ Intel Core i7 “Skylake” Ultra Low Voltage แล้ว เรื่องแนวทางการออกแบบก็ถูกปรับเปลี่ยนให้เรียบง่ายและบางเบาลง

การออกแบบ

lenovo700head

ขึ้นชื่อว่าเป็น “อัลตร้าบุ๊ก” เพราะฉะนั้นการออกแบบจะเน้นความบางและน้ำหนักที่เบากว่าโน้ตบุ๊กทั่วไป โดย Lenovo YOGA 700 มีขนาดตัวเครื่องกว้างxยาว 334.9×229.5 มิลลิเมตร หนา 18.3 มิลลิเมตร พร้อมน้ำหนัก 1.6 กิโลกรัม ซึ่งใกล้เคียงกับคู่แข่งอย่าง Apple MacBook Air 13 นิ้วที่มีความหนาประมาณ 17 มิลลิเมตรและน้ำหนัก 1.35 กิโลกรัม

ในส่วนหน้าจอแสดงผลมีขนาด 14 นิ้ว (IPS) เป็นหน้าจอสัมผัสแบบมัลติทัช 10 จุด พร้อมความละเอียด FullHD 1080p (1,920×1,080 พิกเซล)

IMG_3789

สำหรับคีย์บอร์ดและทัชแพด จุดเด่นอยู่ที่แต่ละคีย์มีไฟ Backlight ส่องสว่างในที่มืด (วิธีเปิดไฟกด Fn + Spacebar) ส่วนทัชแพดถูกออกแบบมาให้มีขนาดใหญ่และที่สำคัญเป็นมัลติทัชตามสมัยนิยม

yoga700-play

มาถึงเอกลักษณ์เฉพาะ YOGA กับหน้าจอพับได้ 360 องศาที่เลบอโนโวเรียกว่า “มัลติโหมด” เพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถของวินโดวส์ยุคใหม่ที่มีความเป็นไฮบริดระหว่างแท็บเล็ตกับโน้ตบุ๊กมากขึ้น เลอโนโวจึงได้คิดค้นออกแบบอัลตร้าบุ๊กกลุ่ม YOGA ด้วยมัลติโหมด 4 รูปแบบเพื่อการใช้งานที่หลากหลาย ดังต่อไปนี้

1.Tent – พับหน้าจอไปด้านหลังทำมุมเหมือนกางเต้นท์ สำหรับใช้เวลารับชมภาพยนตร์หรือวิดีโอคอลล์
2.Stand – พับหน้าจอไปด้านหลังและจับส่วนของคีย์บอร์ดเปลี่ยนเป็นฐานตั้ง (คีย์บอร์ดและทัชแพดจะปิดการทำงานอัตโนมัติ) สำหรับใช้รับชมภาพยนตร์รวมถึงสามารถใช้ทำงานผ่านหน้าจอสัมผัสได้
3.Laptop – ใช้งานเป็นโน้ตบุ๊กปกติ
4.Tablet – พับหน้าจอจนประกบกับฐานตัวเครื่อง เพื่อใช้งานแบบแท็บเล็ตผ่านหน้าจอสัมผัส 10 จุด

IMG_3799IMG_3798

มาดูด้านข้างเครื่อง มีจุดที่น่าสังเกตคือ สันเครื่อง Lenovo YOGA 700 ทั้งหมดจะหุ้มด้วยวัสดุคล้ายยางสีดำไว้ ช่วยป้องกันการกระแทกและช่วยให้การจับถือกระชับมือมากขึ้น โดยพอร์ตเชื่อมต่อและปุ่มกดจะถูกติดตั้งอยู่บริเวณนี้ทั้งซ้ายและขวา ประกอบด้วย

“พอร์ต USB 3.0 จำนวน 2 พอร์ต (พอร์ตด้านซ้ายสามารถชาร์จสมาร์ทดีไวซ์ได้แม้เครื่องปิดอยู่) USB 2.0 (ช่องสีส้ม) จำนวน 1 พอร์ต (ใช้ร่วมกับช่องเสียบอะแดปเตอร์ชาร์จไฟบ้าน) ช่องหูฟังแบบ Combo jack (รวมหูฟังและไมโครโฟนไว้ในช่องเดียว) ขนาด 3.5 มิลลิเมตร ช่องอ่านการ์ดความจำ 4-in-1 card reader, Micro HDMI, ปุ่มเพิ่มลดระดับเสียงและปุ่มเปิดปิดเครื่องก็ถูกติดตั้งอยู่บริเวนด้านข้างนี้ด้วย”

IMG_3815IMG_3817

ด้านหน้าตาสายชาร์จและอะแดปเตอร์ชาร์จไฟบ้าน Lenovo YOGA 700 ถูกออกแบบมาให้เหมือนกับที่ชาร์จแท็บเล็ต ซึ่งมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา โดยมีจุดสังเกตอยู่ที่อะแดปเตอร์ที่สามารถจ่ายไฟได้สองรูปแบบคือ 20V 2A และ 5.2V 2A 

IMG_3800

สุดท้ายในส่วนลำโพง ถูกติดตั้งอยู่ใต้เครื่องจำนวน 2 ตัวแบบสเตอริโอ พร้อมช่องระบายความร้อน

สเปก

spec-y700windowsdetails-y700spec2-y700

เริ่มจากหน่วยประมวลผล เลือกใช้แบบ 64 บิต Intel Core i7 6th Gen (Skylake) รหัส 6500U 2 คอร์ 4 Threads ความเร็ว 2.50GHz รองรับ Turbo Boost เพิ่มความเร็วได้สูงสุด 3.1GHz พร้อมแรม DDR3L 8GB และหน่วยเก็บข้อมูลเลือกใช้เป็น SSD ขนาด 256GB จากซัมซุง

ในส่วนการ์ดจอ เลอโนโวติดตั้งการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce 940M พร้อมแรม 2GB ทำงานควบคู่กับการ์ดจอออนบอร์ด Intel HD Graphics 520 โดยระบบจะจัดสรรเลือกใช้การ์ดจอตามความเหมาะสมเพื่อประหยัดพลังงาน

ด้าน WiFi รองรับมาตรฐานสูงสุด 802.11 a/c บลูทูธ 4.0 กล้อง Webcam HD ความละเอียด 1 ล้านพิกเซล ส่วนระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งมาให้เป็น Windows 10 Home Single Language 64 บิต

ฟีเจอร์เด่น

Paper Display – เมื่อเปิดใช้งาน ระบบสามารถตรวจจับการใช้งานโน้ตบุ๊กของผู้ใช้ได้ โดยถ้าเป็นการใช้งานด้านเอกสารและอ่านหนังสือ หน้าจอจะปรับอุณหภูมิสีให้ออกน้ำตาล เหลืองเพื่อช่วยถนอมสายตา และปรับเป็นสีปกติอีกครั้งเมื่อผู้ใช้เปิดใช้งานมัลติมีเดียต่างๆ เป็นต้น

Mobile Hotspot – สำหรับผู้ใช้ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตกับสายแลน สามารถแชร์อินเตอร์เน็ตผ่าน WiFi ไปยังอุปกรณ์สมาร์ทดีไวซ์และอื่นๆ ได้

Dolby Audio – YOGA 700 รองรับระบบเสียง Dolby® DS 1.0 Home Theater โดยผู้ใช้สามารถเข้าไปปรับแต่งเลือกระบบเสียงต่างๆได้ตามต้องการจาก Lenovo Settings

alwaysonusb0y700

Always on USB – อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า YOGA 700 สามารถชาร์จไฟให้กับสมาร์ทดีไวซ์ได้แม้เครื่องปิดอยู่ เนื่องจากระบบรองรับฟังก์ชัน Always on USB แต่ทั้งนี้ก่อนใช้งานอย่าลืมเข้าไปเปิดใช้งานฟังก์ชันนี้จาก Lenovo Settings ก่อนด้วย

onekey-y700

OneKey Recovery – ตัวช่วยสำคัญในการสำรองข้อมูลและ Recovery ระบบเวลาเจอปัญหา

ทดสอบประสิทธิภาพ

benchpcmark-y700

PC Mark 8 ชุดทดสอบ Home Accelerated 3.0 ได้คะแนน 2,895 คะแนน Creative Accelerated 3.0 ได้คะแนน 3,588 คะแนน Work Accelerated 3.0 ได้คะแนน 4,174 คะแนน และสุดท้าย Storage 2.0 ได้คะแนนมากถึง 4,949 คะแนน มากกว่าโน้ตบุ๊กทั่วไปที่ใช้ฮาร์ดดิสก์จานหมุน โดยอัตราการอ่านเขียนข้อมูลอยู่ที่ 243.95 MB ต่อวินาที

64bitgeek-y70032bitgeek-y700

สำหรับคะแนน Geekbench ทดสอบแบบ 32 บิต ชุดทดสอบ Single Core ได้คะแนน 2,773 คะแนน Multi Core ได้คะแนน 6,064 คะแนน

ส่วนการทดสอบแบบ 64 บิต ชุดทดสอบ Single Core ได้คะแนน 2,887 คะแนน Multi Core ได้คะแนน 6,356 คะแนน

cinebench-y700benchmark2-y700

มาถึงการทดสอบในส่วนกราฟิก 3 มิติ ด้วยชุดทดสอบ 3D Mark ขอกล่าวในภาพรวมสำหรับการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce 940M เมื่อประกบกับหน่วยประมวลผล i7 Ultra Low Voltage “Skylake” ถือว่าทำคะแนนออกมาได้น่าพอใจ และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ถึงแม้จะเป็นอัลตร้าบุ๊กบางเบาแต่ก็รองรับการเล่นเกม 3 มิติได้ดีระดับหนึ่ง

catzilla-y700

รองขยับมาทดสอบเกม 3 มิติจริงๆกันบ้างกับ Catzilla ชุดทดสอบที่ดึงประสิทธิภาพทั้งในส่วนซีพียูและกราฟิกการ์ดออกมาได้เต็มประสิทธิภาพที่สุด โดยทีมงานทดสอบที่ความละเอียด 720p สามารถทำคะแนนได้ 2,538 คะแนน ถือว่าอยู่ระดับเริ่มต้น

4ky700

ส่วนเรื่องการรับชมคอนเทนต์วิดีโอ 4K รวมถึงการใช้ตัดต่อวิดีโอเล็กๆน้อยๆ หรือใช้ทำงานด้านกราฟิกเบื้องต้น เช่น ครอปภาพหรือตกแต่งภาพส่วนตัว ไปถึงทำงานขึ้นเว็บไซต์ ส่วนนี้ถือเป็นจุดเด่นของ YOGA 700 มากที่สุด เพราะนอกจากการพกพาที่สะดวกสบายแล้ว สเปกที่ทางเลอโนโวให้มาก็เพียงพอต่อการใช้งานในรูปแบบดังกล่าวแล้ว

batttest-y700

สุดท้ายกับการทดสอบแบตเตอรีด้วย PC Mark 8 ชุดทดสอบ Home Accelerated 3.0 (ทดสอบโดยเปิดหน้าจอตลอดเวลาและการทดสอบจะเน้นเรื่องการใช้งานทั่วไป เช่น ตกแต่งภาพ เข้าเว็บบราวเซอร์ พิมพ์งาน เป็นต้น)

Lenovo YOGA 700 สามารถทำเวลาได้ 3 ชั่วโมง 32 นาที
และเมื่อคำนวณเป็นเวลาใช้งานทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 6-7 ชั่วโมง

สรุป

4 จุดขายหลักของ Lenovo YOGA 700 คือ มีการ์ดจอแยก, หน่วยเก็บข้อมูล SSD 256GB, หน้าจอสัมผัสพร้อมมัลติโหมด 360 องศา 4 รูปแบบและหน้าจอ FullHD 1080p

ทั้งหมดเมื่อเทียบกับราคาค่าตัว 39,900 บาท ยอมรับว่าหลายส่วนมีการปรับปรุงให้ลงตัวกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างมาก มัลติโหมดใช้งานได้น่าสนใจขึ้นจากการมาของ Windows 10 รวมถึงประสิทธิภาพที่เมื่อเทียบกับขนาด ความบาง และน้ำหนักแล้วถือว่าเลอโนโวจัดสเปกมาได้ลงตัวเหมาะแก่ผู้ใช้ยุคใหม่ โดยเฉพาะนักธุรกิจหรือคนทำงานที่ต้องพกพาโน้ตบุ๊กไปนำเสนองานตามสถานที่ต่างๆบ่อยครั้ง YOGA 700 ที่มาพร้อมหน้าจอพับได้ 360 องศา ถือเป็นอาวุธคู่กายที่ยอดเยี่ยมอีกหนึ่งรุ่นที่ดูดีและมีรูปแบบการใช้งานที่สร้างสรรค์สุดในตลาดตอนนี้

(บทความโฆษณา)

Gallery

]]>
Review : Asus Zenbook UX303UB อัปเกรดใส่ซีพียูใหม่ พร้อมกราฟิกการ์ด https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-zenbook-ux303ub/ Mon, 04 Jan 2016 07:37:27 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=20863

IMG_2118

ด้วยชื่อชั้นของเอซุส ในตลาดโน้ตบุ๊กที่ถือว่าค่อนข้างประสบควมสำเร็จในช่วงหลัง แม้ว่าตลาดพีซีจะมีการเติบโตลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่สินค้าในตระกูล Zenbook กลับมาสร้างความต่างให้แก่ผู้บริโภคในแง่ของผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูง ดีไซน์สวย ในราคาที่จับต้องได้

จุดเด่นหลักของ Zenbook UX303UB ที่นำมารีวิวกันในวันนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของซีพียูใหม่ ที่ใช้เป็น Intel Core i7 6th Gen (Skylake) ที่มากับ RAM 8 GB และกราฟิกการ์ด Nvidia GT940 แม้ว่าตัวเครื่องจะมีการตัดสเปกในส่วนของจอทัชสกรีนออกไปแต่ก็แลกมาด้วยระดับราคาที่สามารถเอื้อมถึงได้ง่ายขึ้นกับสเปกระดับนี้ที่ 35,990 บาท

การออกแบบ

IMG_2138

จุดที่ไม่ค่อยเปลี่ยแปลงไปใน Zenbook จุดใหญ่เลยก็คือเรื่องของดีไซน์ เพราะทางเอซุสหลังจากปรับเปลี่ยนมาใช้การออกแบบในสไตล์ Zen และได้รับความนิยม ก็เน้นไปพัฒนาที่ประสิทธิภาพภายใน และฟังก์ชันอื่นๆเพิ่มเติมแทน ทำให้การออกแบบของ Zenbook UX303UB รุ่นนี้แทบไม่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าอย่างชัดเจน

IMG_2119

สิ่งหลักๆที่มีเพิ่มขึ้นมาจากรุ่นก่อนคือเรื่องของสี ที่ในรุ่น UX303UB จะมีสีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 3 สี คือ สีน้ำตาล (Smoky Brown) สีทอง (Icicle Gold) และสีชมพูอมทอง (Rose Gold) โดยแต่จะรุ่นก็จะมีรหัสเครื่องที่แตกต่างกันไปนั่นเอง

แน่นอนว่าวัสดุหลักที่ถูกนำมาใช้ใน Zenbook  ที่เน้นเรื่องของความบาง และน้ำหนักเบา แต่ยังคงความแข็งแรงคงหนีไม่พ้นอะลูมิเนียม ทำให้ตัวเครื่องรวมแบตเตอรีจะมีน้ำหนักประมาณ 1.45 กิโลกรัม ขณะที่ในแง่ของความบางจุดที่บางที่สุดจะอยู่ที่ 3 มิลลิเมตร แต่ถ้านับรวมขนาดรอบเครื่องก็จะอยู่ที่ 323 x 223 x 19.2 มิลลิเมตร

ด้วยการออกแบบในสไตล์ Zen ทำให้ตัวเครื่องเมื่อมองจากภายนอกจะเห็นถึงความเงา ผสมกับลวดลายแบบก้นหอยเข้าสู่จุดศูนย์กลางที่เป็นตราสัญลักษณ์ ‘ASUS’ สีเงิน โดดเด่นอยู่บนฝาตัวเครื่องสีโรสโกลด์สีเห็นชดเจน แต่ในส่วนของตัวเครื่องสีจะออกเงินอมชมพูมากกว่า ทำให้ตัวเครื่องภายในดูสว่าง และสีไม่สดเท่าบริเวณฝาหน้า

IMG_2130

เมื่อเปิดหน้าฝาเครื่องขึ้นมาจะพบกับหน้าจอ LED ขนาด 13.3 นิ้ว ไม่รองรับระบบสัมผัส ความละเอียด Full HD (1,920 x 1,080 พิกเซล) ที่มีสัดส่วน 16 : 9 ที่สำคัญคือเป็นจอ IPS ที่เอซุสเคลมว่า มีมุมมองกว้างกว่าจอโน้ตบุ๊กทั่วไปในท้องตลาด คือสามารถมองจอแบบชัดเจนได้ในมุมองศาได้ถึง 178 องศา ซึ่งเกือบจะเป็นแนวระนาบเดียวกับจอแล้ว

s09

บริเวณส่วนบนของหน้าจอจะมีกล้องความละเอียด HD กับเซ็นเซอร์วัดแสง และไมโครโฟน ส่วนล่างหน้าจอจะมีโลโก้ ‘ASUS’ สีเงินขนาดใหญ่อยู่ ขณะที่บริเวณข้อต่อระหว่างจอและตัวเครื่องจะเชื่อมบริเวณมุมซ้ายและขวา และถือเป็นจุดระบายความร้อนของตัวเครื่องด้วย

IMG_2132

ถัดมาในส่วนของคีย์บอร์ด แม้ว่าจะมีขนาดปุ่มเล็กกว่าคีย์บอร์ดปกติเล็กน้อย แต่การรับสัมผัสถือว่าทำได้ค่อนข้างนุ่มนวล ใครที่ชื่นชอบปุ่มคีย์บอร์ดแข็งๆอาจจะรู้สึกแปลกๆไปบ้างตอนใช้งาน โดยแถบบนจะเป็นปุ่มสั่งงานต่างๆร่วมกับปุ่มฟังก์ชัน (fn) โดยจะมีตั้งแต่เปิดโหมดสลีป โหมดเครื่องบิน ปรับไฟคีย์บอร์ด ความสว่างหน้าจอ ปิดหน้าจอ สลับหน้าจอ ปิดทัชแพด ปรับเสียง และจะมีปุ่มปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติที่มาซ่อนอยู่บริเวณปุ่ม A

จุดที่ใช้งานแล้วอาจจะผิดหวังสักหน่อยในคีย์บอร์ดก็คือบริเวณปุ่มเปลี่ยนภาษาที่มีขนาดเล็กลงกว่าปุ่มปกติ ทำให้เวลาสลับภาษาใช้งานอาจกดพลาดได้ เช่นเดียวกับปุ่มลูกศรที่มีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของปุ่มปกติเท่านั้น ดังนั้นเวลาใช้งานจึงต้องระมัดระวังเล็กน้อย

IMG_2133

ในส่วนของทัชแพด การรับสัมผัสทำได้ตามมาตรฐานโน้ตบุ๊กทั่วไป แต่ยังไม่สามารถเทียบกับทัชแพดของ แมคบุ๊กได้เช่นเดิม แม้ว่าจะมีการเพิ่มลูกเล่นอย่าง Smart Gesture เข้ามา แต่การรับสัมผัสต่างๆยังไม่ไวเท่า ดังนั้นแนะนำให้ใช้งานร่วมกับเมาส์จะดีกว่า

บริเวณที่วางมือทั้ง 2 ฝั่งจะมีรายละเอียดของอุปกรณ์อย่างเช่นสติกเกอ์ Intel Inside Energy Star HDMI รวมถึงสกรีนบอกระบบเสียงที่ใช้ในเครื่องว่าเป็น Bang & Olufsen ICE Power ด้วย ส่วนไฟแสดงสถานะการทำงานของเครื่องจะอยู่ที่บริเวณมุมขวาบน

IMG_2120

ด้านหลังเครื่องจะถูกปล่อยว่างไว้โล่งๆ โดยบริเวณ 4 มุมจะมีฐานยางช่วยยกเครื่องให้สูงขึ้นมาจากการวางบนพื้นเรียบ และมีรายละเอียดชื่อรุ่น ซีเรียล สัญลักษณ์รับรองมาตรฐานต่างๆ รวมถึงสติกเกอร์ระบุว่าเป็นระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 10 ของแท้

IMG_2124IMG_2123

มาถึงบริเวณพอร์ตด้านข้างตัวเครื่อง Zenbook UX303UB ถือว่าให้มาค่อนข้างครบ ไล่จากฝั่งซ้ายจะมีพอร์ตยูเอสบี 3.0 2 พอร์ต กับช่องอ่านเอสดีการ์ด ฝั่งขวาจะเป็นช่องเสียบสายชาร์จ พอร์ต Thunderbolt ยูเอสบี 3 1 พอร์ต ช่องเสียบ HDMI ช่องเสียบหูฟัง และไฟแสดงสถานแบตเตอรี

IMG_2136

ที่น่าสนใจของการดีไซน์ตัวเครื่องให้มีพัดลมเป่าออกบริเวณส่วนบนตัวเครื่องที่เชื่อมต่อกับจอ ทำให้เวลาใช้งานมือที่ใช้คีย์บอร์ดจะไม่รู้สึกร้อนมากนัก ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันด้วยการที่มีไฟบริเวณคีย์บอร์ดทำให้สามารถใช้งานในที่มืดได้ ที่สำคัญคือเสียงของพัดลมระบายอากาศไม่ได้ดังมากจนรู้สึกรำคาญเวลาใช้งานในห้องเงียบๆ

สเปก

s05

เมื่อดูถึงสเปกของตัวเครื่องที่ให้มา UX303UB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home ที่เลือกภาษาใช้งานได้เพียงภาษาเดียว ทำงานบนระบบ 64 บิต ใช้หน่วยประมวลผลจาก 6th  Generation Intel Core i7-6500U ที่ให้ความเร็วอยู่ที่ 2.5 GHz และสามารถเร่งความเร็วขึ้นไปอยู่ที่ (Turbo Boot) 3.1 GHz โดยมี L3-Cache ขนาด 4 MB ร่วมกับ RAM ขนาด 8GB ที่สามารถใส่เพิ่มได้เป็น 12 GB

s08

ส่วนของหน่วยประมวลผลภาพ (กราฟิกการ์ด) จะทำงานร่วมกันระหว่าง Nvidia GeForce GT 940 2GB DDR3 กับIntel Graphics HD 530 ที่จะเลือกใช้ตามประเภทของการใช้งานว่าต้องการประสิทธิภาพในการประมวลผลสูงขนาดไหน ในส่วนของฮาร์ดดิสก์ รุ่นที่ได้มาจะเป็นฮาร์ดดิสแบบจานหมุนขนาด 2.5 นิ้ว 5400 rpm ความจุ 1 TB

ด้านการเชื่อมต่อ ตัวเครื่องรองรับการเชื่อมต่อไวเลส มาตรฐาน 802.11 b/g/n บลูทูธ 4.0 ร่วมกับพอร์ตต่างๆไม่ว่าจะเป็น ยูเอสบี 3 ช่อง HDMI Thunderbolt โดยภายในกล่องจะมีสายต่อแลน (เชื่อมกับยูเอสบี) และ VGA (เชื่อมกับ Thunderbolt) มาให้ด้วย

ฟีเจอร์เด่น

s01

การใช้งานของ Asus Zenbook UX303UB หลักๆแล้วก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของวินโดวส์ 10 กับหน่วยประมวลผล Intel Core i7 และกราฟิกการ์ด Nvidia GT940 ซึ่งแน่นอนว่าสามารถนำมาใช้งานประมวลผลหนักๆได้สบาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในการตัดต่อ เล่นเกมที่กินสเปกสูงๆ แต่อย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็นโน้ตบุ๊กที่เน้นการพกพาก็ทำให้สเปกบางอย่างอาจจะไม่สูงเท่าที่ต้องการ ซึ่งโดยรวมก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานอยู่แล้ว

s04

ฟีเจอร์ที่เอซุสเสริมเข้ามาให้ใช้งานร่วมกับวินโดวส์ 10 ก็จะมีที่น่าสนใจเริ่มตั้งแต่การแสดงผล ที่มี ASUS Splendid Technology เข้ามาช่วยปรับแสงของหน้าจอ ที่มีให้เลือกใช้งานทั้งโหมดปกติ โหมด Eye Care ที่จะมีการตัดแสงสีฟ้าออกไป โหมด Vivid ที่ช่วยเร่งสีให้สดขึ้น รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ปรับแต่งอุณหภูมิสีของหน้าจอด้วยตนเอง

s06

ถัดมาในส่วนของเสียง อย่างที่บอกไปว่าตัวเครื่องมาพร้อมกับระบบเสียง ICE Power ของ B&O ดังนั้นจึงมี Audio Wizard มาให้เลือกใช้โดยมีโหมดให้เลือกทั้ง ฟังเพลง ดูหนัง อัดเสียง เล่นเกม และการใช้งานประชุมสายต่างๆบนโน้ตบุ๊ก

s03

Asus Smart Gesture คือโปรแกรมที่มาช่วยเพิ่มความสามารถของทัชแพด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสั่งงานด้วยการสัมผัสนิ้วเดียว สองนิ้ว สามนิ้ว และสี่นิ้ว เลือกตั้งปิดการใช้งานทัชแพดเมื่อมีการเชื่อมต่อเมาส์ และการใช้สมาร์ทโฟนในการควบคุมเมาส์ผ่านแอปพลิเคชัน Remote Link

s02

นอกจากนี้ ก็จะมีโปรแกรมอย่าง Live Update ที่จะคอยตรวจสอบการอัปเดตโปรแกรมต่างๆภายในตัวเครื่องให้ใหม่อยู่เสมอ Asus Installation Wizard สำหรับลงโปรแกรมต่างๆจากเอซุส รวมถึงไดร์ฟเวอร์ต่างๆด้วย สุดท้ายคือ USB Chrger+ ที่ให้ผู้ใช้สามารถเสียบสายชาร์จสมาร์ทโฟนเข้ากับพอร์ตยูเอสบีเพื่อชาร์จโทรศัพท์ได้แม้ปิดเครื่องโน้ตบุ๊ก

s13

ส่วนผู้ที่ต้องการโปรแกรมพิเศษในการใช้งานก็จะมี Asus Giftbox ที่มีราคาพิเศษสำหรับโปรแกรมบางอย่างให้เลือกซื้อผ่านระบบออนไลน์ รวมถึงการเก็บข้อมูลผ่านระบบคลาวด์ของเอซุส (WebStorage) เพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลจากอุปกรณ์ใดก็ได้ผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

ทดสอบประสิทธิภาพ

s10

มาถึงในส่วนของการทดสอบประสิทธิภาพตัวเครื่อง เมื่อทำการทดสอบด้วยโปรแกรมทดสอบ PCmark8 Home Conventional ได้ 2,694 คะแนน Creative Conventional ได้ 2,539 คะแนน Work Conventional 2,813 คะแนน Storage ได้ 1,999 คะแนน ส่วนการทดสอบการใช้งานแบตเตอรีในการทำงานทั่วไป จะอยู่ได้ราว 4 ชั่วโมง 37 นาที แต่ถ้าใช้งานไม่หนักไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ปรับความสว่างหน้าจอลดลงระยะเวลาก็จะนานขึ้น

s11

ส่วน 3Dmark Fire Strike Extreme ได้ 691 คะแนน Fire Strike ได้ 1,347 คะแนน Sky Driver 5,042 คะแนน Cloud Gate ได้ 6,220 คะแนน Ice Storm Extreme ได้ 43,060 คะแนน Ice Storm 44,788 คะแนน

s12

GeekBench 32 บิต ได้คะแนน Single Core 3,119 คะแนน Multi Core 6,563 คะแนน ส่วน 64 บิต ได้คะแนน Single Core 3,269 คะแนน Multi Core 6,892 คะแนน

s07

CineBench R15 ได้คะแนน OpenGL 36.05 fps ส่วนคะแนน CPU ได้ 300 cb

สรุป

ถ้ามองหาโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง ดีไซน์สวยงาม และมีสีให้เลือกแตกต่างจากสีทั่วๆไป Asus Zenbook UX303UB ถือเป็น 1 ในตัวเลือกที่น่าสนใจกับระดับราคา 35,990 บาท เพราะด้วยสเปกทีได้มา ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานในแง่ของโน้ตบุ๊กอยู่แล้ว เพียงแต่ถ้าต้องการให้เครื่องเร็วกว่านี้ก็อาจจะใช้การเปลี่ยนจากฮาร์ดดิสก์ขนาด 1 TB เป็น SSD 512 GB แทน ก็จะทำให้เครื่องตอบสนองได้เร็วขึ้น

ในแง่ของการพกพาออกไปใช้งานนอกบ้าน ต้องยอมรับว่าด้วยขนาดตัวเครื่อง และน้ำหนักที่มีอาจจะทำให้ไม่ค่อยสะดวกในการพกพา แต่ก็แลกมากับประสิทธิภาพตัวเครื่องที่แรง เพราะถ้ามองหาสเปกระดับนี้แต่อยากได้ขนาดและน้ำหนักที่ลดลงราคาก็จะขยับสูงขึ้นไปอีก

อีกจุดที่น่าสนใจคือเรื่องของระยะเวลารับประกันที่ช่วงหลังเอซุส ยืดระยะเวลาการรับประกันเพิ่มเป็น 2 ปี จากสมัยก่อนที่รับประกันแค่ 1 ปี ดังนั้นก็ถือว่าเป็นอีกจุดที่แลกมากับระดับราคาดังกล่าว พร้อมกับระบบปฏิบัติการแท้ด้วย

ข้อดี

  • ประสิทธิภาพสูง สามารถเล่นเกมสเปกสูงๆได้สบาย
  • ความละเอียดหน้าจอยังอยู่ระดับ Full HD
  • พอร์ตเชื่อมต่อครบทั้ง USB HDMI Thunderbolt Card-Reader
  • มีให้เลือก 3 สี น้ำตาล ทอง และโรสโกลด์

ข้อสังเกต

  • ตัวเครื่องมีอาการหน่วงๆในช่วงเปิดใช้งาน (อาจเกิดจากตัวโปรแกรมเสริมที่รันช่วงเปิดวินโดวส์)
  • ปุ่มเปลี่ยนภาษา และลูกศรมีขนาดเล็กกว่าปุ่มอื่นๆ
  • ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรี อยู่ที่ราว 4-5 ขั่วโมง

Gallery

]]>