Asus – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Mon, 01 Mar 2021 03:35:51 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Asus ExpertCenter D500SA เดสก์ท็อปองค์กรเครื่องเล็ก ประสิทธิภาพสูง https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-expertcenter-d500sa/ Mon, 01 Mar 2021 03:30:29 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34835

ในยุคที่พื้นที่ภายในสำนักงานมีขนาดเล็ก และจำกัดมากขึ้น ทำให้บรรดาผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ต่างหันมาออกแบบคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปประสิทธิภาพสูงให้มีขนาดเล็กลง พร้อมกับเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานทั้งการวางเครื่องแนวตั้ง แนวนอน การเพิ่มพอร์ตเชื่อมต่อให้ใช้งานได้ครบถ้วน

Asus ExpertCenter D5 ถือเป็นหนึ่งในซีรีส์เดสก์ท็อปของทางเอซุส ที่เปิดตัวมาจับกลุ่มผู้ใช้งานพีซีในองค์กรธุรกิจโดยเฉพาะ ซึ่งนอกเหนือจากเครื่องที่มีขนาดเล็กลงแล้ว ยังสามารถเลือกปรับแต่งประสิทธิภาพตามการใช้งาน มีความทนทาน และรองรับการอัปเกรดได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญที่มีบริการเสริมสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก เข้าไปช่วยลดต้นทุนในธุรกิจได้ด้วย

ตัวเลือกของ ExpertCenter D5 จะทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผล Intel 10 Gen Core i5 เริ่มต้นในราคาประมาณ 15,000 บาท มีตัวเลือกกราฟิกการ์ดทั้ง NVIDIA GeForce GT1030 / GT710 ใส่ RAM ได้สูงสุด 64 GB เลือกใช้งานร่วมกับพื้นที่เก็บข้อมูลได้ทั้งแบบ HDD และ SSD สูงสุด 3 TB และรองรับการทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro ที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานในธุรกิจโดยเฉพาะ

ข้อดี

  • ขนาดเล็ก ประหยัดพื้นที่
  • วางใช้งานได้ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน
  • พอร์ตเชื่อมต่อครบ

ข้อสังเกต

  • ตัวเครื่องค่อนข้างหนัก (ประมาณ 5 กิโลกรัม)
  • การปรับแต่งสเปกต้องสั่งซื้อตามจำนวนที่กำหนด

ยุคของเดสก์ท็อป Small From Factor

ด้วยการที่ปัจจัยหลักในการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อนำไปใช้งานในองค์กรธุรกิจส่วนใหญ่ในเวลานี้ จะเน้นไปที่ความคุ้มค่า เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้ รวมถึงข้อจำกัดของงบประมาณต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าในแต่ละประเภทของธุรกิจก็มีความจำเป็นในการใช้งานที่แตกต่างกัน

เพียงแต่ว่าหนึ่งในข้อได้เปรียบของคอมพิวเตอร์องค์กรยุคใหม่คือ การที่สามารถผลิตตัวเครื่องได้มีขนาดเล็ก กะทัดรัดมากขึ้น ในลักษณะของ Small From Factor หรือ SSF ทำให้สามารถนำไปใช้ในสำนักงานที่พื้นที่มีจำกัด ดังนั้นเมื่อ Asus ที่เป็นผู้นำในตลาดเมนบอร์ดเข้ามาจับตลาดนี้ ก็จะสามารถออกแบบเมนบอร์ดเพื่อนำมาใช้งานกับเดสก์ท็อปในกลุ่มนี้ได้อย่างน่าสนใจ

Asus ExpertCenter D500SA จึงกลายเป็นเดสก์ท็อปขนาดเล็กระดับเริ่มต้นขององค์กรธุรกิจที่น่าสนใจ จากทั้งประสิทธิภาพของตัวเครื่อง และพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบ แม้จะมีขนาดตัวเครื่องเล็กลง และยังออกแบบให้เหมาะกับการปรับแต่งใช้งาน และซ่อมบำรุงสำหรับฝ่ายไอทีด้วย

นอกจากนี้ การที่ตัวเครื่องทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro ที่ออกแบบมาสำหรับใช้งานในองค์กรธุรกิจโดยเฉพาะ ทำให้การใช้งานปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันข้อมูลต่างๆ ภายในองค์กรธุรกิจกลายเป็นสิ่งที่มีมูลค่าไม่แตกต่างจากตัวสิ่งของไปเรียบร้อยแล้ว

ขณะเดียวกันภายใน ExpertCenter D500SA ยังมาพร้อมโซลูชันรักษาความปลอดภัยทั้ง Asus Business Manager ที่ช่วยให้สามารถตั้งค่าความปลอดภัยในการใช้งานทั้งการควบคุมการใช้งานพอร์ต USB ไม่ให้สามารถเขียนไฟล์ได้ เข้ารหัสฮาร์ดดิสก์ให้ข้อมูลที่เก็บไว้ปลอดภัยขึ้น จนถึงการย้อนกลับของระบบเพื่อกู้คืนระบบกลับมาให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ

ยังมี My Asus ที่ใช้แสดงรายละเอียดการรับประกัน การแก้ไขปัญหาการใช้งานเบื้องต้น รวมถึงการอัปเดตซอฟร์แวร์ และไดรฟ์เวอร์ ให้ทันสมัยอยู่เสมอ เช่นเดียวกับการอัปเกรดระบบรักษาความปลอดภัยของ Windows 10 Pro ที่จะช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ออกแบบให้สะดวกต่อการใช้งาน

ความน่าสนใจอย่างหนึ่งของ ExpertCenter D500SA คือการที่มีพอร์ตใช้งานให้ครบถ้วน ซึ่งรองรับการเชื่อมต่อทั้งหน้า และหลังตัวเครื่อง ทำให้สะดวกในการใช้งานภายในสำนักงานที่มีพื้นที่จำกัดได้เป็นอย่างดี ประกอบกับตัวเครื่องที่สามารถเลือกวางทั้งในแนวตั้ง และแนวนอนได้ด้วย ทำให้การออกแบบต้องคำนึงถึงการใช้งานทั้ง 2 รูปแบบด้วย

โดยด้านหน้าของตัวเครื่องจะมีตั้งแต่ถาดใส่แผ่นซีดี ที่ซ่อนเนียนเข้าไปกับดีไซน์ของตัวเครื่อง ถัดไปทางขวาเป็นปุ่มเปิดเครื่อง ไฟแสดงสถานะการทำงานของฮาร์ดดิสก์ ช่องเสียบหูฟัง และไมโครโฟ และพอร์ต USB 3.2 ให้ใช้งานถึง 4 พอร์ต พร้อมกับ Card Reader อีก 2 ขนาดให้ใช้งาน

ส่วนหลังเครื่องให้พอร์ตมารองรับการเชื่อมต่อทั้งอุปกรณ์สมัยใหม่ และอุปกรณ์ที่เป็น Legacy เดิม ไล่ตั้งแต่ พอร์ต PS/2 สำหรับเชื่อมต่อเมาส์ และคีย์บอร์ด ช่องต่อจอภายนอกที่มีทั้ง Display Port / HDMI / VGA โดยในกลุ่มนี้จะใช้การแสดงผลจากการ์ดจอออนบอร์ด ตามด้วยพอร์ต USB 2.0 อีก 4 พอร์ต ช่องเชื่อมต่อสาย LAN รวมถึง Serial Port ด้วย

นอกจากนั้นก็จะมีช่องเชื่อมต่อกับลำโพง ไมโครโฟน และ Parallel port มาให้ด้วย ที่เหลือก็จะเป็นออปชันเสริม อย่างการใส่การ์ดจอแยก ก็จะมีพอร์ต HDMI / DVI / D-Sub มาพร้อม และช่องต่ออุปกรณ์รับสัญญาณ Wi-Fi เพิ่มเติม

ในจุดนี้ผู้ใช้สามารถแกะฝาของเครื่องออกมาได้ โดยไม่ต้องใช้ไขควงเพิ่มเติม และเมื่อเปิดฝาออกมายังสามารถถอดเปลี่ยนฮาร์ดไดรฟ์ ได้แบบง่ายๆ ทำให้สามารถบำรุงรักษาเครื่อง รวมถึงอัปเกรดชิ้นส่วนภายในได้อย่างง่ายดาย

จุดเด่นอีกอย่างของ ExpertCenter D500SA คือการที่ Asus เลือกใช้เมนบอร์ดแบบ 100% Solid Capacitor ทำให้เมนบอร์ดมีความทนทานในการใช้งานมากยิ่งขึ้น เพราะคาปาซิเตอร์แบบนี้จะช่วยเก็บประจุ และควบคุมแรงดันไฟฟ้า เพิ่มความเสถียร และช่วยยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานขึ้นด้วย

ขณะเดียวกัน ตัวเครื่องยังผ่านการทดสอบความแข็งแรงตามเกณฑ์ของอุตสาหกรรม และการทดสอบมาตรฐานกองทัพสหรัฐฯ MIL-STD-810G ทั้งในเรื่องของความทนทาน ยิ่งทำให้การนำไปใช้งานในองค์กรธุรกิจ ได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้นด้วย

เลือกสเปกตามการใช้งาน

เมื่อเป็นสินค้าในกลุ่ม ExpertCenter ที่เจาะกลุ่มธุรกิจ ทางเอซุส จึงได้เปิดทางเลือกให้องค์กรสามารถเลือกปรับแต่งสเปกในการใช้งานเพิ่มเติมสำหรับการสั่งซื้อสินค้าจำนวนมากได้ โดยในรุ่น ExpertCenter D500SA จะสามารถเลือกปรับแต่งได้ทั้งซีพียู Intel Gen 10 Core i5-10400 2.9 GHz ไปจนถึง Core i7-10700 2.9 GHz พร้อมตัวเลือกกราฟิกการ์ดเป็น NVIDIA GeForce GT1030 และ NVIDIA GeForce GT710

ช่องใส่ RAM มีมาให้ 2 ช่อง เลือกใส่ได้สูงถึ 64 GB (32 GBx2) และมีช่องต่อ PCIe ให้เพิ่มเติม ในส่วนของสตอเรจ สามารถเลือกใส่ได้ทั้ง HDD ขนาด 2.5” หรือ 3.5” สูงสุด 3 TB ไปจนถึง SSD สูงสุดที่ 2 TB เช่นเดียวกับการเชื่อมต่อ WiFi มีให้เลือกทั้ง WiFi 5 / WiFi 6 ดังนั้น องค์กรธุรกิจสามารถเลือกปรับแต่งสเปกเหล่านี้เพิ่มเติมได้

ทดสอบการใช้งาน

สำหรับ Asus ExpertCenter D500SA ที่ได้รับมาทดสอบนั้น จะมาพร้อมกับ Intel Core i5-10500 3.1 GHz พร้อมกราฟิกการ์ด NVIDIA GeForce GT710 อัด RAM 16 GB และฮาร์ดดิสก์ 1 TB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 5 แบบ 2×2

ในแง่ของการใช้งานทั่วไป อย่างการทำงานเอกสาร เข้าใช้งานเว็บไซต์ต่างๆ รวมถึงโปรแกรมเฉพาะทางเกี่ยวกับธุรกิจ ต้องยอมรับว่าสเปกเท่านี้เพียงพอกับการใช้งานอยู่แล้ว และสามารถนำไปใช้ในงานที่ยาก และซับซ้อนขึ้นได้อีก สำหรับการนำไปใช้งานในองค์กรธุรกิจทั่วๆไป

แต่ถ้าต้องการนำไปใช้งานที่ต้องใช้ประสิทธิภาพในการประมวลผลสูงขึ้น หรือการตอบสนองต่อการใช้งานที่ลื่นไหลมากกว่าเดิม การเพิ่มซีพียูเป็น Core i7 เพิ่ม RAM เป็น 32 GB และเลือกใช้ SSD จะทำให้ประสิทธิภาพในการใช้งานโดยรวมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับงบประมาณของแต่ละองค์กรด้วย

สรุป

ในภาพรวมแล้ว Asus ExpertCenter D500SA จะเข้าไปตอบโจทย์องค์กรธุรกิจที่กำลังต้องการอัปเกรดคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปรุ่นเก่าที่มี มาใช้งานเป็นเครื่องที่ใหม่ขึ้น ประสิทธิภาพสูงขึ้น ขนาดกะทัดรัดมากขึ้น และประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญก็คือ Asus มีการรับประกันแบบ Onsite Service 3 ปี และรับประกันอุบัติเหตุ 1 ปีแรกเพิ่มเติมเข้ามาด้วย

องค์กรธุรกิจไหนที่กำลังมองหาเดสก์ท็อปพีซี ขนาดเล็กประสิทธิภาพสูง ExpertCenter D500SA ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ในราคาเริ่มต้นของรุ่น Intel Gen 10 Core i5 ที่ประมาณ 15,000 บาท ขึ้นอยู่กับสเปกที่เลือก และสามารถปรับแต่งสเปกเพิ่มเติม เพื่อนำไปใช้งานให้เหมาะสมกับธุรกิจได้ด้วย

สนใจ Asus ExpertCenter DS500SA สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ https://bit.ly/2NKSiwc

]]>
Review : Asus Chromebook C204MA โน้ตบุ๊กเพื่อการเรียนรู้ในชั้นเรียน https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-chromebook-c204ma/ Tue, 09 Feb 2021 02:02:03 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34735

เมื่อรูปแบบการเรียนการสอนในชั้นเรียนเริ่มเปลี่ยนแปลงไป การที่โรงเรียนต้องเริ่มหาอุปกรณ์มาเป็นตัวช่วยให้นักเรียน สามารถเข้าไปเรียนรู้ข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตได้ กลายเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการเรียนการสอนรูปแบบใหม่

ด้วยเหตุนี้อุปกรณ์อย่าง Asus Chromebook C204MA ที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับการนำไปใช้งานในชั้นเรียน จึงกลายเป็นตัวเลือกที่สนใจสำหรับโรงเรียนที่ต้องการโน้ตบุ๊กไว้ใช้งานภายในชั้นเรียน ในระดับราคาที่ไม่สูงเกินไป พร้อมกับมีโซลูชันในการบริหารจัดการสำหรับอาจารย์ นักเรียน และฝ่ายไอที ในการดูแลอุปกรณ์ด้วย

Asus Chromebook C204MA มากับหน้าจอขนาด 11.6 นิ้ว โดยมีตัวเลือกว่าสามารถใช้เป็นหน้าจอแบบทัชสกรีนได้ พร้อมซีพียูภายในอย่าง Intel Celeron N4020 ทำงานบน ChromeOS ที่สามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันใน Google Play เพื่อสร้างการเรียนรู้ให้นักเรียนได้อีกจำนวนมาก วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 8,500 บาท

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กขนาดเล็ก ทนทานระดับ Military Grade
  • ChromeOS ที่รองรับการเข้าถึงแอปใน Play Store
  • แบตเตอรีใช้งานได้กว่า 12 ชั่วโมง
  • รองรับการเชื่อมต่อทั้ง USB-C / USB Type A 3.1

ข้อสังเกต

  • ChromeOS การใช้งานส่วนใหญ่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
  • ตัวเครื่อง 11.6 นิ้ว แต่เน้นความทนทาน ทำให้มีน้ำหนักถึง 1.2 กิโลกรัม

โน้ตบุ๊กเพื่อการเรียนรู้

Chromebook ได้เริ่มกลายเป็นอุปกรณ์เพื่อการเรียนการสอนมากขึ้น โดยเฉพาะการนำไปใช้งานในโรงเรียนหลายๆ แห่ง ด้วยการนำจุดเด่นของระบบปฏิบัติการที่รองรับการใช้งานที่หลากหลายของ Google ทำให้สามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ที่ใช้งานได้ฟรีๆ ของ Google Service ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมเอกสารอย่าง Docs Sheets Slides จนถึงแหล่งข้อมูลในการเรียนรู้อย่าง YouTube และเว็บเบราว์เซอร์อย่าง Chrome

ข้อดีอย่างหนึ่งในการนำ Chromebook ไปใช้งานในชั้นเรียนคือ อาจารย์ และฝ่ายไอที จะเข้ามาบริหารจัดการอุปกรณ์ได้สะดวกภายใต้โซลูชันที่สามารถเลือกติดตั้งแอปพลิเคชันสำหรับการเรียนการสอนโดยเฉพาะ ปิดกั้นไม่ให้เข้าถึงแอปที่ไม่จำเป็น จนถึงการบล็อกไม่ให้เข้าถึงเว็บไซต์ไม่เหมาะสม

ในส่วนนี้จึงช่วยให้อาจารย์ สามารถควบคุมการติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติมของนักเรียนได้ ซึ่งจะช่วยให้ไม่เกิดการนำ Chromebook ไปใช้นอกเหนือจากการเรียนการสอน ทำให้เหมาะกับการนำไปใช้ในชั้นเรียนได้

โดยภายในโซลูชันเพื่อการศึกษาของ Google จะมีทั้ง Google Classroom ในการจัดการชั้นเรียน มีคอนโซลให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการอุปกรณ์จากส่วนกลางได้ ไม่นับรวมกับ Google Play Store ที่สามารถเข้าไปดาวน์โหลดแอปมาใช้งานเพิ่มเติมได้

นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึง G Suite ให้นักเรียนสามารถเชื่อมต่อ และช่วยให้นักเรียนทำงานร่วมกันบนอุปกรณ์ใดก็ได้จากทุกที่ทั้งแบบออนไลน์ และออฟไลน์ รวมถึงการเข้าถึงระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง ที่จะได้รับการอัปเดตอัตโนมัติทำให้มั่นใจว่าข้อมูลต่างๆ จะปลอดภัย

ออกแบบเพื่อการศึกษา

ด้วยรูปแบบการใช้งานในห้องเรียนที่มีความหลากหลาย และควบคุมได้ยาก ทำให้การออกแบบโน้ตบุ๊กต้องมีความทนทานเพิ่มเติม Asus Chromebook C204 มีการออกแบบที่ทนทาน เพื่อรับกับรูปแบบการใช้งานจริงในชั้นเรียน 

โดยขนาดของ Asus Chromebook C204 อยู่ที่ 292 x 199 x 19.5 – 20.1 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1.2 กิโลกรัม มีวางจำหน่ายในสี Dark Grey ซึ่งวัสดุที่ใช้จะเน้นที่ความทนทานเป็นพิเศษ ทั้งการหุ้มขอบที่เป็นยาง และมีพื้นผิวภายนอกที่เป็นลักษณะของปุ่มขนาดเล็ก (Micro-dimpled) ที่ไม่เกิดรอยขีดข่วน และรอยนิ้วมือ

พร้อมกันนี้ตัวเครื่องยังผ่านมาตรฐานความทนทานทางทหาร MIL-STD810G ที่ครอบคลุมการทดสอบตกจากความสูงระดับ 120 ซม ทดสอบความทนทานของพอร์ตเชื่อมต่อมากกว่า 5,000 ครั้ง ทดสอบความทนทานของบานพับกว่า 50,000 รอบ และทดสอบแรงกดจากน้ำหนัก 30 กิโลกรัม

ในส่วนของหน้าจอที่ให้มามีขนาด 11.6 นิ้ว ความละเอียด 1366 x 768 พิกเซล รองรับการทำงานแบบสัมผัสบนหน้าจอได้ด้วย (มีตัวเลือกแบบจอปกติด้วย ขึ้นอยู่กับรูปแบบของการนำไปใช้) แต่ด้วยรูปแบบของการผลิตที่เน้นความทนทานทำให้สัดส่วนของหน้าจออยู่ที่ 67% เพื่อปกป้องให้หน้าจอมีรองรับการตกกระแทกได้ดีที่สุด

พร้อมกันนี้ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการเรียน การสอนได้อย่างเต็มที่ ตัวหน้าจอยังสามารถกางได้ 180 องศา เพื่อให้ในการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างนักเรียนได้ด้วย ช่วยเปิดประสบการณ์เรียนรู้ให้แก่เด็กๆ ในอีกรูปแบบหนึ่ง โดยเฉพาะการใช้งานจอสัมผัส ร่วมกับแอปพลิเคชันฝึกทักษะต่างๆ

คีย์บอร์ดของ Chromebook C204 เป็นอีกจุดที่มีการออกแบบเป็นพิเศษ ทั้งการป้องกันน้ำหกใส่ได้ 66 cc และลดช่องว่างระหว่างขอบของปุ่มคีย์บอร์ดลงเพื่อป้องกันการงัดแงะ ซึ่งขนาดของปุ่มคีย์บอร์ดที่ให้มาถือว่าเป็นมาตรฐาน มีปุ่มสั่งงานต่างๆ ครบถ้วน 

ถัดมาคือในเรื่องของการเชื่อมต่อ Asus Chromebook C204 รองรับการเชื่อมต่อที่ครบถ้วน ทั้งการเชื่อมต่อไร้สาย ไม่ว่าจะเป็น WiFi 5 และบลูทูธ 5.0 รวมถึงพอร์ตเชื่อมต่อ USB-C 2 พอร์ต ที่รองรับการชาร์จ และเชื่อมต่อกับจอภาพนอก โดยจะมีตัวแปลง HDMI มาให้ และมีพอร์ต USB Type A 3.1 อีก 1 พอร์ต และไมโครเอสดีการ์ด 

แบตเตอรีที่ให้มาภายในเป็นแบบ 3 เซลล์ 50 WHr ซึ่งช่วยให้รองรับการใช้งานต่อเนื่องกว่า 12 ชั่วโมง การชาร์จทำได้ผ่านอะเดปเตอร์ USB-C 45W ที่ให้มาภายในกล่อง พร้อมกับเมาส์แบบมีสาย เพื่อให้สะดวกในการเชื่อมต่อใช้งานด้วย

สำหรับสเปกตัวเครื่องของ Asus Chromebook C204 ทำงานบนซีพียู Intel Celeron N4020 1.1 GHz ที่สามารถเร่งความเร็วในการประมวลผลสูงสุดเป็น 2.8 GHz ทำงานบนกราฟิกออนบอร์ด Intel UHD RAM 4 GB พื้นที่เก็บข้อมูลในตัวเครื่อง 32 GB ทำงานบน ChromeOS

ทุกอย่างเก็บไว้บนคลาวด์

จุดเด่นหลักอย่างหนึ่งของ Chromebook ที่ใช้งาน ChromeOS คือผู้ใช้ไม่ต้องคอยกังวลว่าข้อมูลต่างๆ ที่เก็บไว้จะหายไป เนื่องจากในการใช้งาน เมื่อมีการซิงค์ข้อมูลร่วมกับ Google Drive ใน G Suite ข้อมูลทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะถูกเก็บไว้บนคลาวด์ทั้งหมด

ขณะเดียวกัน จึงทำให้เวลาใช้งานจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เพื่อเข้าถึงการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่า บางแอปพลิเคชันก็รองรับการใช้งานแบบออฟไลน์ ที่สามารถเก็บไฟล์เ้บื้องต้นไว้ในตัวเครื่องก่อน แล้วเมื่อมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตค่อยส่งไฟล์ไปเก็บไว้บนคลาวด์ก็ได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ตัวเครื่องจึงเพิ่มช่อง MicroSD มาให้ใส่เพิ่มไว้ใช้ในการเก็บข้อมูลด้วย

อย่างไรก็ตาม ด้วยรูปแบบการนำไปใช้ในการเรียนการสอนอย่าง Google Classroom ที่จะเน้นการทำงานร่วมกันของนักเรียน และครู จึงแนะนำว่าในการใช้งานควรเตรียมเครือข่ายไร้สายให้พร้อมรองรับการเชื่อมต่อกับ Chromebook ด้วย เพื่อดึงประสิทธิภาพในการใช้งานตัวเครื่องออกมาให้ดีที่สุด

อย่างเช่นรูปแบบการสั่งงานด้วยคำสั่งเสียงผ่าน Google Assistant ที่สามารถใช้เสียงในการค้นหาข้อมูล หรือเรียกใช้งานแอปพลิเคชัน ก็จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เพื่อให้สามารถใช้งานได้ ดังนั้น ถ้าไม่มีอินเทอร์เน็ตการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ก็จะถูกจำกัดไปด้วยเช่นกัน

พร้อมกันนี้ ASUS Chromebook ยังมาพร้อมการรับประกัน 3 ปีแบบOnsite Service ซ่อมฟรีถึงที่ พร้อมรองรับ Global Warranty 3 ปี และเพิ่มเติมด้วยประกันอุบัติเหตุในช่วง 1 ปีแรกด้วย

สำหรับ Chromebook C204MA รุ่นที่ใช้ Intel Celeron N4020 ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 8,500 บาท ขึ้นอยู่กับสเปกให้เลือกใช้งาน สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3sKS6gn 

สรุป

ในการเลือกหาโน้ตบุ๊กสำหรับใช้งานในภาคการศึกษา นอกเหนือจากตัวเครื่องที่ต้องมีการออกแบบเป็นพิเศษแล้ว การเลือกใช้งานบนระบบปฏิบัติการที่มีโซลูชันรองรับการใช้งานที่เหมาะสม จะกลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้การเรียนการสอนมีความน่าสนใจมากขึ้น

ภาคการศึกษา หรือโรงเรียนที่สนใจเลือกนำ Chromebook ไปใช้งาน  Asus Chrombook C204 ถือเป็นหนึ่งในรุ่นเริ่มต้นที่ออกแบบมาสำหรับการกใช้งานที่ทนทานเป็นพิเศษ ในราคาเริ่มต้น 8,500 บาท รับประกันการใช้งาน 3 ปี ไว้เป็นตัวเลือกได้เลย

]]>
Review : Asus ExpertBook P2 โน้ตบุ๊กธุรกิจ ผ่านมาตรฐานความแข็งแรงทางทหาร https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-expertbook-p2/ Wed, 23 Sep 2020 03:51:39 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33712

เมื่อความต้องการใช้งานโน้ตบุ๊กในองค์กรธุรกิจนั้นมีความหลากหลาย ทำให้นอกเหนือจาก ExpertBook P1 (P1440) ที่เป็นรุ่นเริ่มต้นของผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊กธุรกิจของทางเอซุส (Asus) แล้ว ก็ยังมี ExpertBook P2 (P2451) ออกมาจับกลุ่มผู้ใช้องค์กรธุรกิจที่ต้องการความแข็งแรงของตัวเครื่อง และความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น

จุดขายหลักของ Asus ExpertBook P2 (P2451) คือวางตำแหน่งเป็นโน้ตบุ๊กธุรกิจที่มาช่วยเพิ่ม Productivity สำหรับองค์กรธุรกิจ ที่โดดเด่นทั้งเรื่องการประมวลผลประสิทธิภาพสูงจากซีพียูของ Intel รุ่นที่ 10 ผสมผสานกับการออกแบบนี้เน้นความคล่องตัว พอร์ตเชื่อมต่อที่ครอบคลุม และโครงสร้างตัวเครื่องที่แข็งแรง

ข้อดี

  • ขนาดเครื่องกะทัดรัด
  • ตัวเครื่องมีความแข็งแรง
  • พอร์ตเชื่อมต่อครบถ้วน
  • ใช้งานบนแบตเตอรีได้ยาวนานทั้งวัน

ข้อสังเกต

  • ดีไซน์ ไม่ได้แปลกใหม่ เน้นใช้งานในองค์กรมากกว่า
  • ด้วยการที่ให้พอร์ตมาครบ ทำให้ตัวเครื่องหนากว่าปกติ

สำหรับสเปกของ ASUS ExpertBook P2451 ประกอบด้วย

  • OS : Windows 10 Pro 
  • CPU : Intel Gen 10 Core i5 1.6 GHz
  • GPU : Intel UHD 
  • RAM : DDR4 8 GB
  • พื้นที่เก็บข้อมูล : SSD 512 GB
  • หน้าจอ :14  นิ้ว Full HD (1920 x 1080 พิกเซล)
  • การเชื่อมต่อ : WiFi 5 / Bluetooth 5.0
  • แบตเตอรี่ : 48Whr 3 เซลล์
  • น้ำหนัก : 1.5 กิโลกรัม
  • ราคา : เริ่มต้นที่ 15,xxx บาท

โน้ตบุ๊กจอ 14” น้ำหนักเบา มาตรฐานกองทัพ

เมื่อเป็นโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจที่เน้นเรื่องความแข็งแรงของตัวเครื่อง ทำให้ Asus ExpertBook P2 มีการออกแบบให้เหมาะกับการพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ ขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งเรื่องความแข็งแรงของตัวเครื่อง ด้วยการนำโครงสร้างพิเศษมาช่วยเสริมความแข็งแกร่ง

โดยนอกจากโครงเครื่องโน้ตบุ๊กปกติแล้ว ExpertBook P2 ยังมีการเสริมฝาที่เป็นอลูมิเนียมเข้ามา ภายในมีการเพิ่มเหล็กค้ำยันข้างใต้ฐานคีย์บอร์ด เพื่อให้โครงสร้างมีความแข็งแรงขึ้น ผสมกับระบบป้องกันฮาร์ดดิสก์แบ EAR ช่วยให้รองรับแรงกระแทก และป้องกันไม่ให้เสียหายด้วย

ขณะเดียวกัน เครื่องรุ่นนี้ยังผ่านการรับรองมาตรฐานกองทัพ (US Military Grade : MIL-STD 810G) ที่ได้รับการทดสอบรับแรงกระแทก ที่ความเร็ว 40G/11ms ได้มากกว่า 18 ครั้ง รองรับแรงสั่นสะเทือน 5-500 Hz 3 ทิศทางกว่า 30 นาที รวมถึงการใช้งานในอุณหภูมิสูง และติดลบด้วย

ถัดมาในส่วนของหน้าจอแสดงผลขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920 x 1080 พิกเซล) ที่ให้มา ยังเป็นจอภาพขอบบาง NanoEdge 7.15 มิลลิเมตร ทำให้สัดส่วนจอภาพคิดเป็นสัดส่วน 76% ของขนาดตัวเครื่อง

ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดใกล้เคียงกับโน้ตบุ๊กขนาดจอ 13 นิ้ว ซึ่งขนาดตัวเครื่องของ ExpertBook P2 จะอยู่ที่ 325.3 x 232.9 x 19.9 มิลลิเมตร นำ้หนัก 1.5 กิโลกรัม วางจำหน่ายในโทนสีคลาสสิคสีดำ Star Black

สำหรับในแง่ของความเป็นส่วนตัวในการใช้งาน ExpertBook P2 นั้น บริเวณกล้องเว็บแคมความละเอียด 720p จะมีการติดตั้ง Webcam Privacy Shield Slides มาให้ ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจในปิดกล้องจากม่านชัตเตอร์ เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวในการใช้งาน

อย่างไรก็ตาม ถ้าสังเกตบริเวณล่างหน้าจอของ ExpertBook P2 จะพบว่ามีขอบที่ค่อนข้างหนา โดยเป็นผลมาจากการออกแบบที่ต้องการให้สามารถกางหน้าจอได้ 180 องศา ทำให้ต้องเว้นพื้นที่บางส่วนไว้เพื่อความแข็งแรงของข้อพับที่ยึดเครื่องกับหน้าจอ

ในส่วนของคีย์บอร์ด ExpertBook P2 นั้น จะมีตัวเลือกเป็นคีย์บอร์ดแบบมาตรฐาน โดยมีระยะห่างระว่างปุ่ม 1.5 มม. ช่วยให้พิมพ์ใช้งานได้สะดวก โดยสามารถเลือกติดตั้งไฟ Backlit และเคอเซอร์ SensePoint เพิ่มเติมได้

ถัดจากคีย์บอร์ดมาที่บริเวณแทร็กแพด ที่จะวางตำแหน่งเยื้องมาทางซ้ายเล็กน้อย โดยมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ทางขวาบนแยกออกมา สามารถทำงานร่วมกับ Windows Hello เพื่อล็อกอินใช้งานเครื่องได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น

สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อที่เป็นจุดเด่นอีกอย่างของ ExpertBook P2 คือการให้พอร์ตมาตรฐานมาครบถ้วน ไม่ต้องใช้อะเดปเตอร์สำหรับแปลงพอร์ตเพิ่มเติม โดยทางฝั่งซ้ายจะมีช่องเสียบชาร์จแบตฯ พอร์ต LAN 10/100/1000 USB-C 3.2 HDMI และ USB 3.2 มาให้

ส่วนทางขวาจะมีช่องล็อก Kensington พอร์ต VGA USB 3.2 อีก 1 พอร์ต USB 2.0 ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และช่องอ่านไมโครเอสดีการ์ด ความพิเศษอย่างหนึ่งก็คือพอร์ต USB-C ที่ให้มาจะรองรับการชาร์จเร็ว ส่งต่อไฟล์ความเร็วสูง และใช้ต่อกับจอภาพเพิ่มเติมได้ด้วย

ปรับแต่งสเปกได้หลากหลาย

ด้วยการที่เป็นโน้ตบุ๊กธุรกิจ ทำให้ทางเอซุส เปิดให้ลูกค้าสามารถเลือกปรับแต่งสเปกตามการใช้งานได้ โดยหลักๆ แล้ว ExperBook P2451FA จะสามารถเลือกปรับแต่งซีพียู หน่วยความจำ พื้นที่เก็บข้อมูล การเชื่อมต่อไร้สาย คีย์บอร์ด ได้

เริ่มกันจากหน่วยประมวลผล ที่ ASUS ExpertBook P2451FA มีโปสเซสเซอร์ประสิทธิภาพสูงจาก Intel รุ่นที่ 10 ให้เลือกใช้งาน 3 รุ่นตามความต้องการ ประกอบไปด้วย

Intel Core i7-10510 (1.8GHz, up to 4.9GHz, 8MB cache, 4 cores) : เหมาะกับผู้ใช้งานที่ต้องการหน่วยประมวลผลประสิทธิภาพสูง รองรับการทำงานแบบมัลติทาสกิ้ง รองรับการทำงานตั้งแต่ระดับต้น อย่างงานเอกสารทั่วไป ใช้งานเพื่อความบันเทิง จนถึงการประมวลผลขั้นสูงอย่างการเรนเดอร์ภาพ 3D จนถึงครีเอทีฟต่างๆ

Intel Core i5-10210 (1.6GHz, up to 4.2GHz, 6MB cache, 4 cores) : ที่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป รองรับการทำงานหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะการทำงานแบบมัลติทาสกิ้ง ใช้ดูหนังฟังเพลงได้เต็มประสิทธิภาพ รวมถึงใช้เล่นเกมยอดนิยมก็ได้

สุดท้ายคือ Intel Core i3-10110 (2.1GHz, up to 4.1GHz, 4MB cache, 2 cores) : ซึ่งถือเป็นรุ่นเริ่มต้น รองรับการใช้งานพื้นฐาน รวมถึงการดูหนัง ฟังเพลง สตรีมมิ่ง 4K ได้

ถัดมาคือในส่วนของหน่วยความจำ (RAM) ที่รุ่นนี้เลือกปรับแต่งได้เร่ิมต้นที่ 4 GB 8 GB และ 16 GB รองรับได้สูงสุด 32 GB ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูลมีให้เลือกทั้งแบบฮาร์ดดิสก์ 1 TB 2 TB และ SSD 256 GB 512 GB และ 1 TB

ในส่วนนี้ ถ้าเป็นการนำมาใช้เพื่อทำงานแนะนำให้เลือกเริ่มต้นที่ Core i5 RAM 8 GB และพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ SSD 256 GB คู่กับ HDD ปกติเพื่อใช้เก็บข้อมูลขนาดใหญ่ จะช่วยให้สามารถใช้งานได้ในระยะยาว และคุ้มค่ามากกว่า

จุดเด่นอย่างหนึ่งในการเป็นโน้ตบุ๊กธุรกิจของเอซุส คือมีบริการหลังการขายแบบ Perfect Warrant ที่มีบริการซ่อมถึงที่ 3 ปี (3 Year Onsite Service) รับประกัน 3 ปี ทั่วโลก (3 Year Global Warranty) เสริมด้วยรับประกันอุบัติเหตุในปีแรก (1 Year Perfect Warranty) และมีบริการลูกค้าออนไลน์แบบเรียลไทม์ (ASUS Online Customer Service) ให้เข้าไปสอบถามเพื่อแก้ไขปัญหาได้ทันที

ทดสอบประสิทธิภาพ

สำหรับในส่วนของการใช้งานเครื่องที่รับมาทดสอบนั้น ทำงานบนสเปก Intel Core i5 RAM 8 GB SSD 512 GB นั้นถือว่าใช้งานได้ครอบคลุมการทำงานทั่วไป การที่ให้หน้าจอสัดส่วน 16:9 ทำให้การใช้งานด้านความบันเทิงได้เป็นอย่างดี

ระยะเวลาใช้งานบนแบตเตอรีนั้น เท่าที่ทดสอบด้วยการเปิดความสว่างหน้าจอประมาณ 50% ใช้งานทั่วไป มีการเชื่อมต่อินเทอร์เน็ตตลอดเวลา จะใช้งานได้ต่อเนื่องราว 9 ชั่วโมง 41 นาที ในกรณีที่เปิดความสว่างหน้าจอแบบสูงสุดจะอยู่ที่ราว 7 ชั่วโมง 44 นาที

ทั้งนี้ ทางเอซุส ระบุว่า ในการทดสอบสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องสูงสุด 13 ชั่วโมง ด้วยการทดสอบกับรุ่นที่ใช้ Intel Core i7 RAM 8 GB จอ FullHD ปรับความสว่างหน้าจอ 150nits ส่วนถ้าใช้เล่นเกม หรือใช้งานประมวลผลหนักๆ จะอยู่ที่ราว 1 ชั่วโมง 40 นาที

ส่วนผลการทดสอบจากโปรแกรมทดสอบสามารถดูได้จากอัลบั้มด้านล่าง

สรุป

Asus ExpertBook P2 นั้นถือเป็นอีกซีรีส์ในกลุ่มโน้ตบุ๊กธุรกิจของเอซุส ที่นำจุดแข็งเรื่องความแข็งแกร่งของตัวเครื่อง และความปลอดภัยในการเก็บรักษาข้อมูลมาเป็นจุดขาย ร่วมกับการนำหน่วยประมวลผลประสิทธิภาพสูงของ Intel Gen 10 มาใช้งาน

ที่เปิดให้ลูกค้าสามารถเลือกปรับแต่งสเปกได้ตามที่ต้องการ ซึ่งจะเหมาะกับองค์กรธุรกิจที่ต้องการมองหาโน้ตบุ๊กให้พนักงานใช้งาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น และรองรับการทำงานแบบ Mobility

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.asus.com/th/Commercial-Laptops/ASUS-ExpertBook-P2451FA/

Gallery

]]>
Review : ASUS ExpertBook P1410CDA โน้ตบุ๊กครบเครื่องสำหรับองค์กรธุรกิจ https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-expertbook-p1410/ Thu, 17 Sep 2020 03:20:46 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33590

การที่เอซุส (Asus) ต้องการบุกเข้ามาในตลาดโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจ พร้อมกับตั้งเป้าหมายขึ้นเป็นผู้นำในตลาดนี้ภายใน 3 ปีข้างหน้า สอดคล้องกับยุคการทำงานรูปแบบใหม่ที่องค์กรธุรกิจหลายแห่งต่างต้องปรับตัว เตรียมความพร้อมให้แก่พนักงาน ในกรณีที่ต้องทำงานจากนอกสถานที่ นำให้โน้ตบุ๊กกลับมาได้รับความนิยมอีกรั้ง

จุดเด่นของ Asus ExpertBook P1คือมาพร้อมกับ Windows 10 Pro ที่เหมาะกับการใช้งานในองค์กรธุรกิจ พร้อมการล็อกอินแบบสแกนลายนิ้วมือที่ทำงานร่วมกับ Windows Hello เมื่อผสมผสานกับระบบบริหารจัดการของ My Asus ทำให้กลายเป็นโน้ตบุ๊กที่เหมาะกับพนักงานที่ต้องการความคล่องตัวในการทำงานได้ทันที

ในขณะเดียวกัน ด้วยการเลือกใช้หน่วยประมวลผลจาก AMD Ryzen 7 ที่พัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่เหลืออย่าง RAM พื้นที่เก็บข้อมูลต่างๆ สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของแต่ละองค์กรธุรกิจ จึงรองรับทั้งการใช้งานทั่วไป จนถึงการเป็นเครื่องประสิทธิภาพให้พนักงานได้ใช้งาน

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กองค์กรรุ่นเริ่มต้นที่สามารถปรับแต่งได้ตามการใช้งาน
  • พอร์ตเชื่อมต่อครบ มีให้ทั้ง USB-C HDMI และอะเดปเตอร์เชื่อมต่อ LAN / VGA
  • มี Windows 10 Pro ให้เลือกซึ่งเหมาะกับใช้งานในองค์กรธุรกิจมากกว่า
  • เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเพื่อความปลอดภัย

ข้อสังเกต

  • ตัวเครื่องค่อนข้างหนา น้ำหนัก 1.65 กิโลกรัม
  • จอรุ่นเริ่มต้นยังไม่เป็น Full HD แต่สามารถปรับแต่งได้

สำหรับสเปกของ ASUS ExpertBook P1410CDA ในรุ่นเริ่มต้น ประกอบด้วย

  • OS : Windows 10 Pro 
  • CPU : AMD Ryzen 7 3700U
  • GPU : Radeon Vega 10
  • RAM : DDR4 8 GB
  • พื้นที่เก็บข้อมูล : HDD 1 TB
  • หน้าจอ :14  นิ้ว HD (1366 x 768 พิกเซล)
  • การเชื่อมต่อ : WiFi 5 / Bluetooth 4.2
  • แบตเตอรี่ : 32Whr 2 เซลล์
  • น้ำหนัก : 1.65 กิโลกรัม
  • ราคา : เริ่มต้น 8,xxx บาท สอบถามผ่านตัวแทนจำหน่ายที่ http://bit.ly/2wAuouV

โน้ตบุ๊กครบเครื่องสำหรับองค์กรธุรกิจ

เมื่อเป็นโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจ สิ่งที่หลายองค์กรให้ความสำคัญเลยคือต้องซื้อแล้วจบ สามารถเลือกปรับสเปกได้ตามความต้องการ มีการรับประกันที่ดี และที่สำคัญคือแกะกล่องมาต้องพร้อมใช้งาน

ด้วยเหตุนี้ Asus จึงทำการบ้านมาค่อนข้างดีสำหรับ ExperBook P1410CDA ด้วยการที่มีตัวเลือกให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งได้ตั้งแต่การเลือกหน่วยประมวลผล ที่มีตัวเลือกเริ่มต้นเป็น Ryzen 3 (3200U) Ryzen 5 (3500U) และ Ryzen 7 (3700U)

ในขณะที่ระบบปฏิบัติการก็สามารถเลือกได้ว่าจะใช้งานคู่กับ Windows 10 Home หรือ Windows 10 Pro แต่ทางเลือกที่แนะนำสำหรับใช้งานในองค์กรธุรกิจคือ Windows 10 Pro ที่จะมีฟีเจอร์สำหรับการทำงานที่เพิ่มขึ้น เหมาะกับการใช้ทางธุรกิจโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ องค์กรธุรกิจยังสามารถเลือกปรับ RAM ได้สูงสุด 16 GB พื้นที่เก็บข้อมูลแบบคู่ ที่สามารถใส่ SSD ได้สูงสุด 512 GB คู่กับ HDD สูงสุด 1 TB ซึ่งแน่นอนว่าขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งาน ถ้าให้แนะนำคือเริ่มต้นด้วย SSD 128 GB กับ HDD 500 GB เพื่อเก็บข้อมูล ก็เพียงพอกับการใช้งานของพนักงานทั่วไปแล้ว

ถัดมาคือตัวเลือกในการปรับแต่งจอ โดยจอรุ่นเริ่มต้นที่ให้มาจะเป็นขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด 1366 x 768 พิกเซล ที่สามารถปรับเลือกได้เป็น 14 นิ้ว Full HD 1920 x 1080 พิกเซล

ในขณะที่การรับประกันของ Asus จะประกอบไปด้วย บริการซ่อมถึงที่ 3 ปี (3 Year Onsite Service) รับประกัน 3 ปีทั่วโลก (3 Year Global Warranty) เพิ่มเติมด้วย ประกันอุบัติเหตุในปีแรก (1 Year Perfect  Warranty) ทำให้สบายใจในการใช้งานได้

สุดท้ายคือความพร้อมในการใช้งาน Asus ถือว่าทำการบ้านมาค่อนข้างดีตั้งแต่การออกเดสก์ท็อปอย่าง ExpertPC ด้วยการให้อุปกรณ์เสริมอย่างเมาส์ USB มาให้ภายในกล่อง และยังไม่หมดแค่นั้น เพราะมีอะเดปเตอร์แปลงพอร์ต USB เป็น LAN และ HDMI เป็น VGA มาให้ในกล่องด้วย

เรียกได้ว่าแกะกล่องมาทำการล็อกอินเข้าใช้งาน Windows 10 Pro เรียบร้อย ก็พร้อมใช้งานได้ทันที และในกรณีที่ต้องการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ก็มีพอร์ตให้ใช้งานครบครัน

ภาพรวมตัวเครื่อง ExpertBook P1

ในแง่ของการออกแบบ ExpertBook P1 ถือว่าทำออกมาได้น่าสนใจ จากการนำจอแบบ NanoEdge มาใช้งาน ช่วยให้ตัวเครื่องมีขนาดเล็กลง เมื่อเทียบกับขนาดหน้าจอ 14 นิ้ว ตัวจอจะมีสัดส่วนถึง 82% ของตัวเครื่อง โดยมีขอบจออยู่ที่ 6.5 มิลลิเมตร

โดยตัวหน้าจอที่ให้มามีขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด 1366 x 768 พิกเซล ซึ่งเป็นจอผิวด้าน ที่เคลือบป้องกันแสงสะท้อน ให้มุมมองภาพ 178 องศา ด้านบนจะมีกล้อง VGA ให้ใช้งานเพื่อประชุมสายทางไกลได้ ส่วนด้านล่างจะมีโลโก้ ASUS สีเงินอยู่

ถัดลงมาในส่วนของคีย์บอร์ดที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ โดยทางเอซุสมีการเสริมความแข็งแรงของตัวเครื่องด้วยการนำโครงสร้างโลหะชิ้นเดียวมาใช้งาน แป้นพิมพ์มีระยะการกดที่ 1.4 มิลลิเมตร ช่วยให้พิมพ์ใช้งานได้สะดวกขึ้น

ขณะเดียวกับแถบคำสั่งลัดที่ให้มาบริเวณปุ่ม Fn ถือว่าครบ ตั้งแต่การปรับระดับเสียง ความสว่างหน้าจอ ปิดการใช้งานทัชแพด สลับหน้าจอ ปิดกล้อง จับภาพหน้าจอ เรียกโปรแกรมจัดการ My Asus

ต่อเนื่องมาในส่วนของทัชแพด ที่หลังๆ เอซุส พัฒนาการใช้งานมาได้น่าสนใจ การควบคุมสั่งงานด้วยทัชแพด ลื่นไหลดี และในรุ่นนี้ยังมีการฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาที่มุมขวาบนของทัชแพด เพื่อใช้ปลดล็อกใช้งานเครื่องด้วย

บริเวณที่วางข้อมือทางฝั่งซ้าย จะมีสัญลักษณ์ ExpertBook อยู่ ส่วนทางฝั่งขวาเป็นข้อความ Sonic Master ที่เป็นเทคโนโลยีลำโพงของเครื่องรุ่นนี้ ซึ่งให้พลังเสียงได้ดีทีเดียว

ในส่วนของพอร์ตการเชื่อมต่อทางซ้าย จะมีช่องเสียบสายชาร์จ พอร์ต USB-C 3.1 HDMI และ USB 3.1 อีก 1 พอร์ต

ขณะที่ทางขวา จะมีพอร์ตล็อกเครื่อง Kensington ตามด้วย USB 2.0 อีก 2 พอร์ต ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และช่องอ่านไมโครเอสดีการ์ด

ส่วนของแบตเตอรีที่ให้มาอยู่ที่ 32 Whr โดยทางเอซุส ระบุว่า เมื่อทำงานร่วมกับอะเดปเตอร์ 65W จะสามารถชาร์จได้ 60% ภายใน 49 นาที

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ

ด้วยการที่ ExpertBook P1 ถูกออกแบบมาสำหรับใช้งานภายในองค์กร ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล โดยใน ExpertBook P1 ได้มีการนำมาตรฐานการป้องกันฮาร์ดดิสก์ EAR HDD มาใช้งาน

โดยจะช่วยป้องกันฮาร์ดดิสก์ ที่จะมีการตรวจจับแรงสั่นสะเทือน และตัดการทำงานของฮาร์ดดิสก์ เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลที่เก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ได้รับผลกระทบ ประกอบกับเปิดให้สามารถใช้พื้นที่เก็บข้อมูลคู่ SSD + HDD ทำให้ปลอดภัยมากขึ้น

ขณะเดียวกันด้วยการที่ Windows 10 Pro รองรับการใช้งาน Windows Hello ที่สามารถใช้งานร่วมกับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อกเครื่องได้ จะช่วยให้ผู้ไม่หวังดีไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลในตัวเครื่องได้ด้วย

นอกจากนี้ การที่เอซุส มีโปรแกรมบริหารจัดการตัวเครื่องอย่าง My Asus มาให้ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปตรวจสอบการอัปเดตไดรฟ์เวอร์ และตรวจสอบการใช้งานของตัวเครื่องได้

เพิ่มเติมด้วยการปรับโหมดชาร์จแบตเตอรี ที่สามารถเลือกได้ว่าจะใช้โหมดความจุเต็ม ที่จะชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี 100% รองรับการใช้งานระหว่างเดินทาง หรือเลือกใช้โหมดสมดุล ที่จะชาร์จแบตเตอรีไว้ที่ 80% และโหมดยืดอายุการใช้งาน ที่จะชาร์จสูงสุด 60% เพื่อยืดระยะประจุของแบตเตอรี

ทดสอบประสิทธิภาพ

ภาพรวมของการใช้งาน Asus ExpertBook P1 ในรุ่นเริ่มต้นนั้น ถือว่าเหมาะกับการใช้งานเอกสารทั่วไปภายในสำนักงานเป็นหลัก รวมถึงรองรับทางด้านความบันเทิงระดับเริ่มต้น เนื่องจากตัวจอไม่ได้เป็นแบบ Full HD 

ขณะเดียวกัน การใช้งานบนแบตเตอรีนั้น ถ้าเปิดความสว่างหน้าจอ 50% ใช้งานทั่วไป จะใช้งานต่อเนื่องได้ราว 5 ชั่วโมง 44 นาที และถ้าปรับความสว่างหน้าจอเป็น 100% จะใช้ได้ต่อเนื่อง 4 ชั่วโมง 51 นาที

ส่วนถ้าต้องใช้งานประมวลผลหนักๆ ต่อเนื่องจะอยู่ที่ราว 1 ชั่วโมง 15 นาที เท่านั้น เนื่องจากยังใช้ซีพียูเป็น Ryzen 7 3700U ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ Zen+ 12 นาโนเมตร ซึ่งถ้าอัปเกรดเป็น Ryzen 4000 ซีรีส์ที่ใช้ 7 นาโนเมตร ก็จะประหยัดแบตเตอรีมากขึ้น

ส่วนผลการทดสอบจากโปรแกรมทดสอบต่างๆ สามารถดูผลได้จากอัลบั้มด้านล่าง

สรุป

Asus ExpertBook P1 ที่ถือเป็นโน้ตบุ๊กรุ่นเริ่มต้นของทางเอซุส กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับบรรดาธุรกิจ SMEs จนถึงองค์กรธุรกิจขนาดกลาง และใหญ่ ที่ต้องการโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพดี รองรับมาตรฐานความปลอดภัยต่างๆ

โดยเฉพาะการเปิดทางเลือกให้สามารถปรับแต่งสเปก ตามแต่ความต้องการขององค์กรธุรกิจ มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครัน ที่สำคัญคือทำงานบน Windows 10 Pro ที่รองรับการอัปเกรดแพทซ์ เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลภายในตัวเครื่องด้วย

Gallery

]]>
Review : Asus ExpertBook B9450 โน้ตบุ๊กองค์กรสุดบางเบา https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-expertbook-b9450/ Tue, 16 Jun 2020 13:18:53 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33070

เอซุส (Asus) เริ่มหันมาบุกตลาดโน้ตบุ๊กในกลุ่มองค์กรธุรกิจ หลังจากชิงส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มคอนซูเมอร์จนขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ในท้องตลาดแล้ว โดยตั้งเป้าหมายว่าภายใน 3 ปีข้างหน้า จะมีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มภาคการศึกษา และ SMEs มากกว่า 30% หรือเทียบได้กับการเป็นผู้นำในตลาดนี้

หนึ่งในรุ่นที่เอซุส นำมาใช้เพื่อเป็นมาตรฐานในการนำโน้ตบุ๊กระดับพรีเมียมให้แก่ลูกค้าองค์กรธุรกิจคือสินค้าในกลุ่ม ExpertBook นำโดย Asus ExpertBook B9450 ซึ่งเป็นโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจขนาดหน้าจอ 14 นิ้ว ที่เบาที่สุดในโลกเวลานี้

จุดเด่นของ Asus ExpertBook B9450 นอกเหนือจากเรื่องบางเบา และวัสดุที่แข็งแรงแล้ว ยังสามารถทำงานบนแบตเตอรีได้ 12 – 24 ชั่วโมง เรียกได้ว่ารองรับการทำงานยุคใหม่ได้อย่างเต็มที่ มีพอร์ตการเชื่อมต่อที่ครบถ้วน บนความปลอดภัยระดับองค์กร ทำงานบนหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุดของ Intel Gen 10 ในราคาเริ่มต้น 38,990 บาท

ข้อดี

  • น้ำหนักเบา เริ่มที่ 870 กรัม
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้ตลอดวัน
  • พอร์ตเชื่อมต่อที่จำเป็นครบถ้วน
  • ดีไซน์แบบ Ergonomic ที่ยกคีย์บอร์ดให้พิมพ์ง่าย
  • มีระบบรักษาความปลอดภัยทั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือกล้องอินฟาเรด

ข้อสังเกต

  • ซีพียูที่ใช้เป็นรุ่นประหยัดพลังงาน ทำให้ไม่เหมาะกับการประมวลผลหนักๆ
  • จากวัสดุที่ใช้ที่แข็งแรง แต่ยืดหยุ่น ทำให้เวลาจับแล้วเครื่องยวบๆ บางจุด

เสริมภาพลักษณ์นักธุรกิจ

เมื่อเอซุส วางตำแหน่งเป็นผู้ท้าชิงในกลุ่มโน้ตบุ๊กสำหรับนักธุรกิจ ทำให้ Asus ExpertBook B9450 ต้องแบกรับหน้าที่สำคัญในการสร้างความประทับใจให้บรรดาเหล่าผู้บริหารเห็นและให้ความสนใจเลือกมาใช้งาน ซึ่งทำให้รูปลักษณ์ของ B9450 กลายเป็นจุดที่สำคัญที่สุดในการทำตลาดนี้

แน่นอนว่า ExpertBook B9450 ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะด้วยการออกแบบที่มีเอกลักษณ์จนได้รับรางวัล Red Dot Design 2020 มาช่วยการันตี ความโดดเด่นของ B9450 คือการเลือกนำวัสดุที่เป็นโลหะผสม อย่างแม็กนีเซียม ลิเธียม มาใช้งาน ซึ่งจะมีความเบา และแข็งแรงกว่าแม็กนีเซียม อลูมิเนียม

ขณะเดียวกัน เมื่อได้โครงเครื่องที่บางแต่แข็งแรง ทำให้สามารถผลิตโน้ตบุ๊กขนาดหน้าจอ 14 นิ้ว ออกมาในฟอร์ตเฟคเตอร์ของโน้ตบุ๊ก 13 นิ้วได้ ทำให้ ExpertBook B9450 มีขนาดกระทัดรัดกว่าโน้ตบุ๊ก 14 นิ้ว ทั่วไปในท้องตลาด

ความแข็งแรงของ B9450 ยังได้รับการรับรองจากมาตรฐานทางการทหาร MIL-STD-810G ที่ทดสอบทั้งเรื่องการกดทับ การสั่น กระแทก และตกจากที่สูง ที่จะช่วยรักษาข้อมูลภายในตัวเครื่องไม่ให้เกิดความเสียหายในตัว

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของความเบา แต่ก็มาพร้อมกับระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรีที่ยาวนาน โดย B9450 จะมีให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่นย่อย คือ รุ่นแบตเตอรี 33Whr เคลมว่าใช้งานต่อเนื่อง 12 ชั่วโมง น้ำหนักจะอยู่ที่ 870 กรัม ส่วนรุ่น 66Whr ที่เคลมว่าใช้งานได้ 24 ชั่วโมง น้ำหนักจะอยู่ที่ 995 กรัม

ทั้งนี้ ขนาดของตัวเครื่องจะอยู่ที่ 320 x 203 x 14.9 มิลลิเมตร วางจำหน่ายเฉพาะสีดำ Star Black ที่จะมีการเล่นลายสะท้อนแสงระยิบระยับเวลาแสงตกกระทบช่วยเพิ่มความหรูหราให้ตัวเครื่องด้วยโดยตรงกลางจะมีสสัญลักษ์ ASUS สีเงินพาดอยู่

เมื่อเปิดหน้าจอขึ้นมา จะพบกับจอ LED IPS –ขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด Full HD ในสัดส่วน 16:9 โดยมีขอบหน้าจออยู่ที่ 4 มิลลิเมตร สัดส่วนตัวเครื่องเมื่อเทียบกับหน้าจออยู่ที่ 94% ขอบเขตการแสดงผลสีเป็น Wide 100% sRGB มุมมองภาพ 178 องศา

สิ่งที่น่าสนใจคือกล้องหน้าที่เป็น IR Camera ความละเอียด 720p ที่มาพร้อมกับไมโครโฟน ซึ่งจะมีม่านชัตเตอร์ให้เลือกเปิดปิดกล้องหน้าได้จากตัวเครื่อง ไม่ต้องเข้าไปปิดในระบบปฏิบัติการ เพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น

ถัดลงมาที่บริเวณคีย์บอร์ดไล่จากส่วนบนจะมี ตัวอักษรระบุ Asus ExpertBook อยู่ ถัดลงมาเป็นแป้นคีย์บอร์ดที่มีไฟ LED ภายใน ซึ่งแป้นตัวอักษรต่างๆ จะมีขนาดมาตรฐาน แต่บริเวณแถบคำสั่งแถวบนสุด และปุ่มลูกศรจะมีขนาดเล็กกว่าปกติ

อีกจุดเด่นที่น่าสนใจคือบริเวณ TouchPad ที่นอกจากใช้ควบคุมเมาส์แล้ว ยังสามารถกดบริเวณมุมขวาบนเพื่อเรียก Asus NumberPad 2.0 ขึ้นมาใช้กรอกตัวเลข และแทนเครื่องคิดเลขได้ด้วย นอกจากนี้ที่ด้านล่างปุ่มลูกศร จะมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือให้ใช้ปลดล็อกเครื่องด้วยe

ErgoLift ช่วยให้ใช้งานสบาย

สำหรับผู้ที่ติดตามผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊กของเอซุสในช่วงหลังๆ จะเริ่มเห็นการนำเสนอเรื่องของ ErgoLift หรือการที่เวลาเปิดหน้าจอขึ้นมาแล้ว จะยกตัวเครื่องขึ้นเพื่อช่วยให้ได้องศาในการใช้งานที่ดีที่สุด ซึ่ง B9450 ก็เป็นอีกรุ่นที่รองรับการใช้งานในลักษณะดังกล่าว

เมื่อกางหน้าจอขึ้นมาที่ 145 องศา ตัวเครื่องจะยกขึ้นมาจากพื้น 5 องศา ซึ่งนอกจากช่วยให้องศาเข้ามือแล้ว ยังช่วยให้ตัวเครื่องระบายความร้อนด้วย เพราะมีอากาศถ่ายเทที่ด้านล่างตัวเครื่องมาช่วยให้พัดลมทำงานได้ดีขึ้น

พอร์ตเชื่อมต่อครบ

สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อของ B9450 ที่ให้มาครบนั้น เริ่มจากทางฝั่งซ้าย ประกอบไปด้วยพอร์ค Thunderbolt 3 (USB-C) 2 พอร์ต HDMI ขนาดมาตรฐาน และ MicroHDMI สำหรับเชื่อมต่อกับอะเดปเตอร์แปลงเป็นพอร์ต LAN ที่สามารถฟิกซ์ Mac Address เพื่อความปลอดภัยได้

ทางฝั่งขวาจะมีช่องล็อก Kensington พอร์ต USB 3.2 ช่องเสียบหูฟัง และไมโครโฟน ขนาด 3.5 มม. พร้อมกับไฟแสดงสถานะการทำงานของเครื่องอยู่ข้างๆ จะเห็นได้ว่า เอซุส เลือกนำพอร์ต USB ขนาดมาตรฐานใส่มาให้ใช้งานด้วย ทำให้ไม่ต้องพกอะเดปเตอร์แปลงเพิ่มเติมให้วุ่นวาย

ในเรื่องของการเชื่อมต่อ ภายในของ B9450 ยังรองรับการเชื่อมต่อ WiFi 6 ในลักษณะของ DualBand ทำให้รองรับเครือข่ายความเร็วสูงถึง 2.4 Gbps พร้อมกับบลูทูธ 5.0 มาช่วยทำให้การเชื่อมต่อได้เต็มประสิทธิภาพมากที่สุด

โน้ตบุ๊กองค์กรความปลอดภัยต้องมาก่อน

เมื่อดูถึงการเตรียมการด้านความปลอดภัย B9450 ใส่มาให้ทั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ และกล้องอินฟาเรดที่สามารถทำงานคู่กับ Windows Hello ที่เป็นระบบรักษาความปลอดภัยของ Microsoft ได้ ดังนั้น ปัญหาในการเข้าใช้งานจากผู้ไม่หวังดีจึงหมดไป

นอกจากนี้ ภายในกลุ่มสินค้าของ Asus ExpertBook ยังมีระบบบริหารจัดการอย่าง Asus Control Center และ Asus Business Manager มาช่วยให้ฝ่ายไอทีในองค์กรธุรกิจทำงานง่ายขึ้น เพราะสามารถ Remote เข้ามาแก้ปัญหาผ่านอินเทอร์เน็ตได้ทันที

ทดสอบประสิทธิภาพ

มาถึงในส่วนของประสิทธิภาพตัวเครื่อง Asus ExpertBook B9450 วางจำหน่ายด้วยกัน 2 รุ่นอย่างที่กล่าวไป คือรุ่นที่มีแบตเตอรีขนาด 33Whr ซึ่งจะมากับหน่วยประมวลผล Intel Core i5 10210U RAM 8 GB SSD 512 GB ส่วนรุ่น 66Whr จะมากับหน่วยประมวลผล Intel Core i7 10510U RAM 16 GB SSD 1 TB

โดยรุ่น Core i7 ความเร็วพื้นฐานจะอยู่ที่ 1.4 GHz และสามารถ Turbo Boots ไปที่ 4.9 GHz ได้ ในขณะที่ Core i5 ความเร็วพื้นฐานอยู่ที่ 1.6 GHz Turbo Boots ไปที่ 4.2 GHz แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นหน่วยประมวลผลในตระกูลประหยัดพลังงาน ทำให้ประสิทธิภาพอาจจะเทียบกับรุ่นปกติไม่ได้

สรุป

ด้วยการที่ Asus ExpertBook B9450 มากับตำแหน่งโน้ตบุ๊กน้ำหนักเบาที่สุดในโลกเวลานี้ ด้วยน้ำหนักราว 870 กรัม ดังนั้นใครที่กำลังมองหาโน้ตบุ๊กใช้งานในองค์กร ที่เน้นพกพาง่าย แบตเตอรีอึด พอร์ตเชื่อมต่อครบ รุ่นนี้สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างแน่นอน

แต่ถ้าเป็นผู้ใช้งานที่ต้องการพลังในการประมวลผลสูง ไม่ได้เน้นเรื่องการพกพา Asus จะมีตัวเลือกอย่าง ProArtStudio มาเป็นอีกกลุ่มให้เลือกใช้งาน ดังนั้น ต้องมองให้ชัดก่อนว่าต้องการโน้ตบุ๊กมาตอบโจทย์การใช้งานประเภทไหน

Gallery

]]>
Review : Asus ExpertPC D3 เดสก์ท็อปองค์กรรุ่นเริ่มต้น แต่สเปกเทียบรุ่นใหญ่ https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-expertpc-d3/ Tue, 10 Mar 2020 16:31:15 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32375

ตลาดเดสก์ท็อปพีซีสำหรับองค์กรธุรกิจในช่วงหลัง เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งจากการที่ไมโครซอฟท์ ประกาศยุติการซัพพอร์ต Windows 7 ทำให้หลายองค์กรใช้ช่วงเวลาดังกล่าวในการเปลี่ยนคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ เพื่อให้รับกับการทำงานในอนาคต บน Windows 10

Asus เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่บุกตลาดเดสก์ท็อปองค์กรมาอย่างต่อเนื่อง และด้วยรุ่นอัปเกรดล่าสุดที่มีตัวเลือกหลากหลายขึ้นตามความต้องการของธุรกิจ พร้อมกับจุดเด่นเรื่องของประสิทธิภาพ ความปลอดภัย พร้อมใช้งานได้ทันที กับพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครัน

Asus ExpertPC D3401SFF ถือเป็นเดกส์ท็อปราคาประหยัด ที่สามารถเลือกปรับแต่งสเปกได้สูงสุดที่ Intel Core i7 RAM DDR 4 สูงสุด 32 GB เลือกใช้งาน HDD แบบคู่ได้สูงสุด 2 TB + SSD 512 GB ส่วนการ์ดจอสูงสุดเป็น Nvidia GTX 1660 มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home

ข้อดี

  • คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป พร้อมติดตั้งใช้งาน
  • พอร์ตเชื่อมต่อครบถ้วน
  • มีระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลภายในตัวเครื่อง

ข้อสังเกต

  • ขนาดตัวเครื่องค่อนข้างใหญ่ ทำให้ไม่เหมาะกับสำนักงานที่มีพื้นที่จำกัด
  • เสียงพัดลมค่อนข้างดัง เวลาประมวลผลหนักๆ

เสียบปลั้ก ติดตั้งใช้งานได้ทันที

หนึ่งในความสะดวกของ Asus ExpertPC D3 คือการที่แกะกล่องออกมาเสียบปลั้ก ต่อคีย์บอร์ด เมาส์ และจอ เข้าสู่การติดตั้ง Windows 10 หลังจากนั้น ก็พร้อมใช้งานได้ทันที ทำให้ลดความยุ่งยากของฝ่ายไอทีภายในองค์กรที่จะต้องมาคอยอัปเดตไดร์ฟเวอร์ของคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งใหม่

โดยนอกจากตัว Asus ExpertPC D3 ที่ใส่มาให้ในกล่องแล้ว ยังมีคีย์บอร์ด และเมาส์ มาให้ด้วย ดังนั้นแค่เตรียมจอที่รองรับพอร์ต DVI หรือ HDMI ก็สามารถนำมาเชื่อมต่อเพื่อเปิดใช้งานได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปหาอุปกรณ์อื่นๆ มาเสริม ซึ่งแน่นอนว่าถ้าสั่งซื้อกับทางเอซุส ก็มีจอมอนิเตอร์ที่พร้อมจำหน่ายไปแบบครบชุดอยู่แล้ว

อีกหนึ่งความพิเศษของ AsusExpertPC คือการที่มี Asus Business Manager มาให้ใช้งานด้วย ตรงจุดนี้จะเข้าไปช่วยองค์กรธุรกิจที่ต้องการบริหารจัดการคอมพิวเตอร์ภายในองค์กรให้มีการอัปเดตซอฟต์แวร์ เพื่อให้ตัวเครื่องทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากที่สุด โดยไม่ทำให้ผู้ใช้มีความยุ่งยากในการใช้งาน

ความสะดวกอีกอย่างคือ Asus ExpertPC D3 สามารถเพิ่มสเปกในเรื่องของที่จับหูหิ้วด้านบนตัวเครื่อง เพื่อให้เคลื่อนย้ายได้สะดวกมากขึ้น

ตัวเครื่องยังผ่านมาตรฐานความทนทานระดับกองทัพ (MIL-STD-810G) ที่ทำการทดสอบทั้งเรื่องการสั่นสะเทือน แรงกระแทก ทนต่อความชื้น และอุณหภูมิต่างๆ ทำให้มั่นใจได้ว่าจะรองรับการใช้งานอีกหลายปี

นอกจากนี้ ในกรณีที่ต้องการรักษาความปลอดภัยด้านไอที ตัวเครื่องสามารถตั้งให้มีการแจ้งเตือนเมื่อมีการเปิดฝาเครื่อง (ติดตั้งเพิ่มเติม) มีพอร์ตล็อกเครื่องแบบ Kensington เลือกควบคุมการอ่าน / เขียนข้อมูลผ่านพอร์ต USB และการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อความปลอดภัยต่างๆ ด้วย

สุดท้ายคือเรื่องของการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ ExpertPC D3 แหล่งจ่ายไฟมีการรับรองแบบ 80 Plus Bronze ซึ่งจะมีพลังงานที่สูญเปล่าน้อยที่สุด ส่งผลให้เกิดความร้อนน้อยลงแถมยังประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

การออกแบบที่คิดถึงผู้ใช้

เมื่อแกะออกมาจากตัวเครื่อง สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือเรื่องของการออกแบบให้มีความเป็นมิตรกับผู้ใช้ อย่างในภาพรวมแม้ว่าตัวเครื่องจะมาในทรงสี่เหลี่ยม แต่บริเวณส่วนบนเครื่องจะมีส่วนให้ใช้มือสอดเข้าไปจับถือตัวพีซีได้ (เป็นออปชันเสริมที่สามารถเลือกใส่เพิ่มได้) ทำให้สะดวกในการยกไปติดตั้ง

โดยขนาดรวมๆ ของ ExpertPC D3 จะอยู่ที่ 160 x 293 x 354.4 มิลลิเมตร น้ำหนัก 5.59 กิโลกรัม หรือเทียบเท่าประมาณ 15 ลิตร ซึ่งถือว่าเป็นขนาดกลางๆ ของคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปในปัจจุบัน แต่ความพิเศษของ ExpertPC คือเมื่อทางเอซุส เป็นผู้ออกแบบเอง ทำให้สามารถคำนวนพื้นที่การใช้งานคู่กับเมนบอร์ดได้อย่างแม่นยำ ทำให้ประหยัดพื้นที่เมื่อเทียบกับเดกส์ท็อปทั่วไป

ด้านหน้าของเครื่องที่มุมซ้ายบนจะมีการสกรีนตัวอักษร Asus ExpertPC อยู่ ถัดลงมาเป็นปุ่มเปิดเครื่อง และไฟแสดงสถานะ ตามด้วยช่องใส่ซีดีการ์ด เยื้องๆ ไปทางขวาจะเป็นพอร์ตเชื่อมต่ออเนกประสงค์ ที่ตามจริงแล้วสามารถเลือกได้ว่าต้องการพอร์ตอะไรใช้งานบ้าง (เฉพาะตรงพอร์ต USB ทั้ง 4 พอร์ต)

อย่างในรุ่นที่ได้มาทดสอบนี้ ทางเอซุส ได้เลือกใส่พอร์ต USB 3.1 มาให้พร้อมกับพอร์ต USB-C และ USB 2.0 อีก 2 พอร์ตตามด้วยช่วงเสียบหูฟัง และไมโครโฟน ที่ถือว่าเป็นไปตามมาตรฐาน ในจุดนี้การที่เลือกวางพอร์ตเชื่อมต่อไว้ส่วนบนเพื่อเวลาที่นำเครื่องไปวางไว้ใต้โต๊ะ ผู้ใช้จะสามารถเสียบใช้งานได้สะดวกขึ้น

ในส่วนของหลังเครื่องต้องยอมรับว่า เมนบอร์ดของเอซุสที่ให้มาเป็นแบบมาตรฐานอยู่แล้ว ดังนั้นการที่มีพอร์ตเชื่อมต่อทั้ง ช่องต่อเมาส์ และคีย์บอร์ดแบบ PS/2 พอร์ต USB 2.0 / USB 3.1 / DVI-D / HDMI / VGA / Serial / LAN ช่องเสียบไมโครโฟน เสียงเข้า เสียงออก ครบถ้วน

ที่พิเศษขึ้นมาในรุ่นที่ได้มาทดสอบคือมากับการ์ดจอ NVIDIA GeForce GT1660 ทำให้มีพอร์ต DVI-D และ HDMI เพิ่มเข้ามาเป็นพอร์ตหลักในการเชื่อมต่อจอมอนิเตอร์แทน กับอีกส่วนคือ Wireless Card ที่ติดตั้งมาให้ใช้งานด้วย หลังเครื่องก็จะมีช่องให้เชื่อมต่อไปยังเสารับสัญญาณภายนอกด้วย

เมื่อแกะฝาเคสออกมา เพื่อดูภายในของเดสก์ท็อป จะเห็นการจัดวางภายในไล่ตั้งแต่ Power Supply ที่มุมซ้ายบน ทางขวาเป็นที่อยู่ของฮาร์ดดิสก์ และ SSD ภายในเป็นเมนบอร์ด ซีพียู พัดลม พร้อมกับมีลำโพงติดตั้งภายในมาให้ด้วย เพื่อที่จะพร้อมใช้งานได้ทันที

เดสก์ท็อปที่ปรับเลือกสเปกได้เอง

ด้วยการที่ออกแบบมาให้เป็นคอมพิวเตอร์สำหรับใช้งานภายในองค์กรรุ่นเริ่มต้น ทำให้ทาง Asus เปิดให้แต่ละองค์กรธุรกิจสามารถเลือกจัดสเปกได้ตามความต้องการในการใช้งาน ตั้งแต่หน่วยประมวลผล ระบบปฏิบัติการ การ์ดจอ RAM ฮาร์ดดิสก์

อย่างในส่วนของหน่วยประมวลผลจะเริ่มต้นที่ Intel Celeron G4930 ไล่มาเป็น Pentium Gold / Core i3 / Core i5 จนถึง Core i7 เพราะในการใช้งานจริง แต่ละองค์กร หรือแม้แต่คนละหน่วยงานภายในองค์กรก็จะมีการใช้งานที่แตกต่างกัน

ถัดมาในส่วนของ Windows 10 ก็สามารถเลือกได้ตั้งแต่ 10 Home หรือ 10 Pro การ์ดจอใส่เพิ่มได้ตั้งแต่ NVIDIA GeForce GT1030 – RTX 2060 RAM ใส่ได้ 2 สล็อต สูงสุดที่ 32 GB

ฮาร์ดดิสก์ สามารถใส่ใช้งานคู่ได้ระหว่าง ฮาร์ดดิสก์ 3.5” เลือกได้สูงสุด 2 TB กับ SSD สูงสุด 512 GB ซึ่งถ้าให้แนะนำ ก็ควรเลือกใช้งานคู่กัน โดยเลือกลงระบบปฏิบัติการไว้บน SSD ที่จะทำให้เครื่องเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ไม่นับรวมการเปิดทางเลือกให้สามารถเลือกได้ว่าจะใส่ DVD ROM เลือกปรับพอร์ตการเชื่อมต่อด้านหน้าที่ จึงทำให้ ExpertPC D3 เหมาะกับการใช้งานที่หลากหลายมากๆ

สำหรับสเปกของ Asus ExpertPC D3401SFF ที่ได้มาทดสอบ จะมากับระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home ทำงานบนซีพียู Intel Core i7 9700 ความเร็ว 3.0 GHz และ Turbo boost ขึ้นไปได้ถึง 4.7 GHz

ยังมาพร้อมกับการ์ดจอ GTX 1660 RAM DDR4 2666 MHz 32 GB พื้นที่เก็บข้อมูล SSD 512 GB + HDD 1 TB พร้อมตัวรับสัญญาณ Wi-Fi 5 และบลูทูธ 4.1

ทดสอบประสิทธิภาพ

ด้วยสเปกที่จัดมาทำให้ ExpertPC D3401SFF รุ่นนี้ รองรับการใช้งานการประมวลผลหนักๆ ได้สบาย หรือแม้กระทั่งทำไปใช้เพื่อเล่นเกมประสิทธิภาพสูงในท้องตลาดเวลานี้ก็ทำได้

ดังนั้น ถ้ามองในแง่ของการเป็นคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานภายในสำนักงาน ถือว่ารองรับการใช้งานได้สบายๆ ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับการเลือกปรับสเปกเพื่อนำไปใช้งานให้เหมาะสมภายในองค์กรด้วย

สำหรับผลการทดสอบผ่าน PCMark10 3DMark10 Geekbench และ Cinebench ดูได้จากอัลบั้มภาพด้านล่าง

สรุป

องค์กรธุรกิจที่มีแผนจะเปลี่ยนเครื่องเดสก์ท็อปใหม่ และต้องการหาโซลูชันที่เหมาะสมในการนำไปใช้งาน Asus ExpertPC D3 ถือเป็นรุ่นเริ่มต้นที่น่าสนใจ เพราะสามารถเลือกปรับสเปกตั้งแต่การใช้งานทั่วไป จนถึงการประมวลผลขั้นสูงได้ทันที

]]>
Review : Asus VivoBook 14 X412 โน้ตบุ๊กวินโดวส์ 10 แท้ในราคา 12,990 บาท https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-vivobook-14-x412/ Tue, 21 May 2019 04:38:52 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=30727

กลุ่มโน้ตบุ๊กระดับเริ่มต้น เริ่มกลับมาได้รับความนิยมในตลาดพีซีอีกครั้ง หลังจากที่ตลาดสมาร์ทโฟนเริ่มถึงจุดอิ่มตัว ในขณะที่ความต้องการของโน้ตบุ๊กเครื่องแรก เพื่อนำมาใช้เรียน หรือทำงาน ยังกลายเป็นสิ่งจำเป็นในยุคสมัยนี้อยู่

Asus มองถึงโอกาสทางธุรกิจในฐานลูกค้ากลุ่มนี้ ซึ่งแต่เดิมเอซุส แทบจะไม่มีส่วนแบ่งในกลุ่มนี้ เพราะทำราคาเครื่องกับสเปกที่เหมาะสมลงมาสู้กับคู่แข่งไม่ได้ แต่จากการมาของ VivoBook 14 X412 เชื่อว่าจะกลายเป็นไม้เด็ดของเอซุส ในตลาดนี้

จุดเด่นของ Asus VivoBook 14 X412 รุ่นนี้คือ การที่เอซุส เลือกนำ Intel Pentium Gold มาให้ใช้งานพร้อมกับ RAM 4 GB และพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ Dual Storage SSD 128 GB + HD 1 TB และมากับวินโดวส์ 10 แท้ ในราคาเริ่มต้นที่ 12,990 บาท

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กราคาประหยัดที่มากับขนาดตัวเครื่องเล็กสุดในตลาด
  • มาพร้อมวินโดวส์ 10 ลิขสิทธิ์แท้
  • รองรับการเพิ่ม RAM สูงสุด 20 GB

 

ข้อสังเกต

  • ตัวเครื่องค่อนข้างหนา (1.95 เซนติเมตร) แต่ก็ถือว่าบางลงเยอะแล้ว
  • น้ำหนักเครื่อง 1.5 กิโลกรัม
  • เหมาะกับการเป็นโน้ตบุ๊กเครื่องแรกเพื่อใช้งานทั่วไป

หน้าจอ 14 นิ้ว ในขนาดตัวเครื่องเทียบเท่า 13 นิ้ว

จุดแรกที่น่าสนใจของ Asus VivoBook 14 คือการออกแบบหน้าจอใหม่ โดยหันมาใช้เทคโนโลยี Four Side Nano EDGE Display ทำให้ขอบจอบางลง ดังนั้นจึงสามารถใส่จอขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด FullHD (1920 x 1080 พิกเซล) ลงมาให้ใช้งาน ในตัวเครื่องใกล้เคียงกับโน้ตบุ๊กจอ 13 นิ้ว

โดยขนาดของ VivoBook 14 เล็กลง 6.8% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ทำให้ปัจจุบันมีขนาดอยู่ที่ 212.7 x 322.4 x 19.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1.5 กิโลกรัม วางจำหน่ายด้วยกัน 3 สี คือ เงิน เทา และน้ำเงิน

ในส่วนของจอไม่ใช่แค่ขอบจอเล็กลง เพราะเอซุส ใส่เทคโนโลยีเข้ามาช่วยปรับสีในการแสดงผล ไม่ว่าจะเป็น ASUS Tru2Life ที่เข้ามาช่วยเพิ่มรายละเอียดของเม็ดพิกเซลในการรับชมวิดีโอให้คมชัดมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังใส่ฟีเจอร์ Blue Light Reduction ที่เมื่อเปิดใช้งานจะลดแสงสีฟ้าลด 30%  และที่สำคัญคือถึงจะเปิดโหมด EyeCare ใช้งานแล้วก็จะไม่ทำให้การแสดงผลสีผิดเพี้ยนไป

ถัดมาในส่วนของดีไซน์ตัวเครื่อง VivoBook 14 ถือว่าให้ความสำคัญกับการออกแบบเครื่องให้เหมาะกับสรีระในการใช้งานของผู้ใช้ เนื่องจากเมื่อกางจอออกมาสุดที่ 135 องศา ตัวจอจะช่วยยกตัวเครื่องให้สูงขึ้นประมาณ 2 องศา เพื่อให้เหมาะกับการเป็น ErgoLift ในการพิมพ์คีย์บอร์ดใช้งาน

ส่วนของปุ่มคีย์บอร์ด ถือว่ามากับขนาดมาตรฐาน ที่ช่วยให้การพิมพ์ทำได้ถนัดเหมือนพิมพ์คีย์บอร์ดปกติ ด้วยระยะแป้นพิมพ์ที่ 1.3 มิลลิเมตร ทำให้ความรู้สึกในการกดแป้นตัวอักษรทำออกมาได้ดี

สำหรับพอร์ตการเชื่อมต่อรอบๆตัวเครื่อง VivoBook 14 ถือว่าให้มาครบทั้งพอร์ตยุคใหม่อย่าง USB 3.1 ทั้งแบบ Type A และ Type C และยังมี USB 2.0 มาเผื่อให้ใช้งานด้วย รวมถึงพอร์ต HDMI ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ช่องอ่านไมโครเอสดีการ์ด และพอร์ตล็อกเครื่อง

สเปกเหมาะกับการใช้งานแบบเริ่มต้น

ด้วยการที่ VivoBook 14 เลือกใช้งาน Intel Pentium Gold 4417U ที่เป็น Dual Core ให้ความเร็ว 2.3 GHz RAM 4 GB กราฟิกออนบอร์ด Intel HD 610 ดังนั้น จึงเหมาะกับการใช้งานทั่วๆไป อย่างใช้เล่นเน็ต ดูหนัง ทำงานเอกสารต่างๆ

ส่วนการที่ให้พื้นที่เก็บข้อมูลแบบ Dual Storage อย่าง SSD 128 GB มาพร้อมกับ HD 1 TB ก็จะช่วยเพิ่มความเร็วในการใช้งานระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 10 ให้รวดเร็วมากขึ้น และถ้าต้องการเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ก็สามารถเลือกเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ได้ด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพ

สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพของเครื่อง Asus VivoBook 14 จะทดสอบได้ในระดับเบื้องต้นเท่านั้น เพราะด้วยสเปกที่ให้มา เหมาะกับการใช้งานทั่วไปมากกว่า ไม่ได้เน้นการประมวลผลกราฟิกสูงๆ

โดยผลที่ออกมาก็ถือว่าอยู่ในระดับที่คาดหมายไว้ ถ้าเป็นการใช้งานทั่วไป ทำงาน เล่นเน็ต ใช้เพื่อความบันเทิง ถือว่าตอบโจทย์ได้ค่อนข้างครบถ้วนอยู่แล้ว ส่วนแบตเตอรี ก็จะขึ้นอยู่กับการใช้งาน ถ้าประมวลผลหนักๆ เวลาใช้งานก็จะลดลงแต่ก็อยู่ในระดับที่รับได้

สรุป

ถ้าใครกำลังมองหาโน้ตบุ๊กมาใช้งานทั่วๆไป ไม่ได้เน้นพกพาไปไหน เน้นใช้งานอยู่ภายในบ้าน หรือสถานที่ทำงาน และต้องการเครื่องที่ปลอดภัยจากการที่ตัวเครื่องทำงานบนวินโดวส์ 10 แท้ VivoBook 14 ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในเวลานี้

เพราะด้วยระดับราคาที่ 12,990 บาท นอกจากได้โน้ตบุ๊กมาใช้งานแล้ว ด้วยการที่มี HD มาให้ถึง 1TB เพิ่มเติมจาก SSD ไว้ใช้งานปกติ ก็สามารถนำมาเก็บข้อมูลจากสมาร์ทโฟนทั้งพวกรูปภาพ และวิดีโอได้ด้วย หรือถ้าต้องการใช้งานเพื่อความบันเทิงก็นำไปต่อกับจอทีวีดูซีรีส์ออนไลน์ได้อีกต่างหาก

Gallery

]]>
Review : Asus ZenBook Pro 15 โน้ตบุ๊กสเปกแรง กับแนวคิดเสริมจอ 2 ด้วย Screen Pad https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-zenbook-pro-15/ Mon, 15 Oct 2018 07:10:38 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29458

ตลาดโน้ตบุ๊กระดับโปร กลายเป็นหนึ่งในตลาดที่มีการเติบโตเนื่องมาจากมีกลุ่มผู้ใช้งานเฉพาะทาง ที่ต้องการเครื่องประสิทธิภาพสูง โดยไม่ได้กังวลในเรื่องของราคา แต่มองในแง่ของการตอบโจทย์การใช้งานมากกว่า รวมถึงกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นเกมมิ่งแล้วต้องการโน้ตบุ๊กที่สามารถใช้งานแทนเดสก์ท็อปได้

Asus ZenBook Pro จึงกลายเป็นรุ่นที่มีตลาดเฉพาะตัว และมีความน่าสนใจเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากสเปกเครื่องที่ผู้ผลิตแต่ละราย ถ้าต้องการก็ใส่กันมาได้อยู่แล้ว แต่เป็นการนำเสนอความต่างในแง่ของการใช้งานที่นอกเหนือขึ้นไป

Asus เคลมว่า ZenBook Pro 5 เป็นโน้ตบุ๊กรุ่นแรกที่สามารถแสดงผลได้พร้อมกัน 5 จอ ประกอบไปด้วยหน้าจอหลัก 15” หน้าจอที่ 2 ตรงทัชแพด 5.5” ส่วนจอที่ 3-5 จะใช้การเชื่อมต่อจากพอร์ต HDMI และ USB-C ที่ติดมากับเครื่อง ที่สำคัญคือสามารถจอที่ความละเอียด 4K และใช้งานได้อย่างลื่นไหล

ที่สำคัญราคาจำหน่ายของ ZenBook 15 Pro เริ่มต้นที่ 69,900 บาท สำหรับรุ่น Intel Core i7 8750H และ 89,990 บาท สำหรับรุ่น Intel Core i9 8950HK พร้อมกับระบุว่าถูกกว่า Macbook Pro เกือบ 3 เท่า ถ้าต้องการสเปกที่ใกล้เคียงกัน

ข้อดี

โน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูงในราคาไม่ถึง 1 แสนบาท

– Screen Pad ที่เป็นการเปลี่ยนพื้นที่ทัชแพดเป็นจอแสดงผล

พอร์ตเชื่อมต่อที่มีมาให้ครบครัน

จอแสดงผลหลักแบบทัชสกรีนรองรับ 4K บนมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับ

ระบบเสียง Harman Kardon

มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือให้เพื่อความปลอดภัย

ข้อสังเกต

ตัวเครื่องขนาดใหญ่ หนักเกือบๆ 2 กิโลกรัม (รวมที่ชาร์จ) ทำให้ไม่เหมาะกับการพกพา

– Screen Pad ยังมีแอปพลิเคชันรองรับน้อย เหมาะกับผู้ใช้งานเฉพาะกลุ่ม

ตัวเครื่องที่แรง ทำให้ใช้งานบนแบตเตอรีได้ราว 2 ชั่วโมง

ทำความรู้จัก ScreenPad ตัวช่วยใหม่ในการใช้งาน

ใน Asus ZenBook Pro 15 นิ้ว มีการเพิ่มฟีเจอร์อย่าง Screen Pad มาให้ใช้งาน และถือว่าเป็นการนำหน้าจอทัชสกรีนที่สามารถปรับการแสดงผลได้มาใช้งานแทนทัชแพดรุ่นแรกของโลกด้วย โดยจะเปลี่ยนจากการเป็นทัชแพดแบบเดิมๆ มาเป็นกระจกในการแสดงผลขนาด 5.5 นิ้วแทน

ในการใช้งาน Screen Pad ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม F6 เพื่อเลือกสลับโหมดในการใช้งานได้ว่า จะเปิดใช้งาน Screen Pad ที่เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันพิเสษ อย่าง Spotify เครื่องคิดเลข ปฏิทิน เครี่องเล่นเพลง หรือเปลี่ยนเป็นปุ่มกรอกตัวเลข

หรือจะเลือกใช้เป็นการขยายหน้าจอวินโดวส์ โดยการเพิ่ม Screen Pad ให้เป็นจอที่ 2 โดยสามารถเลือกเปิดโปรแกรมมาใช้งานเพื่อแสดงผลอะไรก็ได้ สุดท้ายก็คือเลือกปิดการแสดงผล และใช้งานเป็นทัชแพดตามปกติ

Screen Pad ถือเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ สำหรับกลุ่มครีเอเตอร์ ที่สามารถใช้จอที่ 2 มาช่วยแสดงผลแบบงาน หรือตัวอย่างให้สามารถทำงานบนหน้าจอหลักได้ โดยไม่ต้องสลับหน้าจอไปมา หรือใช้ในการควบคุมการเล่นมัลติมีเดียต่างๆ เพียงแต่ว่าด้วยการที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ ทำให้ต้องรอนักพัฒนานำความสามารถไปใช้กับโปรแกรมหลักๆ เพื่อให้ใช้งานได้มากขึ้น

ตัวเครื่อง ZenBook 15 Pro

ดีไซน์ของ ZenBook Pro 15 นิ้ว จะเน้นไปที่การใช้สีสัน และขอบเครื่องให้ดูหรูหราขึ้นเป็นหลัก ไม่ได้เน้นการออกแบบให้ดูเพรียวบาง เพราะเนื่องจากตัวเครื่องมากับหน่วยประมวผลระดับ Core i9 ทำให้ต้องมีการเว้นพื้นที่ให้ระบบระบายอากาศมาช่วย เพื่อให้เวลาใช้งานตัวเครื่องหนักๆแล้วไม่ร้อนด้วย

ขนาดตัวเครื่อของ ZenBook Pro 15 จะอยู่ที่ 36.5 x 24.1 x 1.89 เซนติเมตร น้ำหนัก 1.88 กิโลกรัม มีให้เลือกสีเดียวคือ Deep Dive Blue ที่เป็นสีน้ำเงินเข้ม ตัดกับขอบเครื่องสีทอง แต่อย่างไรก็ตาม ในการพกพาตัวเครื่องไปใช้งานก็ต้องพกคู่กับอะเดปเตอร์ชาร์จไฟขนาดใหญ่ไปด้วย เพราะตัวเครื่องค่อนข้างใช้ไฟเยอะ

เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาจะเจอกับหน้าจอขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด 4K UHD (3840 x 2160 พิกเซล) ในอัตราส่วน 16:9 โดยมีจุดเด่นอยู่ที่มีการปรับค่าสีในการแสดงผลให้อยู่บนมาตรฐาน Delta E < 2, 100% Adobe RGB ขณะที่สัดส่วนหน้าจอต่อขอบจอจะอยู่ที่ 83% โดยขนาดของขอบจอจะอยู่ที่ 7.3 มิลลิเมตรเท่านั้น และมีกล้องเว็บแคมให้ใช้งานอยู่ด้วย

ถัดลงมาเป็นคีย์บอร์ด ด้วยการที่ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ถึง 15 นิ้ว ดังนั้น ตัวคีย์บอร์ดที่ให้มาถือว่าเป็นขนาด Full Size พร้อมกับมีไฟแสดงผลใต้คีย์บอร์ดให้สามารถใช้งานในเวลากลางคืนได้ด้วย

ส่วนพอร์ตที่ให้มารอบตัวเครื่อง ไล่จากทางซ้ายประกอบไปด้วย ช่องต่ออะเดปเตอร์ไฟ พอร์ต HDMI และพอร์ต USB-C 2 พอร์ต ส่วนทางขวาเป็น พอร์ต USB 3.1 2 พอร์ต USB-C อีก 1 พอร์ต ช่องเสียบไมโครเอสดีการ์ด และช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม.

สเปกตัวเครื่อง ZenBook Pro 15 ที่ได้รับมาทดสอบจะเป็นรุ่น 8 Gen Intel Core i9 8950HK ที่เป็น Hexa Core (6 คอร์) ความเร็ว 2.9 GHz 12 MB Cache ให้ RAM มา 16 GB พร้อมกับกราฟิกการ์ด Nvidia GeForce GTX 1050i 4 GB และพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ SSD 512 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 10 โฮม ส่วนของการเชื่อมต่อ Asus ZenBook Pro 15 รองรับ WI-FI 5 หรือ 802.11ac พร้อมกับบลูทูธ 5.0

Gallery

เหมาะกับใครใช้งาน

ZenBook Pro 15 ถูกออกแบบมาให้กลายเป็นเวิร์คสเตชันเคลื่อนที่ เน้นการใช้งานโน้ตบุ๊กที่เน้นการประมวลผลเป็นหลัก ดังนั้น ถ้าใครที่ต้องใช้โน้ตบุ๊กเพื่อตัดต่อวิโอ ทำงานกราฟิก ออกแบบ 3มิติ เหล่านี้คือกลุ่มเป้าหมายหลักของเครื่องรุ่นนี้

แต่ในความเป็นจริง กลุ่มผู้ใช้ที่เป็นเกมเมอร์ และต้องการเครื่องแรงๆ ก็เป็นอีกกลุ่มที่เหมาะกับเครื่องรุ่นนี้ แม้ว่าระดับราคาเครื่องจะสูงขึ้นมาสักหน่อย แต่เมื่อแลกกันประสิทธิภาพที่ได้ก็ถือว่าคุ้มค่า แต่ถ้าคุณไม่ใช่กลุ่มเหล่านี้ เครื่อง ZenBook Pro 15 ก็จะเกินความจำเป็นในการใช้งานไป

ทดสอบประสิทธิภาพ

เมื่อเป็นเครื่องที่มากับหน่วยประมวลผลอย่าง Core i9 ที่ใส่กราฟิกการ์ด GTX 1050i มาให้ ความแรงของเครื่องก็อยู๋ในระดับน้องๆ คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปอยู่แล้ว โดยลองไปดูผลทดสอบกันว่า ZenBook Pro 15 ทำคะแนนได้เท่าไหร่จากโปรแกรมทดสอบกันบ้าง

]]>
Review : Asus Zenbook Flip S 2-1 โน้ตบุ๊กหรูสุดบางพับจอได้ 360 องศา https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-zenbook-flip-s/ Mon, 18 Dec 2017 07:04:30 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=27787

ถ้ามองไปในตลาดโน้ตบุ๊ก 2-1 เครื่องบาง เชื่อว่าชื่อของ Asus Zenbook จะกลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจเสมอ มาถึงในรุ่นล่าสุดอย่าง Asus Zenbook Filp S (UX370UA) ก็เช่นกัน จากความโดดเด่นในเรื่องของวัสดุที่ใช้ ความบาง และการหมุนหน้าจอใช้งานได้แบบ 360 องศา

ไม่นับรวมเรื่องของสเปกที่ใส่มาให้สุดแบบ Intel Core i7 RAM 8 GB และฮาร์ดดิสก์ที่เป็นแบบ SSD 512 GB แน่นอนว่า เมื่ออัดสเปกมาให้สูงแบบนี้ ราคาจำหน่ายก็สูงด้วยเช่นกัน จากค่าตัวที่ 63,900 บาท แลกกับโน้ตบุ๊ก 2-1 ขนาดบางที่สุดในเวลานี้

การออกแบบ

ตัวเครื่องของ Asus Zenbook Flip S UX370UA จะทำจากอะลูมิเนียมอัลลอย 6013 ซึ่งเป็นวัสดุเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบิน และอวกาศ ที่มาพร้อมลวดลายที่ขัดเป็นวงกลมเอกลักษณ์ของ Zenbook โดยมีขนาดเครื่องอยู่ที่ 313 x 218 x 10.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1.1 กิโลกรัม

เมื่อเปิดฝาพับขึ้นมาจะพบกับหน้าจอขนาด 13 นิ้ว ที่ใช้กระจก Corning Gorilla Glass ให้ความละเอียดระดับ Full HD (1920 x 1080 พิกเซล) โดยเมื่อเทียบกับสัดส่วนจอกับตัวเครื่องจะอยู่ที่ 80% ให้มุมมองกว้าง 178 องศา ขนาดของขอบจอ 6.11 มม.

โดยบริเวณส่วนบนหน้าจอจะมีกล้องที่ให้ความละเอียดระดับ VGA มาให้เท่านั้น ส่วนขอบล่างจะมีการสกรีน Asus Zenbook สีทอง ถัดลงมาก็จะเป็นบริเวณข้อต่อจอ ที่เอซุส ระบุว่าใช้บานพับ ErgoLift 360 องศา ที่ได้รับการทดสอบเปิดปิดกว่า 20,000 รอบ ก็ยังสามารถใช้งานได้เป็นอย่างดี

บริเวณคีย์บอร์ดที่ให้มาจะเป็นขนาด Full Size ทำให้ เพียงแต่ในบริเวณปุ่มแถบบนที่เป็นคีย์ลัด และ คำสั่งต่างๆจะมีขนาดเล็กลงราวครึ่งหนึ่งของปุ่มขนาดปกติ ซึ่งตัวคีย์บอร์ดจะมากับไฟ Back LED เพื่อช่วยให้ใช้งานเวลากลางคืนได้ด้วย

ส่วนบริเวณทัชแพดที่มีขนาดใหญ่ การตอบสนองทำได้ลื่นไหลดี รวมถึงการที่มีฟีเจอร์สั่งงานในรูปแบบต่างๆ ทำให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นบริเวณที่วางข้อมือ จะมีการติดสติกเกอร์ระบุหน่วยประมวลผลที่ใช้งานในฝั่งซ้าย ส่วนฝั่งขวาจะมีโลโก้ Harman Kardon ที่เป็นระบบเสียงของเครื่องนี้อยู่

พอร์ตที่ให้มารอบตัวเครื่องทางฝั่งซ้ายจะมีพอร์ต USB-C และช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. และรูพัดลมระบายอากาศ ส่วนทางฝั่งขวา จะมีตั้งแต่พอร์ต USB-C เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ปุ่มปรับระดับเสียง ปุ่มเปิดเครื่อง

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องนอกจากตัวเครื่องก็จะมีปากกา อะเดปเตอร์สำหรับแปลง USB-C มาเป็นพอร์ต USB 3.0 และ HDMI ให้ด้วย ส่วนอะเดปเตอร์ก็จะใช้ช่อง USB-C ในการชาร์จไฟ และยังมีเคสหนังมาให้ด้วย

สเปก

สำหรับสเปกของ Asus Zenbook Flip S UX370UA จะมากับหน่วยประมวลผล Intel Core i7-7500U 2.7GHz (up to 3.5GHz) 4MB cache กราฟิก Intel HD Graphics 620 RAM LPDDR3 8GB 2133MHz SSD 512 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro

ด้านการเชื่อมต่อรองรับ Wi-Fi มาตรฐาน 802.11ac บลูทูธ 4.1 USB-C 2 พอร์ต แบตเตอรีที่ให้มาเป็นแบบ 39Wh 2 เซลล์ หรือประมาณ 5,000 mAh ที่มากับระบบ Fast Charge สามารถชาร์จได้ 60% ใน 49 นาที

ฟีเจอร์เด่น

จุดเด่นหลักๆของ Asus Zenbook Flip S คือการเป็นโน้ตบุ๊กแบบบางเบา หน้าจอสัมผัสที่มากับระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro ดังนั้นในแง่ของการใช้งานต่างๆ จึงไม่ได้แตกต่างจากโน้ตบุ๊กรุ่นอื่นๆในตลาดมากนัก

โดยจะมีรูปแบบการแสดงผลระหว่างจอเดสก์ท็อปปกติ กับหน้าจอใช้งานแท็บเล็ต เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สั่งงานผ่านนิ้วได้สะดวกขึ้น ซึ่งก็เป็นตามปกติของ Windows 10 ที่รองรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบมากขึ้น

จะมีก็เพียงในเรื่องของการที่ตัวเครื่องจะมีปากกามาให้ด้วย ทำให้นอกจากการสั่งงานรูปแบบเดิมคือผ่านคีย์บอร์ด ทัชแพด และการสัมผัสหน้าจอแล้ว ยังสามารถใช้งาน Asus Pen ที่มีมาให้ในกล่องใช้งานควบคู่กันได้ ซึ่งจะเหมาะกับผู้ที่ต้องการจดบันทึก วาดรูป หรือร่างแบบต่างๆได้

อีกส่วนที่น่าสนใจคือเรื่องของระบบรักษาความปลอดภัย ที่เมื่อทำงานร่วมกับ Windows Hello ทำให้นอกจากการปลดล็อกเครื่องจากการใส่รหัส ยังสามารถใช้กล้องเว็บแคมในการปลดล็อก หรือใช้เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ที่ข้างเครื่องก็สามารถปลดล็อกเครื่องได้

ส่วนที่เหลือ Asus ก็จะมีซอฟต์แวร์มาช่วยบริหารจัดการอย่างแบตเตอรี ที่มี Asus Battery Health Charging มาให้ คือผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะให้เครื่องทำการชาร์จแบตเตอรีแบบเต็มประจุตลอดเวลา หรือจะเลือกยืดอายุการใช้งานแบตเตอรีด้วยการจำกัดการชาร์จไว้ที่ 60% เพื่อให้อายุแบตเตอรีนานขึ้น

รวมถึง Asus Installation Wizard ที่จะมาทำหน้าที่ในการหาไดร์ฟเวอร์ตัวเครื่อง หรือซอฟต์แวร์ต่างๆ เพื่อให้การใช้งานเครื่องได้ลื่นไหลมากที่สุด

ไม่นับรวมกับการเลือกโหมดใช้งานของ Asus Splendid Technology ที่มีให้เลือกทั้งโหมดปกติ โหมดถนอมสายตา เร่งสี หรือจะเลือกปรับโทนสีตามที่ต้องการก็ได้

นอกจากนี้ ในกรณีเริ่มใช้งานเครื่องครั้งแรก Asus จะมีฟีเจอร์มาช่วยในการ Pre Install โปรแกรมแบบอัตโนมัติ โดยผู้ใช้สามารถเลือกติดตั้งโปรแกรมที่ต้องการใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำงาน โปรแกรมบีบอัดไฟล์ โปรแกรมแชทต่างๆ

ทดสอบประสิทธิภาพ

PCMark 10 = 2,978 คะแนน
PCMark 10 Express = 2,890 คะแนน
PCMark 10 Extended = 1,644 คะแนน

PCmark 8 Home Conventional = 2,453 คะแนน
PCmark 8 Home Accelerated = 3,579 คะแนน
PCmark 8 Creative Conventional = 2,914 คะแนน
PCmark 8 Creative Accelerated = 4,604 คะแนน
PCmark 8 Work Conventional = 3,357 คะแนน
PCmark 8 Work Accelerated = 4,722 คะแนน

3D mark
Fire Strike Ultra 233 คะแนน
Fire Strike Extreme 411 คะแนน
Fire Strike 965 คะแนน
Sky Driver 4,218 คะแนน
Cloud Gate 6,563 คะแนน
Time Sky 304 คะแนน
Ice Storm Unlimited 73,435 คะแนน
Ice Storm Extreme 48,720 คะแนน
Ice Storm 64,660 คะแนน

Geekbench 4 / Single-core = 4,301 คะแนน, Multi-core = 8,433 คะแนน Open CL 20,212 คะแนน

ในส่วนของระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี ถือว่า Asus Zenbook Flip S ทำได้เหนือกว่าที่คาดไว้ เมื่อลองใช้งานยาวๆ 5-6 ชั่วโมงต่อเนื่องก็ยังใช้งานได้อยู่ ดังนั้นถือว่าเป็นเครื่องที่น่าสนใจ เหมาะกับการพกไปใช้งานได้ตลอดวัน

สรุป

ถ้าไม่นับเรื่องราคาของ Asus Zenbook Flip S ที่อยู่ 63,900 บาท ที่ดูแล้วค่อนข้างสูง ก็จะเป็นโน้ตบุ๊กวินโดวส์ ที่มากับ 2-1 รุ่นหนึ่งที่น่าสนใจ ทั้งในแง่ของดีไซน์ การออกแบบ การที่หมุนหน้าจอได้ 360 องศา รองรับการใช้งานปากกา และประสิทธิภาพตัวเครื่องที่เพียงพอกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน

แน่นอนว่าด้วยกลุ่มเป้าหมายของเครื่องรุ่นนี้ จะเน้นที่กลุ่มวัยรุ่นที่มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต หรือกลุ่มนักธุรกิจที่ต้องการโน้ตบุ๊กซึ่งมาตอบโจทย์ทั้งการใช้งาน และในชีวิตประจำวัน ดังนั้น ใครที่มองหาโน้ตบุ๊กเครื่องบาง สเปกแรงชือของซีรีส์ Zenbook ก็ยังเป็นรุ่นที่น่าสนใจ

ข้อดี

ดีไซน์ตัวเครื่องที่บาง และเบา

รองรับการใช้งาน Windows Hello ทั้งสแกนลายนิ้วมือ และการใช้ใบหน้าปลดล็อก

เแม้ว่าจะเปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C ทั้งหมด แต่การที่แถมอเดปเตอร์แปลงมาให้ทำให้ผู้ใช้สะดวกไม่น้อย

หน้าจอรองรับการใช้งานระบบสัมผัส รวมถึงปากกา

ข้อสังเกต

หน้าจอที่ให้มายังเป็นความละเอียด Full HD เท่านั้น

แบตเตอรีที่ใช้ได้ 5-6 ชั่วโมง น่าจะใช้งานได้ยาวกว่านี้

Gallery

]]>
Review : ASUS ZenBook 3 Deluxe แมคบุ๊กสายวินโดวส์ https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-zenbook3-deluxe/ Thu, 13 Jul 2017 04:09:02 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=26594

ASUS (เอซุส) ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ออกแบบโน้ตบุ๊กได้ลงตัวและสวยงาม โดยเฉพาะกลุ่ม ZenBook ที่เน้นเรื่องความบางเบาและหรูหราเป็นพิเศษ โดยในวันนี้ ZenBook เดินทางมาถึงรุ่นที่ 3 กับการปรับเปลี่ยนดีไซน์และสเปกภายในให้ลงตัวมากกว่าเดิม โดยรุ่นที่ทีมงานไซเบอร์บิซได้รับมารีวิวในวันนี้จะเป็นตัวท็อปสุดในกลุ่มกับ “ASUS ZenBook 3 Deluxe”

การออกแบบ

ทั้ง ASUS ZenBook 3 และรุ่น Deluxe จะถูกออกแบบใหม่โดยเน้นเส้นสายสีทองและตัวเครื่องลูมิเนียมแบบ Unibody คือผลิตจากโลหะขึ้นรูปชิ้นเดียว พร้อมความบางเพียง 12.9 นิ้ว น้ำหนัก 1.1 กิโลกรัมเท่านั้น 

ด้านจอภาพสำหรับรุ่น Deluxe ที่ทีมงานนำมารีวิวจะเป็นจอ LED ขนาด 14 นิ้ว (1080p) ที่มีความพิเศษคือเป็นจอที่มาพร้อมเทคโนโลยี ASUS Eye Care ตัดแสงสีฟ้า 30% และมี Contrast Ratio (ค่าสีดำที่ดำสนิทที่สุดและสีขาวที่ขาวสุด ค่ายิ่งมากภาพจะมีมิติขึ้น) สูงถึง 1,000:1

ประกบทับด้วยกระจกจอ Corning Gorilla Glass 5 ความหนา 0.55 มิลลิเมตรเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของหน้าจอ

อีกทั้งหน้าจอขนาด 14 นิ้วยังถูกออกแบบให้ใช้งานเต็มพื้นที่ตัวเครื่อง เพราะเอซุสต้องการคงขนาดโน้ตบุ๊ก 13 นิ้วไว้ ซึ่งถือเป็น Compact Design เหมาะสมสำหรับการพกพามากที่สุดในตอนนี้

ขยับลงมาดูส่วนคีย์บอร์ดและทัชแพด เริ่มจากคีย์บอร์ดเป็นขนาด Full-size ระยะกด 1.2 มิลลิเมตร เหนือแป้นคีย์บอร์ดเป็นที่อยู่ของลำโพงสเตอริโอ 2 ตัว จากทั้งหมด 4 ตัว ออกแบบโดย Harman Kardon ด้วยเทคโนโลยีเสียง ASUS SonicMaster Premium

ถัดลงมาในส่วนทัชแพดด้านล่าง ถูกครอบทับด้วยกระจก ส่วนสเปกเป็นมัลติทัช รองรับ Smart gestures ได้สูงสุด 4 นิ้วมือ รองรับการขีดเขียนตัวอักษร (Handwriting) และที่สำคัญมาพร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเพื่อใช้งานร่วมกับ Windows Hello ใน Windows 10

ด้านใต้เครื่องจะเป็นที่อยู่ของลำโพงอีก 2 ตัว ส่วนภายในตัวเครื่องจะเห็นว่า ZenBook 3 มีพัดลมระบายความร้อนเพียงตัวเดียว รวมถึงเมนบอร์ดก็ถูกลดขนาดลง ซึ่งเป็นผลมาจากหน่วยประมวลผลตระกูล Kaby Lake 14 นาโนเมตร

มาถึงช่องเชื่อมต่อรอบตัวเครื่อง เริ่มจากด้านขวาตัวเครื่องจะเป็นที่อยู่ของไฟสถานะการทำงานและชาร์จไฟ ถัดมาเป็นพอร์ต USB-C (รองรับ Thunderbolt 3 – 40Gbps/USB 3.1 Gen 2) แบบเดียวกับพอร์ตเชื่อมต่อบน MacBook Pro ใหม่

ด้านซ้าย เป็นช่องเชื่อมต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร และ USB-C (Version 3.1 Gen 1)

ส่วนการชาร์จไฟจะทำผ่านอะแดปเตอร์ USB-C (Output: 19V DC, A, 65W) โดยผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกับพอร์ต USB-C พอร์ตใดก็ได้ รอบตัวเครื่อง

และสำหรับคนที่กำลังกังวลว่าจะสามารถเชื่อมต่อแฟลชไดร์ฟหรืออุปกรณ์เสริมที่เป็นพอร์ต USB-A ในปัจจุบันได้หรือไม่ ในแพกเกจจะมีการแถมอะแดปเตอร์ USB-A to USB-C มาให้จำนวน 1 ตัว และอะแดปเตอร์ HDMI to USB-C อีก 1 ตัว อีกทั้งทางเอซุสยังได้แถมกระเป๋า ซองผ้าและผ้าเช็ดโน้ตบุ๊กมาในแพกเกจสมราคาครึ่งแสนเลยทีเดียว

สเปก

ในส่วนสเปกเครื่อง ASUS ZenBook 3 Deluxe รุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบเป็นโมเดล UX490UA มาพร้อมซีพียู Intel Core i7-7500U Dual-Core ความเร็ว 2.7GHz รองรับ Turbo Boost ได้สูงสุด 3.5GHz พร้อมกราฟิกออนชิป Intel HD Graphics 620 (รองรับการแสดงผล 4K)

ด้านกล้อง Web cam ความละเอียดระดับ VGA 640×480 พิกเซล

ในส่วนแรมเป็น LPDDR3 2,133MHz แบบติดกับเมนบอร์ด (อัปเกรดไม่ได้) จำนวน 16GB หน่วยเก็บข้อมูลในรุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบจะเป็นแบบ PCIe 3.0 ความจุ 512GB (เร็วกว่า SSD 3 เท่า)

สุดท้ายสำหรับสเปกการเชื่อมต่อเครือข่าย WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11ac Dual-band มีบลูทูธ 4.1 และมาพร้อมวินโดวส์ 10 Pro

ฟีเจอร์เด่น

Fast Charging ความจริงแล้วอะแดปเตอร์ชาร์จไฟที่ให้มากับ ZennBook 3 Deluxe จะรองรับการจ่ายไฟได้ถึง 4 รูปแบบได้แก่ 5V – 3A / 9V – 3A / 15V – 3A และ 20V – 3.25A ทำให้อะแดปเตอร์ตัวนี้สามารถชาร์จไฟได้ตั้งแต่สมาร์ทโฟน (ทีมงานทดสอบแล้วสามารถชาร์จแบบ Quick Charge ได้ด้วย – แต่เอซุสได้แนะนำเพราะอาจเกิดความเสียหายได้ภายหลัง) ไปถึงโน้ตบุ๊ก

โดยการชาร์จไฟด้วยอะแดปเตอร์รุ่นนี้ใน ZenBook 3 จะรองรับระบบ Fast Charging สามารถชาร์จไฟ 60% ได้ด้วยเวลาเพียง 50 นาที อีกทั้งผู้ใช้ยังสามารถตั้งค่าการชาร์จไฟได้ด้วยตัวเองผ่านซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งมากับตัวเครื่องด้วย

มาดูเรื่องดีลพิเศษสำหรับผู้เป็นลูกค้า ZenBook 3 ได้แก่ 1.Adobe Acrobat Pro DC สำหรับงานเอกสาร PDF จะได้ส่วนลดเมื่อเลือกซื้อซอฟต์แวร์ 13% 2.Adobe Premiere Pro CC รุ่นล่าสุด ได้ส่วนลด 20% และสุดท้ายดีล Dropbox ฟรีสำหรับทุกคน เพียงใช้งาน Dropbox บน ZenBook 3 จะได้พื้นที่เก็บข้อมูลเพิ่มอีก 25GB ฟรีเป็นเวลา 1 ปี

ทดสอบประสิทธิภาพ

ทีมงานเลือกใช้ซอฟต์แวร์ทดสอบ 3 ตัวด้วยกันได้แก่ PCMark 10, Cinebench R15 และ Geekbench 4 ซึ่งผลคะแนนก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีโดยเฉพาะในส่วนการประมวลผล ตัวเครื่องให้สเปกมาค่อนข้างไฮเอนด์ แม้ซีพียูจะอยู่ในระดับเน้นประหยัดพลังงาน แต่การใช้งานตัดต่อวิดีโอ 4K ตกแต่งภาพและอื่นๆสามารถทำงานได้ไหลลื่น ส่วนหนึ่งมาจากแรมที่ให้มามากถึง 16GB และหน่วยเก็บข้อมูลที่ทำงานได้รวดเร็วมาก ถือเป็นโน้ตบุ๊กในรูปแบบอัลตร้าบุ๊กที่รองรับงานระดับบนได้อย่างดี

อีกส่วนที่ ZenBook 3 Deluxe ทำได้ดีไม่แพ้ส่วนอื่นก็คือเรื่องแบตเตอรีและระบบจัดการพลังงานภายในที่ทำได้ใกล้เคียง MacBook ของแอปเปิลอย่างมาก ตัวเครื่องสามารถใช้งานทั่วไปได้ 6-8 ชั่วโมง (พิมพ์งาน เชื่อมต่อ WiFi และมีตกแต่งภาพสลับบ้างตลอดระยะทดสอบ)

ส่วนในเรื่องความร้อน การใช้งานปกติไม่พบอาการเครื่องร้อนแต่อย่างใด แต่เมื่อเครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพ 100% ความร้อนถือว่าค่อนข้างสูง โดยเฉพาะใต้เครื่องถ้าใช้งานแบบโหลด 100% ตลอดทั้งวัน ผู้ใช้จะไม่สามารถวางบนตักได้เลยเพราะร้อนมาก แต่ก็ต้องยอมรับเวลาคายความร้อน ด้วยการที่ตัวเครื่องใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียมทั้งหมด ความร้อนจะคายผ่านฝาอลูมิเนียมอย่างรวดเร็วเช่นกัน

สรุป

สำหรับราคาขาย ASUS ZenBook 3 Deluxe (UX490UA) จะอยู่ที่ 69,990 บาท ส่วน ZenBook 3 (UX390UA) ราคาอยู่ที่ 54,990 บาท ก็เป็นไปตามที่ทีมงานจั่วหัวไว้ “แมคบุ๊กสายวินโดวส์” เรียกได้ว่าตั้งราคาและประสิทธิภาพมาชนกับ MacBook/MacBook Pro ของแอปเปิลเลย (แต่ ZenBook 3 Deluxe จะมีสเปกค่อนข้างสูงกว่า ในรุ่นราคาระดับเดียวกัน)

โดยในส่วนประสิทธิภาพ ภาพรวมทั้งหมดเท่าที่ทีมงานทดสอบมา 2 อาทิตย์ถือว่า ZenBook 3 Deluxe ทำได้ดี ใช้ไปสักพักจะรู้สึกว่าได้อารมณ์ของ MacBook ผสม MacBook Pro ในคราบ Microsoft Windows มาก ไม่ว่าจะพิมพ์งาน ติดตัวไปประชุม พรีเซนต์งานไปถึงใช้งานตัดต่อวิดีโอแบบหนักหน่วงทุกอย่างสามารถทำได้ใน ZenBook 3 Deluxe (ยกเว้นเล่นเกม สามารถทำได้แต่ไม่แนะนำ) โดยเฉพาะน้ำหนักและขนาดที่ออกแบบมาได้ดี ไม่เป็นปัญหาในการพกพา เดินทางตลอดทั้งวันแน่นอน

ข้อดี

– การออกแบบยอดเยี่ยม หน้าจอสีสวย
– สเปกดี ใช้งานได้ตั้งแต่พิมพ์งาน พรีเซนต์งานไปถึงตัดต่อวิดีโอ
– แบตเตอรีและการจัดการพลังงานภายในทำได้ค่อนข้างดี
– ลำโพงเสียงดี
– มีระบบชาร์จไฟเร็ว

ข้อสังเกต

– ทำงานเต็ม 100% ตัวเครื่องค่อนข้างร้อนมาก
– กล้อง Web Cam ความละเอียดแค่ VGA
– พอร์ตเชื่อมต่อเป็น USB-C ทั้งหมด

Gallery

]]>