Smartphones 2016 – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Sun, 25 Jun 2017 07:19:47 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : HUAWEI Mate 9 Pro รุ่นท็อป จอชัด พร้อมแรม 6GB https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-mate9-pro/ Sat, 11 Feb 2017 05:34:05 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=25245

headmarte9pro

ถือเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงกระแสดีต้อนรับปี 2017 จากหัวเว่ย โดยรุ่นแรกเริ่มทำตลาดไปตั้งแต่มกราคมคือ Mate 9 หน้าจอ Full HD 5.9 นิ้ว (ความจุ 64GB) ส่วนรุ่นที่สองกับพี่ใหญ่ตัวท็อปที่เรานำมารีวิว (เริ่มทำตลาดวันนี้) ก็คือ Mate 9 Pro ความจุ 128GB (ขายพร้อมกับรุ่นพิเศษ Mate 9 Porsche Design ความจุ 256GB) พร้อมการปรับเปลี่ยนหน้าจอและสเปกบางส่วน แต่จะเป็นส่วนใดติดตามต่อได้จากบทความรีวิวนี้

การออกแบบ

IMG_0878

IMG_0864

เริ่มจากการออกแบบ ถูกดีไซน์ให้แตกต่างจาก Mate 9 รุ่นเริ่มต้นแทบทุกส่วนตั้งแต่หน้าจอปรับเปลี่ยนไปใช้ Curved (ขอบจอโค้งทั้งสองด้าน) AMOLED Display ขนาด 5.5 นิ้ว พร้อมความละเอียดหน้าจอที่ 2,560×1,440 พิกเซล (ความหนาแน่นพิกเซล 534 พิกเซลต่อตารางนิ้ว) รวมถึงขนาดรูปทรงตัวเครื่องถูกออกแบบให้มีความโค้งมน เบาและบางกว่า Mate 9 รุ่นหน้าจอ 1080p ด้วยความบาง 7.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 169 กรัม และทั้งด้านหน้าและหลังจะครอบทับด้วยกระจกดูหรูหรากว่า

IMG_0875

ในส่วนปุ่มโฮมพร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Mate 9 Pro จะย้ายตำแหน่งมาติดตั้งใต้จอภาพพร้อมปุ่มฟังก์ชัน Back และ Recent Apps ขนาบอยู่ทั้งสองข้าง (ในภาพจะเห็นเป็นจุดสีขาว) แตกต่างจาก Mate 9 หน้าจอ 1080p ที่จะนำปุ่มโฮมและเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ด้านหลังตัวเครื่อง ส่วนปุ่มฟังก์ชันจะใช้เป็นปุ่มเสมือนจากตัวระบบปฏิบัติการแทน

IMG_0866

IMG_0870

ด้านหลัง ถูกออกแบบมาให้ขอบเครื่องโค้งมนรับกับหน้าจอด้านหน้า ส่วนกล้องถ่ายภาพหลัก LEICA (ไลก้า) ถูกติดตั้งในตำแหน่งเดิม พร้อมไฟแฟลช LED แบบทูโทนและระบบออโต้โฟกัส Phase/Contrast Detection + Laser Auto Focus และ Depth Auto Focus รวมถึงมีระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS โดยสเปกทั้งหมดเหมือนกับ Mate 9 ทุกรุ่น

IMG_0879

ขวา เป็นปุ่มเพิ่มลดเสียงและปุ่มเปิดปิดเครื่อง

IMG_0881

ซ้าย เป็นช่องใส่ซิมการ์ดแบบ 2 ช่อง รองรับ Dual Sim แต่ Mate 9 Pro จะไม่รองรับการใส่การ์ด MicroSD เพิ่มความจุเครื่อง

IMG_0880

บน เป็นที่อยู่ของ “อินฟาเรด (IR)” สำหรับนำ Mate 9 มาใช้แทนรีโมทควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านได้

IMG_0882

ล่าง เริ่มจากซ้ายมือสุดเป็นช่องรับเสียงไมโครโฟน ช่องเชื่อมต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร พอร์ต USB-C และลำโพง (เป็นสเตอริโอทำงานร่วมกับช่องลำโพงฟังเสียงสนทนา – ต้องใช้งานในแนวนอน)

สเปกและซอฟต์แวร์

spec-mate9p

ในส่วนสเปกจะเหมือนกับ Mate 9 ทุกรุ่นคือใช้หน่วยประมวลผล HUAWEI Kirin 960 Octa-core แบ่งความเร็วเป็น 4 แกนแรก 2.4GHz และ 4 แกนชุดหลัง 1.8GHz พร้อม i6 co-processor และกราฟิก Mali-G71 MP8

แรม เพิ่มเป็น 6GB เพื่อให้เพียงพอต่อหน้าจอความละเอียด 2K โดยเมื่อเริ่มระบบพร้อมใช้งานจะเหลือแรมให้ใช้ประมาณ 3.6-4GB ส่วนรอมมีความจุเดียวคือ 128GB เหลือใช้งานจริงประมาณ 108GB (เฟริมแวร์ใช้ไป 15.75GB)

ด้านสเปกฮาร์ดแวร์อื่นๆจะเหมือนกับ Mate 9 ทุกรุ่น ตั้งแต่ความละเอียดกล้อง 20+12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f1.19 กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล f1.9 รองรับ 3G/4G ทุกคลื่นความถี่ในบ้าน รวมถึงรองรับการเชื่อมต่อ NFC พร้อมแบตเตอรี 4,000mAh

home-mate9p

ในส่วนซอฟต์แวร์ขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการ Android 7.0 และ EMUI 5.0 แบบเดียวกับ Mate 9 ทุกรุ่น เพราะฉะนั้นทีมงานจะไม่ขอเจาะลึกรายละเอียดในส่วนนี้ เนื่องจากได้เขียนไปทั้งหมดแล้วจากรีวิว Huawei Mate 9 >คลิกอ่านที่นี่< 

ทดสอบประสิทธิภาพ

bench1-mate9p

bench2-mate9p

มาถึงการทดสอบประสิทธิภาพ ยอมรับว่าในครั้งแรกที่ได้สัมผัส Mate 9 Pro ในใจแอบคิดว่า แรม 6GB อาจทำให้เครื่องแรงและลื่นไหลกว่า Mate 9 รุ่นหน้าจอ 1080p แต่เมื่อทดลองใช้งานรวมถึงทดสอบด้วยชุดซอฟต์แวร์ต่างๆแล้วพบว่า ประสิทธิภาพไม่แตกต่างกันจนกลายเป็นข้อสังเกตสำคัญได้ แรม 6GB ถูกใช้ไปกับหน้าจอที่มีความละเอียดเพิ่มขึ้น ทำให้จำนวนแรมที่เหลือไม่แตกต่างจาก Mate 9 ทุกรุ่น รวมถึงประสิทธิภาพที่ไม่ทิ้งห่างกันมากนัก

จุดที่แตกต่างจริงๆนอกจากความจุเริ่มต้น 128GB แล้ว น่าจะอยู่ที่จอภาพ 2K AMOLED ใน Mate 9 Pro ที่ให้สีสันและความสว่างเหนือกว่า Mate 9 หน้าจอ 1080p ค่อนข้างมาก รวมไปถึงการออกแบบและกระจกจอภาพใน Mate 9 Pro จะดูหรูหรากว่า Mate 9 มากมายเช่นกัน

batt-mate9p

ส่วนแบตเตอรี ทดสอบโดย PC Mark (เปิดหน้าจอและซีพียูประมวลผลตลอด) พบว่าอยู่ที่ 8 ชั่วโมง 3 นาที (แบตเตอรีเหลือประมาณ 13%) ถ้าใช้ต่อเนื่องไปอีกจนแบตเตอรีหมดจะอยู่ประมาณ 12 ชั่วโมง ส่วนถ้าใช้งานปกติทั่วไปแบตเตอรีน่าจะใช้ได้ต่อเนื่องไปถึง 20 กว่าชั่วโมงสบายๆ เรียกได้ว่าอึดแบบเดียวกับ Mate 9 ทุกรุ่นเลย

IMG_20170208_152320

IMG_20170208_162813IMG_20170209_064731_1

สุดท้ายกับการทดสอบกล้องถ่ายภาพ LEICA เหมือนกับ Mate 9 ทุกอย่าง โดยผู้อ่านสามารถเข้าไปรับชมภาพเพิ่มเติมได้จากรีวิว “11 ภาพเค้นประสิทธิภาพกล้อง LEICA บน HUAWEI Mate 9” >คลิกอ่านที่นี่< 

สรุป

IMG_0893

HUAWEI Mate 9 Pro (แรม 6GB/รอม 128GB) ราคาอยู่ที่ 27,900 บาท มีให้เลือก 2 สี Titanium Grey และ Haze Gold ส่วนรุ่นพิเศษ Mate 9 Porsche Design (แรม 6GB/รอม 256GB – ขายจำนวนจำกัดแค่ 800 เครื่อง) ราคาอยู่ที่ 49,900 บาท

เรียกได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นท็อปที่หัวเว่ยเน้นขายความหรูหราและสเปกหน้าจอที่ดีกว่า Mate 9 รุ่นเริ่มต้นหน้าจอ 1080p (23,900 บาท) เป็นหลัก เพราะในส่วนประสิทธิภาพถือว่าไม่แตกต่างกันจนเป็นประเด็นในต้องกล่าวถึง ใครมีงบประมาณจำกัด การเลือกซื้อ Mate 9 รุ่นหน้าจอ 1080p ไม่ได้หมายความว่าจะได้เครื่องที่แรงน้อยกว่า Mate 9 Pro แต่อย่างใด เพราะสเปกหักลบจริงๆแล้วก็ถือว่าเท่ากันหมด ยกเว้นคนที่ชอบสีสันของหน้าจอ AMOLED อาจต้องขยับไป Mate 9 Pro เท่านั้น เนื่องจาก Mate 9 รุ่นจอ 1080p IPS LCD สีสันและความสว่างถือว่าเป็นรอง Mate 9 Pro ค่อนข้างมากเลยทีเดียว

ข้อดี

– หน้าจอสว่าง สดใส สีสดกว่า Mate 9 รุ่นจอ 1080p
– ตัวเครื่องจับกระชับมือดี

*นอกนั้นข้อดีเหมือนกับรีวิว Mate 9 รุ่นหน้าจอ 1080p ทั้งหมด

– Machine Learning, EMUI 5.0, Android 7.0 และซีพียูตัวใหม่ทำงานสอดประสานระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้ดีมาก
– ระบบอ่านเขียนข้อมูลมาตรฐานใหม่ UFS 2.1 ทำงานได้รวดเร็ว
– กล้องไลก้ารุ่นที่ 2 ให้คุณภาพไฟล์ที่ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะระบบไฮบริดซูม 2 เท่า
– โหมดกล้องใช้งานง่ายและทรงประสิทธิภาพไม่ต่างจากกล้องโปร
– ไมโครโฟน 4 ตัวรับเสียงได้คมชัดดี
– งานออกแบบดูพรีเมียมมากขึ้น ปัญหาจับตัวเครื่องใช้งานไม่ถนัดที่เกิดขึ้นใน Mate 8 ถูกแก้ไขแล้ว
– Huawei Diamond Service บริการหลังการขายของหัวเว่ยน่าสนใจมาก (ใครเคยใช้บริการรบกวนเขียนความเห็นลงช่องคอมเมนต์ให้ด้วย)

ข้อสังเกต

*เหมือนกับรีวิว Mate 9 รุ่นหน้าจอ 1080p ทั้งหมด

– ระบบออโต้โฟกัสและอาการชัตเตอร์แลคยังมีให้พบเห็นบ้าง
– คุณภาพการถ่ายวิดีโออยู่ในระดับพอใช้ ระบบป้องกันภาพสั่นไหวยังทำได้ไม่ดีนัก
– ระบบแจ้งเตือนที่ไอคอนแอปฯ (ตัวเลขบอกข้อความเข้ามา) บางครั้งไม่แสดงผล

Gallery

]]>
Review : HUAWEI Mate 9 พรีเมียมสมาร์ทโฟน เด่นที่กล้องคู่ไลก้า ราคาโดนใจ https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-mate9/ Wed, 28 Dec 2016 06:05:54 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=24795

198333141

HUAWEI Mate 9 ถือเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงกระแสแรงส่งท้ายปี 2016 เริ่มตั้งแต่สเปก ฟีเจอร์เด่น ไปถึงราคาเปิดตัว 3 ระดับ (เริ่มต้น 23,900 บาท) จนสร้างความร้อนแรงให้กับกลุ่มสมาร์ทโฟนเรือธงไม่ต่างจากช่วงเปิดตัว HUAWEI P9/P9+

มาวันนี้ทีมงานไซเบอร์บิซก็ได้รับ HUAWEI Mate 9 มาทดสอบส่งท้ายปี ใครกำลังสนใจสามารถติดตามอ่านรีวิวได้จากบทความนี้

การออกแบบ

IMG_0411

IMG_0428

สำหรับ Mate 9 รุ่นที่นำมาทดสอบเป็นรุ่นเริ่มต้น สีแชมเปญโกลด์ ตัวเครื่องถูกจัดอยู่ในกลุ่มสมาร์ทโฟนเรือธงเน้นความหรูหราเหนือกว่า P9/P9+ มาพร้อมหน้าจอ IPS LCD ขนาดใหญ่ 5.9 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1080p ความละเอียดพิกเซลหน้าจออยู่ที่ 373 พิกเซลต่อตารางนิ้ว โดยกระจกจอใช้แบบ 2.5D

ส่วนอีก 2 รุ่นที่จะทำตลาดในเดือนมกราคม 2017 ได้แก่ Mate 9 Pro และ Mate 9 Porsche Design จะใช้หน้าจอ Curved Screen (ขอบจอโค้ง) ขนาด 5.5 นิ้ว AMOLED Display พร้อมความละเอียด 2K

กล้องหน้า – ปรับปรุงใหม่ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ออโต้โฟกัสพร้อมรูรับแสงกว้าง f1.9

IMG_0435

ด้านขนาดตัวเครื่อง กว้าง 78.9 มิลลิเมตร สูง 156.9 มิลลิเมตร หนา 7.9 มิลลิเมตร น้ำหนักประมาณ 190 กรัม โดยในรุ่นเริ่มต้นขอบเครื่องจะใช้วัสดุเป็นโลหะ น้ำหนักถูกออกแบบให้กระจายสมดุลทุกส่วน ทำให้เวลาจับถือทำได้ถนัดมือแม้ไม่ได้ใส่เคส

IMG_0415

IMG_0401

ด้านหลังเป็นโลหะทั้งหมด มาพร้อมกล้องหลังเลนส์คู่ (Dual Lens) LEICA (ไลก้า) รุ่นที่ 2 พัฒนาต่อจาก P9/P9+ พร้อมเลนส์ SUMMARIT-H ระยะ 27 มิลลิเมตร รูรับแสง f2.2

ในส่วนเลนส์คู่ หัวเว่ยแบ่งหน้าที่กันทำงาน โดยเลนส์และเซ็นเซอร์รับภาพตัวแรกจะรับภาพขาว-ดำ (Monochrome) ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ส่วนเลนส์และเซ็นเซอร์ตัวที่สองความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รับภาพสี RGB เมื่อทำงานร่วมกันสามารถถ่ายภาพที่ความละเอียดสูงสุด 20 ล้านพิกเซลได้ รวมถึงสามารถทำภาพหน้าชัดหลังเบลอและซูมภาพแบบ Hybrid Zoom ไม่สูญเสียรายละเอียดได้ถึง 2 เท่า รวมถึงรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 4K ด้วย

ถัดจากกล้องหลักไปทางขวามือจะเป็นส่วนระบบออโต้โฟกัส โดยหัวเว่ยปรับไปใช้ Phase/Contrast Detection + Laser Auto Focus และ Depth Auto Focus พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS (Optical image stablization) เรียกได้ว่าเป็นออโต้โฟกัสแบบไฮบริดที่หัวเว่ยพัฒนาใหม่เพื่อ Mate 9 โดยเฉพาะ

ส่วนด้านซ้ายเป็นไฟแฟลช Dual LED แบบทูโทน

IMG_0429

ลงมาด้านล่างจะเป็นส่วนเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือที่ถูกปรับปรุงให้อ่านลายนิ้วมือได้รวดเร็วขึ้น

ด้านบน สังเกตจากภาพจะเห็นเป็นรูวงกลมสีดำขนาดเล็ก ส่วนนั้นคือช่องไมโครโฟนรับเสียง สำหรับงานถ่ายวิดีโอ โดยใน Mate 9 จะมาพร้อมไมโครโฟนรับเสียงรอบตัวเครื่อง 4 ตัว และผู้ใช้สามารถเลือกปรับใช้ไมโครโฟนตัวหลัง (Directional microphone) เพื่อรับเสียงสนทนาที่ชัดเจนขึ้นได้

IMG_0426

มาถึงช่องเชื่อมต่อและปุ่มกดรอบตัวเครื่อง เริ่มจากด้านล่างของตัวเครื่อง ตรงกลางเป็นพอร์ต USB-C ซ้ายและขวาเป็นส่วนของไมโครโฟนและลำโพง

IMG_0431

โดยลำโพงใน Mate 9 จะทำงานร่วมกับลำโพงบริเวณช่องลำโพงโทรศัพท์ ให้เสียง 2 ย่าน โดยลำโพงด้านล่างตัวเครื่องให้เสียงเบส ส่วนลำโพงบริเวณช่องฟังเสียงโทรศัพท์ให้เสียงแหลม และเมื่อใช้งานเครื่องในแนวนอนลำโพงทั้ง 2 สามารถให้เสียงสเตอริโอได้

IMG_0422

ด้านบน เป็นช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร และพอร์ตอินฟาเรด สามารถเปลี่ยน Mate 9 เป็นรีโมทควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านได้

IMG_0424

IMG_0433

ด้านซ้าย เป็นที่อยู่ของช่องใส่ซิมและ MicroSD Card ระบบโทรศัพท์รองรับ Nano Sim แบบสองซิม โดยซิมแรกจะรองรับ 4G/3G/2G ส่วนช่องใส่ซิมที่สองรองรับ 2G/3G และต้องใช้ร่วมกับช่องใส่ MicroSD Card รองรับความจุสูงสุด 256GB

IMG_0423

ด้านขวา เป็นที่อยู่ของปุ่มเปิดปิดเครื่องและปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง และถ้าสังเกตให้ดี บริเวณขอบเครื่องทั้งซ้ายและขวาจะเป็นที่อยู่ของเสาโทรศัพท์ด้วย

IMG_0397

IMG_0396

มาดูในส่วนอะแดปเตอร์ชาร์จไฟกันบ้าง ใน Mate 9 หัวเว่ยให้อะแดปเตอร์ชาร์จไฟแบบเร็ว HUAWEI SuperCharge ที่สามารถจ่ายไฟได้สูงสุด 5V 4.5A เพื่อให้การชาร์จไฟเข้าแบตเตอรีขนาดใหญ่ 4,000mAh ทำได้รวดเร็วพร้อมระบบควบคุมแรงดันไฟช่วยให้ปลอดภัย

super-charge-mate9

และจากการทดสอบของทีมงานได้ลองชาร์จไฟผ่านระบบ SuperCharge จาก 7% ถึง 72% จะใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น หลังจากนั้นอะแดปเตอร์จะเริ่มปล่อยไฟน้อยลง กว่าจะชาร์จไฟเต็ม 100% ก็ใช้เวลาอีกพักใหญ่

IMG_0438

สุดท้ายในส่วนของแถมก็เป็นไปตามสไตล์หัวเว่ย คือในแพกเกจจะแถมฟิล์มกันรอยหน้าจอและเคสพลาสติกมาให้พร้อมประกัน Huawei Diamond Services ที่มีจุดเด่นในเรื่องบริการใหม่ที่หัวเว่ยจะส่งคนมารับโทรศัพท์ไปซ่อมถึงหน้าบ้านเราและบริการเปลี่ยนจอแตกให้ฟรีใน 3 เดือนแรกหลังซื้อเครื่อง

สเปก

spec-mate9

สำหรับ HUAWEI Mate 9 ทุกรุ่นจะขับเคลื่อนด้วยซีพียู HUAWEI Kirin 960 Octa-Core แบ่งเป็น 4 แกนแรกความเร็ว 2.4GHz ส่วน 4 แกนหลังความเร็ว 1.8GHz กราฟิกชิป Mali-G71 MP8 รองรับ Vulkan API พร้อมแรม 4GB รอม 64GB แบบ UFS 2.1 (เหลือพื้นที่ใช้งานจริงประมาณ 49GB)

ในส่วน HUAWEI Mate 9 Pro และ Mate 9 Porsche Design จะมาพร้อมแรม 6GB พร้อมรอม 128GB ในรุ่น Pro และ 256GB ในรุ่น Porsche Design ซึ่งถือเป็นรุ่นท็อปสุดของตระกูล

มาถึงเรื่องการเชื่อมต่อเครือข่าย Mate 9 รองรับ 2G/3G/4G ทุกเครือข่ายในไทย โดย 4G รองรับ LTE-Advanced Cat.12 600Mbps รวมถึงรองรับการรวมคลื่นความถี่ได้สูงสุด 4CA เหลือเฟือสำหรับการใช้งาน 4G ในบ้านเรา

ส่วน WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11a/b/g/n/ac แบบ Dual Band 2.4/5GHz บลูทูธรองรับรุ่น 4.2, มี NFC, GPS รองรับ Glonass/Galileo/BDS และในส่วนของการถอดรหัสไฟล์เสียง เรียกว่าหัวเว่ยจัดเต็มตั้งแต่ไฟล์ MP3, MIDI, AMR-NB, AAC, AAC+, eAAC+, AMR-WB, WMA2-9, RA, PCM, OGG, and FLAC สามารถเล่นไฟล์เสียงตั้งแต่ MP3 ไปถึงไฟล์ Lossless คุณภาพสูง

ด้านระบบปฏิบัติการเป็นแอนดรอยด์ 7.0 (Nougat) จากโรงงานพร้อม EMUI 5.0

ยูสเซอร์อินเตอร์เฟสและฟีเจอร์เด่น

home-mate9

notic-mate9

เริ่มจากส่วนยูสเซอร์อินเตอร์เฟส EMUI 5.0 บนแอนดรอยด์ 7.0 เรียกได้ว่าถูกปรับปรุงด้านความเสถียร ความลื่นไหลและความเรียบร้อยที่ดีขึ้นจากเดิมมาก โดยเฉพาะส่วน Notifications/Quick Settings ที่ใช้งานได้หลากหลาย การแจ้งเตือนเกี่ยวกับระบบทำได้ชัดเจน ช่วยเหลือผู้ใช้ดีมาก

นอกจากนั้นตัวระบบซอฟต์แวร์ยังทำงานสอดประสานกับฮาร์ดแวร์ที่หัวเว่ยเป็นผู้พัฒนาด้วยตัวเองได้ดีขึ้น การมาของระบบ Machine Learning ทำให้ตัว Mate 9 สามารถเรียนรู้การใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนได้ จากนั้นระบบจะปรับแต่งฮาร์ดแวร์ตามการใช้งานเพื่อประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงานที่ทำได้สูงสุด

และนอกจากนั้น EMUI 5.0 ใน Mate 9 ยังสามารถเรียนรู้รูปแบบการใช้งานแอปฯของผู้ใช้และจัดลำดับความสำคัญทำให้การเปิดปิด สลับใช้งานแอปฯต่างๆในตัวเครื่องทำได้ลื่นไหล ไม่สะดุด โดยเฉพาะการเคลียร์แรมที่ทำได้ฉลาดและรวดเร็วโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องจัดการด้วยตัวเอง ระบบทุกอย่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์จะเป็นตัวจัดการให้อัตโนมัติ

data-mate9

มาถึงฟีเจอร์เด่นใน EMUI 5.0 กันบ้าง ขอคัดมาเฉพาะที่โดดเด่น เริ่มจากระบบโอนถ่ายข้อมูล (Data transfer) จากสมาร์ทโฟนเครื่องเก่า ที่ผู้ใช้สามารถย้ายข้อมูลได้ง่ายจากทั้ง iOS และ Android ด้วยกันเอง หรือจะสำรองข้อมูลผ่านบริการคลาวด์ HiCloud จากหัวเว่ยก็สามารถทำได้เช่นกัน

ในส่วนระบบใช้งาน มีโหมด Minimal มาให้ในชื่อ Simple Mode และผู้ใช้สามารถสร้างบัญชีใช้งานได้มากกว่า 1 บัญชีสำหรับการใช้งานที่มีความเป็นส่วนตัวสูงพร้อม Private Space

split-mate9-1

split-mate9-2

Multitasking ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้งาน 2 แอปฯพร้อมกันได้ในหนึ่งหน้าจอ

remote-mate9

Smart Controller (รีโททอินฟาเรด) เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่หัวเว่ยพัฒนามาได้ดีเยี่ยม เพราะในแอปฯนอกจากจะสามารถโคลนรีโมททีวี แอร์ ได้แล้ว ผู้ใช้ยังสามารถโคลนรีโมทสั่งงานกล้องถ่ายภาพแต่ละรุ่นได้ด้วย

apptwin-mate9

App twin เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้ที่มีบัญชีโซเชียล เช่น เฟสบุ๊ก 2 บัญชี เพราะเมื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ ระบบจะสร้างแอปฯซ้อนขึ้นมา (โดยจะมีเลข 2 พิมพ์กำกับไว้) ผู้ใช้สามารถเลือกล็อกอินแอปฯดังกล่าวได้พร้อมกัน 2 บัญชี

batteryapps-mate9

Battery เป็นจุดเด่นมานานสำหรับหัวเว่ย เพราะส่วนของ Battery นอกจากจะใช้ตรวจดูการบริโภคพลังงานของแอปฯในเครื่องได้แล้ว ตัวแอปฯยังมีระบบตรวจจับ Background Apps ที่แอบบริโภคพลังงานอยู่เบื้องหลังพร้อมแจ้งเตือนผู้ใช้ให้ทราบด้วย

voice-rec-mate9

Sound Recorder เพราะ Mate 9 มาพร้อมไมโครโฟนรับเสียง 4 ตัวทำให้การบันทึกเสียงทำได้หลากหลายมากขึ้น ตั้งแต่บันทึกการประชุม สัมภาษณ์ (ใช้ไมโครโฟน 2 ตัว) หรือบันทึกเสียงปกติ ทุกอย่างสามารถเลือกตามการใช้งานได้ผ่านแอปฯบันทึกเสียงนี้

health-mate9

Health ไว้ใช้สำหรับนับก้าวเดิน คำนวณการเผาผลาญแคลอรี่

setup-mate9-1

สุดท้ายในส่วนตั้งค่า หัวเว่ยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ปรับแต่งการใช้งานได้หลากหลายตั้งแต่ส่วน Navigation Buttons ปรับอุณหภูมิสีหน้าจอ ไปถึงเปิดปิดระบบช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกต่างๆ

UI กล้องถ่ายภาพ

camera1-mate9

camera2-mate9

ทุกอย่างยังคงเหมือนกับ HUAWEI P9/P9+ เพราะหัวเว่ยและไลก้าร่วมกันพัฒนาเช่นเดิม โดยอินเตอร์เฟสของกล้องจะใช้เอกลักษณ์ของไลก้าตั้งแต่ฟอนต์ตัวอักษรไปถึงเสียงชัตเตอร์

ส่วนโหมดกล้องก็มีให้เลือกหลากหลายตั้งแต่ Photo ถ่ายปกติ Monochrome ขาวดำ โหมดบิวตี้เน้นหน้าเด้ง หน้าใส HDR, Night Shot เป็นต้น

โดยส่วนที่เพิ่มขึ้นมาก็คือระบบซูมภาพแบบไฮบริด 2 เท่า แต่มีข้อแม้ว่าต้องเลือกความละเอียดภาพ 12 ล้านพิกเซล ระบบถึงจะทำงาน

ส่วน Manual Mode และระบบจำลองสีเอกลักษณ์ของไลก้า มีการปรับปรุงให้ใช้งานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงความลื่นไหลที่ดีกว่าเดิม ส่วน RAW สามารถถ่ายได้เมื่ออยู่ใน Manual Mode เท่านั้น โดยตัวไฟล์ เมื่อเปิดใช้ RAW จะถ่ายได้ที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และรูปแบบไฟล์ที่ได้จะเป็น RAW+JPEG

IMG_20161218_082218

ภาพตัวอย่างซูม 2 เท่าพร้อมเปิดใช้ฟีเจอร์ Wide Aperture ทำหน้าชัดหลังเบลอ โดยจำลองรูรับแสง f0.95

widea-mate9

ด้านฟีเจอร์ Wide Aperture มีให้เลือกใช้เหมือน P9/9P+ โดยการทำงานกล้องจะถ่ายภาพไปก่อนหลังจากนั้นเราสามารถเลือกจุดโฟกัสที่หลังได้พร้อมละลายฉากหลังด้วยการจำลองรูรับแสงกว้างตั้งแต่ f0.95 เป็นต้นไป

ทดสอบประสิทธิภาพ

bench1-mate9

AnTuTu Benchmark = 125,052 คะแนน

PCMark
Work 2.0 = 6,297 คะแนน
Computer Vision = 3,240 คะแนน
Storage = 9,719 คะแนน

3DMark
Sling Shot Extreme = 1,952 คะแนน
Sling Shot = 2,262 คะแนน
Ice Storm Unlimited = 26,485 คะแนน

Geekbench 4
Single-Core = 1,937 คะแนน
Multi-Core = 5,512 คะแนน

bench2-mate9

Vellamo
Multicore = 4,094 คะแนน
Metal = 3,356 คะแนน
Chrome Browser = 6,248 คะแนน

PassMark PerformanceTest Mobile
System = 9,092 คะแนน
CPU Tests = 230,257 คะแนน
Disk Tests = 99,097 คะแนน
Memory Tests = 13,193 คะแนน
2D Graphics Tests = 10,184 คะแนน
3D Graphics Tests = 1,860 คะแนน

Multi-Touch Test = 10 Point

ในส่วนทดสอบประสิทธิภาพ เรื่องผลคะแนนคงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะ Mate 9 คือเรือธงเพราะฉะนั้นประสิทธิภาพที่ได้ย่อมอยู่ระดับบนสุดอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าสนใจและหัวเว่ยทำได้ดีมากก็คือ ส่วนของการจัดการภายใน ทั้งส่วนของระบบ Machine Learning เองก็ดีหรือส่วนระบบจัดการแบตเตอรีที่ถูกปรับปรุงมาดีกว่าเดิมมาก แอปฯทุกตัวทำงานได้ลื่นไหลมาก แม้จะเปิด Background Apps ไว้มากมายเพียงใด แต่ระบบทำงานได้ไม่สะดุดเลย

อีกหนึ่งส่วนที่ถือเป็นจุดเด่นมากก็คือ รอมหรือหน่วยเก็บข้อมูลภายในที่ทำงานภายใต้มาตรฐาน UFS 2.1 สามารถอ่านเขียนข้อมูลได้รวดเร็วระดับ 100-600MB/s สร้างความประทับใจให้ทีมงานอย่างมาก

นี่ขนาดเป็นแค่ Mate 9 รุ่นเริ่มต้น ถ้าเป็นรุ่น Pro คงให้ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกว่านี้อีกระดับหนึ่ง เพราะรุ่นนั้นมาพร้อมแรม DDR4 มากถึง 6GB

battery-test-mate9

มาดูในส่วนแบตเตอรี ทดสอบแบบหนักหน่วง (เปิดหน้าจอตลอดการทดสอบ) ด้วยแอปฯ Geekbench 3 พบว่าสามารถทำเวลาใช้งานได้ยาวนาน 10 ชั่วโมง 37 นาที หรือถ้าคิดเป็นเวลาใช้งานของคนปกติทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 15-18 ชั่วโมง ถือว่าอยู่ระดับเดียวกับคู่แข่งอย่าง iPhone 7 Plus ได้สบายๆ

ทดสอบกลัองหลัง LEICA รุ่นที่ 2

IMG_20161224_085639

ระยะ 27 มิลลิเมตร

IMG_20161224_085644

ระยะซูม 2 เท่า

การซูมภาพแบบไฮบริด 2 เท่าสามารถทำได้เมื่อตั้งความละเอียดภาพที่ 12 ล้านพิกเซล เพราะระบบไฮบริดซูมจะใช้วิธีการครอปเซ็นเซอร์ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล จากนั้นจะใช้ระบบช่วยเพิ่มความคมชัดของภาพทำให้ภาพที่ถูกซูมจะยังให้รายละเอียดที่ดีอยู่

IMG_20161220_080836

สำหรับกล้อง LEICA รุ่นที่ 2 หลังจากทดสอบใช้งานร่วมอาทิตย์ เรื่องของโทนภาพถือว่ายังคงเอกลักษณ์เดิมเหมือน P9/P9+ คือภาพจะติดคอนทราสต์ที่จัดจ้าน ส่วนเรื่องความสดของสีจะน้อยว่า P9/P9 Plus แต่สิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นมาคือรายละเอียดของภาพ ไดนามิกที่ดีขึ้น โดยเฉพาะ RAW ที่นำไปต่อยอดได้ไกลกว่าเดิม รวมถึงฟิลเตอร์สี Vivid Colors ที่ปรับปรุงให้โทนที่สวยใสขึ้น

ส่วนเรื่องความละเอียดภาพผู้อ่านอาจกำลังสับสนว่าสรุปแล้ว Mate 9 ใช้กล้องความละเอียดเท่าไร ทีมงานขอเรียนตามตรงว่า ความละเอียดมาตรฐานสำหรับรูปสีจะอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่สามารถใช้ฟีเจอร์ของกล้องถ่ายภาพได้ครบถ้วนทั้งหมด แต่ผู้ใช้สามารถตั้งความละเอียดเป็น 20 ล้านพิกเซลได้ เพียงแต่โหมดซูมและฟีเจอร์บางตัวจะไม่ทำงาน

ส่วนภาพขาวดำ (Monochrome) จะมีความละเอียดอยู่ที่ 20 ล้านพิกเซล (แต่ระบบซูมจะใช้ได้แต่ดิจิตอลซูมเท่านั้น) ซึ่งโทนภาพผมมองว่ายังเหมือนกับ P9/P9+ ไม่แตกต่างเท่าใด

มาถึงจุดเด่นหนึ่งของระบบกล้องของ HUAWEI/LEICA ที่น่าชื่นชมมาตั้งแต่ P9/P9 Plus ก็คือโหมดแมนวลที่ปรับแต่งได้เหมือนกล้อง DSLR ตั้งแต่ความเร็วชัตเตอร์ที่สามารถลากได้ยาวนานถึง 30 วินาที ไปถึงระบบวัดแสงและโฟกัสที่จัดมาให้แบบเต็มระบบ (ดูตัวอย่างภาพที่ผมถ่ายเซลฟีตัวเองแล้วใช้แฟลชแยกจากกล้อง DSLR ยิงสวนเข้าไปได้)

ส่วนโหมดถ่ายภาพอย่าง Night Shot และ Light Painting ถูกปรับปรุงให้ทำงานได้ดีขึ้น และความละเอียดภาพที่ได้เพิ่มเป็น 12 ล้านพิกเซล

ด้านระบบออโต้โฟกัส อยู่ระดับปานกลาง บางครั้งการโฟกัสภาพในที่แสงน้อยก็ดูเชื่องช้าไปสักนิด รวมถึงชัตเตอร์ที่อาจมีอาการแลคให้เห็นบ้างบางจังหวะ แต่ภาพรวมถือว่าทำได้ดีกว่า P9/P9+

สุดท้ายในส่วนวิดีโอถือว่าได้รับการปรับปรุงดีขึ้น รองรับ 4K ไมโครโฟนสามารถปรับไปใช้ Directional microphone ได้ ส่วนความลื่นไหลถือว่าทำได้ดีระดับหนึ่ง กันสั่นที่ให้มาช่วยได้เล็กน้อย แต่ภาพจะหน่วงและดีเลย์ โดยรวมสำหรับการถ่ายวิดีโอถือว่าพอใช้เท่านั้น

สรุป

สำหรับราคา HUAWEI Mate 9 รุ่นแรม 4GB พร้อมรอม 64GB อยู่ที่ 23,900 บาท ส่วนรุ่น Mate 9 Pro (แรม 6GB/รอม 128GB) ราคาอยู่ที่ 27,900 บาท และรุ่นพิเศษ Mate 9 Porsche Design (แรม 6GB/รอม 256GB – ขายจำนวนจำกัดแค่ 800 เครื่อง) ราคาอยู่ที่ 49,900 บาท

หลังจาก HUAWEI P9/P9+ เปิดตลาดปูทางสมาร์ทโฟนเรือธงให้หัวเว่ยประสบความสำเร็จไปก่อนหน้า Mate 9 ก็เหมือนเป็นรุ่นต่อยอดช่วยผลักดันให้แบรนด์หัวเว่ยเข้าสู่ตลาดไฮเอนด์สมาร์ทโฟนได้อย่างสวยงาม จนปัจจุบันหัวเว่ยสามารถเข้าชิงแชร์จากเจ้าตลาดได้อย่างสมศักดิ์ศรียิ่งขึ้น ด้วยจุดเด่นในเรื่องราคาเทียบประสิทธิภาพแล้วจัดว่าอยู่ในเกณฑ์คุ้มค่าอย่างมาก (แค่รุ่นที่ทีมงานทดสอบ ราคา 23,900 บาทก็ถือว่าตอบสนองทุกการใช้งานแล้ว) โดย Mate 9 ไม่ได้มีดีแค่กล้องไลก้าเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่เรื่องของสเปก ระบบการทำงาน ภาพรวมทั้งหมดถือว่าหัวเว่ยทำได้ลงกว่าตอนเปิดตัว Mate 8 ยิ่งปัจจุบันเจ้าตลาดต่างเปิดตัวราคาสมาร์ทโฟนเรือธงด้วยราคาที่สูงลิ่วด้วยแล้ว Mate 9 น่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดูคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุดของตลาดไฮเอนด์ปีนี้

ข้อดี

– Machine Learning, EMUI 5.0, Android 7.0 และซีพียูตัวใหม่ทำงานสอดประสานระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้ดีมาก
– ระบบอ่านเขียนข้อมูลมาตรฐานใหม่ UFS 2.1 ทำงานได้รวดเร็ว
– กล้องไลก้ารุ่นที่ 2 ให้คุณภาพไฟล์ที่ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะระบบไฮบริดซูม 2 เท่า
– โหมดกล้องใช้งานง่ายและทรงประสิทธิภาพไม่ต่างจากกล้องโปร
– ไมโครโฟน 4 ตัวรับเสียงได้คมชัดดี
– งานออกแบบดูพรีเมียมมากขึ้น ปัญหาจับตัวเครื่องใช้งานไม่ถนัดที่เกิดขึ้นใน Mate 8 ถูกแก้ไขแล้ว
– Huawei Diamond Service บริการหลังการขายของหัวเว่ยน่าสนใจมาก (ใครเคยใช้บริการรบกวนเขียนความเห็นลงช่องคอมเมนต์ให้ด้วย)

ข้อสังเกต

– ระบบออโต้โฟกัสและอาการชัตเตอร์แลคยังมีให้พบเห็นบ้าง
– คุณภาพการถ่ายวิดีโออยู่ในระดับพอใช้ ระบบป้องกันภาพสั่นไหวยังทำได้ไม่ดีนัก
– ระบบแจ้งเตือนที่ไอคอนแอปฯ (ตัวเลขบอกข้อความเข้ามา) บางครั้งไม่แสดงผล

Gallery

]]>
Review : Moto Z บทพิสูจน์ใหม่ในตลาดสมาร์ทโฟน https://cyberbiz.mgronline.com/review-moto-z/ Mon, 12 Dec 2016 06:55:01 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=24699

IMG_6486

หนึ่งในผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนที่มีแนวคิดน่าสนใจในปีนี้คงหนีไม่พ้น Moto Z ที่ถือเป็นการกลับมาลุยตลาดอีกครั้ง ภายใต้ซีรีส์ และแนวคิดใหม่ ภายใต้บริษัทแม้รายใหม่อย่างเลอโนโว ทำให้แนวทางในอนาคตของ Moto เริ่มชัดขึ้น กับการโฟกัสในตลาดกลางบน หรือพรีเมียมแมสมากขึ้น

จุดเด่นหลักของ Moto Z คือการเป็นสมาร์ทโฟนที่สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่อพ่วงภายใต้ชื่อ Moto Mods ได้ และจะเป็นแนวคิดหลักในการผลิตสมาร์ทโฟนต่อจากนี้ของ Moto ที่จะมีการต่อยอดออกผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ที่รองรับการใช้งาน Mods ออกสู่ตลาดมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่ตัวสมาร์ทโฟนก็มาพร้อมกับสเปกระดับสูงทั้งหน่วยประมวลผล Snapdragon 820 RAM 4 GB และความบางตัวเครื่อง 5.19 มม. แม้ว่าจะมีการตัดพอร์ตหูฟัง 3.5 มม. ออกไป ทำให้ต้องใช้ตัวแปลงหูฟังจากพอร์ต USB C แทน รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิม 4G/3G และหน้าจอแสดงผลระดับ 2K

การออกแบบ

IMG_6451

สิ่งที่ Moto Z นำเสนอได้ดีคือความพรีเมียมของโทรศัพท์ จากงานประกอบที่ดูแน่นหนา ตัวเครื่องทำจากอะลูมิเนียมขัดเงา ผสมกับกระจกคลุมด้านหน้า โดยมีขนาดรอบตัว 75.3 x 155.3 x 5.19 มิลลิเมตร น้ำหนัก 136 กรัม มีให้เลือกสีเดียวคือ สีดำ และสีขาว

IMG_6458

ด้านหน้าพื้นที่หลักจะถูกแบ่งให้จอ AMOLED ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด Quad HD (2560 x 1440 พิกเซล) ความละเอียดเม็ดสี 526 ppi โดยมีช่องลำโพงสนทนาพาดอยู่กึ่งกลางบน พร้อมด้วยกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ไฟแฟลช และเซ็นเซอร์ตรวจจับใบหน้า และเซ็นเซอร์วัดแสง

IMG_6464

ส่วนล่างหน้าจอจะมีสัญลักษณ์ ‘Moto’ อยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างจอ และปุ่มเซ็นเซอร์สำหรับสแกนลายนิ้วมือ ที่จะทำงานทันทีเมื่อสัมผัส ทำให้ไม่ต้องไปกดปุ่มเปิด-ปิดเครื่องบ่อยๆ ส่วนจุดใสๆ 2 ข้างก็จะเป็นเซ็นเซอร์จับการเคลื่อนไหว และไมโครโฟน 2 จุด ที่มีระบบตัดเสียงภายในตัว

IMG_6450

ด้านหลังเมื่อไม่ได้มีการเชื่อมต่อ Moto Mods ใดๆ จะเห็นถึงตัวเครื่องที่แสดงถึงความเป็นโลหะครอบด้วยกระจก ทำให้จุดนี้เป็นรอยนิ้วมือได้ค่อนข้างง่าย ภายในมีแบตเตอรี 2,600 mAh โดยจะมีกล้องหลักความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมด้วยไฟแฟลชแบบ Dual LED เพื่อช่วยเกลี่ยแสง ซึ่งถ้างสังเกตว่าบริเวณกล้องจะนูนออกมาจากตัวเครื่องเล็กน้อยทำให้ขีดช่วนค่อนข้างง่าย

IMG_6453

ถัดลงมาส่วนล่างจะเป็นแถบขั้วสำหรับใช้ในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Moto Mods ทั้งหลาย โดยตรงส่วนนี้จะเป็นจุดส่งต่อข้อมูลระหว่าง Mods ที่ปัจจุบันมีทั้ง Mods ที่เป็นแบตเตอรีเสริม ลำโพง โปรเจกเตอร์ กล้อง Hasselblad และฝาหลังให้เลือกใช้งาน โดยเมื่อติดใช้งานตัวเครื่องจะใช้แม่เหล็กในการยึดยิดทำให้ไม่หลุดง่ายๆชณะใช้งาน

IMG_6455

ทั้งนี้ เมื่อสวมฝาหลังที่แถมมาให้ภายในกล่องเข้าไป บริเวณหลังเครื่องก็จะกลายเป็นลายไม้ หรือลายต่างๆตามสีของฝาหลัง และขอบกล้องก็จะไม่นูนขึ้นมาอีกต่อไป ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานว่าจะต้องการเชื่อมต่อกับ Mods อื่นๆ หรือใช้ร่วมกับฝาหลังที่เป็นลายปกติก็ได้

IMG_6461IMG_6460ด้านบนจะมีช่องใส่ใช้เข็มจิ้มซิมนำ ถาดซิมการ์ดออกมา โดยถาดซิมการ์ดจะเป็นแบบไฮบริดจ์คือผู้ใช้สามารถเลือกใส่ใช้งาน 2 นาโนซิมการ์ด หรือผสมระหว่างนาโนซิมการ์ด และไมโครเอสดีการ์ดได้ ด้านล่างจะมีเพียงพอร์ต USB-C เพียงพอร์ตเดียวเท่านั้น

IMG_6463IMG_6462

ด้านซ้ายจะถูกปล่อยโล่งไว้ ด้านขวาเป็นปุ่มเปิด=ปิดเครื่อง และปุ่มปรับระดับเสียง

IMG_6447

เมื่อต้องการเชื่อมต่อกับหูฟังขนาด 3.5 จำเป็นต้องใช้ตัวแปลง USB-C เป็นพอร์ต 3.5 มม. ซึ่งทางโมโต แถมมาให้ภายในกล่อง สามารถนำไปใช้กับหูฟัง 3.5 มม. เดิมที่มี หรือใช้กับหูฟังที่แถมมาได้ทันที

IMG_6445

สำหรับอุปกรณ์ที่แถมมาให้ภายในกล่องประกอบไปด้วย ตัวเครื่อง สายเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ (USB-A to USB-C) อะเดปเตอร์พร้อมสายชาร์จ USb-C หูฟัง เข็มจิ้มซิม ฝาหลัง กรอบใส และคู่มือการใช้งาน

สเปก

s18

Moto Z มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 820 ที่เป็นควอดคอร์ 1.8 GHz พร้อมหน่วยกราฟิก Adreno 530 RAM 4 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 64 GB รองรับไมโครเอสดีการ์ดสูงสุด 2 TB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 6.0.1 (Marshmallow)

ด้านการเชื่อมต่อรองรับ 4G LTE บนคลื่น 2100/1800/850 3G ทุกคลื่นความถี่ที่ให้บริการในประเทศไทย ส่วนการเชื่อมต่อ WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac + 5 GHz with MIMO บลูทูธ 4.1 พร้อม NFC GPS GLONASS และอุปกรณ์เสริม Moto Mods ทั้งหลาย

ฟีเจอร์เด่น

s01

การใช้งานของ Moto Z ยังคงความเป็น Pure Android มาเหมือนสมัยที่ Moto ยังอยู่ภายใต้กูเกิลก่อนหน้านี้ โดยถือว่าเป็นข้อดีของสมาร์ทโฟนตระกูล Moto เลยก็ว่าได้ที่มากับความเป็นมาตรฐาน โดยเฉพาะบนแอนดรอยด์ 6.0.1 Marshmallow ที่กูเกิลพัฒนาออกมาได้ลื่นและน่าใช้กว่าเดิม และไม่จำเป็นต้องครอบอินเตอร์เฟสใดๆเพิ่มเติม

การใช้งานหลักๆ ยังคงอยู่ที่การนำวิตเจ็ต หรือ ไอค่อนหลักๆที่ใช้งานมาไว้บนหน้าจอหลัก ที่ขึ้นอยู่กับสไตล์ในการใช้งานของผู้ใช้แต่ละราย ในส่วนของแถบการแจ้งเตือน ที่มาพร้อมกับปุ่มลัดในการตั้งค่าต่างๆก็มาในดีไซน์ที่เป็นมาตรฐาน และคุ้นเคยกันดีกับผู้ที่ใช้งานแอนดรอยด์มาก่อน

ในส่วนของหน้าจอล็อกเครื่อง จะมีความพิเศษขึ้นมาเล็กน้อยจากการที่ตัวเครื่องรองรับการปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ ทำให้เมื่อมีการแตะที่เซ็นเซอร์หน้าจอก็จะขึ้นแสดงผลวัน เวลา และการแจ้งเตือนที่มีอยู่ พร้อมให้ผู้ใช้กดสแกนลายนิ้วมือ หรือจะเลือกเปิดกล้อง และใช้คำสั่งเสียงจากหน้านี้ก็ได้เช่นเดียวกัน

IMG_6476

อีกความสะดวกในการใช้งาน Moto Z คือการที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวมาให้ ส่งผลให้เวลาวางเครื่องไว้ เมื่อนำมือปาดผ่าน ตัวเซ็นเซอร์ก็จะทำงาน หน้าจอก็จะมีการแสดงผลภาพพักหน้าจอ หรือเวลา ขึ้นมาให้ดูในทันที ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้ไม่ต้องไปกดปุ่มหรือสัมผัสหน้าจอเพื่อเปิดดูเวลา

s02

และด้วยการที่มากับ Pure Android การที่มี Google Assistant มาช่วยในการแจ้งเตือนข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตารางนัดหมาย การแจ้งเตือนสภาพการจราจร เตือนเมื่อมีการแข่งขันฟุตบอลของทีมโปรด ช่วยให้การใช้ชีวิตสะดวกมากขึ้น ขณะที่ในหน้าจอ Recent App ผู้ใช้สามารถลากปิดแอปที่ไม่ใช้งาน หรือกดเคลียแอปทั้งหมดทิ้งได้ด้วย

s03

ในการเริ่มต้นการใช้งาน Moto Z จะมีขั้นตอนเริ่มต้นง่ายๆอยู่ 3 ชั้นตอน คือการเรียนรู้การใช้คำสั่งลัด ที่จะมีการลากนิ้วมือจากขอบล่างเพื่อย่อหน้าจอให้เหมาะกับการใช้งานมือเดียว เขย่าเครื่อง 2 ครั้งเพื่อเปิดใช้ไฟฉาย รวมถึง Moto Display หรือการวาดมือผ่านเครื่องที่กล่าวไป

ยังมีระบบการเปิดหน้าจอค้างไว้เมื่อมีการดูหน้าจออยู่ (ใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับดวงตา) การหมุนเครื่อง 2 ครั้ง เพื่อเข้าสู่โหมดกล้องถ่ายรูป การพลิกเครื่องเมื่อมีสายเรียกเข้า ในการเข้าสู่โหมดห้ามรบกวน หรือการยกเครื่องขึ้นเพื่อให้สายเรียกเข้าหยุด

ถัดมาคือการตั้งค่าคำสั่งเสียง ในการเรียกใช้งาน ซึ่งจำเป็นต้องตั้งในห้องที่ไม่มีเสียงรบกวน ทำให้เราใช้คำสั่งอย่าง OK Google เพื่อเรียกใช้งานระบบคำสั่งเสียงได้ทันที สุดท้ายคือการจัดการการแจ้งเตือนบนหน้าจอล็อก ที่สามารถเลือกได้ว่าจะให้แสดงผลแอปพลิเคชันใดบ้าง และแอปใดที่ไม่ควรแสดงผลในหน้าจอนี้เป็นต้น

s04

ในส่วนของแอปพลิเคชันที่ติดตั้งมาให้ในเครื่องจะเป็นแอปพลิเคชันพื้นฐานในการใช้งานสมาร์ทโฟนไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์ ข้อความ ปฏิทิน กล้อง อัลบั้มภาพ ตัวจัดการไฟล์ เครื่องเล่นเพลง เครื่องเล่นวิดีโอ รวมถึงกูเกิล เซอร์วิสอื่นๆที่มีมาให้ครบถ้วน จะมีแอปที่เพิ่มมาอย่าง Moto และ Moto Mods ในการเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมเท่านั้น

s05

สำหรับตัวจัดการไฟล์ (File Manager) ที่ให้มา ถือว่าใช้งานได้ค่อนข้างง่าย ผู้ใช้สามารถเลือกดูไฟล์ได้จากประเภทของไฟล์ ดูไฟล์ล่าสุด หรือเลือกดูตามโฟลเดอร์ และยังสามารถเข้าไปดูพื้นที่ใช้งานที่เหลืออยู่ได้อีกด้วย และจากการที่ใช้เป็นพอร์ตแบบ USB-C ผู้ใช้สามารถใช้ตัวแปลงเพื่อเชื่อมต่อแฟลชไดร์ฟ การ์ดรีดเดอร์ รวมถึง External HD ในการเข้าถึงไฟล์ได้ด้วย

s08

โหมดการใช้งานโทรศัพท์จะเน้นความง่ายในการใช้งาน จากอินเตอร์เฟสมาตรฐานของแอนดรอยด์ รองรับระบบการคาดเดารายชื่อจากที่บันทึกไว้ในโทรศัพท์ กรณีที่สายเข้าใช้การลากปุ่มจากกึ่งกลางเพื่อรับสาย ตัดสาย หรือส่งข้อความกลับได้ ส่วนกรณีใช้สายสนทนาจะมีปุ่มลัดอย่างเปิดลำโพง ปิดไมค์ เรียกปุ่มตัวเลข พักสาย เพิ่มสาย และปุ่มวางสายตามปกติ

s06

การใช้งานเว็บเบราว์เซอร์ที่ให้มาจะเป็น Chrome ที่มีกาพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว การแสดงผลบนหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ถือว่าทำได้ตามมาตรฐาน การที่รองรับการซิงค์ข้อมูลจากบนพีซีมาใช้งานบนสมาร์ทโฟนยิ่งทำให้การใช้งานเว็บเบราว์เซอร์สะดวก และฉลาดมากขึ้น

s07

คีย์บอร์ดเสมือนที่ให้มาใช้งานเป็นคีย์บอร์ดมาตรฐานของแอนดรอยด์อยู่แล้ว ผู้ใช้สามารถเข้าไปปรับแต่งสีของคีย์บอร์ดได้ การสลับภาษาใช้การกดที่ปุ่มลูกโลกเพื่อสลับไปมาระหว่างภาษาไทยอังกฤษ หรือถ้าต้องการใช้งานอักขระพิเศษ และอีโมติคอน ก็มีให้กดเลือกใช้งานได้ทันที

s13

ในส่วนกล้องของ Moto Z จะมาพร้อมกับความละเอียด 13 ล้านพิกเซล f/1.8 ที่มีเซ็นเซอร์ขนาด 1.12um มาพร้อมระบบกันสั่น OIS อินเตอร์เฟสในการใช้งานจะเน้นความง่าย โดยจะมีปุ่มหลักๆให้เลือกกดเพียงแค่ ตั้งเวลาถ่ายภาพ เปิดปิดแฟลช เปิดปิด โหมด HDR กับปุ่มสลับกล้องหน้าหลัง ปุ่มชัตเตอร์ และเข้าไปดูรูปภาพ

ผู้ใช้สามารถใช้นิ้วลากจากบริเวณขอบเพื่อเลือกโหมดในการถ่ายภาพได้ โดยจะมีให้เลือกตั้งแต่ โหมดถ่ายภาพแบบมืออาชีพ โหมดถ่ายภาพสโลว์โมชัน พาโนราม่า วิดีโอ และโหมดถ่ายภาพปกติ ส่วนของการตั้งค่าก็จะมีง่ายๆแค่เปิดปิดเสียงชัตเตอร์ เปิดระบบใช้งานกล่องด่วน บันทึกพิกัดภาพ เลือกขนาดภาพนิ่ง และวิดีโอ กับตั้งปุ่มชัตเตอร์

s14

สำหรับการใช้งานในโหมดถ่ายภาพแบบมืออาชีพ ผู้ใช้สามารถเลือกตั้งได้ตั้งแต่ระยะโฟกัส ปรับ White Balance ตั้งความเร็วชัตเตอร์ ปรับความไวแสง (ISO) และตั้งค่าชดเชยแสง ซึ่งก็จะเหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการถ่ายภาพตามสภาพแสงจริง ช่วยให้การถ่ายภาพสนุกมากยิ่งขึ้น

ขณะที่กล้องกล้องหน้า จะมากับความละเอียด 5 ล้านพิกเซล f/2.2 โดยมากับเลนส์มุมกว้าง แฟลช ขนาดเม็ดพิกเซล 1.4um ช่วยให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น ขณะที่โหมดถ่ายภาพวิดีโอสามารถบันทึกได้ที่ความละเอียด 4K 30 fps และ FullHD 1080p 60fps

s09

ส่วนของการตั้งค่าต่างๆ จะมากับมาตรฐานของแอนดรอยด์อีกเช่นกัน ด้วยการแบ่งประเภทการตั้งค่าออกเป็น ระบบไร้สายและเครือข่าย อุปกรณ์ ส่วนตัว และตัวเครื่อง ซึ่งจะมีที่แตกต่างจากทั่วไปอย่างตรงส่วนของ ซิมการ์ด เนื่องจากตัวเครื่องรองรับระบบ 2 ซิม และเพิ่มในส่วนของ Moto Mods ในการบริการจัดการอุปกรณ์เชื่อมต่อ Mods ทั้งหลาย

s10

สำหรับในส่วนของหน้าจอที่ Moto เลือกกลับมาใช้จอ AMOLED ก็เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเลือกโหมดสีที่จะแสดงผลได้ว่าจะให้แสดงผลแบบมาตรฐาน หรือแบบเร่งสี เพื่อให้จอดูสวยงามมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการที่ตัวเครื่องมาพร้อมกับ NFC ดังนั้นในการเชื่อมต่อก็สามารถใช้งาน Android Beam ในการส่งข้อมูล หรือใช้สำหรับชำระเงินในอนาคตได้

s11

การใช้งาน 2 ซิม ของ Moto Z เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกซิมการ์ดที่จะใส่สแตนบายสามารถจับเครือข่าย 3G ได้ ดังนั้นจึงไม่เกิดปัญหาเหมือนสมาร์ทโฟน 2 ซิมรุ่นก่อนๆ ที่จะจับสแตนบายบน 2G โดยผู้ใช้สามารถเลือกสลับซิมหลักในการใช้งานได้ตามความต้องการ

s12

นอกจากนี้ ยังมีการแสดงผลในส่วนของพื้นที่ใช้งานในตัวเครื่อง จะเห็นได้ว่าจะพื้นที่ 64 GB ที่ให้มาจะเป็นพื้นที่ของระบบปฏิบัติการไปประมาณ 10.58 GB อยู่แล้ว เช่นเดียวกับในส่วนของหน่วยความจำ RAM ที่จะมีแสดงว่าใช้งานไปเท่าไหร่เช่นเดียวกัน

Photos Gallery

ทดสอบประสิทธิภาพ

s15

AnTuTu Benchmark = 119,934 คะแนน
Quadrant Standard Edition = 40,088 คะแนน
Multi-Touch = 10 จุด

s16

Vellamo
Multicore = 3,546 คะแนน
Metal = 3,567 คะแนน
Chrome Browser = 5,031 คะแนน
Android WebView = 5,749 คะแนน

Geekbench 3
Single-Core = 2,024 คะแนน
Multi-Core = 5,075 คะแนน

ทดสอบการใช้งานแบตเตอรี จะอยู่ที่ 6 ชั่วโมง 39 นาที หรือคิดเป็นคะแนนที่ 3,990 คะแนน ซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับเครื่องในระดับเดียวกัน แต่ในการใช้งานทั่วๆไป แบตเตอรีที่ให้มา 2,600 mAh ก็ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานทั่วๆไปในแต่ละวัน นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมากับระบบชาร์จเร็วให้ใช้งานด้วย

s17

PCMark
Work 2.0 = 5,370 คะแนน
Computer Vision = 2,976 คะแนน
Storage = 7,479 คะแนน

3DMark
Sling Shot using ES 3.1 = 2,163 คะแนน
Sling Shot using ES 3.0 = 2,811 คะแนน
Ice Storm Unlimited = 24,976 คะแนน
Ice Storm Extreme / Ice Storm = Maxed Out!

PassMark PerformanceTest Mobile
System = 8,216 คะแนน
CPU Tests = 155,636 คะแนน
Disk Tests = 36,662 คะแนน
Memory Tests = 7,347 คะแนน
2D Graphics Test = 4,479 คะแนน
3D Graphics Tests = 2,453 คะแนน

โดยรวมแล้วในแง่ของประสิทธิภาพถือว่า Moto Z สอบผ่านในการใช้งานทั้งการใช้งานทั่วไป และการใช้งานหนักๆอย่างการเล่นเกม ทำได้ลื่นไหล เสียตรงการที่ให้แบตเตอรีมาเพียง 2,600 mAh เมื่อใช้งานหนักๆต่อเนื่องจะอยู่ได้ไม่ถึงวัน แต่ถ้าใช้งานทั่วๆไปต้องยอมรับการการจัดการแบตเตอรีทำได้ค่อนข้างดี

สรุป

สิ่งที่ทำให้ Moto Z น่าสนใจคือเรื่องของการที่ไม่กักสเปกทั้งหน้าจอระดับ 2K หน่วยประมวลผล Snapdragon 820 รองรับ 4G ระบบเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ มีการเคลือบ Nano Coating เพื่อป้องกันละอองน้ำ พร้อมกับพอร์ตการเชื่อมต่ออย่าง USB-C ที่เริ่มมีอุปกรณ์เสริมให้เลือกใช้มากขึ้น

แม้ว่าราคาค่าตัวจะสูงในระดับ 23,900 บาท แต่เมื่อเทียบถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการนำมาใช้งานควบคู่ไปกับ Moto Mods ทั้งกล้องจาก Hasselblad โปรเจกเตอร์ ลำโพงจาก JBL รวมถึงแบตเตอรีเสริม และฝาหลังลวดลายต่างๆ ไม่นับกับที่จะทยอยมีเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ก็ถือเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ

ข้อดี

– แอนดรอยด์โฟนประสิทธิภาพสูง จอ AMOLED 5.5” ความละเอียด 2K

– รองรับการเชื่อมต่อ 4G LTE / 2 ซิมการ์ด (เลือกใส่ซิมหรือไมโครเอสดีการ์ด)

– ตัวเครื่องแข็งแรง และบาง (กรณีที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับ Mods)

– Moto Mods ที่ทำให้สมาร์ทโฟนมีลูกเล่นมากขึ้น

ข้อสังเกต

– ฝาหลังเป็นรอยนิ้วมือค่อนข้างง่าย

– ตัวเครื่องร้อนง่าย เมื่อใช้งานหนักๆ

– ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มม. ต้องใช้ตัวแปลงจากพอร์ต USB-C (มีมาให้ในกล่อง)

Gallery

]]>
Review : Sony Xperia XZ ท็อปสุดในตระกูล พร้อมกล้องใหม่ มีกันสั่น 5 แกน https://cyberbiz.mgronline.com/review-sony-xperia-xz/ Sat, 05 Nov 2016 04:33:50 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=24420

headxz

ครั้งที่แล้วทีมงานได้รีวิว Sony Xperia X Performance ไปแล้ว มาวันนี้โซนี่คลอดสมาร์ทโฟนตัวท็อปออกมาอีกหนึ่งรุ่นในชื่อ Sony Xperia XZ เพื่อหวังจัดเต็มเรื่องกล้องถ่ายภาพรวมถึงสเปกส่วนอื่นให้ถึงขีดสุดอีกครั้ง ด้วยดีไซน์ที่ปรับให้ลงตัวกว่าเดิมรวมถึงแบตเตอรีความจุเพิ่มขึ้น

waterresis-xz

การออกแบบ

PAO_2208

เริ่มจากตัวเครื่องยังคงเอกลักษณ์ของโซนี่คือตัวเครื่องมองแล้วสมดุลกันตั้งแต่หัวไปท้าย ขนาดตัวเครื่อง กว้าง 72 มิลลิเมตร ยาว 146 มิลลิเมตร หนา 8.1 มิลลิเมตร น้ำหนัก 161 กรัม พร้อมป้องกันน้ำและฝุ่นตามมาตรฐาน IP65/IP68 (ใช้งานกลางสายฝนและล้างน้ำก๊อกได้ แต่ไม่แนะนำให้นำเครื่องไปใช้งานใต้น้ำหรือลงน้ำทะเล เพราะถ้าได้รับความเสียหายประกันอาจไม่ครอบคลุม)

ด้านหน้า ใช้จอแสดงผล TRILUMINOS สำหรับมือถือ ขนาดหน้าจอถูกขยายจากรุ่น X Performance เป็น 5.2 นิ้วที่ความละเอียดเท่าเดิมคือ 1,920×1,080 พิกเซล ประกบ X-Reality for Mobile ในส่วนกระจกจอเป็น Corning Gorilla Glass เช่นเดิม

PAO_2247

ด้านกล้องถ่ายภาพด้านหน้าใช้เซ็นเซอร์ Exmor RS for Mobile ขนาด 1/3.06” ความละเอียดภาพ 13 ล้านพิกเซล รูรับแสง f2.0 ระยะเลนส์ 22 มิลลิเมตรพร้อมจัดเต็มความไวแสงที่รองรับสูงถึง ISO 6,400

PAO_2241

ในส่วนลำโพง ถูกติดตั้งอยู่บริเวณด้านบน (ใช้ร่วมกับลำโพงโทรศัพท์) 1 ตัว และด้านล่างหน้าจออีก 1 ตัว ให้เสียงแบบสเตอริโอ

PAO_2218

PAO_2213

มาดูด้าหลังตัวเครื่อง มีความพิเศษตรงที่ Xperia XZ ถูกออกแบบใหม่หมดให้มีความเรียบร้อย หรูหรามากขึ้นด้วยการเลือกใช้วัสดุโลหะ ALKALEIDO แบบมันวาว ขอบเครื่องเป็นเป็นโลหะ มีเหลี่ยมมุมปกป้องหน้าจอเป็นรอยเวลาคว่ำหน้าเครื่องลงบนโต๊ะ

PAO_2228

มาถึงกล้องถ่ายภาพหลัก ยังคงใช้ Exmor RS for Mobile ขนาดเซ็นเซอร์ 1/2.3” ประกบชิปประมวลผลภาพ BIONZ (รองรับความไวแสง ISO สูงสุด 12,800) ความละเอียดภาพอยู่ที่ 23 ล้านพิกเซลพร้อมระบบออโต้โฟกัส Predictive Hybrid Autofocus เลนส์ G ระยะ 24 มิลลิเมตร และไฟแฟลชแบบ LED เลือกใช้งานได้หลากหลาย

ในส่วนฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาเฉพาะ Xperia XZ เพื่อทำให้กล้องฉลาดกว่ารุ่นเดิม เริ่มตั้งแต่ส่วนแรก Laser Autofocus ที่โซนี่เพิ่มเข้ามาเพื่อช่วยให้การวัดระยะชัดทำได้แม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะในที่แสงน้อย คอนทราสต์ต่ำหรือการถ่ายย้อนแสง

ส่วนต่อไปได้แก่การฝัง RGBC-IR หรือเซ็นเซอร์วัดระดับสี เพื่อช่วยในการวัด คำนวณและสั่งให้ซอฟต์แวร์ปรับสีสันให้เหมือนที่ตาเห็น อีกทั้งตัวเซ็นเซอร์ยังมีอินฟาเรดช่วยตรวจจับสมดุลแสงขาว (White Balance) เพื่อทำให้โทนภาพมีความเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะในที่แสงน้อย RGBC-IR จะแสดงศักยภาพได้ดีที่สุด

PAO_2232

กลับมาดูพอร์ตเชื่อมต่อและปุ่มกดรอบตัวเครื่อง เริ่มจากด้านบน จะเป็นที่อยู่ของไมโครโฟนตัวที่ 2 และช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร

PAO_2231

ด้านล่าง เป็นช่องไมโครโฟนหลักและตรงกลางเป็นพอร์ต USB-C

PAO_2235

PAO_2249

ด้านซ้าย เป็นช่องถาดใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์แบบ Nano Sim 1 ช่อง และช่องไฮบริดเลือกใส่ได้อย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างซิมการ์ดโทรศัพท์ (Nano Sim) ใช้งาน Dual Sim ได้ หรือใส่การ์ดความจำ MicroSD Card สูงสุด 256GB ก็ได้

PAO_2233

ด้านขวา เริ่มจากซ้ายของภาพเป็นปุ่มชัตเตอร์กล้อง (ระหว่างหน้าจอดับอยู่สามารถกดปุ่มนี้ค้างไว้เพื่อเข้าสู่โหมดกล้องได้ทันที) ถัดมาเป็นปุ่มเพิ่มลดเสียง และตรงกลางเป็นปุ่มเปิดปิดเครื่องพร้อมเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือ

สเปก

spec-xz

spec2-xz

Sony Xperia XZ ขับเคลื่อนด้วยซีพียู Qualcomm Snapdragon 820 Quad core 64 บิต ความเร็ว 2.15GHz พร้อมกราฟิก Adreno 530 ในส่วนแรมให้มา 3GB รอม 64GB (เหลือพื้นที่ให้ใช้จริงประมาณ 50GB) แบตเตอรีให้มา 2,900mAh รองรับระบบชาร์จไฟ Qnovo Adaptive Charging (ระบบสามารถตรวจสอบสภาพแบตเตอรีและปล่อยกระแสไฟอย่างเหมาะสม)

ในส่วนระบบปฏบัติการแอนดรอยด์เป็นรุ่น 6.0.1 (Marshmallow) รองรับการอัปเดตเป็นแอนดรอยด์ 7.0 (Nougat)

ด้านการรองรับเครือข่าย เริ่มจาก 2G/3G/4G LTE cat.9 รองรับทุกคลื่นความถี่ในประเทศไทย พร้อมรองรับ Carrier aggregation แบบ 3CA, Full NetCom 3.0 (เมื่อใช้โทรศัพท์ นอกจากซิมที่ 1 จะรองรับ 3G/4G ตามปกติอยู่แล้ว ซิมที่ 2 ยังสามารถใช้งานบนเครือข่าย 3G ได้จากเดิมจะใช้งานได้แค่ 2G เท่านั้น) นอกจากนั้นยังรองรับฟีเจอร์ VoLTE และ WiFi-calling ด้วย

สำหรับสเปกส่วนอื่นๆ Xperia XZ จะมาพร้อม WiFi มาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac (รองรับ DLNA – Miracast – Google Cast) มี NFC (ติดตั้งอยู่ข้างกล้องหน้า) A-GNSS (GPS + GLONASS), บลูทูธเวอร์ชัน 4.2 และสุดท้าย Xperia XZ จะมาพร้อมชิปประมวลผลเสียง Hi-res Audio 24-bit/192kHz (LPCM, FLAC, ALAC, DSD) รวมถึงรองรับหูฟัง Hi-res แบบบลูทูธผ่่านเทคโนโลยี LDAC ด้วย

ยูสเซอร์อินเตอร์เฟสและฟีเจอร์เด่น

home-xz

set-xz

เริ่มจากยูสเซอร์อินเตอร์เฟสเป็นไปตามแบบฉบับของโซนี่ คือเน้นความเรียบง่ายและใช้งานได้รวดเร็วตามสมัยนิยม โดยส่วนของฟีเจอร์ซอฟต์แวร์ที่น่าสนใจเช่น one-touch tethering หรือการใช้ NFC แตะกับสมาร์ทโฟนที่รองรับระบบ One touch ก็จะสามารถแชร์อินเตอร์เน็ตได้ทันทีโดยไม่ต้องตั้งค่าให้วุ่นวาย เป็นต้น

headphone-xz

นอกจากนั้นด้วยการที่โซนี่เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการฟังเพลงแบบ Hi-res Audio ใน Xperia XZ จึงมีออปชันให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งเสียงได้หลากหลาย ยิ่งใช้ร่วมกับหูฟังของโซนี่ด้วยแล้ว ระบบจะสามารถเรียนรู้และปรับแต่งเสียงหูฟังได้อย่างอัตโนมัติ

ps4-xz

ส่วนสาวกเกมคอนโซล Sony PlayStation 4 สมาร์ทโฟนรุ่นนี้รองรับการเชื่อมต่อกับ Play Station 4 เพื่อทำเป็นจอที่สองผ่านฟีเจอร์ PS4 Remote Play หรือ Second Screen

นอกจากนั้นจอยเกม DualShock 4 ยังสามารถนำมาใช้เล่นเกมบน Sony Xperia XZ ผ่านการเชื่อมต่อบลูทูธได้ด้วย

กล้องถ่ายภาพ

camera-xz

มาดูซอฟต์แวร์กล้องถ่ายภาพ โดยภาพรวมจะไม่แตกต่างจากเดิม ตัวกล้องเน้นโหมดอัตโนัมัติแบบอัจฉริยะเป็นค่าเริ่มต้น แต่ทั้งนี้โซนี่มีการปรับเพิ่มโหมด Manual ให้ผู้ใช้สามารถปรับค่ากล้องได้บางส่วน เช่น ความเร็วชัตเตอร์ ชดเชยแสง สมดุลแสงขาวและระบบโฟกัส รวมทั้งในส่วนของไฟแฟลช ก็สามารถปรับการใช้งานได้หลากหลายเช่นกัน

ทดสอบประสิทธิภาพ

benchmark-xz

bench2-xz

AnTuTu Benchmark = 143,040 คะแนน

PCMark Work 2.0 = 5,051 คะแนน

3DMark
Sling Shot using ES 3.1 = 2,468 คะแนน
Sling Shot using ES 3.0 = 3,156 คะแนน

PassMark PerformanceTest Mobile
System = 7,787 คะแนน
CPU Tests = 172,445 คะแนน
Disk Tests = 33,515 คะแนน
Memory Tests = 8,654 คะแนน
2D Graphics Test = 5,797 คะแนน
3D Graphics Tests = 1,913 คะแนน

Quadrant Standard Edition = 42,535 คะแนน

Vellamo
Multicore = 3,447 คะแนน
Metal = 3,455 คะแนน
Chrome Browser = 4,569 คะแนน

ในภาพรวมประสิทธิภาพที่ได้จะเหมือนกับ Sony Xperia X Performance ทุกส่วน เนื่องจากใช้สเปกเครื่องเดียวกัน เพราะฉะนั้นเรื่องการใช้งานและประสบการณ์ที่ได้รับจะไม่ต่างกัน ยกเว้นเรื่องงานออกแบบ การจับถือที่ Xperia XZ จะทำได้ดีกว่า หรูหรากว่า

battery-test-xz

ส่วนการทดสอบแบตเตอรี เห็นผลต่างชัดเจนเนื่องจาก Xperia XZ เพิ่มแบตเตอรีเป็น 2,900mAh โดยเวลาใช้งานจากแอปฯทดสอบ Geekbench (เปิดหน้าจอตลอดการทดสอบเทียบเท่าการรับชมวิดีโอต่อเนื่อง) อยู่ที่ 7 ชั่วโมง 59 นาที 10 วินาที และถ้านำมาคำนวณเป็นเวลาใช้งานในชีวิตประจำวันปกติจะอยู่ที่ประมาณ 13-14 ชั่วโมง ถือว่าใช้งานได้ตลอดทั้งวันแน่นอน

ทดสอบถ่ายภาพและวิดีโอกันสั่น 5 แกน

เริ่มจากภาพนิ่งจากกล้องหลังปรับปรุงใหม่เล็กน้อย แน่นอนว่า Xperia XZ มีระบบโฟกัสที่รวดเร็ว นุ่มนวล แม่นยำและสีที่สดใสกว่า X Performance โดยเฉพาะในที่แสงน้อยจะเห็นผลต่างชัดเจน แต่ในเรื่องคุณภาพไฟล์ภาพที่ได้ ทีมงานมองว่าไม่แตกต่างกันมากนัก ภาพจาก Xperia XZ และ X Performance ค่อนข้างถูกปรุงแต่งจากซอฟต์แวร์พอสมควร ทำให้ภาพไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก อีกทั้งขอบเลนส์ระยะ 24 มิลลิเมตรยังมีอาการขอบเบลอให้เราได้สัมผัสอยู่เล็กน้อย

ในส่วนวิดีโอมาพร้อมกันสั่น SteadyShot 5 แกน จากตัวอย่างวิดีโอ ทีมงานทดลองถือโทรศัพท์มือเดียวและเดินถ่ายตามถนนหนทางไปเรื่อยๆ พบว่าระบบป้องกันภาพสั่นไหว 5 แกน (คาดว่าทำงานสอดประสานระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์) ช่วยให้ภาพที่ได้นิ่งมากรวมถึงออโต้โฟกัสที่ทำได้นุ่มนวลและโฟกัสได้รวดเร็วแม่นยำดี

แต่ก็ใช่ว่าวิดีโอที่ได้จะเคลียร์ใส 100% เพราะเวลามือเริ่มสั่นมากขึ้น ภาพที่ได้จะมีเริ่มอาการกระตุกและถ้าเคลื่อนไหวเร็วๆ ภาพจะไม่ค่อยลื่นไหลเหมือนอาการเฟรมเรตตก รวมถึงคุณภาพวิดีโอที่จัดอยู่ในระดับกลางเท่านั้น

สรุป

xzzzzzxx

สำหรับราคาเปิดตัว Sony Xperia XZ อยู่ที่ 23,990 บาท ต้องบอกว่าเป็นช่วงราคาที่เหมาะสมแล้วสำหรับไฮเอนด์สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ ยิ่งเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้มา อย่างเช่นโหมดวิดีโอกับกันสั่น 5 แกนไม่เหมือนใครในตลาด ก็ถือว่ามีความน่าสนใจอยู่บ้าง แม้จุดขายอย่างกล้องถ่ายภาพที่โซนี่เน้นหนักใน Xperia XZ จะให้ผลลัพท์ที่ยังไม่ตื่นตาตื่นใจนัก แต่ภาพรวมทั้งหมดก็ถือว่า Xperia XZ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกไฮเอนด์สมาร์ทโฟนที่ไม่ควรมองข้ามในปีนี้

ข้อดี

– วิดีโอพร้อมกันสั่น 5 แกน
– ตัวเครื่องออกแบบใหม่ ลงตัวและหรูหราขึ้น
– กล้อง Manual Mode ปรับค่ากล้องได้หลากหลายขึ้น
– แบตเตอรีอึดกว่าเดิม
– เป็นสมาร์ทโฟนไม่กี่รุ่นที่รองรับ Hi-res Audio เต็มระบบ

ข้อสังเกต

– เรื่องการกันน้ำ ตามเอกสารประชาสัมพันธ์ระบุไว้ว่ารุ่นนี้สามารถกันละอองน้ำ ในสภาพฝนตกหนักได้ (water resistant) แต่ไม่ได้ระบุว่าสามารถใช้งานใต้น้ำ (waterproof) ได้ แม้จะได้มาตรฐาน IP65/68 ก็ตาม

Gallery

]]>
Review : iPhone 7 / 7 Plus ถึงเวลาไอโฟนกันน้ำ กันฝุ่นได้แล้ว https://cyberbiz.mgronline.com/review-iphone7-7plus/ Sat, 29 Oct 2016 06:38:14 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=24341

i77plus-head

หลังจากพรีวิวแกะกล่อง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ไปแล้ว วันนี้ก็ถึงคิวของรีวิวฉบับเต็มตามที่ได้สัญญากันไว้ โดยในบทความนี้ทีมงานขอควบรวมทั้ง iPhone 7 และ 7 Plus เป็นรีวิวเดียวกัน เนื่องจากสเปกภายในไม่แตกต่างกันมากจนต้องเป็นประเด็นเว้นกล้องหลังที่ทีมงานจะขอทดสอบกล้องคู่ของ iPhone 7 Plus เป็นหลัก

การออกแบบ

i77plus-compare

DSC_2845

ถึงแม้หน้าตาระหว่าง iPhone 7 / 7 Plus จะไม่แตกต่างต่างจากรุ่น 6s / 6s Plus เนื่องจากมีขนาดตัวเครื่องรวมถึงการออกแบบในภาพรวมไม่ต่างกัน แต่เรื่องน้ำหนัก iPhone 7 / 7 Plus จะมีความเบากว่า iPhone 6s / 6s Plus ประมาณ 4-5 กรัม (ถือแล้วแทบไม่รู้สึกถึงความต่าง) อีกทั้งเรื่องดีไซน์ถ้าเจาะลึกลงไปในเรื่องโครงสร้างยูนิบอดี้จะพบว่า แอปเปิลออกแบบใหม่ให้มีความเรียบร้อยมากขึ้น ด้วยการซ่อนเสาอากาศไว้บริเวณสันเครื่องแทนการพาดผ่านฝาหลังแบบรุ่นก่อนหน้า รวมถึงการเก็บขอบโค้งมนยังทำได้เรียบร้อยกว่า

DSC_2804

DSC_2834

โดยเฉพาะสีใหม่ที่มีให้เลือกเฉพาะ iPhone 7 / 7 Plus ความจุ 128/256GB อย่าง Jet Black (เจ็ทแบล็ค) หรือสีดำเงาที่แอปเปิลใช้เทคนิคที่เรียกว่า “แคพิลลารี” ทำตัวเครื่องขึ้นเงาทุกสัดส่วนตั้งแต่หน้าจอ พื้นผิวด้านหลัง (ไม่ได้ใช้กระจก) ไปถึงขอบเครื่องเป็นสีดำเงาทั้งหมด

waterresis-iphone

อีกทั้ง iPhone 7 / 7 Plus ยังมาพร้อมคุณสมบัติเด่นที่หลายคนรอคอยก็คือ “สามารถป้องกันน้ำและฝุ่นได้ตามมาตรฐาน IP67” โดยแอปเปิลเครมว่า iPhone ใหม่จะสามารถใช้งานกลางสายฝนหรือถ้าเผลอทำเครื่องหล่นลงอ่างน้ำ ให้รีบเก็บขึ้นมา และไม่ต้องกังวลว่าตัวเครื่องจะได้รับความเสียหายใดๆทั้งจากน้ำและฝุ่นละออง

แต่ทั้งนี้แอปเปิลแนะนำว่า iPhone 7 / 7 Plus ไม่ควรใช้งานใต้น้ำ ลงทะเลหรือโดนน้ำเค็ม ซึ่งถ้าตัวเครื่องได้รับความเสียหายจากน้ำหรือของเหลวไหลเข้าเครื่อง จะถือว่าอยู่นอกเงื่อนไขการรับประกันทันที

DSC_2813

มาดูหน้าจอ iPhone 7 / 7 Plus เป็น IPS Retina HD โดย iPhone 7 จะมีขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1,334×750 พิกเซล (326ppi) ส่วน iPhone 7 Plus จะมีขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1,920×1,080 พิกเซล (401ppi)

display-i7

ในส่วนสเปกหน้าจอแอปเปิลปรับปรุงใหม่หมด จากเดิมใน iPhone ทุกรุ่น แอปเปิลจะใช้หน้าจอแสดงสีแบบ sRGB แต่ใน iPhone 7 ทั้งสองรุ่น แอปเปิลเปลี่ยนไปใช้จอภาพที่สามารถแสดงสีสันได้กว้างขึ้นในชื่อ “P3” (Wide Color Gamut) รวมถึงปรับความสว่างเพิ่มจากรุ่นเดิมถึง 25% ทำให้หน้าจอ iPhone 7 / 7 Plus ให้สีที่สดใสและคมขัดมากขึ้น อีกทั้งยังแสดงส่วนคอนทราสต์ของภาพได้ดีกว่าหน้าจอรุ่นเดิมมาก

มาดูเรื่องกล้องหน้า FaceTime HD แอปเปิลปรับเพิ่มความละเอียดเป็น 7 ล้านพิกเซล รูรับแสง f2.2 พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว AIS, Retina Flash สามารถถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด 1080p

stereo-iphone

ส่วนการปรับปรุงเรื่องต่อไปก็คือ “ลำโพงสเตอริโอ” ครั้งแรกในไอโฟนกับเสียงที่ดังเพิ่มขึ้น 2 เท่า โดยนอกจากลำโพงปกติที่ติดตั้งอยู่สันเครื่องด้านล่างแล้ว บริเวณลำโพงเสียงสนทนาโทรศัพท์ยังสามารถเปลี่ยนเป็นลำโพงกระจายเสียงปกติพร้อมเซ็นเซอร์ตรวจจับลักษณะการใช้งานแบบเดียวกับที่อยู่ใน iPad Pro ทำให้เมื่อเรารับฟังเพลง เล่นเกมหรือชมภาพยนตร์ ไม่ว่าจะตั้งหรือตะแคงเครื่องด้านใดก็ตาม ลำโพงสเตอริโอทั้งสองจะรักษาสมดุลและความถูกต้องของการแยกเสียงลำโพงซ้ายขวาไว้อย่างแม่นยำ ลื่นไหลและไม่สะดุด

DSC_2818

ปุ่มโฮมใหม่ – เพราะ iPhone 7 / 7 Plus ป้องกันน้ำและฝุ่นเข้าเครื่องได้ ทำให้แอปเปิลต้องออกแบบปุ่มโฮมใหม่ให้ไม่มีการยุบตัวด้วยกลไกเหมือน iPhone ทุกรุ่นที่ผ่านมา โดยแอปเปิลปรับไปใช้ปุ่มโฮมแบบสัมผัสโดยใช้เซ็นเซอร์ซึ่งถูกควบคุมโดย Taptic Engine และซอฟต์แวร์สามารถตรวจจับแรงกดได้ อีกทั้ง Taptic ยังสามารถสั่นให้ผู้ใช้รู้สึกเหมือนการกดปุ่มโฮมจริงๆได้ด้วย (ตั้งค่าได้ 3 ระดับ)

homenewbut

โดยข้อดีของปุ่มโฮมแบบใหม่ก็คือไม่มีกลไกภายใน ไม่ว่าผู้ใช้จะกดแรงหรือกดย้ำบ่อยเพียงใดปุ่มโฮมจะมีโอกาสเสียหายยากมาก หรือถ้าปุ่มโฮมมีปัญหา ระบบจะปรากฏปุ่มโฮมจำลองขึ้นมาที่ตัว iOS

ส่วนสแกนลายนิ้วมือ (Touch ID) จะทำได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น

ข้อสังเกตก็คือ ปุ่มโฮมแบบใหม่ใช้ไฟฟ้าสถิตที่นิ้วมือในการตรวจจับการกด ถ้าเราใส่ถุงมือจะไม่สามารถใช้งานปุ่มโฮมนี้ได้ และวิธีการ Hard Reset เวลาเครื่องค้าง จะเปลี่ยนไปกดปุ่มลดเสียงและปุ่มเปิดปิดเครื่องค้างไว้แทนกดปุ่มโฮมแบบเดิม

DSC_2863

กล้องหลังใหม่ – อย่างที่ทราบกันดีว่า iPhone 7 จะมีกล้องหลังตัวเดียวคือเลนส์ระยะ 28 มิลลิเมตรพร้อมรูรับแสง f1.8 ส่วน iPhone 7 Plus จะมีกล้องหลัง 2 ตัว แบ่งเป็น ระยะเลนส์ 28 มิลลิเมตร f1.8 และระยะเลนส์ 56 มิลลิเมตร f2.8 หรือเทียบเท่าออปติคอลซูม 2 เท่า

สำหรับดิจิตอลซูมใน iPhone 7 สูงสุดทำได้ 5 เท่า iPhone 7 Plus ทำได้ 10 เท่า (วิดีโอ 6 เท่า)

มาดูส่วนสเปกฮาร์ดแวร์กล้องหลังที่เหมือนกันทั้ง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เริ่มจาก

1.ทั้ง iPhone 7 / 7 Plus มาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวออปติคอล (OIS)
2.เซ็นเซอร์รับภาพขนาด 1/3″ ความละเอียดภาพ 12 ล้านพิกเซล พาโนรามา 63 ล้านพิกเซล
3.ชุดชิ้นเลนส์เพิ่มเป็น 6 ชิ้น
4.ไฟแฟลช LED เพิ่มจาก 2 ดวงเป็น 4 ดวงแบบ True Tone
5.Wide Color Capture P3 หรือการรับสีสันแบบกว้างแทน sRGB เพื่อให้สอดคล้องกับหน้าจอ
6.ออโต้โฟกัส Focus Pixel
7.วิดีโอความละเอียดสูงสุด 4K 30 เฟรมต่อวินาที
8.วิดีโอสโลโมชัน 240 เฟรมต่อวินาทีที่ความละเอียด 720p และ 120 เฟรมต่อวินาทีที่ความละเอียด 1080p

DSC_2829

ด้านความแตกต่างกันที่ iPhone 7 Plus ทำได้มากกว่า iPhone 7 ได้แก่

1.กล้องหลัง iPhone 7 Plus สามารถใช้โหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Depth of field) ในชื่อ “Portrait Mode” (iOS 10.1 เป็นต้นไป)
2.การถ่ายวิดีโอสามารถไหลซูมและให้คุณภาพที่คมชัดตั้งแต่ 1x ไปจนถึง 2x

DSC_2809

DSC_2823

กลับมาดูส่วนพอร์ตเชื่อมต่อและปุ่มกดรอบตัวเครื่อง ทั้ง iPhone 7 / 7 Plus จะเหมือนกัน เริ่มจากด้านซ้ายจะเป็นที่อยู่ของปุ่มปิดเปิดเสียง ถัดลงมาเป็นปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง ส่วนด้านขวา เป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง และช่องใส่ซิมการ์ด Nano Sim

DSC_2810

ด้านล่าง มีการปรับเปลี่ยนโดยตัดช่อง 3.5 มิลลิเมตรออกไป และแทนที่ด้วยช่องคล้ายลำโพง (แต่ภายในไม่มีลำโพง) คาดว่าช่องนี้น่าจะช่วยเรื่อง Balance เสียงจากลำโพงสเตอริโอและอาจเป็นส่วนรับเสียงของไมโครโฟนด้วย ตรงกลางเป็น Lightning Port ด้านขวาเป็นลำโพงปกติ

headsetbox-i7

headsetbox-i7-2

สำหรับชุดหูฟังที่แถมมาจะเหมือนกับ iPhone รุ่นก่อนหน้า ยกเว้นส่วนของพอร์ตเชื่อมต่อ 3.5 มิลลิเมตรจะเปลี่ยนไปใช้ Lightning Port พร้อมแถมอะแดปเตอร์แปลง 3.5 มิลลิเมตรไปเป็น Lightning Port สำหรับเชื่อมต่อกับหูฟังทั่วไป
ในส่วนแพกเกจที่ใส่หูฟัง ส่วนนี้แอปเปิลปรับเปลี่ยนจากกล่องพลาสติกหรูหราพร้อมส่วนป้องกันสายหูฟังพันกัน ไปเป็นกล่องกระดาษ ดูแล้วลดต้นทุนดี

สเปก

DSC_2837

iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มาพร้อมซีพียู 64 บิต Apple A10 “Fusion” Quad-core + ชิปประมวลผลการเคลื่อนไหว M10 โดยซีพียูแบ่งเป็นส่วนคอร์ประสิทธิภาพสูงและส่วนคอร์เน้นประหยัดพลังงาน พร้อมแรม 3GB สำหรับ iPhone 7 Plus และแรม 2GB สำหรับ iPhone 7

โดยในส่วนความเร็วเมื่อเทียบกับ iPhone รุ่นก่อนหน้า จะเร็วกว่า iPhone 5 ถึง 4 เท่า iPhone 6 ถึง 2 เท่า

ด้านกราฟิกปรับไปใช้ GPU 6 แกนสมอง เร็วกว่า iPhone 6 ถึง 3 เท่า และ iPhone 5 ถึง 6 เท่าตัว

ในส่วนความจุมีให้เลือก 32/128/256GB โดยรุ่นที่ทีมงานทดสอบในบทความรีวิวนี้คือรุ่นความจุ 256GB (เหลือใช้จริงประมาณ 244GB)

การรองรับเครือข่ายโทรศัพท์ – เป็นครั้งแรกของ iPhone ที่รองรับ 4G LTE Advanced แบบ 3 Carrier Aggregation ความเร็วสูงสุด 450Mbps รวมถึงรองรับ VoLTE, WiFi Calling และ FaceTime Audio

ในส่วน WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac พร้อม MIMO บลูทูธ 4.2, มี NFC และ GPS/GLONASS

iOS และฟีเจอร์เด่น

home-i7

home-land7plus

ระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งมาให้กับ iPhone 7 / 7 Plus เป็น iOS 10 (อัปเดตเป็น iOS 10.1 ได้วันนี้) โดยหน้าจอ iPhone 7 Plus จะสามารถใช้งานการแสดงผล iOS แบบแนวนอน (Landscape Mode) ได้

apps-i7

ส่วนแอปพลิเคชันและการใช้งานจะไม่แตกต่างจาก iOS 10/10.1 ที่ติดตั้งบน iPhone 6s และรุ่นอื่นๆที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทีมงานจะขอแนะนำฟีเจอร์เด่นใน iOS 10 เฉพาะฟังก์ชันที่หลายคนอาจยังไม่ทราบ

wifi-i7

เริ่มจากส่วนการเชื่อมต่อ WiFi ที่ทำได้ฉลาดมากขึ้น และสามารถรู้ได้ว่าอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ WiFi กับ iPhone อยู่สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้หรือไม่ ถ้าใช้ได้ เช่น เชื่อมต่อกับโมเด็มเราเตอร์แบบ WiFi ที่บ้าน ระบบจะเชื่อมต่อพร้อมปรากฏสัญลักษณ์ WiFi ปกติ แต่ถ้าอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเป็นพวก SD การ์ด WiFi, กล้องถ่ายรูป ระบบจะรู้และปรับ WiFi ให้ใช้งานแค่เป็นตัวรับส่งข้อมูลจากอุปกรณ์เหล่านั้น ส่วนอินเตอร์เน็ตจะเปลี่ยนไปใช้ดาต้า 3G/4G อัตโนมัติ ซึ่งจากเดิมระบบจะมองการเชื่อมต่อ WiFi ทุกอย่างเป็นอินเตอร์เน็ตทั้งหมด เวลาเชื่อมต่อกับอุปกรณ์มีเดียจะมีปัญหาในเรื่องอินเตอร์เน็ตถูดปิดการเชื่อมต่อ

callblock-i7

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ตั้งแต่ iOS 10 ก็คือ ส่วนของโทรศัพท์ (Phone) จะอนุญาตให้ผู้พัฒนาแอปฯรายอื่นๆ ยกตัวอย่าง Whoscall สามารถใช้งานฟังก์ชันบอกข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาได้แบบเดียวกับ Whoscall บนแอนดรอยด์ เพราะปกติใน iOS รุ่นก่อนหน้า ถ้าผู้ใช้อยากทราบเบอร์ที่โทรเข้ามาจะต้องทำการคัดลอกเบอร์โทรศัพท์เหล่านั้นไปวางที่แอปฯของ Whoscall แต่ใน iOS 10 ระบบสามารถระบุเบอร์โทรศัพท์พร้อมข้อมูลได้ทันที

imessage-i7

Messages – ปรับปรุงใหม่ยกแผง เพราะแอปเปิลเพิ่มฟีเจอร์เข้ามามากมาย ยกตัวอย่างเช่น มีสติ๊กเกอร์ให้ดาวน์โหลดและใช้งาน สามารถเขียน เซ็นชื่อ รวมถึงส่ง Invisible Ink และ Personal Touch บอกความรู้สึกแบบส่วนตัวได้

raw-i7

และสุดท้ายกับการเพิ่มคุณสมบัติถ่ายภาพเป็นไฟล์ RAW หรือไฟล์ดิบ .DNG สำหรับช่างภาพที่ต้องการตกแต่งภาพแบบขั้นสูง (ทำได้เฉพาะ iPad Pro 9.7”, iPhone SE, 6s, 7 และ 7 Plus เป็นต้นไป) โดยการถ่าย RAW จะต้องทำผ่านแอปฯเฉพาะ เช่น Manual, Adobe Lightroom เป็นต้น ส่วนแอปฯกล้องบน iOS ปัจจุบันยังไม่เปิดให้ใช้งานฟังก์ชันดังกล่าว

ทดสอบประสิทธิภาพ

benchi77plus

ซ้าย : iPhone 7 Plus / ขวา : iPhone 7

iphone7plus-3dmark

คะแนนจาก iPhone 7 Plus

iphone7-3dmark

คะแนนจาก iPhone 7

เรื่องการทดสอบประสิทธิภาพถ้าวัดตามผลคะแนนก็เป็นไปตามคาด เนื่องจาก iPhone 7 มีแรมที่น้อยกว่า 7 Plus ทำให้ตัวเลขคะแนนต่างกัน แต่เมื่อทดลองใช้งานจริงกลับไม่เห็นผลแตกต่างอย่างชัดเจน เครื่องทั้งสองรุ่นมีความลื่นไหลตามแบบฉบับสมาร์ทโฟนเรือธงอย่างที่ควรเป็น รวมถึงถ้าเทียบเฉพาะส่วนประสิทธิภาพกับ iPhone 6s / 6s Plus สำหรับการใช้งานทั่วไปแทบไม่รู้สึกแตกต่างจนต้องยกเป็นประเด็นใหญ่ ยกเว้นผู้ใช้จะทำงานที่ต้องใช้ซีพียูประมวลผลสูงเช่น ตัดต่อวิดีโอ ตกแต่งภาพไฟล์ RAW หรือเล่นเกมที่ออกมารองรับกับ iPhone 7 / 7 Plus ก็น่าจะเห็นผลต่างอยู่บ้าง

ด้านสเปกหน้าจอที่ปรับเปลี่ยนไปใช้หน้าจอแสดงผลสีแบบ P3 และความสว่างที่เพิ่มขึ้น 25% จะเหมาะสมที่สุดสำหรับช่างภาพและคนทำงานด้านวิดีโอ เนื่องจากหน้าจอ iPhone 7 / 7 Plus สามารถเป็นอุปกรณ์ช่วยตรวจสอบเรื่องสีและการปรับแต่งแสงระดับเบื้องต้นได้ โดยเฉพาะรายละเอียดในโทนมืดกับสว่าง ลองปรับความสว่างหน้าจอขึ้นจนสุด ส่วนมืดจะแสดงรายละเอียดของภาพออกมาได้สูงกว่าหน้าจอของ iPhone ทุกรุ่นที่ผ่านมา

batt-test-i7plus

ในส่วนของแบตเตอรี แอปเปิลเครมไว้ว่า iPhone 7 สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ 13 ชั่วโมง (ทดสอบด้วยการเล่นวิดีโอผ่านระบบไร้สาย) ส่วน iPhone 7 Plus อยู่ที่ 14 ชั่วโมง (ทดสอบด้วยการเล่นวิดีโอผ่านระบบไร้สาย) แน่นอนว่าใช้งานได้นานกว่า iPhone 6s / 6s Plus ประมาณ 1-2 ชั่วโมง

โดยจากการทดสอบจริงกับ iPhone 7 Plus (ใช้งานปกติทั่วไป รวมถึงถ่ายภาพตลอดทั้งวัน) ยอมรับว่า iPhone 7 Plus ใช้งานตลอดทั้งวันได้สบาย แม้ทีมงานจะใช้งานถ่ายภาพต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมง ตัวเครื่องมีอาการร้อนเป็นระยะๆ แต่เมื่อปิดหน้าจอลง ความร้อนระบายไปอย่างรวดเร็วมาก ส่วนแบตเตอรีถือว่าแอปเปิลยังคงจัดการพลังงานภายในได้ดีมาตั้งแต่ iPhone 6 โดยเฉพาะตัว Plus ตั้งแต่ 6s-7 ถือว่าเรื่องแบตเตอรีทำได้น่าประทับใจ

ส่วน iPhone หน้าจอ 4.7 นิ้วปกติตั้งแต่ 6-7 เทียบกันด้วยความรู้สึกแล้วถือว่าใช้ได้ ระยะเวลาใช้งานจาก 100% จนแบตเตอรีขึ้นขีดแดงไม่แตกต่างกันจนรู้สึกได้ การใช้งานหนักหน่วงอาจต้องพึ่งพา Power Bank บ้าง

สุดท้ายส่วนทดสอบประสิทธิภาพกับเรื่องการป้องกันน้ำและฝุ่น ทีมงานได้มีโอกาสทดลองในภาคสนามจริง ลงไปถ่ายภาพกลางสายฝนและนำไปล้างน้ำจากก๊อกน้ำ ทุกอย่างผ่านไปได้ดี ตัวเครื่องไม่มีปัญหาใดๆ แต่ถึงอย่างไรทีมงานก็ไม่แนะนำให้นำเครื่องไปใช้ใต้น้ำหรือลงทะเลอยู่ดี เพราะถ้าตัวเครื่องได้รับความเสียหายขึ้นมา ตัวผู้ใช้จะต้องจ่ายเงินซ่อมด้วยตัวเองเนื่องจากไม่อยู่ในเงื่อนไขรับประกัน ได้ไม่คุ้มเสีย

กล้องถ่ายภาพ

camera-i7plus

อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นว่าเราจะขอทดสอบเฉพาะกล้องคู่จาก iPhone 7 Plus เป็นหลัก โดยก่อนใช้งานให้อัปเดต iOS เป็นรุ่น 10.1 ก่อนเพื่อเปิดใช้ฟังก์ชัน Portrait Camera หน้าชัดหลังเบลอที่มีให้ใช้เฉพาะ iPhone 7 Plus เท่านั้น

โดยในส่วนหน้าตา ภาพรวมของแอปฯกล้องถ่ายภาพจะเหมือน iPhone ทุกรุ่น เพียงแต่ใน iPhone 7 Plus แอปเปิลจะเพิ่มปุ่มซูมภาพเข้ามา (จากภาพจะเห็นปุ่มที่เขียนว่า 1x) โดยเมื่อกดลงไปหนึ่งครั้งจะเป็นการเปลี่ยนไปใช้เลนส์ตัวที่สองระยะซูม 2x (56 มิลลิเมตร)

zoom-7plus

จากซ้าย : 1x > 2x (Optical Zoom) > 5x (Digital Zoom) > 10x (Digital Zoom) – กดที่ภาพเพื่อขยายใหญ่

ส่วนอีกหนึ่งวิธีการซูมภาพก็คือกดปุ่ม 1x ค้างไว้จากนั้นค่อยๆสไลด์ลงข้างล่าง ระบบจะไหลซูมจาก 1x ไป 2x จนสูงสุดที่ดิจิตอลซูม 10x (ใช้วิธีนี้ในการซูมภาพสำหรับโหมดถ่ายวิดีโอได้) หรือจะใช้วิธีการซูมภาพแบบเก่าก็คือ นำสองนิ้วจิ้มแล้วถ่างออกไปเรื่อยๆก็ยังสามารถทำได้เช่นเดิม

depthoffield-i7beta

มาถึงหนึ่งฟีเจอร์ใหญ่เฉพาะ iPhone 7 Plus ก็คือ Portrait Camera หรือโหมดหน้าชัดหลังเบลอที่ปัจจุบันยังอยู่ในสถานะทดลอง (Beta) โดยแอปเปิลเริ่มเปิดให้ทดลองใช้งานตั้งแต่ iOS 10.1

โดยการใช้งานโหมด Portrait เพื่อสร้าง Depth Effect เหมือนถ่ายจากกล้อง DSLR มีข้อปฏิบัติดังต่อไปนี้

1.Portrait Mode จะใช้เลนส์ระยะ 56 มิลลิเมตร f2.8 เป็นหลัก เพราะฉะนั้นตัวบุคคลหรือวัตถุที่ต้องการถ่าย ต้องอยู่ห่างจากกล้องประมาณ 2.4 เมตร
2.ต้องการแสงพอสมควร การถ่ายในห้องหรือในที่แสงน้อยอาจทำให้ภาพแสดงส่วนชัดและเบลอผิดพลาดได้
3.แนะนำให้ถ่ายกับบุคคลหรือวัตถุที่อยู่นิ่ง เนื่องจากระบบต้องมีการประมวลผล ถ้าวัตถุหรือบุคคลเคลื่อนไหวไปมา ระบบอาจคำนวณระยะชัดผิดพลาด
4.เมื่อระบบประมวลผลเสร็จสิ้น คำว่า DEPTH EFFECT จะปรากฏกรอบสีเหลือง ให้กดปุ่มชัตเตอร์เพื่อถ่ายภาพได้

IMG_0357

ภาพปกติ

IMG_0358

ภาพหลังจากใช้ Portrait Mode

IMG_0276

ภาพปกติ

IMG_0277

ภาพหลังจากใช้ Portrait Mode

สรุปจากการทดลองใช้ Portrait Mode ซึ่งปัจจุบันอยู่ในสถานะ Beta ถือว่าให้ผลลัพท์ใช้ได้ การถ่ายภาพให้ฉากหลังเบลออย่างเป็นธรรมชาติอาจต้องมีวิธีเล็กน้อย เช่น ฉากหลังต้องเคลียร์ ไม่มีรายละเอียดของฉากที่ซับซ้อนรวมถึงแสงต้องมากพอ และวัตถุไม่เคลื่อนไหว ภาพถึงจะดูเป็นธรรมชาติ

แต่ทั้งนี้ด้วยสถานะอยู่ในขั้นตอนพัฒนา บางครั้งระบบก็เกิดการวัดระยะและคำนวณการเบลอฉากหลังผิดพลาด เช่น ภาพถ่ายนาฬิกา Apple Watch จะเห็นว่าตรงตัวอักษรวันที่มีอาการเบลอเล็กน้อยจากระบบคำนวณซับเจ็คหลักกับฉากหลังที่ควรต้องถูกเบลอผิดพลาดไป ก็คงต้องรอดูเวอร์ชันเต็มในอนาคตว่าโหมดนี้จะถูกปรับปรุงให้ฉลาดมากขึ้นเพียงใด

ทดสอบประสิทธิภาพกล้องหลัง

ติดตามชมตัวอย่างภาพจาก iPhone 7 Plus เพิ่มเติมได้จากลิงก์ https://psirichan.wordpress.com/2016/10/23/sadness-october-2016/ (เฉพาะภาพที่ 1-11 ถ่ายด้วย iPhone 7 Plus ไฟล์ RAW ผ่านแอปฯ Manual / โปรเซส : Adobe Lightroom)

มาถึงการทดสอบกล้องถ่ายภาพหลักกันบ้าง ภาพทดสอบทั้งหมดนี้ถ่ายจาก iPhone 7 และ iPhone 7 Plus สลับกันไป โดยในส่วนประสิทธิภาพไม่มีความแตกต่างกันเพราะใช้เซ็นเซอร์และสเปกภายในเดียวกัน เพียงแต่ iPhone 7 Plus จะมีเลนส์ 56 มิลลิเมตรหรือเทียบเท่าซูม 2 เท่าติดมาให้ ซึ่งน่าจะเพียงพอสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

โดยในส่วนคุณภาพไฟล์ภาพถือว่าถูกปรับปรุงเล็กน้อยจาก iPhone 6s ในเรื่องไดนามิก สีสันและนอยซ์ที่ดีขึ้น

ส่วนใครอยากรีดประสิทธิภาพสูงสุดแนะนำให้ถ่ายด้วย RAW และไปจัดการผ่านซอฟต์แวร์ในคอมพิวเตอร์จะพบว่า ไฟล์ RAW ของ iPhone 7 / 7 Plus นี่ได้คุณภาพน้องๆกล้องไฮเอนด์คอมแพกต์เลย ยกเว้นส่วนของนอยซ์ที่ทีมงานมองว่ายังทำได้ไม่ดีเท่าที่โฆษณาไว้

ด้านการใช้งานปกติผ่านแอปฯกล้องถ่ายภาพใน iOS – ส่วนนี้มีการปรับปรุงจากเดิมไปค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการถ่ายในที่แสงน้อยทำได้น่าประทับใจ แต่เรื่องระบบออโต้โฟกัสยังให้คุณภาพไม่แตกต่างจาก iPhone 6s / 6s Plus มากนัก

มาถึงงานวิดีโอ ทีมงานขอยกให้แอปเปิลครองแชมป์เช่นเดิม เพราะถึงแม้ปัจจุบัน คู่แข่งหลายเจ้าจะหันมาพัฒนาโหมดวิดีโอมากขึ้น แต่เรื่องคุณภาพไฟล์และความลื่นไหล โดยเฉพาะความคมชัดของการรับเสียงจากไมโครโฟนเฉพาะของแอปเปิล ยังทำได้ดีกว่าคู่แข่งหลายเจ้าและดีกว่า iPhone ทุกรุ่นที่ผ่านมา ยิ่งเป็น iPhone 7 Plus นอกจากกดซูมเปลี่ยนระยะเลนส์ปกติได้แล้ว ยังสามารถใช้ระบบไหลซูมจาก 1x-2x ได้ลื่นไหลตามนิ้วมือของเราได้ ยิ่งทำให้การถ่ายวิดีโอจากสมาร์ทโฟนทำได้น่าสนใจมากขึ้น

แต่ทั้งนี้ระบบไหลซูม 1x-2x รวมไปถึงช่วงเปลี่ยนระยะเลนส์จากตัวแรกไปตัวที่สอง ทีมงานมองว่าแอปเปิลต้องพัฒนาซอฟต์แวร์มาจัดการเรื่องความต่อเนื่องและลื่นไหลให้ดีกว่านี้ เพราะจากคลิปวิดีโอด้านบนจะเห็นว่าที่ระยะ 28 มิลลิเมตร (1x) เวลาซูม ระบบจะใช้ดิจิตอลซูมผสมเข้าไปจนกล้องตัดเข้าเลนส์ 56 มิลลิเมตร ภาพจะสะดุดเล็กน้อย ถ้าปรับปรุงเรื่องความต่อเนื่องส่วนนี้ได้ กล้อง iPhone 7 / 7 Plus จะโดดเด่นเรื่องงานวิดีโอมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว

สรุป

camera-i7

 

สำหรับราคา iPhone 7 มีความจุให้เลือก 32/128/256GB ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 26,500-34,500 บาท iPhone 7 Plus เริ่มต้น 31,500-39,500 บาท มีสีดำ เงิน ทอง โรสโกลด์และเจ็ทแบล็ค (*เจ็ทแบล็คมีเฉพาะรุ่น 128/256GB เท่านั้น)

โดยภาพรวมทั้ง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ถ้ามองถึงเรื่องสเปก ประสิทธิภาพโดยรวม แม้จะมีการปรับปรุงใหม่หลายส่วน แต่ถ้าเทียบกับ iPhone 6s และ 6s Plus ที่ทีมงานเคยยกให้เป็นสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดของแอปเปิลในรอบ 3 ปี การปรับปรุงครั้งนี้ยังไม่ถือว่าโดดเด่นจนต้องให้ความสนใจ ยกเว้นแค่เรื่องกล้องคู่ 2 ระยะเลนส์ใน iPhone 7 Plus และระบบป้องกันน้ำและฝุ่นของทั้งสองรุ่นที่ทีมงานมองว่าทำออกมาได้ถูกทิศทางอย่างที่ควรเป็นแล้ว (เพราะทั้งสองส่วนใช้งานได้จริงตลอดเวลา) แต่เสียดายที่แอปเปิลใส่ให้เฉพาะรุ่นใหญ่เท่านั้น

ส่วนเรื่องการตัดช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรออก แล้วแต่มุมมองของผู้อ่านแต่ละคน แต่สำหรับทีมงานคิดว่าแอปเปิลเลือกตัดช่องเชื่อมต่อนี้ออกเร็วเกินไป อีกทั้งตัดช่องนี้ออกไปแล้ว ตัว iPhone ก็ไม่ได้ถูกออกแบบให้บางลงแต่อย่างใด

ส่วนประสิทธิภาพการทำงานอื่นๆ เมื่อใช้งานจริง ทีมงานกลับไม่พบเห็นความแตกต่าง อีกทั้งแอปพลิเคชันที่จะดึงประสิทธิภาพของ iPhone 7 ออกมาอย่างเต็มที่ก็ยังมีน้อยมาก ถ้าผู้ที่กำลังสนใจแต่ในมือถือ iPhone 6s หรือ 6s Plus อยู่ เมื่อคุณมาใช้ iPhone 7 หรือ 7 Plus จะไม่รู้สึกแตกต่างมากนัก ยกเว้นคุณจะตื่นตาตื่นใจกับการป้องกันน้ำและฝุ่นรวมถึงกล้องคู่หรือปุ่มโฮมใหม่

ส่วนคนที่ใช้ iPhone 5s หรือต่ำกว่านั้น ผมอยากเรียนตามตรงว่าถึงเวลาแล้วที่คุณจะเปลี่ยนมาสู่ iPhone 7 หรือ iPhone 7 Plus เพราะในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นแรกของ iPhone ยุคต่อไป ที่คาดว่าแอปเปิลจะเดินตามเกมนี้ไปอีกหลายปี โดยเฉพาะกล้องคู่ที่เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นกว่านี้ในอนาคต

ข้อดี

– การออกแบบ เก็บงานเรียบร้อย ไร้รอยต่อ ปุ่มกดต่างๆดูแข็งแรงมากขึ้น
– ป้องกันน้ำและฝุ่น
– หน้าจอให้สีสันและความสว่างดีขึ้น
– iPhone 7 Plus กล้องหลังคู่ใช้งานได้จริงทั้งสองเลนส์
– มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอลให้ทั้ง 2 รุ่น รวมถึงกล้องหน้าด้วย
– ไฟแฟลช 4 ดวงสว่างขึ้น
– ลำโพงสเตอริโอ

ข้อสังเกต

– สีดำเจ็ทแบล็ค เป็นรอยง่ายเกินไป
– ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ทุกอย่างต้องเชื่อมต่อผ่าน Lightning Port หรือระบบไร้สายเท่านั้น (แต่มีอะแดปเตอร์แปลงแถมให้)
– เวลาใส่ถุงมือ ปุ่มโฮมแบบใหม่จะไม่ตอบสนอง
– ไม่มีกล่องใส่หูฟังแบบพลาสติกแถมมาให้แล้ว เพราะเปลี่ยนเป็นกล่องแบบกระดาษแทน
– Portrait Mode ใน iPhone 7 Plus ต้องได้รับการแก้ไขในเรื่องความรวดเร็วและความเป็นธรรมชาติของภาพให้ดีกว่านี้

Gallery

]]>
Review : Wiko Robby 2GB จอใหญ่ RAM เยอะในราคา 3,790- https://cyberbiz.mgronline.com/review-wiko-robby-2gb/ Fri, 28 Oct 2016 04:13:18 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=24300

DSC00820

ในตลาดสมาร์ทโฟนจอใหญ่ในช่วงระดับราคาต่ำกว่า 5,000 บาท ถือเป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง เนื่องจากผู้ผลิตหลายๆรายต่างเชื่อว่าจะสามารถเจาะเข้ามาในตลาดนี้ได้ง่าย เพราะเป็นกลุ่มที่มีความต้องการสูง ขอแบ่งเค้กในส่วนนี้นิดหน่อยก็เพียงพอที่จะสร้างรายได้ให้แก่บริษัทแล้ว

ในจุดนี้ Wiko ก็ถือเป็นอีกแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับฐานลูกค้าในกลุ่มนี้ จึงมีการออกผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนจับตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้มีการส่ง Wiko Robby  2GB เป็นสมาร์ทโฟน 3G 2 ซิม ขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้ว พร้อมกล้องหลัก 8 ล้านพิกเซล และกล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล มาจับกลุ่มลูกค้าที่เริ่มเปลี่ยนมาใช้งานสมาร์ทโฟนในราคา 3,790 บาท

การออกแบบ

DSC00803

ในแง่ของการออกแบบ Wiko Robby จะเน้นไปที่ความเรียบ ผสมกับความโค้งบริเวณขอบตัวเครื่อง เพื่อเพิ่มความหรูหรา และทำให้เครื่องดูแข็งแรง แม้ว่าฝาหลังที่คลุมจะใช้วัสดุที่ทำจากพลาสติกเป็นหลัก และส่งผลให้ตัวเครื่องมีน้ำหนักอยู่ที่ 185 กรัม ขนาดรอบตัวเครื่องอยู่ที่ 155 x 79.1 x 10 มิลลิเมตร มีให้เลือกด้วยกัน 3 สี คือ Space Grey Gold และ Rose Gole ซึ่งสีจะอยู่ที่ฝาหลังทั้งหมดทำให้สามารถหาซื้อฝาหลังมาเปลี่ยนสีได้

DSC00816

ด้านหน้า – ไล่จากส่วนบนจะมีช่องลำโพงสนทนา ถัดลงมาไล่จากซ้ายเป็นสัญลักษณ์ Wiko เซ็นเซอร์ตรวจวัดแสดง ไฟแฟลชสำหรับเซลฟี่ และกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ถัดลงมาเป็นหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว แบบ IPS 16 ล้านสี ความละเอียด 720p (1280 x 720 พิกเซล ความละเอียดเม็ดสี 267 ppi ขอบล่างก็จะมีลำโพงอีกตัวอยู่ จึงกลายเป็นมีลำโพงทั้งขอบบนและขอบล่าง

ความแตกต่างจากสมาร์ทโฟนทั่วไปของ Robby คือมีการใส่ลำโพงสนทนามาให้ใช้งานทั้งขอบบนและขอบล่าง ดังนั้นเวลาหยิบขึ้นมาใช้งานโทรศัพท์ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหยิบถูกด้านหรือไม่ เพราะหน้าจอจะหมุนแสดงผลตามทิศทางที่ถือเครื่อง และเรียกใช้งานลำโพง และไมค์ตามด้านที่ใช้งาน

DSC00805

ด้านหลัง – พื้นผิวจะเป็นพลาสติกเคลือบเงาให้ดูมีความคล้ายโลหะ โดยจะมีกล้องหลักความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ไฟแฟลช และสัญลักษณ์ Wiko เรียงกันอยู่ตรงกลาง สามารถถอดฝาหลังออกมาได้ เพียงแต่จะเป็นฝาหลังแบบหุ้มครอบทั้งตัวเครื่อง ทำให้เวลาแกะต้องงัดจากบริเวณขอบขวาล่างที่มีช่องให้งัดอยู่

DSC00829

เมื่อถอดฝาหลังแล้วจะพบกับแบตเตอรี Li-Polymer ขนาด 2,500 mAh ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ โดยมีช่องใส่ไมโครซิม 1 อยู่ที่ส่วนบน ขณะที่ไมโครซิม 2 จะใส่ได้ก็ต่อเมื่อถอดแบตเตอรีออกมา เช่นเดียวกับไมโครเอสดีการ์ดที่สามารถใส่เพิ่มได้สูงสุด 64 GB นอกจากนี้ ก็จะมีการระบุรายละเอียดตัวเครื่องว่ารุ่นนี้ได้รับการออกแบบที่ฝรั่งเศส ผลิตที่จีน ได้รับการขออนุญาตในการจำหน่ายเรียบร้อย

DSC00812DSC00813ด้านซ้าย – จะถูกปล่อยว่างไว้ ด้านขวา – มีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง

DSC00811DSC00810

ด้านบน – เป็นช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ด้านล่าง – พอร์ตไมโครยูเอสบีสำหรับเชื่อมต่อ และเสียบสายชาร์จ

DSC00823สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่อง ประกอบไปด้วยตัวเครื่อง เคสยางใส อะเดปเตอร์ สายยูเอสบี หูฟัง คู่มือ ถาดแปลงซิมการ์ด และฟิลม์ใสมาให้ติดใช้งานด้วย

สเปก

s06

สำหรับฮาร์ดแวร์ภายในของ Wiko Robby จะใช้งานหน่วยประมวลผลแบบ ควอดคอร์ 1.3 GHz บนพื้นฐานของ Cortex-A7 ใช้จีพียู ARM Mali 400 MP RAM 2 GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 16 GB ที่สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้ 64 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 6.0 (Marshmallow)

ด้านการเชื่อมต่อรองรับ 3G ทุกคลื่นความถี่ในประเทศไทย โดยอัตราการดาวน์โหลดอัปโหลดสูงสุดจะอยู่ที่ 21/5.76 Mbps รองรับการใช้งาน 2 ซิม แต่ซิมเสริมสแตนบายบน 2G เช่นเดิม ส่วนไวไฟทำงานบนมาตรฐาน 802.11 b/g/n บลูทูธ 4.0 มีระบบจีพีเอสภายใน วิทยุFM ตามปกติ

ฟีเจอร์เด่น

s01

ในแง่ของการใช้งานWiko Robby จะใช้พื้นฐานของแอนดรอยด์ 6.0 ในการทำงานอยู่แล้ว โดยเริ่มจากหน้าแรกที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่ง เลือกนำแอป หรือวิตเจ็ตที่ใช้งานประจำมาไว้เพื่อเรียกใช้งานได้ง่ายขึ้น ส่วนหน้าจอล็อกเครื่องก็จะมีแสดงผลการล็อกหน้าจอ เรียกกล้อง และเรียกใช้งานคำสั่งเสียงได้

ส่วนแถบการแจ้งเตือน ก็จะมีส่วนของการตั้งค่าเพิ่มเติมอย่างการปรับความสว่างหน้าจอ เปิดปิดการเชื่อมต่อไวไฟ บลูทูธ ดาต้า เปิดใช้งานโหมดเครื่องบิน ไวไฟฮ็อตสปอต โหมดห้ามรบกวน โหมดประหยัดพลังงาน การหมุนหน้าจอ โหมดง่าย ไฟฉาย และจีพีเอสได้ทันที

s02

ในส่วนของหน้ารวมแอป จะใช้การแสดงผลเรียงตามชื่อในแนวนอน โดยแอปที่ติดตั้งมาส่วนใหญ่จะเป็นแอปพื้นฐาน มีเพิ่มมาอำนวยความสะดวกในการใช้อย่างพวก Clean Master ไว้เคลีย RAM File Manager ไว้จัดการไฟล์ เพิ่มเติมนิดหน่อย

s03

หน้าจอการใช้งานโทรศัพท์จะเน้นความโล่ง ง่ายในการใช้งาน สามารถกดเลขหมายเพื่อคาดเดารายชื่อได้ หน้าจอสายเรียกเข้าจะมีแสดงชื่อ เบอร์โทร ให้กดเลือกรับสาย ตัดสาย หรือส่งข้อความกลับ ส่วนหน้าจอขณะสนทนาจะมีไอคอนให้เลือกเปิดลำโพง ปิดไมค์ เรียกปุ่มกด พักสาย เพิ่มการโทร และบันทึกเสียง

s04

นอกจากนี้ ยังมีการใส่แอปอย่าง ‘ผู้ช่วยโทรศัพท์’ ที่มาช่วยในการล้างเครื่อง จัดการพลักงาน ดูแลการอัปเดตแอปพลิเคชัน การจัดการอนุญาตต่างๆ ส่วนของซิมการ์ดจะมีให้เลือกใส่ 2 ซิม โดยเลือดได้ว่าจะให้ซิม 1 หรือ 2 เป็นซิมหลัก ซิมสำรองก็จะกลายเป็นการเชื่อมต่อบน 2G แทน

s05

จุดเด่นที่ Wiko Robby 2GB พยามชูขึ้นมาคือเรื่องของหน่วยความจำที่ให้มาเป็น 2 GB จากรุ่นแรกที่ให้มาแค่ 1 GB โดยเมื่อใช้งานทั่วๆไปจะกิน RAM ไปประมาณ 800 MB เหลือให้ใช้งานราว 1.1 GB

s09

ขณะเดียวกัน ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์ในการใช้งานด้วยลูกเล่นต่างๆของตัวเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัส 2 ครั้งเพื่อเปิด-ปิดหน้าจอ กาคว่ำเครื่องเพื่อปิดเสียง รับสายอัตโนมัติเมื่อนำเครื่องแนบหู รวมถึงการวาดตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ต่างๆบนหน้าจออย่างวาดตัว C เพื่อเรียกโทรศัพท์ M เพื่อฟังเพลง O เพื่อเปิดกล้อง ซึ่งผู้ใช้สามารถตั้งได้เอง

s07

โหมดการใช้งานกล้องของ Wiko Robby 2GB จะเน้นไปที่การใช้งานง่ายๆเป็นหลัก กล่าวคือเมื่อเปิดขึ้นมาจะเห็นปุ่มชัตเตอร์ขนาดใหญ่อยู่ทางฝั่งขวาหน้าจอให้กดถ่ายภาพได้ทันที หรือถ้าต้องการถ่ายวิดีโอก็กดที่ปุ่มบันทึกวิดีโอที่มุมขวาบนได้ ส่วนถ้าต้องการดูภาพล่าสุดก็กดที่มุมขวาล่าง

s08

ส่วนของการปรับตั้งค่าต่างๆ จะมีการปรับตั้งค่าด่วนมาให้ใช้งานที่ฝั่งซ้าย คือการหมุนกล้องหน้า-หลัง เปิด-ปิดแฟลช และเลือโหมดถ่ายภาพต่างๆที่มีให้เลือกทั้งโหมดอัตโนมัติ โหมดโปร (ปรับ ISO WB ชดเชยแสง และความคมชัด) พาโนรามา หน้าสวย HDR กลางคืน และแสงจ้า ถัดมาการตั้งค่าทั่วไปอย่างการแตะหน้าจอเพื่อถ่ายภาพ เปิดเสียงชัตเตอร์ การบันทึกพิกัดรูปภาพ เลือกความละเอียด โหมดตั้งเวลาถ่ายภาพเป็นต้น

ทดสอบประสิทธิภาพ

s10

เมื่อทดสอบ ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Antutu และ Quadrant Standart Wiko Robby 2GB ได้คะแนน 19,227 คะแนน และ 7,267 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 5 จุดพร้อมกัน

s11

ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo จากแอนดรอยด์เว็บวิวได้ 1,783 คะแนน โครมเบราว์เซอร์ 1,727 คะแนน ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ (Metal) 814 คะแนน Multicore 1,116 คะแนน คะแนน ส่วน GeekBench 4 ได้คะแนน Single-Core 411 คะแนน Multi-Core 1,162 คะแนน และ RenderScript 598 คะแนน

s12

ส่วนโปรแกรม PCMark ในส่วนของ Work Performance ได้ 2,503 คะแนน 3D Mark ทดสอบได้สูงสุดแค่ ตัว Ice Storm Unlimited ได้ 2,939 คะแนน ส่วน Ice Storm Extreme 2,026 คะแนน และ Ice Storm 3,265 คะแนน

ส่วน Passmark Performance Test Mobile ได้คะแนน System 2,460 คะแนน CPU 15,243 คะแนน Disk 12,597 คะแนน Memory 2,353 คะแนน 2D Graphics 2,135 คะแนน และ 3D Graphics 640 คะแนน

สรุป

DSC00806

Wiko Robby 2GB ถือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่นำเอา Robby ไปเพิ่ม RAM เพิ่มขึ้นมาเป็น 2 GB เพื่อให้การใช้งานโดยรวมลื่นไหลขึ้น พร้อมกับปรับระดับราคาขึ้นมาเล็กน้อยเป็น 3,790 บาท ซึ่งจะเหมาะกับกลุ่มผู้ที่เพิ่งเริ่มใช้งานสมาร์ทโฟน และต้องการเครื่องที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ ใช้งานง่าย

การทำงานโดยรวมของ Robby 2GB ก็ถือว่าสมกับราคา เพราะสามารถใช้งานทั่วๆไป อย่างการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ก เล่นอินเทอร์เน็ต ดูหนัง ฟังเพลงผ่านการสตรีมมิ่งได้ตามปกติ แต่ถ้าต้องการเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นก็อาจจะต้องมองหาตัวเลือกอื่นในตลาดแทน

ข้อดี

– ขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้ว

– ลำโพงคู่หน้า – สลับการใช้งานโทรศัพท์ได้ทั้ง 2 แนว

– ฝาหลังสามารถถอดเปลี่ยน-ถอดแบตได้

ข้อสังเกต

– ยังรองรับการทำงานบน 3G/2G เท่านั้น

– ตัวเครื่องทำจากพลาสติกเป็นส่วนใหญ่

Gallery

]]>
Review : i-mobile i-STYLE 712 แอนดรอยด์ราคาประหยัด หน้าจอใหญ่ https://cyberbiz.mgronline.com/review-imobile-istyle712/ Mon, 26 Sep 2016 12:52:22 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=23921

วันนี้ไอ-โมบายส่งสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ในกลุ่ม i-STYLE รุ่นใหม่มาในทีมงานรีวิวในชื่อรุ่น i-STYLE 712 ที่นอกจากราคาประหยัดไม่ถึงสามพันบาทแล้ว สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ยังมาพร้อมหน้าจอขนาดใหญ่และระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 6.0 Marshmallow อีกด้วย

การออกแบบ

i-mobile i-STYLE 712 มีหน้าจอขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด FWVGA 480×854 พิกเซล วัสดุรอบตัวเครื่องทั้งหน้าและหลังเป็นพลาสติก ขนาดกว้าง x ยาว อยู่ที่ 143 x 73.8 มิลลิเมตร หนา 9.75 มิลลิเมตร น้ำหนัก 150 กรัม

ในส่วนกล้องหน้าความละเอียดอยู่ที่ 2 ล้านพิกเซล

ด้านหลัง เป็นฝาปิดพลาสติก มีลวดลายช่วยให้การจับถือกระชับมือขึ้น พร้อมกล้องหลังความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ไฟแฟลช LED ตรงกลางเป็นโลโก้ i-STYLE ด้านล่างเป็นโลโก้แบรนด์ i-mobile และลำโพง

นอกจากนั้นฝาหลังยังสามารถแกะออกได้ โดยภายในจะเป็นที่อยู่ของแบตเตอรี BL-276 ความจุ 2,000mAh ช่องใส่ Micro SIM สองช่อง (Dual Sim) และช่องใส่การ์ดความจำ MicroSD สูงสุด 32GB

ด้านข้าง เริ่มจากด้านซ้ายของตัวเครื่องจะไม่มีปุ่มกดหรือพอร์ตเชื่อมต่อใด ส่วนด้านขวาจะเป็นที่อยู่ของปุ่มเพิ่มลดระดับเสียงและปุ่มเปิดปิดเครื่อง

ด้านบน จะมีเพียงช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ด้านล่างเป็นที่อยู่ของช่อง MicroUSB และ ช่องไมโครโฟนรับเสียงสนทนา (มีไมโครโฟนตัวเดียว ไม่มีระบบตัดเสียงรบกวน)

สเปก

spec-imoq

เริ่มจากหน่วยประมวลผล i-STYLE 712 เลือกใช้ชิปจาก MediaTek รุ่น MT6580 Quad-core ความเร็ว 1.30GHz พร้อมกราฟิก Mali 400 แรมให้มา 1GB เหลือใช้งานจริงประมาณ 970MB รอมเหลือพื้นที่ใช้งานจริงประมาณ 4.72GB ส่วนระบบปฏิบัติการเลือกใช้ แอนดรอยด์ 6.0 Marshmallow

มาถึงระบบการเชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆ เริ่มจากโทรศัพท์จะรองรับแบบจำกัดแค่ 2G 900/1,800 MHz และ 3G 850/2,100MHz นอกจากนั้นตัวเครื่องยังรองรับการเชื่อมต่อ WiFi บลูทูธ 4.0 มี GPS นำทาง พร้อมภาครับวิทยุ FM

ยูสเซอร์อินเตอร์เฟสและฟีเจอร์เด่น

home-lock-imo

appother-2

หน้าตาระบบปฏิบัติการใน i-mobile i-STYLE 712 ไม่ได้ถูกปรับแต่งใหม่ ไอโมบายดึงหน้าตาของตัวระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 6.0 Marshmallow มาใช้แบบเพียวๆ ยกเว้นส่วนของ Navigation Buttons ที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งได้ตามความถนัดของแต่ละคน

appother-1

appimob1

meedee-imob2

ในส่วนแอปฯที่ติดตั้งมาจากโรงงานหลักๆจะเป็นแอปฯจาก i-mobile เอง เช่น แอปฯเซอร์วิสที่สามารถตรวจเช็คสถานะการซ่อมเครื่องได้ แอปฯดูผลกีฬา ฟุตบอล ไปถึงแอปฯ “มีดี (MeeDee)” ซึ่งเป็นแอปฯรวบรวมความสนใจของคนไทยไว้ เช่น หวย เลขเด็ด คลิปโซเชียลต่างๆ เป็นต้น

กล้องถ่ายภาพ

camera-imosy

กล้องถ่ายภาพบน i-STYLE 712 ไม่มีลูกเล่นโดดเด่นมากนัก การทำงานหลักก็คือถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอ สามารถปรับความละเอียดภาพ ความอิ่มตัวของสี แสง คอนทราสต์ได้ตามต้องการ

โดยในส่วนคุณภาพไฟล์ภาพถือว่าอยู่ในเกณฑ์พอใช้เป็นไปตามราคา ส่วนกล้องหน้าถ้าถ่ายในที่แสงน้อยภาพที่ได้จะมีสัญญาณรบกวนมากพอควร

ทดสอบประสิทธิภาพ

benchmark-imosy

game-istyle

ด้วยตัวเครื่องมีสเปกจัดอยู่ในกลุ่มเริ่มต้น ผลคะแนนที่ได้จึงไม่สูงมากนัก ประกอบกับแรม 1GB เวลาใช้งานหนักๆตัวเครื่องจะเกิดอาการหน่วงอย่างเห็นได้ชัด ไม่เหมาะกับการใช้งานหนักหรือใช้เล่นเกมเท่าใดนัก

อีกส่วนที่เป็นข้อสังเกตสำคัญเช่นกันก็คือ เรื่องการสัมผัสหน้าจอที่ทำได้ไม่ลื่นไหลและมีอาการสะดุดค่อนข้างมากเนื่องจากรองรับจุดสัมผัสพร้อมกันได้แค่ 2 จุดเท่านั้น

ด้านแบตเตอรี ทีมงานทดสอบด้วย Geekbench 3 พบว่าทำเวลาใช้งานต่อเนื่องได้ค่อนข้างน่าพอใจ อยู่ที่ 7 ชั่วโมง 22 นาที 40 วินาที เมื่อคิดเป็นเวลาใช้งานปกติจะอยู่ประมาณ 14-15 ชั่วโมง

สรุป

สำหรับราคาเปิดตัว i-mobile i-STYLE 712 อยู่ที่ 2,790 บาท (คีย์บอร์ดในตัวเครื่องรองรับทั้งภาษาไทย อังกฤษและพม่า) ถือเป็นสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นที่นอกจากจะโดดเด่นในเรื่องหน้าจอขนาดใหญ่แล้ว (ฟอนต์ในเครื่องก็ตัวใหญ่ด้วย) ระบบภายในยังเข้าถึงได้ง่าย ฟีเจอร์ไม่ซับซ้อน เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย ทุกกลุ่มผู้ใช้ โดยเฉพาะกลุ่มฐานราก

ส่วนประสิทธิภาพก็เป็นไปตามราคาครับ พอใช้ได้ ถ้าเป็นคนใจเย็น เน้นโทรออกรับสาย โซเชียล แชทเล็กน้อย ไม่ชอบโหลดแอปฯคงไม่มีปัญหากับ i-STYLE 712 แน่นอน

ตัวเลือกในราคาใกล้เคียงกัน

TP-LINK Neffos C5L ราคา 2,990.- 
ASUS Live ราคา 3,590.- 

ข้อดี

– ได้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 6.0
– รองรับภาษา 2 ภาษา เน้น ไทย อังกฤษ พม่า
– Dual Sim
– ระยะเวลาใช้งานแบตเตอรีอยู่ในเกณฑ์ดี
– หน้าจอใหญ่ ไปถึงฟอนต์ภายในระบบตัวใหญ่มองเห็นชัดเจน

ข้อสังเกต

– แรมน้อย เครื่องหน่วง ไม่สามารถใช้งานหนักหน่วง เช่น เล่นเกมได้
– รองรับเครือข่ายแค่ 2G และ 3G
– พื้นที่ใช้งานในตัวเครื่องให้มาน้อยมาก

Gallery

]]>
Review : OPPO F1s สมาร์ทโฟนที่มีฟังก์ชันครบทุกความต้องการ https://cyberbiz.mgronline.com/review-oppo-f1s/ Mon, 19 Sep 2016 08:46:22 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=23853

001

ยุคนี้หากจะมองมือถือราคาไม่เกินหมื่นแต่มีฟังก์ชันครบครัน คงหนีไม่พ้นมือถือแบรนด์รองที่ไม่ใช่ผู้นำตลาด ซึ่งแน่นอน OPPO F1s ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องที่จัดเต็มมาทุกฟีเจอร์ของการใช้งานด้วยราคาเบาๆที่หลายคนสนใจ ซึ่งมีทั้งระบบสแกนลายนิ้วมือ กล้องถ่ายภาพที่เน้นกล้องหน้าเพื่อการเซลฟี่โดยเฉพาะ ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 5.1 หรือแม้กระทั่งหน้าจอและระบบประมวลผลที่เพียบพร้อมต่อการใช้งานเป็นอย่างมาก

การออกแบบ

002

มองโดยผิวเผินการออกแบบโดยรวมของเครื่อง ออปโป้ F1s มีความคล้ายคลึงเครื่องแบรนด์ดังตระกูลผลไม้ที่เรารู้จักกันดี แต่ก็มีความแตกต่างในบางรายละเอียดที่บ่งบอกตัวตนของเครื่องเองอย่างชัดเจน โดยด้านหน้าของตัวเครื่องมีตำแหน่งกล้อง ลำโพงและเซ็นเซอร์ที่ด้านบน อีกทั้งขอบจอด้านหน้าเป็นแบบเสมอเรียบทั้งจอช่วยให้สัมผัสลื่นไหลไม่มีสะดุด ด้านล่างมีปุ่มโฮมแบบวงรีตรงกลาง รองรับการสแกนนิ้วมือ และขนาบข้างด้วยปุ่มเมนูและย้อนกลับแบบเรืองแสงเมื่อสัมผัสปุ่ม

003

ด้านหลังของตัวเครื่องมีกล้องพร้อมแฟลชอยู่ด้านบนเยื้องไปทางซ้าย ถัดลงมามีโลโก้ออปโป้บนฝาหลัง และด้านล่างมีสัญลักษณ์ของมาตรฐานการผลิต ซึ่งโดยรวมด้านหลังของเครื่องมีความเรียบง่ายของสีตัวเครื่องแบบสีเดียว ตัดด้วยลายเส้นของเครื่องนิดหน่อยเท่านั้น

004

ด้านซ้ายของเครื่องมีปุ่มเพิ่มลดเสียง สีเดียวกับตัวเครื่อง แบ่งออกเป็น 2 ปุ่มชัดเจน และด้านขวาของตัวเครื่องมีช่องถาดใส่ซิมที่ต้องใช้เข็มทิ่มเพื่อถอดถาดซิม โดยรองรับ 2 นาโนซิมการ์ด และ 1 เมมโมรี่การ์ดแบบไมโครเอสดี และถัดลงมาด้านล่างมีปุ่มเปิดปิดเครื่องสีเดียวกับตัวเครื่องเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ด้านเครื่องตัวเครื่องทั้งซ้ายและขวา เป็นแบบโค้งมนช่วยเพิ่มสัมผัสที่กระชับขึ้นเมื่อจับตัวเครื่อง

005

ด้านบนตัวเครื่องซึ่งมีลักษณะโค้งมนเช่นกัน มีเพียงช่องรับเสียงขนาดเล็กเยื้องไปทางซ้าย ขณะที่ด้านล่างมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร และช่องเสียบสายไมโครยูเอสบี ซึ่งขนาบข้างด้วยช่องลำโพงแบบรูกลมขนาดเล็กเรียงตัวเป็นแนวยาวอย่างสวยงาม

สเปก

ss

OPPO F1s มาพร้อมหน้าจอ 5.5 นิ้ว แบบ IPS TFT ความละเอียด 720 x 1280 พิกเซล หน่วยประมวลผล 64 บิท 8 คอร์ MediaTek MT6750 1.5 GHz แรมขนาด 3GB หน่วยความจำตัวเครื่อง 32GB รองรับเมมโมรี่การ์ดสูงสุด 128 GB ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 5.1 มีระบบสแกนลายนิ้วมือ กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซลพร้อมแฟลช LED ค่ารูรับแสงกว่าสุด f 2.2 และกล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้างสุด f 2.0 รองรับ 4G ทุกเครือข่าย พร้อมการเชื่อมต่อไวไฟ บลูทูธและรองรับการเชื่อมต่อแบบ OTG

ฟีเจอร์เด่น

007

กล้องหน้าเซลฟี่ที่มาพร้อมความละเอียดกว่า 16 ล้านพิกเซล ช่วยทำให้การถ่ายเซลฟี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆอีกต่อไป เพราะด้วยความละเอียดดังกล่าวสามารถนำภาพสวยๆไปอัดลงกระดาษเพื่อสะสมได้อย่างสบาย อีกทั้งโหมดของการถ่ายภาพที่มีให้อย่างหลากหลายก็ช่วยเพิ่มความสามารถด้านการถ่ายภาพได้อย่างสะดวกมากขึ้น

008

จุดเด่นของออปโป้ในสมาร์ทโฟนแทบทุกรุ่นนั่นคือระบบปรับแต่งภาพอัตโนมัติ ซึ่ง OPPO F1s ก็ได้รับการพัฒนาระบบดังกล่าวด้วย Beautify 4.0 ซึ่งจะช่วยแก้ไขจุดบกพร่องของภาพและใบหน้าได้สวยใสอย่างเป็นธรรมชาติ โดยระบบจะทำงานอัตโนมัติเมื่อเลือกโหมดบิวตี้ในการถ่ายภาพ

009

009-2

โหมดเซลฟี่พาโนราม่า ช่วยให้มุมการถ่ายเซลฟี่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่หน้าคนอีกต่อไป เพราะสามารถเลือกถ่ายเซลฟี่แบบพาโนราม่า เพื่อเก็บบรรยากาศรอบข้างได้ตามต้องการ ทำให้สะดวกมากขึ้นในการเดินทางคนเดียวและอยากถ่ายภาพด้วยตนเองโดยที่ไม่ต้องเรียกหาอุปกรณ์เสริมเช่นไม้เซลฟี่อีกต่อไป

010

ระบบการสแกนลายนิ้วมือที่ออปโป้เคลมว่าสามารถตอบสนองการสแกนได้เร็ว ทนทานต่อการใช้งาน โดยสามารถแยกล็อคแอปพลิเคชันได้ตามนิ้วที่ต้องการ และเป็นทางลัดเพื่อการเข้าสู่แอปที่ต้องการจากการสแกนนิ้ว ทำให้เรียกใช้งานแอปได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถเรียนรู้และจดจำลายนิ้วมือที่ซับซ้อนได้อย่างแม่นยำ

011

การเชื่อมต่อแบบ OTG นับเป็นอีกหนึ่งความต้องการที่สำหรับการใช้สมาร์ทโฟนช่วยทำงาน เพราะบางครั้งการย้ายข้อมูลด้วยอุปกรณ์เสียบเข้าช่องไมโครยูเอสบี ก็เพิ่มความสะดวกในการเรียกหาข้อมูลเพิ่มเติมได้อย่างทันที อีกทั้งยังสามารถเปิดปิดฟังก์ชันนี้ได้อย่างง่ายดายในส่วนของการตั้งค่าอีกด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพ

Untitled-1

การทดสอบผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพแอนดรอยด์อย่าง Quadrant Standart และ Antutu X ได้คะแนน 21,472 คะแนน และ 28,493 คะแนน ตามลำดับ

4

5

as

ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo จากโครมเบราว์เซอร์ 2,091 คะแนน ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ (Metal) 1,123 คะแนนMulticore 1,496 คะแนน คะแนน ส่วนโปรแกรม PCMark ในส่วนของ Work Performance ได้ 3,111 คะแนน 3D Mark ตัว Sling Shot ES3.1 ได้ 240 คะแนน Antutu 3D Rating Benchmark V 4.00 Beta OpenGL ES 3.0 5,819 คะแนน Ice Storm Unlimited ได้ 7,348 คะแนน ส่วน Ice Storm Extreme 4,925 คะแนน

6

ทั้งนี้คะแนน CF-Bench สามารถดูรายละเอียดได้จากด้านบนนี้

012

การทดลองโดยรวมของการใช้งาน ประสิทธิภาพของการใช้งานด้านแบตเตอรี่สามารถทำงานได้เกิน 1 วัน อีกทั้งระบบการชาร์จไฟฟ้าก็รวดเร็วเป็นอย่างดี การเรียกใช้งานแอปพลิเคชันยังไม่พบการกระดุกหรือเปิดแอปพลิเคชันไม่ขึ้นแต่อย่างใด ทำให้การใช้งานโดยรวมถือว่าทำคะแนนผ่าน

013

ด้านการถ่ายเซลฟี่ ซึ่งสามารถเปิดโหมดพาโนราม่าในการถ่ายเซลฟี่ได้ โดยภาพที่ได้พบว่าน่าพอใจ ด้วยมุมมองที่กว้างขึ้นแม้ว่าจะไม่ใช้อุปกรณ์เสริม หรือแม้กระทั่งการเกลี่ยแสงของภาพที่แม้ว่าจะเป็นมุมที่ถ่ายย้อนแสงแล้วก็ตาม ขณะที่การถ่ายภาพกลางคืนในภาวะแสงน้อย OPPO F1s ยังไม่น่าพอใจเท่าไหร่

สุดท้ายการพัฒนาโหมดวีอาร์สำหรับการเล่นเกมที่กำลังนิยมกัน OPPO F1s ที่อัปเกรดซอฟต์แวร์แล้วก็สามารถเปิดโหมดนี้เล่นเกมได้เช่นกัน ซึ่งโดยรวมของการใช้งานโหมดนี้พบว่ากำลังของเครื่องมีการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่พบการกระตุกให้เห็น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าการเล่นเป็นระยะเวลานานจะเกิดผลอย่างไรในอนาคตหรือไม่ แต่เบื้องต้นถือว่าคุ้มค่าที่จะใช้

สรุป

OPPO F1s เป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนที่ราคาไม่แรง แต่มาพร้อมฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน อีกทั้งจุดเด่นของกล้องด้านเซลฟี่ที่หลายคนชื่อชอบก็เป็นสิ่งดึงดูดให้น่าสนใจมากขึ้น แต่กระนั้นถ้าวัดกันที่ด้านกล้องก็ต้องบอกว่า F1s ยังทำได้ไม่สุด แม้ว่าความละเอียดของกล้องจะสูงแต่ความคมชัดและการเก็บรายละเอียดด้านแสงยังเทียบชั้นกับคุณภาพกล้องที่โดดเด่นในท้องตลาดยังไม่ได้ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าระดับราคาเช่นนี้ แต่รวมความสามารถหลากหลายฟีเจอร์ไว้ได้ก็นับว่าคุ้มกับราคาที่เสียไปแล้วนั่นเอง

ข้อดี

  • ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับสเปก
  • กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล ที่ช่วยให้การถ่ายเซลฟี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆอีกต่อไป
  • ฟีเจอร์การถ่ายภาพ Beautify 4.0 ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยแก้ไขภาพได้ทันทีหลังถ่าย
  • ระบบสแกนลายนิ้วมือที่รวดเร็ว
  • ระบบการชาร์จเร็วที่เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน

ข้อสังเกต

  • เลนส์กล้องด้านหลังนูนขึ้นมาเล็กน้อย อาจเกิดการกระแทกได้หากไม่ใส่เคสป้องกัน
  • ตัวเครื่องมีความร้อนพอสมควร เมื่อเกิดการใช้งานในสภาพอากาศร้อนจัด

Gallery

]]>
Review : ASUS Zenfone 3 Marshall Limited Edition รุ่นกลางสุดคุ้มค่า https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-zenfone3-marshall/ Sun, 28 Aug 2016 07:36:48 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=23587

IMG_6252

หลังจากประสบความสำเร็จกับสมาร์ทโฟนคุ้มค่าคุ้มราคาในตระกูล Zenfone ไปแล้วเมื่อปีก่อน ปีนี้เอซุส (ASUS) เลยขอคิดต่างจากเดิมด้วยการขยายครอบครัว Zenfone ออกไปมากถึง 7 รุ่นครอบคลุมทุกตลาดตั้งแต่ระดับเริ่มต้นราคาหลักพันถึงแฟลกชิปสองหมื่นปลายๆ เริ่มตั้งแต่ Zenfone 3 Max, Zenfone 3 Laser, Zenfone 3 5.2 นิ้ว, Zenfone 3 5.5 นิ้ว, Zenfone 3 Ultra และรุ่นท็อป Zenfone 3 Deluxe แบ่งเป็น 2 รุ่นได้แก่รุ่นใช้ชิป Snapdragon 820 กับ Snapdragon 821

IMG_6130

โดยรุ่นที่เอซุสจะเริ่มทำตลาดก่อนในช่วงแรกก็คือรุ่นกลางที่ได้ชื่อว่าเป็นรุ่นที่คุ้มค่าคุ้มราคาที่สุดกับ Zenfone 3 5.2 นิ้ว, Zenfone 3 5.5 นิ้ว โดยในรุ่น 5.5 นิ้ว (รุ่นที่ทีมงานจะรีวิวให้ชมในบทความนี้) จะมีการแถมหูฟัง Marshall Major 2 แบบจำนวนจำกัด ส่วนรุ่นอื่นๆอีก 5 รุ่นรอการประกาศจากเอซุสประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง

การออกแบบ

IMG_6197

IMG_6221

เริ่มจากการออกแบบ ASUS Zenfone 3 รุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบเป็นรหัส ZE552KL โดยตัวเครื่องมาพร้อมหน้าจอ Super IPS+ มีระบบตัดแสงสีน้ำเงิน (Bluelight Filter) ขนาดหน้าจออยู่ที่ 5.5 นิ้วความละเอียด 1,920×1,080 พิกเซล (401ppi) กระจกจอเป็น 2.5D Corning Gorilla Glass 3 ขอบจอมีความโค้งมนเล็กน้อยตามสมัยนิยม

ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f2.0 ใต้จอภาพเป็นส่วนของ Navigation Buttons แบบเดียวกับ Zenfone รุ่นก่อน (ไม่มีไฟส่องสว่างใต้ปุ่มกด)

IMG_6223

ด้านขนาดตัวเครื่องกว้าง 77.38 มิลลิเมตร ยาว 152.59 มิลลิเมตร หนา 7.69 มิลลิเมตร พร้อมน้ำหนัก 155 กรัม

IMG_6212

IMG_6219

ส่วนสเปกกล้องหลัง เอซุสอัปเกรดไปใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX298 ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง f2.0 ประกบหน่วยประมวลผลภาพ Pixel Master 3.0 พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS/EIS แบบ 4 แกน และระบบออโต้โฟกัส TriTech AF รวมเทคโนโลยีโฟกัสแบบทั้ง Laser AF, Phase Detection AF และ Continuous AF เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ออโต้โฟกัสสามารถจับโฟกัสได้รวดเร็วด้วยเวลาเพียง 0.03 วินาทีเท่านั้น

ถัดจากกล้องไปทางขวามือเป็นไฟแฟลช และด้านล่างเป็นส่วนของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scan)

IMG_6231

IMG_6255

มาดูด้านข้างตัวเครื่องจะเห็นว่าทุกด้านเอซุสเลือกใช้เฟรมโลหะมาเชื่อมต่อกับกระจกหน้าหลัง ทำให้ตัวเครื่องมีความแข็งแรง ในส่วนพอร์ตและปุ่มกดต่างๆ เริ่มจากด้านซ้ายของตัวเครื่อง จะเป็นที่อยู่ของช่องใส่ซิมการ์ด 2 ช่อง แบ่งเป็นช่องใส่ซิมที่ 1 รองรับซิมการ์ดแบบ Micro SIM ส่วนช่องใส่ซิมที่ 2 รองรับซิมการ์ดแบบ Nano Sim พร้อมแชร์กับช่องใส่การ์ดความจำ MicroSD (รองรับความจุสูงสุด 256GB) จะใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์หรือการ์ดความจำต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง

IMG_6233

ด้านขวา จะเป็นที่อยู่ของปุ่มเปิดปิดเครื่องและปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง

IMG_6235

ด้านบน เป็นส่วนของเสารับสัญญาณโทรศัพท์, ช่องไมโครโฟนรับเสียงตัวที่สองและช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร

IMG_6234

ด้านล่าง เริ่มจากส่วนของเสาสัญญาณ ช่องไมโครโฟนรับเสียงหลัก รองรับ ASUS NoiseZero Talk Technology ตรงกลางเป็นช่อง USB-C (รองรับ Quick Charge 3.0) ถัดไปเป็นลำโพง

IMG_6249

โดยอะแดปเตอร์ชาร์จไฟที่ให้มากับ ASUS Zenfone 3 Marshall Limited Edition จะเป็นอะแดปเตอร์สเปก 5V 2A 10W

หูฟัง Marshall Major 2

IMG_6162

IMG_6159

สำหรับหูฟัง Marshall Major 2 รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ออกแบบมารองรับเฉพาะแอนดรอยด์ ถ้าซื้อแยกต่างหากจะมีราคาค่าตัวเกือบ 5 พันบาทแต่เอซุสก็ใจดีแถมมาให้กับ Zenfone 3 เฉพาะหน้าจอ 5.5 นิ้ว (จำนวนจำกัดนะครับ) โดยจุดเด่นของหูฟังตัวนี้คือมาพร้อมกับส่วน Small Talk และปุ่มควบคุมการเล่นเพลงผ่านสมาร์ทโฟน

IMG_6136

IMG_6152

อีกทั้งสายแจ็คยังสามารถถอดแยกกับหูฟังได้ด้วย ซึ่งถ้าสังเกตบริเวณช่องเสียบแจ็คหูฟังจะมีทั้งฝั่งซ้ายและขวา ผู้ใช้สามารถนำแจ็คมาเสียบข้างใดก็ได้ โดยช่องเสียบแจ็คอีกข้างที่ปล่อยโล่งไว้ คุณสามารถนำ Marshall Major 2 อีกตัวมาเชื่อมต่อเพื่อแชร์เสียงจากหูฟังตัวหลักไปยังหูฟังตัวที่สองได้ด้วย

ด้านเอกลักษณ์ของเสียงที่ออกมาจาก Marshall Major 2 จะเด่นเรื่องเสียงเบสที่หนักแน่นเป็นพิเศษ เหมาะแก่การฟังเพลงแนว Rock, Metal, Hardcore, Alternative เป็นหลัก

สเปก ASUS Zenfone 3 5.5 นิ้ว

spec-zen3

กลับมาที่เรื่องสเปกของพระเอกกันต่อ ASUS Zenfone 3 5.5 นิ้ว ขับเคลื่อนด้วยซีพียู Qualcomm Snapdragon 625 (Octa-core 64 bit) ความเร็ว 2.0GHz กราฟิกใช้ Adreno 506 GPU แรมให้มา 4GB รอม 64GB (เหลือให้ใช้งานจริงประมาณ 51.21GB) แบตเตอรี 3,000mAh ขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 6.0.1 (Marshmallow)

cellular-zen3

มาถึงเรื่องการรองรับเครือข่ายต่างๆ เริ่มจาก 3G/4G รองรับ Full NetCom 3.0 (แต่มีข้อแม้ว่าถ้าใส่สองซิม ซิมสองมีคนโทรเข้า ซิมแรกจะใช้งานอินเตอร์เน็ตไม่ได้) ส่วนคลื่นความถี่ รองรับทุกคลื่นความถี่ที่มีในบ้านเราทั้งหมด โดยในส่วนของ 4G จะรองรับความเร็วสูงสุดที่ Cat7 300Mbps อีกทั้งยังรองรับ VoLTE และ Carrier Aggregation แบบ 2CA

มาดูเรื่อง WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 b/g/n/ac ที่ความเร็วสูงสุด 433Mbps, บลูทูธ 4.2, GPS รองรับทั้ง A-GPS GLONASS และ BDSS อีกทั้งตัวเครื่องยังมาพร้อมภาครับสัญญาณ FM ในตัว สามารถเชื่อมต่อหูฟังเพื่อฟังวิทยุได้

ซอฟต์แวร์และฟีเจอร์เด่น

home1-zen3

home2-zen3

เริ่มจากยูสเซอร์อินเตอร์เฟส ใน Zenfone 3 เอซุสอัปเดต Zen UI เป็นเวอร์ชัน 3.0 ที่เน้นเรื่องความเรียบง่ายตามสมัยนิยม อีกทั้งยังปรับปรุงประสิทธิภาพ การบริโภคหน่วยความจำให้ลื่นไหลขึ้น

home3-zen3

อีกทั้งจุดเด่นหลักของยูสเซอร์อินเตอร์เฟส Zen UI อย่างการปรับแต่งธีมก็สามารถทำได้ พร้อมมีคลังธีมให้เลือกดาวน์โหลดได้ตามความต้องการด้วย

otherapps-1-zen3

otherapps-3-zen3

ส่วนจุดเด่นเรื่องซอฟต์แวร์ช่วยเหลือและแอปพลิเคชันอำนวยความสะดวกจากโรงงาน เอซุสจัดเต็มมามากมายแบบเหลือกินเหลือใช้เช่นเดิม ตั้งแต่ MiniMovie, TripAdvisor, Puffin เกม Sim City/Need for Speed No Limit เป็นต้น ซึ่งถ้าผู้ใช้ท่านใดมองว่ากินพื้นที่เพราะไม่ได้ใช้งานก็สามารถสั่ง Uninstall ลบออกได้

keybaord-zen3

ด้านคีย์บอร์ดถือเป็นอีกส่วนที่มีความยืดหยุ่นสูงมาก เพราะผู้ใช้สามารถปรับแต่งเลย์เอาท์ เลือกธีม ปรับ Emoji ได้หลากหลาย อีกทั้งตัวคีย์บอร์ดยังมาพร้อมระบบเดาคำศัพท์รองรับทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษและภาษาอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี เป็นต้น

mobile-manage-zen3

Mobile Manager – ปัจจุบันสมาร์ทโฟนที่ทำงานบนแอนดรอยด์ 6.0 จะต้องมาพร้อมส่วนจัดการพลังงานทุกรุ่น โดยใน Zenfone 3 จะเป็นส่วนหนึ่งของ Mobile Manager หรือส่วนจัดการระบบตัวเครื่อง ที่มีให้ผู้ใช้สามารถเลือกปรับแต่งหลักๆได้ตั้งแต่

1.จำกัด Data usage ที่ผู้ใช้สามารถตั้งลิมิตการใช้ Mobile Data 3G/4G ได้ว่าเดือนหนึ่งจะใช้ได้เท่าไร รวมถึงจำกัดการเรียกใช้ดาต้าอินเตอร์เน็ตของแต่ละแอปฯที่อยู่ในเครื่องได้แบบละเอียดยิบ

2.Power saver เลือกโปรไฟล์พลังงาน รวมถึงให้ระบบสแกนแอปฯที่เรียกใช้พลังงานที่มากเกินไปจนเข้าข่ายน่าสงสัยและรายงานให้เราทราบได้ รวมถึงจัดการแอปฯที่ทำงาน Background ได้อย่างอิสระ

3.Boost เป็นจุดเด่นของเอซุสทุกรุ่น ที่เมื่อผู้ใช้กดปุ่มนี้ทั้งจากส่วนของ Notification หน้าโฮมหรือภายในแอปฯนี้ ระบบจะทำการเคลียร์แรมให้

4.Cleanup ลบไฟล์ขยะ แคชไฟล์ต่างๆ

fingerprint-zen3

Fingerprint Scan – ใน Zenfone 3 จะมาพร้อมระบบสแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อกหน้าจอ โดยระบบจะเป็นไปตามมาตรฐานของกูเกิลและแอนดรอยด์ยุคใหม่ทั้งหมด (เซ็นเซอร์ใช้การสัมผัสเบาๆ หน้าจอจะปลดล็อกทันที โดยไม่ต้องกดปุ่มเปิดปิดหน้าจอก่อน)

audio-zen3

Hi-Res Audioครั้งนี้เอซุสเซอร์ไพรส์คนชอบฟังเพลงหูเทพด้วยการรองรับ Hi-Res Audio 24-bit/192KHz แบบเต็มรูปแบบทั้งในส่วนของการเล่นไฟล์ FLAC Hi-Res และรองรับการเชื่อมต่อกับหูฟังที่ออกแบบมาเฉพาะ Hi-Res Audio ด้วย

ส่วนการใช้ฟังเพลงทั่วไป ทางเอซุสให้ระบบประมวลผลเสียง SonicMaster มาให้ ซึ่งผู้ใช้สามารถปรับแต่งโปรไฟล์เสียง ปรับเพิ่มเบส เพิ่มเสียงแหลมได้ตามต้องการ อีกทั้งยังสามารถปรับ EQ ได้ 5 ย่านความถี่ด้วย

game-genie1-zen3

game-genie2-zen3

ASUS Game Genie – เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่มาพร้อมกับ Zen UI 3.0 โดยหลักการทำงานก็คือ ตัว Game Genie จะทำงานเมื่อเราเข้าเล่นเกมต่างๆ โดยใน Game Genie จะมีฟีเจอร์ย่อยดังต่อไปนี้

Speed Booster เมื่อกดจะเป็นการเคลียร์แรมและปิดแอปฯที่เราเปิดค้างไว้เพื่อเป็นการเรียกหน่วยความจำกลับคืนมาจนทำให้เกมลื่นไหลขึ้น

Live & record ผู้ใช้สามารถถ่ายทอดสดการเล่นเกมผ่าน YouTube Live, Twitch หรือจะเลือกบันทึกเป็นคลิปวิดีโอเก็บไว้ในเครื่องก็ได้

Search ส่วนค้นหาคลิปวิดีโอจาก YouTube แบบเร่งด่วน สำหรับค้นหาทริป รีวิวเกมที่เรากำลังเล่นอยู่

Share แชร์ภาพสกรีนช็อตหรือวิดีโอไปยังโซเชียลต่างๆ

zencircle-zen3

gallery-zen3

soundrec-zen3

สุดท้ายในส่วนของแอปฯที่น่าสนใจซึ่งมาพร้อมกับ ASUS Zenfone 3 หลักๆจะมี Gallery ที่นอกจากจะมาพร้อมส่วนตกแต่งภาพแล้ว Gallery ยังมาพร้อมระบบใส่รหัสผ่านเพื่อความเป็นส่วนตัวได้ด้วย, Zen Circle โซเชียลสำหรับผู้ใช้ Zenfone และแอปฯบันทึกเสียง ที่นอกจากจะใช้บันทึกเสียงปกติได้แล้ว เวลาโทรศัพท์ยังสามารถกดบันทึกเสียงสายสนทนาได้ด้วย

กล้อง

cam1-zen3

cam2-zen3

กล้องใน ASUS Zenfone 3 เฉพาะรุ่น 5.5 และ 5.2 นิ้ว จะมีสเปกกล้องเหมือนกัน โดยความละเอียดของกล้องหลักจะอยู่ที่ 16 ล้านพิกเซล มี Super Resolution เพิ่มความละเอียดเป็น 66 ล้านพิกเซล ด้วยเทคโนโลยี Deep Trench Isolation Technology โดยทั้งหมดถูกควบคุมและจัดการโดย PixelMaster 3.0

ในส่วนซอฟต์แวร์กล้องถ่ายภาพ เอซุสจัดเต็มด้วยโหมดถ่ายภาพให้เลือกใช้อย่างจุใจตั้งแต่ Auto, Manual ที่ให้ผู้ใช้ปรับความเร็วชัตเตอร์ ชดเชยแสง ปรับระบบโฟกัส White Balance ได้, HDR Pro รวมถึงมีโหมดเฉพาะเหตุการณ์อย่าง ถ่ายภาพเด็ก ถ่ายในที่แสงน้อยมาก ไปถึงความสามารถในการอ่าน QR Code ถ่ายพาโนรามา Slow Motion ทำ Depth of field หรือสร้าง GIF Animation จากกล้องได้ เป็นต้น

นอกจากนั้นในส่วนของการเซลฟี ทางเอซุสยังให้โหมด Beautification สามารถปรับโครงหน้า ทำหน้าเนียน หน้าเด้ง ตาโตได้ตามต้องการ

ด้านโหมดวิดีโอ รองรับความละเอียดสูงสุด 4K

ตัวอย่างภาพถ่ายจาก ASUS Zenfone 3 5.5 นิ้ว

คุณภาพไฟล์ภาพ สำหรับ Zenfone 3 รุ่นที่ทีมงานทดสอบจะใช้เซ็นเซอร์กล้องรุ่นกลาง (ต่างจาก Zenfone 3 Deluxe ที่ใช้เซ็นเซอร์กล้องรุ่นท็อป) เพราะฉะนั้นคุณภาพที่ได้ถือว่าโอเค เป็นไปตามราคา Super Resolution ใช้งานจริงแล้ว คงไว้ใช่ครอปภาพเพื่อลงโซเชียลเท่านั้น

ส่วนเมื่อนำไปเทียบกับรุ่นก่อน ตัวนี้ให้คุณภาพไฟล์ภาพดีกว่ามาก โดยเฉพาะการโฟกัสที่ทำได้รวดเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน

ส่วนการถ่ายวิดีโอ ถึงแม้ทางเอซุสจะเครมว่า Zenfone 3 มาพร้อมระบบกันสั่นแบบฮาร์ดแวร์และออโต้โฟกัสที่เร็วมาก แต่เมื่อทดสอบใช้งานจริงกลับไม่ประทับใจเลย โดยเฉพาะระบบออโต้โฟกัสที่ไม่สามารถโฟกัสแบบต่อเนื่องได้ ไม่รู้เป็นที่ซอฟต์แวร์มีบั๊กหรืออย่างไร อีกทั้งคุณภาพวิดีโอยังอยู่ในเกณฑ์พอใช้เท่านั้น

สรุปส่วนกล้องถ่ายภาพหลัง ยังไม่น่าประทับใจเหมือนกับสเปกที่ให้ไว้อย่างหรูหรา กล้องมีดีที่ตัวซอฟต์แวร์กับโหมดถ่ายภาพที่มีให้เลือกหลากหลาย รวมถึงกล้องหน้าที่ให้คุณภาพค่อนข้างดี

ทดสอบประสิทธิภาพ

bench1-zen3

3D Mark

Sling Shot ES 3.1 = 467 คะแนน
Sling Shot ES 3.0 = 845 คะแนน
Ice Storm Unlimited = 14,061 คะแนน
Ice Storm Extreme = 8,174 คะแนน

PC Mark

Work Performance = 6,423 คะแนน
Storage Score = 3,091 คะแนน

AnTuTu Benchmark = 62,040 คะแนน

Geekbench 3

Single-core = 926 คะแนน
Multi-core = 5,212 คะแนน

bench2-zen3

Quadrant Standard = 39,877 คะแนน

PassMark PerformanceTest Mobile

System = 6,071 คะแนน
CPU Tests = 154,835 คะแนน
Disk Tests = 55,322 คะแนน
Memory Tests = 4,368 คะแนน
2D Graphics Tests = 4,077 คะแนน
3D Graphics Tests = 1,699 คะแนน

Vellamo

Multicore = 2,393 คะแนน
Metal = 1,571 คะแนน
Chrome Browser = 3,519 คะแนน

มาถึงส่วนทดสอบประสิทธิภาพ ต้องเรียนตามตรงว่า Zenfone 3 5.5 นิ้ว ให้ผลลัพท์ทั้งส่วนคะแนนและการใช้งานจริงที่ดีมาก จนกลายเป็นเหมือนจุดแข็งของรุ่นนี้มากที่สุด ประสิทธิภาพโดยรวม ทีมงานขอยกให้เทียบเคียงกับสมาร์ทโฟนไฮเอนด์ของปีที่แล้วอย่าง Samsung Galaxy S6 หรือ iPhone 6 ได้เลย โดยเฉพาะรอมที่ให้มามากถึง 64GB ก็น่าจะเพียงพอต่อการใช้งานในยุคปัจจุบันแล้ว แต่ก็มีผลทำให้ราคาเครื่องแพงขึ้น

จะติดอยู่เรื่องเดียวก็คือแอปฯเสริมที่เอซุสใส่มาให้มากมายเกินความจำเป็นไปเล็กน้อย ถ้าเป็นไปได้อยากให้ตัดออกให้เหลือแค่เฉพาะตัวที่จำเป็นจริงๆ น่าจะช่วยให้เครื่องเบาลง แรมก็จะเหลือมากขึ้น ประสิทธิภาพน่าจะโดดเด่นขึ้น และถ้าเป็นไปได้จัดระเบียบส่วนออปชันตั้งค่า-ปรับแต่งต่างๆให้เรียบร้อยขึ้นจะดีมาก

batttest-zen3

มาดูเรื่องแบตเตอรี ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่น่าประทับใจต่อจากส่วนประสิทธิภาพประมวลผล เพราะใน Zenfone 3 5.5 นิ้ว (ให้แบตเตอรีมา 3,000mAh) สามารถทำเวลาทดสอบใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานถึง 12 ชั่วโมง 11 นาที และเมื่อทดลองใช้งานในชีวิตประจำวันจริง พบว่าแบตเตอรีสามารถใช้งานตลอดทั้งวันได้สบายๆ ประทับใจกว่าทุกรุ่นที่ผ่านมาเลย

6IMG_6247

มาถึงการทดสอบหูฟังที่แถมมาในรุ่นนี้ (ย้ำว่าที่แถมกับ Zenfone 3 5.5 นิ้วมีจำนวนจำกัดนะครับ) กับ Marshall Major 2 หูฟังที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้สมาร์ทดีไวซ์หูหนักโดยเฉพาะ แน่นอนว่าเหมาะกับการฟังเพลงที่มีดนตรีหนักหน่วง หูฟังจะแสดงศักยภาพได้ดีมาก แต่เมื่อลองกับเพลงเบาๆ Jazz หรือเพลงช้าๆที่ใช้กีตาร์โปร่งเป็นหลัก Major 2 อาจให้ผลลัพท์ที่ไม่ดีนัก เสียงที่ออกมาจะดูเบาบางพร้อมตวามทู่เล็กน้อย และอาการจะหนักขึ้นเมื่อฟังเพลงจากไฟล์ Hi-Res Audio Major 2 ให้เสียงที่ไม่ดีนัก (ทุกอย่างฟังดูเบาบางไปหมด) แต่ก็อย่างว่า Major 2 ไม่ได้ออกแบบมาให้รองรับการฟัง Hi-Res อยู่แล้ว

อีกส่วนที่ต้องกล่าวถึงก็คือ โครงหูฟังและส่วนของ earcup ที่มีข้อดีคือกระชับ สวมใส่แล้วแน่นจนเสียงรบกวนภายนอกเข้ามาได้น้อย แต่สำหรับคนใส่แว่นส่วนของ earcup จะมีปัญหาไปบีบขาแว่นเล็กน้อย ใส่ไปนานๆอาจรู้สึกเจ็บได้

สรุป

2IMG_6229

สำหรับราคาค่าตัว ASUS Zenfone 3 5.5 นิ้ว อยู่ที่ 14,990 บาท มีให้เลือก 4 สีได้แก่ สีทอง, สีน้ำเงิน, สีดำ และสีขาว ส่วนราคารุ่นอื่นลองไปติดตามได้ในเว็บไซต์ ASUS Thailand

หลายคนเห็นราคาของรุ่นนี้ แล้วอาจบ่นว่าแพงไม่สมกับจุดขายของ Zenfone ที่เน้นราคาประหยัดเหมือนสมัยก่อน อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจแบบนั้นครับ เพราะความจริงแล้ว Zenfone 3 มีซีรีย์ย่อยอีก 7 รุ่น และราคาเริ่มต้นก็มีตั้งแต่หลักพันไปถึงสองหมื่นบาท เนื่องจากเอซุสต้องการให้จับตลาดครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยรุ่น 5.5 นิ้ว Snapdragon 625 เป็นรุ่นกลางที่เอซุสต้องการยกระดับทั้งการออกแบบ วัสดุ ด้วยกระจก 2.5D หน้าหลังและประสิทธิภาพให้ใกล้เคียงรุ่นท็อป (แรม 4GB รอม 64GB) ซึ่งทั้งหมดเมื่อรวมกับประสิทธิภาพที่ทดสอบได้ ทีมงานก็มองว่าคุ้มค่าคุ้มราคาพอตัว ยิ่งเป็นชุดที่แถมหูฟัง Marshall Major 2 ด้วยแล้วถือว่าคุ้มค่ามาก แต่น่าเสียดายที่เอซุสทำเป็น Limited Edition ไม่อย่างนั้นรุ่นนี้จะจัดให้เป็นรุ่นคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุดของปีนี้ได้เลย

ข้อดี

– ตัวเครื่องออกแบบแน่นหนาและหรูหราขึ้นด้วยกระจกประกบหน้าหลัง
– ประสิทธิภาพภายในอยู่ในเกณฑ์ดี ลื่นไหล รวดเร็ว
– รอม 64GB แรม 4GB
– รองรับ Hi-Res Audio
– ASUS Game Genie ออกแบบฟีเจอร์มาได้น่าสนใจ
– แบตเตอรีทำเวลาทดสอบต่อเนื่องได้น่าประทับใจมาก สามารถใช้งานทั่วไปได้ข้ามวัน

ข้อสังเกต

– กล้องถ่ายภาพหลักยังให้ประสิทธิภาพธรรมดาไม่เหมือนกับสเปกที่เขียนไว้หรูหรามาก
– ซอฟต์แวร์เสริมจากโรงงานให้มามากเกินจำเป็น
– ถ้าเล่นไฟล์เพลง Hi-Res Audio คุณภาพสูงสุด 24-bit/192KHz บางครั้งมีอาการเสียงสะดุด
– การจับถือตัวเครื่องไม่ค่อยกระชับมือ ยิ่งมาเจอกระจกประกบทั้งหน้าหลัง จับไม่ดีเครื่องหลุดมือได้ง่าย

*รุ่นนี้ใช้พอร์ต USB-C เชื่อมต่อข้อมูลและชาร์จไฟ

Gallery

]]>
Review : Samsung Galaxy A9 Pro จอใหญ่ แบตอึด ราคาดี https://cyberbiz.mgronline.com/review-samsung-galaxy-a9pro/ Mon, 22 Aug 2016 09:25:40 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=23525

IMG_5699กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่กำลังได้รับความนิยมในตลาดขึ้นมาทันทีหลังจาก Pokemon Go เปิดให้บริการในประเทศไทย เนื่องจากตัว Galaxy A9 Pro มีจุดเด่นอยู่ที่แบตเตอรีขนาด 5,000 mAh ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องกังวลแบตเตอรีหมดระหว่างวัน จนถึงกับที่ทางซัมซุงคิด “#อวสานพาวเวอร์แบงก์ขึ้นมาให้ใช้กันเลยทีเดียว

ก่อนหน้านี้ ทีมงานเคยเขียนถึง “4 จุดห้ามพลาดใน Galaxy A9 Pro” ซึ่งสามารถย้อนกลับไปอ่านกันได้ มาถึงในการรีวิวครั้งนี้ จะเน้นไปที่การใช้งานจริง เพื่อลงลึกในรายละเอียดของ Samsung Galaxy A9 Pro ที่ซัมซุงทำราคาจำหน่ายออกมาได้น่าสนใจ ที่ 15,900 บาท เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนจอ 6 นิ้วในท้องตลาด

การออกแบบ

IMG_5696

แม้ว่ารูปทรงการดีไซน์สมาร์ทโฟนของซัมซุง ในช่วงหลังๆจะเหมือนกันหมดแทบทุกซีรีส์ แต่ก็ยังมีจุดแตกต่างที่สัมผัสได้คือเรื่องของวัสดุ ที่ผลิตภัณฑ์ในตระกูล Galaxy A จะแข็งแรงกว่าในตระกูล Galaxy J เพราะขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับสินค้าในตระกูล Galaxy S และ Note พร้อมกับการใส่ฟังก์ชันพิเศษเข้ามาช่วยให้ใช้งานได้ง่าย

โดย Galaxy A9 Pro จะมีขนาดรอบตัวอยู่ที่ 80.9 x 161.7 x 7.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 210 กรัม มีวางจำหน่ายด้วยกัน 3 สี คือ ทอง เงิน และดำ  ซึ่งแน่นอนว่าด้วยขนาดของหน้าจอที่ใหญ่ ทำให้เวลาจับถือไม่สามาถใช้งานได้ด้วยมือข้างเดียว จุดนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้แล้วว่าชอบที่จะใช้งานสมาร์ทโฟนจอใหญ่เครื่องเดียวแทนทั้งแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนไปเลย หรือจะเลือกพก 2 เครื่องทั้งสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต แต่ถ้าเป็นผู้หญิงที่มือเล็กน้อยอาจจะมีปัญหาในการจับมือเป็นระยะเวลานานที่จะเมื่อยมือได้จากน้ำหนักของตัวเครื่อง

ด้านหน้าไล่จากส่วนบนจะเป็นช่องลำโพงสนทนา ที่ทำนูนเป็นตะแกรงออกมาจากตัวเครื่องเล็กน้อย โดยมีเซ็นเซอร์ตรวจจับใบหน้า และเซ็นเซอร์วัดแสง อีกฝั่งจะเป็นกล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ถัดลงมาเป็นโลโก้แบรนด์ “SAMSUNG” สีเงินพาดอยู่บนหน้าจอ

ส่วนหน้าจอจะเป็น HD SuperAMOLED ขนาด 6 นิ้ว ความละเอียด Full HD ที่ทำขอบจอมาบางเพื่อให้ขนาดคัวเครื่องไม่ใหญ่จนเกินไป ล่างหน้าจอจะมีปุ่มโฮม ที่ใช้เป็นจุดสแกนลายนิ้วมือเช่นเดิม (สามารถกด 2 ครั้งเพื่อเปิดกล้องได้เมื่อเปิดใช้งานเครื่องอยู่ และ กด 3 ครั้งถ้าล็อกหน้าจอเพื่อเข้าโหมดกล้อง) โดยมีปุ่มย้อนกลับอยู่ทางขวา และ เรียกดูแอปย้อนหลังทางซ้าย

IMG_5697

ด้านหลังด้วยการที่เป็นสินค้าในตระกูล Galaxy A ทำให้ฝาหลังจะใช้กระจกเช่นเดียวกับด้านหน้าเพื่อให้ความหรูหราแก่ตัวเครื่อง และแน่นอนว่าเป็นกระจกที่มีจอโค้ง 2.5d ทำให้ขอบกระจกโค้งรับไปกับตัวเครื่อง โดยมีกล้องความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ที่นูนออกมาจากตัวเครื่องเล็กน้อย (เป็นรอยค่อนข้างง่าย) และไฟแฟลขอยู่ ลงมาตรงกลางเป็นโลโก้ซัมซุงเช่นเดิม

IMG_5714IMG_5715IMG_5711IMG_5710ด้านซ้ายเป็นปุ่มปรับระดับเสียง ด้านขวามีปุ่มเปิดปิดเครื่อง และถาดใส่นาโนซิม แบบ 2 ซิม ที่สามารถสแตนบาย 3G ได้ทั้งคู่ ด้านบนมีถาดใส่ไมโครเอสดีการ์ด (รุ่นก่อนหน้าจะใช้รวมกับช่องใส่ซิม 2) และรูไมโครโฟนตัดเสียง ด้านล่างเป็นพอร์ตไมโครยูเอสบี ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ลำโพง และรูไมโครโฟน โดยทั้งขอบบนและล่างจะมีแถบรับสัญญาณติดอยู่ด้วย

สเปก

s13

สำหรับสเปกของ Galaxy A9Pro ถือว่าอยู่ในระดับกลางบนของกลุ่มสมาร์ทโฟน จากการแบ่งรุ่นของซีพียูที่ใช้เป็น Qualcomm Snapdragon 652 ที่เป็น Octa-Core 1.8 GHz Cortex-A72  กับ 1.4 GHz Cortex-A53 กราฟิกเป็น Adreno 510 RAM 4 GB พื้นที่เก็บข้อมูลในตัวเครื่อง 32 GB รองรับไมโครเอสดีการ์เพิ่มเติมสูงสุด 256 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 6.0.1

ด้านการเชื่อมต่อรองรับการใช้งาน 2 ซิม ที่สามารถเลือกซิมหลักเป็น 3G/4G และซิมสองเป็น 3G ได้ รองรับการใช้งานทุกคลื่นความถี่ในประเทศไทย ความเร็วในการดาวน์โหลดบน 3G 42.2/5.76 Mbps 4G LTE Cat7 350/50 Mbps นอกจากนี้ก็จะมี Wi-Fi มาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac บลูทูะ 4.2 NFC GPS และวิทยุFM

ฟีเจอร์เด่น

s01

ในแง่ของการใช้งานทั่วไป Galaxy A9Pro ยังคงมาพร้อมกับ TouchWiz UI ที่เป็นเอกลักษณ์ของสมาร์ทโฟนซัมซุงอยู่แล้ว ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าจอในการนำไอค่อนลัด หรือวิตเจ็ตต่างๆมาใส่ได้ตามปกติ โดยเมื่อเลื่อนไปทางซ้ายจะเจอกับหน้ารวมข้อมูลข่าวสารจาก Flipboard ให้ได้ใช้งานกัน หรือถ้าไม่ต้องการก็สามารถกดปิดการทำงานได้

IMG_5704การล็อกหน้าจอของ A9 Pro จะรองรับการสแกนลายนิ้วมือด้วย โดยผู้ใช้สามารถเข้าไปเพิ่มได้ในส่วนของการตั้งค่าหน้าจอล็อกและระบบป้องกัน โดยจะสามารถเลือกได้ว่าใช้งานคู่กับ Pattern หรือ การป้อนรหัส กรณีที่ไม่สามารถสแกนลายนิ้วมือได้จะได้ใช้ช่องทางอื่นแทน เพียงแต่ในส่วนของลายนิ้วมือนั้นสามารถเพิ่มได้เพียง 3 ลายนิ้วมือเท่านั้น

s03ถัดมาในส่วนของการแจ้งเตือนนอกจากมีแสดงวัน เวลา และการแจ้งเตือนต่างๆแล้ว จะมีส่วนสำหรับตั้งค่าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อไวไฟ บลูทูธ ดาต้า ปรับเสียง การหมุนหน้าจอ โหมดห้ามรบกวน การเปิดไฟลท์โหมด ระบบประหยัดพลังงานสูงสุด การเปิดไวไฟฮ็อตสป็อต NFC การซิงค์ข้อมูล รวมถึงโหมด S-Bike การจัดการแอปพลิเคชัน (Recent Apps) สามารถเคลียแอปทั้งหมด และสลับการใช้งานไปมาได้อยู่เช่นเดิม

s02

โหมด S-Bike คือโหมดล่าสุดที่ซัมซุงคิดค้นขึ้นมา และนำมาใส่ไว้ในสมาร์ทโฟนให้ผู้ที่ขับขี่มอเตอร์ไซค์ได้ใช้งาน ซึ่งจะทำได้เพียงการโทรเร่งด่วนเท่านั้น โดยจะทำงานร่วมกับ NFC ที่สามารถนำสติกเกอร์ที่มี NFC ไปติดไว้บนมอเตอร์ไซค์ นำโทรศัพท์ไปสแกนก็จะเข้าสู่โหมด S-Bike ทันที ซึ่งเมื่อเปิดใช้งานแล้ว จะสามารถดูได้เพียงการแจ้งเตือน ตอบข้อความอัตโนมัติ และดูระยะการเดินทางเท่านั้น ส่วนวิธีการออกจากโหมด S-Bike จะใช้วิธีกดที่สัญลักษณ์กลางหน้าจอค้างไว้

s06การใช้งานโทรศัพท์ ยังเป็นอินเตอร์เฟสเดิมที่ผู้ใช้ซัมซุงคุ้นเคย โดยผู้ใช้สามารถกดเลขหมายเพื่อคาดเดารายชื่อจากในระบบได้ทันที หน้าจอขณะสนทนาสามารถเพิ่มสาย พักสาย ปิดไมค์ เปิดลำโพง เรียกปุ่มกด สมุดจดขึ้นมาใช้งานได้ตามปกติ หน้าจอรับสายก็จะมีแสดงรูปผู้ติดต่อ ชื่อ เลขหมาย โดยให้เลื่อนปุ่มเพื่อรับสายเหมือนเดิม แต่ในกรณีที่ใช้งานโทรศัพท์อยู่ จะมีการแสดงสายเรียกเข้าที่แถบบนแทน เพื่อให้สามารถกดรับได้ทันที

s04

แป้นคีย์บอร์ดที่ให้มากับเครื่อง ผู้ใช้สามารถเลื่อนซ้าย-ขวา ที่ปุ่มสเปซบาร์เพื่อสลับภาษาได้ทันที ซึ่งถ้าไม่เคยใช้งานมาก่อนอาจจะไม่ชิน แต่เมื่อใช้ไปสักพักจะเริ่มใช้งานได้คล่องขึ้น สามารถกดเปลี่ยนภาษา เรียกใช้งานสัญลักษณ์พิเศษต่างๆได้ตามปกติ รองรับการทำงานทั้งแนวตั้ง และแนวนอน

s11

ส่วนของกล้องถ่ายภาพก็ใช้ยังอินเตอร์เฟสแบบเดิมที่คุ้นชินกันแล้ว โดยแถบซ้ายจะเป็นปุ่มลัดไว้ตั้งค่าการถ่ายภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใส่เอฟเฟกต์สี ตั้งเวลาถ่ายภาพ แฟลช ความละเอียดภาพ และเข้าไปดูการตั้งค่าทั้งหมด ส่วนฝั่งขวาก็จะส่วนไว้ดูรูปที่ถ่าย ปุ่มอัดวิดีโอ ปุ่มถ่ายภาพนิ้ง สลับกล้องหน้าหลัง และเลือกโหมดถ่ายภาพ

s12

สำหรับโหมดการถ่ายภาพที่มีมาให้เบื้องต้นประกอบไปด้วยอัตโนมัติ โหมดโปร (สามารถปรับการชดเชยแสง ISO และ WB ได้เท่านั้น) โหมดพาโนราม่า โหมดถ่ายภาพต่อเนื่อง โหมดชดเชยแสง โหมดถ่ายภาพกลางคืน ซึ่งผู้ใช้สามารถเข้าไปดาวน์โหลดโหมดกีฬา บิวตี้ เซลฟี่กล้องหลัง และทำภาพเคลื่อนไหว (Gif) เพิ่มเติมได้

โดยกล้องหลังของ A9Pro ที่ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับ F1.9 ทำให้สามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ค่อนข้างดี (แต่ยังไม่เทียบเท่ากับรุ่นพี่อย่าง Galaxy S6 หรือ S7) ส่วนกล้องหน้าที่ให้มา 8 ล้านพิกเซล ก็ถือว่าเพียงพอกับการถ่ายภาพแบบเซลฟี่อยู่แล้ว และถือเป็นกล้องหน้าที่ชัดสุดในตอนนี้ของทางซัมซุงด้วย

s05s07ขณะที่แอปพลิเคชันที่พรีโหลดมาให้ก็จะเป็นแอปทั่วๆไป ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ ข้อความ กล้อง แกลอรี่ นาฬิกา รายชื่อ การตั้งค่า ปฏิทิน เครื่องคิดเลข เครื่องเล่นเพลง สมุดบันทึก บริการต่างๆจากูเกิล ไมโครซอฟท์ และแอปของทางซัมซุงเองอย่างพวก S-Health แหล่งดาวน์โหลดแอป Galaxy Apps แหล่งรวมสิทธิพิเศษอย่าง Galaxy Gift และ Galaxy Rewards ก็ยังมีมาให้ใช้กันปกติ

s08ส่วนของการตั้งค่าก็มีการแบ่งออกเป็นสัดส่วนอย่างเรื่องของการเชื่อมต่อ  การจัดการแอปพลิเคชัน การตั้งค่าต่างๆของตัวเครื่อง ระบบความปลอดภัย และข้อมูลทั่วไป ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกการตั้งค่าที่ใช้งานบ่อยๆ ขึ้นมารวมไว้ที่บริเวณบนสุดได้ 9 ประเภท เพื่อลดความยุ่งยากในการตั้งค่า

นอกเหนือจากนี้ เมื่อทดลองใช้งาน 2 ซิม การที่ตัวเครื่องรองรับการสแตนบาย 3G ทั้ง 2 ซิม ช่วยให้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องอย่างไม่มีปัญหา ไม่ต้องกังวลเมื่อเข้าไปในพื้นที่ที่มีเฉพาะ 2G เหมือนเมื่อก่อน ซึ่งถือเป็นจุดดีเพราะโทรศัพท์ 2 ซิมส่วนใหญ่ในปัจจุบันซิมที่สแตนบายจะรองรับเพียง 2G เท่านั้น

s09

ในส่วนของแบตเตอรี เท่าที่ลองใช้งานทั่วๆไป ถ้าไม่ได้มีการใช้งานแบบต่อเนื่องมากนัก ใช้แบบทั่วๆไปเปิดใช้งานซิงค์อีเมล โซเชียลมีเดียต่างๆ แบตเตอรี 5,000 mAh สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 2 วันสบายๆ และแน่ใจได้ว่าจะไม่หมดระหว่างวันแม้ใช้งานหนักๆ

IMG_5818

โหมดอย่าง Ultra Power Saving ยังมีมาให้ใช้งานเช่นเดียวกัน ซึ่งระบบจะตัดการทำงานเบื้องหลังที่ไม่จำเป็นออกทั้งหมด ทำให้ตัวเครื่องสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องแม้แบตเตอรีเหลือน้อย โดยยังคงฟังก์ชันใช้งานหลักๆไว้ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ ข้อความ เบราว์เซอร์ และโซเชียลมีเดียต่างๆ แต่การแสดงผลจะเป็นจอสีขาวดำแทน

s17

แต่ถ้าใช้งานในแบบที่จริงจัง อย่างเช่นการเปิดหน้าจอใช้งานต่อเนื่อง นำมาจับโปเกม่อนตลอดเวลาก็อาจจะอยู่ไม่ถึงวัน แต่อย่างน้อยๆ ได้ต่อเนื่องเกิน 6 ชั่วโมงแน่ๆ ขณะที่ในการชาร์จแบตเตอรีขนาด 5,000 mAh ถ้าใช้ที่ชาร์จที่มากับเครื่องจะเป็นระบบ Fast Charge ทำให้สามารถชาร์จได้ 90% ในะเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง และชาร์จจนเต็มในเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง

ทดสอบประสิทธิภาพ

s14

เมื่อทดสอบ ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Quadrant Standart และ Antutu ได้คะแนน 35,492 คะแนน และ 68,429 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 10 จุดพร้อมกัน

s15

ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo จากอินเทอร์เน็ตเบราว์เซอร์ ได้ 3,905 คะแนน แอนดรอยด์เว็บวิวได้ 3,274 คะแนน โครมเบราว์เซอร์ 3,433 คะแนน ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ (Metal) 1,878 คะแนน Multicore 2,586 คะแนน คะแนน Geek Bench 3 Single-Core 1259 คะแนน Multi-Core 4,334 คะแนน

ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรีต่อเนื่องอยู่ที่ 11 ชั่วโมง 45 นาที คิดเป็นคะแนนของ Geekbench 3 ได้ 7,050 คะแนน จากแบตเตอรีที่ใหญ่ถึง 5,000 mAh

s16

ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม PCMark ในส่วนของ Work Performance ได้ 4,918 คะแนน 3D Mark ตัว Sling Shot ES3.1 ได้ 886 คะแนน Sling Shot ES3.0 ได้ 1,334 คะแนน Ice Storm Unlimited ได้ 16,766 คะแนน ส่วน Ice Storm Extreme 10,069 คะแนน และ Ice Storm ที่ทำคะแนนทะลุไป

ส่วน Passmark Performance Test Mobile ได้คะแนน System 7,763 คะแนน CPU 171,035 คะแนน Disk 64,856 คะแนน Memory 7,509 คะแนน 2D Graphics 5,927 คะแนน และ 3D Graphics 1,901 คะแนน

สรุป

จากการทำราคาที่ 15,900 บาท ทำให้ Galaxy A9 Pro ถือเป็นสมาร์ทโฟนในระดับราคาหมื่นกลางๆที่น่าสนใจ จากทั้งการที่เครื่องมีแบตเตอรีขนาด 5,000 mAh รองรับการใช้งาน 3G สแตนบายทั้ง 2 ซิม ที่ทำมาตอบโจทย์การใช้งานสมาร์ทโฟนในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ด้วยเครื่องที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ ส่งผลให้ในช่วงแรก A9 Pro ไม่พอจำหน่ายกันเลยทีเดียว

แน่นอนว่าถ้าเป็นผู้บริโภคที่ไม่ได้ใช้งานสมาร์ทโฟที่มีลูกเล่นพิเศษต่างๆในระดับไฮเอนด์ A9 Pro ถือเป็นรุ่นรองลงมาที่น่าสนใจ เพราะถ้ามองในแง่ของสเปกก็อยู่ในระดับที่มีประสิทธิภาพเพียงพอกับการใช้งานหนักๆในปัจจุบันได้อย่างสบายๆ และกลายเป็นรุ่นที่โดดเด่นที่สุดจากระดับราคาในช่วงเวลานี้

ข้อดี

สมาร์ทโฟนหน้าจอขนาด 6 นิ้ว ขอบจอแคบทำให้ตัวเครื่องไม่ใหญ่จนเกินไป

แบตเตอรี 5,000 mAh ที่สามารถใช้งานได้ 2 วันสบายๆ ถ้าไม่ได้ใช้งานหนัก

รองรับ 3G สแตนบายทั้ง 2 ซิม (เลือกซิมหลักเป็น 3G/4G ซิมรองเป็น 2G/3G พร้อมกันได้)

ข้อสังเกต

ตัวเครื่องอาจจะใหญ่เกินไปสำหรับมือผู้หญิง

ภายในไม่มี Gyroscope ทำให้อาจใช้งานบางฟีเจอร์กับ Pokemon Go ไม่ได้

Gallery

]]>