Smart Watches/Fitness Trackers – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Mon, 26 Apr 2021 05:05:35 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Huawei Band 6 สมาร์ทแบนด์วัดออกซิเจนในเลือด ราคา 1,499 บาท https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-band-6/ Mon, 26 Apr 2021 05:05:35 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35094

เมื่อการวัดค่าออกซิเจนในเลือดกลายเป็นฟีเจอร์สำคัญที่ผู้บริโภคมองหา ทำให้บรรดาผู้ผลิตอุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพหลายๆ แบรนด์เร่งพัฒนาความสามารถนี้ ให้กลายเป็นฟีเจอร์พื้นฐานในการใช้งาน ที่แม้ว่าจะไม่ใช่อุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่ก็สามารถวัดค่าออกซิเจนในเลือดได้ มาเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค

Huawei Band 6 ถือเป็นหนึ่งในสมาร์ทแบนด์ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ดังกล่าว ในระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่าย ด้วยโปรโมชันเปิดตัวที่ 1,499 บาท ที่นอกจากได้ Wearable ที่มาวัดค่า SpO2 หรือออกซิเจนในเลือดแล้ว ยังได้กึ่งๆ สมาร์ทวอทช์หน้าจอ 1.47 นิ้ว ที่รองรับการแจ้งเตือน และตรวจจับการออกกำลังกายได้ด้วย

ข้อดี

  • สมาร์ทแบนด์ฟีเจอร์ครบราคาเข้าถึงได้ 1,499 บาท (จากราคาปกติ 1,899 บาท)
  • หน้าจอ AMOLED 1.47 นิ้ว เหมาะกับทุกคน
  • ตรวจวัด HR / SpO2 / ความเคลียด / มีโหมดกีฬา 96 โหมด

ข้อสังเกต

  • สายเป็นซิลิโคนทำให้ดูไม่พรีเมียม แต่สามารถเปลี่ยนสีได้
  • ต้องใช้งานคู่กับสมาร์ทโฟน Huawei ถึงใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพมากที่สุด

เน้นฟีเจอร์เพื่อสุขภาพ

การเป็นสมาร์ทแบนด์ ที่เน้นเรื่องสุขภาพเป็นหลัก ทำให้ Huawei Band 6 มากับความสามารถที่น่าสนใจหลากหลายอย่างเกี่ยวกับสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์พื้นฐานอย่างการวัดจำนวนก้าวเดิน การทำกิจกรรมต่างๆ จนถึงการนอน ที่สมาร์ทแบนด์ส่วนใหญ่ในท้องตลาดทำได้อยู่แล้ว

แต่ความพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาของ Huawei Band 6 คือการเพิ่มความสามารถในการวัดค่าออกซิเจนในเลือดขณะออกกำลังกาย (SpO2) ทำให้ผู้ใช้งาน สามารถรับรู้ถึงปริมาณออกซิเจนในเลือดได้ว่าอยู่ที่เท่าไหร่ (ตามปกติต้องสูงกว่า 95%)

โดยปัจจุบันค่าออกซิเจนในเลือดได้กลายมาเป็นหนึ่งในการวัดค่าสุขภาพที่ผู้บริโภคสนใจ เกี่ยวเนื่องมาจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เมื่อเกิดการติดเชื้อแล้วเริ่มลามไปที่ปอด ออกซิเจนในร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อจะลดลง การที่มีอุปกรณ์วัดออกซิเจนมาติดตัวจะช่วยให้สามารถเฝ้าระวังความผิดปกติของร่างกายได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ Huawei Band 6 ไม่ได้เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีความแม่นยำในการวัดค่า SpO2 รวมถึงการเปิดให้ใช้งานฟีเจอร์วัดออกซิเจนในเลือดตลอดเวลา ดังนั้นในการใช้งาน Huawei Band 6 ต้องระลึกไว้เสมอว่าเป็นค่าที่อาจเกิดความคลาดเคลื่อนได้ ต้องมีการตรวจสอบร่วมกับอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อความมั่นใจอีกครั้ง และข้อมูลที่ได้ถือเป็นข้อมูลอ้างอิงเฉพาะบุคคลเท่านั้น

นอกเหนือจากการวัด SpO2 แล้ว Huawei Band 6 ยังได้พัฒนาระบบตรวจจับการออกกำลังกายเพิ่มเติม ที่จะคอยแทร็กพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้โดยอัตโนมัติ เมื่อพบว่ามีการออกกำลังกายโดยที่ยังไม่ได้เริ่มเก็บข้อมูล ก็จะคอยบันทึกข้อมูลไว้ เพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกประเภทของกีฬาในการบันทึกข้อมูลภายหลังได้

ปัจจุบัน Huawei Band 6 มีชนิดกีฬาให้เลือกใช้งานทั้งหมด 96 โหมด ที่มีกีฬาประเภทใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างสเก็ตบอร์ด หรือกระโดดเชือก เพิ่มเข้าไปด้วย ทำให้ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายได้อย่างน่าสนใจ นอกจากนี้ ยังมีโหมดที่จะคอยเก็บข้อมูลรอบประจำเดือนของผู้หญิง ทำให้เหมาะกับการใช้งานทั้งผู้ชาย และผู้หญิงไปพร้อมๆ กัน

Huawei Band 6 ยังรองรับการตรวจวัดทางด้านสุขภาพเพิ่มเติม ทั้ง Huawei TruSleep ที่เมื่อเปิดใช้งานจะวัดการนอนในระดับที่ลึกมากขึ้น การตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจตลอดเวลา และทำการแจ้งเตือนเมื่อเกินค่าที่กำหนด รวมถึงวัดระดับความเครียดของผู้สวมใส่ได้

จอใหญ่ ใช้งานง่าย

ในส่วนของการออกแบบ Huawei Band 6 ถือว่าทำมาได้น่าสนใจ กับสมาร์ทแบนด์ที่ให้หน้าจอขนาด 1.47 นิ้ว ความละเอียด 194 x 368 พิกเซล โดยหน้าจอมีสัดส่วนเมื่อเทียบกับตัวเครื่องถึง 64% วางจำหน่ายด้วยกัน 3 สีคือ ดำ Graphite Black เขียว Forest Green และ ชมพู Sakura Pink

น้ำหนักเฉพาะตัวเรือนประมาณ 18 กรัม โดยมีขนาดตัวเรือนที่ 43 x 25.4 x 10.99 มิลลิเมตร ในส่วนของสายซิลิโคนที่ให้มาจะมีขนาด 13-21 เซนติเมตร ถือว่ารองรับการใช้งานทั้งผู้ชาย และผู้หญิง ให้สามารถสวมใส่ใช้งานได้

หน้าจอที่ให้มาเป็น AMOLED ที่รองรับการสัมผัสในการสั่งงาน และมีปุ่มเรียกเมนูเพิ่มทางด้านขวาของตัวเครื่อง ด้านหลังเป็นเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ภายในให้แบตเตอรี 180 mAh สามารถใช้งานต่อเนื่องได้สูงสุด 14 วัน และมีระบบชาร์จเร็ว 5 นาที ใช้งานได้ต่อเนื่อง 2 วัน ชาร์จเต็มในเวลาประมาณ 65 นาที

ความน่าสนใจของ Huawei Band 6 อีกอย่างคือผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนหน้าปัดนาฬิกาได้เพิ่มเติม เพียงแต่ต้องเชื่อมต่อกับ Huawei Health บนสมาร์ทโฟน ถึงจะสามารถดาวน์โหลด และเปลี่ยนหน้าปัดนาฬิกาได้ (iOS โหลดได้เฉพาะหน้าปัดฟรี)

จะได้เห็นว่าในการใช้งาน Huawei Band 6 ร่วมกับ iOS บนแอปพลิเคชัน Huawei Health จะมีฟังก์ชันในการใช้งานได้น้อยกว่าใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ หรือ มือถือของหัวเว่ย เอง อย่างฟีเจอร์ในการใช้เป็นเครื่องมือควบคุมการเล่นเพลง หรือเป็นชัตเตอร์กล้องจะหายไป ไม่สามารถใช้งานร่วมกับ iOS ได้

สรุป

ถ้าใครเป็นผู้ที่ใช้งาน Android แล้วกำลังมองหาสมาร์ทแบนด์ในระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่ายๆ สามารถตรวจวัดเกี่ยวกับสุขภาพ อย่างอัตราการเต้นของหัวใจ วัดค่าออกซิเจนในเลือด และตรวจจับการออกกำลังกายได้ Huawei Band 6 ถือเป็นหนึ่งในรุ่นที่น่าสนใจเวลานี้

เนื่องจากในช่วงเปิดตัวมีการทำโปรโมชันให้สั่งจองล่วงหน้าในราคา 1,499 บาท จะได้รับสายซิลิโคนเพิ่ม 1 เส้น ระหว่างวันที่ 26 เมษายน – 5 พฤษภาคม ก่อนที่จะวางจำหน่ายในราคาปกติ 1,899 บาท ผ่านช่องทางออนไลน์ และหน้าร้าน Huawei High-End Experience Store ที่สยามพารากอน เท่านั้น

Gallery

]]>
Review : Apple AirPods Max หูฟังครอบหูเน้นใช้ง่าย ปรับเสียงอัตโนมัติ https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-airpods-max/ Thu, 07 Jan 2021 14:17:17 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34485

การที่ แอปเปิล (Apple) เลือกนำเสนอหูฟังครอบหูแบบไร้สายออกสู่ตลาดในชื่อ AirPods Max พร้อมกับตั้งราคาเปิดตัวไว้ที่ 19,900 บาท ทำให้หลายๆ คนอาจจะมองว่าเป็นระดับราคาที่สูงเกินไป แต่ถ้าลองดูในตลาดแล้ว หูฟังแบบครอบหูคุณภาพเสียงดีๆ ก็จะอยู่ในช่วงระดับราคาเกิน 15,000 บาทขึ้นไปอยู่แล้ว

จุดเด่นของ AirPods Max ไม่ใช่แค่เรื่องของคุณภาพเสียงที่ถูกปรับมาให้แบบอัตโนมัติเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความง่ายในการใช้งานร่วมกับอีโคซิสเตมส์ต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ Apple และจุดเด่นเรื่องระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation ทำให้กลายเป็นหูฟังที่หยิบมาใช้งานได้อย่างสบายใจ

อย่างไรก็ตาม AirPods Max ไม่ได้เหมาะกับการใช้งานทุกรูปแบบเหมือน AirPods Pro ที่มากับมาตรฐานกันน้ำ ทำให้สามารถใส่ออกกำลังได้ แต่เหมาะกับใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป หรือระหว่างเดินทาง เพื่อให้เข้าถึงคุณภาพเสียงที่ดีขึ้นมากกว่า

ข้อดี

  • หูฟังครอบหูตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation
  • ทำงานกับอีโคซิสเตมส์ของ Apple ได้อย่างไร้รอยต่อ
  • โฟมครอบหูสามารถถอดเปลี่ยนได้

ข้อสังเกต

  • ใช้ที่ชาร์จ Lighting เท่านั้น
  • ไม่มีช่องต่อสาย 3.5 มม. มาให้ (ต้องใช้กับสายแปลง Lighting)
  • น้ำหนักค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับหูฟังครอบหูแบบพลาสติก

ออกแบบเก็บทุกรายละเอียด

แม้ว่า Apple จะผลิต AirPods ทำตลาดมาแล้วหลายปี รวมถึงเคยทำงานร่วมกับ Beats นำชิปประมวลผลทางด้านเสียงไปใส่ใช้งานในหูฟังทั้งแบบครอบหู และหูฟังเกี่ยวหูที่เหมาะกับการออกกำลังกาย

แต่กลายเป็นว่า AirPods Max นับเป็นหูฟังไร้สายแบบครอบหูรุ่นแรกที่ Apple ผลิตออกมา ทำตลาด ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเป็นผลิตภัณฑ์ของ Apple ย่อมมีการเก็บรายละเอียดในการออกแบบทุกส่วนให้ใช้งานได้สบายที่สุด

โครงสร้างหลักๆ ของ AirPods Max มีด้วยกัน 3 ส่วน คือบริเวณโครงหลักที่ใช้วัสดุเป็นสแตนเลสตีล เพื่อให้หูฟังมีความแข็งแรง หุ้มด้วยวัสดุที่มีผิวสัมผัสนุ่ม อย่างบริเวณส่วนก้านครอบศีรษะ จะนำจากตาข่ายถักที่ช่วยระบายอากาศ และลดแรงกดบนศรีษะด้วย

ถัดมาคือในส่วนของก้านยืดหดที่ใช้ปรับขนาดของหูฟัง Apple เรียกส่วนนี้ว่า Telescoping arms ที่ออกแบบมาให้สามารถเลื่อนปรับเข้าออกได้อย่างลื่นไหล แตกต่างจากหูฟังครอบหัวรุ่นอื่นๆ ในท้องตลาดที่จะมีลักษณะเป็นขั้นๆ ให้เลื่อนปรับ

สุดท้ายในส่วนของบริเวณที่ครอบหู จะใช้วัสดุอะลูมิเนียมแบบ Anodised ที่มีคามแข็งแรงสูงเช่นเดียวกัน ส่งผลให้โดยรวมแล้วนำ้หนักของ AirPods Max อยู่ที่ 384 กรัม เมื่อเทียบกับหูฟังครอบหูพลาสติกในระดับราคาใกล้เคียงกันจะอยู่ที่ราว 255 กรัมเท่านั้น

เมื่อเจาะลึกลงมาบริเวณที่ครอบหูด้านในส่วนที่สัมผัสกับศีรษะ Apple ได้นำ เมมโมรี่โฟม มาใช้งานทำให้เมื่อครอบหูแล้วนอกจากปิดกันเสียงภายนอกแล้ว ยังให้ความรู้สึกสบายเวลาสวมใส่ใช้งานด้วย

สำหรับปุ่มควบคุมต่างๆ บน AirPods Max จะมีเพียงปุ่มควบคุมเสียงรบกวน ที่ใช้ในการเลือกปรับโหมดใช้งาน และเม็ดมะยม (Digital Crown) มาใช้ในการหมุนปรับเสียง หรือกดสั่งงานเท่านั้น โดยทั้ง 2 ปุ่ม จะอยู่ที่หูฟังฝั่งขวา

ในขณะที่พอร์ตชาร์จเป็น Lightning ทำให้สามารถนำสายชาร์จ iPhone มาเสียบชาร์จได้ทันที และภายในกล่องก็มีสาย USB-C to Lightning มาให้ใช้งานด้วย นั่นแปลว่าไม่สามารถเสียบใช้งานร่วมกับช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ได้ถ้าไม่เสียเงินซื้อสายเชื่อมต่อเพิ่ม

AirPods Max จะมาพรอ้มกับ Smart Case หรือซองเก็บหูฟังมาด้วย โดยที่ตัวซองเก็บหูฟังจะมีแม่เหล็กที่ หูฟังจะตรวจจับว่าเมื่อเก็บเข้าซองแล้ว จะเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานสูงสุด เพื่อช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรีในช่วงที่ไม่ได้ใช้งานด้วย

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ Smart Case คลุมแค่บริเวณที่เป็นส่วนของหูฟังเท่านั้น เวลาเก็บใส่กระเป๋าก็อาจจะต้องระวังส่วนอื่นไปสัมผัสกับวัสดุที่มีโอกาสทำให้บริเวณตาข่ายข้างบนขาดได้ หรือแม้แต่ตัวเคส ที่ใช้เป็นผิวสังเคราะห์เมื่อใช้งานไปนานๆ ก็มีโอกาสลอก ซึ่งคาดว่าเป็นวัสดุเดียวกับเคสของ iPad ที่เมื่อใช้งานไปสักพักจะลอกได้ ดังนั้น Smart Case จึงไม่ใช่เคสเก็บ AirPods Max ที่ดีที่สุด

เชื่อมต่อง่าย ใช้งานได้ทุก Apple ดีไวซ์

สำหรับผู้ที่เคยใช้งาน AirPods มาก่อนทั้ง AirPods และ AirPods Pro น่าจะเคยได้สัมผัสถึงความง่ายในการเชื่อมต่อใช้งานหูฟังไร้สายของ Apple มาแล้ว เพราะเพียงแค่เปิดฝา AirPods เท่านั้น iPhone ก็จะตรวจพบทันทีว่า มีอุปกรณ์ใหม่มาอยู่บริเวณใกล้เคียง

หลังจากนั้น เพียงแค่กดเชื่อมต่อ (Connect) ครั้งเดียว ทุกผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่ล็อกอินด้วย Apple ID เดียวกัน ก็จะรู้จักหูฟังนี้ทันที ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสลับใช้งานหูฟังร่วมกับ iPhone iPad Mac ได้ โดยไม่ต้องมาคอยเชื่อมต่อใหม่

รวมถึงความสามารถในการโอนย้ายการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องโดยอัตโนมัติ อย่างกรณีที่ฟังเพลงบน iPhone อยู่ แล้วหยุดเล่น เปลี่ยนมาดูหนังบน iPad อีโคซิสเตมส์ของ Apple จะช่วยสลับการใช้งานให้โดยอัตโนมัติ ทำให้สะดวกในการใช้งาน

AirPods Max ก็ยังเป็นอุปกรณ์ที่ได้ความสามารถนี้มาเช่นเดียวกัน และยังเก่งขึ้นด้วย ในเรื่องของการปรับเรื่องการตัดเสียงรบกวน โดยนอกจากสั่งงานที่หูฟังแล้ว ยังสามารถเลือกเปลี่ยนโหมดในเครื่อง Mac ได้ทันที (เมื่ออัปเดตเป็น macOS Big Sur)

ในส่วนของการควบคุม AirPods Max นั้น การกดปุ่มควบคุมการตัดเสียงรบกวน จะเป็นการสลับระหว่างโหมดตัดเสียงรบกวน (Active Noise Cancellation) และโหมดรับฟังเสียงรอบข้าง (Transparency) ในเบื้องต้น ถ้าต้องการให้มีโหมดปกติด้วยจะต้องไปตั้งค่าเพิ่มเติมใน iPhone

ถัดมาในส่วนของปุ่ม Digital Crown สามารถหมุนเพื่อปรับระดับเสียง (เลือกทิศทางหมุนได้) กด 1 ครั้ง เพื่อเล่น/หยุดเพลง และรับสายโทรศัพท์ กด 2 ครั้ง เพื่อเปลี่ยนเพลงไปข้างหน้า กด 3 ครั้ง เพื่อย้อนกลับไปเพลงก่อนหน้า และกดค้าง เพื่อเรียกใช้งาน Siri

สำหรับระยะเวลาการใช้งาน AirPods Max ทาง Apple ระบุว่า สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 20 ชั่วโมง ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ในการเปิดโหมดป้องกันเสียงรบกวน และระบบเสียง Spatial Audio ซึ่งถ้าปิดโหมดป้องกันเสียงรบกวนก็จะช่วยเพิ่มระยะเวลาในการใช้งานได้อีก ส่วนการชาร์จ มีระบบชาร์จเร็วเมื่อชาร์จ 5 นาที จะใช้งานได้ต่อเนื่อง 90 นาที

คุณภาพเสียงตัดเสียงรบกวน

เรื่องของคุณภาพเสียงที่ได้ถือว่ากลายเป็นหนึ่งจุดที่ผู้สนใจซื้อหา AirPods Max มาใช้งาน คำนึงถึงเป็นส่วนแรกๆ เนื่องจากด้วยระดับราคาเกือบ 2 หมื่นบาท การเลือกซื้อหูฟังคุณภาพเสียงดีๆ สักตัวที่เหมาะกับการใช้งานนั้นมีตัวเลือกที่หลากหลาย

ในจุดนี้ แอปเปิล ยังคงความโดดเด่นในแง่ของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับการใช้งานสำหรับทุกคนเช่นเดิม กล่าวคือคุณภาพเสียงของ AirPods Max นั้น ไม่ได้มีจุดที่โดดเด่นขึ้นมาเป็นพิเศษ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีจุดที่ให้ตำหนิได้ ทำให้กลายเป็นว่า AirPods Max มอบคุณภาพเสียงที่ดีในระดับพรีเมียมได้อย่างน่าสนใจ

เบื้องหลังของคุณภาพเสียงที่อยู่ในเกณฑ์ดีของ AirPods Max เกิดขึ้นจากการนำความสามารถของชิปเซ็ตประมวลผล Apple H1 มาทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ ในการขับเคลื่อนไดรเวอร์ 40 มม. ภายในหูฟังได้เป็นอย่างดี โดยแอปเปิลเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า Computational Audio

โดยตัวหูฟัง AirPods Max จะมากับระบบ Adaptive EQ ที่จะคอยปรับย่านเสียงใหม่เหมาะสม และให้ประสบการณ์ในการฟังที่ดีที่สุด จึงทำให้ AirPods Max กลายเป็นหูฟังครอบหูที่เหมาะกับผู้ใช้งานทั่วไปทุกคน แต่สำหรับผู้ที่ต้องการเลือกปรับ Equalizer ด้วยตัวเองก็อาจจะผิดหวังได้ เพราะแอปเปิล ไม่ได้เปิดช่องให้ตั้งค่าด้วยตนเองได้

ถัดมาในส่วนของระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancellation ก่อนหน้านี้ แอปเปิล เคยนำระบบตัดเสียงรบกวนนี้มาให้ผู้บริโภคใช้งานกันแล้วใน AirPods Pro และใน AirPods Max นี้ก็ได้พัฒนาเพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถใส่ไมโครโฟนในการรับเสียงได้เพิ่มขึ้น

ภายใน AirPods Max จะมีการฝังไมโครโฟนไว้ทั้งหมด 9 ตัว โดย 8 ตัวจะถูกนำมาใช้ในการเก็บเสียงทั้งภายนอก ภายในหูฟัง เพื่อให้ชิป H1 นำไปคำนวนคลื่นเสียงที่ส่งเข้ามา และปรับคลื่นเสียงให้เหมาะสมภายในหูฟัง ทำให้ได้ระบบตัดเสียงรบกวนที่ดีที่สุด ในขณะที่ไมโครโฟนตัวที่ 9 จะถูกใช้ในการเก็บเสียงสนทนาเวลาใช้เป็นหูฟังบลูทูธปกติ

นอกเหนือจากโหมดตัดเสียงรบกวน ในโหมดรับเสียงจากภายนอก ก็ได้ใช้ประโยชน์ของไมโครโฟนทั้ง 8 ตัวในการรับ และประมวลผลเสียง ทำให้ผู้ใช้ได้ยินเสียงรอบข้างได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องเอื้อมมือไปถอดหูฟังออกแต่อย่างใด

Spatial Audio เพิ่มประสบการณ์รับชมคอนเทนต์

อีกหนึ่งเทคโนโลยีเสียงที่ Apple ใส่มาให้ใช้งานใน AirPods Max คือระบบเสียงที่ติดตามทิศทางการหันของศีรษะ Spatial Audio ที่เริ่มเปิดให้ผู้ใช้งาน AirPods Pro บน iOS 14.3 ใช้งานมาแล้วก่อนหน้านี้

เมื่อ AirPods Max วางจำหน่ายก็รองรับระบบนี้เช่นเดียวกัน โดยจะนำข้อมูลจากเซ็นเซอร์ Accelerometers และ Gyroscopes มาผสมผสานกับข้อมูลของดีไวซ์ที่ใช้งานอย่าง iPhone หรือ iPad ในการระบุตำแหน่งของหูฟังที่สวมใส่

ทำให้เวลารับชมคอนเทนต์ที่รองรับระบบเสียง 5.1, 7.1 หรือ Dolby Atmos ทำงานร่วมกับ AirPods Max ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เสียงที่ออกมาเหมือนอยู่รอบๆ ตัวแบบ 360 องศา ช่วยให้การรับชมภาพยนต์สนุกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

สรุป

แน่นอนว่า AirPods Max นั้นต้องเหมาะกับผู้ที่มีอุปกรณ์ของ Apple ใช้งานอยู่แล้ว เพราะถ้าซื้อมาใช้งานคู่กับแอนดรอยด์โฟน ฟีเจอร์อย่าง Spatial Audio หรือการสลับการใช้งานระหว่างอุปกรณ์แบบอัจฉริยะก็จะหายไป ดังนั้นผู้ที่เหมาะกับ AirPods Max คงหนีไม่พ้นผู้ที่มี iPhone iPad ใช้งานเป็นอุปกรณ์หลัก

ในขณะที่คุณภาพของหูฟัง เสียง และเทคโนโลยีที่ได้ เมื่อเทียบกับราคา ต้องยอมรับว่า Apple ทำการบ้านมาได้เป็นอย่างดี ด้วยวัสดุที่เลือกใช้งาน การปรับ Adaptive EQ ที่ฉลาด ระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancellation ที่ทำได้ตามมาตรฐานของหูฟังระดับนี้

อย่างไรก็ตาม AirPods Max อาจจะไม่เหมาะกับการนำไปใช้สำหรับการออกกำลังกาย เนื่องจากหูฟังไม่ได้ถูกออกแบบมาให้กันน้ำ เหมือนกับ AirPods Pro หรือนำไปใช้กับการรับฟังเสียงเพื่อใช้งานตัดต่อที่ต้องการความแม่นยำของเสียง เพราะตัวหูฟังจะมีการปรับแต่งเสียงให้ดีที่สุดตลอดเวลา

สุดท้ายก็คือ AirPods Max ไม่ได้มีช่องเสียบสาย 3.5 มม. มาให้ ถ้าต้องการนำไปใช้กับอุปกรณ์อื่นๆ ต้องจ่ายเงินซื้อสาย Lightning to 3.5 มม. อีก 1,290 บาท เช่นเดียวกับการที่ในกล่องไม่มีอะเดปเตอร์ชาร์จมาให้ด้วย

Apple วางจำหน่าย AirPods Max ด้วยกันทั้งหมด 5 สี คือ เงิน เทาสเปซเกรย์ สกายบลู ชมพู และเขียว ในราคา 19,990 บาท ส่วนบริเวณโฟมหูฟัง หรือ Ear Cushions ในกรณีที่อยากสั่งเพิ่มมาสลับสี หรือเปลี่ยนใช้งานจะอยู่ที่ 2,290 บาท มีให้เลือก 5 สีเช่นเดียวกัน

Gallery

]]>
Review : Apple Watch Series 6 / SE พัฒนาการสู่สมาร์ทวอทช์เพื่อสุขภาพยิ่งขึ้น https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-watch-series-6-se/ Mon, 19 Oct 2020 07:38:44 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33937

Apple Watch ได้กลายมาเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ Wearable คู่ใจผู้ที่ใช้งาน iPhone และกลายเป็นสมาร์ทโฟนซีรีส์หนึ่งที่ขายดีที่สุดในโลก ซึ่งนอกจากความสามารถในการเชื่อมต่อกับ iPhone เพื่อแจ้งเตือนแล้วในช่วงหลังๆ ได้พัฒนาความสามารถเกี่ยวกับสุขภาพมากยิ่งขึ้น

โดยใน Apple Watch Series 6 ได้มีการเพิ่มความสามารถใหม่เกี่ยวกับอย่างการวัดค่าออกซิเจนในเลือด ในเวลา 15 วินาที เมื่อประกอบกับความสามารถของ watchOS 7 ที่รองรับการตรวจจับการนอน และความสามารถเดิมอย่างการวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ยังไม่สามารถใช้งานในไทย) ทำให้ Apple Watch สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน Apple Watch Series 6 ได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพตัวเครื่อง รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 5 GHz เพิ่มสีใหม่อย่างน้ำเงิน และสีแดง ปรับปรุงจอแสดงผลให้สว่างขึ้นกว่ารุ่นเดิม และประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย

นอกเหนือจากรุ่นหลังแล้ว ในปีนี้ Apple ยังได้เปิดตัว Apple Watch SE ออกสู่ตลาด เพื่อมาเป็นตัวเลือกสมาร์ทวอทช์ประสิทธิภาพดีราคาประหยัดให้ผู้ใช้ iOS เลือกใช้งานเพิ่มเติม จากรุ่นเริ่มต้นที่เป็น Apple Watch Series 3

ข้อดี

  • Watch 6 รองรับการวัดค่าออกซิเจนในเลือด
  • Watch SE เป็นจะกลายเป็นรุ่นเริ่มต้นกับการใช้งานทั่วไป
  • การเพิ่มสีใหม่อย่าง สีแดง และน้ำเงิน ช่วยให้มีตัวเลือกหลากหลายมากขึ้น

ข้อสังเกต

  • ฟีเจอร์ ECG ยังไม่สามารถใช้งานในไทยได้
  • ระบบการวัดการนอนร่วมกับ watchOS 7 ยังเก็บข้อมูลได้ไม่ลึก ต้องใช้ร่วมกับแอปฯ ภายนอก
  • แบตเตอรี ยังใช้งานได้ประมาณ 1-2 วัน อยู่เช่นเดิม

Apple Watch 6 / Apple Watch SE เลือกรุ่นไหนดี?

Apple Watch 6 / Apple Watch 5 / Apple Watch SE

ด้วยการที่ปัจจุบัน Apple Watch มีตัวเลือกสำหรับการเลือกซื้อทั้งหมด 3 รุ่นด้วยกัน ประกอบไปด้วย Apple Watch 3 ซึ่งเป็นสมาร์ทวอทช์ที่เปิดตัวมา 3 ปีที่แล้ว แต่ปัจจุบันยังคงทำตลาดอยู่ ด้วยการปรับลดราคาลงมาให้น่าสนใจ

จนกลายเป็นตัวเลือกเริ่มต้นของผู้ที่ต้องการใช้งาน Apple Watch ร่วมกับ iPhone เพราะด้วยราคาเริ่มต้นที่ 6,400 บาท แต่สามารถใช้รับการแจ้งเตือน ตรวจวัดการออกกำลังกาย อัตราการเต้นของหัวใจได้ ทำให้เพียงพอกับการใช้งานทั่วๆ ไป

ถัดมาคือ Apple Watch SE หรือให้นึกภาพง่ายๆ คือ Apple Watch Series 4 ที่นำมาปรับปรุงให้กลายเป็นตัวเลือกใช้งานเพิ่มเติม ในราคาเริ่มต้นที่ 9,600 บาท โดยจุดเด่นของ Apple Watch SE เมื่อเทียบกับ Watch 3 คือมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น 30% เพิ่มเติมด้วยการตรวจจับการล้ม (Fall Detection) และมีรุ่น Cellular ให้เลือกใช้งาน

ดังนั้น Apple Watch SE จึงกลายเป็นรุ่นที่น่าสนใจถ้าต้องเลือกซื้อ Apple Watch ให้ผู้สูงอายุ หรือเด็กๆ ใช้งานแบบเริ่มต้น เพราะนอกเหนือจากคุณสมบัติทั่วไปของสมาร์ทวอทช์แล้ว การมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการล้ม (ใช้เวลาผู้สูงอายุล้ม) และมี Cellular ในตัว จะช่วยให้สามารถแจ้งเตือนฉุกเฉินได้ทันที หรือแม้แต่ให้บุตรหลานใช้ ก็จะทำให้สามารถติดต่อได้ตลอดเวลา

สุดท้ายก็คือ Apple Watch 6 ที่กลายเป็นตัวเลือกหลักในการเลือกซื้อเพื่อใช้งานร่วมกับ iPhone โดยเฉพาะผู้ที่ใส่ใจด้านสุขภาพ และออกกำลังกายเป็นพิเศษ เพราะในรุ่นนี้ เพิ่มความสามารถอย่างการวัดค่าออกซิเจนในเลือด และยังมีเซ็นเซอร์วัดระดับความสูงแบบเรียลไทม์เพิ่มขึ้นมา

จะเห็นได้ว่า Apple Watch แต่ละรุ่นมีรายละเอียดที่น่าสนใจในแต่ละระดับราคา ดังนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าต้องการเลือกใช้ Apple Watch ไปใช้งานในลักษณะไหน ถ้าแค่แจ้งเตือนข้อมูลต่างๆ Watch 3 รุ่นเริ่มต้นก็เพียงพอ แต่ต้องการเลือกให้ผู้สูงอายุ หรือบุตรหลานใช้ แต่ไม่ต้องการซื้อรุ่นราคาสูงก็หันมามอง Watch SE ได้ ส่วน Watch 6 ถือเป็นรุ่นมาตรฐานของปีนี้ ที่ได้ฟีเจอร์ครบถ้วนมากที่สุด

ข้อดีอย่างหนึ่งของ Apple Watch คือสายของรุ่น 38-40 มม. และ 42-44 มม. สามารถใช้ร่วมกันได้ ดังนั้น ถ้าใช้งานตัวเรือนขนาดไหนอยู่ ถึงจะเปลี่ยนรุ่นใหม่ ก็ยังสามารถใช้งานสายเดิมได้ต่อเนื่อง ไม่ต้องคอยสีสายใหม่ทั้งชุดตลอดเวลา

สิ่งใหม่บน Apple Watch 6

เมื่อเห็นถึงความสามารถที่แตกต่างกันใน Apple Watch แต่ละรุ่นที่วางจำหน่ายแล้ว ลองมาดูรายละเอียดที่น่าสนใจเพิ่มเติมของ Apple Watch 6 กันบ้าง ในรุ่นนี้ Apple ยังคงตัวเลือกวัสดุ 3 แบบ คืออะลูมิเนียม ที่พิเศษขึ้นมาคือมาจากวัสดุรีไซเคิล 100% ตามด้วย สแตนเลสสตีล และไทเทเนียม เช่นเดิม

สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาในส่วนของสีคือรุ่นอะลูมิเนียม จะเพิ่มรุ่นสีน้ำเงิน และแดง (Product RED) ขึ้นมา พร้อมกับสีเดิมอย่างสีเงิน สีทอง และสีเทาสเปซเกรย์ ถัดมาในรุ่นสแตนเลสสตีล จะมีสีกราไฟต์ และสีทอง รวมกับสีเดิมคือ สีเงิน สีไทเทเนียม และสีดำ

โดยยังคงมีให้เลือก 2 ขนาดตัวเรือนเช่นเดิมคือ 40 มม. (324 x 394 พิกเซล) ขนาด 39.8 x 34.4 x 10.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 30.5 กรัม และรุ่นที่นำมารีวิว 44 มม. (368 x 448 พิกเซล) ขนาด 44 x 37.8 x 10.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 36.4 กรัม

ตัวเรื่องรองรับการเชื่อมต่อ WiFi บนคลื่น 5GHz เรียบร้อยแล้ว ตามด้วยบลูทูธ 5.0 พร้อมเปลี่ยนมาใช้ชุดวงจรรวม (System in Package : SiP) S6 ที่ออกแบบใหม่ให้มีพื้นที่ใช้งานเพิ่มขึ้น 9% ประมวลผลได้รวดเร็วขึ้น 20% และประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น

ในส่วนของเซ็นเซอร์หลังตัวเรือน ได้มีการจัดเรียงฝาหลังคริสตัลพร้อมไฟ LED 4 ดวง สีเขียว แดง อินฟราเรด และโฟโต้ไดโอด เพื่อช่วยในการวัดค่าออกซีเจนในเลือดให้มีความแม่นยำ รวมกับการวัดอัตรการเต้นของหัวใจ และวัดค่า ECG ด้วย

อีกหนึ่งความน่าสนใจที่ปรับปรุงขึ้นบน Watch 6 คือเรื่องของแบตเตอรี ที่ทางแอปเปิล ระบุว่า สามารถใช้งานได้นานขึ้น อย่างการเล่นเพลงในเครื่องได้ต่อเนื่อง 11 ชั่วโมง เล่นเพลงผ่านสตรีมมิ่งได้ 8 ชั่วโมง ติดตามการออกกำลังกายในร่มได้ 11 ชั่วโมง กลางแจ้งแบบเปิดใช้ GPS ได้สูงสุด 7 ชั่วโมง และ 6 ชั่วโมง ถ้าใช้งาน Cellular ร่วมด้วย

ระบบการชาร์จก็เช่นกัน เพราะปัจจุบัน Apple Watch ได้พัฒนาเป็นอุปกรณ์ในการตรวจจับการนอนด้วย ดังนั้นทำให้ต้องลดระยะเวลาชาร์จให้น้อยลง เพื่อให้สามารถชาร์จก่อนนอนได้ โดยในรุ่นนี้ จะสามารถชาร์จได้ 80% ในเวลา 1 ชั่วโมง และจะเต็ม 100% ภายใน 1 ชั่วโมง 30 นาที เทียบกับ Series 5 แล้วชาร์จเร็วขึ้นราว 33%

ข้อดีของการวัดค่าออกซิเจนในเลือด

หนึ่งในคำเตือนสำคัญที่แอปเปิล แจ้งเสมอมาคือ Apple Watch ไม่ใช่อุปกรณ์ทางการแพทย์ ทำให้ข้อมูลที่ได้จากนาฬิกานั้นไม่สามารถนำไปใช้ในการรักษาคนไข้ได้ ซึ่งจริงๆ แล้วถือเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ Apple Watch ต้องรับรู้

โดยการเก็บข้อมูลต่างๆ ถูกเก็บเพื่อไว้ใช้เพื่อให้ตรวจพบอาการผิดปกติได้เร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา Apple Watch ได้ช่วยชีวิตผู้ป่วยที่มีอาการเต้นของหัวใจผิดปกติมาแล้วหลายราย

การเพิ่มระบบวัดค่าออกซิเจนในเลือดครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวที่น่าสนใจ เพิ่มเติมจากการใส่ฟีเจอร์อย่างวัดค่าคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ที่แม้ว่าจะยังไม่สามารถใช้งานในไทยได้ เพราะอยู่ระหว่างการขออนุญาต แต่ก็ถือว่าตัวเครื่องรองรับ ที่ผ่านมาแอปเปิลได้เพิ่มฟีเจอร์เพื่อสุขภาพอย่าง การติดตามรอบเดือน การแจ้งเตือนเสียงดังเกินไป จนถึงการตรวจจับการล้มด้วย

ต่อเนื่องมาถึงความอิ่มตัวของออกซิเจน หรือ SpO2 ที่ช่วยแสดงข้อมูลว่าระบบหมุนเวียนเลือดมีการส่งค่าออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีแค่ไหน โดยค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนปกติจะอยู่ที่ช่วง 95-99%

หลักการที่แอปเปิล นำมาใช้ในการวัดค่าออกซิเจนในเลือดคือการใช้เทคโนโลยีที่ใกล้เคียงกับ Pulse Oximeter ในการใช้แสงส่องผ่านผิวหนังเพื่อตรวจวัดสีของเลือด และคำนอนออกมาเป็นค่าออกซิเจนในเลือด

ประกอบกับการที่ใน watchOS 7 เพิ่มฟีเจอร์วัดการนอนหลับขึ้นมา ฟีเจอร์นี้จะเข้าไปช่วยให้เห็นระดับค่าความอิ่มตัวระหว่างการนอนได้เพิ่มเติม จนถึงระดับออกซิเจนในเลือดระหว่างวัน ที่สามารถดูข้อมูลย้อนหลังผ่านแอป Health ได้

Apple Watch SE กับความคุ้มค่า

เมื่อ Apple Watch 6 เป็นรุ่นที่สมบูรณ์ที่สุด Apple Watch SE ก็จะอยู่กับความคุ้มค่า ซึ่งถือเป็นจุดหลักของซีรีส์ SE ที่เป็นรุ่นราคาประหยัดของ Apple โดยให้ความสามารถที่เพียงพอกับการใช้งาน ในระดับราคาที่ย่อมเยาลงมา

โดย Watch SE จะมากับขนาดหน้าจอเท่ากับ Watch 6 คือมีให้เลือกระหว่างรุ่น 40 มม. และ 44 มม. ในส่วนของขนาดตัวเรือน และน้ำหนักก็ใกล้เคียงกัน เพียงแต่ว่าจะใช้ SiP S5 ที่ใช้งานกับ Watch 5 แทน รองรับการเชื่อมต่อ WiFi บน 2.4 GHz เท่านั้น

ความสามารถที่ถูกตัดออกไปจาก Watch 6 คือเรื่องของการวัดค่าออกซิเจนในเลือด การวัดค่า ECG แต่ยังใช้วัดอัตราการเต้นของหัวใจ การออกกำลังกาย และการตรวจจับการล้มได้ ทำให้เหมาะกับผู้สูงอายุ เพื่อเป็นตัวเลือกในการใช้งาน

ฟีเจอร์ใหม่ของ watchOS 7 / Family Setup

ทีนี้ มาย้อนดูถึงความสามารถของ watchOS 7 ที่เพิ่มขึ้นมา ให้ผู้ใช้งาน Apple Watch รุ่นเดิมสามารถใช้งานได้แล้ว ก็จะมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง การล้างมมือ ที่จะคอยนับถอยหลัง 20 วินาที การวัดการนอน เพิ่มรูปแบบหน้าปัดใหม่

ส่วนที่น่าสนใจที่สุดคือระบบการตั้งค่าครอบครัว (Family Setup) ที่เปิดให้สามารถตั้งค่าและจัดการ Apple Watch สำหรับสมาชิกในครอบครัว โดยที่ไม่ต้องใช้งานร่วมกับ iPhone อย่างเด็กๆ หรือผู้สูงอายุ

โดย Apple Watch จะคอยเก็บข้อมูลสุขภาพ กิจกรรม และการแจ้งเตือนตำแหน่งต่างๆ ซึ่งมีโหมดเฉพาะลงไปสำหรับเด็ก อย่างการตั้งค่าจำกัดการสื่อสาร ในช่วงเวลาเรียน หรือใช้ตรวจจับการล้มสำหรับผู้สูงอายุ

ปัจจัยสำคัญในการใช้งาน Family Setup คือจะทำงานร่วมกับ Apple Watch รุ่นที่ 4 ขึ้นไป แบบ GPS+Cellular เท่านั้น เนื่องจากต้องมีการใส่ eSIM เข้าไปในตัวเรือนเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และสื่อสารได้

ประกอบกับการที่ watchOS 7 เปิดให้สามารถจัดการทุกอย่างบนนาฬิกาได้แล้ว ทั้งการโทรฯ รับส่งข้อความ ตั้งค่าหน้าปัดรูปแบบต่างๆ ดาวน์โหลดแอปมาติดตั้งเพิ่มเติม ดังนั้นจึงทำให้กลายเป็นสมาร์ทวอทช์ที่สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องซิงค์กับ iPhone

ในจุดนี้ ทำให้ Apple Watch SE กลายเป็นรุ่นที่น่าสนใจ สำหรับผู้ปกครองที่อยากได้อุปกรณ์ไว้คอยช่วยเฝ้าระวังบุตรหลาน หรือผู้สูงอายุ แต่ก็จะมีค่าใช้จ่ายรายเดือนเพิ่มเข้ามาในการให้บริการซิมการ์ดจากผู้ให้บริการมือถือเดือนละประมาณ 150 บาท 

ราคาจำหน่ายของ Apple Watch

ปัจจุบัน Apple Watch วางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่นใหญ่ๆ เริ่มต้นที่ Apple Watch 3 38 มม. 6,400 บาท 42 มม. 7,400 บาท โดยมีจำหน่ายเฉพาะรุ่น GPS เท่านั้น

ตามด้วย Apple Watch SE ที่มีทั้ง GPS ในราคา 40 มม. 9,400 บาท 44 มม. 10,400 บาท และ GPS+Cellular ในราคา 10,400 บาท และ 11,900 บาท ตามลำดับ

สุดท้ายคือ Apple Watch 6 รุ่น 40 มม. เริ่มต้นที่ 13,400 บาท สำหรับ GPS และ 16,900 บาท สำหรับ GPS+Cellular ส่วน 44 มม. เริ่มต้นที่ 14,400 บาท และ 17,900 บาท สำหรับ GPS+Cellular เช่นเดียวกัน

สรุป

Apple Watch ได้กลายเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์เสริมที่อยู่คู่กับผู้ใช้งาน iPhone แล้ว Wacth 6 ที่ออกมาในปีนี้ ได้มีการปรับปรุงฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้น และน่าสนใจมากขึ้น ใครที่ใช้งาน Apple Watch 3 ลงไปเชื่อว่าถึงเวลาที่จะได้เปลี่ยนมาใช้งานกันแล้ว

ขณะเดียวกัน การเพิ่มไลน์อย่าง Apple Watch SE มาช่วยให้การใช้งาน Apple Watch นั้นเข้าถึงได้ง่ายมากยิ่งขึ้น และเหมาะกับการเลือกซื้อให้บุคคลอื่นในครอบครัวใช้งานเพื่อสุขภาพไปได้ด้วย

Gallery

]]>
Review : Fitbit Charge 4 ฟิตเนสแทร็กเกอร์ รุ่นสมบูรณ์ พร้อม GPS ในตัว https://cyberbiz.mgronline.com/review-fitbit-charge-4/ Tue, 09 Jun 2020 04:56:14 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32978

การเพิ่มระบบบันทึกพิกัด GPS เข้ามาในสายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพของ Fitbit Chrage 4 ทำให้อุปกรณ์รุ่นนี้ กลายเป็นสายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพรุ่นเริ่มต้นที่น่าสนใจขึ้นมาทันที สำหรับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์ในการวัดการออกกำลังกาย โดยเฉพาะการวิ่ง และการปั่นจักรยาน

แต่เดิมในรุ่นก่อนหน้า Fitbit Charge จะใช้การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน เพื่อดึงพิกัดสถานที่มาใช้งาน ทำให้เวลาออกกำลังกายถ้าต้องการความแม่นยำในเรื่องของการบันทึกข้อมูลต่างๆ ผู้ใช้จำเป็นต้องพกพาสมาร์ทโฟนติดตัวไปด้วย แต่พอมาเป็น Charge 4 ที่ใส่ GPS มาให้ด้วย ก็ไม่จำเป็นต้องพกสมาร์ทโฟนติดตัวเวลาออกกำลังอีกต่อไป

นอกจากการเพิ่ม GPS เข้ามาแล้ว Charge 4 ยังโดดเด่นในเรื่องของระยะเวลาการใช้งานต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ที่ใส่ใช้งานได้เป็นสัปดาห์ รวมถึงการเพิ่มฟีเจอร์อย่าง Fitbit Pay มาให้ใช้ชำระค่าสินค้า และบริการจากร้านที่รองรับ ไม่นับรวมกับชุมชนผู้ใช้งาน Fitbit ที่กว้างขวาง และระบบใหม่อย่าง Fitbit Premium ที่มาช่วยกระตุ้นผู้ใช้ให้รักษาสุขภาพ

ข้อดี

  • สายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพ น้ำหนักเบา ใส่ติดตัวได้ตลอดเวลา
  • มี GPS ในตัวทำให้เวลาออกกำลังไม่ต้องพกสมาร์ทโฟนติดตัว
  • แบตเตอรีชาร์จ 1 ครั้งใช้ได้ 7 วัน ทำให้สามารถใส่เพื่อวัดการนอนได้ด้วย

ข้อสังเกต

  • ปุ่ม และระบบสัมผัสต่างๆ ไม่ค่อยแม่นยำเท่าที่ควร
  • หน้าจอขาวดำ ไม่รองรับภาษาไทย
  • ไม่รองรับการเชื่อมต่อข้อมูลกับ Apple Health / Google Fit

รุ่นที่สมบูรณ์มากขึ้น

จุดใหญ่ที่มีการเปลี่ยนแปลงของ Fitbit Charge 4 เมื่อเทียบกับ Charge 3 คือการเพิ่ม GPS เข้ามาทำให้สามารถระบุตำแหน่งเวลาออกกำลังได้ พร้อมกับเพิ่ม Fitbit Pay มาให้ใช้งานกัน ทำให้ปัจจุบัน Fitbit ทุกรุ่นจะรองรับการชำระเงินผ่าน Fitbit Pay แล้ว

แต่กลับกันในด้านอื่นๆ ของ Charge 4 กลับไม่ได้มีที่เปลี่ยนแปลงเลย ทั้งเรื่องของดีไซน์ ที่มาในลักษณะเดิม รวมถึงเรื่องสำคัญในการใช้งานในไทยอย่าง การแสดงผลภาษาไทยที่ Fitbit ยังไม่พัฒนาให้อุปกรณ์รองรับเสียที

ดังนั้น ถ้ามองในมุมของการใส่เพื่อวัดทางด้านสุขภาพ และการออกกำลังกาย Fitbit Charge 4 เป็นสายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพที่น่าสนใจ เพราะสามารถเก็บข้อมูลการใช้ชีวิตทั้งการเดิน การนอน และการออกกำลังได้เป็นอย่างดี

ยิ่งเมื่อใช้งานร่วมกับแอปฯ Fitbit ที่คอยเก็บข้อมูล และแสดงเป็นสถิติออกมาให้ดูย้อนหลังได้ ยิ่งทำให้เห็นพัฒนาการทางด้านสุขภาพของผู้ใช้ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าตัวผู้สวมใส่ไม่จริงจังกับการออกกำลังกาย Fitbit Charge 4 ก็จะเป็นแค่อุปกรณ์ไว้คอยเก็บข้อมูลเฉยๆ

สิ่งที่ Fitbit ให้ความสำคัญในช่วงหลังๆ คือการพัฒนาฟังก์ชันในการตรวจจับการนอน โดยระบุว่า การนอนหลับที่ดีจะส่งผลถึงสุขภาพมากที่สุด ดังนั้นจึงแนะนำว่าการใช้งาน Fitbit ให้คุ้มที่สุดนอกจากใส่เพื่อวัดกิจกรรมในเวลากลางวันแล้ว ควรใส่เวลานอนเพื่อคอยตรวจจับการนอนด้วย

ทำให้ Fitbit Charge 4 ไม่ได้เป็นอุปกรณ์สำหรับคนรุ่นใหม่เท่านั้น ที่เหมาะกับการใส่เพื่อวัดสุขภาพในชีวิตประจำวัน แต่ยังเหมาะกับกลุ่มผู้สูงอายุที่ควรให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะการที่มีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจใน Fitbit Charge 4 ยิ่งเป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยแจ้งเตือนเวลาอัตราการเต้นของหัวใจสูงเกินไป

ออกกำลังได้แม่นยำกว่าเดิม

กลับมาที่เรื่องของการออกกำลังกาย การเพิ่ม GPS เข้ามาใน Fitbit Charge 4 นอกจากจะสะดวกในแง่ของการที่ไม่ต้องคอยพกสมาร์ทโฟนเวลาออกไปวิ่ง หรือปั่นจักรยานแล้ว ที่เพิ่มเข้ามาคือเรื่องของการเก็บข้อมูลการออกกำลังที่แม่นยำมากขึ้น

ทั้งการคำนวนความเร็วในการเคลื่อนที่ หรือถ้าเป็นสายวิ่งก็จะใช้มาคำนวนค่า Pace หรือระยะเวลาที่ใช้วิ่งต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร ถ้าสายปั่นก็จะสามารถแสดงความเร็วเฉลี่ยในแต่ละนาที ทำให้สามารถรักษาระดับความเร็วที่เหมาะสมในการออกกำลังได้ด้วย

นอกจากนี้ ยังมีการนำค่าไปคำนวนร่วมกับอัตราการเต้นของหัวใจ และแสดงผลออกมาเป็นเส้นบนแผนที่ให้เห็น ด้วยการเทียบความเร็วในการเคลื่อนที่ อัตราการเต้นของหัวใจว่าอยู่ในโซนเท่าไหร่ เหมาะกับรูปแบบการออกกำลังที่ต้องการหรือไม่

เพราะในแง่ของการออกกำลังกาย การควบคุมโซนของอัตราการเต้นของหัวใจ ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้บริโภคควรศึกษาไว้ เพราะถ้าต้องการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักก็จะอยู่ในช่วงโซน 1-2 ถ้าต้องการเพิ่มความแข็งแรงของร่างกายก็จะอยู่ในโซน 3-4 เป็นต้น

มองเป็นฟิตเนสแทร็กเกอร์ ยังไม่ใช่สมาร์ทวอทช์

แม้ว่าตัวเครื่อง Charge 4 จะมากับหน้าจอแสดงผลที่ให้ข้อมูลมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฟีเจอร์ต่างๆ ของ Charge 4 ยังหยุดอยู่ที่การเป็นอุปกรณ์สวมใส่ข้อมือเพื่อบันทึกข้อมูลสุขภาพเท่านั้น ยังไม่ได้ยกระดับขึ้นมาเป็นนาฬิกาอัจฉริยะแต่อย่างใด

เพราะฉนั้นในการใส่ใช้งานแล้วหวังจะให้ Fitbit Chrage 4 มาแทนที่สมาร์ทวอทช์เรือนเดิมที่ใส่ และรับการแจ้งเตือน หรือดูข้อมูลต่างๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั้น อาจจะไม่ตอบโจทย์ แต่ถ้าใช้ดูข้อมูลสุขภาพอย่างก้าวเดิน ปริมาณแคลลอรี่ที่เผาผลานไป อัตราการเต้นของหัวใจต่างๆ ตอบโจทย์ได้

อีกจุดคือเรื่องของการแจ้งเตือน Charge 4 จะมากับการแจ้งเตือนทั่วไปอย่างสายเข้า ข้อความ มีการสั่นเตือนเวลาโทรศัพท์แล้วปลายสายรับสายเป็นต้น แต่ในแง่ของการใช้ Charge 4 เพื่อควบคุมสั่งงานต่างๆ เบื้องต้นจะใช้ได้เฉพาะควบคุมเพลงบน Spotify เท่านั้น

สรุป

ถ้าใครกำลังมองหาอุปกรณ์ ฟิตเนส แทร็กเกอร์ ประสิทธิภาพสูงที่ใช้วัดได้ทุกกิจกรรมระหว่างวัน จนถึงเวลานอน Fitbit Charge 4 กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทันที เพราะได้ทั้งเรื่องของแบตเตอรี มี GPS ภายในตัว

แต่ก็แลกกับราคาที่สูงกว่าฟิตเนสแทร็กเกอร์จากจีนอยู่เป็นเท่าตัว เพราะ Charge 4 เปิดราคามาอยู่ที่ 6,490 บาท ซึ่งนอกจากตัวเรือนนาฬิกาแล้ว ยังได้แอปพลิเคชันที่มีอีโคซิสเตมส์สมบูรณ์

โดยเฉพาะผู้ที่จริงจังในการออกกำลังกาย สามารถสมัครใช้งาน Fitbit Premium รายเดือนเพิ่มเพื่อกระตุ้นให้ออกกำลังกายตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ด้วย

Gallery

]]>
Review : Fitbit Versa 2 สมาร์ทวอทช์สายสุขภาพ https://cyberbiz.mgronline.com/review-fitbit-versa-2/ Fri, 20 Dec 2019 09:53:44 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=31830

ในกลุ่มอุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพ ชื่อของ Fitbit กลายเป็นแบรนด์ที่หลายคนนึกถึงทันที หลังจากเริ่มทำตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Wearable Device มาสักพัก และเห็นถึงการพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมทั้งอีโคซิสเตมส์ให้เติบโตไปด้วยกัน

จุดเด่นหลักของ Fitbit จริงๆ แล้วไม่ได้อยู่ที่ดีไวซ์ หรือเฉพาะตัวอุปกรณ์สวมใส่เท่านั้น แต่ที่ทุกคนให้การยอมรับคือเรื่องของแอปพลิเคชันที่นำข้อมูลไปซิงค์ และแสดงผลออกมา พร้อมกับการนำข้อมูลไปวิเคราะห์ เพื่อช่วยกระตุ้นให้ผู้ใช้ออกกำลังกาย หรือรักษาาสุขภาพต่างๆ มากขึ้น

Fitbit Versa 2 จึงเหมือนเป็นอุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นมาไว้ใช้เพื่อเก็บข้อมูลสุขภาพของผู้ใช้ ไปพร้อมๆ กับการเป็นสมาร์ทวอทช์ที่ทำหน้าที่ได้หลากหลายมากขึ้น นอกเหนือจากการแสดงเวลา วัดก้าว และวัดนอน ที่เป็นเรื่องปกติของสินค้าในกลุ่มนี้

ข้อดี

สมาร์ทวอชท์เก็บข้อมูลสุขภาพ พร้อมแอปช่วยวิเคราะห์ข้อมูล

น้ำหนักเบา ใส่นอนได้

แบตเตอรี่ใช้งานได้ต่อเนื่องทั้งสัปดาห์

ข้อสังเกต

ยังไม่รองรับภาษาไทย

ราคาสูงกว่า Apple Watch 3 รวมถึงสมาร์ทวอทช์ Android หลายๆ รุ่น

ยิ่งใส่ ยิ่งเก็บข้อมูล ยิ่งสุขภาพดี

ข้อมูลหลักที่ Fitbit เลือกมาใช้นำเสนอร่วมกับการจำหน่าย Versa 2 คือเรื่องของการนอน ที่นำข้อมูลมาแสดงให้เห็นว่าปัจจุบันสุขภาพของหลากหลายบุคคลกำลังเสียนไปจากการที่พักผ่อนไม่เพียงพอ ขณะเดียวกัน ถ้ามีอุปกรณ์ที่มาช่วยวัดเพื่อปรับให้การนอนทำได้เต็มที่มากขึ้น ก็จะช่วยทำให้สุขภาพของผู้ใช้งานดีขึ้นเช่นกัน

การเลือกนำเสนอการวัดนอนนี้ ถือเป็นหนึ่งในจุดเด่นของ Fitbit ก็ว่าได้ เพราะคู่แข่งรายใหญ่ในตลาดนี้อย่าง Apple Watch ยังไม่มีอุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาสำหรับใส่นอนโดยเฉพาะ จากข้อจำกัดในเรื่องของแบตเตอรีที่ต้องชาร์จเกือบทุกวัน แต่ Fitbit สามารถใส่นอนได้ ด้วยแบตเตอรีที่สามารถใช้งานได้ทั้งสัปดาห์

พร้อมกับพัฒนาระบบที่มาวิเคราะห์การนอนออกมาเป็นคะแนน เพื่อให้ผู้ใช้ได้มีการพัฒนาการนอนให้ดียิ่งขึ้น และเมื่อตัวเครื่องถูกตั้งให้อยู่ในโหมดวัดนอนแล้ว จะตัดการแจ้งเตือน ไฟสถานะต่างๆ เมื่อพลิกตัวออก เพื่อป้องกันไม่ให้ Versa 2 ไปรบกวนช่วงเวลานอนของผู้ใช้งาน

ด้วยเหตุนี้ Versa 2 จึงกลายเป็นสมาร์ทวอชท์ที่ Fitbit เลือกนำเสนอมาใช้เพื่อวัดนอน ในขณะที่รายอื่นทำไม่ได้ (ไม่นับพวกสายรัดข้อมือสุขภาพที่ทุกแบรนด์วัดนอนได้อยู่แล้ว) มาเป็นจุดขายหลัก คู่กับการทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟน ในเรื่องของการแจ้งเตือนข้อมูล และควบคุมการสั่งงานบางส่วน

อย่างการควบคุมเครื่องเล่นเพลง คู่กับสมาร์ทโฟน ทำให้สามารถสั่งเล่นเพลง หยุดเพลง เปลี่ยนเพลง ได้ทันที โดยไม่ต้องหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา หรือการอ่านข้อมูลการแจ้งเตือนที่เด้งเข้ามา แต่ในจุดนี้ก็ยังน่าเสียดายที่ไม่รองรับภาษาไทย ทำให้การแสดงผลยังไม่สมบูรณ์มากนัก

ส่วนเรื่องการออกกำลังกาย Versa 2 สามารถทำงานคู่กับสมาร์ทโฟนเพื่อวัดการออกกำลังได้ตามปกติ โดยเลือกสั่งงานได้จากทั้งบน Versa 2 หรือจะกดบันทึกผ่านสมาร์ทโฟนก็ได้ นอกจากนี้ Fitbit ยังฉลาดที่จะคอยบันทึกกิจกรรมต่างๆ แบบอัตโนมัติเมื่อตรวจพบการเคลื่อนไหว ในลักษณะออกกำลังกายได้

ข้อมูลต่างๆ ที่ถูกบันทึกไว้จะเก็บอยู่ภายในแอปพลิเคชัน Fitbit เพื่อให้ผู้ใช้เข้าไปย้อนดูได้ หรือจะซิงค์ข้อมูลสุขภาพเหล่านี้ไปเก็บไว้ในแอปพลิเคชัน 3rd Party อย่างสายวิ่ง หรือปั่น ที่นิยมใช้ Strava ในการเก็บสถิติ หรือเก็บข้อมูลไว้กับระบบปฏิบัติการที่ใช้งานอย่าง Google Fit หรือ Apple Health ได้ด้วย

ทั้งนี้ ข้อมูลสุขภาพที่จัดเก็บจะมีทั้งข้อมูลพื้นฐานทั่วไป อย่างในแต่ละวันเดินกี่ก้าว ขึ้นลงบันไดกี่ชั้น ระยะทางเดินเท่าไหร่ ปริมาณแคลอรี่ที่เผาหลาน ระยะเวลาที่ออกกำลัง อัตราการเต้นของหัวใจ และลึกลงไปถึงข้อมูลการออกกำลังกาย อย่างเส้นทาง ความเร็ว จนถึงการวัดระยะเวลาในการนอน ว่านอนหลับสนิท หลับตื้น เพราะทุกอย่างมีผลกับสุขภาพทั้งสิน

ความพิเศษของ Fitbit คือการเพิ่มความพรีเมียมให้แก่ลูกค้าที่ใช้งาน สามารถเข้าไปเลือกดูโปรแกรม สำหรับออกกำลัง หรือเลือกที่จะท้าทายกับเพื่อนในกลุ่มเพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการออกกำลังกายมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้สุขภาพของผู้ใช้ดีขึ้นทั้งหมด

ปรับให้แฟชันมากขึ้น

อีกส่วนที่ Versa 2 มีการปรับปรุงจากรุ่นแรก คือเรื่องของดีไซน์ ที่ทำให้ดูน่าใส่ใช้งานมากขึ้น หรือในอีกมุมหนึ่งก็ทำให้คล้ายกับ Apple Watch ที่กลายเป็นสมาร์ทวอทช์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลกเวลานี้ ในระดับราคาที่ต่ำกว่าเพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้าได้ใช้งาน

ขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกพรีเมียมมากขึ้นด้วยการเพิ่มสายสปอร์ต สายผ้า มาให้เลือกใช้งาน โดยขนาดของ Versa 2 จะมีทั้ง Small ซึ่งมีเส้นรอบวงอยู่ที่ 140-180 มิลลิเมตร Large อยู่ที่ 180 – 220 มิลลิเมตร ซึ่งจะแถมสายมาให้เปลี่ยนอยู่ภายในกล่อง ส่วนตัวเรือนจะเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสมีขนาดอยู่ที่ 25.07 มิลลิเมตร

ส่วนฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Versa 2 ก็จะมีอย่าง Fitbit Pay ที่ปัจจุบันเปิดให้ผู้ใช้สามารถผูกบัตรเดบิต และบัตรเครดิต ผูกเข้ากับนาฬิกา ทำให้สามารถใช้แตะเพื่อชำระค่าบริการได้ ซึ่งปัจจุบันก็เริ่มมีร้านค้าที่รับชำระเพิ่มมากขึ้นแล้ว

ถัดมาในส่วนของการออกกำลัง Versa 2 กันน้ำได้ 50 เมตร ทำให้สามารถใส่เพื่อเก็บรายละเอียดในการออกกำลังอย่างว่ายน้ำเพิ่มเติมได้ ส่วนกรณีที่เป็นสุภาพสตรี จะมีระบบอย่างการวัดรอบเดือนเพิ่มเข้ามาให้ใช้งานกันด้วย

ส่วนแบตเตอรีสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องกว่าสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับรูปแบบกิจกรรมที่ใช้งาน อย่างถ้าออกกำลังบ่อย มีการใช้วัดอัตราการเต้นของหัวใจเป็นประจำ พร้อมเก็บข้อมูลออกกำลังต่างๆ ก็จะทำให้ระยะเวลาใช้งานลดง

สรุป

ในภาพรวมของการเป็นนาฬิกาสมาร์ทวอทช์ เชื่อว่า Fitbit Versa 2 สามารถตอบโจทย์ใช้งานได้ครบ โดยเฉพาะการวัดสุขภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นก้าวเดิน การนอน ออกกำลังกาย รวมถึงการแจ้งเตือนคู่กับสมาร์ทโฟนเพื่อให้สะดวกขึ้น

แต่ข้อเสียสำคัญที่สุดของ Versa 2 และเป็นข้อเสียของ Fitbit แทบทุกรุ่นที่ผ่านมาคือยังไม่รองรับภาษาไทย ซึ่งทำให้ใครที่ใช้การสื่อสาร หรือข้อความแจ้งเตือนเป็นภาษาไทยก็จะไม่สามารถอ่านผ่านนาฬิกาที่ข้อมือได้เหมือนเดิม

ทั้งนี้ Fitbit Versa 2 วางจำหน่ายในราคา 7,990 บาท

Gallery

]]>
Review : Fitbit Versa Lite Edition ที่ “Lite สมชื่อ” https://cyberbiz.mgronline.com/review-fitbit-versa-lite-edition/ Mon, 03 Jun 2019 04:10:45 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=30776  

สมาร์ทวอตช์ Fitbit Versa Lite Edition วางจุดขายไว้ที่ราคาจับต้องได้ บนจอแสดงผลสีสะดุดตาในบอดี้หรูอะลูมิเนียม ตัวสายเป็นซิลิโคนน้ำหนักเบาที่ใส่สบายแม้จะสวมไว้นานเมื่อทำกิจกรรมจนมีเหงื่อซึม แบตเตอรี่จุใจใช้ต่อเนื่องเกิน 4 วันแบบไม่ได้โม้

ข้อดี

– จอแสดงผลสว่างสดใส
– การออกแบบดี ใช้งานสะดวกสบาย
– อายุแบตเตอรี่ต่อเนื่อง 4-5 วัน
– ราคาประหยัดกว่ารุ่นท็อป

ข้อสังเกต

– ไม่มีระบบนับชั้นเมื่อเดินขึ้นบันได
– ไม่มี GPS

Fitbit เริ่มเปิดตัว Fitbit Flex ในปี 2013 ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา Fitbit สามารถพิสูจน์ได้ว่าสมาร์ทวอตช์จับสถิติร่างกายเพื่อการออกกำลังนั้นไม่ได้เป็นแค่แฟชั่นชั่วคราวที่มาแล้วก็ไป ซึ่งเมื่อ Apple เห็นโอกาสงามและเปิดตัว Apple Watch ในเดือนเมษายน 2015 แบรนด์อย่าง Fitbit ที่มุ่งเน้นผลิตสายรัดข้อมือติดตามข้อมูลฟิตเนสเป็นหลักมาก่อน ก็หันมาเปิดตัวสมาร์ทวอทช์ครั้งแรกด้วยการประเดิมรุ่น Fitbit Ionic ในช่วงปลายปี 2017

ตั้งแต่นั้น กองทัพสมาร์ทวอตช์ของหลายแบรนด์ก็เริ่มเปิดตลาดในราคาไม่ธรรมดา แต่ในปีนี้ โลกได้รู้จัก “Fitbit Versa Lite” ที่เปิดตัวพร้อมกับ Fitbit Inspire HR ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เรียกความสนใจได้มากเพราะนี่คือสมาร์ตวอทช์ที่มีเป้าหมายเข้าถึงลูกค้ามากขึ้นในราคาที่ถูกกว่า

Fitbit Versa Lite รุ่นใหม่มีราคาอยู่ที่ 6,690 บาท และไม่ใช่ทายาทที่ต่อยอดจาก Fitbit Versa ที่เปิดตลาดไปเมื่อปีที่แล้ว เพราะ Versa Lite เป็นรุ่นที่เน้นรวมทุกคุณสมบัติของสมาร์ทวอตช์รุ่นใหญ่ มาจัดใหม่ในราคาที่ถูกลง สิ่งที่ต้องแลกเพื่อให้ได้ราคาที่สบายกระเป๋ากว่าคือการไม่มี GPS และการตัดเซ็นเซอร์บางอย่างออกไปจนทำให้ไม่สามารถนับชั้นเมื่อผู้ใช้เดินขึ้นบันได แต่จะสามารถนับได้เฉพาะจำนวนก้าวที่เดินเท่านั้น

แทบไม่ต่าง Apple Watch

แม้จะมีราคาประหยัดกว่า แต่ Versa Lite ถูกออกแบบมาในพิมพ์เดียวกันกับ Fitbit Versa และ Versa Special Edition โดยใช้หน้าจอ LCD สี่เหลี่ยมจัตุรัส เมื่อนำมาเทียบกับ Apple Watch สายสีขาว จะพบว่าถอดแบบเหมือนพี่น้องคลอดตามกันมา

หากเทียบ Versa Lite และ Fitbit Versa พบว่าปุ่มที่เครื่องต่างกันโดย Fitbit Versa จะมี 2 ปุ่มอยู่ทางด้านขวาของเครื่อง แต่ใน Fitbit Versa Lite มาพร้อมกับปุ่มทางซ้ายเพียงปุ่มเดียว โดยรูปแบบการทำงานของปุ่ม Versa Lite ยังต่างจากปุ่มที่อยู่ใน Fitbit Versa ด้วย เพราะสามารถใช้เพื่อนำทางกลับไปที่หน้าจอหรือเพื่อให้เข้าสู่โหมดสลีปเท่านั้น แต่ปุ่มใน Fitbit Versa สามารถใช้คู่กับแอปพลิเคชันได้

ด้านหลังของ Versa Lite นั้อุดมด้วยเซ็นเซอร์หลายตัว ทั้งเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ เซ็นเซอร์ SpO2 และเซ็นเซอร์วัดแสงรอบข้าง อย่างไรก็ตาม Versa Lite ต่างจาก Versa และ Versa Special Edition ที่ไม่ได้มาพร้อมกับเซ็นเซอร์วัดความสูงเหมือนในสมาร์ทว็อตช์รุ่นอื่น

จอแสดงผลเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่จะชี้เป็นชี้ตายว่าสมาร์ทวอตช์รุ่นใดน่าสนใจหรือไม่ โชคดีที่ Versa Lite สามารถตอบโจทย์ได้ดี เพราะ Fitbit Versa Lite มีหน้าจอ LCD ขนาด 1.34 นิ้ว เคลือบด้วยกระจกกันกระแทก Corning Gorilla Glass 3 ความสว่าง 1,000 nits ทำให้จอแสดงผลของ Versa Lite สู้แสงอาทิตย์สดใสของกรุงเทพมหานครได้ดีมาก

แจ้งเตือนไม่ได้?

ตามปกติ Versa Lite จะสามารถแสดงการแจ้งเตือนเพื่อรับข้อความจากโทรศัพท์ แต่กรณีของรุ่นที่ได้มาทดสอบ พบว่าแม้จะพยายามรีสตาร์ทเครื่องกี่ครั้งเพื่อเชื่อมต่อระบบแจ้งเตือน ก็ยังมีปัญหาไม่สามารถรับข้อมูลแจ้งเตือนได้ จุดนี้ถือเป็นปัญหาเดียวกับสมาร์ทวอตช์บางรุ่นที่ถูกปิดกั้นจากสมาร์ทโฟนเฉพาะรุ่น ซึ่งปัญหานี้ถูกรายงานในหลายประเทศทีเดียว

ชาว Versa Lite สามารถปัดหน้าจอขึ้นเพื่อตรวจสอบสถิติรายวัน ทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ, จำนวนก้าว, ชั่วโมงนอนหลับ และรายงานรายสัปดาห์ หากวาดหน้าจอไปทางซ้าย ระบบจะเปิดโหมดออกกำลังกาย, นาฬิกาปลุก ระบบผ่อนคลาย Relaxing และการตั้งค่า หากกดปุ่มด้านซ้ายของเครื่องค้างไว้ จะทำให้สามารถเข้าถึงส่วนควบคุมเพลง และการควบคุมการแจ้งเตือนได้ ทั้งหมดนี้ถือว่าตั้งค่าง่ายและละเอียดดี

จุดเด่นของ Versa Lite ยังอยู่ที่คุณสมบัติกันน้ำ โดยผู้ใช้สามารถสวมใส่ในห้องอาบน้ำหรือในสระว่ายน้ำที่มีความลึกสูงสุด 50 เมตร จุดที่ Versa Lite ไม่ต่างจากสายรัดข้อมือสุขภาพทั่วไปคือ Versa Lite มีการแจ้งเตือนกิจกรรมรายชั่วโมง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายรายวันที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เอกลักษณ์ที่ Fitbit จัดให้ในสินค้าแทบทุกรุ่นคือการฝึกหายใจผ่านฟีเจอร์ Relaxing ที่ช่วยให้ผ่อนคลายด้วยการหายใจเข้าออกลึกราว 2 หรือ 5 นาที

การตั้งค่าการเตือนทำได้สูงสุด 8 รายการ เท่ากับระบบจับเวลาที่ตั้งได้ 8 รายการเช่นกัน ผู้ใช้ Versa Lite สามารถใช้รับสาย และติดตามสถิติการออกกำลังกายทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ ระดับการออกกำลังกายแบบ cardio การนับจำนวนก้าว จำนวนแคลอรี่ทั้งหมดที่เผาผลาญ รอบการนอนหลับ และสรุปการออกกำลังกายประจำสัปดาห์ ซึ่งจะมีส่งสรุปให้ทางอีเมลด้วย

ระยะเวลาในการชาร์จ Versa Lite จาก 0 เป็น 100 เปอร์เซ็นต์ ทำได้ในเวลาราว 2 ชั่วโมง ตรงนี้ต้องปรบมือให้ Versa Lite เพราะเป็นสมาร์ทวอตช์แบตเตอรี่อึดที่ใช้งานต่อเนื่องได้เกิน 5 วัน มากกว่าที่ Fitbit เคลมไว้ว่าอายุการใช้งานแบตเตอรี่ต่อเนื่อง 4 วัน ผลคือผู้ใช้สามารถใส่ได้ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ต้องกลัวว่าแบตเตอรี่จะหมดในตอนเช้า ซึ่งแม้แบตเตอรี่จะเหลือเพียง 15 เปอร์เซ็นต์ก็ยังใช้งานได้อีกหลายชั่วโมง

ฟันธงว่าคุ้มไหม?

ต้องบอกว่า Fitbit Versa Lite เป็นสมาร์ทวอตช์น่าสนใจมากสำหรับผู้ที่กำลังมองหาอุปกรณ์ที่จะมาแทนนาฬิกาข้อมือและอุปกรณ์ออกกำลังกาย แต่ต้องยอมรับว่าราคาที่ไม่แพงนั้นแลกมาด้วยข้อจำกัด เพราะแม้จะสามารถตรวจสอบข้อความบน Versa Lite แต่ก็จะไม่สามารถตอบกลับข้อความเหล่านั้นได้แบบไร้อุปกรณ์เสริม ขณะที่แม้จะสามารถควบคุมการเล่นเพลงบนสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่ออยู่ แต่ไม่สามารถเล่นได้เอง รวมถึงความสามารถนับขั้นบันไดที่นับจำนวนชั้นไม่ได้

ด้วยราคานี้ Versa Lite จะไม่มี GPS ออนบอร์ด ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ไม่สามารถทิ้งโทรศัพท์แล้วออกไปจ็อกกิ้งได้เต็มที่ตามที่ต้องการ นอกจากนี้ Versa Lite กำหนดให้ผู้ใช้ต้องเลือกโหมดการออกกำลังกายทีละโหมด ซึ่งแปลว่าหากใครตัดสินใจเดิน 15 นาทีสลับกับวิ่งต่ออีก 15 นาทีแล้วจึงขี่จักรยานอีก 30 นาที ใครคนนั้นจะต้องเลือกโหมดด้วยตัวเอง ยุ่งยากและใช้เวลานานยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสมาร์ทวอตช์รุ่นท็อป

แต่ถ้าหากทุกอย่างไม่ใช่เรื่องใหญ่ Versa Lite ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้เริ่มใช้สมาร์ทวอตช์ เพราะตัวแอปและระบบรอบด้านนั้น Fitbit ออกแบบมาได้ดีมาก แม้แต่หากแบตเตอรี่กำลังจะหมด ระบบยังส่งอีเมลมาเตือนให้ชาร์จแบตเตอรี่โดยเร็ว ซึ่งเป็นการติดต่อจากอุปกรณ์ที่ถือว่าใส่ใจมากทีเดียว.

]]>
Review : Fitbit Charge 3 ชาร์จรอบเดียวใช้ได้ 7 วัน https://cyberbiz.mgronline.com/review-fitbit-charge-3/ Mon, 03 Dec 2018 06:42:17 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29797  

ถัดจาก Fitbit Charge 2 ที่เพิ่มเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจแล้วทำตลาดช่วงปี 2016 วันนี้ถึงคิว Fitbit Charge 3 ที่ปรับดีไซน์ใหม่ให้บางลง แลดูหรูพรีเมียมมากขึ้นกว่าเดิม จุดเด่นคือ Fitbit Charge 3 ใส่แล้วเบาเพราะตัวเรือนอะลูมิเนียมที่ Fitbit ระบุว่าใช้เทคโนโลยีอากาศยานให้น้ำหนักเบาขึ้น ขณะเดียวกันก็ใช้จอทัชสกรีนกระจก Gorilla Glass 3 ทนต่อรอยขีดข่วน

ความใหม่ของ Fitbit Charge 3 ยังอยู่ที่ฟีเจอร์เพื่อสุขภาพและการออกกำลังกาย ที่ผู้ใช้เลือกได้ตามชนิดกีฬา นอกจากนี้ยังรองรับระบบชำระเงิน Fitbit Pay ทั้งหมดนี้ใช้งานได้เต็มที่เพราะแบตเตอรี
อึดทนยาวนาน 7 วันหลังจากชาร์จเต็ม 100%

การออกแบบ

จากที่เคยหนา Charge 3 ถูกปรับให้บางกว่าเดิมโดยที่จอแสดงผลยังคงกว้างพอแสดงรายละเอียดสำคัญ มีให้เลือก 2 ขนาด คือ Small สำหรับขนาดข้อมือ 5.5 – 7.1 นิ้ว และ Large 7.0 – 8.7 นิ้ว เส้นทแยงมุมหน้าจอ 1.57 นิ้ว ขนาดจอ 0.78×1.36 นิ้ว

เช่นเดียวกับ Charge 2 ด้านหลังตัวเรือน Charge 3 จะมีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ตรงกลาง และมีส่วนสำหรับชาร์จและชิงค์ข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ผ่านสายยูเอสบี การชาร์จทำได้ง่ายเพราะจะชาร์จทันทีที่เชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์แล้วลงล็อกพอดี สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนสาย สามารถพลิกด้านหลังตัวเรือนเพื่อปลดล็อกสายออกจากเครื่องได้ง่าย จุดนี้ต้องชื่นชมเพราะการถอดสายทำได้ง่ายกว่าคู่แข่งรุ่นราคาระดับเดียวกันอย่าง Gear Fit Pro 2

สเปก

Fitbit Charge 3 ใช้เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ระบบตรวจจับการเคลื่อนไหว (3-axis accelerometer) ระบบวัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบออปติคอล เครื่องวัดระดับความสูง (Altimeter) และมอเตอร์ระบบสั่น มีเซ็นเซอร์ตรวจวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดสัมพัทธ์ SpO2 และรองรับ NFC (เฉพาะรุ่นพิเศษ) ใช้หน้าจอสัมผัส OLED ขาวดำ

หลังจากชาร์จประมาณ 2 ชั่วโมง Fitbit Charge 3 มีอายุใช้งานแบตเตอรี่ได้ต่อเนื่อง 7 วัน ตัวเครื่องสามารถบันทึกข้อมูลเคลื่อนไหวได้ละเอียดตลอดสัปดาห์ 7 วันแบบนาทีต่อนาที สามารถบันทึกผลสรุปรายวันในรอบ 1 เดือน

จากข้อมูล พบว่า Fitbit Charge 3 สามารถกันน้ำได้ลึก 50 เมตร แต่หลังจากว่ายน้ำหรือกิจกรรมที่ทำให้ Charge 3 เปียก Fitbit ย้ำว่าควรเช็ด Charge 3 ให้แห้ง และไม่แนะนำให้สวมใส่ Charge 3 ในอ่างน้ำร้อนหรือซาวน่า

Fitbit Charge 3 รองรับ Bluetooth 4.0 ตัวเครื่องสามารถซิงค์อัตโนมัติกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ iOS, Android และ Windows โดย Charge 3 จะยังซิงค์ได้เมื่อห่างจากอุปกรณ์ที่ติดตั้งแอปพลิเคชันรัศมี 20 ฟุต 

ฟีเจอร์เด่น

Fitbit Charge 3 ถือเป็นฟิตเนสแทรคเกอร์ที่ฉลาดและครบเครื่อง เพราะมีเซ็นเซอร์ตรวจวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดสัมพัทธ์ SpO2 มาใส่ไว้ในแทรคเกอร์เป็นครั้งแรก เมื่อรวมกับเซ็นเซอร์วัดการเต้นหัวใจ โหมดออกกำลังกายใน Fitbit Charge 3 จึงทำงานได้อย่างเหนียวแน่น

Charge 3 เปิดให้ผู้ใช้เลือกโหมดออกกำลังกายได้มากกว่า 15 โหมด เช่น หากเลือกโหมดว่ายน้ำ ก็จะมีแดชบอร์ดข้อมูลสุขภาพที่เข้ากับกิจกรรมว่ายน้ำโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีการติดตามสุขภาพสำหรับสุภาพสตรี และฟังก์ชั่นติดตามการนอน

นอกจากดีไซน์หรู Fitbit Charge 3 มีจุดเด่นที่ปุ่มกดด้านซ้ายของเครื่อง ซึ่ง Fitbit เรียกว่าปุ่มเหนี่ยวนำ (inductive button) ให้สัมผัสไวกว่าปุ่มกดปกติ ถือเป็นความใหม่ที่ทำให้การใช้งาน Fitbit Charge 3 ง่ายขึ้น

เมื่อกดปุ่มนี้ Charge 3 จะเปิดให้ผู้ใช้เลือกโหมด เช่น โหมดแสดงหน้าจอหลัก โหมดแสดงสถิติจำนวนก้าว โหมดตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจ โหมดปริมาณแคลอรี่ที่ใช้ จำนวนชั้นที่ก้าวเดิน และเวลาที่มีการเคลื่อนไหว ยังมีโหมด Relax ซึ่งจะแสดงกราฟิกบนหน้าจอให้ผู้ใช้หายใจเข้า-ออกตาม

Fitbit Charge 3 ทำให้ผู้ใช้ไม่พลาดการติดต่อและไม่โดนรบกวน มีฟีเจอร์แจ้งเตือนสายเรียกเข้า ข้อความ และปฏิทินนัดหมาย ขณะที่โหมดตอบกลับเร็ว (Quick Replies) สำหรับโทรศัพท์ระบบแอนดรอยด์ จะเปิดให้บริการเร็ว ๆ นี้

สำหรับระบบการชำระเงิน ”ฟิตบิท เพย์” จะต้องทำบน Special Edition Charge 3 รุ่นพิเศษที่มีชิป NFC เท่านั้นจึงจะสามารถชำระเงินด้วยข้อมือ วิธีการเปิดใช้งาน Fitbit Pay คือการกดปุ่มซ้ายของ Special Edition Charge 3 ค้างไว้ 2 วินาที ก็จะเข้าสู่เมนูหลัก จุดนี้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าบัตรเครดิตที่เมนู Wallet จากแอปพลิเคชันก่อน

สรุป

ความประทับใจใน Charge 3 ต้องยกให้ความอึดทนของแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้เกิน 7 วันต่อการชาร์จ 1 ครั้ง โดยจากการทดสอบ เราพบว่าหลังจากผ่านไป 7 วัน แบตเตอรี่ยังมีเหลือไม่น้อยกว่า 28%

สำหรับ Fitbit ถือว่าชัดเจนเรื่องความพยายามในการพัฒนาแอปพลิเคชันให้ฉลาดขึ้น แอปพลิเคชัน Fitbit สามารถตรวจจับกิจกรรมของผู้ใช้ได้แบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังและการนอนแบบไม่ต้องตั้งค่าเพิ่ม ทำให้ผู้ใช้ไม่ยุ่งยากในการใช้งาน รวมถึงฟีเจอร์ Female Health ที่น่าสนใจมากสำหรับผู้หญิง เพราะไม่ได้ติดตามเฉพาะรอบประจำเดือน แต่ยังครอบคลุมถึงช่วงไข่ตก และอาการปวดหัวอื่นๆ

ถือว่า Charge 3 คุ้มค่ามากกว่า Charge 2 ที่ก่อนหน้านี้ตั้งราคาเริ่มต้น 7,490 บาท สำหรับ Charge 3 ถูกลดราคาเริ่มต้นเหลือ 6,490 บาท มีจำหน่ายทั้งแบบสีดำพร้อมกรอบอะลูมีเนียมกราไฟต์ หรือสีบลูเกรย์พร้อมกรอบอะลูมิเนียมสีชมพูโรสโกลด์ อุปกรณ์เสริมราคาระหว่าง 990-1,890 บาท และรุ่น Special Edition ในราคา 6,990 บาทเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวที่ทำให้ Charge 3 มีข้อสงสัยคือความแม่นยำในการวัดจำนวนก้าว เพราะจากการสวมใส่ Charge 3 เข้านอน พบว่าเมื่อตื่นนอนโดยที่ยังไม่ลงจากเตียง หน้าจอ Charge 3 แสดงผลว่าได้ก้าวเดินมากกว่า 38 ก้าว ซึ่งตัวเลขจะเปลี่ยนไปไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน จุดนี้หากไม่ใช่ Charge 3 ทำงานพลาด ก็อาจเป็นเพราะการ “นอนดิ้น” 38 ตลบที่แทบไม่น่าจะเป็นไปได้.

ข้อดี

– ดีไซน์หรู
– แบตเตอรี่ทนนานกว่า 1 สัปดาห์
– ทำงานอัตโนมัติ
– ใส่ว่ายน้ำได้

ข้อสังเกต

– ขาดแอปพลิเคชันเสริมของค่ายอื่น
– ไม่รองรับการซิงค์อัตโนมัติกับ Apple Health หรือ Google Fit

]]>
Review : Apple Watch Series 4 ยกระดับสมาร์ทวอทช์สู่นาฬิกาเพื่อสุขภาพ https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-watch-series-4/ Tue, 30 Oct 2018 09:17:38 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29627

การยกระดับจากนาฬิกาอัจฉริยะ เป็นนาฬิกาเพื่อสุขภาพ กลายเป็นจุดเด่นสำคัญของ Apple Watch 4 ที่ถูกปรับปรุงขึ้นเพิ่มเติมจากในรุ่นก่อนหน้า ด้วยการเพิ่มความสามารถในการตรวจจับการล้มของผู้สูงอายุ การเพิ่มเซ็นเซอร์ที่ช่วยในการตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (เปิดให้ใช้งานในอนาคต) ถือเป็น 2 เรื่องใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้น

แต่จริงๆ แล้ว Apple Watch 4 ได้มีการเพิ่มทั้งประสิทธิภาพภายใน รวมถึงปรับเปลี่ยนดีไซน์เป็นครั้งแรกตั้งแต่ออกวางจำหน่ายมา ทำให้หน้าจอแสดงผลใหญ่ขึ้น ตัวเรือนบางลง และเพิ่ม Haptic เวลาหมุนเม็ดมะยม (Digital Crown) เพื่อให้ความรู้สึกเหมือนใช้นาฬิกาแอนาล็อกหรูๆ

ข้อดี

ขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้น เสียงดังขึ้น
รุ่น Cellular รองรับการใช้งานหลายๆ อย่างโดยไม่ต้องใช้คู่กับ iPhone
แม้จะมีการปรับขนาดตัวเรือน แต่ยังใช้งานร่วมกับสายเดิมที่มีได้

ข้อสังเกต

ต้องชาร์จทุกวันเหมือนเดิม
ราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับสมาร์ทวอทช์แบรนด์อื่นๆ

สิ่งที่ปรับปรุงขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า

Apple Watch 4 คู่กับ Apple Watch 3

ในแง่ของตัวเรือน Watch 4 จะเปลี่ยนมาใช้การเรียกขนาดตัวเรือนเป็น 40 มม. (แทนที่ 38 มม. เดิม) และ 44 มม. แทนที่รุ่น 42 มม. เดิม โดยผู้ใช้ยังสามารถใช้งานคู่กับสายขนาดเดิมได้ เมื่อตัวเรือนมีขนาดใหญ่ขึ้น จุดที่เพิ่มขึ้นมาก็คือหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่กว่ารุ่นเดิม 30% จากการปรับในส่วนมุมให้โค้งรับกับตัวเรือน

ซ้าย Watch 4 ขวา Watch 3

 

ถัดมาคือตัวเรื่องบางลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ Watch 3 จากเดิมที่รุ่น 38 มม. มีขนาดอยู่ที่ 38.6 x 33.3 x 11.4 มิลลิเมตร น้ำหนัก 28.7 กรัม พอเป็นรุ่น 40 มม. ขนาดจะอยู่ที่ 39.8. x 34.4 x 10.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 30.1 กรัม

ส่วนรุ่น 42 มม. เดิมอยู่ที่ 42.5 x 36.4 x 11.4 มิลลิเมตร นำ้หนัก 34.9 กรัม ก็เพิ่มเป็น 44 x x37.8 x 10.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 36.7 กรัม โดยจอภาพที่ใช้ใน Watch 4 จะเปลี่ยนเป็น LTPO OLED Retina หรือ Low-Temperature Polycrystaline Oxide ที่ให้ความสว่างสูงสุด 1000 นิต มีการเคลื่อบสารกันรอยนิ้วมือมาให้ด้วย

นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงในเรื่องของคุณภาพเสียง ด้วยการย้ายลำโพงมาไว้ทางด้านซ้าย และปรับไมโครโฟนไปอยู่ทางด้านขวา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเสียงรบกวนขณะสนทนา และช่วยทำให้ลำโพงดังขึ้นกว่าเดิมถึง 50%

เช่นเดียวกับบริเวณเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจด้านหลังตัวเรือน ที่เพิ่มพื้นที่ผลึกแซฟไฟร์มาช่วยให้ตรวจจับการเต้นของหัวใจได้แม่นยำมากขึ้น ไม่นับรวมกับบริเวณปุ่มเม็ดมะยมที่จะปล่อยคลื่นไฟฟ้าออกมาช่วยวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ที่จะเปิดให้ใช้งานในภายหลัง)

รวมๆ แล้วจะเห็นได้ว่าตัวเรือนจะเน้นการปรับปรุงให้หน้าจอมีขนาดใหญ่ขึ้น และบางลงเล็กน้อย ซึ่งการที่หน้าจอใหญ่ขึ้น ก็ช่วยให้สามารถใช้งานแอปบนนาฬิกาได้สะดวกขึ้น ทั้งการอ่านข้อมูลการแจ้งเตือน อ่านข้อความ ดูตารางนัดหมายต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดใช้งาน iPhone

ฟีเจอร์ใหม่ที่มากับ Watch Series 4

ในส่วนของฟีเจอร์ใหม่ที่มากับ Watch 4 หลักๆ แล้วจะมีด้วยกัน 2 อย่างด้วยกัน คือ เรื่องของการแจ้งเตือนการล้ม เนื่องจากภายใน Watch 4 มีการเพิ่มเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ที่แม่นยำขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการตกจากที่สูง

ส่งผลให้ตัวนาฬิกา จะมีโหมดการแจ้งเตือนฉุกเฉิน (SOS) เพิ่มเข้ามา ในกรณีที่ผู้สวมใส่ลื่นล้ม หรือหมดสติ ล้มลงกับพื้น แล้วไม่มีการตอบสนอง ตัวนาฬิกาจะติดต่อไปยังตำรวจ และส่งข้อมูลให้บุคคลใกล้ชิด (ที่ลงทะเบียนไว้) โดยจะส่ง SMS ขอความช่วยเหลือ พร้อมพิกัดสถานที่ไปให้ทันที

อย่างไรก็ตาม แอปเปิล ระบุว่า ฟีเจอร์นี้จะเหมาะกับการใช้งานสำหรับผู้สูงอายุ ที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพ โดยระบบจะทำการเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้อัตโนมัติในกรณีที่มีอายุเกิน 65 ปีขึ้นไป ส่วนถ้าอายุไม่ถึงแล้วอยากเปิดใช้งานก็สามารถเข้าไปตั้งค่าได้จากแอปพลิเคชัน Watch บน iPhone

ถัดมาก็คือฟีเจอร์อย่างการวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ด้วยการที่ Watch 4 มีการเพิ่มเซ็นเซอร์วัดคลื่นหัวใจแบบไฟฟ้ามาที่บริเวณปุ่มเม็ดมะยม ทำให้เมื่อใช้งานร่วมกับเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจเดิม ก็จะแสดงผลออกมาเป็นค่า ECG หรือ EKG ได้ทันที รวมถึงการแจ้งเตือนการเต้นหัวใจเบาลง ที่เมื่อก่อนจะมีการแจ้งเตือนเฉพาะหัวใจเต้นแรงเกินไป

ทั้งนี้ ฟีเจอร์วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจจะเริ่มเปิดให้ใช้งานภายในปีนี้ที่สหรัฐอเมริกาก่อน หลังจากนั้นจึงจะทยอยเปิดให้ใช้งานในประเทศอื่นๆต่อไป เนื่องจากเมื่อเป็นอุปกรณ์ที่ถูกนำไปใช้งานทางการแพทย์จะต้องมีการขออนุญาติในการเปิดใช้งานเพิ่มเติมตามแต่ละหน่วยงาน

 

ที่เหลือก็จะเป็นการปรับปรุงในส่วนของประสิทธิภาพตัวเครื่องให้ทำงานได้เร็วขึ้น จากชิป S4 ที่หันมาใช้ซีพียูแบบ Dual-Core 64 บิต พร้อมกับจีพียูใหม่ ทำให้ตอบสนองการใช้งานได้รวดเร็วขึ้น และประหยัดแบตเตอรีมากขึ้น โดยแอปเปิลระบุว่า Watch 4 สามารถใช้งานต่อเนื่อง 18 ชั่วโมง และใช้วัดการออกกำลังได้ 6 ชั่วโมง

ส่วนการเชื่อมต่อก็พัฒนามาใช้ชิปเซ็ต W3 ที่รองรับการเชื่อมต่อบลูทูธ 5.0 ทำให้นอกจากใช้เชื่อมต่อกับหูฟังแล้ว Apple Watch 4 ยังสามารถใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ และเซ็นเซอร์ทางการแพทย์อย่างเครื่องตรวจระดับน้ำตาลภายในเลือด หรืออุปกรณ์อื่นๆ เพื่อส่งข้อมูลมาบันทึกเก็บไว้ได้

ใช้งานคู่กับ watchOS 5

ก่อนหน้านี้แอปเปิล เริ่มมีการอัปเดตให้ผู้ใช้งาน Apple Watch สามารถใช้งาน watchOS 5 ได้แล้ว แต่ใน Watch 4 จะมีจุดที่ใช้งานได้เพิ่มเติมขึ้นมาบางอย่าง เช่นในส่วนของหน้าปัดนาฬิกา Infograph ที่มีให้ใช้งานเฉพาะรุ่นนี้

โดยที่หน้าปัดนาฬิกาผู้ใช้จะสามารถเลือกได้ทั้งสีของหน้าปัด พร้อมกับวิตเจ็ตแสดงผลอีก 8 จุด ประกอบไปด้วยมุมซ้ายบน ขวาบน ซ้ายล่าง ขวาล่าง และตรงกลางหน้าปัดอีก 4 จุด จากเดิมในรุ่น Watch 3 จะเลือกได้เพียง 4 จุดเท่านั้น

สำหรับวิตเจ็ตใหม่ที่มีการนำเสนอเพิ่มขึ้นมาก็จะมีอย่างการแสดงระดับรังสี UV และระบบวอล์คกี้ทอล์คกี้ ที่เพิ่งเปิดให้ใช้งานบน watchOS 5 ทำให้ผู้ใช้สามารถสื่อสารกับผู้ใช้งาน Apple Watch ด้วยกัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้งานไอโฟน

ประกอบกับถ้าใช้งาน Watch 4 GPS+Cellular ก็สามารถใช้งานร่วมกับระบบ eSIM ที่ปัจจุบันโอเปอเรเตอร์ในไทยเปิดให้บริการอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไม่เคยใช้งานมาก่อนก็จะได้สิทธิใช้งานฟรี 3-12 เดือน ขึ้นอยู่กับแพกเกจหลักที่ใช้งาน ถ้าครบแล้วก็จะมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 199 บาท

การลงทะเบียร eSIM สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เมื่อเชื่อมต่อ Watch Series 4 Cellular เข้ากับ iPhone ก็จะสามารถผูกเบอร์ที่ใช้งานเข้าไปด้วยการใส่หมายเลขบัตรประชาชน แล้วกดยืนยัน ก็จะมีข้อเสนอจากโอเปอเรเตอร์มาให้ดู และกดสมัครได้เลย

ส่วนที่มีการอัปเดตเพิ่มเติมใน watch OS 5 ก็จะมีเรื่องของการทำกิจกรรมแข่งขันกับเพื่อนๆ เพื่อท้าทายให้ออกกำลังกายมากยิ่งขึ้น มีโปรแกรมการออกกำลังกายที่เพิ่มโยคะ และการปีนเขาเพิ่มขึ้นมา รวมถึงการตรวจจับการออกกำลังกายอัตโนมัติด้วย

เช่นเดียวกับการทำงานของ Siri ที่ผู้ใช้สามารถยกนาฬิกาขึ้นมาแล้วสั่งงานได้ทันที ไม่ต้องกดปุ่มเม็ดมะยมค้างเพื่อสั่งงานอีกต่อไป ยังมีพอดคาสต์ที่สามารถดาวน์โหลดมาเก็บไว้ฟังบน Watch ได้ทันที และระบบจะทำการซิงค์กับข้อมูลบน iPhone เพื่อให้สามารถฟังได้ต่อเนื่องจากที่ฟังค้างไว้

รุ่น และราคาจำหน่าย

สำหรับ Apple Watch 4 จะมีวางจำหน่ายด้วยกันในประเทศไทย 3 รุ่นหลักๆ 5 รุ่นย่อย ประกอบไปด้วย 1.Apple Watch 4 GPS และ Watch 4 GPS+Cellular ภายในก็จะมีให้เลือกอีกว่าเป็นตัวเรือนขนาด 40 มม. หรือ 42 มม. ที่ใช้อะลูมิเนียม หรือสแตนเลสสตีล

ตามมาด้วย 2.Apple Watch 4 Nike ที่นำมาแกะกล่องให้ชมกัน ที่จะแยกรุ่น GPS และ GPS + Cellular ในราคาเร่ิมต้นที่เท่ากัน และ 3.Apple Watch Hermes ที่มีให้เลือกเฉพาะรุ่น GPS + Cellular ซึ่งเป็นครั้งแรกที่นำรุ่นดังกล่าวเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยด้วย

ทั้งนี้ ในส่วนของราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 14,400 บาท สำหรับรุ่น 40 มม. GPS ส่วน Watch 4 GPS+Cellular ที่ทางค่ายมือถือเริ่มเปิดให้จองประกาศราคาเริ่มต้นรุ่น 40 มม. อยู่ที่ 17,900 บาท และ 42 มม. อยู่ที่ 18,900 บาท

กลายเป็นนาฬิกาเพื่อสุขภาพ

จะเห็นได้ว่า การพัฒนาหลักๆของ Watch 4 จะเน้นไปที่เรื่องของสุขภาพเป็นหลัก ทั้งการทำงานของนาฬิกาอย่างเดียว ไปจนถึงการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่เริ่มมีผู้ผลิตหลายรายให้ความสนใจเชื่อมต่อกับระบบ Health ของทางแอปเปิลมากยิ่งขึ้น ตามเทรนด์เรื่องของสุขภาพที่เกิดขึ้นในเวลานี้

เพราะฟังก์ชันการใช้งานนาฬิกาอัจฉริยะต่างๆ ถูกคิดค้นและพัฒนามาจนอยู่ตัวแล้ว ก้าวต่อไปจึงอยู่ที่การช่วยให้ผู้ใช้งานได้มีสุขภาพที่ดีขึ้นแทน และกลายเป็นตลาดที่ใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิมด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้สูงอายุ ที่ Apple Watch 4 จะกลายเป็นของขวัญที่มีค่า และได้ใช้งานจริง

Gallery

]]>
Review : Fitbit Ionic เมื่อฟิตบิทขอทำสมาร์ทวอทช์เพื่อสุขภาพ https://cyberbiz.mgronline.com/review-fitbit-ionic/ Fri, 30 Mar 2018 10:28:37 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=28223

ด้วยชื่อแบรนด์ของฟิตบิท (Fitbit) ที่ถือเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดอุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพ (Wearable Device) ที่มีการออกผลิตภัณฑ์อย่างสายรัดข้อมือวัดจำนวนก้าว วัดการนอน เพื่อใส่ใช้งานในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงใส่เพื่อออกกำลังกายครอบคลุมระดับราคาตั้งแต่ไม่กี่พันบาทไปจนถึงเกือบหมื่นบาท

จนมาล่าสุด Fitbit หันมาเจาะตลาดในกลุ่มสมาร์ทวอทช์ (Smart Watch) ด้วยการเพิ่มสินค้าในซีรีส์ใหม่ขึ้นมาอย่าง Ionic ที่วางตัวมาเป็นนาฬิกาอัจฉริยะ ที่เชื่อมต่อเข้ากับอีโคซิสเตมส์ของ Fitbit ในการนำเสนอ และเก็บข้อมูลสุขภาพต่างๆของผู้ใช้ออกมาในช่วงระดับราคาหมื่นต้นๆ

ทำให้ปัจจุบัน Fitbit มีสินค้าให้เลือกตั้งแต่รุ่นเล็กอย่าง Flex Alta  Charge Surge และ Ionic รวมถึงรุ่นที่กำลังจะเปิดตัวในไทยอย่าง Versa ไม่นับรวมกับอุปกรณ์อื่นๆอย่างเครื่องชั่งน้ำหนัก และหูฟัง ที่ถือเป็นอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมเข้ามา

ข้อดี

นาฬิกาข้อมือวัดสุขภาพที่มากับ GPS ภายในตัว

แบตเตอรีใช้งานได้ 4-5 วัน ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (10 ชั่วโมง ถ้าจับการออกกำลังกาย)

กันน้ำ 50 เมตร พร้อมตรวจจับการว่ายน้ำได้

อีโคซิสเตมส์ของ Fitbit Apps ที่สามารถบันทึกได้ทั้งอาหาร น้ำ ใส่ตารางออกกำลัง

ข้อสังเกต

ยังไม่รองรับการแสดงผลภาษาไทย

ราคาค่อนข้างสูง (ใกล้เคียงกับ Apple Watch Series 3)

การลงเพลงยังต้องใช้งานคู่กับพีซี

Gallery

มีอะไรเด่นใน Fitbit Ionic

จุดเด่นหลักที่ Fitbit Ionic นำเสนอคือเรื่องของการมีผู้ช่วยส่วนตัวในการใช้งาน ที่จะคอยทั้งแนะนำการออกกำลังกาย เลือกฟังเพลงโปรด รวมถึงฟีเจอร์พื้นฐานอย่างการวัดอัตราการเต้นหัวใจ วัดกิจกรรมต่างๆที่ทำในแต่ละวัน โดยภายในตัวเครื่องจะมีการติดตั้ง GPS มาให้ด้วย

ขณะเดียวกัน ยังชูจุดเด่นในเรื่องของการใส่ Ionic เพื่อวัดขณะว่ายน้ำได้ เพิ่มขึ้นมาจากรุ่นก่อนๆที่ยังไม่รองรับรูปแบบการออกกำลังดังกล่าว ที่เหลือก็คือฟังก์ชันพื้นฐานอย่างการวัดกิจวัตรประจำวัน การเตือนให้ขยับร่างกาย รองรับการตรวจจับรูปแบบการออกกำลังกายอัตโนมัติ วัดระดับการนอน

ส่วนที่เป็นฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นมาสำหรับการเป็นสมาร์ทวอทช์ ก็จะมีการที่ตัว Iomic สามารถเก็บเพลงไว้ในเครื่องได้สูงถึง 300 เพลง โดยสามารถใช้เชื่อมต่อกับหูฟังบลูทูธ เพื่อฟังเพลงขณะออกกำลังกายได้ โดยไม่ต้องพกสมาร์ทโฟนไว้ใกล้ๆ

ถัดมาคือระบบการแจ้งเตือนทั้งการโทร ข้อความ ตารางนัดหมายต่างๆ แต่ที่น่าเสียดายคือปัจจุบันยังไม่รองรับการแสดงผลภาษาไทย (Fitbit ระบุว่ากำลังพัฒนาอยู่) นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมต่อกับแอปอื่นๆที่ใช้ในการบันทึกการออกกำลังกายได้ อย่างพวก Strava ที่ใช้บันทึกการวิ่ง และปั่นจักรยาน

นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชันอย่าง การเปลี่ยนรูปแบบหน้าปัดแสดงผลที่ผู้ใช้สามารถเข้าไปดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้ และอีกฟีเจอร์ที่แม้จะยังไม่สามารถใช้งานในไทยได้ แต่ก็ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีว่าเริ่มมีอุปกรณ์ที่รองรับการใช้งานเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างการจ่ายเงินผ่านเทคโนโลยี NFC

อัด 8 เซ็นเซอร์ไว้ในตัวเครื่องเดียว 

ความสามารถคร่าวๆของ Fitbit Ionic ตัวเครื่องจะมากับดีไซน์แบบ unibody โดยเป็นอะลูมิเนียมเกรด 6000 เหมือนกับที่ใช้กับยานอวกาศชิ้นเดียวที่ภายในใส่เซ็นเซอร์ตรวจจับต่างๆมาให้ 8 ชนิด กันน้ำระดับ 50 เมตร หน้าจอแสดงผลให้ความสว่างสูงถึง 1000 nits บนกระจก Gorilla Glass 3

สำหรับ 8 เซ็นเซอร์ที่ใส่มาประกอบไปด้วย เซ็นเซอร์วัดความสูง (Altimeter) เซ็นเซอร์วัดความเร็ว (Accelerometer) เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว (Gyroscope) พร้อมกับจีพีเอส เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ เซ็นเซอร์วัดวัดแสง (Ambient Light) เซ็นเซอร์เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ และมอเตอร์สร้างแรงสั่นสะเทือน

โดยตัวเรือนของ Ionic จะสามารถถอดสายเพื่อเปลี่ยนสายใหม่ได้ (ในกล่องมีสายให้เลือก 2 ขนาด) เวลาชาร์จจะใช้สายเชื่อมต่อกับหลังเครื่อง ซึ่งรอบๆตัวเครื่องจะมีปุ่มสั่งงานด้วยกัน 3 ปุ่มคือทางซ้าย 1 ปุ่ม และทางขวา 2 ปุ่ม ร่วมกับหน้าจอสัมผัส

สั่งงานจากการสัมผัสหน้าจอ และกดปุ่ม

การควบคุม Fitbit Ionic หลักๆ จะใช้การสัมผัสหน้าจอ เพื่อเลื่อนเข้าสู่หน้าแอปที่ต้องการเรียกใช้ โดยในหน้าหลัก จะแสดงผลวัน เวลา และสัญลักษณ์บอกเป้าหมายการเดิน อัตราการเต้นหัวใจ และการเผาผลานแคลอรี่ ที่ผู้ใช้สามารถเลื่อนสลับหน้าจอได้ด้วยการปาดนิ้ว

เมื่อลากนิ้วจากส่วนบนหน้าจอลงมา จะเข้าหน้าจอการแจ้งเตือนต่างๆ ถ้าเลื่อนขึ้นก็จะเข้าไปดูรายละเอียดกิจกรรมในแต่ละวัน ถ้าลากนิ้วจากขวาไปซ้าย จะเข้าสู่หน้าเมนูหลัก ที่ผู้ใช้สามารถเลือกเข้าไปฟังเพลง ออกกำลังกาย นาฬิกา ดูพยากรณ์อากาศต่างๆ รวมถึงเข้าถึงแอปที่ลงเพิ่มเติม

ในกรณีที่ต้องการย้อนกลับสามารถกดปุ่มซ้ายของตัวเรือนได้ ส่วนปุ่มทางขวาก็จะเป็นปุ่มลัดในการเลื่อนขึ้น-ลง หรือไว้ใช้กดหยุดพัก ระหว่างการออกกำลังกาย รวมถึงกดเปลี่ยนเพลงได้ด้วย สุดท้ายถ้าต้องการให้หน้าจอดับ ก็สามารถใช้ฝ่ามือปิดลงไปบนหน้าจอได้

ทดสอบประสิทธิภาพ

ในแง่ของการใช้งานทาง Fitbit เคลมว่า ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ที่ใช้ระยะเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง จะสามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 10 ชั่วโมง (เปิดใช้งาน GPS ตลอดเวลา) แต่ถ้าใช้งานทั่วๆไปจะสามารถอยู่ได้ราว 4-5 วัน ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง

ส่วนการบันทึกข้อมูล Fitbit Ionic สามารถบันทึกข้อมูลเก็บไว้ภายในเครื่องได้ 7 วัน แบบนาทีต่อนาที และสามารถเก็บข้อมูลทั่วไปได้ราว 30 วันย้อนหลัง แต่ในการใช้งานจริงแนะนำให้มีการ Sync ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ตัวแอปสามารถเก็บข้อมูลอัตราการเต้นของหัวใจได้แบบครบถ้วน

ทั้งนี้ แม้ว่าผู้ใช้จะสามารถนำ Ionic มาลงเพลง เพื่อใช้ฟังขณะออกกำลังกายได้ แต่น่าเสียดายที่เวลาโอนย้ายไฟล์เพลง ยังจำเป็นต้องใช้งานคู่กับพีซีอยู่ ด้วยการเชื่อมต่อผ่านแอป Fitbit Connect เพื่อโอนย้ายไฟล์เพลงเข้ามาไว้ในเครื่อง ไม่สามารถโอนย้ายจากสมาร์ทโฟนได้ทันที

อย่างไรก็ตาม เมื่อทดสอบใช้ระหว่างออกกำลังกาย ด้วยการที่เป็นเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจที่ใช้การวัดที่แขน ทำให้เวลาเหงื่อออกมากๆ การแสดงผลอัตราการเต้นของหัวใจอาจจะมีหลุดๆบ้างเป็นบางจังหวะ แต่ในแง่ของการจับพิกัด GPS ถือว่าทำได้แม่นยำดี

]]>
Review : Apple Watch Series 3 ปรับสเปกใหม่ในร่างเดิม https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-watch3/ Sun, 22 Oct 2017 10:45:51 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=27522

Apple Watch กลายเป็นอีกหนึ่งสินค้าไอทีจากแอปเปิลที่หลายคนต่างเฝ้าจับตามองการเปลี่ยนแปลงในทุกปีไม่แพ้สินค้าในกลุ่ม iPhone โดยในวันนี้หลังจากเปิดตัว iPhone 8 และ iPhone X ไปแล้ว ก็ถึงคิวของสมาร์ทวอทซ์เรือนใหม่อย่าง Apple Watch Series 3 ที่แอปเปิลเลือกปรับสเปกใหม่พร้อมเซอร์ไพร์สเปิดตัวรุ่น Cellular (เซลลูลาร์มีซิมโทรศัพท์ภายในตัวเอง) ทำตลาดควบคู่ไปกับรุ่น GPS ปกติ

โดยในวันนี้สำหรับตลาดประเทศไทยเองได้เริ่มวางขาย Apple Watch Series 3 ในรุ่น GPS ซึ่งเป็นตัวที่ทีมงานจะนำมารีวิวให้ชมในวันนี้ ส่วนรุ่น GPS + Cellular สำหรับบ้านเรายังไม่มีกำหนดวางขายอย่างเป็นทางการจากแอปเปิล

การออกแบบ

ด้านการออกแบบ Apple Watch Series 3 ไม่มีความแตกต่างด้านรูปลักษณ์จาก Watch Series 2 แต่อย่างใด โดยในส่วนวัสดุตัวเรือนสำหรับรุ่น GPS จะเป็นอะลูมิเนียมทั้งหมด ขนาดความกว้างยาวสูง การจัดวางรูปแบบพอร์ตและสล็อตเชื่อมต่อสายนาฬิกาจะเท่ากับ Watch Series 2 ทำให้อุปกรณ์และสายนาฬิกาที่เคยใช้จากรุ่นก่อนหน้าสามารถนำมาเชื่อมต่อและใช้งานร่วมกับ Watch Series 3 ได้ทันที

ในส่วนหน้าปัดนาฬิกาจะมีให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ 38 มิลลิเมตร (ความละเอียดหน้าจอ 272×340 พิกเซล) และ 42 มิลลิเมตร (ความละเอียดหน้าจอ 312×390 พิกเซล) หน้าจอใช้วัสดุ Ion-X มีความแข็งแรงทนแรงขีดข่วนได้ ส่วนจอภาพเป็น OLED Retina รุ่น 2 (ความสว่าง 1,000 นิตตัวเดียวกับ Watch Series 2) พร้อม Force Touch รับรู้แรงกดหน้าจอได้หลายระดับ

มาดูด้านหลังนาฬิกา ฝาหลังใช้วัสดุคอมโพสิต ตรงกลางเป็นส่วนของเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจพร้อมไฟ LED 2 ดวง รวมถึงเป็นส่วนใช้เชื่อมต่อกับที่ชาร์จแบตเตอรีแบบแม่เหล็กและรองรับแผ่นรองชาร์จ AirPower ด้วย ส่วนปุ่มกดบนและล่างจะเป็นตัวปลดล็อกสายนาฬิกา (กดค้างเพื่อปลดล็อกและดันสายออกด้านข้าง)

ด้านข้างนาฬิกาเริ่มจากด้านขวา เป็นที่อยู่ของเม็ดมะยมและปุ่มเปิดปิด/สลับใช้งานแอปฯ

ด้านซ้าย จะเป็นที่อยู่ของลำโพงและไมโครโฟน

สเปก

Apple Watch Series 3 ถูกอัปเกรดสเปกภายในใหม่ตั้งแต่ซีพียูไปใช้ S3 แบบ Dual Core ทำงานเร็วขึ้น ประกบกับชิป W2 ที่เข้ามาจัดการเรื่องระบบเชื่อมต่อไร้สายรวมถึงจัดการการใช้พลังงานระหว่าง Watch Series 3 กับ Apple iPhone ให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดการใช้พลังงานลงและสามารถเชื่อมต่อกับหูฟังไร้สายอย่าง AirPods หรือ beats ได้โดยตรงด้วย

นอกจากนั้นแอปเปิลยังได้เพิ่มฮาร์ดแวร์ Barometric altimeter เพื่อใช้วัดระบบความสูงได้ในตัวเอง พร้อมมี GPS/GLONASS รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 802.11 b/g/n มีไจโรสโคป อุปกรณ์จับการเคลื่อนไหวภายในและรองรับบลูทูธ 4.2 ด้านหน่วยเก็บข้อมูลภายในมีขนาด 8GB ในรุ่น GPS ส่วนรุ่น GPS + Cellular จะให้มา 16GB (เหลือให้ใช้งานจริงประมาณ 4-5GB) และแบตเตอรีสามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 18-20 ชั่วโมง

สุดท้ายคุณสมบัติด้านการป้องกันน้ำ Watch Series 3 สามารถทนน้ำที่ระดับ 50 เมตรได้ รองรับกิจกรรมว่ายน้ำ ลงน้ำทะเล บุกป่าฝ่าดงได้สบายๆ

ฟีเจอร์เด่นและการใช้งาน

ด้วย WatchOS 4.0 ทำให้การเชื่อมต่อนาฬิกากับ iPhone ทำได้ง่ายขึ้น เพียงคุณเปิดนาฬิกาและเปิดหน้าจอ iPhone ขึ้น จากนั้นให้นำตัวนาฬิกามาวางใกล้กับ iPhone ระบบจะค้นหาและจับคู่อัตโนมัติเหมือนกับการเชื่อมต่อ Apple AirPods

อีกทั้งสำหรับคนที่มีนาฬิกา Apple Watch Series 3 มากกว่า 1 เรือน ชิป W2 จะเพิ่มประสิทธิภาพในการสลับใช้งานนาฬิกาแต่ละเรือนได้แม่นยำแบบไร้รอยต่อมากกว่ารุ่นก่อนหน้าที่มีโอกาสพบปัญหาสัญญาณเชื่อมต่อระหว่างนาฬิกาและ iPhone หลุดออกจากกัน โดยคุณสามารถเปลี่ยนนาฬิกา Watch ที่ข้อมือได้ทุกเวลา ระบบจะเรียนรู้เองว่าคุณกำลังใส่นาฬิกาเรือนไหนออกจากบ้าน ข้อมูลทุกอย่างจะเชื่อมถึงกันทั้งหมด

มาถึงในส่วนซอฟต์แวร์ควบคุม Apple Watch สำหรับ Series 3 จะติดตั้ง WatchOS 4.0 มาจากโรงงาน โดยสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากระบบปฏิบัติการตัวรุ่นก่อน อย่างแรกก็คือหน้าปัดนาฬิกาใหม่ เช่น ธีมทอยสตอรี่หรือจะเลือกดึงผู้ช่วยอัจฉริยะ Siri ขึ้นมาใช้งานบนหน้าปัดได้โดยตรงก็สามารถทำได้เพราะใน WatchOS ใหม่นี้ Siri สามารถพูดคุยกับเราได้เหมือนใน iOS หลังจากตัวก่อน Siri จะตอบกลับเราเป็นแค่ตัวหนังสือเท่านั้น

อีกส่วนที่ได้รับการอัปเดตใหม่ก็คือ “Apple Health” หรือแอปฯสุขภาพที่ในครั้งนี้แอปเปิลปรับปรุงส่วนวัดอัตราการเต้นของหัวใจใหม่ โดยแยกการวิเคราะห์อัตราการเต้นของหัวใจในช่วงพักผ่อนและเดินออกจากกัน นอกจากนั้นสำหรับคนเป็นโรคหัวใจ Health ตัวใหม่ยังสามารถวิเคราะห์อัตราการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติและแจ้งเตือนผู้ใช้ได้ด้วย

ส่วนถ้าต้องการตรวจจับการนอนหลับหรือใช้ตรวจวัดการวิ่งออกกำลังกายต่างๆ Apple Watch รองรับการติดตั้งแอปฯจากผู้พัฒนาภายนอก เช่น Strava, Nike Run Club, Pillow โดยเฉพาะแอปฯตรวจจับการนอนหลับที่ปัจจุบันสามารถทำงานร่วมกับ Watch Series 3 ได้ดียิ่งขึ้น เพราะระบบการจัดการแบตเตอรีในนาฬิการุ่นใหม่นี้ทำได้ดีแล้ว

อีกทั้งสำหรับคนที่มีดนตรีในหัวใจ Apple Watch Series 3 สามารถซิงค์เพลงเข้าไปไว้ในนาฬิกาแล้วเชื่อมต่หูฟัง เช่น AirPods เข้ากับตัวนาฬิกาเลือกฟังเพลงได้โดยตรง ส่วนรุ่น GPS + Cellular ในอนาคตจะรองรับการสตรีมมิงเพลงจาก Apple Music ผ่านนาฬิกาได้ด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

เดิมที่ผู้ทดสอบได้ใช้ Apple Watch Series 2 เป็นนาฬิกาประจำตัวอยู่แล้ว พอได้รับ Watch Series 3 รุ่น GPS มาทดสอบ สิ่งแรกที่รู้สึกก็คือ รูปทรงและฟีเจอร์ภายในไม่แตกต่างจากรุ่น Series 2 ที่อัปเดตระบบปฏิบัติการเป็น WatchOS 4 ทุกฟีเจอร์ที่ Series 3 มี เช่นระบบไล่น้ำจากรูลำโพง หน้าปัดนาฬิการแบบต่างๆไปถึงแอปฯและฟีเจอร์ทุกตัวที่มีใน Series 3 ก็สามารถใช้งานได้ใน Series 2 เช่นกัน

แต่เมื่อลองใช้งานไปร่วมอาทิตย์ ผู้ทดสอบเริ่มเห็นความแตกต่างที่เกิดขึ้นระหว่าง Watch รุ่นเก่าและใหม่ก็คือ ความเร็วที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพวกแอปฯจำพวก Line หรือ Messenger ที่ปกติตั้งรุ่น Original มาถึง Series 2 มักมีปัญหาเรื่องความล่าช้าในการโหลดข้อมูล แต่ใน Watch Series 3 การโหลดข้อมูลทุกอย่างทำได้รวดเร็วขึ้น แอปฯที่เคยทำงานล่าช้าในรุ่นก่อนหน้าสามารถเข้าใช้งานได้รวดเร็วขึ้นใน Apple Watch Series 3 รวมถึงระบบ GPS ทำงานได้รวดเร็วขึ้นและเซ็นเซอร์ตรวจวัดความสูงที่เพิ่มเข้ามา

นอกนั้นในส่วนการทำงานอื่นๆ Apple Watch Series 3 รุ่น GPS จะเหมือนกับ Watch Series 2 ทั้งหมด ใครมี Series 2 อยู่ที่ข้อมือไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนเป็น Series 3 แต่อย่างใด ยกเว้นเมื่อรุ่น GPS + Cellular เข้ามาทำตลาดแล้วคุณอยากได้ Apple Watch ที่สามารถโทรออกรับสายโดยไม่ต้องพึ่งพา iPhone ถึงวันนั้นก็คงต้องพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แต่โดยรวมในเรื่องฟีเจอร์และการใช้งานแทบแตกต่างจากรุ่นเดิมน้อยมาก ยกเว้นแค่ส่วนประสิทธิภาพความเร็วที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นรวมถึงระบบจัดการพลังงานได้ดีขึ้นจากความสามารถของชิป W2 และสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ไร้สายเช่น หูฟัง AirPods ได้โดยตรง

ในส่วนราคา Apple Watch Series 3 เริ่มต้นที่ 11,900 บาท (เข้ามาทำตลาดแทนที่ Series 2) ส่วนรุ่นประหยัด Series 1 ยังคงทำตลาดวางขายในราคาเริ่มต้น 8,900 บาท

ข้อดี

– สเปกซีพียูใหม่ เร็วขึ้น วัดความสูงได้ในตัว
– รองรับแผ่นรองชาร์จ AirPower ร่วมกับ iPhone X
– ระบบจัดการพลังงานทำได้ดีขึ้น แบตเตอรีใช้ได้นานขึ้นเล็กน้อย เหมาะแก่การใส่ตรวจจับการนอนหลับแล้ว
– เพิ่มรุ่น GPS + Cellular โทรศัพท์ได้โดยไม่ต้องพึ่ง iPhone
– รองรับการเชื่อมต่อกับหูฟังไร้สายผ่านบลูทูธได้โดยตรง

ข้อสังเกต

– ในรุ่น GPS ที่ทีมงานได้รับมาทดสอบถือว่าภาพรวมการใช้งานแตกต่างจาก Series 2 น้อยมาก ใครมี Series 2 อยู่ที่ข้อมือแล้วไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็น Series 3

Gallery

]]>