Microsoft – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Fri, 02 Jul 2021 03:12:42 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Microsoft Surface Laptop 4 คีย์บอร์ดพิมพ์สนุก เพิ่มตัวเลือกซีพียู https://cyberbiz.mgronline.com/review-microsoft-surface-laptop-4/ Wed, 30 Jun 2021 08:06:53 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35468

ไมโครซอฟท์ ยังคงรักษามาตรฐานของการออกผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ปรับแต่งให้เหมาะกับลักษณะการใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows 10 ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้ที่ต้องการใช้งานโน้ตบุ๊กเพื่อทำงาน พกพาไปไหนมาไหนได้ง่าย และที่สำคัญคือประสิทธิภาพในการประมวลผลต้องสูงด้วย

Surface Laptop 4 ถือเป็นโน้ตบุ๊กในฟอร์มเฟคเตอร์ปกติรุ่นล่าสุดของ ไมโครซอฟท์ ที่นำเสนอมาในปีนี้ได้อย่างน่าสนใจ ทั้งการเปลี่ยนแปลงคีย์บอร์ดให้พิมพ์ได้สนุกขึ้น เปิดทางเลือกรุ่นซีพียูให้มีทั้ง Intel และ AMD บนขนาดหน้าจอทั้ง 13.5 นิ้ว และ 15 นิ้ว ให้เลือก

แน่นอนว่า ระบบปฏิบัติการ Windows 10 ที่ติดตั้งมาให้บน Surface Laptop 4 นั้น เพียงพอกับการใช้งานในปัจจุบันแล้ว แต่เมื่อ Windows 11 เปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปใช้งาน Surface Laptop 4 จะรองรับการอัปเกรด และเพิ่มประสบการณ์ใช้งานที่ดีขึ้นให้แก่ผู้ใช้ด้วย

ข้อดี

  • จอ PixelSense 13.5 นิ้ว สัดส่วน 3:2 รองรับการสัมผัส และใช้งานปากกาได้
  • ตัวเครื่องบาง 14.5 มม. น้ำหนัก 1.2 กิโลกรัม
  • คีย์บอร์ดที่มาพร้อมที่รองฝ่ามือหุ้ม Alcantara ช่วยให้พิมพ์ได้สนุกขึ้น
  • แบตเตอรี ใช้งานได้ต่อเนื่องทั้งวัน

ข้อสังเกต

  • อะเดปเตอร์ชาร์จยังเป็นพอร์ตเฉพาะของ Surface เช่นเดิม (แม้จะชาร์จจาก USB-C ได้แล้วก็ตาม
  • พอร์ตเชื่อมต่อไม่ครบ มีเพียง USB-C USB Type-A และ 3.5 มม. เท่านั้น
  • กล้องเว็บแคมความละเอียด 720p

ราคาเริ่มต้น เข้าถึงง่ายขึ้น

หนึ่งในความน่าสนใจของ Surface Laptop 4 คือการเพิ่มทางเลือกซีพียูมาให้ผู้ใช้งานอย่าง AMD Ryzen จากเดิมที่จะมีให้เลือกเฉพาะซีพียูจาก Intel เท่านั้น และนั่นทำให้ราคาเริ่มต้นของ Surface Laptop โน้ตบุ๊กที่ดีที่สุดของไมโครซอฟท์ราคาเข้าถึงได้ง่ายขึ้นด้วย

สำหรับรุ่นเริ่มต้นของ Surface Laptop 4 ขนาดจอ 13.5” มากับชิปเซ็ต AMD Ryzen 5 4680U RAM 8 GB SSD 256 GB ในราคา 35,999 บาท หรือจะเพิ่ม RAM เป็น 16 GB SSD 256 GB จะอยู่ที่ 42,999 บาท

ส่วนชิปเซ็ต 11 Gen Intel Core i5 1145G7 RAM 8 GB SSD 512 GB จะเริ่มต้นที่ 44,999 บาท โดยสามารถปรับสเปกไปได้ถึง Intel Core i7 1185G& RAM 16 GB SSD 512 GB ในราคา 57,999 บาท

จะเห็นได้ว่าจากราคาเริ่มต้นของ Surface Laptop 4 ในช่วง 35,999 บาท แต่ได้โน้ตบุ๊กหน้าจอสัมผัส ที่รองรับการพกพาไปใช้งานได้ทุกที่ถือเป็นตัวเริ่มต้นที่น่าสนใจ แต่ถ้าใครที่ต้องการใช้งานยาวๆ อาจจะต้องมองตัวเลือกเป็นรุ่นที่มี SSD 512 GB แทน เพราะ 256 GB อาจจะไม่เพียงพอกับการเก็บข้อมูลในระยะยาว

ดีไซน์เดิม ปรับปรุงภายในให้ดีขึ้น

Surface Laptop 4 ยังคงลักษณะการออกแบบไม่แตกต่างจาก Surface Laptop 3 จนเรียกว่าเป็นไมเนอร์เชนจ์ของรุ่นก็ว่าได้ เพราะตัวเครื่องจะเน้นที่การอัปเดตสเปกภายในเป็นหลัก โดยขนาดของเครื่องจะอยู่ที่ 308 x 223 x 14.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1.26 กิโลกรัม

ตัวเครื่องมีให้เลือกด้วยกัน 2 สีคือ สีเงินแพลตตินัม ที่จะมากับวัสดุหุ้ม Alcantara และสีดำด้านที่เป็นโลหะตามปกติ ซึ่งในรุ่นสีดำจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 1.28 กิโลกรัม ซึ่งจะให้โทนสี และภาพลักษณ์ในการใช้งานที่แตกต่างกันไป

การออกแบบของ Surface Laptop 4 ยังคงเน้นที่ความเป็นมินิมอลเช่นเดิม โดยมีสัญลักษณ์ของ Windows สะท้อนแสงติดอยู่ตรงกึ่งกลางด้านนอกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เมื่อเปิดตัวเครื่องขึ้นมาจะพบกับจอสัมผัส PixelSense ขนาด 13.5 นิ้ว ความละเอียด 2256 x 1504 พิกเซล 201 ppi ในสัดส่วน 3:2 ซึ่งช่วยให้แสดงผลคอนเทนต์สำหรับการท่องเว็บ หรือทำงานเอกสารได้ดีขึ้น แต่จะไม่เหมาะกับการรับชมภาพยนต์เท่าไหร่ เนื่องจากจะเหลือขอบสีดำด้านบนและล่างเพิ่มขึ้นด้วย

ที่น่าเสียดายอีกอย่างก็คือเรื่องของขอบจอที่ Surface Laptop 4 ยังมีขอบจอที่ค่อนข้างหนา เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ในท้องตลาดอย่างเอซุส เดลล์ หรือเอชพี ที่นำเสนอตัวเครื่องขนาด 14 นิ้ว ในฟอร์มเฟคเตอร์ขนาด 13 นิ้ว ได้อย่างน่าสนใจ

บริเวณขอบบนยังคงเป็นที่อยู่ของกล้องเว็บแคมความละเอียด 720p ซึ่งถือว่าน้อยไปหน่อยสำหรับยุคปัจจุบันที่การใช้งานวิดีโอคอลล์มีความจำเป็นมากยิ่งขึ้น ที่ดีก็คือยังมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ IR ที่ทำงานร่วมกับ Windows Hello ในการปลดล็อกด้วยใบหน้าได้อยู่

จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของ Surface Laptop 4 เท่าที่ทดสอบใช้งานมาคือ ความนิ่มของคีย์บอร์ด ทั้งในแง่ของแป้นคีย์บอร์ดที่รับสัมผัส ทำให้พิมพ์ได้สนุก มีปุ่มลัดสำหรับการสั่งงานต่างๆ ครบถ้วน จะมีจุดที่น่าเสียดายคือย้ายปุ่มลัดอย่าง Home End PageUp PageDown ไปไว้บริเวณแถบบนแทน ทำให้เวลาใช้งานอาจจะต้องปรับตัวเล็กน้อย

ส่วนปุ่มเปิดเครื่องก็ถูกขยับเข้ามาไม่ได้อยู่ที่มุมขวาบน แต่เป็นที่อยู่ของปุ่ม Delete แทน ช่วยให้เวลากดใช้งานทำได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าจะไปสัมผัสโดนปุ่มปิดเครื่องแทน แทร็กแพดของ Surface Laptop 4 ที่ให้มาใหญ่สะใจ รองรับการใช้งานได้ลื่นไหล

อีกจุดที่นุ่มก็คือการที่ Surface Laptop 4 มีการหุ้มหนังสังเคราะห์อย่าง Alcantara มาให้บริเวณตัวเครื่องด้านใน ทำให้สัมผัสของข้อมือระหว่างการพิมพ์นุ่มสบายกว่าโน้ตบุ๊กที่ใช้โลหะ หรือพลาสติกอื่นๆ แต่ก็แลกมากับการดูแลรักษาที่เพิ่มขึ้น โดยทางไมโครซอฟท์ แนะนำให้สามารถนำผ้าชุบสบู่เหลวอ่อนๆ มาถูกทำความสะอาดได้

ในส่วนของพอร์ตเชื่อมต่อ Surface Laptop 4 ถือว่าให้มาค่อนข้างจำกัด โดยทางฝั่งซ้ายจะมีเพียงช่องเสียบ USB Type A และ USB-C พร้อมกับช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. เท่านั้น ไม่รองรับการเชื่อมต่อ Thunderbolt ด้วย

ส่วนทางขวามีพอร์ต Surface Connect ไว้เสียบชาร์จตัวเครื่อง โดยที่บริเวณอะเดปเตอร์จะมีพอร์ต USB Type A เพิ่มมาให้ใช้งานอีก 1 ช่อง ความจุของแบตเตอรีจะอยู่ที่ 47.4 Whr ที่ไมโครซอฟท์ระบุว่าใช้งานได้ต่อเนื่อง 17-19 ชั่วโมง

สเปก และทดสอบประสิทธิภาพ

ในส่วนของสเปก Surface Laptop ที่ได้รับมาทดสอบจะเป็นรุ่น 11 Gen Intel Core i5 RAM 8 GB SSD 256 GB มาพร้อมกราฟิก Intel IrisXe ส่วนถ้าเป็นรุ่น AMD Ryzen ก็จะมาพร้อมกับ AMD Radeon แบบออนบอร์ดให้ใช้งาน

โดยเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ AMD Ryzen สามารถใช้งานบนแบตเตอรีได้ยาวนานกว่ารุ่นของ Intel คือการที่ปัจจุบัน AMD พัฒนาชิปเซ็ตบนสถาปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร ที่ประหยัดพลังงานมากกว่า ในขณะที่ Intel ยังอยู่บนสถาปัตยกรรมแบบ 10 นาโนเมตร

สำหรับการใช้งาน Surface Laptop 4 ต้องยอมรับว่า ถือเป็นแล็ปท็อปเพื่อการทำงาน และความบันเทิงที่ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการใช้งานทั่วๆ ไป ทำงานเอกสาร ทำรูปภาพบ้าง แต่จะไม่หนักไปจนถึงการตัดต่อวิดีโอ หรือเล่นเกมความละเอียดสูงๆ เนื่องจากไม่มีการ์ดจอแยกมาช่วยประมวลผล

ส่วนในแง่ของความบันเทิง เรียกได้ว่าให้มาครบถ้วนจากหน้าจอขนาดใหญ่ 13.5 นิ้ว ที่ให้ความละเอียดสูง สีสันสมจริง แบตเตอรีที่ใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนาน ทีมงานลองใช้งานทั่วๆ ไปอยู่ที่ราว 11 ชั่วโมง แต่ถ้าใช้งานหนักๆ อย่างเล่นเกม จะเหลือประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง

สรุป

Microsoft Surface Laptop 4 ยังคงรักษาการเป็นโน้ตบุ๊กที่ดีที่สุดของไมโครซอฟท์ได้อย่างน่าสนใจ และนำเสนอเทคโนโลยีต่างๆ ของ Windows 10 ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของ Windows Hello ควบคู่กับชิปความปลอดภัย TPM2.0 ที่มาช่วยเข้ารหัสข้อมูล

ทำให้ Surface Laptop 4 เหมาะที่จะเป็นทั้งโน้ตบุ๊กสำหรับคอนซูเมอร์ และใช้งานในองค์กรธุรกิจ จะติดก็เรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อที่ให้มาค่อนข้างจำกัด อาจจะต้องพกอะเดปเตอร์เพิ่มเติมในการใช้งาน

ที่น่าสนใจคือ Surface Laptop 4 รองรับการอัปเกรดเป็น Windows 11 ใช้งานในอนาคตอย่างแน่นอนอยู่แล้ว เมื่อมีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ของ Windows ใหม่ให้ใช้งานสัมผัสจากหน้าจอได้สะดวกขึ้น Surface Laptop 4 จะเพิ่มความน่าใช้งานเข้าไปอีก

Gallery

]]>
Review : Microsoft Surface Pro X โน้ตบุ๊ก 2-1 พร้อมใช้ LTE บน TrueMove H https://cyberbiz.mgronline.com/review-microsoft-surface-pro-x/ Tue, 10 Nov 2020 07:01:48 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34118

ในช่วงที่องค์กรธุรกิจกำลังมองหาโน้ตบุ๊กพกพาง่าย เหมาะกับการใช้ทำงาน เพราะเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก ทำให้ทรูบิสสิเนส เข้าไปร่วมกับทาง Microsoft เป็นผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนามรายแรกในไทย เริ่มนำ Microsoft Surface สำหรับลูกค้าธุรกิจเข้ามาเริ่มทำตลาด

จุดต่างของ Surface สำหรับลูกค้าธุรกิจคือมากับ Windows 10 Pro ทำให้มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีกว่า Windows 10 Home ของผู้ใช้งานทั่วไป และมีบริการเสริมสำหรับการใช้งานธุรกิจเพิ่มเติมอย่างประกันตัวเครื่อง บริการซ่อม และให้คำปรึกษาในการใช้งานต่างๆ

ประกอบกับ Microsoft Surface Pro X ถือเป็น Surface สำหรับผู้ใช้งานมืออาชีพที่หันมาใช้หน่วยประมวลผล Microsoft SQ1 / SQ2 บนสถาปัตยกรรมแบบ ARM ที่ไมโครซอฟท์ เข้าไปร่วมพัฒนากับ Qualcomm มาพร้อมโมเด็มทำให้สามารถเชื่อมต่อ LTE ได้ทันที

ข้อดี

  • ดีไซน์เรียบหรู เหมาะกับพกพาใช้งาน
  • รองรับการเชื่อมต่อ LTE
  • คีย์บอร์ดพิมพ์สนุกมือ ใช้งานง่าย

ข้อสังเกต

  • ข้อจำกัดในการใช้งานบางโปรแกรม
  • แบตเตอรี เวลาประมวลผลหนักๆ จะหมดค่อนข้างเร็ว
  • พอร์ตเชื่อมต่อค่อนข้างจำกัด (USB-C 2 พอร์ต)

เน้นพกพาใช้งานได้ทุกที่

Microsoft Surface Pro X ถือเป็นซีรีส์ใหม่ในตระกูล Surface ของไมโครซอฟท์ ที่ต้องการควบคุมประสบการณ์ใช้งานแก่ผู้ใช้ให้ดีที่สุด ด้วยการเข้าไปร่วมกับทางผู้ผลิตชิปเซ็ตอย่าง Qualcomm ร่วมกันผลิตชิปเซ็ต Microsoft SQ1 ขึ้นมาใช้งาน

โดย Microsoft SQ1 เป็นหน่วยประมวลผลที่พัฒนาขึ้นบนสถาปัตยกรรมแบบ ARM ทำให้สามารถประหยัดพลังงานได้มากขึ้น และสามารถฝังโมเด็มเข้าไปเพื่อให้ตัวเครื่องสามารถใส่ซิมการ์ดเข้าไป ใช้งาน 4G LTE ได้ทันที ไม่ต้องพึ่งพาเครือข่าย Wi-Fi เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากระบบปฏิบัติการ Windows นั้นแรกเริ่มเดิมทีพัฒนาขึ้นมาใช้งานกับหน่วยประมวลผลบนสถาปัตยกรรมแบบ x86 (32 บิต) และ x64 (64 บิต) ทำให้เมื่อเปลี่ยนมาใช้งาน ARM โปรแกรมหลายๆ อย่างที่พัฒนาขึ้นบน สถาปัตยกรรมแบบเดิม จะยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์

ยกเว้นโปรแกรมหลักๆ จาก Microsoft ที่มีการพัฒนาเพิ่มเติมให้สามารถทำงานบน ARM ได้สมบูรณ์แบบแล้ว โดยเฉพาะ Microsoft Office ที่มีความโดดเด่นในแง่ของการทำงานทั้ง Microsoft Word PowerPoint Excel รวมถึง OneNote ด้วย

รวมถึงอีกหลายๆ โปรแกรมที่โหลดใช้งานได้จาก Microsoft Store ทำให้โดยรวมแล้วสามารถใช้งานได้ไม่แตกต่างจากโน้ตบุ๊กทั่วไป แต่ถ้ามีการใช้งานโปรแกรมเฉพาะทางอาจจะต้องลองทดสอบใช้งานดูก่อนว่า สามารถรันใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

หรือในกรณีที่ใช้งานผ่านระบบคลาวด์ ผ่านหน้าเว็บไซต์ เบราว์เซอร์อย่าง Microsoft EDGE ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่นี้ มีความรวดเร็วในการใช้งานดีขึ้นอย่างชัดเจน ก็จะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดในการใช้งานหลายๆ อย่างได้ด้วย

แบตเตอรีกลายเป็นอีกจุดที่ทำให้ Surface Pro X น่าสนใจ เพราะในการใช้งานบนหน่วยประมวลผล Microsoft SQ1 นั้นจะช่วยประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม ทำให้แม้จะมีการเชื่อมต่อกับ 4G LTE ใช้งานไปด้วย ก็สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 11 ชั่วโมง

เหมาะกับองค์ธุรกิจที่หาดีไวซ์ตอบโจทย์

กลับมาที่การทำตลาดของ Microsoft Surface ซึ่งไมโครซอฟท์ เข้าไปร่วมกับทางทรู บิสสิเนส เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าองค์กรธุรกิจ ดังนั้นองค์กรธุรกิจที่สนใจ สามารถเข้าไปปรึกษากับทางทรู บิสสิเนส ได้ว่า ในแต่ละองค์กรเหมาะกับการนำ Microsoft Surface รุ่นไหนไปใช้งาน

หนึ่งในนั้นก็คือ Microsoft Surface Pro X รุ่นนี้ ที่จะแตกต่างจากโมเดลที่ขายให้แก่ผู้บริโภคทั่วไปตรงที่ ตามปกติจะมากับ Windows 10 Home แต่สำหรับลูกค้าองค์กรธุรกิจจะเป็น Windows 10 Pro แทน ซึ่งจะได้ในเรื่องของความปลอดภัยในการใช้งานที่มากขึ้น

เนื่องจากองค์กรธุรกิจนั้นต้องระมัดระวังในแง่ของการเก็บช้อมูล ให้ปลอดภัยมากที่สุด เมื่อใช้งานร่วมกับ Windows 10 Pro ก็จะได้ระบบรักษาความปลอดภัยอย่าง Windows Hello ที่สามารถทำงานร่วมกับกล้องวิดีโอคอลล์ เพื่อใช้ปลดล็อกเครื่องด้วยใบหน้าได้ด้วย

ปัจจุบัน Microsoft Surface Pro X วางจำหน่ายด้วยกัน 4 รุ่นหลักด้วยกัน คือ รุ่นที่มากับชิปเซ็ต Microsoft SQ1 RAM 8 GB SSD 128 GB / 8 GB SSD 256 GB / Microsoft SQ2 RAM 16 GB SSD 256 GB และ RAM 16 GB SSD 512 GB ในราคาเริ่มต้นเดือนละ 2,799 บาท

สำหรับลูกค้าทรูบิสิเนส จะได้รับบริการอย่างให้คำปรึกษาในการเลือกซื้อรุ่นที่เหมาะสม พร้อมแพ็กเกจใช้งานได้ทันที และรับประกันเครื่องนาน 3 ปี และบริการหลังการขายจากทรูบิสสิเนสเพิ่มเติม

การออกแบบ

Microsoft Surface Pro X ออกแบบมาเป็นโน้ตบุ๊กในลักษณะของแท็บเล็ต 2-1 ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Signature Keyboard ที่มีช่องลสำหรับเก็บปากกา Surface Slim Pen เพื่อให้พกพาใช้งานได้สะดวกขึ้น

หน้าจอ Surface Pro X มากับจอ PixelSense ขนาด 13 นิ้ว ความละเอียด 2880 x 1920 พิกเซล ความละเอียดเม็ดสีอยู่ที่ 267 ppi อัตราส่วนหน้าจอแบบ 3:2 รองรับการสัมผัส 10 จุด โดยมีดีไซน์ขอบจอบาง

ตัวเครื่องทำจากอะลูมิเนียม มีให้เลือก 2 สี คือ สีดำด้าน และสีเงินแพลตินัม ขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ 287 x 208 x 7.3 มิลลิเมตร นำ้หนัก เฉพาะหน้าจออยู่ที่ราว 774 กรัม เมื่อร่วมกับคีย์บอร์ด และปากา ก็จะอยู่ที่ราว 1 กิโลกรัม

รอบตัวเครื่องจะมีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิด/ปิดเครื่องอยู่ด้านบน ด้านซ้าย มีพอร์ต USB-C 2 ช่อง เท่านั้น ส่วนทางขวาเป็น Surface Connect สำหรับเสียบสายชาร์จ

ด้านหลังตัวเครื่อง ถือเป็นจุดเด่นของ Surface Pro X ก็คือขาตั้ง Kickstand ที่สามารถปรับเปลี่ยนมุมมองในการใช้งานได้หลากหลาย เหมาะกับทั้งใช้เป็นโน้ตบุ๊ก หรือเป็นแท็บเล็ตเพื่อจดบันทึกข้อมูลก็ได้

ใต้ขาตั้ง Kickstand บริเวณมุมเครื่อง จะมีช่องใส่ซิมการ์ดแบบนาโนซิมอยู่ ในกรณีที่ซื้อเครื่องใช้งานกับทางทรูบิสสิเนส ก็จะมีซิม 4G LTE ของ TruemoveH มาให้ใช้งานพร้อมแพ็กเกจด้วย

 

อีกความพิเศษที่จะเปลี่ยนให้ Surface Pro X ทำงานได้ไม่ต่างจากโน้ตบุ๊กทั่วไปก็คือ Signature Keyboard ที่มีความพิเศษตรงสามารถปรับองศาการพิมพ์ได้ คือการยกองศาขึ้นมาเล็กน้อย หรือวางให้แบนราบไปกับพื้นก็ได้

ในช่วงที่ใช้งาน Signature Keyboard แบบยกองศาขึ้นมานั้น จะเป็นการซ่อนช่องเก็บปากกา Surface Slim Pen ไปด้วย ถ้าต้องการใช้งานปากกาก็แค่ปรับมุมคีย์บอร์ดออกมาเป็นแนวราบนั่นเอง

สรุป

องค์กรธุรกิจที่กำลังมองหาโน้ตบุ๊กให้พนักงาน หรือผู้บริหารใช้งาน โดยเฉพาะในยุคที่การทำงานสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ Microsoft Surface Pro X พร้อมกับบริการให้คำปรึกษาจาก TrueMove H น่าจะเข้ามาช่วยหาโซลูชันที่ตอบโจทย์ได้ไม่ยาก

อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก Surface Pro X เป็นการนำซีพียูรุ่นใหม่ที่ทาง Microsoft ผลิตขึ้นมาบนสถาปัตยกรรมแบบใหม่ อาจทำให้โปรแกรมเดิมที่เคยใช้งานบน Windows 10 ได้ อาจจะไม่สามารถใช้งานบน Pro X ได้ ซึ่งแนะนำให้ตรวจสอบให้ดีก่อนเลือกซื้อมาใช้งาน

Gallery

]]>
Review : Microsoft Surface Laptop 3 เรียบหรู คีย์บอร์ดดี จอสัมผัส https://cyberbiz.mgronline.com/review-microsoft-surface-laptop-3/ Mon, 06 Jan 2020 10:50:30 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=31990

ที่ผ่านมา Microsoft Surface ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถของ Windows 10 ที่ทำงานร่วมกับโน้ตบุ๊กทั้งแบบางเบา และ 2-1 ได้เป็นอย่างดี จนทำให้ผู้ที่ชื่นชอบการใช้งาน Windows มีทางเลือกใช้งานคอมพิวเตอร์พกพามากขึ้น

โดยล่าสุด ไมโครซอฟท์ ได้อัปเกรดไลน์ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Surface ทั้งในส่วนของ Surface Pro และ Surface Laptop ด้วยการนำซีพียูรุ่นใหม่ของ Intel และ AMD มาใช้งานทำให้เครื่องมีประสิทธิภาพสูงขึ้น พร้อมกับปรับปรุงตัวเครื่องให้ดีขึ้นกว่าเดิม

ในส่วนของ Surface Laptop 3 ซึ่งมาในรูปลักษณ์ของโน้ตบุ๊กแบบฝาพับก็มีตัวเลือกที่เพิ่มขึ้นระหว่างจอ 13.5 นิ้ว และ 15 นิ้ว มาให้ตัดสินใจเลือกใช้งานกัน โดยที่พิเศษก็คือในรุ่น 15 นิ้ว จะใช้หน่วยประมวลผลของ AMD Ryzen ด้วย ส่วนรุ่นจอ 13 จะเลือกได้ระหว่าง Core i5 – Core i7

จุดเด่นหลักของ Surface Laptop 3 คือเรื่องของดีไซน์ที่มีความหรูหรา พกพาง่าย และแบตเตอรีใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น หน้าจอรองรับระบบสัมผัส ทำให้สามารถใช้งานคู่กับ Surface Pen ในการทำงานได้ และที่สำคัญคือเพิ่มพอร์ต USB-C มาให้จากที่รุ่นก่อนไม่มี

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กบางเบา พกพาง่าย ดีไซน์หรู
  • มีให้เลือกตั้งแต่ 34,990 – 52,990 บาท
  • มีพอร์ต USB-C มาให้ใช้งานแล้ว

ข้อสังเกต

  • สายชาร์จยังเป็น Surface Connect ทื่เป็นแบบแม่เหล็กอยู่
  • ตัวเครื่องรุ่นเริ่มต้น สเปกอาจไม่เพียงพอกับการใช้งานหนักๆ
  • พอร์ต USB-C ไม่รองรับ Thunderbolt 3 และให้มาน้อยเกินไป

พัฒนาให้สมบูรณ์ขึ้น

รูปลักษณ์ของ Surface Laptop 3 จริงๆ แล้วแทบไม่ได้แตกต่างจาก Laptop 2 มากนัก จะเรียกว่าเป็นไมเนอร์เชนจ์ก็ไม่แปลก เพราะสิ่งที่เพิ่มเข้ามาจากรุ่นเดิมหลักๆ แล้วมีแค่พอร์ต USB-C ที่เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น เพราะปัจจุบันสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์พกพาส่วนใหญ่หันมาใช้พอร์ต USB-C ในการเชื่อมต่อกันหมดแล้ว

การเพิ่มพอร์ต USB-C เข้ามาจึงช่วยให้ Surface Laptop 2 เดิมที่ทำงานได้ดีอยู่แล้ว สมบูรณ์แบบมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าถ้าใครที่ใช้งาน Laptop 2 อยู่ก็แทบไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนมาเป็น Laptop 3 นอกจากจะเปลี่ยนขนาดไปใช้รุ่น 15 นิ้ว แทน

ดีไซน์ของ Surface Laptop 3 ยังคงเน้นความเรียบง่ายมีให้เลือกด้วยกัน 2 สี คือเงิน และดำ โดยจะมีสัญลักษณ์ของ Surface อยู่ตรงกึ่งกลางเท่านั้น เมื่อเปิดฝาขึ้นมาก็จะเจอกับหน้าจอขนาด 13.5 นิ้ว ความละเอียด 2256 x 1504 พิกเซล มีกล้องหน้าความละเอียด HD อยู่ด้านบน ซึ่งทำงานร่วมกับ Windows Hello ที่ใช้ใบหน้าในการปลดล็อกตัวเครื่อง

อย่างไรก็ตามขอบจอ (Bezel) ของ Laptop 3 ยังถือว่าค่อนข้างหนาอยู่ เมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กหลายๆ รุ่นในระดับราคาใกล้เคียงกัน โดยขนาดตัวเครื่องของ Laptop 3 จะอยู่ที่ 308 x 223 x 14.5 มิลลิเมตร น้ำหนักประมาณ 1.2 กิโลกรัม

ในส่วนของคีย์บอร์ด ถือว่าเป็นหนึ่งในจุดเด่นของ Surface Laptop 3 เลยก็ว่าได้ เพราะให้สัมผัสในการพิมพ์ที่ลื่นไหล เหมาะกับการพิมพ์มากๆ เช่นเดียวกับแทร็กแพด ที่ทำให้ลืมภาพแทร็กแพดช้าๆ ในโน้ตบุ๊ก Windows หลายๆ รุ่นไปได้เลย

ด้านหลังเครื่องก็ยังคงความเรียบง่ายอยู่เช่นเดิม โดยจะมีการสกรีน Microsoft และเครื่องหมายรับรองต่างๆ ประกอบกับช่องระบายอากาศหลังเครื่อง ที่เวลาเปิดหน้าจอขึ้นมาจะเป็นการเปิดช่องระบายอากาศไปในตัว

สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ จะอยู่ทางซ้ายของเครื่อง คือพอร์ต USB 3.0 USB-C และพอร์ตหูฟัง 3.5 มม. ส่วนทางขวาเป็น Surface Connect ที่เป็นช่องสำหรับเสียบสายชาร์จสำหรับ Surface โดยเฉพาะ ที่ตัวอะเดปเตอร์ยังสามารถเชื่อมต่อสาย USB-A ได้เช่นเดิม

อุปกรณ์เสริมของ Surface Laptop 3 ที่น่าสนใจก็คือ Surface Pen (3,900 บาท) ที่สามาารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบของ Windows 10 ได้อย่างสมบูรณ์ กรณีที่ต้องใช้ปากกาในการวาด หรือคอมเมนต์งานก็จะช่วยให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น

หรือถ้าไม่ได้ใช้ปากกา Surface Arc Mouse (2,600 บาท) หรือเมาส์บลูทูธ ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใช้ กรณีที่ต้องการควบคุมเมาส์ใช้งานนานๆ ซึ่งสะดวกกว่าการใช้งานแทร็กแพดควบคุมแน่ๆ และยังมีขนาดเล็กพับให้แบนเพื่อเก็บได้ด้วย

สเปกของ Surface Laptop 3

ในการวางจำหน่าย Surface Laptop 3 ไมโครซอฟท์ ประเทศไทยได้นำเข้ามาทำตลาดด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่นหลัก คือรุ่นจอ 13.5 นิ้ว ที่มากับซีพียู Intel Core i5 RAM 8 GB SSD 128 GB ในราคา 34,990 บาท ตามด้วย รุ่น SSD 256 GB ราคา 44,990 บาท และ รุ่น Core i7 RAM 16 GB SSD 256 GB ที่ราคา 52,990 บาท ส่วนรุ่นจอ 15 นิ้ว จะมากับซีพียู AMD Ryzen 5 RAM 8 GB ราคา 256 GB ในราคา 49,990 บาท

ทั้งนี้ รุ่นที่ได้มาทดสอบเป็นรุ่น Surface Laptop 3 ที่มากับ Intel Core i7-1065G7 ซึ่งมากับการ์ดจอ Intel Iris Plus และมีจุดเด่นที่เหนือกว่ารุ่น 15 นิ้ว AMD คือรองรับ Wi-Fi 6 ที่เป็นมาตรฐาน 802.11ax ใหม่ด้วย ส่วนบลูทูธที่ให้มาก็เป็น 5.0

Sub-Head3

สำหรับการทดสอบใช้งาน Surface Laptop 3 ผ่านโปรแกรมอย่าง PCMark10 และ 3DMark ดูได้จากรูปภาพด้านล่าง

ฟีเจอร์ที่มากับ Surface

ด้วยการที่ Surface Laptop มาในลักษณะของการเป็นโน้ตบุ๊ก พร้อมจอสัมผัส ที่รองรับ Surface Pen ทำให้เมื่อเชื่อมต่อกับปากกา ก็สามารถแปลงตัวเครื่องให้กลายเป็นหน้าจอสำหรับวาดเขียนได้ทันที ในจุดนี้จะเหมาะกับผู้ที่นิยมใช้ปากกาในการคอมเมนต์งาน หรือช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น

แน่นอนว่า ตัว Surface มาพร้อมกับ Windows 10 ลิขสิทธิ์ของทางไมโครซอฟท์อยู่แล้ว ดังนั้นฟีเจอร์การใช้งานต่างๆ ที่มากับ Windows 10 จึงสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องทั้งหมด และรองรับการอัปเดตเวอร์ชันใหม่ๆ ในอนาคตด้วย

หนึ่งในฟีเจอร์ที่ชอบแล้วได้ใช้งานจริงๆ คือ Mobile Hotspot ที่จากเดิมคอมพิวเตอร์ทั่วไปจะสามารถรับสัญญาณจาก LAN มาปล่อยเป็น Wi-Fi ให้เครื่องอื่นใช้งานได้ แต่ด้วยความสามารถของ Surface Laptop 3 ที่รองรับ Wi-Fi 6 ทำให้ตัวเครื่องสามารถรับสัญญาณ Wi-Fi มาแล้วปล่อย Wi-Fi ให้อุปกรณ์อื่นใช้งานได้ด้วย

แต่แน่นอนว่าก็มีข้อจำกัด เพราะต้องเลือกว่าจะแชร์ Wi-Fi ผ่านคลื่น 2.4 GHz หรือ 5 GHz ทำให้ ความเร็วที่ได้ก็จะตามสัญญาณที่แชร์ ซึ่งลักษณะในการใช้งานที่แนะนำคือ กรณีที่เดินทางไปพักในโรงแรม หรือทำงานในสถานที่ใด ที่สามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้เพียงบัญชีเดียว ก็สามารถใช้ Surface จับสัญญาณแล้วปล่อยให้สมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์อื่นใช้เน็ตได้ด้วย

รุ่นไหนที่ควรเลือก

ด้วยการที่กลุ่มเป้าหมายของ Surface นั้นไม่ได้อยู่ในกลุ่มคอนซูเมอร์ทั่วไป แต่เป็นกลุ่มลูกค้าระดับกลางบนที่มีกำลังซื้อ และต้องการเลือกซื้อสินค้าที่ดีที่สุดมาใช้งาน ดังนั้นผลิตภัณฑ์ของ Surface จึงถือว่าออกมาจับกลุ่มลูกค้าในระดับพรีเมียมเป็นหลัก

เพราะด้วยระดับราคาเริ่มต้นของ Surface Laptop ซึ่งอยู่ที่ 34,990 บาท แต่ได้พื้นที่เก็บข้อมูลแค่ 128 GB ซึ่งไม่เพียงพอกับการใช้งานในระยะยาวแน่ๆ ดังนั้นรุ่นที่ควรเลือกซื้อจึงกลายเป็นรุ่นกลางที่เป็น Core i5 + SSD 256 GB ในราคา 44,990 บาท ที่จะเพียงพอกับการใช้งานทั่วไป

ส่วนถ้าเป็นผู้ใช้ในกลุ่มมืออาชีพ ที่ต้องการหน่วยประมวลผลแรงๆ ซึ่ง Core i5 ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ ราคาก็จะพุ่งขึ้นไปเป็น 52,990 บาท สำหรับรุ่น Core i7 + SSD 256 GB จะเห็นได้ว่าราคาอยู่ในระดับบนของโน้ตบุ๊กในตลาดก็ว่าได้

แน่นอนว่าคำถามที่ตามมาคือราคาขนาดนี้หันไปเลือกใช้ MacBook Pro เลยดีกว่ามั้ย ถ้าไม่ได้ติดกับการทำงานบน Windows 10 การเลือกใช้ MacBook ที่มี macOS ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่ถ้าต้องใช้งาน Windows 10 สุดท้ายก็ต้องจบที่ Surface อยู่ดี

สรุป

Microsoft Surface Laptop 3 จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการเครื่องประสิทธิภาพปานกลาง ดีไซน์เรียบหรู ซึ่งด้วยการที่ออกแบบมาได้ดีทำให้กลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ด้วยระดับราคาที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับสเปกใกล้เคียงกัน ก็อาจจะทำให้ตัดสินใจได้ยากขึ้นเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม Surface Laptop 3 ไม่เหมาะกับการนำไปใช้ทำงานหนักๆ เพราะตัวเครื่องไม่ได้มีกราฟิกการ์ดแยกมาให้ จึงเหมาะกับใช้งานทั่วๆ ไปมากกว่า ไม่ถึงขั้นเป็นเวิร์กสเตชันเคลื่อนที่ ประกอบกับพอร์ตเชื่อมต่อที่ให้มาแค่ USB 3.0 และ USB-C เท่านั้น ถือว่าค่อนข้างจำกัด

Gallery

]]>
Review : Microsoft Surface Go เล็กสุดดีสุดของไมโครซอฟท์ https://cyberbiz.mgronline.com/review-microsoft-surface-go/ Mon, 01 Oct 2018 04:30:55 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29327 ยกแชมป์ให้ไปเลยสำหรับ Surface Go อุปกรณ์ 10 นิ้วที่ไมโครซอฟท์การันตีเองว่าเป็นอุปกรณ์ที่ดีที่สุดประจำปีนี้ จุดดีจุดด้อยของ Surface Go มีหลายส่วน ทุกส่วนถือว่าลงตัวรับได้จนทำให้ Surface Go เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจมากสำหรับใครที่กำลังมองหาอุปกรณ์คู่ใจมาใช้งาน

การออกแบบ

Surface Go หน้าจอขนาด 10 นิ้ว ความละเอียด 1800×1200 (217 PPI) ซีพียู Intel Pentium Gold 4415Y เป็นรุ่นเริ่มต้นในสินค้ากลุ่ม Surface สินค้าที่มากับกล่อง Surface Go มีเพียงอะแดปเตอร์ชาร์จไฟ และเอกสารเท่านั้น

Surface Go มีให้เลือก 2 รุ่น คือความจุ 64GB แบบ eMMC แรม 4GB (ราคา 14,999 บาท) และรุ่นความจุ 128GB แบบ SSD แรม 8GB (ราคา 19,999 บาท) รุ่นที่ทีมงานได้ทดสอบคือรุ่น 128GB ความจุสูงและทำงานเร็วกว่า

ด้านขวามือของเครื่อง มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม., พอร์ต USB-C 3.1 ที่ใช้ชาร์จไฟได้ และพอร์ต Surface Connect สำหรับชาร์จกับอะแดปเตอร์ที่แถมมา ขณะที่ปุ่ม Power และปุ่มปรับเสียง ติดที่ขอบบนของเครื่องเช่นเดิม ขอบล่างของเครื่องออกแบบมาสำหรับต่อคีย์บอร์ด Type Cover ซึ่งต้องซื้อเพิ่มในราคาเริ่มต้น 3,590 บาท

ไมโครซอฟท์ให้ทางเลือกคีย์บอร์ด 2 ทาง คือรุ่น Signature ที่ใช้ผ้า Alcantara แบบเดียวกับรถยนต์หรู (4,690 บาท) และรุ่น Standard สีดำ (3,590 บาท) ความต่างที่ชัดเจนคือสัมผัสเนียนซึ่งรุ่น Signature ชนะขาด

ช่องเสียบ microSD อยู่ด้านหลังขาตั้งของ Surface Go ซึ่งเป็นบานพับที่เปิดได้กว้างเต็มที่ 165 องศา ดังนั้นหากพื้นที่เก็บข้อมูลไม่พอ สามารถซื้อการ์ด microSD มาใส่เพิ่มได้สูงสุด 512GB ขณะที่ด้านหน้าของเครื่องมีกล้องหน้า เมื่อใช้งานกล้องจะมีไฟ LED สีขาวแสดงขึ้นมา

สเปก

สำหรับ Surface Go รุ่นใหม่นี้จะวางตลาดด้วยสเปกซีพียู Intel Pentium Gold 4415Y โดยรุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบเป็นรุ่นแรม LPDDR3 8GB หน่วยเก็บข้อมูลเป็น SSD ความจุ 128GB (เหลือให้ใช้จริงประมาณ 117GB) มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home ตัวเต็ม

ด้านการเชื่อมต่อจะรองรับ WiFi มาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac บลูทูธ 4.1 ไม่รองรับการใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์ และไม่มี GPS นำทางในตัว รุ่นพิเศษ Surface Go LTE ที่ใส่ซิมการ์ดได้ยังไม่มีประกาศวางจำหน่ายในไทย

ฟีเจอร์เด่นและทดสอบประสิทธิภาพ

Surface Go จะติดตั้ง Windows 10 Home แบบ S Mode ที่เปิดปิดได้มาให้ หากเปิด S Mode เครื่องจะทำงานเหมือน Windows 10 ปกติทั้งหมด แต่จะถูกจำกัดให้ติดตั้งหรือรันแอปพลิเคชันได้เฉพาะจาก Microsoft Store เท่านั้น ไม่สามารถรันไฟล์ .exe ได้ ผลดีของโหมดนี้คือเครื่องจะทำงานได้เร็วอยู่เสมอ และปลอดภัยจากไวรัสเพราะหมดโอกาสเปิดการทำงานไฟล์จากเว็บไซต์ล่อลวง

แม้ Surface Go แบบ S Mode จะเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เพราะมีแอปใน Store ค่อนข้างหลากหลายทั้ง LINE, Facebook, Netflix, Spotify รวมถึง iTunes (ไม่มี Amazon Video หรือ Google Play Movies) แต่ถ้าต้องการใช้โปรแกรมเฉพาะทาง ไมโครซอฟท์ก็เข้าใจและเปิดช่องให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถออกจาก S Mode ได้ เพื่อให้รันไฟล์ .exe และติดตั้งโปรแกรมที่ไม่ได้อยู่ใน Microsoft Store ได้

จุดสำคัญที่ต้องระวังคือใครที่ออกจาก S Mode จะกลับมาเปิด S Mode กลับมาอีกไม่ได้ ประเด็นนี้ไมโครซอฟท์ยืนยันว่าแม้แต่การ reset เครื่องก็จะไม่มีโหมด S Mode ให้เลือกใช้ ใครที่สนใจอยากปิดโหมด S Mode ให้กดปุ่ม turn off S Mode ที่จะแสดงขึ้นมาเมื่อพิมพ์ค้นหาในเครื่อง

เครื่องที่ทีมงานได้รับมาทดสอบนั้นปิด S Mode ไว้แล้ว พบว่าเครื่องสามารถติดตั้งเครื่องมือ เกม หรือแอปพลิเคชันคุ้นมือที่ใช้งานได้บ่อยบนแล็ปท็อปทั่วไปโดยไม่ทำให้เครื่องหน่วง แต่บนหน้าจอจะแสดงความเสี่ยงจากการปิด S Mode บ่อยครั้ง

ความสะดวกสบายคือชาวออฟฟิศสามารถซื้อ Office 365 บน Microsoft Store ได้ทันที ผู้ที่ซื้อไว้แล้วสามารถลงชื่อใช้งานและติดตั้งได้ตามปกติ นอกจากนี้ Office เวอร์ชันฟรีก็มีให้ใช้งาน บนฟีเจอร์การทำงานที่น้อยกว่า

จากที่ใช้งาน MacBook Air เป็นประจำ การเปลี่ยนมาพิมพ์งานบน Surface Go ผ่าน Type Cover ทำให้พิมพ์ผิดบ่อยมาก เนื่องจากคีย์บอร์ดค่อนข้างเล็กและระยะกดปุ่มสั้นกว่า แต่เมื่อปรับตัวได้ก็สามารถใช้งานได้ดีไม่แพ้แล็บท็อปรุ่นไหน แถมยังเหนือกว่าเพราะมีปุ่ม Home, End, Page Up และ Page Down มาให้พร้อม ทำให้ไม่ต้องกด Fn คู่กันแบบโน้ตบุ๊กทั่วไป ขณะเดียวกันก็มี TouchPad ที่ใช้ได้สะดวกและแม่นยำไม่ผิดหวัง

ขณะที่ปากกาที่ใช้ทดสอบเป็น Surface Pen รุ่นปี 2017 ราคาปี 2018 ยังเท่าเดิมไม่ลดลง จุดเด่นของปากกาคือการรองรับแรงกด 4,096 จุด ตอบสนองได้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้า หัวปากกาขนาด HB ตัวปากกาเชื่อมต่อผ่านบลูทูธ แบตเตอรีใช้ถ่าน AAAA 1 ก้อน รองรับการเอียงปากกาเพื่อแรเงาด้วย

ด้านแบตเตอรี่ เมื่อชาร์จเต็ม ใช้งานเบราว์เซอร์เปิดหลายแท็บ ดูยูทูบ พร้อมเปิดแอป Spotify ค้างไว้ แบตอยู่ได้ราว 4-5 ชั่วโมงเท่านั้น การชาร์จแบตจาก 3% จนถึง 100% ทำได้ภายใน 2 ชั่วโมงผ่านอะแดปเตอร์ที่ให้มา มีข้อเสียคือสถานะไฟเป็นสีเดิมตลอดการชาร์จ ทำให้ไม่สามารถสังเกตได้ว่าชาร์จเต็มแล้วหรือยัง เมื่อจับเครื่องขณะชาร์จโดยไม่ใส่รองเท้า หลายครั้งรู้สึกเหมือนถูกไฟดูดอ่อนๆ

หลายครั้งที่ Surface Go ร้อนเป็นพิเศษ เช่นระหว่างการใช้งานทั่วไปในสวนที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ พบว่าเครื่องร้อนแบบรู้สึกได้ แต่ทั้งหมดนี้ต้องยกนิ้วให้เรื่องความเงียบ เพราะ Surface Go ไม่มีพัดลมติดตั้งภายในเครื่อง


ทดสอบประสิทธิภาพ : PCMark 10 = 1,591 คะแนน


ทดสอบประสิทธิภาพ : Geekbench 4 / Single Core = 1,701 คะแนน / Multi Core = 3,310 คะแนน


ทดสอบประสิทธิภาพ : Cinebench R15 / OpenGL = 20.85 เฟรมต่อวินาที / CPU = 99cb

แม้คะแนนจะน้อย แต่ทีมงานยืนยันว่าการใช้งานโดยรวมลื่นไหล การเปิดโปรแกรมทำได้เร็ว พร้อมใช้งานเร็ว อย่างไรก็ตาม การใช้ Chrome บน Surface Go กลับไม่ลื่นไหลเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับ Edge ที่ใช้งานได้ดีกว่า

สรุป

ตลอดการใช้งาน 1 สัปดาห์ เราพบว่าหลายคนแอบเหลียวมองเมื่อหยิบ Surface Go ขึ้นมา ความเบาขนาดเล็กพกง่ายใช้งานลงตัวกลายเป็นจุดขายที่ใช้โฆษณา Surface Go กับทุกคนได้แบบไม่ต้องคิดมาก โดยเฉพาะคีย์บอร์ดที่ทำมาได้ดีชนิดต้องปรบมือให้

จุดขายสำคัญของ Surface Go คือการใช้เป็นแท็บเล็ตได้เลยในเครื่องเดียว เหมาะมากสำหรับคนที่ไม่อยากมี 2 เครื่องแยกกัน ซึ่งที่ผ่านมา หลายคนต้องมีแท็บเล็ตเพื่อพกไว้ใช้จดบันทึกหรือวาดรูป และมีคอมพิวเตอร์พีซีอีกเครื่องเพื่อทำงานหลัก จุดนี้ถือว่า Surface Go สามารถทำงานได้แบบ 2 in 1 ทำให้การทำงานสะดวกมากขึ้นกว่าเดิม


ภาพจากกล้องหลัง


ภาพจากกล้องหน้า

น่าเสียดายที่ Surface Go อาจไม่เหมาะกับงานตัดต่อวิดีโอ 4K หนักหน่วงเหมือน Surface Pro 2017 แต่ก็ถือว่ารับได้เมื่อเทียบกับความสามารถใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ Windows ได้แบบเดียวกัน บนจุดเด่นเรื่องการปิดเปิดเครื่องที่รวดเร็วกว่าโน้ตบุ๊กปกติไม่ต่างกัน และการมีพอร์ต USB-C ทำให้ Surface Go สามารถถ่ายโอนไฟล์หรือต่อออกจอนอกได้ง่ายมาก ทั้งหมดนี้จัดให้บนราคา Surface Go ที่ต่ำกว่า Surface Pro 2017 หลักหมื่น ซึ่งถือเป็นอีกจุดที่ชาว Surface ต้องพิจารณาก่อนซื้อ.

ข้อดี

– เล็ก เบา พกสะดวก ขาตั้งแข็งแรง มีพอร์ต USB-C
– มีช่องอ่านการ์ด microSD
– Windows 10 ใช้งานได้เต็มรูปแบบ ไม่กระตุก
– คีย์บอร์ดดี ปากกาดี

ข้อสังเกต

– แบตเตอรี่ไม่อึด
– ไม่มีพอร์ต USB-A แบบมาตรฐานเลย ต้องการใช้งานต้องซื้ออะแดปเตอร์ราคาเริ่มที่ 790 บาท
– ไม่แถมคีย์บอร์ด อุปกรณ์เสริมราคาไม่ธรรมดา

]]>
Review : Microsoft Surface Book 2 โน้ตบุ๊กยุคใหม่ที่ดึงประสิทธิภาพวินโดวส์ออกมาได้ดีที่สุด https://cyberbiz.mgronline.com/review-microsoft-surface-book-2/ Thu, 17 May 2018 04:22:23 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=28466

ที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ (Microsoft) พยามนำเสนอ Surface ออกมาในรูปแบบของการเป็นแท็บเล็ต ที่สามารถเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ด เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถของ Windows 10 ว่าเมื่อใช้งานในรูปแบบแท็บเล็ตแล้วก็ทำงานได้อย่างลื่นไหล

แต่ด้วยการที่ความต้องการของตลาดโน้ตบุ๊กปัจจุบัน ผู้บริโภคไม่ได้คำนึงว่าต้องการแท็บเล็ตมาใช้งานแทนที่โน้ตบุ๊ก แต่อยากได้โน้ตบุ๊กที่เบาเหมือนแท็บเล็ต กับดีไซน์ที่สวยงาม และที่สำคัญคือประสิทธิภาพตัวเครื่องต้องแรงด้วย

ดังนั้น Surface Book 2 จึงเข้ามาตอบโจทย์ผู้ใช้กลุ่มนี้ในทันที ที่ไมโครซอฟท์นำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เพียงแต่ว่าด้วยระดับราคาของ Surface Book 2 ที่เริ่มต้นราว 45,900 บาท ทำให้ผู้บริโภคต้องใช้เวลาตัดสินใจก่อนสั่งซื้อมาใช้งาน

ข้อดี

โน้ตบุ๊กที่สามารถถอดจอออกมาเป็นแท็บเล็ต และเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้ 4 แบบ

ประสิทธิภาพตัวเครื่องที่ทำงานร่วมกับ Intel Core i5 – Core i7

คีย์บอร์ดขนาดมาตรฐาน พร้อมแทร็กแพดที่รับสัมผัสได้ลื่นไหล

ข้อต่อที่เชื่อมฐานคีย์บอร์ดกับหน้าจอแข็งแรง

หน้าจอสัมผัส ทำงานร่วมกับปากกา Surface Pen (ซื้อแยก)

ข้อสังเกต

เมื่อถอดใช้งานเป็นแท็บเล็ต จะไม่มีพอร์ตให้เชื่อมต่อ

เวลาพับหน้าจอปิดลงมา. บริเวณข้อต่อจะไม่แนบสนิทไปกับเครื่อง

ราคาจำหน่ายค่อนข้างสูง

2-1 ประสิทธิภาพสูง

จุดเด่นหลักของ Surface Book 2 คือการเป็นโน้ตบุ๊กแบบ 2-1 ประสิทธิภาพสูงที่สามารถถอดจอออกมา เพื่อใช้งานเป็นแท็บเล็ต หรือจะเลือกใส่จอสลับด้านเพื่อให้กลายเป็นอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงในการใช้งานได้ทันที

ขณะเดียวกัน ด้วยการออกแบบที่ดูเรียบหรู น้ำหนัก 1.5-1.6 กิโลกรัม ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ Surface Book 2 น่าสนใจมากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าปัจจุบันโน้ตบุ๊กถือเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่จะมาช่วยยกภาพลักษณ์ของผู้ใช้ไปแล้วก็ว่าได้

ประกอบกับการที่เป็นหน้าจอสัมผัส และรองรับการใช้งานคู่กับปากกา Surface Pen จึงทำให้เหมาะกับผู้ใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่จำกัดแค่การใช้งานออฟฟิศทั่วๆไป แต่สามารถนำไปใช้ในการสร้างสรรค์เพื่อการออกแบบ วาดภาพ หรือการคอมเมนต์แก้ไขงานแบบด่วนๆ

ไปจนถึงใช้เล่นเกมสเปกสูงๆสำหรับคอเกม เพราะ Surface Book 2 มีสเปกให้เลือกตั้งแต่ Intel Core i5 ไปจนถึง Core i7 ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเกมเมอร์โน้ตบุ๊กที่น่าสนใจรุ่นหนึ่งในตลาดจากเกมเมอร์หลายๆราย

ที่สำคัญคือเรื่องของการทำงานที่เรียกความสามารถของ Windows 10 ได้ออกมาเต็มที่มากที่สุด ทั้งในแง่ของความปลอดภัยในการใช้งาน ด้วยการนำ Windows Hello มาใช้เพื่อปลดล็อกตัวเครื่อง โดยมีให้เลือกทั้งการปลดล็อกจากการสแกนใบหน้า การใส่รหัส หรือลากจุดบนหน้าจอเพื่อปลดล็อก

Gallery

ใช้ง่าย คล่องตัว

ส่วนในแง่ของการใช้งาน ผู้ใช้สามารถปลดหน้าจอออกจากฐานตัวเครื่องได้ด้วยการกดปุ่มปลดล็อก (มุมขวาบนของคีย์บอร์ด) โดยจะมีไฟสีเขียวขึ้นมา เพื่อให้ดึงหน้าจอออกจากแป้นคีย์บอร์ดออกมาใช้งานเป็นแท็บเล็ตได้ทันที

อย่างไรก็ตาม ด้วยการออกแบบข้อต่อรุ่นใหม่ของ Surface Book 2 ทำให้เวลาปิดหน้าจอพับลงมา ตัวเครื่องจะไม่แนบสนิทไปกับตัวคีย์บอร์ด ทำให้หลายๆคนกังวลในแง่ของการกดทับที่อาจเกิดขึ้น จนกลัวเครื่องจะหัก

แต่ในความเป็นจริงข้อต่อดังกล่าวมีความยืดหยุ่นค่อนข้างมาก ประกอบกับทางไมโครซอฟท์ได้มีการทดสอบแรงกดแล้วว่ามีความแข็งแรงเพียงพอ ดังนั้นถ้านำไปใช้งานปกติทั่วๆไป ปัญหาดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน

พอร์ตเชื่อมต่ออยู่ที่ฐานคีย์บอร์ดเท่านั้น

ในเรื่องพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ ซึ่งจะสังเกตได้ว่าพอร์ตทั้ง USB ช่องอ่าน SD Card ช่องเสียบสายชาร์จ และพอร์ต USB-C ต่างอยู่ที่ฐานคีย์บอร์ดเท่านั้น ในขณะที่ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. อยู่ข้างหน้าจอ ดังนั้น ถ้าถอดไปใช้งานเป็นแท็บเล็ต ก็จะทำได้แค่เสียบหูฟังเพียงอย่างเดียว ถ้าต้องการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ก็ต้องใช้การเชื่อมต่อไร้สายผ่านบลูทูธ หรือ Wi-Fi เท่านั้น

คีย์บอร์ด และทัชแพด ถือเป็นอีกจุดที่ไมโครซอฟท์ทำการบ้านมาค่อนข้างดี ทั้งในแง่ของการรับสัมผัสของการพิมพ์ ที่ยอมรับว่าคีย์บอร์ดติดนิ้ว สามารถพิมพ์สัมผัสได้สบายๆ ส่วนของทัชแพดที่หันมาใช้กระจกก็ทำให้การสัมผัสลื่นไหล และแม่นยำมากขึ้นด้วย

เรียกได้ว่า เปลี่ยนความคิดในการใช้งาน ทัชแพด บน Windows จากแบรนด์ผู้ผลิตหลายๆรายในท้องตลาดไปได้เลยว่า จริงๆแล้วทัชแพดบน Windows 10 ก็ใช้งานได้จริง ไม่ต่างกับการใช้งานบน Macbook เพราะไมโครซอฟท์แสดงให้เห็นแล้วใน Surface Book 2

สเปก – ราคาจำหน่าย

สำหรับสเปกของ Surface Book 2 ที่นำมาทดสอบในครั้งนี้คือรุ่น Intel Core i5 7300U (Kaby Lake) 2.6 GHz (Turbo Boots 3.5 GHz) ที่มากับ RAM 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูลแบบ SSD ขนาด 256GB การ์ดจอออนบอร์ด Intel HD 620 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10

ทั้งนี้ Surface Book 2 ที่วางจำหน่ายในไทยจะมีตั้งแต่รุ่น Core i5 ไปจนถึง Core i7 ตามตารางด้านบนนี้ และสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือเมื่อซื้อ Surface Book 2 มาใช้งานจะได้รับสิทธิใช้งาน Adobe CC ฟรีเป็นระยะเวลา 3 เดือนด้วย

ในส่วนของประสิทธิภาพในการทำงาน จากโปรแกรมวัดผลต่างๆ สามารถเข้าไปดูได้จากอัลบั้มรูปด้านล่างนี้

]]>