Smartphones 2015 – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Fri, 19 Feb 2016 10:30:25 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Acer Liquid X2 แอนดรอดย์ 3 ซิมสเปกดีราคาต่ำหมื่น https://cyberbiz.mgronline.com/review-acer-liquid-x2/ Tue, 29 Dec 2015 04:59:57 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=20772

IMG_1567

การมาของมือถือ 3 ซิม ในจังหวะที่ผู้ให้บริการรายใหญ่ในตลาดอย่าง เอไอเอส ไม่มีคลื่นมาให้บริการ 2G ถือเป็นความท้าทายใหญ่ของทางเอเซอร์ ที่ออกสมาร์ทโฟนมาจับตลาดนี้ เพราะในการใช้งานมือถือไม่ว่าจะเป็น 2 ซิม หรือ 3 ซิม ซิมที่ไม่ได้ถูกใช้งานเป็นซิมหลัก ก็จะสแตนบายอยู่ในคลื่น 2G

จุดเด่นหลักของ X2 นอกจากเรื่อง 2 ซิมแล้ว ก็คือเรื่องของประสิทธิภาพตัวเครื่องที่มากับหน่วยประมวลผล 8 คอร์ กล้องหลัก และกล้องหน้า 13 ล้านพิกเซล รองรับการเชื่อมต่อ 4G มีระบบเสียง DTS มาให้ใช้งาน พร้อมแบตเตอรีขนาด 4,000 mAh ในราคา 9,990 บาท

การออกแบบ

IMG_1540

ในแง่ของการออกแบบ Acer Liquid X2 ถูกคิดค้นมาด้วยดีไซน์ใหม่ที่แตกต่างจากเครื่องเอเซอร์รุ่นก่อนหน้า ด้วยการใช้วัสดุที่ดูแข็งแรงขึ้นอย่างอะลูมิเนียมมาผสมกับพลาสติก ประกอบกับลวดลายของฝาหลังที่เป็นแบบเส้นผม ช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับตัวเครื่อง โดยขนาดรอบตัวของ Liquid X2 จะอยู่ที่ 153 x 79 x 8.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 170 กรัม

ด้านหน้าไล่จากส่วนบนจะพบกับกล้องหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ตรวจจับใบหน้า และวัดแสง ลำโพงสนทนาลักษณะเป็นวงกลม และมีไฟแฟลชหน้าอยู่ด้วย ถัดลงมาเป็นหน้าจอทัชสกรีนขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด HD (1280 x 720 พิกเซล) ล่างหน้าจอมีสัญลักษณ์ acer แปะอยู่ โดยตรงพื้นหลังจะมีลวดลายเป็นแพทเทิร์นแบบสี่เหลี่ยม

IMG_1558

ด้านหลังอย่างที่บอกไปว่า เอเซอร์ ออกแบบลายคล้ายเส้นผม และทำให้การถือใช้งานถนัดมือมากขึ้น เพราะไม่ได้ใช้เป็นพลาสติกแบบลื่น โดยจะมีกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชอยู่ที่มุมบน ตรงกลางเป็นสัญลักษณ์เอเซอร์ และส่วนล่างเป็นช่องลำโพง ที่มีสัญลักษณ์ระบบเสียง dts HD ระบุไว้ด้วย

IMG_1561

เมื่อแกะฝาหลังออกมา (ใช้การแงะบริเวณช่องเสียบสายชาร์จ จะพบกับแบตเตอรี Li-Pol ขนาดใหญ่ 4,000 mAh และช่องใส่ไมโครซิมการ์ด 3 ช่อง กับช่องใส่ไมโครเอสดีการ์ดอีก 1 ช่อง

IMG_1543IMG_1545

ด้านบนจะมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. และไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน ด้านล่างเป็นพอร์ตไมโครยูเอสบี และไมโครโฟนสนทนา

IMG_1542IMG_1544

ด้านซ้ายจะถูกปล่อยว่างไว้ ด้านขวาจะเป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดปิดเครื่อง

IMG_1563

อุปกรณ์ที่ให้มาภายในกล่องของ Liquid X2 จะประกอบไปด้วย ตัวเครื่อง หูฟัง สายชาร์จ อะเดปเตอร์ เคสพร้อมฝาปิด คู่มือการใช้งาน และใบรับประกัน

สเปก

s13

สำหรับสเปกภายในของ Liquid X2 มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล MediaTek MT6735 ที่เป็น Octa-Core 1.3 GHz RAM 3 GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายในตัวเครื่อง 32 GB รองรับการใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติมสูงสุด 32 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 5.1.1 (Lollipop) โดยมีระบบเสียง DTS HD แบบ 24bit มาให้ใช้งานด้วย

ด้านการเชื่อมต่อ ตัวเครื่องรองรับการใช้งานทั้ง 2G 3G และ 4G 800/1800/2100/2600 MHz เพียงแต่จะเลือกซิมหลักให้ใช้งาน 3G/4G ได้ซิมเดียว การเชื่อมต่อ WiFI บนมาตรฐาน 802.11 b/g/n บลูทูธ 4.0 จีพีเอส วิทยุFM รวมถึงการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่าน Acer Extend

ฟีเจอร์เด่น

s01

สำหรับฟีเจอร์ในการใช้งาน Liquid X2 ก็มากับระบบแอนดรอยด์ ที่โดยภายรวมแล้วจะมีอินเตอร์เฟสในการใช้งานใกล้เคียงกันคือ มีหน้าจอหลักให้เลือกนำวิตเจ็ต หรือไอค่อนลัดต่างๆมาวางได้ตามใจผู้ใช้งาน โดยทางเอเซอร์ได้มีการรวมโฟลเดอร์บริการชองกูเกิล และเอเซอร์ไว้ที่หน้าจอให้ในเบื้องต้น

โดยมีแถบการแจ้งเตือนที่จะแตกต่างกัน โดยใน X2 จะมีแถบตั้งค่าด่วนในการเปิดปิด ไวไฟ โหมดเครื่องบิน ดาต้า ไฟฉาย การแจ้งเตือน บลูทูธ เปิดใช้งานโหมดลอยตัวสำหรับบันทึกข้อความ เครื่องคิดเลข ปฏิทิน รวมถึงการเปิดจีพีเอส ไวไฟฮ็อตสป็อต และระบบตัดแสงสีฟ้าได้ทันที

ส่วนการล็อกหน้าจอที่ตั้งค่ามากับโรงงาน จะเป็นการปัดเพื่อปลดล็อก โดยมีเวลาขึ้นแสดงตรงกลางหน้าจอ พร้อมวันและวันที่ ถ้ามีการแจ้งเตือนต่างๆก็จะขึ้นแสดงตรงนี้ให้กดเข้าไปดูได้ทันที ส่วนแถบล่างจากมีไอค่อนลัดสำหรับเข้าไปใช้งานโทรศัพท์ และกล้องแบบด่วนได้ทันที

s03

ในส่วนของฟีเจอร์ที่น่าสนใจจะเริ่มจากการใช้งาน X2 คู่กับเคสพิเศษ ที่จะมีช่องสำหรับดูหน้าจอขนาดเล็ก ตรงจุดนี้ผู้ใช้สามารถกดให้บนหน้าจอแสดงสถานะต่างๆ เช่น แบตเตอรี ตั้งค่าด่วน บันทึกเสียง พยากรณ์อากาศ ดูการแจ้งเตือนปฏิทิน ข้อความ สายไม่ได้รับ และสุดท้ายคือเปิดไฟฉาย

s06

โดยในตัวของ Flip Cover ยังมีความสามารถอีกอย่างคือการถ่ายภาพได้ทันที โดยไม่ต้องเปิดเคสขึ้นมา เพียงแต่ต้องเข้าไปเปิดโหมดใช้งานก่อน เช่นเดียวกับระบบเสียง DTS Premium ที่เอเซอร์โปรโมทว่าเครื่องนี้มาพร้อมกับระบบเสียงดังกล่าว ก็ช่วยให้การขับเสียงของเอเซอร์ทำได้ดีขึ้นเช่นเดียวกัน

s07

นอกจากนี้ ยังมีโหมดในการใช้งานอย่าง EZ Tasking ให้สามารถเปิดหน้าจอ 2 แอปพลิเคชันพร้อมกัน สามารถใช้งานได้ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน เพียงแต่จะใช้งานได้กับบางแอปพลิเคชันของทางกูเกิลเท่านั้น อย่างโครม เบราว์เซอร์ ยูทูป เป็นต้น

อีกระบบที่มากับการบันทึกภาพคือ การสร้างอัลบั้มส่วนตัว โดยก่อนถ่ายภาพผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะบันทึกรูปไว้ในอัลบั้มที่มีการล็อกรหัสหรือไม่ ถ้าเลือกเวลาเข้าไปดูภาพก็จะมีต้องมีการใส่รหัสผ่านเข้าไปก่อน

ส่วนในการใช้งานที่เชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ด้วยกัน ทางเอเซอร์ ได้มีการคิดค้น Acer Extend ขึ้นมา ให้ดาวน์โหลดไปติดตั้งไว้บนพีซี ทำให้ตัวสมาร์ทโฟน สามารถส่งข้อมูลจากเครื่องไปยังพีซีได้ทันที ทั้งรูปภาพ ไฟล์ เพลง วิดีโอ และเอกสาร รวมถึงการใช้พีซีควบคุมหน้าจอสมาร์ทโฟนด้วย

s05

ถัดมาที่น่าสนใจคือระบบการแสดงผล ที่เอเซอร์เพิ่ม Bluelight Shield ขึ้นมาให้เลือกใช้กันเลย ไม่ต้องพึงพาฟิล์มกันรอยตัดแสงฟ้าอีกต่อไป เมื่อกดใช้ตัวหน้าจอก็จะมีการลดการแสดงผลแสงสีฟ้าออกไป โดยผู้ใช้สามารถปรับเลือกระดับได้ตามต้องการ กับอีกระบบหนึ่งคือการสั่งงานแบบรวดเร็วด้วยการวาด ตัวอักษร หรือปัดมือ เพื่อสั่งงานตัวเครื่อง

s04

โดยฟังก์ชันพิเศษเหล่านี้ สามารถเข้าไปตั้งค่าได้ภายในส่วนของการตั้งค่า ที่จะมีแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลักๆตามแบบฉบับของแอนดรอดย์ คือ การเชื่อมต่อไร้สาย ตั้งค่าอุปกรณ์ ตั้งค่าส่วนตัว และตั้งค่าระบบ

s08

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของหน้าจอหลัก ถ้าต้องการนำเครื่องมาให้ผู้สูงอายุใช้งาน เอเซอร์ ก็มีโหมดง่ายมาให้ใช้กัน โดยเป็นการเพิ่มขนาดของไอค่อนให้ใหญ่ขึ้น รวมถึงการที่ผู้ใช้สามารถเลือกแอป หรือรายชื่อที่ใช้บ่อยๆ ขึ้นมาวางไว้บนหน้าจอให้ใช้งานได้ทันที ไม่จำเป็นต้องกดเข้าไปหาลึกๆภายในเครื่องอีกต่อไป

s09

ที่เหลือก็จะมีระบบอย่างการจัดการพลังงาน แสดงระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรี สามารถเข้าไปตั้งค่าโหมดประหยัดพลังงานด้วยการเปิดปิด ไวไฟ บลูทูธ การเชื่อมต่อข้อมูล เวลาพักหน้าจอให้สั้นลง ก็จะช่วยประหยัดแบตเตอรีได้มากยิ่งขึ้น ประกอบกับตัวเครื่อง X2 ที่มีแบตเตอรีขนาด 4,000 mAh มาให้ทำให้สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนาน

s10

ระบบตรวจสอบการใช้งานตัวเครื่อง สำหรับตรวจการใช้งาน RAM และพื้นที่เก็บข้อมูลต่างๆ ที่จะแสดงผลชัดเจนว่ามีแอปพลิเคชันใด ใช้ทรัพยากรเครื่องไปเท่าไหร่บ้าง แล้วสามารถกดล้างข้อมูล เคลียแคชข้อมูลภายในแอปได้ทันที เพื่อให้เครื่องทำงานได้รวดเร็วตลอดเวลา

s11

ในส่วนของโหมดกล้องที่ให้มาหน้าหลัง 13 ล้านพิกเซล ถือว่าทำออกมาได้ใช้งานค่อนข้างง่าย ด้วยอินเตอร์เฟสที่เรียบๆ คือมีปุ่มชัตเตอร์ขนาดใหญ่ ที่ฝั่งขวาหน้าจอ ขนาบด้วยปุ่มกดบันทึกวิดีโอ และการถ่ายภาพในโหมดสวยอัตโนมัติ พร้อมแถบซูมภาพ ส่วนฝั่งขวาจะแสดงไอค่อนลัดการเปิดแฟลช สลับกล้อง บันทึกเสียง และอัลบั้มเข้ารหัส

s12

ผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งความละเอียดสูงสุดของภาพ โดยค่าความไวแสง (ISO) สูงสุดในเครื่องคือ 1600 พร้อมเลือกเปิดระบบถ่ายภาพต่อเนื่อง การถ่ายภาพเมื่อสัมผัสหน้าจอ ระบบกันสั่นในการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดระดับ Full HD นอกจากนี้ ยังเข้าไปเลือกโหมดในการถ่ายภาพนิ่ง ปรับสมดุลแสงขาว ถ่ายพาโนราม่า ใส่เอฟเฟกต์ภาพได้ด้วย

s02

ทั้งนี้ แอปพลิเคชัน ที่มีการติดตั้งมาให้กับตัวเครื่อง นอกจากแอปทั่วไปแล้วจะมีการพรีโหลดเกมมาให้เพิ่มเติม 6-7 เกม กับโปรแกรมจัดการเอกสาร และคู่มือการใช้งาน ถ้าไม่ต้องการใช้งานก็สามารถลบออกจากเครื่องได้เช่นเดียวกัน

IMG_1560

สุดท้ายในส่วนของการใช้งาน 3 ซิม แน่นอนว่าตัวเครื่องจะสามารถเลือกซิมหลักในการใช้งานได้เพียง 1 ซิม ที่ใช้เชื่อมต่อ 3G หรือ 4G ส่วนอีก 2 ซิมที่เหลือจะใช้เป็นโหมดสแตนบาย 2G เพียงแต่สามารถเลือกสลับการใช้งานได้ โดยไม่ต้องถอดเปลี่ยนซิม ก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ที่มีหลายเบอร์ได้

ทดสอบประสิทธิภาพ

s14

มาถึงส่วนของผลการทดสอบ ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Antutu 64bit ได้คะแนน 33,841 คะแนน ส่วน 32bit ได้ 31,192 คะแน Quadrant Standart ได้คะแนน 20,667 คะแนน และ 21,483 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 5 จุดพร้อมกัน

ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo จากเว็บเบราว์เซอร์ได้ 2,462 คะแนน โครมเบราว์เซอร์ 2,775 คะแนน Android WebVIew 2,462 คะแนน ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ (Metal) 1,119 คะแนน Multicore 1,586 คะแนน คะแนน Geek Bench 3 Single-Core 628 Multi-Core 2,748 คะแนน

ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรีต่อเนื่องอยู่ที่ 11 ชั่วโมง 24 นาที 20 วินาที คิดเป็นคะแนนของ Geekbench 3 ได้ 6,078 คะแนน

s16

ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม PCMark ในส่วนของ Work Performance ได้ 3,927 คะแนน 3D Mark ตัว Sling shot ES3.1 187 คะแนน ES3.0 286 คะแนน Ice Storm Unlimited ได้ 6,581 คะแนน ส่วน Ice Storm Extreme 4,281 คะแนน

ส่วน Passmark Performance Test Mobile ได้คะแนน System 3,896 คะแนน CPU 78,246 คะแนน Disk 40,160 คะแนน Memory 4,815 คะแนน 2D Graphics 3,112 คะแนน และ 3D Graphics 892 คะแนน

สรุป

ถ้ามองถึงสเปกโดยรวมกับหน้าจอ 5.5 นิ้ว ความละเอียด 720p แบต 4,000 mAh กับหน่วยประมวลผล 8 คอร์ ในราคา 9,990 บาท ถือว่าเป็นรุ่นที่มีความน่าสนใจ ส่วนการที่ตัวเครื่องรองรับ 3 ซิม ก็เหมือนเป็นของแถมไป เพราะในช่วงเวลานี้อาจจะใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพสักเท่าไหร่

ที่น่าสนใจคือ เอเซอร์พยายามทำให้สมาร์ทโฟน กลายเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มในการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์เข้าด้วยกันภายใต้ยุค IoT ดังนั้นจึงมีการพัฒนา Acer Extend ขึ้นมาให้เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนกับพีซีเพิ่มเติมด้วย พร้อมกับฟีเจอร์เสริมอย่างระบบเสียง DTS หน้าจอตัดแสงสีฟ้าก็ช่วยเพิ่มให้ตัวเครื่องน่าใช้งานมากขึ้น

สุดท้ายที่ถือเป็นจุดเด่นของ Liquid X2 คงหนีไม่พ้นเรื่องของแบตเตอรีที่ให้มาขนาด 4,000 mAh สามารถเปิดใช้งานต่อเนื่องได้ไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง ส่วนประสิทธิภาพในการรับสัญญาณโทรศัพท์ การพูดคุยโดยรวมถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐาน ส่วนการจับไวไฟอาจจะมี Dead Grip เวลาจับเครื่องแนวนอน

ข้อดี

สเปกเครื่องโดยรวม รองรับ 4G ในราคาต่ำหมื่น

รองรับการใช้งาน 3 ซิม (2G/3G/4G)

แบตเตอรีขนาด 4,000 mAh ที่อึดมาก

กล้องหน้าหลัง 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช

ข้อสังเกต

คุณภาพของเซ็นเซอร์กล้องแม้ว่าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล แต่ภาพที่ได้ไม่ดีนัก

ตอนนี้เหลือผู้ให้บริการ 2G เพียง 2 ราย ทำให้เครื่อง 3 ซิมอาจใช้ประโยชน์ได้ไม่ดีนัก

Gallery

]]>
Review : Sony Xperia Z5 เด่นที่กล้อง 23 ล้านพิกเซล https://cyberbiz.mgronline.com/review-sony-xperia-z5/ Tue, 24 Nov 2015 00:50:36 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=19584

head-start

หลังจากปล่อยให้แฟนๆและสาวกโซนี่ต้องนั่งร้องเพลงรอการกลับมาของ Xperia Z-Serie มานาน (เนื่องจากตอน Xperia Z4 โซนี่เลือกทำตลาดเฉพาะประเทศญี่ปุ่น) วันนี้โซนี่พร้อมแล้วที่จะนำสมาร์ทโฟนแฟลกชิปกลับมาทำตลาดทั่วโลกอีกครั้งกับ “Sony Xperia Z5” ที่เปิดตัวพร้อมกันถึง 3 รุ่นได้แก่ Xperia Z5 รุ่นมาตรฐาน (รุ่นที่เรานำมารีวิวให้ชมกันในวันนี้) Xperia Z5 Compact และรุ่นใหญ่สุด Xperia Z5 Premium

การออกแบบและสเปก

DSC01277DSC01300

โซนี่ยังคงใช้แนวทางการออกแบบ Xperia Z5 แบบ OmniBalance หรือการออกแบบให้สมดุลทุกส่วน พร้อมปรับปรุงวัสดุตรงกรอบโลหะและกระจกด้านหลังใหม่ ให้ความรู้สึกนุ่มนวลเวลาจับถือมากขึ้น อีกทั้งโซนี่ยังได้เพิ่มสีทองเข้ามาทำตลาดใหม่และตัวเครื่องป้องกันน้ำและฝุ่นตามมาตรฐาน IP65 และ IP68

water-resis-z5

ด้านขนาดตัวเครื่องกว้าง 72 มิลลิเมตร ยาว 146 มิลลิเมตร หนา 7.3 มิลลิเมตร น้ำหนัก 154 กรัม หน้าจอเป็น Triluminos พร้อมเทคโนโลยี Dynamic Contrast Enhancer ขนาด 5.2 นิ้ว ความละเอียด 1,920×1,080 พิกเซล มาพร้อมกล้องหน้าเลนส์มุมกว้างพิเศษ (25 มิลลิเมตร) ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รองรับการถ่ายวิดีโอ FullHD และมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวด้วย

DSC01303

นอกจากนั้นถ้าสังเกตบริเวณขอบหน้าจอทั้งบนและล่าง จะเห็นช่องลำโพงกระจายเสียงแบบสเตอริโอติดตั้งอยู่อย่างแนบเนียนทั้ง 2 ข้าง

DSC01278

มาดูบริเวณด้านหลังของ Xperia Z5 จุดเด่นหลักอยู่ที่กล้องหลัง Sony Exmor RS ขนาด 1/2.3 นิ้วที่โซนี่ปรับปรุงใหม่ในชื่อรหัส IMX300 ประกบเลนส์ G มุมกว้าง 24 มิลลิเมตรและไฟแฟลช LED

โดย Xperia Z5 รองรับความละเอียดภาพสูงสุด 23 ล้านพิกเซล (Clear Zoom 5 เท่า) รองรับการถ่ายภาพในที่แสงน้อยด้วย ISO ที่สามารถเพิ่มระดับได้ถึง 12,800 สำหรับภาพนิ่ง และ ISO 3,200 สำหรับงานวิดีโอ พร้อมระบบออโต้โฟกัสแบบไฮบริด สามารถจับโฟกัสด้วยความเร็ว 0.03 วินาที

ส่วนระบบป้องกันภาพสั่นไหว SteadyShot ใน Xperia Z5 โซนี่ได้ปรับปรุงใหม่โดยใช้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ทำงานช่วยเหลือกันในชื่อ Intelligent Active SteadyShot ระบบเดียวกับที่อยู่ในกล้องดิจิตอลของโซนี่

DSC01283DSC01308

มาถึงปุ่มกดและพอร์ตเชื่อมต่อรอบตัวเครื่อง จากด้านซ้ายจะเป็นช่องใส่ซิม (รองรับ Nano SIM) และการ์ด MicroSD เพิ่มความจุเครื่องได้สูงสุด 200GB โดยทั้งสองช่องติดตั้งอยู่ในส่วนเดียวกัน พร้อมฝาปิดป้องกันน้ำเข้าตามแบบฉบับของโซนี่ ถัดลงมาด้านล่างเป็นโลโก้ Xperia

DSC01285fingerscan-z5

อีกด้านหนึ่ง จะเป็นที่อยู่ของปุ่มกดสั่งงานต่างๆ เริ่มจากซ้ายมือของภาพจะเป็นปุ่มชัตเตอร์กล้องถ่ายภาพ (กดครึ่งหนึ่งเพื่อล็อคโฟกัส กดเต็มแรงเพื่อถ่ายภาพ หรือถ้าหน้าจอปิดอยู่ กดปุ่มนี้ค้างไว้จะเป็นการเรียกแอปฯกล้องขึ้นมา) ถัดมาเป็นปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง และตรงกลางจะเป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง ซึ่งในครั้งนี้โซนี่แอบใส่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ใต้ปุ่มดังกล่าวด้วย

DSC01294DSC01295

มาดูส่วนด้านบนและด้านล่างของตัวเครื่อง ด้านบนจะเป็นช่องเชื่อมต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรและไมโครโฟนรับเสียงตัวที่สอง ด้านล่าง ตรงกลางเป็นพอร์ต MicroUSB ด้านซ้ายเป็นช่องคล้องสายรัดข้อมือ

spec-z5

ด้านสเปกหน่วยประมวลผล ครั้งนี้โซนี่มาแปลกเพราะเลือกใช้ซีพียูเจ้าปัญหา Qualcomm Snapdragon 810 Octa-core 64 บิต ความเร็ว 1.56GHz (ใช้กราฟิก Adreno 430 GPU) ที่มีปัญหาเรื่องความร้อนสะสมภายในและผู้ผลิตสมาร์ทโฟนเกือบทุกเจ้าต่างหลีกเลี่ยงชิปตัวนี้ทั้งนั้น

โดยโซนี่มั่นใจว่าตนจะสามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยวิธีเพิ่มท่อระบายความร้อนแบบคู่ (Dual Heat pipes) ประกบเข้ากับ Heat sink บนซีพียูและระบายออกทางฝาหลังตัวเครื่อง ซึ่งผลลัพท์จะเป็นอย่างไรติดตามในส่วนทดสอบประสิทธิภาพต่อไป

กลับมาดูเรื่องสเปกแรมกันต่อ โซนี่ใส่แรมมาให้ 3GB รอมภายใน 32GB เหลือใช้งานจริงประมาณ 21.78GB แบตเตอรีใส่มา 2,900mAh และโซนี่เครมว่าแบตเตอรีสามารถใช้งานได้ยาวนาน 2 วัน

มาถึงเรื่องระบบเชื่อมต่อต่างๆ Sony Xperia Z5 รองรับ 3G/4G LTE ทุกเครือข่ายในไทย ส่วน WiFi เลือกใช้ MiMo เข้ามาเสริม มี NFC, Bluetooth 4.1 อีกทั้งพอร์ต MicroUSB ยังรองรับการเชื่อมต่อสาย MHL รุ่น 3.0 ด้วย

ยูสเซอร์อินเตอร์เฟสและฟีเจอร์เด่น

apps-z5-1apps-z5-2homescreen-z5

ระบบปฏิบัติการที่ใช้ขับเคลื่อน Xperia Z5 คือ Android 5.1.1 Lollipop ซึ่งมีหน้าตาการทำงานและแอปฯหลายตัวคล้ายกับ Xperia M5 ที่ทีมงานได้รีวิวไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะฉะนั้นในส่วนนี้ ทีมงานจะเน้นอธิบายฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาใหม่เพียงอย่างเดียว ส่วนฟีเจอร์เดิมผู้อ่านสามารถย้อนกลับไปอ่านได้จากลิงค์ด้านล่างนี้

streaming-video-z5

Screenshot Live Streaming – เป็นฟีเจอร์ที่มีอยู่ใน Xperia Z3 เดิมแต่ถูกพัฒนาปรับปรุงใหม่ใน Xperia Z5 กับความสามารถในการถ่ายทอดสดจากหน้าจอสมาร์ทโฟนของคุณไปสู่บริการ YouTube Live ได้ รวมถึงระหว่างถ่ายทำคุณยังสามารถเปิดกล้องหน้าได้ด้วย เหมาะแก่ผู้ใช้ที่อยากทำคลิปวิดีโอสอนการใช้แอปฯต่างๆได้อย่างดี

hires-option-z5

Hi-Res Audio – ได้ชื่อว่าเป็นสมาร์ทโฟนเรือธง เพราะฉะนั้นโซนี่ต้องจัดเต็มเรื่องคุณภาพเสียงเช่นเดิม โดย Xperia Z5 มาพร้อมชิปประมวลผลเสียง Hi-Res Audio 24bit/96KHz รองรับการเล่นไฟล์ FLAC ที่เข้ารหัส Hi-Res Audio ได้ รวมถึงรองรับการเชื่อมต่อหูฟังบลูทูธ Hi-Res และหูฟังที่มีระบบตัดเสียงรบกวนแบบดิจิตอล Digital Noise Canceling

นอกจากนั้นตัวระบบยังสามารถเปิด S-Force Front Surround ใช้งานร่วมกับลำโพงคู่หน้าบนสมาร์ทโฟนตัวนี้ได้ ซึ่งจะช่วยให้เสียงมีมิติมากขึ้น เหมาะแก่การเปิดระหว่างรับชมภาพยนตร์

party-share-z5

PartyShare – เป็นแอปฯสร้างสรรค์ตัวใหม่ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ Xperia Z5 กับเพื่อนที่มีสมาร์ทโฟนโซนี่และรองรับ PartyShare สามารถแชร์คอนเทนต์ เช่น ภาพถ่ายหรือรายการเพลงกับเพื่อนๆแบบเรียลไทม์ได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต

xperia-transfer-mobile

Xperia Transfer Mobile เป็นอีกหนึ่งบริการอำนวยความสะดวกสำหรับคนที่กำลังคิดเปลี่ยนจากสมาร์ทโฟนรุ่นเก่ามายัง Xperia Z5 โดย Xperia Transfer Mobile จะช่วยให้คุณย้ายข้อความ สมุดโทรศัพท์และอื่นๆได้อย่างอัตโนมัติ ไม่ต้องมานั่งคัดลอกด้วยตัวเองเหมือนสมัยก่อน

camera1-z5camera2-z5

มาถึงกล้องถ่ายภาพ สำหรับซอฟต์แวร์กล้องยุคใหม่ของโซนี่จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพที่ความละเอียดสูงสุด 23 ล้านพิกเซลในโหมดอัตโนมัติพิเศษได้ ส่วนโหมด Manual ปรับแต่งค่ากล้องเอง จะอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถตั้งชดเชยแสง White Balance และเปิดปิด HDR หรือเลือกซีนโหมดได้ด้วยตัวเองเท่านั้น ยังไม่เห็นฟีเจอร์ปรับความเร็วชัตเตอร์ ถ่าย RAW ได้เหมือนคู่แข่ง (แม้ตัวฮาร์ดแวร์จะรองรับก็ตาม)

camera3-video-z5

สุดท้ายโหมดวิดีโอ 4K มีสิ่งที่เปลี่ยนไปคือ การรองรับไฟล์รูปแบบใหม่ H.265 ที่ใช้พื้นที่เก็บข้อมูลน้อยกว่ารูปแบบ H.264 อีกทั้งวิดีโอ 4K ยังรองรับระบบป้องกันภาพสั่นไหว SteadyShot เป็นครั้งแรกของโซนี่ด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพ

benchmark2-z5benchmark-z5

ไม่เสียแรงที่ใช้ซีพียูแฟลกชิป Qualcomm Snapdragon 810 ที่ถึงแม้หลายเจ้าจะเมินหน้าหนีเพราะปัญหามากมาย แต่โซนี่กลับเลือกใช้และทำให้ผลคะแนนทดสอบออกมาดีมากจนสูสีกับแชมป์เก่า Samsung Galaxy S6 edge ที่เคยทำคะแนน AnTuTu ไว้สูงสุดของตาราง (68,296 คะแนน)

แบรนด์ คะแนนทดสอบ ราคาเปิดตัว
Samsung Galaxy S6 edge (64 บิต) 68,296 27,900.-
Sony Xperia Z5 (64 บิต) 64,201 24,990.-
Apple iPhone 6s Plus 128GB 58,689 30,500.-
Apple iPhone 6s 128GB 58,615 26,500.-
Samsung Galaxy Note 5 61,835 25,900.-
HTC One M9+ 50,794 24,990.-
LG G4 (Korea Model) 50,610 21,990.-
Samsung Galaxy Note Edge 48,156 28,900.-
Sony Xperia Z3 45,039 23,990.-


เรื่องประสิทธิภาพหมดห่วงได้แต่เรื่องความร้อนของ Qualcomm Snapdragon 810 สรุปโซนี่จัดการได้ดีหรือไม่ คำตอบคือ “จัดการได้ดีระดับหนึ่ง”
เพราะทีมงานได้ทดลองตั้งแต่เล่นเกม 3 มิติ ถ่ายภาพต่อเนื่องและถ่ายวิดีโอ FullHD ต่อเนื่อง พบว่า ไม่เจอปัญหาแอปฯปิดตัวเพราะเครื่องค้างเหมือนกับที่หลายแบรนด์พบเจอ แต่จุดที่น่าเป็นห่วงก็คือฝาหลังเครื่อง (บริเวณโลโก้ SONY) จะมีความสะสมค่อนข้างมากและกลายเป็นเรื่องน่ากังวลของผู้ที่ได้ลองสัมผัส หลายคนจับแล้วต้องร้องตกใจกับความร้อนที่เกิดขึ้นพร้อมตั้งคำถามว่า

“ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรเพราะโซนี่ออกแบบการระบายความร้อนมาได้ค่อนข้างดี แต่ถ้าใช้เป็นระยะเวลานาน (ในที่นี้หมายถึงใช้เครื่องนานกว่า 1-2 ปีขึ้นไป) ระบบระบายความร้อนจะมีปัญหาหรือไม่ ซิลิโคนและฮีตไปป์คู่จะยังทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเหมือนช่วงซื้อเครื่องใหม่หรือไม่” คำถามเหล่านี้ทีมงานอยากฝากทีมโซนี่เข้ามาตอบจะเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง…

จบเรื่องทดสอบประสิทธิภาพ มาดูเรื่องงานวิดีโอกับการทดสอบจุดเด่นสำคัญก็คือ “ไมโครโฟนรับเสียงสเตอริโอกับระบบออโต้โฟกัสที่ทำงานร่วมกับระบบป้องกันภาพสั่นไหวตัวใหม่” จุดนี้จาก 2 คลิปวิดีโอด้านบน ถือว่าโซนี่ปรับปรุงงานวิดีโอมาได้ดีกว่าเดิมมาก และถือเป็นกล้องถ่ายวิดีโอบนสมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพสูงติดอันดับต้นๆของปีนี้ได้เลย

4k-prob

H.265 ถูกใช้ในการบีบอัดไฟล์ 4K รูปแบบใหม่ เพราะขนาดไฟล์ที่เล็กลงแต่คุณภาพเท่าต้นฉบับ แต่ปัจจุบันซอฟต์แวร์ที่จะใช้จัดการไฟล์ลักษณะนี้ยังมีน้อยมาก

ในส่วนวิดีโอ 4K จุดนี้ถือว่าให้ผลลัพท์ที่ดีกว่าเดิม แต่ถามว่าดีที่สุดไหม ทีมงานขอตอบว่า “ไม่” ข้อสังเกตสำคัญของวิดีโอ 4K บน Xperia Z5 ก็เหมือนกับรุ่นก่อนหน้าก็คือ ไฟล์คุณภาพสูงจริง แถมมีให้เลือก 2 รูปแบบทั้ง H.264 และ H.265 ใหม่ แต่เมื่อต้องการนำไฟล์ออกมาใช้งานจริง ความลำบากจะเกิดขึ้นทันทีเพราะในตัวสมาร์ทโฟนเองยังไม่มีซอฟต์แวร์เข้ามาจัดการไฟล์ 4K เหล่านี้ได้ โดยเฉพาะ H.265 (ขนาดซอฟต์แวร์ที่ติดมากับเครื่องยังฟ้องไม่รู้จักเลย) เพราะฉะนั้นถ้าใครถ่าย 4K มาแล้วอยากตัดต่อเรียบเรียงคลิปก็ต้องใช้วิธีเดียวคือดึงไฟล์มาจัดทำบนเครื่องคอมพิวเตอร์สเปกสูงเท่านั้น

ภาพจากกล้องหน้า Sony Xperia Z5

มาถึงการทดสอบกล้องถ่ายภาพ 23 ล้านพิกเซล ถือเป็นจุดสูงสุดของ Xperia Z5 เลยก็ว่าได้ เพราะตั้งแต่โซนี่ปรับไปใช้เซ็นเซอร์รับภาพตัวใหม่ คุณภาพไฟล์ถือว่าทำได้ดีขึ้น โดยเฉพาะการเลือกซีนโหมด การปรับสมดุลแสงและโทนภาพทำได้ฉลาดขึ้น ยิ่งเป็นภาพในที่แสงน้อยหรือภาพวิวช่วงกลางคืนด้วยแล้ว Xperia Z5 ให้ผลลัพท์ภาพที่ดีกว่ารุ่นที่แล้วแน่นอน

แต่ทั้งนี้ถ้าถามว่าคุณภาพไฟล์ภาพดีขึ้นมากจนน่าประทับใจไหม คำตอบของทีมงานก็คือ ดีกว่าเดิมครับ แต่ไม่ถึงกับดีจนน่าประทับใจ ไฟล์ภาพคุณภาพกลางๆ (รู้สึกเหมือนกล้องใน Xperia M5 จะทำได้น่าประทับใจกว่า) ทำให้จุดเด่นเรื่องกล้องทั้งหมดไปตกอยู่กับเรื่องระบบออโต้โฟกัสแบบไฮบริดที่ทำได้ดีมาก

ตารางผลทดสอบแบตเตอรีสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ประจำปี 2015 (กรกฏาคม-ธันวาคม)

*โมเดลขายในประเทศไทย / ชุดทดสอบ : Geekbench / ทดสอบจากสถานะแบตเตอรี 100% ถึง 0%
*EXTREMELY TEST เป็นการสอบแบบหนักหน่วง (เปิดหน้าจอตลอดเวลา) ไม่ใช่การทดสอบใช้งานทั่วไป

*คาดการณ์เวลาสำหรับใช้งานทั่วไปให้ +6 ชั่วโมงโดยประมาณ จากช่องเวลาที่ทำได้

แบรนด์ ความจุแบตเตอรี สเปก CPU/DISPLAY/OS Ver. เวลาที่ทำได้ คะแนน ราคาเปิดตัว
Samsung Galaxy Note 5 3,000 mAh Exynos 7420 Octa 1.5+2.1 / 5.7″ 2K / A5.1.1 8h39m50s 5,198 25,900.-
Sony Xperia M5 Dual 2,600 mAh MediaTek Helio X10 Octa 2.0 / 5″ 1080p / A5.0 7h18m30s 3,157 14,990.-
i-mobile IQ II Android One 2,500 mAh Snapdragon 410 Quad 1.2 / 5″ 720p / A5.1.1 7h10m00s 2,867 4,444.-
Lenovo Phab Plus 3,500 mAh Snapdragon 615 Octa 1.5 / 6.8″ 1080p / A5.0 6h6m50s 2,446 11,990.-
Samsung Galaxy Tab S2 4,000 mAh Exynos 5433 Octa 1.9+1.3 / 8″ 2K / A5.0.2 6h36m10s 3,945 15,900.-
LG G4 (Korea Model) 3,000 mAh Snapdragon 808 Hexa 1.44 / 5.5″ 2K / A5.1 5h47m20s 3,470 21,990.-
Sony Xperia Z5 2,900 mAh Snapdragon 810 Octa 1.56 / 5.2″ 1080p / A5.1.1 5h29m50s 3,298 24,990.-

สุดท้ายกับการทดสอบแบตเตอรี โซนี่เครมไว้ว่าสามารถใช้งานได้ 2 วัน แต่เอาเข้าจริงแล้ว ถ้าใช้งานทั่วไปแบตเตอรีจะอยู่ได้ประมาณ 11-13 ชั่วโมง ใช้งานสลับสแตนบายรอรับสายโทรเข้าจะอยู่ได้ 1 วัน (เปิดโหมด STAMINA) ส่วนถ้าใช้งานหนักหน่วง เช่น เล่นเกม 3 มิติ แบตเตอรีจะลดลงอย่างรวดเร็วเพียง 4-5 ชั่วโมงเท่านั้น จุดนี้น่าจะมีผลมาจากชิป Snapdragon 810 ด้วย คะแนนแบตเตอรีถึงได้ตกไปอยู่ท้ายตารางเลย

สรุป

สำหรับราคาเปิดตัว Sony Xperia Z5 อยู่ที่ 24,990 บาท ถือเป็นการกลับมาของโซนี่โมบายที่ยังคงเน้นเรื่องกล้องถ่ายภาพเป็นจุดขายสำคัญ ส่วนเรื่องสเปกเครื่องถือเป็นการอัปเกรดตามกระแส ไม่มีสิ่งใดหวือหวา ยกเว้นในรุ่น Z5 Premium ที่มาพร้อมหน้าจอความละเอียด 4K 806ppi แต่ก็ต้องแลกกับราคาที่เพิ่มเป็น 27,990 บาท

ข้อดี

– ออกแบบดี งานประกอบแน่นหนาเหมือนเดิม
– ระบบป้องกันภาพสั่นไหวตัวใหม่ยอดเยี่ยมขึ้นมาก
– ระบบออโต้โฟกัสแบบไฮบริดทำงานรวดเร็วและแม่นยำ
– รองรับ Hi-Res Audio
– Clear Zoom 5 เท่า ใช้งานได้จริง

ข้อสังเกต

– เวลาใช้งานหนัก ฝาหลังจะร้อนมากกว่าปกติและแบตเตอรีลดลงอย่างรวดเร็ว
– 4K H.265 ใช้งานจริงยากมาก เพราะตัวเครื่องไม่มีซอฟต์แวร์จัดการมาให้
– ซอฟต์แวร์กล้องยังดึงประสิทธิภาพกล้องออกมาไม่เต็มที่

Gallery

]]>
Review : iPhone 6s ดีสุดในรอบ 3 ปี https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-iphone6s/ Tue, 10 Nov 2015 01:38:10 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=18993

head-i6s-i6splus

3 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการปรับเปลี่ยนไอโฟนจากยุคเก่าสู่ยุคใหม่ และเป็นช่วงที่แอปเปิลทุ่มเทพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างหนักมากกว่าส่วนฮาร์ดแวร์ ความคาดหวังของสาวกและผู้ใช้ที่ติดตามแอปเปิลมาตลอดเริ่มลดน้อยลงเนื่องจากฮาร์ดแวร์ไม่น่าสนใจเหมือนก่อน แถมในช่วงหลังไอโฟนแต่ละรุ่นที่ออกมาก็มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะระบบปฏิบัติการที่ไม่ค่อยสมบูรณ์นัก

กว่าทุกอย่างจะลงตัวก็เข้าสู่ iOS รุ่นที่ 9 พร้อมการมาของ “iPhone 6s” และ “iPhone 6s Plus” ที่ในครั้งนี้ แอปเปิลตั้งใจปรับปรุงและอุดช่องโหว่ข้อผิดพลาดที่เกิดจากไอโฟนรุ่นก่อนหน้าทั้งหมด จนกลายเป็นไอโฟนตัวแรกในรอบ 3 ปีที่สมบูรณ์แบบที่สุด

รีวิวนี้ครอบคลุมถึง iPhone 6s Plus

การออกแบบ

IMG_2996

ตามธรรมเนียมของแอปเปิล รุ่นที่มี S ต่อท้ายจะไม่มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่เพราะถือเป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์ที่เน้นการปรับสเปกภายใน เพราะฉะนั้น iPhone 6s และ 6s Plus จะไม่มีการปรับเปลี่ยนด้านการออกแบบ ยกเว้นความหนา น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นและสีใหม่ “โรสโกลด์” เข้ามาทำตลาดเพิ่มจากเดิม

โดยผู้อ่านสามารถรับชมรีวิวการออกแบบภายนอกทั้ง iPhone 6s (สีทอง) และ iPhone 6s Plus (สีโรสโกลด์) ได้จากลิงก์นี้

สำหรับบทความรีวิวนี้จะขอกล่าวเฉพาะเรื่องที่ทีมงานยังไม่ได้ทดสอบไปได้แก่ ส่วนของสเปก ฟีเจอร์เด่นและทดสอบประสิทธิภาพ

สเปก

IMG_3012

ใน iPhone 6s และ 6s Plus สเปกเป็นสิ่งที่ได้รับการปรับเปลี่ยนมากที่สุด เริ่มจาก

หน้าจอ – ใช้ขนาดเท่าเดิม คือ iPhone 6s ใช้หน้าจอ Retina HD 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1,334×750 พิกเซล (326ppi) ส่วน iPhone 6s Plus ใช้หน้าจอ Retina HD 5.5 นิ้ว 1,920×1,080 พิกเซล (401ppi) พร้อมเพิ่มระบบ 3D Touch และ Taptic Engine (พัฒนาต่อยอดจากหน้าจอ Apple Watch) สามารถตรวจจับแรงกดของนิ้วได้หลายระดับ

IMG_3021

นอกจากนั้น TouchID ใต้ปุ่มโฮมยังได้รับการอัปเกรดเป็นรุ่นที่ 2 ซึ่งสามารถตรวจจับนิ้วมือได้เร็วและแม่นยำมากขึ้น

ความแข็งแรง – ใน iPhone 6s และ 6s Plus แอปเปิลปรับเปลี่ยนวัสดุฝาหลังเป็น อะลูมิเนียมซีรีย์ 7,000 หักงอยากขึ้นและกระจกหน้าจอที่ใช้กรรมวิธีพิเศษ dual ion‑exchange ที่ทำให้หน้าจอมีความแข็งแรง ทนทานต่อรอยขีดข่วนมากขึ้น

หน่วยประมวลผลและการเชื่อมต่อข้อมูล – อัปเกรดเป็น Apple A9 Dual Core 64 บิต ความเร็ว 1.84GHz ร่วมกับชิปประมวลผลการเคลื่อนไหว M9 แรมให้มา 2GB ชิป 4G รองรับ LTE Advanced 23 ย่านความถี่ที่ความเร็วสูงสุด 300Mbps, WiFi เพิ่มเทคโนโลยี MIMO (Multiple Input/Multiple Output) ช่วยให้การเชื่อมต่อและรับส่งข้อมูล WiFi จำนวนมากทำได้เสถียรขึ้น บลูทูธรองรับรุ่น 4.2 และจีพีเอสรองรับการจับสัญญาณ GLONASS

set-vdo-photo-quality

กล้องถ่ายภาพ – กล้องหลัง iSight ถูกอัปเกรดความละเอียดจาก 8 ล้านพิกเซลเป็น 12 ล้านพิกเซล 4,032×3,024 พิกเซล (1.22 ไมครอน) ส่วนกล้องหน้า FaceTime HD ถูกอัปเกรดความละเอียดเป็น 5 ล้านพิกเซล

นอกจากนั้นระบบประมวลผลภาพยังได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่ Local Tone Mapping, ระบบลดนอยซ์ใหม่ รวมถึง Focus Pixel ถูกนำมาใช้ร่วมกับระบบแตะเพื่อโฟกัสด้วย

ในส่วนวิดีโอก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน โดยเฉพาะระบบป้องกันภาพสั่นไหวที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นมากทั้งบน iPhone 6s และ 6s Plus ที่มาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล อีกทั้งแอปเปิลยังเพิ่มความละเอียดวิดีโอให้รองรับ 4K ที่ความเร็ว 30 เฟรมต่อวินาที รวมถึงโหมด Slo-Mo รองรับความละเอียด 1080p ที่ความเร็ว 120 เฟรมต่อวินาทีด้วย

ขนาดไฟล์วิดีโอความยาว 1 นาที

ที่ความละเอียด 720p 30 เฟรมต่อวินาที ใช้พื้นที่ 60MB
ที่ความละเอียด 1080p 30 เฟรมต่อวินาที ใช้พื้นที่ 130MB
ที่ความละเอียด 1080p 60 เฟรมต่อวินาที ใช้พื้นที่ 200MB
ที่ความละเอียด 4K 30 เฟรมต่อวินาที ใช้พื้นที่ 375MB

โหมด Slo-Mo ที่ความละเอียด 1080p 120 เฟรมต่อวินาที ใช้พื้นที่ 375MB
โหมด Slo-Mo ที่ความละเอียด 720p 240 เฟรมต่อวินาที ใช้พื้นที่ 300MB

สุดท้ายในส่วนสเปกแบตเตอรี iPhone 6s จะใช้แบตเตอรีความจุ 1,715mAh ส่วน 6s Plus จะใช้แบตเตอรีความจุ 2,750mAh ซึ่งถึงแม้แบตเตอรีจะมีความจุน้อยกว่าเดิม แต่แอปเปิลเครมว่าระยะเวลาใช้งานจะไม่ต่างจาก iPhone 6 รุ่นก่อนหน้าแต่อย่างใด

ฟีเจอร์เด่น

moveto-ios

Move from Android เป็นฟีเจอร์ใหม่บน iOS 9 ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ที่กำลังคิดย้ายค่ายจากแอนดรอยด์มาสู่ไอโอเอส สามารถจัดการย้ายข้อมูลจำพวก สมุดโทรศัพท์ อัลบั้มรูปภาพและข้อความต่างๆได้ง่ายขึ้น

live-photos

แนะนำให้รับชมคลิปวิดีโอนี้เพื่อความเข้าใจในหลักการทำงานมากขึ้น

สำหรับหลักการสร้างภาพ Live Photos ทำได้ง่ายผ่านแอปฯ “กล้อง” เพียงกดไอคอนวงกลมให้เป็นสีเหลืองเพื่อเปิดการทำงาน และหลังจากนั้น ระหว่างผู้ใช้กำลังกดชัตเตอร์ถ่ายภาพนิ่ง ระบบจะแอบบันทึกวิดีโอช่วงก่อนกดชัตเตอร์ 3 วินาทีไว้พร้อมกับบันทึกไฟล์ภาพนิ่ง JPG แยกออกเป็น 2 ไฟล์ (เท่ากับว่าในหนึ่งภาพนิ่งจะใช้พื้นที่มากถึง 8-10MB) และเมื่อเราต้องการชมภาพ Live Photos ระบบจะเรียกไฟล์ภาพเคลื่อนไหวที่ถูกเชื่อมต่อกับไฟล์ภาพนิ่งขึ้นมาอัตโนมัติ

retina-flash

Retina Flash ถือเป็น iPhone รุ่นแรกที่มาพร้อมไฟแฟลชด้านหน้า ซึ่งเป็นไฟแฟลชที่ไม่ได้มาจากหลอด LED เหมือนสมาร์ทโฟนทั่วไป แต่ Retina Flash เป็นไฟแฟลชที่มาจากหน้าจอแสดงผล โดยใช้หลักการคือ เมื่อกดถ่ายภาพจากกล้องหน้า หน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีขาวพร้อมเพิ่มความสว่างอีก 3 เท่า

3dtouch-i6s

แนะนำให้รับชมคลิปวิดีโอนี้เพื่อความเข้าใจในหลักการทำงานมากขึ้น

3D Touch หน้าจอรับรู้แรงกดหลายระดับถูกพัฒนาต่อยอดมาจาก Force Touch บนนาฬิกา Apple Watch และแทร็คแพด MacBook โดยการใช้งานบน iPhone 6s และ 6s Plus หลักๆจะเป็นลูกเล่นเสริมช่วยเปิดเมนูลัดและเมนูพิเศษเสียมากกว่า

วิดีโอ 4K จาก iPhone 6s ตัดต่อและใส่ข้อความผ่านแอปฯ iMovie (กดรูปเฟืองเพื่อเลือกความละเอียดในการรับชมคุณภาพ 4K)

4k-imovie

4K ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะคู่แข่งทำมาได้หลายปีแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่แอปเปิลทำได้เหนือคู่แข่ง ก็คือความเป็น “มิตรกับผู้ใช้” เช่น ระบบการจัดการไฟล์ 4K ที่ทำได้ดีมาก ตั้งแต่การตัดต่อรวมไฟล์วิดีโอ 4K ที่สามารถจัดการได้ทันทีผ่านแอปฯ iMovie บน iPhone, ระบบป้องกันภาพสั่นไหวที่ทำงานบนความละเอียด 4K ได้ด้วย, Codec ที่ใช้บันทึกไฟล์วิดีโอซึ่งทำงานได้ลื่นไหลและขนาดไม่ใหญ่เวอร์เกินไป รวมถึงการแชร์ไฟล์ที่สามารถทำได้หลากหลายความละเอียด ไม่ต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์สเปกสูงในการตัดต่อใดๆ

Siri เรียกได้ตลอดเวลา ด้วยความสามารถของชิป A9+M9 สิริใน iPhone 6s และ 6s Plus สามารถจดจำเสียงของผู้ใช้และผู้ใช้สามารถเรียกสิริได้ตลอดเวลา แม้หน้าจอดับอยู่ก็ตาม

ไอโฟนรุ่นเก่าจะมีความสามารถแค่จดจำเสียงของผู้ใช้และเรียกสิริได้เฉพาะเวลาต่อสายชาร์จหรือกดปุ่มโฮมค้างไว้เท่านั้น

ทดสอบประสิทธิภาพ

iPhone 6s และ iPhone 6s Plus จะใช้ชิปที่ผลิตจาก 2 เจ้าใหญ่ได้แก่ รหัส N71AP และ N66AP ผลิตจาก Samsung และรหัส N71mAP และ N66mAP ผลิตจาก TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company Limited) ซึ่งทั้งสองผู้ผลิตจะให้คะแนนทดสอบที่แตกต่างกันโดยเฉพาะอายุแบตเตอรีที่ต่างกันถึง 2-3%

สำหรับ iPhone 6s และ 6s Plus ที่ทีมงานได้รับมาทดสอบเป็นรุ่นที่ใช้ชิปผลิตจาก Samsung ทั้งสองรุ่น

benchmark-compare

ตารางรวมผลทดสอบสมาร์ทโฟนกลุ่มราคา 20,000 บาทขึ้นไป ประจำปี 2015
*โมเดลขายในประเทศไทย / ชุดทดสอบ : AnTuTu Benchmark
*ราคาเปิดตัวกับราคาขายจริงอาจแตกต่างกันตามช่วงเวลา
แบรนด์ คะแนนทดสอบ ราคาเปิดตัว
Samsung Galaxy S6 edge (64 บิต) 68,296 27,900.-
Sony Xperia Z5 (64 บิต) 64,201 24,990.-
Apple iPhone 6s Plus  58,689 30,500.-
Apple iPhone 6s  58,615 26,500.-
Samsung Galaxy Note 5 61,835 25,900.-
HTC One M9+ 50,794 24,990.-
LG G4 (Korea Model) 50,610 21,990.-
Samsung Galaxy Note Edge 48,156 28,900.-
Sony Xperia Z3 45,039 23,990.-

จากคะแนนทดสอบ iPhone ทั้งสองรุ่นถึงแม้จะมีขนาดหน้าจอต่างกัน แต่คะแนนที่ได้รวมถึงการใช้งานจริงไม่แตกต่างกันแต่อย่างใด

“iPhone 6s และ 6s Plus แตกต่างกันแค่ขนาดหน้าจอ น้ำหนักและฟีเจอร์ป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอลที่มีเฉพาะ 6s Plus เท่านั้น”

มาถึงเรื่องการทดสอบแบตเตอรีที่ถูกลดความจุลง น่าเสียดายที่ทีมงานไม่สามารถหาเครื่องที่ใช้ชิป TSMC มาทดสอบเปรียบเทียบกันได้ แต่จากการทดลองใช้งานทั้ง iPhone 6s และ 6s Plus ที่ใช้ชิปจากซัมซุง ด้วยการเน้นถ่ายรูป ตัดต่อวิดีโอ 4K ฟัง Apple Music เล่นโซเชียล ตอบไลน์และปิดหน้าจอบ้างสลับกันตลอดทั้งวัน พบว่าเวลาใช้งานที่ทำได้ไม่แตกต่างจาก iPhone 6 เดิมเลย คืออยู่ประมาณ 13 ชั่วโมง และทำได้นานสุดถึง 15-17 ชั่วโมงไล่เลี่ยกันทั้ง iPhone 6s และ 6s Plus ซึ่งในความคิดเห็นของทีมงานถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว

ส่วนใครที่มองว่าปัญหานี้ว่าเป็นเรื่องความไม่ยุติธรรมต่อผู้บริโภค ก็คงต้องตรวจสอบและส่ง Feedback ไปคุยกับแอปเปิลด้วยตัวเอง

iphone-compare

เรื่องสุดท้ายกับการทดสอบประสิทธิภาพกล้อง เริ่มจาก iSight ตัวใหม่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลที่มาพร้อมการปรับปรุงประสิทธิภาพส่วนประมวลผลใหม่หมด ภาพนิ่งที่ได้จาก iPhone 6s จึงคมชัดและให้สีสันถูกต้องกว่า โดยเฉพาะ White Balance ที่แม่นยำขึ้นรวมถึงนอยซ์ที่น้อยลง

ในขณะที่การวัดแสง การจับโฟกัสอัตโนมัติ รวมถึงโทนภาพ ทีมงานมองว่ามีความแตกต่างจาก iPhone 6 เพียงเล็กน้อยตรงที่ iPhone 6s ใหม่นี้จะให้ภาพที่เป็นธรรมชาติ น้ำหนักแสงและความคมชัดที่ดีกว่า

“แต่จุดที่น่าสนใจจริงๆของ iPhone 6s และ 6s Plus อยู่ที่ Live Photos และวิดีโอ 4K ที่ทำได้น่าประทับใจ โดยเฉพาะ Live Photos ที่ถือเป็นฟีเจอร์เล็กๆน้อยๆแต่มีพลังสร้างสรรค์มหาศาลอย่างที่แอปเปิลควรจะเป็นมาตลอด 3 ปี”

ส่วนกล้องหน้า FaceTime HD ที่ปรับความละเอียดเพิ่มเป็น 5 ล้านพิกเซลด้วยแล้ว เอาเข้าจริงถึงแม้ความละเอียดจะมากขึ้น แต่โทนภาพและคุณภาพก็ไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก ดีที่ได้ Retina Flash เข้ามาช่วยเสริมลูกเล่นกล้องหน้าให้น่าสนใจขึ้น

ตัวอย่างภาพ : ถ่ายโดย iPhone 6s

สุดท้ายปิดอัลบั้มภาพด้วยพาโนรามาที่ถูกอัปเกรดเป็น 63 ล้านพิกเซล
(ชมแบบเต็มความละเอียด โปรดคลิกที่ภาพ)

สรุป

iPhone6s-Hand-SafariQuickAction-PR-PRINT

ภาพรวมของทั้ง iPhone 6s และ 6s Plus ถือเป็นการปรับเปลี่ยนที่น่าสนใจและดีที่สุดตลอด 3 ปี ความสดใหม่ในบางฟีเจอร์ที่ห่างหายไปนานของ iPhone 6s และ 6s Plus เช่น Live Photos หรือ 3D Touch คือสิ่งที่ทำให้ iPhone รุ่นนี้น่าสนใจและเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีตามแนวทางของแอปเปิลซึ่งซบเซามานานให้มีภาพที่ชัดเจนขึ้น แม้หลายฟีเจอร์อาจยังไม่สมบูรณ์ 100% ในตอนนี้ แต่เชื่อว่าทุกอย่างจะลงตัวมากขึ้นในไอโฟนรุ่นต่อไป

ในส่วนฟีเจอร์เก่าอย่าง วิดีโอ 4K ที่มีมานานก็ถูกแอปเปิลนำมาปรับปรุงได้อย่างน่าสนใจและถือเป็นสมาร์ทโฟนตัวแรกที่ผู้ใช้สามารถถ่ายวิดีโอ 4K ได้แบบไม่ต้องกังวลเรื่องประสิทธิภาพและการนำไปใช้งาน

แต่ทั้งนี้ทั้งหมดที่กล่าวไปจะถูกอกถูกใจผู้อ่านและผู้ที่กำลังสนใจหรือไม่ ก็คงต้องลองไปทดสอบด้วยตัวเองจะดีที่สุด เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า iPhone ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่มีความเป็นตัวของตัวเองและความเป็นแฟชั่นสูง อีกทั้งราคาที่ปรับตัวเพิ่มมากขึ้นกว่าทุกปี คนกำลังสนใจแบรนด์นี้ต้องพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนเพราะในราคาระดับ 2-3 หมื่นบาท สมาร์ทโฟนคู่แข่งหลายรุ่นก็น่าสนใจไม่แพ้กัน

และสุดท้ายสำหรับคนที่กำลังสนใจและมองดูรุ่นความจุต่ำสุด 16GB อยู่ ทีมงานอยากฝากให้คิดอีกสักนิดก่อนเลือกซื้อ เพราะด้วยความละเอียดกล้อง แอปฯและวิดีโอที่ปรับเปลี่ยนไป ความจุ 16GB ไม่น่าจะเพียงพอต่อการใช้งานตลอดทั้งปีแน่นอน ลองคิดดูรูปภาพ + Live Photos ในไอโฟนเฉลี่ยใช้พื้นที่มากถึง 10MB ต่อไฟล์หนึ่งชุด หรือแม้กระทั่งเกม แอปฯไปถึงตัว iOS ในอนาคตก็เริ่มใช้พื้นที่มากขึ้น ทีมงานมองว่าถ้าคิดจะซื้อไอโฟนใช้งานจริงๆควรเริ่มที่ความจุ 64GB จะดีที่สุด (ความจริงแอปเปิลควรเลิกขายความตุ 16GB แล้วเปลี่ยนไปเริ่มต้นที่ความจุ 32GB ได้แล้ว)

iPhone 6s 16GB (เหลือพื้นที่ให้ใช้จริงประมาณ 11GB) กับขนาดไฟล์ที่เปลี่ยนไป

ใช้เก็บภาพถ่าย + Live Photos ได้ประมาณ 1,100 ภาพ
ใช้เก็บไฟล์ Apple Music ได้ประมาณ 900-2,000 เพลง
ใช้เก็บไฟล์คลิปวิดีโอ 4K (1 นาที) ได้ประมาณ 29 คลิป
ใช้เก็บแอปฯขนาดใหญ่ ได้ประมาณ 14 แอปฯ

นอกจากข้างต้นที่กล่าวมา ผู้อ่านต้องไม่ลืมว่าแอปฯยอดนิยมอย่าง Facebook และ LINE เมื่อใช้งานไปได้สักครู่จะต้องการพื้นที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยแอปฯ Facebook ใช้พื้นที่ประมาณ 500MB ส่วน LINE 400-500MB รวมทั้งสองแอปฯใช้พื้นที่ iPhone ไปเกือบ 1GB เลยทีเดียว

ข้อดี

– ปรับวัสดุฝาหลังใหม่ แข็งแรงขึ้น
– Live Photos และ 3D Touch ทำได้ดีมากและจะน่าสนใจมากขึ้นในอนาคต
– การจัดการวิดีโอ 4K ใน iPhone ทำได้ยอดเยี่ยม โดยไม่ต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์สเปกสูง
– Retina Flash ใช้งานได้ทัดเทียมกับ LED Flash ของกล้องหน้าบนสมาร์ทโฟนทั่วไป
– สิริสามารถเรียกได้ตลอดเวลา แม้หน้าจอดับอยู่ ถือว่ามีประโยชน์มาก โดยเฉพาะเวลาต้องการให้สิริฟังเพลงและบอกว่าเพลงที่ได้ยินคือเพลงอะไร ช่วยให้การบันทึกเพลงลง Apple Music ทำได้ง่ายขึ้นมาก ไปถึงการตั้งนาฬิกาปลุกและอื่นๆ

ข้อสังเกต

– ปัญหา Chipgate ซัมซุง ซึ่งผู้ใช้บางรายค่อนข้างซีเรียสกับปัญหาแบตเตอรีหมดเร็วกว่าเวลาที่ควรจะเป็น (ข้อนี้แล้วแต่คนมอง แต่สำหรับทีมงานมองว่าไม่ใช่ปัญหาใดๆเลย พอใจกับระยะเวลาใช้งานที่ได้แล้ว)
– กล้องหน้าและหลังใหม่ ถึงแม้จะมีการปรับเรื่องโทนภาพให้สวยงามเป็นธรรมชาติรวมถึงความละเอียดมากขึ้น แต่ภาพรวมกลับไม่ต่างจาก iPhone 6 เดิมเลย
– ภาพ Live Photos บนหน้า Lock Screen มีอาการค้างให้พบเห็นบ้าง (น่าจะเกิดจาก iOS)
– TouchID รุ่นใหม่ทำงานเร็วเกินไปจนไม่สามารถดูแจ้งเตือนบนหน้า Lock Screen ได้เลย (แก้ด้วยวิธีกดปุ่ม Power แทน)

Gallery

]]>
Review : Lenovo Phab Plus จอใหญ่ 6.8 นิ้ว ราคาหมื่นต้น https://cyberbiz.mgronline.com/lenovo-phab-plus-review/ Mon, 09 Nov 2015 04:45:12 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=18889

IMG_0842

แม้ว่าปัจจุบันเลอโนโวจะแบ่งธุรกิจโทรศัพท์มือถือ แยกออกมาจากฝั่งของพีซีแล้วแต่ก็ยังมีบางผลิตภัณฑ์ที่อยู่คาบเกี่ยวระหว่างการเป็นสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต คือแฟ็บเล็ต ที่ยังถูกทำตลาดโดยฝั่งธุรกิจพีซี เพราะมองว่าเป็นเครื่องที่มีขนาดจอใหญ่กว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป

Lenovo Phab Plus จึงถือเป็นแฟ็บเล็ตที่เกิดขึ้นมาอยู่ระหว่างการเป็นสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ถึง 6.8 นิ้ว ทำให้เหมาะกับการใช้งานในด้านการรับชมความบันเทิงบนหน้าจอขนาดใหญ่ ที่ไม่ถึงขั้นของแท็บเล็ตเพื่อให้พกพาได้ง่าย

จุดเด่นหลักของ Phab Plus นอกจากขนาดหน้าจอระดับ Full HD แล้ว ก็จะมีในส่วนของตัวเครื่องที่ใช้วัสดุเป็นโลหะ ระบบเสียงแบบ Dolby Atmos รวมถึงการเพิ่มฟังก์ชันอย่างการใช้งานด้วยมือเดียว และกล้องถ่ายภาพหลังที่ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล

การออกแบบ

IMG_0847

ถ้าจำกันได้ก่อนหน้านี้เลอโนโว เคยออกสมาร์ทโฟนมที่มีรูปทรงใกล้เคียงกับ Phab Plus ในรุ่น S90 ซึ่งถ้ามองแล้วก็ถือว่าเป็นการนำดีไซน์ของไอโฟนมาใช้งาน เพราะด้วยรูปลักษณ์ทั้งแบบจะเหมือนกับ iPhone 6 Plus ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นนั่นเอง ด้วยการใช้วัสดุที่เป็นอะลูมิเนียมมีสีให้เลือกด้วยกัน 3 สี คือ ทอง เงิน และเทา ขนาดรอบตัวของ Phab Plus จะอยู่ที่ 188.6 x 96.6 x 7.6 มม. น้ำหนัก 220 กรัม

IMG_0839

ด้านหน้าจะมากับจอขนาด 6.8 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1280 x 1080 พิกเซล) โดยทางเลอโนโวระบุว่าเป็นจอแบบ Retina ความละเอียด 368 ppi ส่วนบนหน้าจอจะมีลำโพงสนทนา และกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ขณะที่ปุ่มกดสั่งงานด้านล่างก็จะอยู่บนจอสัมผัสทั้งหมด

IMG_0840ด้านหลังบริเวณบนจะมีการเจาะช่องลำโพงเป็นแนวยาว ซึ่งถือเป็นจุดที่สร้างความต่างระหว่างเลอโนโวกับไอโฟน โดยมีกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ 2 โทนสี กับมีสัญลักษณ์ lenovo ตรงกลางเครื่อง พื้นที่ๆเหลือถูกปล่อยว่างไว้ แต่จะมีแถบรับสัญญาณคาดผ่านตัวเครื่องด้วย ภายในจะมีแบตเตอรีขนาด 3,500 mAh ที่ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้

IMG_0855IMG_0853

ด้านซ้ายจะมีช่องสำหรับใส่ซิมการ์ด และไมโครเอสดีการ์ด เพียงแต่จะต้องเลือกใส่เป็น นาโนซิมการ์ด พร้อมกับ ไมโครซิมการ์ด หรือไมโครเอสดีการ์ด กับไมโครซิมการ์ด ดังนั้นถ้าใส่ไมโครเอสดีการ์ดก็จะใช้งานได้แบบซิมเดียว ด้านขวาเป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดปิดเครื่อง

IMG_0852

ด้านบนมีเพียงช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ด้านล่าง – เป็นพอร์ตไมโครยูเอสบี ไมโครโฟนสนทนา และเหมือนเป็นรูน็อต

สเปก

s14

สำหรับสเปกภายในของ Lenovo Phab Plus จะมากับหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 615 ที่เป็น Octa Core 1.5 GHz 64 บิต RAM 2GB พื้นที่เก็บข้อมูล 64 GB ใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้สูงสุด 64 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 5.0 (Lollipop)

ด้านการเชื่อมต่อรองรับการใช้งาน 2 ซิม (แทนช่องไมโครเอสดีการ์ด) โดยซิมหลักสามารถใช้งาน 3G 4G ได้ทุกเครือข่าย ส่วนซิมที่ 2 จะสแตนบายบนระบบ 2G ไวไฟมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac บลูทูธ 4.0 GPS และวิทยุFM แต่ไม่รองรับ NFC

ฟีเจอร์เด่น

IMG_0865

ฟีเจอร์หลักที่น่าสนใจใน Phab Plus คือโหมดการใช้งานมือเดียว โดยผู้ใช้จำเป็นต้องเข้าไปเปิดค่าการใช้งาน Screen Shrink ก่อน เมื่อเปิดแล้ว จะทำให้สามารถวาดสัญลักษณ์ตัว C บนหน้าจอ ขนาดหน้าจอก็จะเล็กลงมาให้สามารถใช้งานด้วยมือข้างเดียว โดยผู้ใช้สามารถเอียงซ้ายขวา เพื่อให้จออยู่ติดขอบฝั่งที่ถนัด

s01

หรือจะเลือกได้ว่าจะให้อยู่บริเวณบน กลาง ล่าง ของหน้าจอ ถัดมาคือฟังก์ชันการปลุกหน้าจอด้วยการกดจอ 2 ครั้ง และการสั่นเครื่องเพื่อปิดหน้าจอ โหมดคีย์บอร์ดสำหรับใช้งานมือเดียว และปุ่มช่วยสั่งงาน ที่ช่วยอำนวยความสะดวกกรณีที่ใช้งานด้วยมือข้างเดียวนั่นเอง

s02

ต่อมาคือการชูในเรื่องของระบบเสียง Dolby Atmos ที่ผู้ใช้สามารถเข้าไปเลือกตามโหมดที่ใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็นดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม นอกจากนี้ ผู้ใช้ที่มีความรู้ในการตั้งเสียงยังสามารถเลือกเข้าไปปรับ Equalizer ให้ได้ตามที่ต้องการเพิ่มเข้าไปอีก

s03

ขณะที่ตัวหน้าจอหลัก สังเกตได้จากพื้นหลังจะมีการใช้ภาพลวดลายใกล้เคียงกับปลากัดเพื่อชูถึงรายละเอียดในการแสดงผลของหน้าจอ โดยรวมแล้วหน้าจอหลักจะมีไอค่อนลัด 5 ปุ่มที่แถบล่างสุดคือโทรศัพท์ กล้อง เรียกดูแอปทั้งหมด ข้อความ และเว็บเบราว์เซอร์ ในขณะที่ผู้ใช้สามารถนำวิตเจ็ตมาใส่หน้าจอได้ตามปกติ

เมื่อลากแถบแจ้งเตือนลงมา จะพบกับนาฬิกาบอกวัน เวลาที่มุมซ้ายบน มุมขวาบนแสดงสถานะแบต และทางลัดเข้าสู่การตั้งค่าหลัก โดยในหน้าจอนี้ผู้ใช้สามารถเลือกปรับความสว่างหน้าจอ และตั้งค่าด่วนอย่างการเปิดปิด การใช้งานไวไฟ บลูทูธ โหมดเครื่องบิน หมุนหน้าจอ พิกัด สลับซิมการ์ด ดาต้า และโหมดใช้งานมือเดียวได้

ส่วนปุ่ม Recent Apps ที่ไว้ใช้สลับการใช้งานของแต่ละแอป ยังไม่มีการเพิ่มปุ่มเคลียแอปทั้งหมดเข้ามา ทำให้ถ้าต้องการปิดการใช้งานจำเป็นต้องเลื่อนไปทีละหน้าต่างแทน

s04

เข้ามาดูที่หน้ารวมแอปพลิเคชัน ก็จะเห็นแอปไว้ใช้งานทั่วๆไปมาครบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคิดเลข ปฏิทิน นาฬิกา อีเมล วิทยุ สแกนไวรัส เครื่องเล่นเพลง ที่อัดเสียง เมื่อรวมกับบริการต่างๆของกูเกิลเข้าไปไม่ว่าจะเป็น เว็บเบราว์เซอร์ จีเมล กูเกิลพลัส กูเกิลแฮงเอาท์ และยูทูป ก็ถือว่าพอกับการใช้งานเบื้องต้นแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีการใส่แอปที่เป็นการแนะนำฟังก์ชันต่างๆของเครื่องเข้ามาด้วย เมื่อเปิดแล้วจะแสดงผลเป็นวิดีโอเคลื่อนไหว แนะนำการใช้งานฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Phab Plus

s05

เข้ามาถึงส่วนของการตั้งค่า รวมๆแล้วจะแบ่งออกเป็นการตั้งค่าการเชื่อมต่อ ตัวเครื่อง บุคคล และระบบ โดยที่น่าสนใจคือระบบการใช้งาน 2 ซิม ที่ผู้ใช้สามารถเข้าไปเลือกเปิดปิด การทำงานซิมได้ สลับการใช้งานโทรศัพท์ ข้อความ และซิมที่ต่อเน็ตได้ เพียงแต่เมื่อเลือกซิมหลักแล้ว อีกซิมจะเข้าสู่โหมดสแตนบาย 2G

s06

โหมดการใช้งานกล้องของ Phab Plus ยังถือว่าไม่ได้มีจุดเด่นที่ชัดเจน เหมือนในรุ่นอย่าง Vibe Shot กล่าวคือตัวอินเตอร์เฟสจะเน้นการใช้งานแบบอัตโนมัติเป็นหลัก สามารถปรับโหมดถ่ายภาพได้มาไอค่อนลัดที่มุมขวาบน หรือถ้าต้องการเข้าไปตั้งค่าอื่นๆก็จะมีให้เลือกอย่าง สมดุลแสงขาว ระบบกันสั่น โหมดหน้าสวย เสียงชัตเตอร์ ระบบตรวจจับใบหน้าเป็นต้น

s07

การใช้งานโทรศัพท์ ยังมาพร้อมระบบเดารายชื่อจากเลขหมายหรือชื่อที่พิมพ์ไป โดยสามารถตั้งได้ว่าจะให้ซิมใดใช้งานสำหรับโทรศัพท์เป็นหลัก เมือเข้าสู่หน้าจอสนทนาจะมีไอค่อนลัดสำหรับเปิดลำโพง ปิดเสียง เรียกปุ่มกด พักสาย เพิ่มสาย บันทึกเสียงได้ ส่วนหน้าจอสายเรียกเข้าจะให้เลื่อนปุ่มรับสาย ตัดสาย และส่งข้อความกลับ

s08

คีย์บอร์ดที่แถมมาให้กับตัวเครื่อง Phab Plus รองรับการใช้งานภาษาไทยอยู่แล้ว ทำการสลับภาษาด้วยการกดปุ่มลูกโลก สามารถใช้งานได้ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน ซึ่งด้วยขนาดหน้าจอแล้ว ทำให้ปุ่มกดที่ได้มีขนาดใหญ่ ง่ายต่อการพิมพ์

s09

ในแง่ของการใช้งานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานเว็บไซต์ จากตัวจอที่มีขนาดใหญ่ 6.8 นิ้ว แน่นอนว่าทำให้สามารถใช้ในกาใช้งานได้ดีขึ้น รวมถึงการรับชมคลิปวิดีโอ ดูยูทูปได้เต็มตามากยิ่งขึ้น แต่ก็แลกมาด้วยความหนักของตัวเครื่อง กับความใหญ่ที่ทำให้ไม่สามารถถือใช้งานด้วยมือข้างเดียวเป็นเวลานานๆได้

s10

สุดท้ายแอปที่แถมมาให้สำหรับผู้ใช้งานเลอโนโว คือ Sync it เป็นแอปใช้สำรองข้อมูลรายชื่อผู้ติดต่อ ขึ้นไปเก็บไว้บนระบบคลาวด์ หรือจะเลือกสำรองข้อมูลไว้ในเอสดีการ์ดก็ได้ ส่วน Share it เป็นแอปในการส่งข้อมูลระหว่างเครื่องสมาร์ทโฟนด้วยกัน แต่ต้องทำการติดตั้งแอปไว้ทั้งคู่ ภายในตัวเครื่องยังมีวิทยุFM มาให้ใช้งานด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพ

s11

มาถึงส่วนของผลการทดสอบ ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Antutu 32 bit ได้คะแนน 32,498 คะแนน 64 bit 32,243 คะแนน และ Quadrant Standart 20,954 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 5 จุดพร้อมกัน

s12

ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo จากโครมเบราว์เซอร์ 2,083 คะแนน เว็บเบราว์เซอร์ได้ 1,578 คะแนน ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ (Metal) 1,014 คะแนน Multicore 1,488 คะแนน คะแนน Geek Bench 3 Single-Core 645 Multi-Core 2,432 คะแนน

ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรีต่อเนื่องอยู่ที่ 6 ชั่วโมง 6 นาที 50 วินาที คิดเป็นคะแนนของ Geekbench 3 ได้ 2,446 คะแนน

s13

ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม PCMark ในส่วนของ Work Performance ได้ 3,412 คะแนน 3D Mark ตัว Sling shot ES3.0 ได้ 101 คะแนน Ice Storm Unlimited ได้ 7,609 คะแนน Ice Storm Extreme 5,346 คะแนน และ Ice Storm 8,810 คะแนน

ส่วน Passmark PerformanceTest Mobile ได้คะแนน System 4,570 คะแนน CPU 86,871 คะแนน Disk 24,001 คะแนน Memory 4,560 คะแนน 2D Graphics 3,103 คะแนน และ 3D Graphics 1,184 คะแนน

สรุป

IMG_0863

โดยรวมแล้วถ้าต้องการสมาร์ทโฟนที่มีขนาดหน้าจอใหญ่กว่าปกติ เพื่อใช้งานทางด้านความบันเทิง Phab Plus ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในระดับราคา 11,990 บาท เพราะถ้าเทียบในระดับราคาเดียวกันจะหาเครื่องที่มีขนาดหน้าจอใหญ่เท่านี้ และใช้วัสดุแบบเดียวก็ถือว่าหาได้ยาก

อย่างไรก็ตาม Phab Plus อาจจะไม่ใช่แฟ็บเล็ตที่พกพา หรือใช้งานโทรศัพท์ได้ง่ายนัก เพราะตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ ทำให้การพกพาได้ลำบาก โดยเฉพาะผู้ชายที่นำเครื่องสมาร์ทโฟนใส่กระเป๋ากางเกง แต่ถ้าปกติไลฟ์สไตล์จะถือใช้งาน หรือใส่กระเป๋าเป็นหลักก็ถือว่าแลกกับความสะดวกในการใช้งาน

อีกจุดที่น่าสนใจคือการที่เครื่องรองรับการเชื่อมต่อ 4G รวมถึงสามารถเลือกได้ว่าจะใช้งานแบบ 2 ซิม (ซิมที่ 2 ต้องใช้งานดีแทค เพราะเป็นรายเดียวที่ยังให้บริการ 2G อยู่ในปัจจุบัน) หรือใส่ไมโครเอสดีการ์ดแทน แต่ก็น่าเสียดายที่ตัวเครื่องไม่ได้รองรับการใช้งาน NFC ด้วย

ข้อดี

แฟ็บเล็ตหน้าจอ 6.8 นิ้ว Full HD

รองรับการเชื่อมต่อ 4G

ใส่ฟีเจอร์สำหรับใช้งานมือเดียวมาให้ด้วย

การดีไซน์ และวัสดุ ดูน่าใช้งาน เมื่อเทียบกับราคา 11,990 บาท

ข้อสังเกต

ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ อาจจะไม่เหมาะกับการพกพา

คุณภาพกล้องยังไม่ดีเท่าที่ควร

ไม่รองรับ NFC

Gallery

]]>
Review : Alcatel Onetouch Flash 2 เครื่องคุ้มรับ 4G https://cyberbiz.mgronline.com/review-alcatel-onetouch-flash-2/ Mon, 26 Oct 2015 14:37:17 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=18470

IMG_0893
ตลาดเครื่องระดับราคาราว 5,000 บาท ยังถือเป็นตลาดหลักที่อัลคาเทลให้ความสนใจ ด้วยการนำสมาร์ทโฟนสเปกคุ้มค่ามาให้จับจองกัน สำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนเครื่องแรกไม่ราคาที่ไม่สูงมากนัก ประกอบกับการวางจำหน่ายผ่านทางลาซาด้า ทำให้ทางอัลคาเทลสามารถทำราคารุ่นนี้ได้อย่างน่าสนใจ

Alcatel Onetouch Flash 2 ถือเป็นรุ่นเด่นของอัลคาเทลในช่วงครึ่งปีหลัง ที่จะมาแย่งตลาดกับแบรนด์สมาร์ทโฟนอย่างเลอโนโว หรือ เอซุส รวมถึงโอเปอเรเตอร์แบรนด์อย่าง ดีแทค ทรู และเอไอเอส ที่จำหน่ายเครื่องสมาร์ทโฟนอยู่ในระดับราคาดังกล่าวเช่นเดียวกัน

จุดเด่นหลักของ Flash 2 ที่หนีไม่พ้นเลยคือการที่เครื่องรองรับการใช้งาน 2 ซิม รวมถึงรับการเชื่อมต่อ 4G หน่วยประมวลผลที่เป็น Octa-Core 1.3 GHz 64 บิต ทำให้ตัวเครื่องประมวลผลได้รวดเร็ว แม้จะให้ RAM มาที่ 2 GB กับพื้นที่เก็บข้อมูล 16 GB ในตัวเครื่อง แต่ยังสามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติมได้

การออกแบบ

IMG_0874

รูปทรงของ Flash 2 จะแตกต่างกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง Flash และ Flash Plus ที่เน้นเป็นเครื่องหน้าจอขนาดใหญ่เป็นหลัก แต่พอมาเป็น Flash 2 จะมีการปรับดีไซน์ตัวเครื่องให้จับถือง่ายขึ้น พร้อมกับเล่นความเป็นขอบตัวเครื่องให้ดูโค้งทันสมัยมากขึ้น โดยขนาดตัวเครื่องจะอยู่ที่ 152.3 x 76.4 x 8 มิลลิเมตร นำ้หนัก 142 กรัม

IMG_0868

ด้านหน้า – ไล่จากส่วนบนหน้าจอจะมีลำโพงสนทนา ที่อยู่เคียงข้างกับเซ็นซอร์ตรวจจับใบหน้า กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ที่สำคัญคือมีไฟแฟลช LED ด้านหน้าให้เพื่อเวลาเซลฟี่ในที่แสงน้อย ถัดลงมาเป็นหน้าจอ IPS LCD ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด HD (1280 x 720 พิกเซล) ส่วนล่างหน้าจอเป็นปุ่มสัมผัสไว้กดย้อนกลับ ปุ่มโฮม (วงกลมสีเขียว) และเรียกดูแอปที่ใช้งานล่าสุด ซึ่งบริเวณปุ่มย้อนกลับกับ recent app จะมีไฟติดเฉพาะตอนกดเท่านั้น

IMG_0866

ด้านหลัง – พื้นผิวของฝาหลังจะให้ความรู้สึกสากๆ โดยสีของฝาหลังจะเป็นดำออกเทาเข้มมากกว่า โดยมีจุดที่น่าสนใจคือกล้องหลักที่ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ที่มีการนูนออกมาจากตัวเครื่องเล็กน้อย โดยเป็นวงสีเงินๆมีขีดสีเขียวล้อมรอบ ถัดลงมาเป็นไฟแฟลชคู่ (Dual LED Flash) สัญลักษณ์ Flash สีเงิน กับชื่อแบรนด์และรุ่นด้านล่างบริเวณช่องลำโพง

IMG_0889

เมื่อเปิดฝาหลังขึ้นมาจะพบกับแบตเตอรีขนาด 3,000 mAh ที่ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้ โดยมีช่องใส่ซิมการ์ดอยู่ทางฝั่งซ้ายขวาของส่วนบนเครื่อง กับช่องใส่ไมโครเอสดีการ์ดที่ใส่เพิ่มได้สูงสุด 128 GB

IMG_0882IMG_0879

ด้านซ้าย – จะถูกปล่อยว่างไว้ ซึ่งถ้าสังเกตบริเวณขอบเครื่องจะเป็นอะลูมิเนียมสีเงินเข้มๆ ด้านขวา – จะเป็นที่อยู่ของปุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง ปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มชัตเตอร์กล้อง

IMG_0881IMG_0878

ด้านบน – จะมีเพียงช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. กับช่องไมโครโฟนตัดเสียง ด้านล่าง – เป็นพอร์ตไมโครยูเอสบีสำหรับเสียบสายชาร์จ และเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ รวมถึงใช้เป็น USB OTG ในการต่อกับอุปกรณ์เสริมอย่างแฟลชไดร์ฟได้ด้วย โดยมีช่องไมโครโฟน และจุดงัดฝาหลังอยู่ใกล้ๆ

สเปก

s06

สำหรับสเปกภายในของ Flash 2 จะมากับหน่วยประมวลผล MediaTek MT6753 ที่เป็น Octa-Core 1.3 GHz หน่วยประมวลผลภาพเป็น Mali-T720 MP3 RAM 2 GB พื้นที่เก็บข้อมูลในตัวเครื่อง 16 GB รองรับการใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติมสูงสุด 128 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 5.1 (Lollipop)

ในด้านการเชื่อมต่อรองรับการใช้งานทั้ง 3G บนคลื่น 850 900 2100 MHz และ 4G 1800 2100 2600 MHz แบบ 2 ซิม รวมกับการเชื่อมต่อไวไฟมาตรฐาน 802.11 b/g/n บลูทูธ 4.0 จีพีเอส วิทยุFM แต่ไม่รองรับ NFC

ฟีเจอร์เด่น

s09

จุดเด่นที่น่าสนใจและ Flash 2 พยายามชูขึ้นมาคือเรื่องของกล้องถ่ายภาพ เริ่มจากกล้องหน้าที่ให้มา 5 ล้านพิกเซล พร้อมกับไฟแฟลชหน้า โดยตัวกล้องหน้าจะใช้ f/2.2 มีระบบออโต้โฟกัส ให้มุมกว้าง 84 องศา และมาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพอย่างระบบสั่งถ่ายภาพด้วยการชูสองนิ้ว การจับภาพใบหน้ายิ้ม รวมถึงการเลือกโหมดถ่ายภาพเพิ่มเติมสำหรับกล้องหน้า ไม่ว่าจะเป็นโหมดบิวตี้ โหมดพาโนราม่า และการถ่ายสองกล้องพร้อมกัน

IMG_0875

ถัดมาในส่วนของกล้องหลังที่ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล จะชูจุดเด่นเรื่องของระบบโฟกัส PDAF (Phase Detection Autofocus) f/2.0 มุมกว้าง 80 องศา กับการเลือกโหมดถ่ายภาพอย่าง ความละเอียดสูง (Super Fine) โหมดถ่ายภาพชดเชยแสง (HDR) ระบบบันทึกภาพหลายมุม (Multi Angle) ถ่ายภาพเร่งเวลา และจับวัตถุเคลื่อนไหว

IMG_0891

และด้วยการที่มีปุ่มชัตเตอร์ภายนอกมาให้ ทำให้สามารถใช้งานถ่ายภาพได้ง่ายขึ้น เพียงแต่ตัวชัตเตอร์จะไม่ได้เป็นระบบสองจังหวะเหมือนกล้องถ่ายภาพ ดังนั้นจะไม่สามารถกดลงไปครึ่งหนึ่งเพื่อโฟกัสได้ แต่จะเป็นการกดชัตเตอร์เพื่อถ่ายภาพทันที แน่นอนว่ามีโหมดถ่ายภาพด่วนกรณีที่กดชัตเตอร์ค้างไว้จากหน้าปกติด้วย

s11

ถัดมาคือในแง่ของการใช้งานตัวเครื่อง มาพร้อมกับฟีเจอร์ในการปลุกหน้าจอ (Smart Wake) อย่างการกดหน้าจอสองครั้งเพื่อปลุก การวาดสัญลักษณ์ต่างๆบนหน้าจออย่างตัว C สำหรับเรียกโหมดโทรศัพท์ O สำหรับเรียกกล้อง W เรียกแกลอรี เป็นต้น

s01

ขณะที่ในส่วนของหน้าตาการใช้งาน Flash 2 จะเรียกได้ว่าใกล้เคียงกับความเป็น Pure Google ในเครื่องตระกูล Nexus ก็ว่าได้ แต่ทาง Flash 2 เรียกอินเตอร์เฟสนี้ว่า Launcher 3 โดยจะมีหน้าหลักให้สามารถนำวิตเจ็ตต่างๆมาใส่เพิ่มได้ โดยมีไอค่อนหลักอยู่ด้านล่างสำหรับใช้งานโทรศัพท์ ดูรายชื่อ เข้าดูแอปทั้งหมด ข้อความ และกล้อง โดยในส่วนนี้สามารถลากปรับเปลี่ยน สร้างโฟลเดอร์ได้ตามปกติ

ในส่วนของแถบการแจ้งเตือนจะมีแสดงเวลา วันที่ สัญลักษณ์การเชื่อมต่อ (WiFI 3G 4G) แบตเตอรี โดยเมื่อลากลงมาอีกครั้งก็จะเข้าถึงการตั้งค่าด่วน อย่างการปรับความสว่างหน้าจอ เปิดปิดการใช้งาน ไวไฟ บลูทูธ ดาต้า การตั้งโหมดเครื่องบิน การหมุนหน้าจอ ไฟฉาย และที่น่าสนใจคือปุ่ม Click Clear ไว้ล้างโปรแกรมที่เปิดทิ้งไว้

s08

ส่วนของโหมดโทรศัพท์มาพร้อมระบบเดารายชื่อ ขณะที่หน้าจอการสนทนาก็จะมีปุ่มลัดไว้เปิดลำโพง ปิดไมค์ พักสาย เรียกปุ่มกด เพิ่มสาย รวมถึงสามารถใช้บันทึกสายได้ด้วย กรณีหน้าจอสายเรียกเข้าจะมีสามารถปัดเพื่อรับสายตัดสาย และส่งข้อความกลับได้

s10

เมื่อเข้ามาดูในส่วนของการตั้งค่า จะแสดงผลเหมือนกับแอนดรอยด์ปกติคือ แบ่งการตั้งค่าออกเป็นกลุ่มๆอย่างการตั้งค่าระบบไร้สายและเครือข่าย ตั้งค่าอุปกรณ์ ตั้งค่าส่วนตัว และตั้งค่าระบบ ซึ่งจุดที่เพิ่มจากรุ่นอื่นขึ้นมาก็จะมีในส่วนของ Smart Wake ที่กล่าวไป

s02

ส่วนในเรื่องของการใช้งานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานเว็บเบราว์เซอร์ การใช้งานโซเชียลมีเดียต่างๆ ถือว่า Flash 2 สามารถตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้ทั้งหมด โดยภายในตัวเครื่องยังมีการลงแอปไว้พร้อมใช้อย่างการบันทึกเสียง เครื่องคิดเลข บันทึกข้อมูลต่างๆมาให้ครบพอสมควร

s07

ยังมีการติดตั้งคีย์บอร์ด Touch Pal มาให้ โดยมีจุดเด่นอยู่ที่สามารถตั้งโหมดใช้งานมือเดียวได้ รวมถึงเลือกเลย์เอาท์คีย์บอร์ดให้สะดวกกับการใช้งาน และยังมีโหมดคำสั่งพิเศษให้เลือกใช้งานด้วย อย่างการคัดลอก ตัด แปะ ป้อนข้อมูลด้วยเสียง และปุ่มด่วนสำหรับกดทวิต

s12

อีกอันที่น่าสนใจคือ Auto Start Management ที่เป็นการตั้งค่าให้แอปพลิเคชันทำงานโดยอัตโนมัติ หรือถ้าไม่ต้องการให้ทำงานก็สามารถกดปิดออกได้ ดังนั้นก็จะไม่มีการรันแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็น และให้ความรู้สึกว่าเครื่องหน่วงกว่าปกติ

นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งสโตร์พิเศษสำหรับติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติม นอกเหนือไปจากกูเกิลเพลยสโตร์ คือ zApp ที่ถือเป็นแหล่งดาวน์โหลดแอปพลิเคชันอีกแห่ง ซึ่งจะมีการแนะนำแอปที่ควรติดตั้งแบ่งตามประเภทที่น่าสนใจ และมีการอัปเดตตลอดด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพ

s03

มาถึงส่วนของผลการทดสอบ ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Quadrant Standart ได้คะแนน 16,867 คะแนน ส่วน Antutu 32 บิตได้ 34,492 คะแนน และ 64 บิต ได้ 36,142 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 5 จุดพร้อมกัน

s04

ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo จากโครมเบราว์เซอร์ 2,524 คะแนน Android WebView ได้ 2,038 คะแนน ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ (Metal) 1,019 คะแนน Multicore 1,525 คะแนน คะแนน Geek Bench 3 Single-Core 626 Multi-Core 2,916 คะแนน

ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรีต่อเนื่องอยู่ที่ 10 ชั่วโมง 41 นาที คิดเป็นคะแนนของ Geekbench 3 ได้ 4,423 คะแนน

s05

ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม PCMark ในส่วนของ Work Performance ได้ 3,939 คะแนน 3D Mark ตัว Sling shot ES3.1 ได้ 187 คะแนน Sling shot ES3.0 ได้ 282 คะแนน Ice Storm Unlimited ได้ 6,915 คะแนน ส่วน Ice Storm Extream 4,292 คะแนน และ Ice Storm 8,124 คะแนน

ส่วน Passmark PerformanceTest Mobile ได้คะแนน System 3,888 คะแนน CPU 75,659 คะแนน Disk 38,018 คะแนน Memory 4,955 คะแนน 2D Graphics 3,111 คะแนน และ 3D Graphics 885 คะแนน

สรุป

Flash 2 ถือเป็นเครื่องสมาร์ทโฟนในระดับราคาไม่ถึง 5,000 บาท ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในแง่ของสเปกจากหน่วยประมวลผล และการเชื่อมต่อที่ตัวเครื่องรองรับ 4G เพียงแต่ในการซื้อจำเป็นต้องผ่านช่องทางออนไลน์อย่างลาซาด้าเป็นหลักทำให้อาจจะยุ่งยากสำหรับลูกค้าทั่วไปบ้าง

อย่างไรก็ตาม จากระดับราคาเครื่องอาจทำให้การใช้งานไม่ค่อยลื่นไหลบ้าง และอีกปัญหาที่พบคือระบบจอสัมผัสค่อนข้างมีอาการรวนเป็นบางครั้ง ต้องมีการรีสตาร์ทเครื่องถึงหาย ดังนั้นถ้าซื้อเครื่องมาควรตรวจสอบให้ดี ภายในระยะเวลารับประกัน

ข้อดี

– ประสิทธิภาพเครื่องกับราคา 4,590 บาท
– ตัวเครื่องรองรับ 4G และไวไฟ 802.11 b/g/n
– แบตเตอรี 3,000 mAh แต่สามารถใช้งานได้ทั้งวันสบายๆ

ข้อสังเกต

– อินเตอร์เฟสจะเป็นแบบ Pure Android ไม่มีความแตกต่างกับแบรนด์อื่นเท่าไหร่
– ตัวเครื่องยังมีอาการหน่วงให้เห็นเวลาใช้งาน กับระบบสัมผัสที่กดไม่ค่อยไป
– ปุ่มชัตเตอร์เป็นแบบจังหวะเดียว

Gallery

]]>
Review: Sony Xperia M5 ปรับใหม่ กล้องเยี่ยม เทียบไฮเอนด์ สเปกคุ้มราคา https://cyberbiz.mgronline.com/sony-xperia-m5/ Mon, 12 Oct 2015 07:57:47 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=17821

558000011834602

ก่อนที่สมาร์ทโฟนท็อปฟอร์มกระแสดีอย่าง Sony Xperia Z5 จะวางขายอย่างเป็นทางการ Sony Xperia M5 ก็ถือเป็นสมาร์ทโฟนระดับกลางที่หลายคนให้ความสนใจไม่แพ้กัน เพราะในครั้งนี้โซนี่ตั้งใจลบเสียงวิจารณ์ด้านลบที่เคยเกิดขึ้นกับ M4 Aqua โดยเฉพาะกล้องถ่ายภาพที่โซนี่จัดเต็มทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ไม่แพ้ Z5 จนได้ชื่อว่า “เป็นสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ระดับกลางที่มาพร้อมกล้องถ่ายภาพความละเอียดสูงที่สุดในโลก” และถือเป็นครั้งแรกที่โซนี่ปรับปรุงกล้องถ่ายภาพใหม่หมดโดยนำฟีเจอร์จากกล้องดิจิตอลตระกูลอัลฟ่ามาบรรจุลงใน Xperia M5 พร้อมด้วยราคาที่ยังจัดว่าคุ้มค่าคุ้มราคาอีกด้วย

การออกแบบ

558000011834603558000011834604

แต่ก่อนจะไปรับชมรีวิวจุดเด่นต่างๆ เรามาดูเรื่องการออกแบบกันก่อน สำหรับ Xperia M5 รุ่นที่วางจำหน่ายในไทยจะเป็นรุ่นซิมเดียว (แต่เครื่องรีวิวเป็น Dual Sim) และมีสีให้เลือก 3 สีได้แก่ ดำ ขาวและทอง

ภาพรวมด้านการออกแบบ การวางปุ่มต่างๆ โซนี่ยึดตามหลัก OmniBalance เช่นเดิม ด้านหน้าของตัวเครื่อง โซนี่เลือกใช้วัสดุเป็นกระจกป้องกันรอยขีดข่วน ด้านบนเหนือโลโก้ Sony เป็นช่องลำโพงฟังเสียงสนทนา ด้านล่างเป็นช่องไมโครโฟนตัวที่ 1

หน้าจอเป็น IPS LCD ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด 1,920×1,080 พิกเซล ประกบหน่วยประมวลผล BRAVIA Engine 2 ตัวเครื่องหนา 7.6 มิลลิเมตร ขอบเครื่องจากสเปกชีทระบุว่าเป็นอลูมิเนียม น้ำหนักตัวเครื่องรวม 142.5 กรัม

และที่สำคัญโซนี่ยังคงรักษาจุดขายของตนในเรื่องการป้องกันน้ำและฝุ่นตามมาตรฐาน IP65/68

558000011834605

มาดูกล้องหน้า ถือเป็นครั้งแรกที่โซนี่ปรับให้เข้ากับยุคแห่งการเซลฟีมากขึ้น โดย Xperia M5 มาพร้อมกล้องหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ประกบเซนเซอร์รับภาพ Exmor RS รองรับ HDR และสามารถถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด 1,920×1,080 พิกเซล ที่ความเร็ว 30 เฟรมต่อวินาที

558000011834606

ด้านหลังของตัวเครื่อง ใช้วัสดุเป็นกระจกเช่นเดียวกับด้านหน้า จุดเด่นอยู่ที่กล้องถ่ายภาพด้านหลัง 21.5 ล้านพิกเซล รูรับแสง f2.2 ประกบเซนเซอร์รับภาพ Exmor RS รองรับความไวแสงสูงสุด ISO 3,200 และรองรับระบบซูมภาพแบบไม่สูญเสียความคมชัดที่ 5 เท่า พร้อมระบบโฟกัสภาพแบบ Hybrid Auto focus (Phase + Contrast Detection จากเทคโนโลยีโฟกัสของกล้องตระกูลอัลฟ่า) ที่ช่วยให้โฟกัสเร็วถึง 0.25 วินาทีและโฟกัสในที่แสงน้อยทำได้แม่นยำขึ้น ถัดมาเป็นไฟแฟลช LED 1 ดวง

ตรงกลางเป็นส่วนของภาครับสัญญาณ NFC และโลโก้ Sony ถัดลงไปด้านล่างเป็นชื่อรุ่น Xperia

558000011834607

ในส่วนปุ่มกดและช่องเชื่อมต่อต่างๆรอบตัวเครื่อง เริ่มจากด้านซ้ายของเครื่อง จะเป็นที่อยู่ของช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์แบบ Nano Sim และช่องใส่การ์ดเพิ่มความจุตัวเครื่อง MicroSD รองรับความจุสูงสุด 200GB Class 10 หรือ UHS Class 1

558000011834608

โดยหลังใส่ซิมหรือการ์ด MicroSD แล้วควรปิดช่องดังกล่าวให้สนิทเพื่อป้องกันน้ำและฝุ่นละอองผ่านเข้าไปภายในตัวเครื่อง เวลาเราต้องนำเครื่องไปลุยฝนหรือลุยน้ำในรูปแบบต่างๆ

558000011834609

ด้านขวาของเครื่อง จากซ้ายของภาพเป็นปุ่มชัตเตอร์ โดยเมื่อหน้าปิดอยู่สามารถกดค้างเพื่อเรียกกล้องถ่ายภาพได้ทันที ถัดมาเป็นปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง และสุดท้ายปุ่มวงกลมคือปุ่มเปิดปิดเครื่อง

558000011834610558000011834611

ด้านบนเครื่อง เป็นที่อยู่ของช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรและไมโครโฟนตัวที่ 2 สำหรับตัดเสียงรบกวน ส่วนด้านล่างเครื่องตรงกลางเป็นช่อง MicroUSB สำหรับชาร์จไฟและเชื่อมต่อข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ ถัดไปด้านซ้ายเป็นช่องลำโพง (Internal Speaker)

สเปก

558000011834612

มาถึงด้านสเปกเครื่อง Sony Xperia M5 ขับเคลื่อนด้วยซีพียู 64 บิตตัวฮิตของปีนี้ในชื่อ MediaTek Helio X10 Octa-core (8 คอร์) ความเร็ว 2.0GHz กราฟิกเป็นของ PowerVR รุ่น Rogue G6200 แรมให้มา 3GB ความจุภายในตัวเครื่อง 16GB เหลือใช้งานจริงประมาณ 9.05GB ส่วนระบบปฏิบัติการเลือกใช้ แอนดรอยด์ 5.0 Lollipop แบบ 64 บิตเต็มรูปแบบ

ในส่วนการเชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆ Xperia M5 รองรับ 3G และ 4G LTE ทุกเครือข่ายในประเทศไทย WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n Dual band ทั้ง 2.4GHz และ 5GHz นอกจากนั้นยังรองรับ DLNA และ Wi-Fi Direct ส่วน GPS รองรับทั้ง aGPS และ GLONASS พร้อมบลูทูธ 4.1 รองรับการเชื่อมต่อ aptX แต่ไม่รองรับ Hi-Res Audio เหมือนรุ่นพี่ใหญ่ Xperia Z5

สำหรับแบตเตอรี ให้มา 2,600mAh ตามสเปกชีทระบุว่าสามารถสนทนาได้ต่อเนื่อง 11 ชั่วโมง 49 นาที ส่วนเล่นวิดีโอต่อเนื่องได้ยาวนาน 8 ชั่วโมง 2 นาที

ฟีเจอร์เด่น

558000011834613

ภาพรวมของยูสเซอร์อินเตอร์เฟสของโซนี่บนแอนดรอยด์ 5.0 Lollipop ไม่ค่อยแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้ามากนัก จุดที่เปลี่ยนแปลงไปส่วนใหญ่จะอยู่ในส่วนไอคอนและหน้าตาแอปฯบางตัวมีการปรับให้เรียบง่ายขึ้นตามรูปแบบของ Material Design

558000011834614

โดยเฉพาะส่วนของแถบแจ้งเตือน (Notification) ที่ดึงหน้าตาแถบแจ้งเตือนบนแอนดรอยด์ 5.0 Lollipop ออกมาใช้ได้อย่างลงตัวพร้อมเพิ่มความสามารถให้ผู้ใช้สามารถเลือกเพิ่มเมนูตั้งค่าด่วนได้ตามต้องการ

558000011834615

ในส่วนแอปฯจากโรงงานที่น่าสนใจ นอกจากแอปฯเดิมอย่าง Sketch, What’s New และแอปฯอื่นๆ จะได้รับอัปเดตให้รองรับแอนดรอยด์ 5.0 Lollipop รวมถึงปรับดีไซน์ใหม่แล้ว ทางโซนี่ยังได้เพิ่มแอปฯในกลุ่ม Play Station Network สำหรับผู้ใช้ที่มีเครื่องเล่นเกมคอนโซล PlayStation 4 อยู่ สามารถเชื่อมต่อเครื่องเล่นเกมดังกล่าวเข้ากับสมาร์ทโฟนกลุ่ม Xperia และแชร์เกมมาเล่นบนสมาร์ทโฟนได้ด้วยฟีเจอร์ Remote Play ที่ทำงานได้ลื่นไหลกว่าเดิม

558000011834616558000011834617

ด้านฟีเจอร์จับภาพหน้าจอในรูปแบบวิดีโอที่ผู้ใช้หลายคนชื่นชอบก็ยังคงมีให้เลือกใช้งานเหมือนเดิม หรือแม้แต่ระบบตั้งค่าเสียง ClearAudio+ ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของโซนี่ก็ยังคงมีให้เลือกปรับแต่งได้เหมือนรุ่นก่อนหน้าทั้งหมด แต่น่าเสียดายที่ Xperia M5 ไม่มีชิปประมวลผลเสียงคุณภาพสูงติดตั้งมาให้ ทำให้เมนูปรับเสียงบางฟังก์ชัน เช่น Clear Phase, HiRes Audio, xLOUD ถูกตัดออกไปทั้งหมด

558000011834618

STAMINA กลายเป็นจุดเด่นสำคัญของสมาร์ทโฟนโซนี่ทุกรุ่น เพราะฟังก์ชันนี้ช่วยในการจัดการพลังงานและประหยัดแบตเตอรีได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะโหมด Ultra STAMINA ที่ช่วยชีวิตเวลาสมาร์ทโฟนแบตเตอรีใกล้หมด โดยโหมดดังกล่าวจะปิดการดึงข้อมูลเบื้องหลังทั้งหมด รวมถึงปิดอินเตอร์เน็ทให้เหลือไว้เพียงความสามารถในการโทรออกรับสาย ถ่ายรูปและส่งข้อความ

558000011834619

Movie Creator มาถึงแอปฯที่ถูกเพิ่มเข้ามาใหม่ กับความสามารถในการช่วยลำดับภาพวิดีโอและภาพนิ่งแบบง่ายในสไตล์จับใส่ๆแล้วแอปฯจะประมวลผลให้อัตโนมัติ รวมถึงผู้ใช้สามารถเลือกใส่ฟิลเตอร์หรือใส่ดนตรีประกอบ (คล้ายกับ Google Photos) ได้แบบฟรีๆ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำพรีเซนต์รวมภาพหรือวิดีโอประจำสัปดาห์ ไว้เปิดดูเล่นกับครอบครัว

กล้องถ่ายภาพ


 

558000011834620

มาโฟกัสเรื่องกล้องกันบ้าง ซอฟต์แวร์ควบคุมกล้องใน Xperia M5 มีหน้าตาไม่แตกต่างจากซอฟต์แวร์กล้องของ Xperia รุ่นก่อนหน้า โดยโซนี่ได้ปรับปรุงเรื่องความเสถียรและความรวดเร็วในการประมวลผลภาพให้ดีขึ้น รวมถึงโหมดอัตโนมัติพิเศษ (Superior Auto) กับการเลือกซีนโหมดไปถึงการปรับแสงสีที่ทำได้รวดเร็วและแม่นยำกว่าเดิมด้วยฮาร์ดแวร์กล้องชุดใหม่

ในส่วนวิดีโอมีการเพิ่มความละเอียด FullHD 1080p ที่ความเร็ว 60 เฟรมต่อวินาทีเข้ามา รวมถึงโหมดสโลโมชันที่คมชัดขึ้น

558000011834621

สำหรับการถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K ที่มีมาตั้งแต่รุ่นที่แล้ว ใน Xperia M5 โซนี่ได้ปรับปรุงเรื่องคุณภาพไฟล์ภาพโดยเฉพาะความคมชัดที่ทำได้ดีขึ้นมาก แต่ทั้งนี้การถ่ายวิดีโอ 4K จะไม่สามารถเปิดโหมดกันภาพสั่นไหว SteadyShot ได้

558000011834622

สุดท้ายสำหรับสิ่งที่เพิ่มเติมมาจากรุ่นก่อนหน้า จะอยู่ที๋โหมดถ่ายภาพใหม่ “หน้ากาก AR โดยระบบจะใช้ระบบตรวจจับใบหน้าวิเคราะห์หน้าของเรา จากนั้นผู้ใช้สามารถเลือกใส่หน้ากากลวดลายต่างๆทับใบหน้าเดิมได้ตามต้องการ ถือเป็นโหมดภาพที่สร้างเสียงหัวเราะอย่างมาก

ในส่วนโหมดถ่ายภาพนิ่งและเคลื่อนไหวอื่นๆจะเหมือนกับ Xperia รุ่นก่อนหน้า และสามารถดาวน์โหลดโหมดถ่ายภาพใหม่ๆเพิ่มเติมได้จาก PlayStore

ทดสอบประสิทธิภาพ

558000011834624558000011834623

ปัจจุบันด้วยสเปกเครื่องและซอฟต์แวร์รุ่นใหม่แบบ 64 บิต ทำให้แอนดรอยด์สมัยใหม่มีความลื่นไหล รวดเร็วและน่าใช้มากขึ้น โดย Xperia M5 ก็ถือเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนระดับกลางยุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพดี ตั้งแต่ใช้งานทั่วไปถึงเล่นเกม โดยเฉพาะความลื่นไหลของ OS และ UI ถือว่าโซนี่จัดการได้ดีขึ้นมาก

โดยทั้งหมดนี้ถ้าถามถึงจุดคุ้มค่าที่จะทำให้คนยอมจ่ายเงินซื้อ Xperia M5 เรื่องประสิทธิภาพด้านการประมวลผลคงไม่ใช่คำตอบเพราะมองในภาพรวมก็ไม่ต่างจากสมาร์ทโฟน 64 บิตในช่วงราคาระดับเดียวกันในยุคนี้ แต่ถ้าเป็นเรื่องคุณภาพกล้องถ่ายภาพ สิ่งนี้คือจุดคุ้มค่าที่หลายคนเห็นแล้วอาจเกิดอาการอยากเสียเงินให้สมาร์ทโฟนโซนี่รุ่นนี้ได้ไม่ยาก

>ชมรูปตัวอย่างเต็มความละเอียด กรุณาคลิก<

ลองมานั่งนึกดูว่าปัจจุบันสมาร์ทโฟนในช่วงราคาไม่เกิน 15,000 บาทที่ส่วนใหญ่จะมีสเปกใกล้เคียงกัน มีรุ่นใดเน้นกล้องเป็นจุดขายและให้ผลลัพท์ที่โดดเด่นบ้าง นึกดูแล้วในปีนี้ก็ยังไม่เห็นสมาร์ทโฟนรุ่นใดมีกล้องที่โดดเด่นเท่า Sony Xperia M5 ได้เลย

เพราะในสเปกกล้องของ Xperia M5 ถือว่าครั้งนี้โซนี่จัดเต็มฮาร์ดแวร์มาใกล้เคียงกับไฮเอนด์ Z5 ตั้งแต่ความละเอียดภาพ 21.5 ล้านพิกเซล (ทั้งในโหมด Manual และ Superior Auto) พร้องระบบ Clear Zoom 5 เท่า ที่อัตราส่วน 4:3, กล้องหน้า 13 ล้่านพิกเซล หน่วยประมวลผลภาพตัวใหม่รองรับความไวแสงสูงถึง ISO 3,200 ที่ใช้งานได้จริงและให้ผลลัพท์ภาพถ่ายในที่แสงน้อยที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะโฟกัสแบบไฮบริด อีกทั้งระบบกล้องยังค่อนข้างฉลาดในการปรับใช้ HDR ควบคู่ซีนโหมดได้ดีเมื่ออยู่ในโหมดถ่ายภาพอัตโนมัติพิเศษ

558000011834625

ในส่วนระบบซูมภาพแบบไม่เสียความละเอียด (ClearZoom) ที่มีตั้งแต่รุ่นก่อนหน้า โซนี่ได้ปรับใหม่อีกครั้งใน Xperia M5 ซึ่งผลลัพท์ภาพที่ออกมาถือว่าทำได้น่าพอใจและกลายเป็นสมาร์ทโฟนที่มี Digital Zoom ดีที่สุดในตอนนี้

ด้านงานวิดีโอ ใน Xperia M5 โซนี่ได้ปรับปรุงคุณภาพวิดีโอใหม่ให้มีความคมชัดมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของสีสันและการเก็บรายละเอียดแสงสีที่อิ่มตัวขึ้น แต่น่าเสียดายในเรื่องระบบกันภาพสั่นไหวที่ใน M5 จะมีให้เลือกเพียง SteadyShot แบบซอฟต์แวร์เท่านั้น ต่างจากใน Xperia Z5 ที่เป็นระบบซอฟต์แวร์ผสมฮาร์ดแวร์ในชื่อ SteadyShot with Intelligent Active Mode

558000011834626

มาถึงการทดสอบสุดท้ายกับแบตเตอรีด้วยชุดทดสอบเดิม Geekbench ผลคะแนนถือว่าทำได้น่าพอใจ เพราะสามารถทำเวลาใช้งานได้นานถึง 7 ชั่วโมง 18 นาที 50 วินาที ส่วนเมื่อใช้งานทั่วไปแบตเตอรีความจุ 2,600mAh สามารถใช้งานได้นานกว่า 13-14 ชั่วโมงแน่นอน

สรุป

558000011834635

สำหรับราคาเปิดตัว Sony Xperia M5 อยู่ที่ 14,990 บาท เทียบกับคุณภาพ สเปกและประสิทธิภาพที่ได้ ถือเป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนระดับกลางที่เมื่อเทียบราคาแล้วมีความคุ้มค่าจนไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นจากแบรนด์โซนี่ จุดขายที่น่าสนใจสุดของ Xperia M5 คือคุณภาพกล้องที่เทียบกับไฮเอนด์หลายเจ้าและดีกว่ากล้องบนสมาร์ทโฟนราคาระดับเดียวกันเกือบทุกตัว โดยเฉพาะกล้องหน้าที่คาดว่าจะถูกใจสาวๆอย่างยิ่ง

ถือเป็นน้องกลางที่มีพลังในตัวสูงใกล้เคียงพี่ใหญ่ Xperia Z5 ถ้าผู้อ่านที่กำลังสนใจ ชอบถ่ายภาพแบบง่ายๆแต่ให้คุณภาพสูงและเน้นการใช้งานทั่วไปมากกว่าเน้นระบบมัลติมีเดียและใช้เล่นเกมกราฟิกสูงๆเป็นงานหลัก Sony Xperia M5 ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามในชั่วโมงนี้

ข้อดี

– สเปกดี มีอนาคต อัปเดตได้ไกลเพราะเป็น 64 บิตแท้ๆ
– แบตเตอรีและระบบจัดการพลังงานได้ดี
– กล้องปรับใหม่ให้คุณภาพที่ดีกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะกล้องหน้า 13 ล้่านพิกเซล
– งานประกอบดี วัสดุหน้าหลังเป็นกระจก
– รับ 4G LTE เพิ่มความจุได้ด้วย MicroSD Card
– กันน้ำ กันฝุ่น

ข้อสังเกต

– งานออกแบบ ขอบจอและตัวเครื่องค่อนข้างหนา
– หน้าจอไม่ค่อยคมชัดแม้จะทำงานบนความละเอียด 1080p ก็ตาม
– ลำโพงในตัวเครื่องให้เสียงที่ไม่ดีนัก และไม่รองรับ Hi-Res Audio

Gallery

]]>
Review: Samsung Galaxy S6edge+ เน้นจอใหญ่ ดีไซน์จอโค้งแหวกแนว https://cyberbiz.mgronline.com/review-samsung-s6edgeplus/ Sun, 11 Oct 2015 16:22:34 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=17876

การมาของ Galaxy S6edge+ เหมือนเป็นการออกมาจับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่ในดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร แตกต่างจากกลุ่มลูกค้า Note 5 ที่มีความต้องการชัดเจนในเรื่องของการนำ S-Pen มาใช้งาน ทำให้กลุ่มลูกค้า 2 ส่วนนี้แยกกันอย่างชัดเจน

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าด้วยประสิทธิภาพภายในของ S6edge+ และ Note 5 จะไม่แตกต่างกันมากนัก เพียงแต่ในส่วนของ S6edge+ จะเพิ่มมาด้วยความพิเศษของ EDGE Screen ที่แตกต่างออกไป และมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นจาก S6edge ปกติด้วย

ส่วนที่ซัมซุงพยายามชูขึ้นมาอีกจุดก็คือเรื่องของการถ่ายภาพจากกล้องความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ในการบันทึกภาพในโหมด Pro ที่ผู้ใช้สามารถปรับความเร็วของชัตเตอร์ได้เอง พร้อมกับฟีเจอร์อื่นๆที่โดดเด่นใน S6 และ Note 5

การออกแบบและสเปก

 

ในแง่ของการออกแบบ S6edge+ อาจจะไม่แปลกใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ซัมซุงเพิ่งออก S6edge เข้าสู่ตลาด พอมาถึง S6edge+ จึงเหมือนเป็นการเพิ่มขนาดหน้าจอเข้าไปเท่านั้น ส่วนที่เหลือเหมือนเดิมทั้งหมด โดยเป็นเครื่องที่มีจอโค้งทั้งฝั่งซ้ายและขวา

ขณะเดียวกันก็มีการนำกระจก Gorilla Glass 4 มาใช้งานทั้งหน้าและหลัง ทำให้เวลาถือจับหลังเครื่องอาจจะมีรอยนิ้วมือได้ง่าย ทั้งนี้ S6edge+ มีวางจำหน่ายด้วยกัน 2 สี คือทอง และเงิน ขนาดรอบตัวอยู่ที่ 154.4 x 75.8 x 6.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 153 กรัม

ด้านหน้า – จะเห็นจอ SuperAMOLED ที่เป็น dual edge ขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียด Quad HD (2,560 x 1,440 พิกเซล) ความละเอียดเม็ดสี 518 ppi โดยส่วนบนหน้าจอจะมีช่องลำฉพงสนทนาสีเงินตัดกับตัวเครื่อง และมีเซ็นเซอร์ตรวจวัดแสง และตรวจจับใบหน้าอยู่ กับกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ล่างหน้าจอจะมีพร้อมกับปุ่มโฮม ที่เป็นจุดสแกนลายนิ้วมือ กับปุ่มย้อนกลับ และเรียกดูแอปพลิเคชันที่ใช้งานล่าสุด

ด้านหลัง – อย่างที่กล่าวไปว่าซัมซุงเลือกนำกระจกมาใช้งานเพิ่มความสวยงามให้กับตัวเครื่อง จะมีบริเวณกล้องที่นูนออกมาจากตัวเครื่องเล็กน้อย โดยกล้องที่ให้มาความละเอียด 16 ล้านพิกเซล โดยมีไฟแฟลชอยู่ด้านข้าง พร้อมกับเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ภายใน S6edge+ มาพร้อมกับแบตเตอรีขนาด 3,000 mAh รองรับการใช้งาน Wireless Charge ด้วย

ด้านซ้าย – จะมีปุ่มปรับระดับเสียง ด้านขวา – เป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกจอโค้งกินบริเวณไป

ด้านบน – มีช่องสำหรับใส่นาโนซิมการ์ดที่ต้องใช้เข็มจิ้มถาดซิมออกมา และไมโครโฟนตัวที่ 2 ด้านล่าง – จะมีทั้งพอร์ตไมโครยูเอสบี ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. และลำโพง ทั้งนี้บริเวณด้านบนและล่างจะมีส่วนที่เป็นขีดสำหรับรับสัญญาณโทรศัพท์อยู่ด้วย

สเปก

558000011779432

สำหรับสเปกภายในของ S6edge+ จะมาพร้อมกับชิปเซ็ต Exynos 7420 ที่เป็น Octa-Core (Quad 2.1 GHZ + Quad 1.5 GHz) RAM 4 GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายในเครื่องมีให้เลือกทั้ง 32 GB และ 64 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 5.1.1 Lolipop

ด้านการเชื่อมต่อรองรับ 3G ความเร็วในการดาวน์โหลด และอัปโหลดสูงสุด 42.2 / 5.76 Mbps 4G LTE Cat 9 450 / 50 Mbps ส่วน WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac และแบบ dual band บลูทูธ 4.2 พร้อม NFC GPS

ฟีเจอร์เด่น

558000011779408

แน่นอนว่ารูปแบบการใช้งานของ S6edge+ นั้นแทบจะไม่แตกต่างจาก S6edge หรือ Note 5 ที่ออกมาวางจำหน่ายก่อนหน้านี้มากนัก โดยเฉพาะในแง่ของรูปแบบการใช้งานทั่วไป ทั้งอินเตอร์เฟสในการใช้งานที่เป็น TouchWIz รวมถึงประสิทธิภาพในการใช้งานโดยรวม

558000011779407

แต่สิ่งที่พิเศษเพิ่มขึ้นมาใน S6edge+ คือเรื่องของหน้าจอ Edge Screen ที่จากเดิมใน S6edge จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถนำรายชื่อผู้ติดต่อหลัก 5 รายมาใส่เพื่อเป็นทางลัดในการติดต่อได้ แต่ในเวอร์ชันของ S6edge+ มีการเพิ่มอีกหน้าจอให้สามารถใส่แอปพลิเคชันที่ใช้งานบ่อยเพิ่มขึ้นมา

558000011779422

แน่นอนว่า อาจจะมองว่าเป็นความสามารถเล็กๆ ที่เพิ่มขึ้นมา แต่แสดงให้เห็นว่าในอนาคต ตรงส่วนขยายของจอที่เป็น EDGE Screen จะมีความสามารถในการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน จากปัจจุบันที่ใช้เป็นพื้นที่แสดงความสวยงามของตัวเครื่อง แสดงเวลาตอนกลางคืน และแสดงการแจ้งเตือนต่างๆ

558000011779421

โดยในจุดนี้ผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งค่า EDGE Screen ได้ทั้งเลือกฝั่งที่ต้องการใช้งาน เลือกจุดสำหรับลาก EDGE Screen ออกมา โดยผู้ใช้สามารถเลือกสลับขึ้นลงได้ รวมถึงตั้งได้ว่าจะให้มีการแจ้งเตือนสิ่งใดบ้าง

558000011779423

ถัดมาในส่วนของกล้องอย่างที่บอกไปว่า อินเตอร์เฟส การใช้งานโดยรวมจะเหมือนกันรุ่นที่ออกมาก่อนหน้านี้ แต่ที่พัฒนาเพิ่มขึ้นมาคือในส่วนของโหมด Pro ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถตั้งความเร็วชัตเตอร์ได้เอง (ใน Note 5 ก็ปรับได้เช่นเดียวกัน) ส่วนโหมดถ่ายภาพอื่นๆอย่างเลือกจุดโฟกัส พาโนราม่า ถ่ายวิดีโอแบบรวมภาพ ตั้งถ่ายทอดสดผ่านยูทูป วิดีโอแบบช้า และเร็วก็ยังมีให้เลือกใช้งานอยู่

558000011779428

ขณะที่แอปพลิเคชันที่ติดตั้งมาให้ในเครื่องก็จะเป็นแอปพลิเคชันสมาร์ทโฟนทั่วไปอย่างโทรศัพท์ รายชื่อ ข้อความ เบราว์เซอร์ อีเมล รูปภาพ กล้อง เพลง วิดีโอ เครื่องคิดเลข นาฬิกา พร้อมกับบริการต่างๆของกูเกิลอย่าง โครมเบราว์เซอร์ แผนที่ ยูทูป เพลยสโตร์ กับแอปของทางซัมซุงอย่างตัวบริหารจัดการเครื่อง กาแล็กซีแอป และที่สำคัญคือ Galaxy Gift

558000011779427

Smart Manager ทำหน้าที่ไว้คอยบริการจัดการพลังงาน ROM และ RAM ของตัวเครื่อง ถ้ารู้สึกเครื่องช้าสามารถเข้ามากดล้างข้อมูลตรงนี้ได้ ส่วน SideSync ช่วยให้ผู้ที่ใช้งานสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และพีซี สามารถสั่งานเครื่องผ่านอุปกรณ์อื่นได้ และสุดท้ายคือ Galaxy Gift ที่เป็นแหล่งรวมข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าซัมซุง

558000011779426

ในส่วนของ S-Health นอกเหนือไปจากการวัดอัตราการเต้นของหัวใจแล้ว ยังสามารถใช้วัดระดับความเครียด ปริมาณออกซิเจน และยังใช้บันทึกข้อมูลความดัน และค่าน้ำตาลในเลือดเพิ่มเติมจากอุปกรณ์อื่นได้ เพื่อนำมาใช้ในการบันทึกข้อมูลด้านสุขภาพ รวมไปกับข้อมูลการออกกำลังกาย

558000011779425558000011779424

ส่วนการใช้งานทั่วๆไปอย่างหน้าจอการโทรศัพท์ การใช้งานเว็บเบราว์เซอร์ ปุ่มคีย์บอร์ดที่ให้มา ถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานของซัมซุงทั้งหมด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่ชัดเจนในเครื่องรุ่นนี้

558000011779429

เช่นเดียวกับหน้าจอการตั้งค่า ที่ให้ผู้ใช้สามารถเลือกการตั้งค่าด่วนที่ใช้ประจำขึ้นมาไว้ข้างบนได้ ที่เหลือก็จะมีการแบ่งการตั้งค่าเป็นการเชื่อมต่อ อุปกรณ์ ผู้ใช้ และระบบเช่นเดิม ผู้ใช้สามารถเข้าไปปรับแต่งค่าต่างๆได้ตามต้องการ

558000011779431

ตัวลูกเล่นพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาอย่างการนำโทรศัพท์แนบหูเพื่อโทรออกทันที ปาดหน้าจอเพื่อจับภาพหน้าจอ คว่ำเครื่องเพื่อปิดเสียง การใช้ลายนิ้วมือปลดล็อกเครื่อง และระบบประหยัดพลังงานขั้นสูง รวมถึงการย่อขนาดหน้าจอ (กดปุ่มโฮมติดกัน 3 ครั้ง) เพื่อให้ใช้งานมือเดียว การปรับสีหน้าจอก็ยังมีมาให้ใช้งานเหมือนเดิม

ทดสอบประสิทธิภาพ

558000011779433

มาถึงส่วนของผลการทดสอบ ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Quadrant Standart และ Antutu 32bit และ 64bit ได้คะแนน 31,481 คะแนน 61,564 คะแนน และ 67,624 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 10 จุดพร้อมกัน

558000011779434

ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo จากเว็บเบราว์เซอร์ได้ 5,061 คะแนน โครมเบราว์เซอร์ 5,145 คะแนน และ WebView 5,022 คะแนน ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ (Metal) 2,465 คะแนน Multicore 3,255 คะแนน คะแนน Geek Bench 3 Single-Core 1,158 Multi-Core 3,766 คะแนน

ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรีต่อเนื่องอยู่ที่ 9 ชั่วโมง 30 วินาที คิดเป็นคะแนนของ Geekbench 3 ได้ 4,952 คะแนน

558000011779435

ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม PCMark ในส่วนของ Work Performance ได้ 5,252 คะแนน 3D Mark ตัว Sling shot ES 3.1 ได้ 1,246 คะแนน Sling shot Unlimited Es 3.0 1,613 คะแนน Ice Storm Unlimited ได้ 17,058 คะแนน ส่วน Ice Storm Extream และ Ice Storm คะแนนทะลุเกินไป

ส่วน Passmark PerformanceTest Mobile ได้คะแนน System 8,141 คะแนน CPU 168,611 คะแนน Disk 69,084 คะแนน Memory 6,681 คะแนน 2D Graphics 5,150 คะแนน และ 3D Graphics 2,249 คะแนน

สรุป

แม้จะรู้สึกว่าซัมซุงเพิ่งออกแฟลกชิปในกลุ่มสมาร์ทโฟนอย่าง S6 และ S6edge ไปไม่ทันไร ก็มีรุ่นใหม่อย่าง S6edge+ มาวางจำหน่ายเพิ่มแล้ว ขณะเดียวกันก็เป็นขนาดหน้าจอเดียวกับ Note 5 ทำให้เชื่อว่ากลุ่มลูกค้าที่กำลังตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์น่าจะปวดหัวกันพอสมควรว่าจะเลือกรุ่นไหนดี

ถ้าให้มองในระหว่าง 3 รุ่นนี้ ต้องแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ ต้องการจอใหญ่ หรือจอขนาดเหมาะมือ ถ้าต้องการจอใหญ่ก็จะต้องเลือกต่อว่าต้องการใช้ปากกาหรือไม่ ถ้าไม่ก็ออกที่ S6edge+ ถ้าปากกาก็ออกที่ Note 5 แต่ถ้าต้องการเครื่องขนาดพอดีมือ S6edge ก็ยังถือเป็นรุ่นที่น่าสนใจอยู่

เพราะประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องทั้ง 3 รุ่นนั้นแทบจะไม่แตกต่างกัน ดังนั้นกับการเปิดราคาของ S6edge+ ที่ 26,900 บาท สูงกว่า Note 5 ที่ 25,900 บาท และ S6edge ที่ปรับราคาลงมาเหลือประมาณ 23,900 บาท ก็ทำให้ต้องตัดสินใจว่าอยากได้เครื่องแบบใดมากกว่ากัน

ข้อดี

– สมาร์ทโฟนประสิทธิภาพสูง ดีไซน์จอโค้งทั้ง 2 ฝั่ง
– รองรับ 3G 4G NFC
– ระบบชาร์จเร็วทั้งผ่านสายยูเอสบี และชาร์จแบบไร้สาย
– กล้องคุณภาพสูง พร้อมลูกเล่นอย่างการปรับความเร็วชัตเตอร์ ถ่ายภาพ RAW
– คุณภาพเสียงระบบ UHQ แต่ตัวเครื่องไม่ได้มากับลำโพงสเตอริโอ

ข้อสังเกต

– ไม่สามารถเพิ่มไมโครเอสดีการ์ดได้
– ตัวขอบจอทำให้การจับถือยากกว่าปกติ
– มีการตัดพอร์ตอินฟาเรตออกไป
– ขอบจอโค้งทำให้เกิดอาการจอแตกได้ง่ายกว่าปกติ

Gallery

]]>
Review: Lenovo VibeShot สมาร์ทโฟนเน้นกล้องราคาหมื่นต้น https://cyberbiz.mgronline.com/review-lenovo-vibeshot/ Thu, 24 Sep 2015 13:58:44 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=17935

558000010757503

น่าจะถือเป็นคลื่นลูกใหม่ของสมาร์ทโฟนเลอโนโวก็ได้ หลังจากเริ่มปล่อยหมัดเด็ดอย่าง Vibe Shot ออกมากระตุ้นตลาดสมาร์ทโฟนในระดับหมื่นต้นๆ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เริ่มเรียกความนิยมจากกลุ่มผู้ใช้สมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นในช่วง 4-5 พันบาทมาแล้ว

จุดเด่นที่เลอโนโว ยังคงอยู่ก็คือการเน้นประสิทธิภาพของตัวเครื่องในแง่ของสเปกให้เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นในตลาดแล้วถือว่าคุ้มค่ากับแต่ละช่วงราคามากที่สุด เช่นเดียวกับ Vibe Shot ที่อัดสเปกระดับหมื่นปลายๆ มาในราคา 11,900 บาท

โดย 3 จุดเด่นหลักของ Vibe Shot เลยคือเรื่องของกล้องถ่ายภาพที่ให้ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล การที่มีไฟแฟลช 3 ดวง ช่วยเกลี่ยสีแฟลชให้ได้ภาพที่ธรรมชาติมากที่สุด และปุ่มสำหรับสลับโหมดถ่ายภาพอัตโนมัติกับโหมดโปร

การออกแบบ

558000010757510

ต้องยอมรับว่า Vibe Shot ได้เปลี่ยนรูปแบบการดีไซน์ของสมาร์ทโฟนเลอโนโวออกไปจากรุ่นก่อนหน้า ที่พยายามทำตามไอโฟนอย่างจริงจังในรุ่นก่อนหน้า แต่ก็ถือว่ายังมีกลิ่นอายอยู่เล็กๆด้วยการที่ใช้อะลูมิเนียมผสมกับกระจก ทำให้ตัวเครื่องมีความแข็งแรง

โดยขนาดรอบตัวของ Vibe Shot จะอยู่ที่ 142 x 70 x 7.3 มิลลิเมตร น้ำหนัก 145 กรัม ซึ่งโดยรวมแล้วงานประกอบทำได้แน่นหนา ให้ความรู้สึกถึงการเป็นสมาร์ทโฟนในระดับไฮเอนด์ เสริมความแข็งแรงด้วยกระจกแบบ Gorilla Glass 3 ทั้งหน้าและหลัง วางจำหน่ายด้วยกัน 3 สี คือ ดำ ขาว และ แดง เพียงแต่สีแดงจะขายผ่านลาซาด้าเท่านั้น

558000010757508

ด้านหน้า – ไล่จากส่วนบนจะมีช่องลำโพงสนทนา ที่มีกล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และเซ็นเซอร์วัดแสง ตรวจจับใบหน้าอยู่ ถัดลงมาเป็นจอ IPS LCD ทัชสกรีนขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920 x 1080 พิกเซล) ความละเอียดเม็ดสี 441 ppi ล่างหน้าจอเป็นปุ่มสัมผัสเรียกดูแอปที่ใช้งานล่าสุด ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับตามลำดับ

558000010757509

ด้านหลัง – จะถูกออกแบบให้มีการเล่นสีตัดตรงบริเวณกล้องตัวเครื่อง โดยจะมียี่ห้อ และรุ่นอยู่ที่ส่วนล่าง และมีกล้องความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช 3 สี กับช่องอินฟาเรดในการตรวจจับโฟกัส พร้อมข้อความระบุลายละเอียดกล้องต่างๆ ตัวเครื่องไม่สามารถถอดฝาหลังได้ ภายในมีแบตเตอรีขนาด 3,000 mAh อยู่

558000010757516558000010757515

ด้านซ้าย – เป็นที่อยู่ของช่องใส่ถาดไมโครซิมการ์ด (รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิม) และช่องถาดใส่ไมโครเอสดีการ์ด โดยจะมีเข็มจิ้มให้ภายในกล่อง ด้านขวา – จะมีทั้งปุ่มปรับระดับเสียง ปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง ปุ่มปรับโหมดถ่ายภาพ และปุ่มชัตเตอร์กล้อง

558000010757517558000010757518

ด้านบน – มีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. และรูไมโครโฟนที่สอง กับแถบรับสัญญาณ ด้านล่าง – จะเป็นที่อยู่ของพอร์ตไมโครยูเอสบี โดยมีการเจาะช่องเป็นลำโพงอยู่รอบข้าง ถัดไปเป็นแถบรับสัญญาณ และที่น่าสนใจคือมีช่องสำหรับร้อยสายห้อยสมาร์ทโฟนให้ด้วย

สเปก

558000010757546

สำหรับสเปกภายในของ Vibe Shot จะมาพร้อมกับหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 615 ที่เป็น Octa-Core โดยแบ่งเป็น Quad-Core 1.7 GHz กับ 1 GHz กราฟิกชิป Adreno 405 RAM 3 GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 32 GB สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้สูงสุด 128 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอดย์ 5.1 (Lollipop)

ด้านการเชื่อมต่อรองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด ที่รองรับการเชื่อมต่อทั้ง 3G และ 4G สามารถใช้งานได้ทุกคลื่นความถี่ที่ให้บริการในประเทศไทย นอกจากนี้ยังรองรับ ไวไฟ มาตรฐาน 802.11 a/b/g/n บลูทูธ 4.1 GPS วิทยุFM แต่ไม่มี NFC

ฟีเจอร์เด่น

558000010757525

จุดที่เด่นที่สุดของ Vibe Shot ที่ต้องนำมาพูดถึงคงหนีไม่พ้นเรื่องของกล้องถ่ายภาพ ที่สเปกระบุว่าให้ความละเอียดมา 16 ล้านพิกเซล แต่จุดเด่นจริงๆแล้วคือการที่ผู้ใช้สามารถปรับโหมดใช้งานได้ด้วยตนเองว่า ต้องการใช้งานแบบ อัตโนมัติ (Auto) หรือแบบตั้งค่าเอง (Pro)

558000010757527

โดยเมื่อกดสลับเข้าโหมดโปรแล้ว ผู้ใช้จะสามารถใช้นิ้วลากปุ่มชัตเตอร์สีเหลืองบนหน้าจอมาทางซ้ายเพื่อเรียกแถบการตั้งค่า (คล้ายๆกับใน Lumia และ HTC) ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกปรับสมดุลแสงขาว ระยะโฟกัส ค่าความไวแสง ความเร็วชัตเตอร์ (ปรับได้ตั้งแต่ 1/15 – 1 วินาที) และปรับชดเชยแสงได้

558000010757543

ตัวอย่างภาพสามารถดูได้ที่แกลอรี่ด้านล่าง

แต่ทั้งนี้ ที่น่าเสียดายคือในแง่ของการปรับความเร็วชัตเตอร์ ที่ไม่สามารถตั้งเป็นเวลานานกว่า 1 วินาทีได้ รวมถึงตั้งให้เร็วกว่า 1/15 ก็จะกลายเป็นแบบอัตโนมัติไปแทน ทำให้เรียกได้ว่าโหมดโปรที่ให้มายังไม่ค่อยสุดเท่าที่ควร

558000010757528

นอกเหนือไปจากนี้ ในโหมดโปร ผู้ใช้ยังสามารถเข้าไปเลือกรูปแบบการถ่ายภาพอย่าง พาโนราม่า สถานที่ตอนกลางคืน ถ่ายภาพชดเชยแสงแบบสีสัน ถ่ายภาพเบลอพื้นหลัง และถ่ายภาพเซลฟี่แบบมุมกว้างได้ด้วย

สลับกลับมาที่โหมดการถ่ายภาพแบบอัตโนมัติ ภายในโหมดอัตโนมัติ ก็จะมีให้ผู้ใช้เลือกอีกทีว่า ต้องการเปิดโหมด Smart หรือไม่ ถ้าไม่เปิดก็จะเป็นการถ่ายภาพแบบปกติ แต่ถ้าเปิดเวลาจับภาพวัตถุตัวแอปก็จะทำการเปลี่ยนโหมดถ่ายภาพอย่าง วิว บุคคล อาหารให้ตามอัตโนมัติ

อีกจุดเด่นหนึ่งของกล้องก็คือ การที่ใช้อินฟาเรตในการโฟกัสวัตถุ ทำให้สามารถโฟกัสภาพได้แม้อยู่ในที่มืด และที่สำคัญคือการทำให้ตัวกล้องโฟกัสภาพได้รวดเร็วขึ้นด้วย เช่นเดียวกับการใช้งานแฟลชในที่มืด ก็จะทำให้ได้ภาพที่สมจริงมากขึ้นเช่นเดียวกัน

558000010757520

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของปุ่มชัตเตอร์ที่แยกมาให้นั้น จะทำงานคล้ายกับขัตเตอร์กล้องถ่ายภาพเลย คือสามารถกดลงไปเพื่อโฟกัสภาพก่อนออกแรงลงไปอีกระดับเพื่อบันทึกภาพ โดยสามารถใช้ปุ่มดังกล่าวเข้าเมนูกล้องได้เช่นเดียวกัน

แต่ถ้าต้องการถ่ายภาพด่วนแม้ขณะที่ยังไม่ได้เปิดหน้าจอสมาร์ทโฟนขึ้นมา สามารถเข้าไปตั้งค่าให้กดปุ่ม เพิ่มหรือลดเสียง 2 ครั้งติดกันเพื่อจับภาพได้ ซึ่งถือเป็นฟีเจอร์ลัดที่เพิ่มเข้ามาให้

558000010757529

นอกจากนี้ ก็จะมีฟีเจอร์อย่างการ แตะที่หน้าจอ 2 ครั้งเพื่อปลุกจอขึ้นมา โหมดเลือกโปรไฟล์อัจฉริยะ ตามแต่ละช่วงเวลา ในการเข้าเปิด-ปิด ไวเลส เปลี่ยนโหมดการแจ้งเตือน และปุ่มลัดในการสั่งงานพิเศษ Wide Touch ในการเข้าถึงเมนูลัดต่างๆ จากปุ่มที่ลอยอยู่บนหน้าจอ

558000010757530

ฟังก์ชันเพื่อความปลอดภัยอย่าง Secure Zone ที่ผู้ใช้จะใช้การใส่รหัสล็อก เพื่อสลับการใช้งานระหว่างโหมดปกติ กับโหมดความปลอดภัย ที่สามารถเลือกได้ว่าจะให้เข้าถึงแอปพลิเคชันใดบ้าง รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลต่างๆภายในตัวเครื่องด้วย

รวมถึงฟีเจอร์พิเศษอย่างปุ่มลัดเพื่อสั่งงาน และเข้าแอปพลิเคชันก็สามารถเข้าไปเลือกใช้งานได้จากหน้าตั้งค่าเพิ่มเติม

558000010757526

กลับมาถึงหน้าตาในการใช้งานของ Vibe Shot หรือ Vibe UI ที่เรียกว่าออกแบบมาได้ใช้งานง่าย เนื่องจากไม่มีหน้ารวมเมนูแยกออกมา ผู้ใช้สามารถเข้าถึงแอปทั้งหมดที่ดาวน์โหลด รวมถึงวิตเจ็ตได้จากหน้าแรกเลย ดังนั้นจึงสามารถจัดการโฟลเดอร์ ปรับขนาดวิตเจ็ตได้ตามต้องการ

เช่นเดียวกับแถบการแจ้งเตือน ที่นอกจากไว้ใช้แจ้งเตือนทั่วไปแล้ว ยังสามารถกดเข้าไปดูการแจ้งเตือนย้อนหลังได้ และลากลงมาอีกครั้งเพื่อเข้าสู่การตั้งค่าด่วน ที่ให้มาครบทั้งการเปิด-ปิด ไวไฟ ดาต้า บลูทูธ เสียง จีพีเอส การหมุนหน้าจอ โหมดประหยัดพลังงาน จับภาพหน้าจอ ไฟฉาย ปรับตวามสว่าง และโหมดลัดอื่นๆอีกแล้วแต่ผู้ใช้จะตั้ง

558000010757547

ขณะที่หน้าจอล็อกสกรีน นอกเหนือจากแสดงสถานะเครือข่ายที่เชื่อมต่อ วันที่ เวลา และการแจ้งเตือนต่างๆแล้ว ก็จะมีไอคอนเรียกใช้งานโทรศัพท์ หรือ โหมดกล้องด่วน แต่ที่น่าสนใจคือกรณีที่กดปุ่มเปิดเครื่องขึ้นมา แล้วเซ็นเซอร์ตรวจจับพบว่ามีอะไรบังอยู่ (เหมือนพกอยู่ในกระเป๋าแล้วไปโดนปุ่มเปิดหน้าจอ) ตัวเครื่องจะมีโหมดป้องกันการปลดล็อกอีกชั้นหนึ่ง

โดยผู้ใช้สามารถเข้าไปใน Theme Center เพื่อเลือกเปลี่ยนรูปแบบธีมให้ได้ตามที่ต้องการ การเปลี่ยนภาพพื้นหลัง รูปแบบการล็อกหน้าจอ รวมถึงหน้าจอ Recent Apps ก็มีให้เลือกเปลี่ยนใช้งาน

558000010757531

สำหรับแอปพลิเคชันเฉพาะที่เลอโนโวให้มาก็จะมีพวก SHAREit ระบบส่งไฟล์รูปภาพ เพลง ไปยังอุปกรณ์อีกเครื่องที่ลงแอปเหมือนกัน SYNCit ระบบสำรองข้อมูลรายชื่อผู้ติดต่อ ข้อความ และประวัติการโทร CLONEit ระบบย้ายข้อมูลจากสมาร์ทโฟนเครื่องเก่ามาเครื่องใหม่

ที่เหลือก็เป็นแอปทั่วไปที่ติดตั้งมาให้อย่างบริการจากทางกูเกิล แอปดูรูป ดูหนัง ฟังเพลง ตัวจัดการไฟล์ภายในตัวเครื่อง เครื่องคิดเลข เข็มทิศ เครื่องบันทึกเสียง วิทยุ โดยมีการพรีโหลดโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเฟซบุ๊ก สไกป์ และทวิตเตอร์มาให้ด้วย

558000010757532

ในแง่ของการใช้งานโหมดโทรศัพท์ กรณีที่ใช้งาน 2 ซิม ที่แถบสีเขียวด้านล่างก็จะมีปุ่มให้เลือก โดยมาพร้อมกับระบบคาดเดารายชื่อ หน้าจอขณะสนทนามีไอค่อนลัดให้เลือกอย่างการเพิ่มสาย พักสาย ปิดเสียง บันทึกเสียง ตามปกติ ส่วนหน้าจอสายเรียกเข้าใช้การสไลด์ปุ่มเพื่อรับ

558000010757533

คีย์บอร์ดที่ให้มาพร้อมใช้งานทั้งภาษาไทย และอังกฤษ โดยมีปุ่มสลับภาษามาให้ด้วย หรือสามารถกดค้างที่ปุ่มสเปซบาร์เพื่อเข้าสู่หน้าการตั้งค่าคีย์บอร์ดเพื่อสลับภาษาก็ได้เช่นเดียวกัน ในแง่ของการใช้งานคีย์บอร์ดภาษาไทยอาจจะปุ่มเล็กไปหน่อยทำให้กดพิมพ์ค่อนข้างยาก

558000010757534

ตัวเว็บเบราว์เซอร์ที่ให้มามีทั้ง Chome และ UC Browser โดยการแสดงผลในการใช้งานโดยรวมถือว่าผ่าน การใช้งานทำได้ลื่นไหลดี เช่นเดียวกับการแสดงผลทั้งแนวตั้งและแนวนอน ร่วมกับจอ

การใช้งานด้านมัลติมีเดียโดยรวมทำได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการรับชมวิดีโอ จากหน้าจอความละเอียดสูง การใช้งานโซเชียลมีเดียต่างๆทำได้ครบ ดังนั้นก็ถือว่าเป็นเครื่องที่ค่อนข้างคุ้มค่ากับราคาอยู่แล้ว

ทดสอบประสิทธิภาพ

558000010757535

มาถึงส่วนของผลการทดสอบ ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Quadrant Standart และ Antutu ได้คะแนน 38,503 คะแนน และ 26,563 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 8 จุดพร้อมกัน

558000010757536

ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo จากเว็บเบราว์เซอร์ได้ 1,375 คะแนน โครมเบราว์เซอร์ 2,124 คะแนน ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ (Metal) 1,251 คะแนน Multicore 1,675 คะแนน คะแนน Geek Bench 3 Single-Core 735 Multi-Core 2,620 คะแนน

ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรีต่อเนื่องอยู่ที่ 5 ชั่วโมง 46 นาที 10 วินาที คิดเป็นคะแนนของ Geekbench 3 ได้ 2,393 คะแนน

558000010757537

ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม PCMark ในส่วนของ Work Performance ได้ 3,808 คะแนน 3D Mark ตัว Sling shot ได้ 197 คะแนน Ice Storm Unlimited ได้ 8,111 คะแนน ส่วน Ice Storm Extream 5,583 คะแนน และ Ice Storm 9,414 คะแนน

ส่วน Passmark PerformanceTest Mobile ได้คะแนน System 4,503 คะแนน CPU 24,979 คะแนน Disk 32,028 คะแนน Memory 5,261 คะแนน 2D Graphics 2,902 คะแนน และ 3D Graphics 1,238

สรุป

ถ้ากำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่รองรับการใช้งาน 4G ในระดับหมื่นต้นๆ ต้องถือว่า Vibe Shot เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะด้วยประสิทธิภาพโดยรวมถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป ที่สำคัญคือได้ความโดดเด่นในเรื่องของกล้องถ่ายภาพเพิ่มขึ้นมา

การใช้งานโดยรวมทั้งมัลติมีเดีย จากหน้าจอที่ให้ความละเอียด Full HD ทำให้การแสดงผลสามารถทำได้ดี การใช้งานแบตเตอรีต่อเนื่องสบายๆใน 1 วัน ที่สำคัญคือมาพร้อมกับแอนดรอยด์ 5.1 อยู่แล้ว ทำให้การตอบสนองทำได้ลื่นไหลเป็นอย่างดี

ข้อดี

– วัสดุทำจากอะลูมิเนียม และกระจกหน้า-หลัง
– กล้อง 16 ล้านพิกเซล พร้อมปุ่มสลับโหมดถ่ายภาพ และชัตเตอร์แยก
– ราคา 11,900 บาท กับสเปกระดับ OctaCore RAM 3 GB ROM 32 GB

ข้อสังเกต

– โหมดถ่ายภาพโปร เลือกตั้งเวลาชัตเตอร์ได้จำกัด และยังบันทึกเป็นไฟล์ RAW ไม่ได้

Gallery

]]>
Review: i-Mobile IQ II สมาร์ทโฟนมาตรฐานกูเกิลภายใต้แอนดรอยด์วัน https://cyberbiz.mgronline.com/review-imbile-iqii/ Sun, 13 Sep 2015 07:28:34 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=17982

558000010490603

IQ II (ไอคิว ทู) ถือเป็นสมาร์ทโฟนสัญชาติไทยรุ่นแรกที่ได้ประเดิมตลาดสมาร์ทโฟนประเทศไทย ภายใต้มาตรฐานของกูเกิลในการจำหน่ายสมาร์ทโฟนระดับราคาเริ่มต้น สำหรับผู้ที่เริ่มใช้งานสมาร์ทโฟนภายใต้โปรเจกต์ Android One (แอนดรอยด์ วัน)

โดยจุดเด่นของ IQ II รวมถึงแอนดรอยด์ วัน รุ่นอื่นๆที่จะตามออกมาในท้องตลาดคือ จะเน้นไปที่ประสิทธิภาพของเครื่องในระดับราคาที่จับต้องได้ และที่สำคัญคือการที่ทางกูเกิลรับประกันว่าจะได้รับการรับประกันเครื่องไปอีก 2 ปี รวมถึงการอัปเดตระบบปฏิบัติการต่อเนื่องไปอีกใน 2 ปี ข้างหน้าคล้ายๆกับเครื่องในตระกูล Nexus ที่จะได้รับการอัปเดตแอนดรอยด์ใหมๆอยู่เสมอ

การออกแบบ

558000010490608

ในมุมของการออกแบบ i-mobile ยังคงรูปร่างและดีไซน์ที่คุ้นเคยไว้ให้แก่ผู้ใช้ เพียงแต่งานประกอบของตัวเครื่องจะดูมีความแน่นหนามากยิ่งขึ้นพร้อมกับมีการเล่นลายรอบตัวเครื่องด้วยอะลูมิเนียมสีเงิน แม้ว่าจะใช้วัสดุหลักเป็นพลาสติกเช่นเดิม โดยมีขนาดรอบตัวเครื่องอยู่ที่ 140.5 x 69.75 x 9.3 มิลลิเมตร น้ำหนัก 134 กรัม

558000010490604

ด้านหน้า – ไล่ตั้งแต่ส่วนบนลงมาจะพบกับช่องลำโพงสนทนา กล้องหน้าความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ลงมาเป็นหน้าจอ IPS ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด HD (1280 x 720 พิกเซล ปุ่มสัมผัสต่างๆล่างหน้าจอถูกรวมเข้าไปไว้ในหน้าจอตามมาตรฐานของแอนดรอยด์รุ่นใหม่ๆแล้ว

558000010490605

ด้านหลัง – มีการออกแบบให้ดูจับถนัดมือด้วยการเพิ่มความโค้งบริเวณขอบเครื่อง โดยฝาหลังเป็นสีน้ำตาลเข็ม มีกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลข สามารถถอดฝาหลังได้ ภายในจะพบกับแบตเตอรีขนาด 2,500 mAh และช่องใส่ไมโครซิมการ์ด 2 ช่อง กับไมโครเอสดีการ์ด

558000010490617558000010490619

ด้านขวา – มีปุ่มเปิดปิดเครื่อง และปุ่มปรับระดับเสียง ส่วนด้านซ้ายถูกปล่อยว่างไว้

558000010490616558000010490618

ด้านบน – เป็นช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ด้านล่าง – มีพอร์ตไมโครยูเอสบี และลำโพง

558000010490620

อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่อง นอกจากจะมีตัวเครื่องแล้ว ยังมีฟิลม์กันรอย เคสใส สายยูเอสบี อแดปเตอร์ หูฟัง ซิมการ์ดจากทรูมูฟ เอช ใบรับประกัน และคู่มือการใช้งาน

สเปก

558000010490628

สำหรับประสิทธิภาพภายในของ iQ II มากับหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 410 Quad-core 1.2 GHz 64บิต RAM 1 GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายในตัวเครื่อง 16 GB สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้สูงสุด 32 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 5.1.1 (Lollipop)

ในส่วนของการเชื่อมต่อรองรับทั้ง 4G และ 3G สามารถใช้งานได้พร้อมกัน 2 ซิม โดยความเร็วในการเชื่อมต่อ 3G เป็น HSDPA/HSUPA 21/5.76 Mbps รองรับการเชื่อมต่อไวไฟ มาตรฐาน 802.11 b/g บลูทูธ จีพีเอส วิทยุFM แต่ไม่มี NFC

ฟีเจอร์เด่น

558000010490621

ด้วยการที่เป็นแอนดรอยด์ วัน ทำให้ทางไอโมบาย ไม่ได้มีการเติมแต่งอินเตอร์เฟสการใช้งานบน IQ II แต่อย่างใด ดังนั้นรูปแบบการใช้งานที่เห็นก็จะเป็นแบบ Pure Android คือเป็นไปตามมาตรฐานของแอนดรอยด์ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอหลัก แถบการแจ้งเตือนที่มีปุ่มลัดในการตั้งค่า รวมถึงหน้าจอสลับแอป (Recent Apps)

558000010490622

ถัดมาในส่วนของแอปพลิเคชันที่พรีโหลดมาให้ในเครื่องก็จะเป็นแอปพื้นฐาน รวมถึงบริการต่างๆจากกูเกิลเซอร์วิส ไม่ว่าจะเป็นโครมเบราว์เซอร์ กล้อง ไดรฟ์ จีเมล กูเกิลพลัส กูเกิลแฮงค์เอาท์ แผนที่ รูปภาพ หนังสือ เกม ภาพยนตร์ เครื่องเล่นเพลง เพลยสโตร์ รวมถึงตัวจัดการเอกสารอย่าง Docs Sheet Slides โปรแกรมแปลภาษา และยูทูป

ที่สำคัญคือผู้ใช้สามารถเรียกใช้งาน Google Now ที่เป็นเหมือนผู้ช่วยอัจฉริยะได้จากการกดปุ่มโฮมค้างแล้วลากขึ้น แน่นอนว่าหลังๆ ระบบการค้นหาของกูเกิลรองรับภาษาไทยแล้วด้วย ดังนั้นสามารถใช้การสื่อสารภาษาไทยได้เลย

558000010490623

การแสดงผลเว็บที่ให้มาแม้ว่าจะให้ RAM มา 1 GB แต่ด้วยการที่ไม่ได้มีอินเตอร์เฟสมาเพิ่มความหนักเครื่อง ทำให้การใช้งานทั่วไปทำงานได้ลื่นไหล อย่างการเปิดหน้าเว็บไซต์ผู้จัดการดูก็สามารถไล่อ่านได้ทั้งหมด แน่นอนว่าสามารถปรับใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน

558000010490624

การใช้งานโหมดโทรศัพท์ เน้นปุ่มกดที่มีขนาดใหญ่ มีระบบคาดเดารายชื่อมาให้ด้วย หน้าจอสนทนามีการแสดงผลว่าใช้ซิมไหนอยู่ รวมถึงปุ่มลัดในการเปิดลำโพง ปิดไมค์ เรียกปุ่มกด พักสาย และเพิ่มสายให้กดใช้งานได้ทันที การรับสายใช้วิธีการเลื่อนรับสาย หรือจะเลือกตัดสาย ส่งข้อความกลับก็ได้

558000010490625

กล้องหลังที่ให้มา 8 ล้านพิกเซล ถือว่าทำได้ค่อนข้างประทับใจเมื่อเทียบกับราคาเครื่อง โดยอินเตอร์เฟสที่มีจะเป็นแบบง่ายๆ ผู้ใช้สามารถแตะหน้าจอเลือกจุดโฟกัส และทำการบันทึกภาพได้ทันที รวมถึงเลือกใช้โหมดตั้งเวลาถ่ายภาพ เปิดตาราง 9 ช่อง โหมดถ่ายภาพชดเชยแสง และเลือกเปิด-ปิดแฟลชได้ทันที

558000010490626

ในส่วนของโหมดการถ่ายภาพจะมีให้เลือกหลักๆอยู่ด้วยกัน 3 ส่วนคือ โหมดถ่ายภาพปกติ โหมด Lens Blur ที่จะทำการถ่ายภาพ 2 ครั้งเพื่อให้พื้นหลังละลาย และวัตถุด้านหน้าชัด กับโหมดถ่าบภาพวิดีโอ ผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งค่าความละเอียด เลือกบันทึกพิกัดในการถ่ายภาพได้

558000010490627

สิ่งพิเศษทีเพิ่มเข้ามาใน IQ II คือเรื่องของ IQ Bonus ที่เป็นเหมือนสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าที่ใช้งาน i-mobile โดยจะมีการแสดงรายละเอียดส่วนลดต่างๆ ให้เข้าไปเลือกใช้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการสอบถามปัญหาการใช้งานเครื่อง และคุณสมบัติต่างๆของ i-mobile ได้ด้วย

558000010490629

คีย์บอร์ดที่ให้มาใน IQ II ถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานมีปุ่มกดสลับภาษาให้ใช้งานได้สะดวก การใช้งานทั้งแนวนอนและแนวตั้งสามารถใช้ป้อนข้อมูลได้เป็นอย่างดี รวมถึงระบบเดาคำที่ให้มาด้วย อย่างไรก็ตามถ้าไม่ชอบก็สามารถเข้าไปดาวน์โหลดคีย์บอร์ดอื่นจากสโตร์มาติดตั้งได้

558000010490630

ส่วนของการตั้งค่าเริ่มกันจากในส่วนของการเชื่อมต่อ เนื่องจากตัวเครื่องรองรับการใช้งาน 2 ซิม ดังนั้นผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งได้ว่าจะใช้ดาต้าจากซิมไหน และใช้การโทรจากซิมใดเป็นหลัก ตัวเครื่องสามารถใช้ปล่อยไวไฟฮ็อตสป็อตได้ตามปกติ

558000010490631

ถัดมาก็จะเป็นการตั้งค่าตัวเครื่องต่างๆ อย่างหน้าจอ เสียงเรียกเข้า จัดการพื้นที่เก็บข้อมูล แบตเตอรี แอปพลิเคชัน การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว และตั้งค่าระบบ โดยทั้งหมดจะเป็นไปตามมาตรฐานของแอนดรอยด์ 5.1.1 อยู่แล้ว

ทดสอบประสิทธิภาพ

558000010490632

มาถึงส่วนของผลการทดสอบ ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Quadrant Standart และ Antutu ได้คะแนน 6,452 คะแนน และ 21,483 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 5 จุดพร้อมกัน

558000010490633

ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo จากเว็บเบราว์เซอร์ได้ 1,519 คะแนน โครมเบราว์เซอร์ 1,974 คะแนน ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ (Metal) 843 คะแนน Multicore 1,195 คะแนน คะแนน Geek Bench 3 Single-Core 479 Multi-Core 1,384 คะแนน

ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรีต่อเนื่องอยู่ที่ 7 ชั่วโมง 10 นาที คิดเป็นคะแนนของ Geekbench 3 ได้ 2,867 คะแนน

558000010490634

ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม PCMark ในส่วนของ Work Performance ได้ 3,291 คะแนน 3D Mark ตัวSling shot ได้ 49 คะแนน Ice Storm Unlimited ได้ 4,360 คะแนน ส่วน Ice Storm Extream 2,559 คะแนน และ Ice Storm 5,273 คะแนน

ส่วน Passmark PerformanceTest Mobile ได้คะแนน System 2,880 คะแนน CPU 11,960 คะแนน Disk 23,254 คะแนน Memory 2,831 คะแนน 2D Graphics 2,308 คะแนน และ 3D Graphics 792 คะแนน

สรุป

กับราคาเปิดตัวที่ 4,444 บาท ถือว่า i-mobile ทำราคามาได้ค่อนข้างน่าสนใจ แก่ผู้บริโภคที่กำลังต้องการเปลี่ยนจากการใช้งานฟีเจอร์โฟน หรือสมาร์ทโฟน 3G มาใช้งานเครื่องรุ่นใหม่ที่รองรับ 4G กับประสิทธิภาพการใช้งานโดยรวมอยู่ในระดับทั่วๆไป

และด้วยการที่เป็น Android One ทำให้ทางกูเกิลระรับประกันการอัปเดตซอฟต์แวร์เพิ่มเป็น 2 ปี เช่นเดียวกับทาง i-mobile ที่จะเพิ่มระยะเวลารับประกันเครื่องเป็น 2 ปีด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นถ้ามองหาสมาร์ทโฟนในระดับราคาต่ำกว่า 5,000 บาท เน้นความคุ้มค่า IQ II ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจแน่นอน

ข้อดี

– ประสิทธิภาพกับตัวเครื่องราคาจับต้องได้ที่ 4,444 บาท
– มาตรฐาน Android One รับประกัน 2 ปี
– รองรับการใช้งาน 2 ซิม และการเชื่อมต่อ 4G

ข้อสังเกต

– ตัวเครื่องเน้นชูความเป็นแอนดรอยด์ วัน จนไม่มีจุดเด่นของไอโมบายเหลืออยู่
– RAM ที่ให้มา 1 GB อาจจะไม่เพียงพอกับการใช้งานในระยะยาว

Gallery

]]>
Review: LG G4 ไฮเอนด์ เครื่องสวย กล้องเด่น ราคาโดน! https://cyberbiz.mgronline.com/lg-g4/ Sun, 16 Aug 2015 22:33:34 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=18579

558000009592301

LG (แอลจี) เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการสมาร์ทโฟนได้อย่างน่าสนใจมาโดยตลอด โดยเฉพาะช่วงหลังกับการพัฒนาฟีเจอร์เด่นบนสมาร์ทโฟนแฟลกชิปตระกูล G-series ได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์ Knock on, Knock Code ไปถึงการตั้งเพดานราคาขายมาได้ถูกอกถูกใจผู้ใช้ในหลายประเทศจนในที่สุด LG ก็ได้รับเลือกจากกูเกิลให้เป็นผู้พัฒนาสมาร์ทโฟนตระกูล Nexus ถึง 2 ครั้งติดจนมาแจ้งเกิดในบ้านเราอย่างเป็นทางการเมื่อ 2 ปีที่แล้วพร้อมกับการมาของแฟลกชิป LG G3 ที่มาพร้อมจุดเด่นอย่างระบบรักษาความปลอดภัย Knock Code ไปถึงระบบออโต้โฟกัสด้วยแสงเลเซอร์

มาวันนี้ LG ก็พร้อมเปิดตัวสมาร์ทโฟนแฟลกชิปรุ่นใหม่อีกครั้งกับ “LG G4” ที่ในครั้งนี้นอกจากดีไซน์ที่โดดเด่นเพิ่มขึ้นแล้ว แอลจียังเน้นปรับแต่งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์กล้องมาได้อย่างน่าสนใจกับราคาที่ยังคงเป็นแนวทางของแอลจีอยู่เช่นเดิม

การออกแบบ

558000009592302

การออกแบบที่ต้องขอกล่าวถึงเป็นอันดับแรก เพราะครั้งนี้ LG ตั้งใจสร้างความแปลกใหม่ด้วยการออกแบบฝาครอบด้านหลังแบบตัดเย็บด้วยหนังแท้ เพิ่มจากฝาหลังแบบพลาสติก พร้อมสีสันที่มีให้เลือกถึง 6 เฉดสีได้แก่ สีน้ำตาล สีดำ สีแดง สีน้ำเงินอ่อน สีครีมและสีเหลือง ในขณะที่ฝาหลังแบบพลาสติกจะมีให้เลือก 3 สีได้แก่ สีทองอร่าม สีเทาเมทัลลิคและสุดท้ายสีขาวเซรามิก

สำหรับเครื่องที่ทีมงานได้รับมารีวิวในวันนี้จะเป็นรุ่นฝาหลังพลาสติกสีขาวเซรามิก เครื่องนำเข้าจากเกาหลี น้ำหนัก 155 กรัม

558000009592303

ในเรื่องหน้าจอแสดงผลแอลจียังคงเลือกใช้ขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้ว ความละเอียดหน้าจอ QuadHD (2,560 X 1,440 พิกเซล) เช่นเดียวกับ LG G3 แต่พาเนลจอมีการปรับเปลี่ยนเป็น IPS Quantum Display บนเทคโนโลยี In-cell Touch Display ที่ช่วยให้สีสันมีความสดใส สมจริงและได้ค่าคอนทราสต์ที่สูงขึ้นจากเดิม

กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียด 1,920×1,080 พิกเซลที่ความเร็ว 30 เฟรมต่อวินาที

558000009592305558000009592304

นอกจากนั้นด้านการออกแบบ แอลจียังได้ปรับการออกแบบตัวเครื่องด้วยแนวคิด Slim Arc Design ให้ตัวเครื่องมีความโค้ง เล็กน้อย เพื่อสอดรับกับสรีระการจับถือของผู้ใช้ อีกทั้งบริเวณใต้กระจกหน้าจอด้านหน้า แอลจีได้ลงลวดลายเป็น Texture ไว้รอบขอบหน้าจอทั้งหมด เวลาหน้าจอสะท้อนกับแสงไฟจะดูหรูหราไฮโซขึ้นมาก

558000009592306

ด้านหลังจะเป็นส่วนฝาหลังที่มีให้เลือกทั้งแบบพลาสติกและหนังแท้ มาพร้อมกล้องถ่ายภาพหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล (5,312×2,988 พิกเซล) รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K พร้อมเซนเซอร์เลเซอร์ออโต้โฟกัสแบบเดียวกับ LG G3 ที่ช่วยให้การจับโฟกัสภาพในที่แสงน้อยทำได้รวดเร็วขึ้น

ส่วนฮาร์ดแวร์กล้อง แอลจีเลือกใช้บริการเซนเซอร์รับภาพ SONY IMX234 ประกบเลนส์รูรับแสง f1.8 และระบบป้องกันภาพสั่นไหว 3 แกน Optical Image Stabilization (OIS) 2.0

ถัดไปจะเป็นที่อยู่ของไฟแฟลช LED พร้อมเซนเซอร์ COLOR SPECTRUM (CSS) ที่ช่วยในการวิเคราะห์สภาพแสงแวดล้อมและความถูกต้องของสีสันเพื่อช่วยในการปรับสมดุลแสงขาวให้ถูกต้องตามที่ตาเห็นเมื่อใช้ร่วมกับโหมดถ่ายภาพอัตโนมัติ

นอกจากนั้นบริเวณด้านหลังของ G4 ยังเป็นที่อยู่ของปุ่มคำสั่ง Rear Key ประกอบด้วย ปุ่มเปิด-ปิดเครื่องและปุ่มเพิ่ม-ลดระดับเสียง และลำโพงจะติดตั้งอยู่ใต้โลโก้ G4

558000009592307

จุดเด่นและเอกลักษณ์สำคัญ ซึ่งแอลจียังคงรักษาไว้ก็คือ ฝาหลังที่สามารถแกะออกพร้อมแบตเตอรีที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ นอกจากนั้นแอลจียังได้ติดตั้งช่องใส่การ์ดความจำ MicroSD สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเพิ่มความจุเครื่องได้สูงสุดถึง 2TB

558000009592308558000009592309558000009592310

มาดูขอบตัวเครื่อง ด้วยการที่แอลจีย้ายปุ่มกดสั่งงานไปไว้ด้านหลังทั้งหมด ขอบเครื่องซ้ายและขวาจึงค่อนข้างบางมาก เพราะไม่มีปุ่มกดมาเพิ่มความหนาให้ตัวเครื่อง แต่ด้านล่างของตัวเครื่องจะมีความหนาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพราะเป็นที่อยู่ของพอร์ตเชื่อมต่อ MicroUSB (รองรับ SlimPort 4K สำหรับเชื่อมต่อออกทีวีความละเอียด UHD) ไมโครโฟนและช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ส่วนของบนจะเป็นที่อยู่ของไมโครโฟนตัวที่สองและช่องยิงแสงอินฟาเรดเพื่อทำให้ G4 เป็นรีโมทควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านได้

สเปก

558000009592311

LG G4 เลือกใช้หน่วยประมวลผล 64 บิต Qualcomm Snapdragon 808 Hexa-core (6 แกน) ความเร็ว 1.44GHz สำหรับ 4 แกนแรก และ 1.82GHz สำหรับ 2 แกนหลัง ประกบกราฟิกชิป Adreno 418 แรมให้มา 3GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 32GB เหลือใช้งานจริงประมาณ 21.14GB (เครื่องทดสอบโมเดลเกาหลี) แบตเตอรีให้มา 3,000mAh พร้อมระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 5.1 Lollipop ครอบทับด้วย LG UX 4.0 รุ่นใหม่ล่าสุด

ในส่วนสเปกการรองรับเครือข่ายโทรศัพท์และอื่นๆ LG G4 รองรับ 3G และ 4G LTE ทุกเครือข่ายในประเทศไทย WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac Dual-band, DLNA, WiFi Direct บลูทูธ 4.0, GPS รองรับ GLONASS มี NFC และภาครับสัญญาณวิทยุ FM Stereo พร้อมชิปประมวลผลเสียง HiFi (รองรับการอ่านไฟล์เสียง FLAC, eAAC+ และ WAV

ด้านเซนเซอร์ภายในตัวเครื่องมีให้เลือกใช้ทั้ง Accelerometer, Gyroscope, Proximity, Compass และ Barometer พร้อมซอฟต์แวร์ตรวจจับก้าวเดิน

ฟีเจอร์เด่น

558000009592312

มาสำรวจจุดเด่นของเครื่อง เริ่มจาก LG UX 4.0 รุ่นใหม่ล่าสุดที่แอลจีออกแบบบนพื้นฐานระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 5.1 Lollipop จะเห็นถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจาก UX รุ่นก่อนหน้าที่อยู่บน LG G3 (รุ่นอัปเดตแอนดรอยด์ 5.0 Lollipop) เริ่มจากไอคอนทั้งหมดจะถูกปรับเป็นลักษณะ Flat Design แบนๆพร้อมสีสันที่สดใสมากขึ้น Background ถูกปรับให้มีความเป็นมินิมัลลิสต์ตามสมัยนิยม

558000009592313558000009592314

ด้านลูกเล่นก็มีการอัปเกรดให้มีความฉลาดมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่าง Smart Notice หรือ Widget ที่สามารถแจ้งเตือนสภาพอากาศ การเดินทาง ไปถึงแนะนำการปิดเปิดระบบการทำงานต่างๆได้ ฉลาดขึ้น เช่นในวันนี้ระบบคาดการณ์ว่าจะมีฝนตก ระบบจะแนะนำให้เรานำร่มติดตัวก่อนออกจากบ้าน เป็นต้น

ในส่วน Smart Bulletin และ LG Health จะมีการอัปเดตให้ใช้งานได้หลากหลายฟังก์ชันมากขึ้น คือจากเดิมเราจะสามารถดูสถิติการก้าวเดินในหนึ่งวันได้เท่านั้น แต่ใน UX 4.0 จะสามารถควบคุมการเล่นเพลง สามารถเปิดใช้รีโมทอินฟาเรดหรือรับชมปฏิทิน นัดหมายต่างๆได้จากส่วนนี้ทันที

558000009592315

นอกจากนั้นทางแอลจียังได้เพิ่มระบบ Samrt Settings เข้ามา เพื่อช่วยให้การปรับตั้งค่าระบบทำได้ฉลาดมากขึ้น โดยผู้ใช้สามารถตั้งค่าโปรไฟล์ต่างๆ เช่น เปิดปิดเสียง เลือก SSID เชื่อมต่อ WiFi ด้วยการอ้างอิงจาก GPS และสถานที่ที่เรากำหนดไว้

558000009592316

Event pocket เป็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาสำหรับการบันทึกนัดหมายในปฏิทินด้วยรูปแบบการลากและวาง (Drag and Drop) โดยเราสามารถเก็บนัดหมายจากที่ต่างๆเช่น เฟสบุ๊ก ในหน้าเว็บไซต์ เป็นต้น จากนั้นเมื่อผู้ใช้ต้องการบันทึกช่วงเวลานัดหมายลงในปฏิทิน ก็เพียงเลือกรายการจาก Event pocket และวางลงให้ตรงกับวันเวลาที่ต้องการบันทึกเท่านั้น

กล้องถ่ายภาพ

558000009592317

ถือเป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและเป็นจุดขายสุดของ LG G4 โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ที่แอลจีดึงความสามารถของ API กล้องบนแอนดรอยด์ Lollipop ออกมาใช้ได้เต็มประสิทธิภาพมากกว่าแบรนด์คู่แข่งหลายเจ้า

เริ่มกันตั้งแต่โหมดอัตโนมัติ ที่นอกจากจะได้ฮาร์ดแวร์ COLOR SPECTRUM เข้ามาช่วยจัดการค่าสีและสมดุลแสงสีขาวให้ตรงกับธรรมชาติแล้ว โหมดกล้องหน้ายังมาพร้อมระบบตรวจจับการลั่นชัตเตอร์ด้วยมือคล้าย Palm Selfie ด้วย

“เพียงแค่ผู้ใช้เปิดใช้งานกล้องหน้า จากนั้นเมื่อต้องการลั่นชัตเตอร์ ให้แบมือออกแล้วยกขึ้น ระบบจะตรวจจับฝ่ามือ ถ้าต้องการลั่นชัตเตอร์ 1 ครั้งให้กำมือลง 1 ครั้ง ส่วนถ้าต้องการถ่าย 4 ภาพ 4 แอ็คชัน ให้กำมือลง 2 ครั้งติดกัน

นอกจากนั้นระบบยังรองรับ Voice Shutter หรือระบบลั่นชัตเตอร์ด้วยเสียงพูดว่า Smile, Whiskey, LG หรือ Kimchi

558000009592318

มาถึงการถ่ายภาพด้วย ”Manual Mode” หรือโหมดถ่ายภาพแบบตั้งค่าด้วยตัวเอง ที่ในครั้งนี้แอลจีจัดเต็มใส่ฟีเจอร์มาแบบเดียวกับการปรับตั้งค่ากล้องมืออาชีพตั้งแต่ ปรับ ISO ความเร็วชัตเตอร์ White Balance ไปถึงการเลือกล็อคโฟกัส ล็อคค่าแสง และจุดเด่นที่สำคัญคือ รองรับการถ่าย RAW และ RAW+JPG ด้วย

558000009592319558000009592320

โดยขนาด RAW File ของ LG G4 ความละเอียด 16 ล้านพิกเซลจะตกไฟล์ละประมาณ 20MB ส่วน JPEG จะอยู่ที่ไฟล์ละประมาณ 6-7MB และ RAW File จาก G4 สามารถเปิดใช้งานร่วมกับโปรแกรมตกแต่งภาพได้ทั้งหมดเพราะเป็นนามสกุล .DNG

ตัวอย่างภาพจาก Manual Mode ตั้งถ่ายบนขาตั้งกล้อง โดยปรับความเร็วชัตเตอร์ไว้ที่ 15 วินาที เลือก ISO 50 และสุดท้ายไฟล์ถูกปรับแต่งผ่านโปรแกรม Adobe Lightroom CC

ทดสอบประสิทธิภาพ

558000009592321

แม้แอลจีจะเลือกใช้ซีพียูประมวลผลไม่โดดเด่นเหมือนคู่แข่งในตลาดแอนดรอยด์ที่ปัจจุบันเป็น Octa Core 64 บิต เกือบทั้งหมด แต่ในเรื่องผลคะแนนและการใช้งานจริงต้องถือว่า LG G4 ทำส่วนนี้ได้ดีไม่แพ้คู่แข่งอื่นๆในระดับเดียวกัน LG UX 4.0 ถูกปรับการทำงานมาได้ดีมาก ไม่พบอาการ UI หน่วงเหมือนสมัยเปิดตัว G3 แต่อย่างใด

558000009592322

ในส่วนการประมวลผลกราฟิก 3 มิติและการเล่นเกม ด้วยความเป็นไฮเอนด์โฟน LG G4 สามารถตอบสนองการเล่นเกมได้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นเกมกราฟิกหนักหรือเกมฆ่าเวลาต่างๆ อีกทั้งด้วยการที่แอลจีเลือกใช้ชิปกราฟิกรุ่นใหม่ทำให้ระบบรองรับการประมวลผล OpenGL ES 3.1 ได้สมบูรณ์แบบด้วย

558000009592323

มาถึงเรื่องแบตเตอรีกับชุดทดสอบสุดโหด Geekbench ก็ยังคงให้ผลลัพท์ไม่ต่างจากตอนทดสอบ G3 คือได้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง 47 นาที 20 วินาที และถ้าลองจับเวลาจากการใช้งานจริง (เล่นโซเชียล แชทไลน์ ท่องเว็บทั่วไป) จาก 100% ไปจนแบตเตอรีฟ้องขีดแดงจะได้เวลาใช้งานประมาณ 11-13 ชั่วโมง เท่ากับ LG G3

ในส่วนคุณภาพจากกล้องหลังที่ปรับแต่งใหม่ โดยภาพรวมคุณภาพไฟล์ภาพค่อนข้างน่าพอใจ โดยเฉพาะโหมด HDR ที่ให้ผลลัพท์ที่ดี ภาพที่ได้คมชัด ชัตเตอร์ทำงานรวดเร็ว แต่จะมีจุดสังเกตในเรื่องการถ่ายภาพกลางคืน ถ้าในภาพมีแหล่งกำเนิดแสงจากหลอดไฟ เช่น ไฟสปอร์ตไลท์ส่งตรงมายังกล้องหรือไฟจากหลอดไฟข้างถนน แสงเหล่านี้จะทำให้เกิดแฟร์เป็นเส้นพาดผ่านไม่สวยงามอย่างมาก

สำหรับ Manual Mode ถือเป็นโหมดถ่ายภาพมืออาชีพที่แอลจีทำได้ถึงมาก การปรับแต่งค่ากล้องทำได้ง่ายและให้ผลลัพท์ที่ดี แต่จะติดปัญหาอยู่อย่างเดียวคือ เวลาต้องการเปิดหน้ากล้องนานๆเพื่อเก็บภาพเส้นแสงไฟจากรถยนต์ที่วิ่งบนท้องถนน ด้วยค่ารูรับแสงแบบตายตัวที่ f1.8 ทำให้เมื่อเปิดชัตเตอร์นานระดับ 10 วินาที ภาพจะติดโอเวอร์ทันทีถ้าในอนาคตแอลจีจะใส่ ND Filter ลดแสงมาให้เหมือนกล้องคอมแพกต์จะช่วยได้มากทีเดียว

อีกข้อสังเกตที่พบเจอตลอดการทดสอบ LG G4 ก็คือ ระบบ OIS 2.0 กับโหมดวิดีโอที่ยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์นัก โดยปัญหาจะเกิดเมื่อเราถือ G4 ด้วยมือและเดินถ่ายหันกล้องไปมาในลักษณะ Handheld ตัวระบบกันสั่นจะทำให้ขอบภาพเกิดอาการขยับไปมาน่าปวดหัว

โดยจากการหาข้อมูลจากสื่อต่างประเทศหลายสำนักที่ได้ทดสอบจะพบปัญหาลักษณะเดียวกันทั้งหมด ก็คงต้องรอทางแอลจีออกเฟริมแวร์แก้ไขในอนาคตเหมือนกับปัญหาอื่นๆที่แอลจีเริ่มทยอยแก้ไขไปแล้วบางส่วน

สรุป

558000009592324

สำหรับราคาเปิดตัว LG G4 ฝาหลังพลาสติกอยู่ที่ 20,990 บาท ส่วนถ้าฝาหลังเป็นหนังแท้ราคาจะอยู่ที่ 21,990 บาท เรียกได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่มีราคาถูกที่สุดและเป็นตัวของตัวเองมากที่สุดในกลุ่มไฮเอนด์โฟนตอนนี้ ยิ่งถ้ามองในเรื่องความคุ้มค่าด้วยแล้ว LG G4 กินขาดทุกยี่ห้อ เพราะด้วยสเปกที่ถึงแม้จะไม่โดดเด่นเหมือนคู่แข่งอื่นๆแต่เรื่องการปรับการทำงานของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ แอลจีทำได้ดีมาก โดยเฉพาะ LG UX 4.0 ที่พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ฉลาดขึ้น แม้จะมีข้อผิดพลาดให้พบบ้างเล็กน้อย แต่เชื่อว่าแอลจีมีแผนจะปรับแก้ในอนาคต

นอกจากนั้นฟีเจอร์กล้องที่ดึงคุณสมบัติของแอนดรอยด์และฮาร์ดแวร์แบบ 64 บิตมาใช้งานได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ถือว่าเรื่องน่าสนใจที่คนรักการถ่ายภาพน่าจะชื่นชอบได้ไม่ยาก (ใครอยากถ่ายภาพ Slow Shutter บนสมาร์ทโฟน LG G4 มีให้เลือกใช้งานแล้ว)

สุดท้ายอยากให้ลองเปิดใจกับ LG G4 ทดลองใช้สักหนึ่งฟีเจอร์เด่นไม่ว่าจะเป็น กล้องถ่ายภาพด้วย Manual Mode, ฟังเพลงด้วยไฟล์ Lossless ร่วมกับหูฟัง QuadBeat 3 หรือทดลองใช้ LG UX 4.0 ร่วมกับดีไซน์ฝาหลังแบบหนังแท้ ผมเชื่อว่าคุณต้องตกหลุมรักไม่หนึ่งก็สองของฟีเจอร์เด่นที่ได้จาก LG G4 แน่นอน

ข้อดี

– ฝาหลังมีให้เลือกทั้งแบบหนังแท้และพลาสติก
– เป็นสมาร์ทโฟนไฮเอนด์ที่ถอดฝาหลัง เปลี่ยนแบตเตอรี เพิ่มการ์ดความจำได้
– กล้องปรับใหม่ได้ดี มี RAW File Manual Mode น่าสนใจ สามารถปรับแต่งได้แบบกล้องมืออาชีพ
– หน้าจอคมชัด และสีสดใสมากขึ้นจากรุ่นก่อน
– รองรับระบบชาร์จไฟเร็ว Quick Charge 2.0 แต่ต้องซื้ออะแดปเตอร์แยกต่างหาก

ข้อสังเกต

– ระบบกันภาพสั่นไหว OIS 2.0 กับโหมดวิดีโอยังทำงานไม่สมบูรณ์นัก ต้องรอการปรับแก้ไขจากแอลจีอีกครั้ง
– เวลาถ่ายภาพแสงไฟจากถนนตอนกลางคืน f1.8 กับแฟร์ที่มาจากเลนส์กล้องไม่สวยงาม

Gallery

]]>