Cars Tech – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Mon, 29 Oct 2018 20:55:49 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Transcend DrivePro 550 กล้องติดหน้ารถเลนส์คู่บันทึกนอกรถ-ในรถ https://cyberbiz.mgronline.com/review-transcend-drivepro-550/ Mon, 29 Oct 2018 20:55:49 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29597

กล้องหน้ามุมกว้างเลนส์เดียวกลายเป็นมาตรฐานของกล้องหน้ารถยนต์ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ Transcend เจ้าพ่อตลาดหน่วยความจำ และกล้องติดหน้ารถยนต์มองว่า ยังไม่ตอบโจทย์การใช้งานทั้งหมด เลยมีการแนะนำกล้องติดรถยนต์แบบกล้องคู่ออกสู่ตลาดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

ล่าสุดมาถึงในรุ่น Transcend DrivePro 550 ที่ถูกอัปเกรดขึ้นมาอีกนิด จากความสามารถของกล้องคู่ที่สามารถใช้บันทึกภาพจากภายนอกรถ พร้อมกับภาพภายในรถไปพร้อมๆกันได้ หรือจะเลือกหันมุมกล้องเสริมไปช่วยจับภาพด้านข้างรถให้กว้างขึ้น

ข้อดี

กล้องติดหน้ารถยนต์ที่บันทึกได้ทั้งภายนอกภายใน
ควบคุมผ่านแอปพลิเคชันได้
มีการ์ดหน่วยความจำ 32GB มาให้ภายในกล่อง

ข้อสังเกต

ใช้พื้นที่ในการบันทึกวิดีโอเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากการที่มี 2 กล้อง
ถ้าไม่ได้ต้องถ่ายในรถกล้องตัวที่ 2 ก็แทบไม่จำเป็น

แกะกล่อง ติดตั้งใช้งาน

Transcend DrivePro 550 เป็นกล้องติดหน้ารถยนต์ที่ชูจุดเด่นมาในเรื่องของการที่สามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ ด้วยการนำเซ็นเซอร์เลนส์กล้องจากโซนี่มาใช้งาน มีรูรับแสงกว้าง f/2.2 ที่ให้มุมมองกว้าง 160 องศา ครอบคลุมระยะหน้ารถได้

เมื่อแกะกล่องออกมาก็จะพบกับตัวกล้อง ขายึดติดกับกระจกแบบสุญญากาศ ไมโครเอสดีการ์ดขนาด 32 GB สายชาร์จที่ต่อกับที่จุดบุหรี่ภายในรถ และคู่มือแนะนำการใช้งาน เรียกได้ว่านำไปติดกระจกรถก็พร้อมใช้งานได้ทันที

ขนาดตัวกล้องจะอยู่ที่ 95.6 x 65.9 x 40.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 107 กรัม ด้านหน้าก็จะเป็นเลนส์กล้องที่บันทึกได้ความละเอียด 1080p 30fps f/2.2 ที่จะยื่นออกมาจากตัวเครื่อง กับไมค์รับเสียง โดยมีสัญลักษณ์ของ Transcend และ GPS Wi-Fi แสดงไว้ ให้รู้ว่ารองรับ

ส่วนกล้องตัวที่ 2 จะเป็นเลนส์บันทึกภาพวิดีโอความละเอียด 720 f/2.4 จะมีไฟอินฟาเรตติดตั้งมาให้ด้วย เพื่อให้สามารถบันทึกภาพในเวลากลางคืนได้ชัดเจนขึ้น โดยตรงจุดนี้สามารถหมุนมุมได้ราว 270 องศา

ด้านหลังก็จะเป็นจอแสดงผลแบบ TFT LCD ขนาด 2.4 นิ้ว โดยมีปุ่มควบคุม 4 ปุ่มอยู่ด้านล่าง ปุ่มซ้ายสุดไว้เปิดปิดเครื่อง และกดย้อนกลับ ที่เหลือก็จะไว้ใช้เลื่อนขึ้นลง และกดตกลงในการตั้งค่าต่างๆ

ทางด้านขวาจะมีช่องเสียบสายชาร์จแบบไมโครยูเอสบี คู่กับช่องใส่ไมโครเอสดีการ์ด ส่วนปุ่มบันทึกวิดีโอฉุกเฉินสามารถกดได้ที่ปุ่มแดงๆ ที่อยู่ใต้ตัวเครื่อง ส่วนด้านบนก็จะเป็นช่องไว้ยึดกับที่ติดกระจก

การใช้งาน

ในส่วนของโหมดการใช้งาน DP550 จะไม่ต่างจากกล้องติดหน้ารถระดับไฮเอนด์ทั่วไปนัก เพราะจะมีโหมดให้เลือกบันทึกหลักๆ 3 โหมดคือ ปกติ ฉุกเฉิน และถ่ายภาพนิ่ง โดยเลือกระดับความละเอียดของวิดีโอได้ว่าจะบันทึกแบบ 1080p + 720p (กล้องหน้าและหลัง) หรือจะใช้ 720p ทั้งคู่

ถัดมาคือเลือกการแสดงผลบนหน้าจอว่าจะให้แสดงภาพจากเลนส์ไหน หรือทั้ง 2 เลนส์ พร้อมกับเลือกระยะเวลาในการบันทึกวิดีโอเป็นคลิปสั้นๆ 1 3 5 นาที พร้อมเลือกบันทึกแบบวนทับไปเรื่อยๆ เมื่อหน่วยความจำเต็ม ตั้งการบันทึกเสียง เปิดใช้งานเซ็นเซอร์ตรวจจับต่างๆ

รวมไปถึงระบบแจ้งเตือนทั้งขับรถเกินความเร็วที่กำหนด เตือนเวลารถออกนอกเลน ระยะห่างจากรถคันหน้า เตือนให้เปิดไฟหน้ารถ การตั้งค่าระบบนำทางต่างๆ นอกจากนี้ เวลาที่จอดรถก็ตั้งได้ว่าจะให้บันทึกภาพเวลามีการเคลื่อนไหวบริเวณหน้ารถหรือไม่

นอกจากนี้ ก็จะเป็นเรื่องของการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ผ่านไวไฟในการโอนย้ายคลิปต่างๆ ไปจนถึงการดูภาพแบบ Live View ด้วย ทำให้สะดวกเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินก็สามารถนำภาพไปใช้งานได้ทันที ไม่ต้องถอดการ์ดมาใส่กับคอมพิวเตอร์เพื่อเปิดเหมือนรุ่นที่ไม่มีไวไฟ

โหมดการใช้งานต่างๆ

เหมาะกับใคร?

อย่างไรก็ตาม รูปแบบของการใช้งานกล้องหน้ารถยนต์แบบคู่ที่มีกล้องหันเข้ามาบันทึกภาพภายในห้องโดยสาร อาจจะเหมาะกับการใช้งานกับรถที่ใช้ในงานขนส่งสาธรณะมากกว่าการนำมาใช้งานแบบส่วนบุคคล เพราะส่วนใหญ่ถ้าใช้งานส่วนบุคคลก็ไม่ได้มีความจำเป็นต้องบันทึกภาพภายในรถ

กลับกันถ้าเป็นรถแท็กซี่ รถตู้ขนส่ง ไปจนถึงรถโดยสารขนาดใหญ่ การที่มีกล้องบันทึกภาพภายในรถโดยสารก็จะช่วยให้คนขับสามารถอุ่นใจได้มากขึ้นในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หรือเหตุสุดวิสัยต่างๆที่มาจากผู้โดยสายไปในตัว

ขณะที่ถ้านำมาใช้งานส่วนบุคคลก็อาจจะใช้เป็นเหมือนกล้องมุมที่ 2 ในการส่องไปในพื้นที่จุดบอดอย่างด้านข้างรถแทนเพื่อไม่ให้เ้สียประโยชน์ของการมีกล้องคู่มาให้ ส่วนถ้าต้องการใช้เพื่อบันทึกภาพไปจนถึงหลังรถ แนะนำให้ติดกล้องเสริมอีกตัวแล้วมาเชื่อมต่อเข้ากับกล้องหลักแทนจะดีกว่า

]]>
Review : Mio MiVue 729 กล้องติดรถยนต์พร้อมโหมดจับภาพฉุกเฉิน https://cyberbiz.mgronline.com/review-mio-mivue-729/ Thu, 11 Oct 2018 10:42:10 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29437

กล้องติดรถยน์กลายเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์มาตรฐานในการใช้ชีวิตบนท้องถนนกันไปเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่คปภ. ออกมาตรการมากระตุ้นให้รถยนต์ติดกล้องด้วยการให้ส่วนลดเบี้ยประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ 5-10%

Mio ที่เป็นหนึ่งในแบรนด์กล้องติดรถยนต์ประสิทธิภาพสูงมีให้เลือกหลายระดับราคาตั้งแต่ไม่กี่พันบาทไปจนถึง 8,900 บาท จึงออกมานำเสนอกล้องรถยนต์ระดับไฮเอนด์อย่าง MiVue 792 ออกสู่ตลาดในฐานะการเป็น DashCam ที่เป็นมากกว่าแค่กล้องติดรถยนต์

MiVue 792 มีความสามารถเด่นในเรื่องของการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 1080p 60fps ที่ให้มุมมองภาพ 140 องศา ที่เป็นฟังก์ชันพื้นฐาน เสริมด้วยความสามารถพิเศษอย่างการเชื่อมต่อไวไฟกับแอปบนสมาร์ทโฟน ระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวในกรณีฉุกเฉิน การแจ้งเตือนจุดตรวจจับความเร็ว เลี้ยวรถออกนอกเลนเป็นต้น

ข้อดี

– กล้องติดรถยนต์ที่มีฟีเจอร์เพิ่มเติม

– รองรับการบันทึกพิกัด GPS

– รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi กับสมาร์ทโฟน

ข้อสังเกต

– ราคาค่อนข้างสูง

– ที่ยึดกระจกเป็นแบบใช้กาว 3M ติด

– ไม่ได้แถม Micro SD การ์ดมาให้ด้วย

ทำความรู้จัก MiVue 792

Mio MiVue 792 วางจำหน่ายในราคา 8,900 บาท แต่กลายเป็นว่าอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องมีเพียงแค่ตัวกล้อง ขาตั้งแบบที่ใช้สติกเกอร์ 3M ในการยึดติดกับกระจก สายชาร์จแบบมินิยูเอสบี และคู่มือการใช้งานเท่านั้น

โดยไม่ได้มีการแถมไมโครเอสดีการ์ดมาให้ หรือตัวขายึดกับกระจกในกรณีที่เปลี่ยนจุดติดตั้ง ก็ต้องใช้การลอกกาว 3M แบบเหนียวพิเศษออกเพื่อติดตั้งใหม่แทน ไม่ได้ใช้ที่ติดกระจกแบบสุญญากาศ

ในขณะที่ตัวกล้อง MiVue 792 ด้านหน้าจะมีเลนส์กล้องที่ให้ความละเอียดวิดีโอสูงสุด 1080p 60fps ที่ใช้เซ็นเซอร์ IMX 291 STARVIS f/1.8 ช่วยให้สามารถบันทึกภาพในเวลากลางคืนได้แม้อยู่ในที่แสงน้อย

โดยมีสัญลักษณ์แบรนด์ Mio อยู่ทางซ้าย และสัญลักษณ์ Wi-FI + GPS อยู่ทางขวา ข้างบนเลนส์กล้องเป็นจุดเชื่อมต่อกับขายึดติดกล้องกับกระจกหน้ารถยนต์ ที่ใช้การใส่เข้าไปเพื่อยึดกับตัวล็อกไว้

ด้านหลังเป็นหน้าจอแสดงผลขนาด 2.7” โดยมีปุ่มเปิดปิดเครื่องอยู่ทางด้านซ้าย ทางด้านขวาจะมีปุ่มอัดภาพฉุกเฉิน (สีส้ม) และปุ่มควบคุมอีก 4 ปุ่มในการกดย้อนกลับ ตกลง เลื่อนขึ้นลง ในการสั่งงานต่างๆ

ที่ใส่ไมโครเอสดีการ์ดจะอยู่ใต้ตัวเครื่อง โดยรองรับการ์ดที่ความจุสูงสุด 128 GB รวมๆ มีขนาดอยู่ที่ 90.2 x 37.05 x 48.8 มิลลิเมตร นำ้หนัก 112 กรัม

Gallery

ฟีเจอร์เสริมที่ช่วยให้กล้องฉลาดขึ้น

ด้วยการที่ตัวกล้องมาพร้อมกับระบบ Wi-Fi ภายในตัวเครื่อง ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน MiVue บนสมาร์ทโฟน เพื่อใช้ดูภาพสดจากหน้าจอได้ทันที หรือจะเลือกดาวน์โหลดไฟล์วิดีโอในช่วงเวลาต่างๆลงมาไว้บนสมาร์ทโฟนก็ได้

ถัดมาคือโหมดการทำงานต่างๆของเครื่อง นอกเหนือจากโหมดพื้นฐานคือการบันทึกวิดีโอ พร้อมเสียง ภาพนิ่ง ก็คือตัว MiVue 792 จะมากับโหมดการแจ้งเตือนเมื่อรถออกจากเลน ระบบเตือนการชนข้างหน้า

โดยเมื่อเปิดใช้การบันทึกวิดีโอแบบ 1080p ที่ 60 fps บนการ์ดขนาด 8 GB จะสามารถบันทึกได้ต่อเนื่อง 50 นาที และเมื่อปรับเป็น 1080p 30 fps จะบันทึกได้เกิน 1 ชั่วโมง โดยจะซอยวิดีโอออกเป็นคลิปละ 3 วินาที และเมื่อบันทึกจนเต็มก็จะวนทับคลิปที่เก่าสุดไปเรื่อยๆตามปกติ

รวมถึงโหมดฉุกเฉิน ที่ภายใน MiVue 792 จะมีเซ็นเซอร์ 3 แกนในการตรวจจับการเคลื่อนไหว เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงแบบทันที (กรณีรถชน) ตัวกล้องจะเข้าสู่โหมดบันทึกภาพฉุกเฉินทันที โดยเป็นการแยกไฟล์วิดีโอออกมาจากโหมดถ่ายภาพปกติ เพื่อป้องกันการอัดวิดิโอวนทับของกล้อง

น่าเสียดายที่ในประเทศไทย ยังไม่รองรับโหมดการแจ้งเตือนกล้องตรวจจับความเร็ว ที่เป็นอีกฟีเจอร์เด่นของ MiVue 792 ที่เปิดใช้งานแล้วในต่างประเทศ ด้วยการนำระบบ GPS มาช่วยในการแจ้งเตือนดังกล่าว

ตัวอย่างการภาพจากกล้อง MiVue792 ที่บันทึกทั้งในเวลากลางวัน และกลางคืน

สรุป

โดยรวมแล้ว Mio MiVue 792 ถือเป็นกล้องติดรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง มีฟังก์ชันเพิ่มเติมให้ใช้งานกล้องได้สะดวกขึ้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์ที่มากกว่ากล้องติดรถยนต์ทั่วไป เพราะฟีเจอร์ที่เพิ่มมาอย่างการเชื่อมต่อ Wi-Fi การแจ้งเตือนในโหมดฉุกเฉินต่างๆ จะเป็นประโยชน์ถ้ามีการนำไปใช้งาน

]]>
พรีวิวสไตล์ไซเบอร์ Chevrolet Captiva 2016 https://cyberbiz.mgronline.com/preview-chevrolet-captiva-2016/ Wed, 20 Jan 2016 23:01:10 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=21236

2016-Chevrolet-Captiva_Ext-front-3Q

เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ในกลุ่ม SUV ที่น่าจับตามองในปีนี้เป็นอย่างมาก เพราะหลังจากเปิดโชว์ตัวในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โปที่ผ่านมา เสียงตอบรับของ Chevrolet Captiva (เชฟโรเลต แคปติวา) Minorchange ปี 2016 อยู่ในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะเรื่อง Safety Features และ Infotainment ที่บรรดาคนไอทีให้ความสนใจไม่แพ้ (PPV) Ford Everest เพราะในครั้งนี้เชฟโรเลตจัดเต็ม จัดใหญ่เพื่อหวังจะดึงความสนใจของผู้ใช้ยุคใหม่ให้ได้

IMG_3646

Chevrolet Captiva 2016 ใหม่ มี 5 รุ่นย่อย 2 เครื่องยนต์ได้แก่

1.เบนซิน 2.4 ลิตร 167 แรงม้า แรงบิด 230 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อน 2 ล้อ อัตโนมัติ FWD
2.เบนซิน 2.4 ลิตร 167 แรงม้า แรงบิด 230 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ อัตโนมัติ AWD
3.ดีเซล 2.0 ลิตร 163 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อน 2 ล้อ อัตโนมัติ FWD
4.ดีเซล 2.0 ลิตร 163 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อน 2 ล้อ อัตโนมัติ FWD (LTZ ท็อปขับเคลื่อน 2 ล้อ)
5.ดีเซล 2.0 ลิตร 163 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ อัตโนมัติ AWD (LTZ)

ล้ออัลลอยแบ่งเป็น 2 รุ่น 2 แบบ แบบแรกเฉพาะรุ่น LSX ให้มาขนาด 18 นิ้ว ขนาดยาง 235/55 R18 ส่วนรุ่น LTZ ให้มาขนาด 19 นิ้ว ทูโทน ขนาดยาง 235/50 R19

สีมีให้เลือก 5 สี  ได้แก่ เทา, ขาว, เงิน, น้ำตาล และดำ
ส่วนสีของเบาะหนังจะมี 2 สี โดยรุ่น LSX จะเป็นสี ดำ Jet Black ส่วนรุ่น LTZ จะเป็นสี Light Titanium

และในวันนี้ทีมงานไซเบอร์บิซจะพาทุกท่านไปชมพรีวิวเรียกน้ำย่อยเทคโนโลยีที่น่าสนใจใน Chevrolet Captiva 2016 ใหม่ ก่อนไปรับชมรีวิวฉบับเต็มสไตล์ไซเบอร์บิซอีกครั้งในช่วงเดือนมีนาคม

แต่ก่อนจะไปรับชมพรีวิว ทีมงานไซเบอร์บิซอยากให้ทุกท่านลองคลิกเข้าไปอ่านบทความนี้กันก่อน

apple-carplay-chrv-captiva2016-demo2

จากบทความที่ทีมงานเคยเขียนไว้เมื่อ 2 ปีก่อน ปัจจุบัน Apple CarPlay เริ่มมีให้ใช้งานกับเครื่องเสียงในรถยนต์หลายรุ่น และแน่นอนว่า Chevrolet Captiva 2016 ใหม่ก็สามารถรองรับ Apple CarPlay, Siri Eyes Free และ Android Auto ได้สมบูรณ์แบบเป็นรถยนต์ในกลุ่มแรกของประเทศไทยแล้ววันนี้

apple-carplay-chrv-captiva2016-demo

สำหรับการใช้งาน Apple CarPlay และ Siri Eyes Free ผู้ใช้ต้องมีสมาร์ทโฟน Apple iPhone 5 เป็นต้นไป ส่วนการเชื่อมต่อต้องทำผ่านสาย USB เพียงอย่างเดียว โดยเมื่อระบบเชื่อมต่อกับรถยนต์ หน้าจอ Infotainment ที่พัฒนาโดยเชฟโรเลตจะถูกแทนที่ด้วยระบบปฏิบัติการของแอปเปิลทันที

IMG_3674

เท่ากับว่า Apple CarPlay จะคล้ายกับการโคลนหน้าจอจากไอโฟนของเราให้ไปอยู่ที่จอสัมผัสของรถยนต์ ผู้ใช้สามารถกดสัมผัสหน้าจอบนรถแทนเพื่อ โทรศัพท์ เล่นเพลงจาก Apple Music, Tunein Radio หรืออ่านข้อความได้เหมือนใช้งานสมาร์ทโฟนปกติ

bring-go-demo-captiva2016IMG_3644

แต่ทั้งนี้สำหรับผู้ใช้ Apple CarPlay ที่ต้องการใช้งานแผนที่นำทาง Apple Maps ปัจจุบันแอปเปิลยังไม่เปิดใช้บริการในประเทศไทย ซึ่งทางเชฟโรเลตก็แก้ปัญหาให้ด้วยการจับมือกับผู้ให้บริการแผนที่ชื่อ “Bring GO” (รองรับการนำทางในประเทศไทยและแผนที่เป็นภาษาไทย) สามารถใช้งานแทนกันได้ระหว่างรอแอปเปิลเปิดแผนที่ในเร็ววันนี้

captiva2016-demo-multi-2

มาถึง Siri Eyes Free ที่เป็นฟีเจอร์ที่หลายคนชื่นชอบมาก เพราะเราสามารถใช้งานสิริได้เหมือนกับบนไอโฟน เพียงกดปุ่มไอคอนรูปคนพูดบนพวงมาลัยค้างไว้ หรือกดปุ่มโฮมที่หน้าจอค้างไว้ สิริจะเริ่มทำงานทันที โดยคุณสามารถสั่งงานให้สิริเปิดเพลง ส่งข้อความ โทรออก หรือแม้แต่เมื่อมีข้อความเข้ามา สิริสามารถอ่านข้อความเหล่านั้นเป็นภาษาไทยได้ด้วย

android-auto-sample

Android Auto (รองรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 5.0 Lollipop เป็นต้นไป) ปัจจุบันยังไม่สามารถใช้งานในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ แต่ทีมงานก็ได้มีโอกาสสัมผัสจากเครื่องต้นแบบที่ทางเชฟโรเลตจัดทำขึ้นมาให้พิเศษเฉพาะงานนี้

โดยภาพรวม Android Auto กับ Chevrolet Captiva 2016 ทำงานได้ค่อนข้างลื่นไหล โดยยูสเซอร์อินเตอร์เฟสจะเหมือน Google Now สามารถโทรออก รับสาย สั่งงานด้วยเสียง ฟังเพลง และใช้งานแผนที่นำทาง Google Maps ได้ด้วย

IMG_3691

สุดท้ายในส่วน Infotainment MyLink พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้วของเชฟโรเลต (สำหรับผู้ใช้ที่ไม่สามารถเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay หรือ Android Auto ได้) ก็สามารถใช้ MyLink เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านบลูทูธ เพื่อเล่นเพลง โทรออก รับสาย หรือเชื่อมต่อเครื่องเล่นมัลติมีเดียผ่านสาย AUX 3.5 มิลลิเมตรหรือฟังเพลงผ่าน USB ได้เช่นเดิม

Safety Features

chevrolet-info-safety

ในส่วนระบบความปลอดภัยแบบ Active ใน Captiva 2016 ใหม่ (ในที่นี่ขอพูดถึงเฉพาะรุ่นท็อปสุดเท่านั้น) ทางเชฟโรเลตตั้งใจใส่ฟีเจอร์มาอย่างครบครันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้กับตลาดประเทศไทย โดยเฉพาะเซ็นเซอร์แจ้งเตือนรอบคันที่เปลี่ยนไปใช้แบบเรดาร์ผสมกับ Ultrasonic ทำให้การแจ้งเตือนแม่นยำและละเอียดมากขึ้น

IMG_3679rear-cam-captiva2016-demo

Rear Cross Traffic Alert – ระบบเตือนการจราจรตัดผ่านด้านหลัง โดยเมื่อเรานำรถเข้าจอดในซองจอดด้วยการเอาหน้าเข้า เมื่อเราต้องการถอยออก เซ็นเซอร์เรดาร์ด้านหลังจะทำการตรวจจับรถที่วิ่งผ่านมุมอับสายตาในระยะ 13 เมตรพร้อมมีเสียงแจ้งเตือนและปรากฏสัญลักษณ์เครื่องหมายตกใจบนจอ MyLink ในทิศทางที่รถด้านหลังวิ่งผ่าน หรือถ้าในสถานการณ์มีรถวิ่งผ่านด้านหลัง 2 คันสวนกัน ระบบสามารถแจ้งเตือนทั้งซ้ายและขวาพร้อมกันได้

Side Blind Zone Alert – ระบบแจ้งเตือนรถในมุมอับสายตาระหว่างขับขี่ที่บริเวณกระจกมองข้าง โดยระหว่างขับรถ ถ้ามีรถวิ่งเข้ามาในมุมอับสายตาข้างรถ ที่กระจกมองข้างจะมีไฟสีส้มปรากฏค้างไว้เพื่อเตือนให้ผู้ขับขี่ระวัง และเมื่อผู้ขับขี่เปิดไฟเลี้ยวจะเปลี่ยนเลนส์ด้านที่มีรถวิ่งอยู่ในมุมอับสายตา ไฟสีส้มจะกระพริบเตือนผู้ขับขี่อีกครั้ง

tpms-captiva2016

Tire Pressure Monitoring system (TPMS) – ใน Captiva ใหม่ ทางเชฟโรเลตได้ติดตั้งระบบตรวจวัดแรงดันลมยางไว้ทั้ง 4 ล้อ โดยสามารถกดดูได้จากหน้าจอ LCD ตรงกลางเรือนไมล์

Chevrolet-Captiva-driver-controls-3

Ionizer – ระบบฟอกอากาศ ช่วยขจัดกลิ่นและสามารถกำจัดแบคทีเรียได้แบบเดียวกับเครื่องฟอกอากาศภายในบ้าน

IMG_3686

ในส่วนระบบความปลอดภัยอื่นๆ (รุ่นท็อปสุด) มีดังต่อไปนี้

1.Self-Levelizer ช่วงล่างด้านหลังสามารถปรับสมดุลขณะบรรทุกหนักได้ ทำให้รถทรงตัวดีขึ้น
2.Electric Parking Brake เบรกมือไฟฟ้า
3.ABS (Anti-lock Braking System) + EBD (Electronic Brakeforce Distribution) ป้องกันล้อล็อก
4.TCS (Traction Control System) ป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล
5.ESC (Electronic Stability Control) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว
6.HBA (Hydraulic Brake Assist) ระบบเสริมแรงเบรกแบบไฮดรอลิก
7.HDC (Hill Descent Control system) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ เมื่อขึ้นทางลาดชัน
8.HSA (Hill Start Assist) ระบบป้องกันการถอยหลัง เมื่อออกตัวบนทางลาดชัน
9.ARP (Anti Roll Control) ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ
10.Rear View Camera กล้องมองหลังพร้อมเส้นกะระยะและเซ็นเซอร์ Rear Park Assist ตรวจจับวัตถุขณะถอยจอด

และทั้งหมดคือพรีวิว Chevrolet Captiva 2016 ใหม่ จะเห็นว่าการมาแบบไมเนอร์เชนจ์ครั้งนี้ ทางเชฟโรเลตเน้นปรับเพิ่มด้านเทคโนโลยี Safety Features แบบเน้นๆ โดยเฉพาะส่วนของ Infotainment ที่ปรับได้ทันสมัยตามยุคได้ดีมาก

แต่ทั้งนี้ถ้าถามถึงเรื่องราคาว่าจะปรับเปลี่ยนไปเท่าไรเมื่อต้องเจอกับโครงสร้างภาษีใหม่ ส่วนนี้คงต้องรอทางเชฟโรเลตประเทศไทยแถลงอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

ในส่วนรีวิวแบบจัดเต็ม รอติดตามได้เร็วๆนี้ครับ

Gallery

]]>
Review : All-New Ford Everest ในมุมไซเบอร์บิซ https://cyberbiz.mgronline.com/review-all-new-ford-everest-cyberbiz/ Thu, 24 Dec 2015 23:00:57 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=20692

DSC01505

ในมุมมองไอที All-New Ford Everest ถือเป็นรถในกลุ่ม PPV Pickup-based Passenger Vehicle (ฟอร์ดเรียกว่า SUV ขนาดใหญ่) อีกหนึ่งรุ่นที่มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดสำหรับตลาดประเทศไทย แน่นอนว่าสื่อไอทีให้ความสนใจกับการมาของ All-New Ford Everest ในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีไม่แพ้การเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่

โดยก่อนหน้านี้ทีมงานไซเบอร์บิซได้มีโอกาสไปร่วมทริปขนาดสั้นเพื่อสัมผัสเทคโนโลยีของ All-New Ford Everest กับทีมฟอร์ดประเทศไทยมาครั้งหนึ่งแล้ว ใน “ลองของจริง 4 เทคโนโลยีใหม่ใน All-New Ford Everest”

และเพื่อเป็นการเก็บรายละเอียดรีวิวที่ตกหล่นไป ทีมงานจึงได้รับ All-New Ford Everest กลับมาทดสอบในส่วนนวัตกรรมและเทคโนโลยีแบบเจาะลึกอีกครั้งหนึ่ง

ผู้ที่ต้องการอ่านรีวิวสมรรถนะการขับขี่ให้กดที่ลิงค์ด้านล่าง

feature-image-everest-2015

DSC01439DSC01411

แต่ก่อนจะไปชมรีวิวนวัตกรรมและเทคโนโลยี เรามากล่าวถึงสเปก All-New Ford Everest รุ่นที่เราทดสอบกันก่อน

สำหรับ Everest ที่ทีมงานได้รับมาเป็นรุ่น เครื่องยนต์ 3.2 ลิตร Titanium+ 4X4 AT รุ่นท็อปสุด (เทคโนโลยีที่เราจะรีวิวในบทความนี้จะอยู่ในรุ่นท็อปสุดเท่านั้น) ของปี 2015 ไม่ใช่รุ่น MY2016 ที่มาพร้อมราคาใหม่ 1,749,000 บาท

DSC01441DSC01491

มิติขนาดตัวรถ – ยาว 4,893 มิลลิเมตร กว้าง 1,862 มิลลิเมตร (ไม่รวมกระจกข้าง) สูง 1,836 มิลลิเมตร

ระยะช่วงล้อ – 2,850 มิลลิเมตร

ระยะต่ำสุดจากพื้น – 225 มิลลิเมตร

น้ำหนักตัวรถ – ประมาณ 2,300 กิโลกรัม

ความจุถังน้ำมัน – 80 ลิตร

พวงมาลัย – พาวเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า

ไฟหน้า – โปรเจ็คเตอร์ HID ปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติพร้อมที่ฉีดทำความสะอาด

เครื่อยนต์ – 3.2 ลิตร ดีเซล 5 สูบแถวเรียง 20 วาล์ว เทอร์โบแปรผันพร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 200 แรงม้า (ที่ 3,000 รอบต่อนาที) แรงบิด 470 นิวตัน-เมตร (ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที) พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ พร้อมระบบ Terrain Management System

DSC01529

ช่วงล่างและระบบกันสะเทือน – ด้านหน้าแบบอิสระ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบคอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงค์ ดิสก์เบรก 4 ล้อ และล้ออัลลอย 20″ ยาง 265/50 R20

ระบบความปลอดภัย

– ระบบป้องกันล้อล็อก และระบบกระจายแรงเบรก ABS & EBD
– ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP
– ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน HLA
– ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน (Hill Descent Control)
– ระบบควบคุมการทรงตัวขณะลากจูง (Trailer Sway Mitigation)
– ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล
– ระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ (Rollover Mitigation)

– ถุงลมนิรภัยด้านคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า
– ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย
– ถุงลมนิรภัยกันหัวเข่าด้านคนขับ

– สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหลัง
– สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้า
– กล้องมองหลังขณะถอยจอด
– ระบบตรวจจับรถในจุดบอด
– ระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด
– สัญญาณกันขโมย

ส่วนรุ่นท็อปขายปีหน้า MY2016 (รับภาษีรถใหม่ ปรับราคาเพิ่มจาก 1,599,000 บาท เป็น 1,749,000 บาท) จะได้ระบบเพิ่มเติมดังนี้

– ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control)
– ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System)
– ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System)
– ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ (Auto High Beam Control)
– ระบบแจ้งเตือนการขับขี่ (Driver Alert System)

รีวิวเทคโนโลยี

Ford Sync 2

DSC01384

เริ่มจากระบบ Infotainment ที่ชาวไอทีสนใจมากที่สุด เพราะนี่คือครั้งแรกของฟอร์ดที่นำระบบหน้าจอสัมผัส “MyFord Touch with Sync” ขนาด 8 นิ้ว มาติดตั้งลงในรถของตน (ไม่รองรับภาษาไทย) โดย Everest ตัวใหม่จะมาพร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียงซิงค์ 2 ต่อยอดจาก ซิงค์ 1 ที่อยู่ใน Ford Focus 2012

ford-sync2-1

มาดูเรื่องความสามรถของ MyFord Touch กันก่อน เริ่มจากหน้าจอโฮมสกรีนจะแบ่งเป็น 4 โซนได้แก่ โซนแรกบนซ้ายจะเป็นส่วนของ “โทรศัพท์ (Phone)” โดยในครั้งแรก ผู้ใช้จำเป็นต้องให้สมาร์ทโฟนและรถเชื่อมต่อกันผ่านบลูทูธเสียก่อน (ไม่รองรับการเชื่อมต่อส่วนโทรศัพท์ผ่านสาย USB) จากนั้นระบบจะดึงสมุดโทรศัพท์ในสมาร์ทโฟนออกมาเก็บไว้ในรถ เวลาผู้ใช้ต้องการโทรออกสามารถกดเลือกเบอร์ที่โทรออกได้ หรือจะใช้การสั่งงานด้วยเสียงก็สามารถทำได้เช่นกัน

ส่วนผู้ใช้ที่ไม่อยากให้โทรศัพท์รบกวนการขับขี่ของเรา ที่หน้าโฮมสกรีนให้กดปุ่ม “Do Not Disturb” เพียงเท่านี้เวลามีคนโทรเข้าหรือมีข้อความเข้ามาจะไม่มีเสียงแจ้งเตือนใดๆเกิดขึ้น

ford-sync2-2

โซนต่อไปสีเขียว เป็นส่วนของ “Information” สำหรับในเวอร์ชันบ้านเรา ในหน้าโฮมจะแสดงเข็มทิศ และเมื่อกดเข้าด้านใน ส่วนนี้จะสามารถซิงค์กับปฏิทินในสมาร์ทโฟนเพื่อใช้แสดงแจ้งเตือนนัดหมาย รวมถึงสามารถติดตั้งแอปฯเพิ่มเติมผ่าน USB ได้ด้วย (อนาคตถ้าฟอร์ดประเทศไทยปล่อยแผนที่นำทางออกมาก็สามารถเลือกติดตั้งได้จากส่วนนี้)

นอกจากนั้นในเมนู Where Am I? เมื่อผู้ใช้กดเข้าไป ระบบสามารถแสดงพิกัด ละติจูด ลองจิจูดได้ด้วย (เสียดายไม่มีแผนที่มาให้)

connect-fordford-sync2-3

มาถึงโซนแดง “Entertainment” ส่วนนี้จะเป็นส่วนควบคุมเครื่องเล่นเพลง รองรับ AM, FM, CD, USB iPod/iPhone/iPad, SD Card และ Bluetooth สามารถโชว์ภาพหน้าปกอัลบั้มเพลงได้ (ต้องต่อสาย USB กับอุปกรณ์ iOS เท่านั้น)

ส่วนการตั้งค่าเสียงสามารถทำได้เช่นกันผ่านเมนู Options โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่งได้ตั้งแต่เสียงเบส กลาง แหลม และสามารถตั้งสมดุลเสียงหน้าหลังซ้ายขวาผ่านหน้าจอสัมผัสได้

ลำโพงใน All-New Ford Everest มีทั้งหมด 9 ตัวพร้อมซัปวูฟเฟอร์ด้านหลัง

DSC01416

มาดูโซนสุดท้ายสีฟ้า “Climate” เป็นโซนปรับแอร์ในรถทั้งหมด โดยในส่วนอุณหภูมิสามารถปรับแยกอิสระซ้ายขวาได้รวมถึงเปิดปิดแอร์ด้านหลังได้จากหน้าจอสัมผัสนี้เช่นกัน

ส่วนผู้ใช้ที่ไม่ถนัดการเปิดปิดแอร์ด้วยหน้าจอสัมผัส บริเวณด้านล่างจะมีปุ่มกดสั่งงานอยู่ สามารถกดเพิ่มลดอุณหภูมิหรือปรับการทำงานของแอร์จากส่วนนี้ได้ รวมถึงการเปิดปิดวิทยุ ปรับเพิ่มลดระดับเสียงและจูนหาคลื่นวิทยุ ก็สามารถทำได้จากส่วนนี้ทั้งหมด

มาถึงการทดสอบสั่งงานด้วยเสียง Sync 2 การเรียกใช้งานทำได้ง่ายเพียงกดปุ่มไอคอนคนพูดตรงพวงมาลัยด้านล่างซ้าย จากนั้นหน้าจอจะปรากฏตัวอย่างคำสั่งที่ระบบรองรับเป็นไกด์ให้ โดยคำสั่งเสียงที่เพิ่มเข้ามาใน Sync 2 ใหม่ล่าสุดจะเป็นเรื่องการปรับตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ เช่น ถ้าเราจะตั้งอุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส ให้พูดว่า “Climate Set Temperature 20 degree” หรือถ้าต้องการฟัง FM ให้พูดว่า “FM ตามด้วยชื่อคลื่นที่ต้องการเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษ” เป็นต้น (กรุณารับชมตัวอย่างจากคลิปวิดีโอด้านบน)

หน้าปัดเรือนไมล์ Dual TFT

DSC01386steer-ford-everesr2015

จากรุ่นก่อนหน้าจะเป็นหน้าจอ TFT ติดตั้งตรงกลางหน้าปัดเรือนไมล์ปกติ แต่ใน Everest ใหม่หน้าจอ TFT ถูกย้ายมาติดตั้งอยู่ตำแหน่งซ้ายและขวา 2 หน้าจอด้วยกัน แบ่งการทำงานดังนี้

display-tft-left-1

จอซ้าย (ควบคุมการทำงานด้วยปุ่มลูกศรขึ้นลงซ้ายขวาที่พวงมาลัยด้านซ้าย) ใช้ดูข้อมูลในเรื่อง Entertainment และโทรศัพท์ ผู้ใช้สามารถกดเลือกเบอร์โทรศัพท์ ดูอุณหภูมิภายนอก เข็มทิศ เวลา รวมถึงดูชื่อเพลงเมื่อเชื่อมต่อกับ iPod หรือคลื่นวิทยุได้จากหน้าจอด้านนี้

display-tft-right-1

จอขวา (ควบคุมการทำงานด้วยปุ่มลูกศรขึ้นลงซ้ายขวาที่พวงมาลัยด้านขวา) จะเป็นหน้าจอแสดงการทำงานของระบบและสถานะรถ ตั้งแต่ เกจน้ำมัน อุณหภูมิเครื่อง ส่วนพื้นที่สีดำด้านขวาสุดสามารถโชว์ค่าได้หลากหลายตั้งแต่

Display Mode > เรื่องแสดงผลรอบเครื่อง > ความลาดเอียงรถ > ความเร็วแบบเลขดิจิตอล > ระยะทางที่วิ่งได้จนน้ำมันหมด

display-tft-right-2

Trip 1&2 / Fuel Economy (กดปุ่ม OK ค้างไว้เพื่อรีเซ็ทค่า) > ระยะทางทริป 1 > ทริป 2 พร้อมอัตราบริโภคน้ำมันและระยะเวลาวิ่งรถ > Fuel Economy อัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ยทั้งหมด > Fuel History ประวัติอัตราบริโภคน้ำมันที่ทำได้ > ความเร็วเฉลี่ย

display-tft-right-3

Driver Assist / Settings > Blindspot, Chimes, Cross Traffic Alert เปิดปิดระบบช่วยตรวจจับรถในมุมอับสายตาและตรวจจับรถเวลาถอยออกจากที่จอด > Gauge Display เลือกโชว์เฉพาะเกจน้ำมันหรือเลือก เกจ+วัดรอบเครื่องยนต์ > Distance เลือกเปลี่ยนหน่วยบริโภคน้ำมันได้ 3 หน่วย Miles & Gallons, L/100km และ KM/L

4x4-ford-everest-2015

นอกจากนั้นการเลือกโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ Terrain Management และข้อความแจ้งเตือนต่างๆ จะมีการแสดงผลผ่านหน้าจอด้านนี้ด้วย

เซ็นเซอร์รอบคัน

คลิปวิดีโอแสดงการทำงาน Active Park Assist

คลิปวิดีโอแสดงการทำงาน Blind Spot Information System และ Cross Traffic Alert

เสียดายที่เราไม่ได้รับ All-New Ford Everest ตัวท็อป MY2016 (รุ่นปรับเพิ่มราคาตามภาษีรถใหม่ปี 2559) มาทดสอบ เพราะในรุ่นใหม่จะมีเทคโนโลยีเพิ่มมาอีก 5 ตัว ได้แก่ ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ, ระบบเตือนการชนด้านหน้า, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง, ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะและระบบแจ้งเตือนการขับขี่

DSC01546

กระจกมองข้างทั้งซ้ายและขวานอกจากจะมาพร้อม Blind Spot Information System แล้ว บริเวณขอบกระจกยังเป็นเลนส์มุมกว้างพิเศษช่วยให้ผู้ขับมองเห็นรถในมุมอับได้ง่ายขึ้น

แต่ถึงอย่างไรในรุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบก็ถือว่า ฟอร์ดให้เซ็นเซอร์ช่วยเหลือมาค่อนข้างดีแล้ว โดยเฉพาะ Blind Spot Information System ระบบตรวจจับรถในมุมอับสายตา (ทำงานเมื่อรถเดินหน้าในเกียร์ D ครอบคลุมระยะ 3 เมตรทั้งซ้ายและขวาของตัวรถ) และ Cross Traffic Alert ระบบตรวจจับรถขณะถอยออกจากซองจอด ที่ทำงานค่อนข้างไวและใช้ได้ดีตามคลิปทดสอบ ส่วนระบบ Active Park Assist ตัวช่วยจอดเทียบฟุตบาทอัตโนมัติที่เคยมีใน Ford Focus ก็ยังทำงานได้ดีเหมือนเดิม 

ford-everest-camera-backDSC01488

ส่วนที่เปลี่ยนไปจริงๆจะอยู่ที่ชุดเซ็นเซอร์ด้านหน้าตรวจจับได้ 6 ตำแหน่ง (หลังตรวจจับได้ 4 ตำแหน่ง) ที่เปลี่ยนเป็นทำงานเปิดปิดอัตโนมัติตามความเร็วรถแล้วด้วย

ส่วนการถอยจอด ด้วยการที่ฟอร์ดติดตั้งกล้องมองหลังพร้อมเส้นกะระยะที่สามารถโค้งตามการหมุนพวงมาลัยได้แล้ว เซ็นเซอร์ชุดหลังถือว่าทำงานได้ค่อนข้างแม่นยำและรวดเร็วดี ต่างจากเซ็นเซอร์หน้าที่ทำงานค่อนข้างช้า เวลาหักหน้ารถเข้าที่จอดด้วยความเร็ว บ่อยครั้งที่เซ็นเซอร์หน้าร้องเตือนไม่ทัน

Active Noise Canceling (ANC)

mic-noise-reduction-everest

ใน All-New Ford Everest มีการติดตั้งไมโครโฟนความไวสูง 3 ตัวไว้บริเวณเพดานรถ เพื่อรับเสียงเครื่องยนต์ รวมไปถึงเสียงจากยางวิ่งบดถนน จากนั้นระบบจะประมวลผลและปล่อยคลื่นความถี่มาหักล้างเสียงเหล่านั้นออกไป (รองรับความถี่ระหว่าง 30-180Hz) ทำให้บรรยากาศในห้องโดยสารมีความเงียบลง

MyKey

ford-my-key

น่าจะเป็นรถฟอร์ดในประเทศไทยรุ่นแรก (หลังจากฟอร์ดต่างประเทศมีระบบดังกล่าวมานานแล้ว) ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถกำหนดระบบการทำงานของรถตั้งแต่ กำหนดล็อคความเร็วสูงสุด เปิดปิดระบบ AdvanceTrac ฯลฯ ตามลูกกุญแจที่เสียบเข้าไป (Everest ตัวใหม่ยังใช้กุญแจ Key Knob แบบดั้งเดิม ไม่ใช่ระบบ Keyless เหมือนคู่แข่ง) ยกตัวอย่างเหตุการณ์

“กุญแจดอกแรกให้ลูกขับ พ่อแอบมาตั้ง MyKey โดยกำหนดความเร็วไว้ไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รวมถึงตั้งกำหนดเสียงวิทยุไว้ระดับต่ำสุด เมื่อลูกได้รับกุญแจรถดอกนี้จากพ่อไปและเสียบสตาร์ทรถ ระบบจะสั่ง ECU ปรับระบบรถตามที่พ่อแอบมาตั้งไว้ทั้งหมด ทำให้ลูกไม่สามารถขับรถเกินความเร็วที่กำหนดไว้ได้ เพราะจะมีเสียงแจ้งเตือนให้รำคาญตลอดเวลา ส่วนกุญแจดอกที่สองของพ่อ ไม่มีการตั้งระบบเหล่านั้นไว้ เมื่อมาเสียบสตาร์ทรถ ECU จะสั่งปรับเปลี่ยนระบบตามโปรแกรมที่ MyKey ระบุกับกุญแจแต่ละดอกไว้”

Wireless & Internet

ford-gateway

ใน Everest ใหม่นี้จะมาพร้อมเราท์เตอร์ รองรับการเชื่อมต่อ Aircard และแชร์อินเตอร์เน็ตให้ผู้โดยสารในรถได้ รวมถึงผู้ใช้สามารถใช้ Personal Hotspot จากสมาร์ทโฟนเชื่อมต่อเข้ากับ MyFord Touch จากนั้นให้ MyFord Touch แชร์อินเตอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่ออยู่ไปให้กับผู้โดยสารในรถได้ด้วย

Power-fold third rows and Power Lift Gate

Smart-Drive-with-All-New-Everest_4.2

DSC01484DSC01483

ประตูหลังเปิดปิดด้วยไฟฟ้าและเบาะแถวสามพับขึ้นลงด้วยไฟฟ้าช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้โดยเฉพาะผู้หญิงสามารถเปิดปิดประตูหลังรถและสามารถพับเบาะแถวสามที่ปกติจะมีขั้นตอนยุ่งยากและต้องออกแรงเยอะให้ง่ายขึ้น

คลิปวิดีโอแสดงการเปิดปิดประตูหลัง All-New Ford Everest

แต่ทั้งนี้ในส่วนประตูหลังเปิดปิดด้วยไฟฟ้าจะมีเงื่อนไขการทำงานอยู่เล็กน้อย โดยก่อนกดปุ่มเปิดประตูหลัง (กดเปิดได้ 3 ที่ ทั้งจากรีโมท คอนโซลหน้ารถข้างปุ่มเปิดไฟหน้าและบริเวณที่จับประตูหลัง) รถต้องจอดหยุดนิ่งและเกียร์ต้องอยู่ในตำแหน่ง P ประตูถึงจะยอมเปิดให้

พวงมาลัยไฟฟ้า Electric Power-Assisted Steering (EPAS)

All-New Ford Everest เป็นรถรุ่นเดียวรุ่นแรกของกลุ่ม PPV ตอนนี้ที่ใช้พวงมาลัยพาวเวอร์ผ่อนแรงไฟฟ้า EPAS (รัศมีวงเลี้ยว 5.85 เมตร) โดยฟอร์ดตั้งพวงมาลัยมาค่อนข้างไว เอาใจผู้หญิงและผู้ใช้รถ PPV ในเมืองหลวงด้วยการตอบสนองของพวงมาลัยที่ไวและแม่นยำมาก การแทรกไปตามช่องทาง เปลี่ยนเลนถนน เลี้ยวเข้าออกซอยขนาดเล็กทำได้ง่ายดายเหมือนรถเล็ก จนลืมไปในทันทีว่าเรากำลังบังคับรถ PPV ที่มีขนาดใหญ่และน้ำหนักมากถึง 2 ตันกว่าๆอยู่ ส่วนเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง พวงมาลัยจะถูกปรับให้หนัก ตึงมือและนิ่งมากขึ้น on center ดีมาก แต่พวกขาซิ่งอาจจะไม่ชอบบุคลิกของพวงมาลัยลักษณะนี้นักเพราะบางครั้งพวงมาลัยเบาจนไม่เป็นธรรมชาติ

Panoramic Moon Roof

panoramic-roof-1

ปิดอยู่

panoramic-roof-2

เปิดที่กั้นแสงครึ่งหนึ่งสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า

panoramic-roof-3

เปิดที่กั้นแสงออกทั้งหมด

panoramic-roof-4

กระจกหลังคาสามารถเปิดออกได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

Ambient Lighting

All-New Ford Everest มาพร้อมไฟ LED สีขาวส่องสว่างภายในห้องโดยสารมากกว่า 5 ดวง ซึ่งมีความสว่างพอจะใช้อ่านหนังสือระหว่างเดินทางได้ อีกทั้งเมื่อดับรถเปิดประตู กระจกข้างทั้งสองด้านยังมาพร้อมไฟส่องสว่างพื้นด้วย

นอกจากนั้นในส่วนไฟตรงบริเวณที่เปิดประตู ที่จับประตูและช่องเก็บของและวางสมาร์ทโฟนตรงกลางสามารถเปลี่ยนสีได้ 7 สี (ตั้งค่าสีได้จากหน้าจอ MyFord Touch ส่วน Settings)

DSC01479

ในส่วนช่องต่อไฟจะให้ช่องไฟ 12V มามากถึง 4 ช่อง แบ่งเป็นคอนโซลหน้า 2 ช่อง ด้านหลังที่วางแขนคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า 1 ช่องและท้ายรถหลังเบาะแถวสามอีก 1 ช่อง นอกจากนั้นยังมาพร้อมช่องต่อไฟบ้าน 3 ขา AC 230V 150W อีก 1 ช่อง

สรุป

เทคโนโลยีทั้งหมดใน All-New Ford Everest หลังจากทีมงานทดลองใช้ชีวิตร่วมกันถึง 1 สัปดาห์เต็ม อย่างแรกยอมรับเรื่องความตั้งใจของฟอร์ดที่อยากยกระดับ PPV SUV ของตนให้เหนือคู่แข่งด้วยการอัดเทคโนโลยีที่สุดแสนฉลาดเข้ามามากมาย ซึ่งฟีเจอร์หลายตัวใช้งานได้จริงและหลายฟีเจอร์ปรับปรุงมาได้ดีกว่าเดิม ยกตัวอย่างระบบช่วยจอดเทียบฟุตบาทที่ปรับใหม่ให้ไวขึ้น Cross Traffic Alert ตรวจจับไวและใช้งานได้ดีเมื่อต้องจอดในตลาดสดบ้านเรา ไปถึงพวงมาลัยที่ปรับจูนมาได้ดีสำหรับชีวิตคนเมืองหลวงไปถึงเซ็นเซอร์รอบคันที่ฉลาด สิ่งเหล่านี้คือความคุ้มค่าที่น่าสนใจ

ในส่วนระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Full Time พร้อม Terrain Management System ปรับเปลี่ยนโหมดใช้งานด้วยการหมุนสวิตซ์ที่ใช้งานง่ายและน่าชื่นชมในเรื่องความฉลาดในการจัดการแรงหมุนของแต่ละล้อ เพราะที่ล้อจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับแบบเรียลไทม์ ช่วยให้การขับขี่แบบ Off Road ทำได้ง่ายขึ้นมาก

นอกจากนั้นระบบช่วยลงเขา Hill Descent Control (HDC) ฟอร์ดออกแบบมาได้ดีมาก เพราะเวลาปล่อยรถไหลลงเขา เมื่อเปิดโหมดนี้ ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเหยียบเบรกหรือคันเร่งใดๆ การควบคุมความเร็วให้ใช้เพียงปุ่ม SET+ เพื่อเพิ่มความเร็ว และ SET- เพื่อลดความเร็วเท่านั้น

แต่ทั้งนี้ด้วยเทคโนโลยีที่ฟอร์ดใส่เข้ามามากมาย ถ้ามองถึงความเป็นมิตรกับผู้ใช้ชาวไทย All-New Ford Everest อาจสอบตกในเรื่องนี้ได้ เพราะนอกจากการแจ้งเตือนและข้อมูลช่วยเหลือจะมีแต่ภาษาอังกฤษแล้ว หลายเทคโนโลยีที่สดใหม่กับตลาดประเทศไทย ผู้ใช้ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และจดจำใหม่หมด โดยเฉพาะ MyFord Touch ที่ดูเก่า ตอบสนองช้า ใช้งานยากและไม่มีภาษาไทย แม้ระบบสั่งงานด้วยเสียงจะใช้งานง่ายขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็สั่งด้วยเสียงภาษาไทยไม่ได้อยู่ดี

หรือแม้แต่สัญญาณกันขโมยที่เข้าใจยากเพราะปกติ ระบบเหล่านี้จะร้องแจ้งเตือนเมื่อรถถูกทุบกระจกหรือโดนงัด แต่สำหรับ All-New Ford Everest บางครั้งแค่ต้องการยกรถขึ้นด้วยแม่แรง สัญญาณกันขโมยก็สามารถร้องได้ เป็นต้น

Gallery

]]>
ลองของจริง 4 เทคโนโลยีใหม่ใน All-New Ford Everest https://cyberbiz.mgronline.com/tech-allnew-ford-everest/ Thu, 26 Nov 2015 10:09:22 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=19646

IMG_3103

ปัจจุบันตลาดรถกระบะดัดแปลง PPV (Pickup-based Passenger Vehicle) ในประเทศไทยได้รับความนิยมสูงขึ้นต่อเนื่อง (ไม่ว่าจะเหตุผลเพราะบ้านเราน้ำท่วมบ่อยและพื้นถนนส่วนใหญ่เป็นหลุมบ่อหรือคนในเมืองเริ่มออกต่างจังหวัด ชอบท่องเที่ยวกับธรรมชาติมากขึ้นก็ตาม) หลายค่ายผู้ผลิตรถยนต์จึงพยายามยกระดับรถจำพวก PPV ให้มีมาตรฐานที่สูงขึ้นกว่าเก่า รวมถึงปรับภาพลักษณ์เน้นคนในเมืองหลวงมากยิ่งขึ้น

All-New-Ford-Everest-(4)

โดย Ford Everest ก็เป็นอีกหนึ่ง PPV (ใช้โครงสร้างร่วมกับรถกระบะ Ranger) ที่ทำตลาดในประเทศไทยมานานกว่า 10 ปี และในปีนี้ก็ถึงเวลาที่ฟอร์ดจะเปลี่ยนโฉม Everest ใหม่อีกครั้งกับ All-New Ford Everest ที่ในครั้งนี้ฟอร์ดพยายามยกระดับเป็น SUV ขนาดใหญ่ เพราะด้วยเทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวกและการออกแบบหลายส่วนฉีกหนีจากกระบะอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต

All-New-Ford-Everest-(6)

สำหรับในวันนี้ก็ถือเป็นฤกษ์ดีที่ทางฟอร์ดประเทศไทยเชิญสื่อมวลชนสายไอทีมาทดสอบเทคโนโลยีใหม่ใน All-New Ford Everest กับ 4 เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของฟอร์ดในประเทศไทย

ผู้ที่ต้องการอ่านรีวิวสมรรถนะการขับขี่ให้กดที่ลิงค์ด้านล่าง

สำหรับเทคโนโลยีที่เราจะกล่าวในบทความนี้จะมีอยู่ในรุ่นท็อป Titanium+ 4×4 ATเครื่อง 3.2 ลิตร 1,599,000 บาท) สำหรับฟีเจอร์ในรุ่นที่ต่ำกว่ามีอะไรบ้าง กรุณาคลิกอ่านที่ลิงค์ https://www.ford.co.th/suvs/all-new-everest/models#step=2

Ford SYNC 2

คลิกเพื่อชมวิดีโอ

Ford Ranger SYNC2 (TH Revised)

touchscreen

พัฒนาจาก Sync (ซิงค์) รุ่นแรกใน Ford Focus จากเดิมซิงค์จะรองรับเฉพาะคำสั่งโทรออกหรือเล่นเพลง เปลี่ยนเพลง แต่ใน Sync 2 ที่นอกจากจะมาพร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้วแล้ว ระบบยังถูกปรับปรุงให้ฉลาดมากขึ้นและรองรับคำสั่งได้หลากหลายขึ้น (แต่ต้องพูดเป็นภาษาอังกฤษเหมือนเดิม) เช่น พูดว่า “Temperature 20 degrees” อุณหภูมิเครื่องปรับอากาศจะปรับไปที่ 20 องศาเซลเซียส หรือการสั่งเล่นเพลง ผู้ใช้สามารถพูดเป็นชื่อศิลปิน ระบบจะเข้าใจและเล่นเฉพาะเพลงที่ร้องด้วยศิลปินคนนั้น

นอกจากนั้นในโหมดโทรศัพท์แบบแฮนด์ฟรี จากเดิมผู้ใช้สามารถสั่งโทรออกด้วยการพูดชื่อหรือหมายเลขที่ต้องการโทรออก แต่ใน Sync 2 ระหว่างโทรอยู่ถ้าไม่อยากให้คนในรถได้ยินเสียงสนทนา ผู้ใช้สามารถพูดว่า “Privacy” ระบบจะตัดเสียงสนทนาออกจากลำโพงรถและย้ายเสียงมาที่โทรศัพท์เราแทน

sync2-1

สำหรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เล่นเพลงหรือสมาร์ทโฟน ใน Ford Everest ใหม่จะรองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านบลูทูธ พร้อมช่อง USB 2 ช่อง (สามารถใช้ชาร์จแบตเตอรีสมาร์ทโฟนได้) รวมถึงมีช่องอ่านการ์ด SD และช่อง AUX 3.5 มิลลิเมตร

DSC01317

อีกทั้งบริเวณที่นั่งแถวสอง จะมาพร้อมชุดควบคุมเครื่องปรับอากาศด้านหลัง สามารถปรับอุณหภูมิและความแรงพัดลมได้ พร้อมช่องปลั๊กไฟแบบ 12V และปลั๊กไฟบ้าน 230V (สามารถเสียบชาร์จโน้ตบุ๊กและอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆได้)

Active Noise Cancelling

active-noise--cancel

เป็นเทคโนโลยีที่ฟอร์ดภูมิใจนำเสนอมาก เพราะถือเป็นรถในกลุ่ม PPV SUV (ในช่วงราคาระดับเดียวกัน) คันแรกที่มาพร้อมระบบตัดเสียงรบกวนในห้องโดยสารด้วยสัญญาณดิจิตอล โดยการทำงานคือ

“ระหว่างเดินทาง ทั้งเสียงเครื่องยนต์ดีเซล เสียงสภาพแวดล้อมต่างๆจะถูกไมโครโฟนความไวสูง 2 ตัวรับความถี่เสียงเหล่านั้นแล้วส่งต่อไปให้หน่วยประมวลผลวิเคราะห์ จากนั้นระบบจะปล่อยคลื่นความถี่มาหักล้างเสียงเหล่านั้นออกไป”

Active Park Assist

คลิกเพื่อชมวิดีโอ

เป็นเทคโนโลยีจอดเทียบฟุตบาทแบบอัตโนมัติ (ไม่ต้องหักพวงมาลัยด้วยตัวเอง คอมพิวเตอร์จัดการให้) ที่แต่เดิมมีใน Ford Focus ตัวล่าสุดและถูกนำมาใช้พร้อมปรับปรุงใหม่ใน Everest โดยเฉพาะความแม่นยำของเซ็นเซอร์ที่เพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญคือระบบดังกล่าวทำงานร่วมกับกล้องหลังและจอแสดงผลได้แล้ว

Cross Traffic Alert

คลิกเพื่อชมวิดีโอ

ครั้งแรกของฟอร์ดกับเทคโนโลยีในการช่วยตรวจดูรถขณะถอยออกจากซองจอดรถ โดยระบบจะทำงานควบคู่กับ Blind Spot Information (BLIS) เมื่อรถจอดอยู่ในซองลักษณะเอาหน้าเข้า และเมื่อผู้ใช้ต้องการถอยรถออก เมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง เซ็นเซอร์ชุดหลังทั้งหมดจะทำการตรวจจับรถที่กำลังวิ่งไปมา ถ้ามีรถวิ่งเข้ามาในรัศมี เซ็นเซอร์จะร้องพร้อมไฟสีส้มขึ้นที่กระจกมองข้างด้านที่รถวิ่งมา รวมถึงที่หน้าจอบริเวณเรือนไมล์จะมีการแจ้งเตือนด้วย

TH - Smart Technology editedoffroad-w

ในส่วนเทคโนโลยีปลีกย่อยอื่นๆ สำหรับรุ่นท็อปสุด ผู้ใช้จะได้ทั้งระบบช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกดังต่อไปนี้

ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน – โดยเมื่อจอดรถอยู่ในทางลาดชัน ปล่อยเบรค รถจะยังคงหยุดนิ่ง (ไม่ไหลลง) เป็นเวลา 2 วินาที เพื่อให้ผู้ใช้เหยียบคันเร่งอย่างไม่ต้องกังวลใจ

ถุงลมนิรภัย 7 ถุง – คู่หน้า ด้านข้าง ม่านถุงลมนิรภัยทั้งสองด้านและกันเข่าคนขับ

ระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำและควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Roll Stability Control and Electronic Stability Program) – ใน Ford Everest ตัวใหม่จะมีการฝังเซ็นเซอร์ไจโรสโคป ที่นอกจากจะไว้วัดความลาดเอียงของรถและแสดงผลออกมายังจอแสดงผลแล้ว เซ็นเซอร์ดังกล่าวยังช่วยตรวจจับรถขณะเข้าโค้งหรือหักเลี้ยวที่รุ่นแรงเกินไปจนรถสามารถพลิกคว่ำได้ ระบบจะสั่งให้เบรกทั้ง 4 ล้อที่สามารถสั่งงานได้อิสระ กระจายแรงเบรกแต่ละล้อให้เหมาะสมจนรถกลับมาควบคุมได้ปกติ

ระบบตรวจจับรถในจุดบอด – เวลาขับขี่บนท้องถนน เซ็นเซอร์จะทำงานรอบคันเพื่อตรวจจับรถรอบข้าง ถ้าระหว่างที่ผู้ใช้กำลังตีไฟเลี้ยวจะเปลี่ยนเลนถนนแล้วมีรถวิ่งอยู่ในมุมอับที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ ที่กระจกข้างด้านที่เราเปลี่ยนเลนจะมีไฟสีส้มปรากฏขึ้นเพื่อบอกให้รู้ว่ามีรถอยู่ในมุมอับสายตา

gear-4x4control

Terrain Management System – หรือระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (4X4) ที่ฟอร์ดออกแบบมาให้ใช้งานง่ายขึ้น แค่หมุนให้ตรงกับลักษณะการใช้งานที่มีให้เลือกตั้งแต่ วิ่งถนนปกติ วิ่งบนหิมะ กรวด หิน หญ้า หรือวิ่งบนพื้นทราย พร้อมระบบล็อคเฟืองท้าย DIFF-LOCK ที่ผู้ใช้สามารถเลือกกดใช้งานได้ด้วยตัวเอง

พวงมาลัยผ่อนแรงไฟฟ้า (Electric Power-Assisted Steering (EPAS) system) – เมื่อคลานในเมืองหรือรถหยุดนิ่ง พวงมาลัยจะเบามาก ส่วนเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูงพวงมาลัยจะหนักขึ้น

นอกจากนั้นพวงมาลัยฟอร์ดยังใส่ระบบ Pull-drift Compensation ซึ่งช่วยเวลาผู้ใช้วิ่งบนทางด่วนแล้วเกิดมีลมมาปะทะด้านข้างตัวรถ ระบบดังกล่าวจะช่วยรักษาสมดุลรถให้อัตโนมัติ ทำให้เราควบคุมรถง่ายขึ้น

All-New-Ford-Everest-(2)

นอกจากนั้นยังมีระบบช่วยลงเขา (ปุ่มตรงกลาง) ที่สามารถใช้ได้ทุกพื้นผิวตั้งแต่ถนนลาดยางไปถึงพื้นโคลน หิน หิมะ โดยระบบจะใช้ Engine Brake ในการควบคุมความเร็วรถ ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องเหยียบเบรคค้างไว้ตลอดเวลา ป้องกันอาการเบรคเฟดเวลาวิ่งลงเขาชันๆได้ดี

IMG_3112

มาดูที่หน้าจอเรือนไมล์ให้อารมณ์แบบเดียวกับ Ford Ranger รุ่นใหม่ โดยตรงกลางเป็นที่อยู่เข็มมาตรวัดความเร็วแบบดั้งเดิม ส่วนด้านข้างทั้งสองข้างของเข็มความเร็วทั้จะถูกเปลี่ยนเป็นจอดิจิตอล ผู้ใช้สามารถกดปุ่มคำสั่งที่พวงมาลัยทั้งสองข้างเพื่อดูข้อมูลต่างๆของตัวรถ

โดยจอด้านขวาจะเป็นข้อมูลจำพวก อัตราสิ้นเปลือง เข็มวัดรอบ ดูอุณหภูมิ น้ำมัน ความลาดเอียงของรถ ตัวเลขทริป ระบบขับเคลื่อน เป็นต้น ส่วนจอด้านซ้ายจะเป็นส่วนระบบมัลติมีเดียดึงข้อมูลมาจากวิทยุ

คลิกเพื่อชมวิดีโอ

สุดท้ายกับฟังก์ชันอำนวยความสะดวกที่เหมาะกับคุณผู้หญิงมากที่สุด ก็คือ “ประตูท้ายเปิดปิดด้วยไฟฟ้าพร้อมเบาะแถวสามพับขึ้นลงด้วยไฟฟ้า” อยากรู้การทำงานเป็นอย่างไรคลิกชมที่คลิปวิดีโอด้านบนได้เลย

ทั้งหมดนี้คือพรีวิวเรียกน้ำย่อย All-New Ford Everest จากทีมงานไซเบอร์บิซ สิ่งหนึ่งที่ทีมงานได้พบเจอตลอดการทดสอบขับ (รุ่น 3.2 ลิตร) จากเส้นสาทรไปสู่ราชพฤกษ์ทั้งช่วงเวลาถนนโล่งปกติและช่วงโรงเรียนเลิก รถติดกระหน่ำ ด้านการขับขี่ในเมืองหลวงทั้งถนนแคบและถนนกว้าง ยอมรับว่าพวงมาลัยไฟฟ้าของ Everest ใหม่นั้นให้ความรู้สึกค่อนข้างเบาและไวไปนิด ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติในช่วงความเร็วต่ำ แต่ผมก็ได้พบข้อดีเมื่อถึงช่วงขากลับจากราชพฤกษ์สู่โรงแรมแถวสาทร (เวลาประมาณบ่าย 4 โมงกว่าๆ) ซึ่งรถติดหนักมา ด้วยความไวของพวงมาลัย โดยเฉพาะช่วงรถหยุดนิ่งแล้วต้องเปลี่ยนเลนหนีรถติดไปมาตลอดเวลา พวงมาลัยตอบสนองดีมากจนรู้สึกเหมือนขับรถเล็ก

มาถึงส่วนของระบบตัดเสียงรบกวนดิจิตอล ส่วนนี้ทีมงานขอติดไว้รีวิวแบบลงรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เพราะตลอดทริปที่ทดสอบ ทีมงานยังไม่มีโอกาสได้ทำความเร็วเกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะวิ่งมากสุดก็ 85-90 กิโลเมตร ซึ่งที่ความเร็วระดับนั้นก็ถือว่า Ford Everest ทำได้ค่อนข้างดี เวลาคลิ๊กดาวน์เสียงเครื่องก็ไม่ดังมาก

สุดท้ายในส่วนระบบอำนวยความสะดวกรวมถึง Sync 2 โดยภาพรวมถือว่าทำได้ดี ระบบช่วยเหลือการจอดและถอยทำให้รถขับง่ายขึ้น (ผู้หญิงหลายคนชื่นชอบระบบเหล่านี้มาก) แต่ทีมงานก็ขอตั้งข้อสังเกตตรง Sync 2 ยังไม่รองรับภาษาไทยเหมือนเดิม แถมไม่มีแผนที่มาให้ด้วย ส่วนบรรดาเซ็นเซอร์รอบคันรู้สึกเหมือนฟอร์ดจะปรับปรุงให้มีความไวและแม่นยำกว่า Ford Focus พอสมควร

แต่ทั้งนี้ในส่วนรายละเอียดปลีกย่อยทีมงานยังไม่สามารถลงรายละเอียดได้ลึกเพราะเวลาทดสอบที่จำกัด อย่างไรก็ตามทีมงานขอติดผู้อ่านไว้ก่อนครับ แล้วเดี๋ยวได้รถมาเมื่อไรจะนำมาทดสอบแบบเจาะลึกทุกระบบอีกครั้งหนึ่ง

All-New Ford Everest มี 3 รุ่นย่อย 2 เครื่องยนต์ ได้แก่

1. 2.2L Titanium 4×2 AT 160 แรงม้า แรงบิด 385 นิวตันเมตร ราคา 1,269,000 บาท
2. 3.2L Titanium 4×4 AT 200 แรงม้า แรงบิด 470 นิวตันเมตร ราคา 1,459,000 บาท

3. 3.2L Titanium+ 4×4 AT 200 แรงม้า แรงบิด 470 นิวตันเมตร ราคา 1,599,000 บาท
เพิ่มไฟ HID ปรับสูงต่ำอัตโนมัติ, ไฟวิ่งกลางวัน LED, หลังคา Panoramic Moonroof, ประตูท้ายเปิดปิดด้วยไฟฟ้า, เบาะแถวสามเปิดปิดด้วยไฟฟ้า, มีระบบถอยจอดอัจฉริยะ, กล้องมองหลัง, แผงบังแดด, ไฟตกแต่งภายในห้องโดยสาร พร้อมโหมดเปลี่ยนสีได้ 7 โทนสี, ชุดชายบันไดสแตนเลสแบบ LED และปลั๊กไฟบ้าน

Gallery

]]>