Smartphones – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Mon, 02 Aug 2021 08:48:39 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Nokia C10 จอใหญ่ 6.5 นิ้ว ราคาประหยัด https://cyberbiz.mgronline.com/review-nokia-c10/ Mon, 02 Aug 2021 08:48:39 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35718

การกลับมาบุกตลาดไทยของ โนเกีย (Nokia) ผ่าน HMD Global ในกลุ่มสมาร์ทโฟนราคาประหยัด และฟีเจอร์โฟน ทำให้ชื่อของแบรนด์ โนเกีย กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้บริโภคต้องการสมาร์ทโฟนมาใช้งานแอปพลิเคชันเพื่อรับสิทธิช่วยเหลือต่างๆ ของภาครัฐ

Nokia C10 ถือเป็นหนึ่งในรุ่นที่ได้รับความนิยมจากหน้าจอขนาดใหญ่ 6.5 นิ้ว แบตเตอรี 3,000 mAh รองรับการใช้งานได้ตลอดวัน ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 11 Go Edition  ที่มั่นใจว่าจะได้รับอัปเดตความปลอดภัยต่อเนื่อง ในราคาเปิดตัว 2,490 บาท

ข้อดี

  • สมาร์ทโฟนจอใหญ่ 6.5 นิ้ว
  • Android 11 Go Edition รองรับแอปพลิเคชันภาครัฐธนาคาร
  • ตัวเครื่องแข็งแรง สามารถถอดเปลี่ยนแบตเตอรีได้

ข้อสังเกต

  • RAM 2 GB ROM 16 GB ไม่เหมาะกับการเล่นเกม หรือโหลดแอปหนักๆ
  • รองรับเฉพาะ WiFi 2.4 GHz ทำให้มีข้อจำกัดในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไฟเบอร์
  • พอร์ตชาร์จยังเป็น MicroUSB

การออกแบบสไตล์ Nokia

เริ่มกันที่ดีไซน์ของ Nokia C10 ต้องยอมรับว่าโนเกียยังนำกลิ่นอายที่ชัดเจนของโทรศัพท์โนเกียในยุคก่อนมาปรับใช้ ให้เข้ากับรูปแบบการใช้งานในปัจจุบัน ซึ่งจะผสมผสานระหว่างความสะดวกในการใช้งาน และความแข็งแรงให้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวๆ

ตัวเครื่อง Nokia C10 มีให้เลือกด้วยกัน 2 สี คือม่วง และดำ โดยมีขนาดอยู่ที่ 169.9 x 77.9 x 8.8 มิลลิเมตร นำ้หนัก 191 กรัม เห็นได้ว่าตัวเครื่องค่อนข้างหนัก เพราะจะเน้นที่ความแข็งแรงของตัวเครื่อง และจับได้กระชับ ถนัดมือเป็นหลัก

หน้าจอของ Nokia C10 เป็นจอ LCD ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด HD+ (1600 x 720 พิกเซล) พร้อมมีแถบ V-Notch เป็นที่อยู่ของกล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช ทำให้สามารถใช้งานกล้องหน้าในที่แสงน้อยได้ด้วย ยิ่งเหมาะกับในยุคที่ต้องการสื่อสารผ่านวิดีโอคอลล์กัน

ถัดมาด้านหลังเครื่องจะมีกล้องหลักความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชเช่นเดียวกัน โดยมีโลโก้ของ Nokia อยู่ตรงกึ่งกลาง ความพิเศษของ C10 ก็คือผู้ใช้สามารถถอดฝาหลังออกมาเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรีขนาด 3,000 mAh ได้ มีช่องใส่นาโนซิมการ์ดแบบ 2 ซิม และช่องไมโครเอสดีสูงสุด 256 GB ให้ใช้งาน

รอบตัวเครื่องจะมีปุ่มเปิดปิด และปรับระดับเสียงอยู่ทางขวา มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. อยู่ด้านบน และช่องเสียบสายชาร์จแบบ Micro USB ด้านล่าง ซึ่งแน่นอนว่าตัวเครื่องไม่รองรับการชาร์จเร็วอย่างแน่นอน แต่ว่าด้วยขนาดแบตเตอรีที่ไม่ใหญ่มากนัก ก็จะใช้เวลาไม่นานจนเกินไป

สเปก

Nokia C10 มากับชิปเซ็ตรุ่นประหยัด Unisoc SC7331e ที่เป็น Quad Core 1.3 GHz RAM 2 GB พื้นที่เก็บข้อมูลในตัวเครื่อง 16 GB รองรับ MicroSD เพิ่มสูงสุด 256 GB รองรับการเชื่อมต่อ 4G LTE บลูทูธ 4.2 WiFi 4 (802.11 b/g/n) ทำงานบน Android 11 Go Edition

หน้าจอใหญ่ เน้นใช้งานทั่วไป

ด้วยการที่ตัวเครื่อง Nokia C10 มากับ Android 11 Go Edition ที่ถูกปรับแต่งมาให้ใช้ทรัพยากรเครื่องที่จำกัดให้แสดงผลออกมาลื่นไหลมากที่สุด ดังนั้นจึงเหมาะกับการเป็นสมาร์ทโฟนเพื่อใช้งานทั่วๆ ไป ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ลงแอปพลิเคชันที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต หรือใช้งานเป็นหลักเท่านั้น

ผู้ใช้สามารถเข้าไปดาวน์โหดลแอปพลิเคชันเพื่อติดตั้งผ่าน Play Store ได้ตามปกติ เพียงแต่ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่เก็บข้อมูลที่ 16 GB ทำให้ไม่สามารถติดตั้งแอปพลิเคชันเกมหรือความบันเทิงที่มีขนาดใหญ่ได้ ทำให้ต้องเน้นใช้งานสตรีมมิ่งเป็นหลัก

โดยตัวเครื่องรองรับการใช้งานดูคลิปวิดีโอบน YouTube ใช้ฟังเพลงผ่าน Joox หรือ Spotify เล่นโซเชียลมีเดียผ่าน Facebook สื่อสารผ่าน LINE รวมถึงใช้วิดีโอคอลล์ได้ครบถ้วน จึงกลายเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นเริ่มต้นสำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องมือใช้งานในช่วงภาวะแบบนี้

ในแง่ของความปลอดภัย Nokia การันตีการอัปเกรดระบบความปลอดภัยไว้นาน 2 ปี ในทุกๆ รุ่นอยู่แล้ว ซึ่งใน Nokia C10 ก็เช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีแอปพลิเคชันบน Go Edition อย่างการจัดการไฟล์ แชร์ภาพถ่าย หรือวิดีโอให้เพื่อนๆ ก็สามารถทำได้แบบไร้สาย

ขณะที่การใช้งานกล้องบน Nokia C10 ถือว่าตามราคา การถ่ายภาพในสภาพแสงปกติสามารถเก็บรายละเอียดได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเป็นที่แสงน้อยแม้ตัวเครื่องจะรองรับการเก็บภาพแบบ HDR แต่คุณภาพที่ได้อาจจะไม่เหมาะกับการนำไปใช้งานมากนัก

สรุป

ในภาพรวม Nokia C10 กับราคาเปิดตัวที่ 2,490 บาท น่าจะเป็นตัวเลือกสมาร์ทโฟนราคาประหยัดให้ใครหลายๆ คน เพราะได้ทั้งจอใหญ่ 6.5 นิ้ว แบตเตอรีใช้งานได้ทั้งวัน และตัวเครื่องมีความแข็งแรง อย่างไรก็ตาม ถ้ามีงบประมาณที่เพิ่มขึ้น Nokia G20 ที่ราคาขยับขึ้นมาหน่อย จะเหมาะกับการใช้งานในระยะยาวมากกว่า

Gallery

]]>
Review : ROG Phone 5 มือถือเกมมิ่งตัวแรง อุปกรณ์เสริมครบ https://cyberbiz.mgronline.com/review-rog-phone-5/ Wed, 21 Jul 2021 09:02:50 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35645

ในบรรดาอุปกรณ์เกมมิ่งชื่อของ ROG ถือว่าเป็นแบรนด์ที่อยู่เคียงคู่กับผู้บริโภคมาตั้งแต่ในยุคของคอมพิวเตอร์ ต่อเนื่องมายังบนสมาร์ทโฟนที่ออก ROG Phone ออกมาต่อเนื่อง จนถึงรุ่นล่าสุดคือ ROG Phone 5 ที่ยังคงความโดดเด่นเรื่องประสิทธิภาพได้อย่างน่าสนใจ

จุดเด่นหลักของ ROG Phone 5 คือมากับชิปเซ็ต Snapdragon 888 5G จอที่ใส่อัตราการแสดงผลมาถึง 144 Hz แบตเตอรี 6,000 mAh พร้อมระบบควบคุมแบบ AirTrigger มาช่วยให้การเล่นเกมทำได้สนุกขึ้น และเอกลักษณ์ที่พลาดไม่ได้อย่าง Aura RGB โลโก้ที่สามารถปรับแต่งสีไฟได้ตามต้องการ

ROG Phone 5 วางจำหน่ายด้วยกัน 2 รุ่น โดยยังคงใช้ชิปเซ็ตหลักเหมือนกันคือ Snapdragon 888 5G แตกต่างตรงที่รุ่นเริ่มต้น RAM 8 GB ROM 128 GB ในราคา 22,990 บาท และรุ่น RAM 16 GB ROM 256 GB ในราคา 29,990 บาท

ข้อดี

  • สมาร์ทโฟนเกมมิ่ง พร้อมระบบควมคุม AirTrigger
  • ประสิทธิภาพสูง รองรับการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี
  • มีอุปกรณ์เสริมให้ใช้งานควบคู่ไปด้วย
  • จอแสดงผล Super AMOLED 144 Hz ที่ลื่นไหล
  • รองรับชาร์จเร็ว 65W

ข้อสังเกต

  • แบตเตอรีที่ให้มา 6,000 mAh ถ้าปรับเกมใช้สเปกสูงสุดใช้งานต่อเนื่องได้ไม่กี่ชั่วโมง
  • ตัวเครื่องค่อนข้างร้อนเวลาเล่นเกมในสภาพอากาศประเทศไทย
  • ไม่มีมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น ไม่สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้
  • กล้องยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ทั่วไป เมื่อเทียบกับมือถือไฮเอนด์รุ่นอื่น

เน้นความบันเทิง โดยเฉพาะเล่นเกม

 

ด้วยการที่ ROG Phone 5 ออกแบบมาให้เป็นเกมมิ่งสมาร์ทโฟน ด้วยรูปลักษณ์ของตัวเครื่อง และการออกแบบอินเตอร์เฟสต่างๆ จึงสื่อถึงความล้ำสมัย ให้ความรู้สึกเป็นเกมเมอร์ขึ้นมาตามสไตล์ของ ROG ด้วยเส้นสาย และสีสันที่เป็นเอกลักษณ์

ดังนั้น ถ้าใครที่ชื่นชอบลักษณะดีไซน์เกมเมอร์ แข็งๆ แรงๆ ROG Phone 5 ถือว่าตอบโจทย์อย่างแน่นอน แต่ถ้าต้องการความเรียบหรู พรีเมียม หรือดีไซน์สมัยใหม่ อาจจะต้องมองข้ามรุ่นนี้ไป

จุดเด่นหลักของเครื่องรุ่นนี้ แน่นอนว่าอยู่ที่การเล่นเกม โดยเฉพาะเกมประสิทธิภาพสูง เพราะตัว ROG Phone 5 สามารถรีดประสิทธิภาพของกราฟิกเกมได้ออกมาสูงสุด และที่สำคัญคือเล่นได้อย่างลื่นไหลด้วย

ทีมงานทดสอบกับ Genshin Impact ที่ปรับการแสดงผลสูงสุด ปรับเฟรมเรทเป็น 60 fps ตัวเครื่องก็ยังรองรับได้อย่างสบายๆ เล่นได้ลื่นไหลมากๆ เมื่อเทียบกับแฟลกชิปหลายๆ รุ่น

แต่ที่ต้องแลกมาก็คือความร้อนสะสมของตัวเครื่องที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยถ้าเล่นในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศอุณหภูมิของตัวเครื่องจะขึ้นไปอยู่ที่ราว 40-50 องศาเซลเซียส แต่ถ้าในอุณหภูมิปกติของประเทศไทย มีโอกาสที่ตัวเครื่องจะร้อนไปถึง 60 องศาเซลเซียส

แน่นอนว่า เมื่อขึ้นไประดับ 60 องศาฯ การถือจับเพื่อเล่นเกมอาจจะไม่สะดวกแล้ว เพราะตัวเครื่องสะสมความร้อนมากเกินไป ดังนั้นแนะนำให้ใช้งานคู่กับอุปกรณ์เสริมอย่างพัดลมระบายอากาศ (AeroActive Cooler )

เมื่อลองใช้งานเล่นเกมคู่กับ AeroActive Cooler พบว่าตัวพัดลมช่วยลดความร้อนสะสมลงไปได้ประมาณ 10 องศา และในขณะเดียวกัน ก็ยังใช้จับถือเครื่องได้เข้ากับมือมากขึ้นด้วย

ไม่นับรวมถึงการควบคุมเกมที่เพิ่มขึ้น จากเดิมที่มี AirTrigger บริเวณขอบบนซ้ายขวาเครื่อง ก็จะเพิ่มปุ่มควบคุมให้อีก 2 ปุ่มที่ปริเวณปีกของพัดลมระบายอากาศ ช่วยให้กดคำสั่งสำหรับการเล่นเกมต่างๆ ได้สะดวกขึ้น

การเพิ่ม AeroActive Cooler 5 ที่เชื่อมต่อเข้ากับพอร์ตพิเศษบริเวณข้างเครื่อง ยังช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อสาย USB-C สำหรับชาร์จ และหูฟัง 3.5 มม. ขณะเล่นเกมไปได้ด้วย

จากเดิมที่พอร์ตเหล่านี้อยู่ด้านล่างของเครื่อง ทำให้เวลาถือเล่นเกมในแนวนอน มือขวาจะไปบังพอร์ตเชื่อมต่อเหล่านั้น ทำให้ถ้าเสียบใช้งานไปด้วยก็จะไม่สะดวกกับการเล่นเกม

ความสามารถของ AeroActive Cooler 5 อีกอย่างก็คือการเป็นขาตั้งสมาร์ทโฟน ทำให้ผู้ใช้สามารถเปิดดู YouTube หรือ Netflix เพื่อความบันเทิงได้อย่างสบายๆ โดยวางตั้งไว้บนพื้นโต๊ะ หรือพื้นผิวเรียบๆ ได้ทันที

เพราะในเรื่องของพลังเสียงใส่ลำโพงคู่หน้ามาให้ใช้งาน พร้อมรองรับ Hi-Res Audio ภายในใส่ชิป ESS DAC มาช่วยขับเสียงให้กับหูฟังผ่านพอร์ต 3.5 มม. ด้วย

เอกลักษณ์ที่ไปกับ Aura RGB

กลับมาที่ดีไซน์ของ ROG Phone 5 ตัวเครื่องยังมากับการออกแบบที่สื่อถึงความแข็งแกร่งของตัวเครื่อง ด้วยการนำวัสดุอย่างอะลูมิเนียมที่มีความแข็งแรง มาตัดกับสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ของ ROG อยู่แล้ว

ขนาดตัวเครื่องของ ROG Phone 5 จะอยู่ที่ 173 x 77 x 8.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 239 กรัม ซึ่งถือว่าตัวเครื่องค่อนข้างหนัก แต่เมื่อสัมผัสจะรู้สึกถึงความแข็งแรง และงานประกอบที่แน่นหนาชัดเจน

หน้าจอแสดงผลที่เลือกใช้จะเป็น Super AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว (2448 x 1080 พิกเซล) รองรับ HDR 10+ ที่ให้ Refresh Rate สูงถึง 144 Hz รองรับการสัมผัสที่ 300 Hz ให้ความหน่วงต่ำถึง 24.3 มิลลิวินาที พร้อมกระจก Gorilla Glass Victus เพิ่มความแข็งแกร่งให้หน้าจอ

บริเวณขอบบนของหน้าจอเยื้องไปทางขวา จะมีกล้องหน้าความละเอียด 24 ล้านพิกเซลซ่อนอยู่ ไม่ได้เป็นกล้องแบบเจาะรู หรือทำเป็นติ่งลงมาเฉพาะกล้องหน้าแต่อย่างใด

บริเวณขอบข้างขวาเครื่องนอกจากเป็นที่อยู่ของปุ่มเพิ่มลดเสียง และปุ่มเปิดเครื่องแล้ว ตรงสัญลักษณ์ ROG ยังทำหน้าที่เป็น AirTrigger ให้เป็นพื้นที่สัมผัสเพื่อสั่งงานหน้าจอระหว่างเล่นเกมเพิ่มเติมได้ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นหลักของ ROG Phone ก็ว่าได้

ถัดมาทางซ้าย ตามปกติจะมีจุกยางปิดพอร์ตเชื่อมต่อ USB-C และขั้วเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมอยู่ ถัดมาก็คือช่องใส่ถาดซิมสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ของ ROG ส่วนขอบด้านบนจะปล่อยไว้โล่งๆ

ด้านล่างจะมีทั้งพอร์ต USB-C และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. มาให้ ตัวเครื่องรองรับการชาร์จเร็วที่ 65W โดยภายในเป็นแบตเตอรีแบบคู่รวมกันแล้วอยู่ที่ 6000 mAh

ด้านหลังเครื่องเป็นที่อยู่ของกล้อง 3 เลนส์ ประกอบด้วยเลนส์หลัก 64 ล้านพิกเซล เลนส์มุมกว้าง 13 ล้านพิกเซล และมาโคร มาช่วยในการวัดระยะเพิ่มเติม โดยสามารถบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 8K/30fps ได้ รองรับกันสั่นแบบ 3 แกน

ถัดลงมาคือแผงไฟ Aura RGB ที่ผู้ใช้สามารถปรับแต่งสีได้เพิ่มเติม ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของ ROG Phone ทุกๆ รุ่นก็ว่าได้ ทำให้เครื่องรุ่นนี้เวลาเปิดเล่นเกม หรือใช้งานจะมีไฟส่องสว่างออกมาจากหลังเครื่องตลอดเวลา

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาภายในกล่องนอกจากตัวเครื่องแล้ว ก็จะมีเคสที่ออกแบบเฉพาะเว้นพื้นที่ Aura RGB ไว้ให้แสดงผลได้ชัดเจน สายชาร์จ USB-C และอะเดปเตอร์ 65W มาให้ด้วย โดยไม่มีหูฟัง 3.5 มม. มาให้

โหมดใช้งาน และฟีเจอร์น่าสนใจ

สำหรับการใช้งาน ROG Phone 5 จะมีความน่าสนใจคือผู้ใช้สามารถเลือกสลับระหว่างโหมดประสิทธิภาพสูง (X Mode+) และโหมดใช้งานปกติได้ ซึ่งจะแสดงผลให้เห็นบนอินเตอร์เฟสของหน้าจอเลย ด้วยการเปลี่ยนภาพพื้นหลังจากสีดำปกติ มาเป็นสีแดงที่สื่อถึงความแรง

ถัดมาคือผู้ใช้สามารถเข้าไปปรับแต่งเพิ่มเติมของ X Mode ได้ในส่วนของคอนโซล เพื่อเลือกปรับแต่งการทำงานต่างๆ ของเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นการรีดประสิทธิภาพให้มากที่สุด โหมด Dynamic เพื่อปรับการใช้งานตามรูปแบบการใช้ และโหมดประหยัดพลังงาน ที่จะช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรี

นอกจากนี้ ยังสามารถเข้าไปปรับแต่งเอฟเฟกต์แวงเพิ่มเติม กรณีที่เชื่อมต่อกับ Aero Cooling 5 ก็สามารถปรับความเร็วของพัดลมได้ ตั้งระบบ AirTriggers ต่างๆ ได้จากในคอนโซลควบคุมนี้

ในขณะเล่นเกม ผู้ใช้ยังสามารถลากบริเวณขอบซ้ายของหน้าจอเข้ามา เพื่อแสดงแผงควบคุม Game Genie เพื่อตั้งค่าเกี่ยวกับเกมเพิ่มเติมได้ ในจุดนี้จะมีการแสดงผลการทำงานของตัวเครื่อง รวมถึงเฟรมเรทการแสดงผล และอุณหภูมิตัวเครื่องด้วย

จะเห็นได้ว่าฟีเจอร์ต่างๆ ของ ROG Phone 5 ถือว่าออกมาเพื่อรับกับการเล่นเกมโดยเฉพาะ ซึ่งแน่นอนว่าต้องถูกใจผู้ที่ชื่นชอบเล่นเกมอย่างแน่นอน

จุดที่น่าเสียดายอย่างหนึ่งของ ROG Phone 5 คือเรื่องของกล้องที่แม้จะให้ความละเอียดมาถึง 64 ล้านพิกเซล แต่ด้วยระบบการประมวลผลภาพต่างๆ ภาพที่ได้ออกมาอยู่ในระดับทั่วไป ไม่ได้ให้ความรู้สึกว้าวเหมือนในไฮเอนด์สมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ แต่อย่างใด

สเปก

สำหรับสเปกของ ROG Phone 5 จะมากับชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 888 5G มีตัวเลือก RAM 8/12 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 128 / 256 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 11

การเชื่อมต่อรองรับ 5G สามารถใส่ใช้งานได้ 2 ซิมพร้อมกัน WiFi 6 บลูทูธ 5.2 รองรับ NFC และมีฟีเจอร์พิเศษอย่าง AirTriggers ให้สัมผัสข้างเครื่องในการสั่งงาน รวมถึงใส่ลำโพงคู่หน้ามาให้ด้วย

สรุป

ROG Phone 5 ถือว่าออกแบบมาได้ตอบโจทย์การเล่นเกมได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเล่นเกมในห้องแอร์ เพราะกลายเป็นว่าถ้าใช้งานในสภาพอุณหภูมิปกติ ตัวเครื่องจะค่อนข้างร้อนเมื่อเล่นเกมหนักๆ ทำให้ต้องใช้อุปกรณ์เสริมอย่างพัดลมมาช่วย

แน่นอนว่า ถ้าเป็นเกมเมอร์ ที่มีความเชี่ยวชาญสามารถเลือกปรับระดับการแสดงผลของเกมให้เหมาะสมได้ ตัวเครื่องจะไม่ประมวลผลจนร้อนขนาดนั้น และเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลแน่นอน

Gallery

]]>
Review : vivo V21 5G เด่นที่เซลฟี่ กล้องหน้า 44 ล้านพิกเซล ดีไซน์บาง รับ 5G https://cyberbiz.mgronline.com/review-vivo-v21-5g/ Fri, 11 Jun 2021 03:19:38 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35353

หลังจากที่หลายๆ แบรนด์เริ่มนำเสนอสมาร์ทโฟน 5G ออกสู่ตลาดกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันมือถือ 5G ในระดับราคาหมื่นบาท มีตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้น แต่ละแบรนด์ก็จะเน้นนำจุดเด่นของแบรนด์ มาผสมผสานเข้าไป

vivo V21 5G ก็เป็นอีกรุ่นที่มีจุดเด่นเฉพาะตัวที่น่าสนใจ นอกเหนือจากตัวเครื่องที่มีความบางแล้ว ยังเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่มาพร้อมกับกล้องหน้าที่ใส่ระบบกันสั่นมาให้ ทำให้รองรับการถ่ายทั้งเซลฟี่ และวิดีโอเซลฟี่ ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

ในส่วนของตัวเครื่อง vivo V21 5G ทำงานบนชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 800U ที่รองรับ 5G แบบ Dual SIM ด้วย ส่วนกล้องหลักที่ให้มา 64 ล้านพิกเซล ก็ตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี จึงกลายเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจในระดับราคาเริ่มต้น 12,999 บาท

ข้อดี

  • สมาร์ทโฟน 5G ดีไซน์สวย บางเบา
  • กล้องหน้ากันสั่น 44 ล้านพิกเซล กล้องหลัก 64 ล้านพิกเซล
  • แบตเตอรี 4,000 mAh เพียงพอกับการใช้งาน

ข้อสังเกต

  • ต้องระวังแอปที่พรีโหลดมาในเครื่อง
  • ไม่มีกล้อง Telephoto / คุณภาพกล้องมุมกว้างยังไม่ค่อยดี
  • ไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.

จับกลุ่มคนชอบถ่ายเซลฟี่

กลุ่มเป้าหมายของ vivo V21 5G ถือว่าค่อนข้างชัด จากการที่ใส่กล้องหน้ากันสั่น (OIS) มาให้ใช้งาน ทำให้เหมาะกับผู้บริโภคที่ชื่นชอบทั้งการถ่ายภาพ และถ่ายวิดีโอจากกล้องหน้าเป็นหลัก โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นที่ใช้งานโซเชียลมีเดียเป็นหลัก

ภาพที่ได้จากกล้องของ vivo V21 5G ถือว่ามีคุณภาพที่สวยงาม คมชัด โดยเฉพาะในสภาพแสงปกติที่เก็บรายละเอียดได้ครบถ้วน ส่วนกล้องหน้าก็มีโหมดถ่ายภาพให้เลือกใช้งานหลากหลาย ใครที่ชื่นชอบการเซลฟี่จะรู้ถึงฟีเจอร์ต่างๆ ของ Vivo กันอยู่แล้ว

ในแง่ของการใช้งานในภาพรวม ด้วยการที่รองรับการเชื่อมต่อ 5G เมื่อใช้งานร่วมกับซิมการ์ดที่รองรับทำให้การใช้งานโมบายอินเทอร์เน็ตทำได้ลื่นไหลมากๆ รองรับการใช้งานโซเชียลมีเดียต่างๆ ได้ครบ

ส่วนในมุมของเกมเมอร์ที่ต้องการเล่นเกมด้วย vivo V21 5G ก็ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี จากชิปเซ็ต Dimensity 800U ที่รองรับการประมวลผลหนักๆ ได้ในระดับนึง แต่ก็อาจจะไม่สามารถเปิดความละเอียดระดับสูงสุดได้

แบตเตอรีที่ให้มา 4,000 mAh ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานในแต่ละวันอยู่แล้ว และตัวเครื่องยังรองรับการชาร์จเร็ว 33W ด้วย ทำให้สามารถชาร์จได้กว่า 60% ในเวลาแค่ 30 นาที ซึ่งก็สามารถใช้งานได้ทั้งวันสบายๆ

ดีไซน์บางเบา ถือใช้งานสะดวก

ด้วยการที่ vivo V21 5G เป็นรุ่นต่อยอดมาจาก V20 ที่โดดเด่นในเรื่องความบางของตัวเครื่อง vivo V21 5G ก็ยังคงจุดเด่นนั้น แม้ว่าจะเพิ่มการรองรับ 5G เข้ามา ด้วยขนาดตัวเครื่องที่ 159.68 x 73.9 x 7.29 มิลลิเมตร น้ำหนัก 176 กรัม

หน้าจอของ vivo V21 5G เป็น AMOLED ขนาด 6.44 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2404 x 1080 พิกเซล) ซึ่งรองรับการแสดงผล HDR10+ โดยมีอัตราการรีเฟรชหน้าจอที่ 90Hz ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหล ไม่มีสะดุด ใต้หน้าจอมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือให้ใช้งานด้วย

กล้องหน้า 44 ล้านพิกเซล f/2.0 พร้อม OIS ที่ให้มาจะอยู่บริเวณขอบบนของหน้าจอในลักษณะของหยดน้ำ ที่น่าสนใจคือข้างๆ จะมีไฟแฟลช LED คู่ ซ่อนอยู่ทั้ง 2 ฝั่ง เพื่อช่วยให้สามารถถ่ายภาพเซลฟี่ในที่แสงน้อยได้ดียิ่งขึ้นด้วย

รอบตัวเครื่องทางขวามีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดปิดเครื่อง ส่วนด้านล่างจะมีพอร์ต USB-C ลำโพง และถาดใส่ซิมที่เป็นนาโนซิมการ์ดคู่ ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นไมโครเอสดีการ์ดแทนซิมที่ 2 ได้

ในส่วนของกล้องหลัก vivo V21 5G ให้มาเป็นแบบ 3 เลนส์ ประกอบด้วยเลนส์หลัก 64 ล้านพิกเซล f/1.7 ที่จัดวางอยู่บนสุด ถัดลงมาอีก 2 เลนส์ด้านล่างเป็นมุมกว้าง 8 ล้านพิกเซล และ มาโคร 2 ล้านพิกเซล ตามด้วยไฟแฟลช ที่จัดเรียงรวมกันในลักษณะสี่เหลี่ยมหลังเครื่อง

ภายในเครื่องจะมากับแบตเตอรีขนาด 4,000 mAh ภายในกล่องมีอะเดปเตอร์ชาร์จเร็ว FlashCharge 2.0 33W มาให้ด้วย พร้อมกับอะเดปเตอร์แปลง USB-C เป็น 3.5 มม. ให้ใช้งานคู่กับหูฟัง เคสใส และเข็มจิ้มซิม

สเปก และทดสอบประสิทธิภาพ

สำหรับชิปเซ็ตที่ vivo V21 5G ใช้งานจะเป็น MediaTek Dimensity 800U Octa-Core 2.4 GHz RAM 8 GB ซึ่งมีความพิเศษด้วยเทคโนโลยี Extended RAM ที่จะดึงพื้นที่เก็บข้อมูลมาใช้เป็นหน่วยความจำอีก 3 GB โดยมีตัวเลือกพื้นที่เก็บข้อมูลให้เลือกระหว่าง 128 GB และ 256 GB

ด้านการเชื่อมต่อรองรับ 5G แบบ Dual SIM Dual Standby Wi-Fi 5 บลูทูธ 5.1 มี GPS ในตัว แต่ไม่รองรับ NFC ทำงานบน ระบบปฏิบัติการ Funtouch OS 11.1 บน Android 11

ในส่วนของการใช้งานบนแบตเตอรี ทีมงานทดสอบใช้งานต่อเนื่องได้อยู่ที่ราวๆ 14 ชั่วโมง และยังมีแบตเตอรีเหลืออยู่อีก 20% ส่วนประสิทธิภาพในการประมวลผลถือว่าอยู่ในระดับกลางบน ที่ครอบคลุมการใช้งานทั้งหมดอยู่แล้ว

สรุป

vivo V21 5G นับเป็นสมาร์ทโฟน 5G ที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายเซลฟี่ และต้องการเครื่องที่เบาบาง พกพาง่ายเป็นหลัก ส่วนความสามารถโดยรวมตอบโจทย์การใช้งานในระดับราคาเริ่มต้น 12,999 บาท ได้เป็นอย่างดี

]]>
Review : realme 8 5G เมื่อเครื่อง 5G เข้าถึงได้ในราคา 9,999 บาท https://cyberbiz.mgronline.com/review-realme-8-5g/ Wed, 19 May 2021 04:52:46 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35180

การแข่งขันในกลุ่มสมาร์ทโฟนราคาต่ำกว่าหมื่นบาท ที่รองรับ 5G เริ่มมีให้เห็นชัดเจนขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งหนึ่งในรุ่นที่น่าจับตามองคงหนีไม่พ้น realme 8 5G ที่ทำราคาเปิดตัวมา 9,999 บาท ตัวเครื่องรองรับ 5G แบบ Dual Standby และให้หน้าจอมาขนาดใหญ่ถึง 6.5 นิ้ว

ความสามารถของ realme 8 5G ในแง่การใช้งานถือว่าอยู่ระดับกลางๆ เนื่องจากต้นทุนของชิปเซ็ต 5G ที่ค่อนข้างสูง ทำให้มีการปรับลดสเปกเครื่องบางส่วนลง เพื่อให้ตัวเครื่องรองรับ 5G ซึ่งถ้าใครกำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G มาใช้งาน ก็เป็นตัวเลือกระดับเริ่มต้นที่น่าสนใจ

ข้อดี

  • สมาร์ทโฟนขนาดจอ 6.5 นิ้ว Refresh Rate 90 Hz
  • รองรับการเชื่อมต่อ 5G Dual Standby
  • แบตเตอรี 5,000 mAh
  • ราคาเปิดตัว 9,999 บาท

ข้อสังเกต

  • ชิปเซ็ต Dimensity 700 5G จะเน้นที่การเชื่อมต่อ 5G เป็นหลัก การประมวลผลอยู่ในระดับกลางๆ
  • กล้องหลักอยู่ที่ 48 ล้านพิกเซล (รุ่น 4G ได้กล้อง 64 ล้านพิกเซล)
  • รองรับชาร์จเร็ว 18W (รุ่น 4G ได้ Dart Charge 30W)

เน้นเจาะกลุ่มผู้ใช้ 5G เริ่มต้น

ด้วยโพสิชันของ realme 8 ที่ออกวางจำหน่ายพร้อมกันทั้งรุ่น 4G และ 5G ในราคาต่างกัน 1,000 บาท ทำให้ realme 8 5G มีสเปกเครื่องโดยรวมหลายๆ ส่วนต่ำกว่ารุ่น 4G เนื่องจากชิปเซ็ตที่รองรับ 5G ในท้องตลาดเวลานี้ ยังมีราคาค่อนข้างสูงอยู่ ทำให้ต้องตัดต้นทุนในจุดอื่นออกไป

ดังนั้น Realme 8 5G จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนรองรับ 5G ในระดับราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อนำส่วนต่างจากค่าเครื่องไปสมัครแพ็กเกจใช้งาน 5G ที่ปัจจุบัน การใช้งาน 5G แบบไม่จำกัดจะอยู่ที่ราวเดือนละ 1,099 บาท จะทำให้ได้ประสบการณ์ใช้งาน 5G ที่ดีที่สุด

เพราะอย่าลืมว่า ในการเลือกซื้อเครื่อง 5G มาใช้งาน นอกจากความเร็วในการเชื่อมต่อโมบายอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นแล้ว ราคาของแพ็กเกจที่ต้องจ่ายก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน เนื่องจากปริมาณในการใช้งาน 5G เมื่อเทียบกับ 4G แล้วจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ทำให้ต้องคำนวนถึงค่าใช้จ่ายแฝงที่จะตามมาด้วย

ในกรณีกลับกัน ถ้าไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้งาน 5G ตัวเลือกอย่าง realme 8 4G ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะด้วยสเปกหลายๆ ส่วนที่ดีขึ้นทั้งชิปเซ็ตประมวลผล กล้อง และระบบชาร์จเร็ว ทำให้มีความคุ้มค่ามากกว่า

จุดเด่นของ realme 8 5G

นอกเหนือจากการเชื่อมต่อ 5G แล้ว ในภาพรวมของการใช้งาน realme 8 5G ก็ต้องยอมรับว่า realme ทำการบ้านมาได้ดี ในแง่ของประสบการณ์ใช้งานตัวเครื่องทำได้ลื่นไหล เมื่อใช้งานทั่วๆ ไป ประกอบกับการที่ให้จอมา 6.5 นิ้ว Ultra Smooth Display 90 Hz ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล) ทำให้การแสดงผลทำได้ดี

ถัดมาในแง่ของขนาดตัวเครื่อง realme 8 5G อยู่ที่ 162.5 x 74.8 x 8.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 185 กรัม วางจำหน่ายด้วยกัน 2 สี คือ Supersonic Blue ที่ชุบอินเดียมไฮกลอส เพิ่มความสว่างเป็นประกายที่ฝาหลัง และอีกสีคือ Supersonic Black 

จะเห็นได้ว่า ตัวเครื่องมากับดีไซน์ที่ค่อนข้างบาง และตัวเครื่องไม่หนักจนเกินไป ทำให้การถือใช้งานทำได้ถนัดมือ แม้ว่าส่วนของฝาหลังจะเป็นเงาๆ ทำให้ติดรอยนิ้วมือได้ง่ายสักหน่อย แต่ถ้าการใช้งานส่วนใหญ่ใส่เคสอยู่แล้วก็ไม่มีปัญหา

ในส่วนของกล้อง realme 8 5G ให้กล้องหลักมาที่ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล f/1.8 มาพร้อมเลนส์ขาวดำ ที่มาช่วยตรวจจับแสงเพิ่มเติม และเลนส์มาโคร ให้สามารถถ่ายภาพระยะใกล้ได้ถึง 4 เซนติเมตร พร้อมไฟแฟลช LED

ส่วนกล้องหน้าแบบเจาะรูอยู่ใต้จอจะให้ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล มี AI Beauty Selfie มาให้ใช้งาน รองรับการถ่ายวิดีโอทั้งกล้องหลัก และกล้องหน้าที่ 1080p / 30 fps เท่านั้น ยังไม่สามารถบันทึกภาพแบบ 4K ได้

ความน่าสนใจอีกอย่างของ realme 8 5G คือสัมผัสที่ได้จากขอบเครื่อง ที่ใช้กระบวนการ Microcrack มาช่วยในการหล่อขอบตัวเครื่อง ให้มีความยืดหยุ่นรองรับแรงจอของกระจกหน้าจอ พร้อมกับการออกแบบป้องกันมุม ช่วยลดความเสี่ยงในการแตกของหน้าจอ

โดยจะมีปุ่มปรับระดับเสียง และถาดใส่ซิมการ์ดอยู่ทางฝั่งซ้าย ข้อดีของถาดใส่ซิม realme 8 5G ก็คือสามารถใส่ 2 นาโนซิมการ์ด พร้อมกับไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติมได้เลย ส่วนทางฝั่งขวาจะมีปุ่มเปิดเครื่องพร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่

ด้านบนตัวเครื่องจะถูกปล่อยว่างไว้ และมีพอร์ต USB-C ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ไมโครโฟนสนทนา และลำโพงอยู่ที่ขอบด้านล่างเครื่อง โดยภายในกล่องจะไม่ได้แถมหูฟังมาให้ด้วย มีเฉพาะอะเดปเตอร์ชาร์จ 18W กับสาย USB Type-A to USB-C ให้เท่านั้น

สเปก

ในแง่ของสเปกตัวเครื่อง realme 8 5G มากับชิปเซ็ตประมวลผล Dimensity 700 5G ที่เป็น Octa-Core ผลิตบนสถาปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร ความเร็ว 2.2 GHz ทำงานคู่กับ GPU Mali-G57 ช่วยให้สามารถประมวลผลภาพได้ลื่นไหล กับจอแสดงผลแบบ 90 Hz ได้เป็นอย่างดี

ตัวเครื่องมากับ RAM 8 GB ROM 128 GB สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดได้สูงสุด 1 TB รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 5 บลูทูธ 5.1 พร้อมระบบระบุพิกัด GPS แบตเตอรี 5000 mAh รองรับชาร์จเร็ว 18W กับอะเดปเตอร์ที่แถมมาให้ในกล่อง รวมถึงเคสใส และฟิลม์กันรอย

Realme 8 5G ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบด้วย realme UI 2.0 ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานให้ลื่นไหล และง่ายขึ้น ซึ่งตัวเครื่องจะมีการพรีโหลดแอปฯ มาให้ใช้งานด้วย

ทดสอบใช้งาน

เท่าที่ได้ลองใช้งาน realme 8 5G มาอย่างแรกที่ชื่นชอบคือเรื่องความเร็วในการเชื่อมต่อ 5G ทำได้เป็นอย่างดี ยิ่งอยู่ในพื้นที่รองรับแล้ว ความเร็วระดับ 400 Mbps ขึ้นไป ถือเป็นเรื่องปกติ ช่วยให้ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างลื่นไหลมาก

ถัดมาในส่วนของความบันเทิงต้องยอมรับว่าด้วยจอที่ให้มา 6.5 นิ้ว 90 Hz ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก ดูหนัง ดูยูทูป ประกอบกับแบตเตอรีที่ให้มา 5,000 mAh ทำให้ใช้งานทั้งวันได้สบายๆ

ขณะที่การเล่นเกม แม้ว่าด้วยสเปกเครื่องที่ไม่ได้สูงมาก ทำให้ปรับการแสดงผลแบบสูงสุดไม่ได้ แต่พอปรับให้เหมาะสม การแสดงผล การเล่นต่างๆ ก็ทำได้ลื่นไหล ภายใน realme 8 5G ยังมีโหมดเล่นเกมโดยเฉพาะมาให้ ที่จะคอยเคลียการใช้ทรัพยากรต่างๆ ของเครื่องเพื่อให้ลื่นไหลที่สุด

ส่วนกล้องที่ให้มา 48 ล้านพิกเซล ถือว่าทำได้คุ้มกับราคาที่เสียไปแน่นอน โดยเฉพาะการถ่ายภาพในพื้นที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ สามารถเก็บรายละเอียดได้เป็นอย่างดี ส่วนในโหมดถ่ายกลางคืน แม้ว่าจะรับแสงได้มากขึ้น แต่ก็อยู่ในระดับพอใช้งานได้เท่านั้น

สรุป

ด้วยค่าตัวของ realme 8 5G ที่ 9,999 บาท ทำให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ น่าสนใจสำหรับผู้ที่พร้อมจ่ายเงินค่าแพ็กเกจ 5G เพิ่ม เลือกใช้งานแน่นอน และรองรับการใช้งานต่อเนื่อง ในอนาคตได้สบายๆ

แต่ถ้าไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้งาน 5G ทางเลือกอย่าง realme 8 4G จะดูคุ้มค่าในการใช้งานมากกว่า เพราะได้ประสิทธิภาพตัวเครื่องที่ดีกว่าอย่าง การชาร์จแบตที่เร็วกว่า แลกกับขนาดจอที่เล็กลงเหลือ 6.4 นิ้ว และไม่รองรับ 5G แค่นั้นเอง

Gallery

]]>
Review : Wiko Power U20 สมาร์ทโฟนจอใหญ่ แบตอึดในงบ 3,000 บาท https://cyberbiz.mgronline.com/review-wiko-power-u20/ Mon, 15 Mar 2021 09:50:56 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34933

การที่วีโก (Wiko) เน้นเจาะตลาดสมาร์ทโฟนราคาประหยัด ทำให้ที่ผ่านมาฐานลูกค้าหลักของ Wiko เป็นกลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัดเป็นหลัก เนื่องจากถือเป็นผู้ใช้ที่มองหาสมาร์ทโฟนราคาประหยัด ที่สามารถใช้งานได้คุ้มค่า

Wiko Power U20 จึงกลายเป็นรุ่นเด่นในช่วงต้นปีนี้ ด้วยการนำสมาร์ทโฟนจอใหญ่ 6.8 นิ้ว แบตเตอรีใหญ่ 6,000 mAh เหมาะกับการใช้งานโซเขียล และดูวิดีโอสตรีมมิ่งที่ใช้งานได้ต่อเนื่องยาวๆ มาวางจำหน่ายในราคา 2,999 บาท 

อย่างไรก็ตาม ด้วยระดับราคาของเครื่องรุ่นนี้ ทำให้ขาดฟีเจอร์หลักๆ ในสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ออกไปหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการที่ตัวเครื่องรองรับการเชื่อมต่อ WiFi เฉพาะ 2.4 GHz พอร์ตเชื่อมต่อเป็น MicroUSB และไม่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ เป็นต้น

ข้อดี

  • จอใหญ่ 6.8 นิ้ว
  • แบตเตอรี 6,000 mAh
  • ราคา 2,990 บาท

ข้อสังเกต

  • เหมาะกับการใช้งานโซเชียลมีเดียทั่วไปดูยูทูป
  • ประสิทธิภาพ CPU RAM ROM ตามระดับราคา
  • รองรับเฉพาะ WiFi 2.4 GHz

ตัวเลือกสมาร์ทโฟนราคาประหยัด

การที่กลุ่มเป้าหมายของ Wiko ที่ผ่านมา คือกลุ่มผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนราคาประหยัด เน้นความคุ้มค่าในการใช้งานเป็นหลัก จึงส่งผลมาถึงจุดเด่นของเครื่องรุ่นนี้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการให้ขนาดหน้าจอใหญ่ แบตเตอรีที่เหมาะกับการใช้งานต่อเนื่อง เน้นการเชื่อมต่อผ่าน 3G/4G เป็นหลัก

ทำให้ Wiko Power U20 ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานทั่วๆไป ไม่ได้เน้นเรื่องของการเล่นเกม ที่ต้องใช้ประสิทธิภาพของตัวเครื่องแรงๆ แต่จะเหมาะกับใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กที่กลายเป็นปัจจัยหลักในการใช้งานอินเทอร์เน็ต เสริมด้วยกล้อง 3 เลนส์ให้สนุกกับการถ่ายภาพเพื่อแชร์บนโซเชียลด้วย

เริ่มกันที่หน้าจอของ Wiko Power U20 ขนาด 6.8 นิ้ว ในสัดส่วน 20.5:9 บนความละเอียด HD+ (1600 x 720 พิกเซล) พร้อมมีกระจก Panda Glass มาช่วยเสริมในเรื่องความแข็งแรง และมีกล้องหน้าแบบหยดน้ำความละเอียด 5 ล้านพิกเซล มาให้ใช้งานร่วมด้วย

ในส่วนของกล้องหลัง 3 เลนส์ ประกอบด้วยเลนส์หลัก 13 ล้านพิกเซล เลนส์เสริมวัดระยะชัดลึก (Bokeh) 2 ล้านพิกเซล และเลนส์ AI ที่เข้ามาช่วยวัดสภาพแสง และทำงานร่วมกับกล้องหลักเพื่อวิเคราะห์โหมดในการถ่ายภาพ

ตัวเครื่อง Wiko U20 Plus ยังมีความโดดเด่นในเรื่องเอฟเฟกต์ฝาหลังอย่างเครื่องที่ได้รับมาทดสอบคือสีน้ำเงิน Navy Blue ที่สะท้อนแสงตามมุมที่ตกกระทบ และมีรุ่นพิเศษสีเขียวมิ้นต์ ที่จะมาพร้อมตัวอักษรคำว่า Let’s Power Up เพิ่มมาด้วย

ขนาดของตัวเครื่อง Wiko U20 Plus อยู่ที่ 173.8 x 78.6 x 9.4 มิลลิเมตร น้ำหนัก 210 กรัม ภายในให้แบตเตอรีขนาด 6,000 mAh มา โดยทาง Wiko เคลมว่าสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องถึง 4 วัน ในลักษณะของการใช้งานทั่วไป แต่ถ้ามีการเปิดใช้งานตลอดเวลาระยะเวลาการใช้งานก็จะลดลง

รอบตัวเครื่องทางฝั่งซ้ายจะเป็นที่อยู่ของถาดซิมที่สามารถใส่ 2 นาโนซิมการ์ด และ ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้สูงสุด 256 GB ทางขวามีปุ่มเปิดปิดเครื่อง ปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเรียกใช้งาน Google Assistant 

ด้านบนจะมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. มาให้ใช้งาน โดยมีหูฟังแถมมาให้ในกล่องด้วย และด้านล่างเป็นพอร์ตไมโครยูเอสดีสำหรับเสียบสายชาร์จ นั่นแปลว่าตัวเครื่องไม่รองรับการชาร์จเร็ว ทำให้ต้องใช้ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรีขนาด 6,000 mAh ค่อนข้างนาน

สเปก และทดสอบประสิทธิภาพSub-Head2

ในแง่ของสเปกตัวเครื่อง Wiko U20 Plus มากับหน่วยประมวลผล MediaTek G35 ที่เป็น Octa Core 2.3 GHz ทำงานร่วมกับกราฟิก PowerVR GE8320 ให้ RAM 3 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 32 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 11

ตัวเครื่องรองรับการเชื่อมต่อ 4G ที่ความเร็วสูงสุด 150/50 Mbps ส่วน WiFi รองรับเฉพาะ 2.4 GHz เท่านั้น ไม่ได้รองรับ WiFi 5 GHz ทำให้การเชื่อมต่อใช้งานจะมีข้อจำกัดพอสมควร ขณะที่บลูทูธให้มาเป็นเวอร์ชัน 4.2 รองรับวิทยุ FM ด้วย

สำหรับการทดสอบใช้งาน Wiko U20 Plus อย่างที่เกริ่นไปตั้งแต่ต้น ว่าตัวเครื่องเหมาะกับการนำไปใช้งานทั่วๆ ไปอย่างเล่นโซเชียลมีเดีย หรือใช้เปิดดู YouTube เป็นหลัก เนื่องจากประสิทธิภาพของตัวเครื่องก็ขึ้นอยู่กับราคาที่จ่ายไป

แต่จุดเด่นที่น่าสนใจของ Wiko U20 Plus ที่ลืมไม่ได้เลยคือขนาดของแบตเตอรีที่ให้มา 6,000 mAh ทำให้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง ทีมงานลองทดสอบใช้งานพบว่าสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 13 ชั่วโมง 38 นาทีสบายๆ แม้ว่าจะมีขนาดหน้าจอใหญ่ถึง 6.8 นิ้วก็ตาม

สรุป

Wiko U20 Plus น่าจะเหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนราคาประหยัด เพราะด้วยราคาเปิดตัวที่ 2,990 บาท แต่ได้เครื่องขนาดหน้าจอ 6.8 นิ้ว แบตเตอรี 6,000 mAh มาใช้งานก็ถือว่าคุ้มค่า กับการใช้งานทั่วไป

เพียงแต่ว่าจะมีข้อจำกัดหลายๆ อย่างในการใช้งาน อย่างเรื่องของการเชื่อมต่อ WiFi 2.4 GHz เท่านั้น พื้นที่เก็บข้อมูลที่ให้มา 32 GB อาจจะไม่เพียงพอกับการใช้งานในระยะยาว ดังนั้นต้องหาไมโครเอสดีการ์ดมาใส่เพื่อเก็บข้อมูลเพิ่ม

Gallery

]]>
Review : Samsung Galaxy S21 Ultra เรือธงสมบูรณ์แบบรอบด้าน https://cyberbiz.mgronline.com/review-samsung-galaxy-s21-ultra/ Mon, 08 Feb 2021 09:34:37 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34771

การที่ ซัมซุง (Samsung) เร่งวางจำหน่าย Galaxy S21 ซีรีส์ให้เร็วขึ้นกว่าปกติ จากเดิมที่อยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์มีนาคม มาเป็นช่วงมกราคา ถือว่าเป็นเตรียมความพร้อมล่วงหน้าในการทำตลาดของซัมซุงได้อย่างน่าสนใจ

ในปีที่ผ่านมา Galaxy S20 ซีรีส์ ถือเป็นช่วงรอยต่อระหว่างสมาร์ทโฟนระหว่างยุคของ 4G และ 5G ทำให้หลายๆ ฟีเจอร์การใช้งานยังมีข้อจำกัดอยู่ และทุกอย่างได้ถูกแก้ไขให้สมบูรณ์แบบมากขึ้นใน Galaxy S21 ซีรีส์ของปีนี้

โดย Samsung Galaxy S21 ซีรีส์ ทั้ง 3 รุ่น รองรับการเชื่อมต่อ 5G ทั้งหมด ซึ่งรุ่นใหญ่อย่าง Galaxy S21 Ultra จะมีความสามารถพิเศษเพิ่มขึ้นมาในเรื่องของกล้อง Space Zoom รวมถึงหน้าจอที่ดีที่สุดในตลาดสมาร์ทโฟนเวลานี้ ที่สำคัญคือรองรับการทำงานร่วมกับ S Pen ด้วย

ข้อดี

  • ดีไซน์ใหม่ กล้องใหม่ เครื่องสีดำเรียบหรู
  • จอ Dynamic AMOLED 2X 120 Hz
  • รองรับ 5G / WiFi 6E / UWB
  • กล้องทุกเลนส์ รองรับถ่าย 4K 60fps

ข้อสังเกต

  • ไม่สามารถใส่ MicroSD เพิ่มได้
  • ราคาค่อนข้างสูง
  • ในกล่องไม่แถมอะเดปเตอร์มาให้

Phantom Black เรียบหรู ดูแพง

ใน Samsung Galaxy S21 Ultra ซัมซุง วางจำหน่ายด้วยกัน 2 สีคือ Phantom Silver และ Phantom Black โดยกลายเป็นว่าสีที่เข้ากับยุคสมัยนี้มากที่สุดกลับเป็นสีคลาสสิกอย่างสีดำ เนื่องจากซัมซุง เลือกใช้เป็นสีดำแบบด้าน ที่ให้ทั้งสัมผัส และสีที่ให้ความหรูหรา เมื่อเทียบกับสีเงิน Phantom Silver จะออกแนวเฉดสีที่สะท้อนออกมามากกว่า

ขนาดของ Samsung Galaxy S21 Ultra จะอยู่ที่ 75.6 x 165.1 x 8.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 227 กรัม ซึ่งยังมากับหน้าจอโค้ง Edge Quad HD+ ขนาด 6.8 นิ้ว เมื่อเทียบกับ S21+ 6.7 นิ้ว และ S21 6.2 นิ้ว จะเป็นแบบจอแบน และความละเอียดหน้าจอเหลือ Full HD+ เท่านั้น

ความเปลี่ยนแปลงหลักๆ ของดีไซน์ตัวเครื่อง S21 Ultra คือลักษณะของวัสดุที่ใช้ และการจัดวางกล้อง โดยทางซัมซุง เลือกใช้กระจก Gorilla Glass Victus ทั้งหน้า และหลัง ประกอบเข้ากับโครงเครื่องที่เป็นโลหะ หล่อขึ้นรูปมาครอบคลุมในส่วนของแผงกล้องด้วย ทำให้บริเวณชุดกล้องจะไม่มีรอยต่อระหว่างตัวเครื่อง

บริเวณขอบเครื่องทั้ง 4 ด้านจะเป็นโลหะขัดเงา โดยมีปุ่มเปิดเครื่อง และปรับระดับเสียงอยู่ทางขวา พอร์ต USB-C ช่องใส่ซิมการ์ดคู่ ไม่รองรับไมโครเอสดีการ์ด ลำโพง ไมโครโฟนสนทนาอยู่ด้านล่าง ด้านบนเป็นช่องไมโครโฟนตัดเสียง และลำโพงอีกจุดทำให้ได้เสียงแบบสเตอริโอเวลาถือเครื่องใช้งานในแนวนอน

เมื่อพลิกมาหลังเครื่องจะเห็นชุดกล้อง 4 เลนส์ ประกอบไปด้วยเลนส์หลัก 108 ล้านพิกเซล อยู่ตรงกลาง เลนส์มุมกว้าง 12 ล้านพิกเซลอยู่ด้านบน และเลนส์ซูมแบบ Periscope 10 ล้านพิกเซล ระยะซูม 10 เท่า อยู่เลนส์ล่าง และมีเลเซอร์โฟกัส ไฟแฟลช และเลนส์ซูม 10 ล้านพิกเซล ระยะซูม 3 เท่าอีกเลนส์

สำหรับแบตเตอรีที่อยู่ภายในของ S21 Ultra จะอยู่ที่ 5,000 mAh รองรับการชาร์จไร้สาย 15W และชาร์จแบบมีสายที่ 25W โดยภายในกล่องที่ให้มาจะมีแค่เเข็มจิ้มซิม และสาย USB-C เท่านั้น ไม่ได้แถมอะเดปเตอร์มาให้ด้วย

จอสวยที่สุดในเวลานี้

อีกจุดที่ Samsung Galaxy S21 Ultra สร้างความประทับในการใช้งานคือการเลือกใช้หน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.8 นิ้ว ที่เป็นจอ OLED แบบพิเศษ ความละเอียดหน้าจอ WQHD+ (3200 x 1440 พิกเซล) รองรับอัตราแสดงผล (Refresh Rate) ที่ 120 Hz ด้วย และกลายเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่แสดงผล 120 Hz บนจอระดับ 2K

ขอบจอของ Note20 Ultra เทียบกับ S21 Ultra

ความพิเศษของจอ Dynamic AMOLED คือมากับ Adaptive Display ที่จะปรับอัตราการแสดงผลได้ตั้งแต่ 10 Hz – 120 Hz ขึ้นอยู่กับคอนเทนต์ที่แสดงผลบนหน้าจอ อย่างถ้าเปิดหน้าเว็บอ่านข้อมูลตัวอักษร เครื่องก็จะปรับลดการแสดงผลลง ถ้าดูหนัง หรือเล่นเกม ก็จะเพิ่มอัตราการแสดงผลขึ้นมาให้เนียนที่สุด

ด้วยเหตุนี้ ซัมซุง จึงสามารถรักษาระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรีใน S21 Ultra ได้อย่างน่าประทับใ แม้ว่าจะเปิดใช้งานจอแบบ Adaptive 120 Hz บนความละเอียด 2K แต่ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรีเมื่อเทียบกับจอความละเอียด Full HD+ แล้วแทบไม่แตกต่างกัน

ไม่เหมือนกับตอน S20 Ultra 5G ในช่วงที่เปิดตัว เมื่อเปิดความละเอียดสูงสุด 2K หรือเลือกใช้ Refresh Rate 120 Hz แบตเตอรีจะหมดเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถือว่าเป็นจุดที่ซัมซุง พัฒนามาได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนทำให้เมื่อใช้งาน S21 Ultra แล้วกลับไปใช้เครื่องอื่นจะรู้สึกว่าจอแสดงผลต่างกันชัดเจน

อีกหนึ่งความสามารถของ S21 Ultra ก็คือหน้าจอรองรับการทำงานร่วมกับ S Pen แล้ว ภายใต้เทคโนโลยีของ Wacom ดังนั้นผู้ที่มีปากกา Wacom อยู่ก็สามารถนำมาใช้จดบันทึก ขีดเขียนได้ทันที หรือถ้ามีปากกา S Pen รุ่นอื่นๆ ก็สามารถนำมาใช้งานได้ เพียงแต่จะไม่มีฟีเจอร์บางอย่างเหมือนใน Note20 อย่างลูกเล่นการตวัดปากกากลางอากาศ

ส่วนในอนาคตเมื่อซัมซุง วางจำหน่าย S Pen+ ที่สามารถเชื่อมต่อบลูทูธได้ ก็จะทำให้ S21 Ultra สามารถใช้งานได้ไม่แตกต่างจากบน Note20 เพียงแต่ก็ต้องแลกกับการพกปากกาแยกจากตัวเครื่อง และขนาดของปากกาก็จะใหญ่ขึ้น และไม่รองรับการชาร์จปากกาจากตัวเครื่องเหมือนในซีรีส์ของ Galaxy Note

กล้องพัฒนาทั้งภาพนิ่ง และวิดีโอ

ต่อเนื่องจากจอแสดงผล กล้องเป็นอีกจุดที่ซัมซุง พัฒนาขึ้นบน S21 Ultra อย่างชัดเจน เรียกได้ว่าเมื่อเทียบกับ Note20 Ultra ที่ออกมาก่อนหน้าไม่กี่เดือนก็เทียบกับรุ่นนี้ได้ยากแล้ว เนื่องจากมีการพัฒนาทั้งในส่วนของเลนส์ที่ใช้ เซ็นเซอร์รับภาพ และการทำงานร่วมกันของเลนส์ซูมคู่ ก่อนนำมาประมวลผลร่วมกับ AI

โดยหลักๆ แล้ว กล้องของ S21 Ultra 5G จะทำงานบนเลนส์ 108 ล้านพิกเซล f/1.8 0.8 µm ในการเก็บภาพรายละเอียดสูง และมีการพัฒนาให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น เมื่อทำงานร่วมกับ Laser Focus ทำให้การโฟกัสภาพทำได้เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนเลนส์ Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล f/2.2 1.4 µm ก็จะช่วยเก็บภาพในมุมกว้าง 120 องศา

ในขณะที่เลนส์ซูมคู่ จะเข้ามารับหน้าที่ในระยะ 3x จากเลนส์ Telephoto 10 ล้านพิกเซล f/2.4 1.22 µm และขยับเป็น 10x ด้วยเลนส์ Telephoto 10 ล้านพิกเซล f/4.9 1.22 µm ซึ่งทุกเลนส์จะสามารถบันทึกวิดีโอความละเอียด 4K 60 fps ได้ด้วย ในขณะที่การถ่ายภาพ 8K จะใช้เลนส์หลัก 108 ล้านพิกเซลเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกล้องหน้า 40 ล้านพิกเซล f/2.2 0.7 µm ที่ให้มาใช้งาน ยังเป็นความละเอียดเท่าเดิม พร้อมปรับให้ถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K 60 fps ได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นทุกกล้องของ S21 Ultra จึงรองรับครีเอเตอร์ที่ชื่นชอบทั้งการถ่ายภาพนิ่ง และภาพวิดีโอ

โหมดถ่ายภาพสำหรับครีเอเตอร์

ในการที่จะเรียกประสิทธิภาพของชุดเลนส์บน S21 Ultra ออกมาให้ดีที่สุด ซัมซุง ได้มีการพัฒนาโหมดถ่ายภาพในหลายๆ รูปแบบ ไล่ตั้งแต่โหมดอัตโนมัติอย่าง Single Take 2.0 ที่ใช้การถ่ายคลิปสั้น แล้วประมวลผลออกมาเป็นภาพนิ่งในช็อตที่ดีที่สุด พร้อมใส่เอฟเฟกต์วิดีโอในบางจังหวะแบบอัตโนมัติ ช่วยให้ไม่พลาดจังหวะสำคัญ

ถัดมาคือการถ่ายภาพนิ่ง ที่รองรับทั้งแบบอัตโนมัติ และแบบมืออาชีพ โดยผู้ใช้สามารถเข้าไปเลือกปรับตั้งค่าได้ตามต้องการ โดยในส่วนของระยะซูม ก็จะมีให้เลือกตั้งแต่ มุมกว้าง ปกติ 3 เท่า และ 10 เท่า ซึ่ง S21 Ultra จะทำการสลับเลนส์อัตโนมัติ ตามระยะที่เลือก โดยคำนวนจากความคมชัดสูงที่สุด ทำให้บางจังหวะเวลาถ่ายภาพซูม ไม่เกิน 5 เท่า จะเป็นการครอบภาพจากเลนส์หลัก 108 ล้านพิกเซลแทน

ระยะซูมที่หวังผลได้ของ S21 Ultra จะอยู่ที่ราว 30x ที่ยังได้ภาพคมชัด สามารถนำไปใช้งานได้ แต่ถ้าเป็นระยะที่เกินขึ้นไปจนถึง 100x รายละเอียดของภาพจะเริ่มหายไป เริ่มมีวุ้นๆ เข้ามาในภาพ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าการถ่ายภาพ 100x บนสมาร์ทโฟนนั้นเพื่อใช้ในการซูมดูรายละเอียดบางอย่างเท่านั้น อาจจะไม่ได้เน้นนำไปใช้งานจริง

ต่อมาในส่วนของการถ่ายวิดีโอ แม้ว่าจะรองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 60fps ทุกเลนส์ แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างเช่นเวลาบันทึกวิดีโออยู่ จะไม่สามารถสลับเลนส์เพื่อเปลี่ยนมุมมองได้ในโหมดปกติ และโหมดมืออาชีพ ทำให้ต้องกดหยุดบันทึกก่อน แล้วทำการเปลี่ยนช็อตใหม่ก่อนถ่ายต่อ

ซัมซุง จึงได้เพิ่มโหมดถ่ายวิดีโออย่าง Director View ขึ้นมาเปิดให้ผู้ใช้สามารถเลือกสลับมุมกล้องระหว่าง 3 ช่วงเลนส์ คือมุมกว้าง มุมปกติ และระยะซูม 3 เท่าได้ พร้อมเปิดให้สามารถบันทึกภาพจากกล้องหน้า และหลังซ้อนกันได้ เหมาะกับครีเอเตอร์ที่ชื่นชอบการทำ Vlog ให้สามารถถ่ายวิดีโอเห็นหน้า และบรรยากาศไปพร้อมกัน

ในภาพรวมแล้วกล้องของ S21 Ultra ถือว่าทำได้ดีขึ้น แก้ไขปัญหาประมวลผลช้าที่เกิดขึ้นใน S20 Ultra 5G ได้อย่างดี จนทำให้ปัจจุบัน S21 Ultra กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ถ่ายทั้งภาพนิ่ง และวิดีโอ ได้ดีที่สุดของซัมซุงในเวลานี้อย่างแน่นอน

ฟีเจอร์ระดับไฮเอนด์

S21 เทียบกับ S21 Ultra

ในส่วนของการใช้งานทั่วไป S21 Ultra ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ครบเครื่องที่สุดในเวลานี้ก็ไม่แปลก เพราะใส่ฟีเจอร์ในการใช้งานระดับไฮเอนด์มาครบ ทั้งเรื่องของการกันน้ำ กันฝุ่น IP68 มีระบบรักษาความปลอดภัย Samsung Knox มาให้ใช้งาน เชื่อมต่อกับจอภาพใช้งาน Samsung DeX แทนคอมพิวเตอร์ได้ทั้งแบบมีสาย และไร้สาย

ไม่นับรวมการเชื่อมต่อระดับไฮเอนด์เช่นกัน ทั้งการที่เป็นสมาร์ทโฟนเครื่องแรกที่รองรับ WiFi 6E ที่เป็นมาตรฐานใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้ใช้งานกันในไทยปลายปีนี้ หรือแม้แต่ 5G ที่สามารถใช้งานได้แล้วในประเทศไทยอย่างเต็มประสิทธิภาพ และยังมีการใส่ UltraWide Band เข้ามาช่วยเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย

ในแง่ของความปลอดภัย รุ่นนี้ยังคงใช้เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอแบบ Ultra Sonic เหมือนใน S20 และ Note20 แต่มีการพัฒนาให้เซ็นเซอร์มีขนาดใหญ่ขึ้น ช่วยให้ปลดล็อกได้แม่นยำมากขึ้น และรองรับการปลดล็อกด้วยใบหน้าจอกล้องหน้าด้วยเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ ซัมซุง ยังได้พัฒนา SmartThings ให้น่าสนใจขึ้น ในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IoT ต่างๆ รวมถึง SmartTag ที่ใช้บลูทูธพลังงานต่ำ ในการค้นหาแท็ก โดยสามารถนำ SmartTag ไปติดไว้กับกุญแจรถ กุญแจบ้าน หรือสิ่งของต่างๆ ที่มีโอกาสลืมวางทิ้งไว้ได้

โดยเมื่อติดตั้ง และเชื่อมต่อ SmartTag เรียบร้อยแล้ว จะสามารถเข้าไปในแอป เพื่อทำการค้นหาสิ่งของนั้นๆ ได้ทันที บนหน้าจอสมาร์ทโฟนจะแสดงผลระดับความแรงของสัญญาณ เพื่อทำให้เห็นว่าเข้าใกล้ SmartTag แล้ว นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งค่า SmartTag ให้กลายเป็นปุ่มอัจฉริยะในการสั่งงานอุปกรณ์ IoT ก็ได้ด้วย

สเปก

Samsung Galaxy S21 Ultra รุ่นที่วางจำหน่ายในประเทศไทย มากับชิปเซ็ตประมวลผล Exynos 2100 บนสถาปัตยกรรมแบบ 5 นาโนเมตร มีการผสมผสานทั้ง CPU GPU NPU หน่วยความจำ และโมเด็ม เข้าไปภายในชิป ทำให้สามารถประมวลผลได้รวดเร็ว และประหยัดแบตเตอรีได้มากขึ้น

โดยในประเทศไทยจะวางจำหน่ายด้วยกัน 3 รุ่นย่อยคือ RAM 12 GB ROM 128 GB ราคา 39,900 บาท RAM 12 ROM 256 GB ราคา 41,900 บาท และ RAM 16 GB ROM 512 GB ราคา 45,900 บาท ตอนที่เลือกซื้ออย่าลืมว่ารุ่นนี้ไม่สามารถเพิ่มไมโครเอสดีการ์ดได้แล้ว ดังนั้นควรเลือกซื้อเป็นรุ่น 256/512 GB เพื่อให้เพียงพอกับการเก็บข้อมูลในระยะยาว

ตัวเครื่องยังรองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.2 NFC มีระบบ Wireless PowerShare ในการเป็นแท่นชาร์จไร้สายให้อุปกรณ์อื่นด้วย ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 11 ครอบด้วย Samsung One UI 3.1 ที่พัฒนาให้การใช้งานรวดเร็ว และใช้งานได้สะดวกขึ้นในทุกๆ ส่วน

ทดสอบประสิทธิภาพ

ด้วยการที่ตัวเครื่อง S21 Ultra ถือเป็นสมาร์ทโฟนในระดับท็อปเวลานี้ ทำให้การใช้งานต่างๆ ทั้งเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง จนถึงการใช้งานทั่วๆไป รองรับการทำงานทั้งหมดอยู่แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ S21 Ultra ทำได้น่าประทับใจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คือเรื่องของแบตเตอรี ที่สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องทั้งวันสบายๆ

อย่างไรก็ตาม ในการทดสอบใช้งานยังพบว่าเวลาที่ใช้ถ่ายวิดีโอกลางแจ้งติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน มีโอกาสที่เครื่องจะร้อนเกิน จนไม่สามารถบันทึกวิดีโอต่อได้ ดังนั้นในการใช้งาน ถ้าต้องถ่ายวิดีโอต่อเนื่อง ให้เว้นช่วงให้เครื่องระบายความร้อนเพิ่มเติมด้วย ส่วนในการใช้เล่นเกม ความร้อนสะสมถือว่าลดลงค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

เลือกรุ่นไหนระหว่าง S21 / S21+ / S21 Ultra

ด้วยการที่ซีรีส์ของ Galaxy S21 ออกมาพร้อมกันทั้งหมด 3 รุ่น โดยมีระดับราคาตั้งแต่ 27,900 – 45,900 บาท แล้วรุ่นไหนจะเหมาะกับการใช้งาน ต้องย้อนกลับไปมองว่า ต้องการสมาร์ทโฟนระดับท็อปที่เน้นการถ่ายภาพนิ่ง หรือวิดีโอระดับ S21 Ultra หรือไม่ ถ้าไม่ได้เน้นถ่ายภาพ ต้องการนำมาใช้งานทั่วไป S21 และ S21+ ก็ตอบโจทย์การใช้งานแล้วในราคาที่ต่ำกว่า เนื่องจากทุกรุ่นตอนนี้รองรับ 5G อยู่แล้วในการซื้อใช้งาน สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องไป 3-5 ปีข้างหน้าสบายๆ

โดยความต่างของ S21 และ S21+ ก็จะขึ้นอยู่กับขนาดหน้าจอ แบตเตอรี เป็นหลัก ส่วนจุดอื่นๆ จะมีเพิ่มเติมอย่าง S21+ จะมี UltraWide Band มาให้เชื่อมต่อกับ IoT อื่นๆ ในอนาคต ซึ่งก็ถือว่าไม่ใช่อุปกรณ์จำเป็นในเวลานี้ ทำให้เลือกได้จากขนาดตัวเครื่องเป็นหลัก ว่าถือแล้วรุ่นไหนถนัดมือใช้งานได้มากกว่ากัน

ส่วนถ้าต้องการสมาร์ทโฟนที่ให้ความเป็นที่สุดในทุกด้านก็จะไปจบที่ S21 Ultra ได้อย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะเรื่องของการแสดงผลที่เป็นหน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ที่ให้สีสันสดใสสวยงามจริงๆ ตามด้วยเรื่องของกล้องที่รองรับการซูม 100x แต่ก็แลกกับน้ำหนักตัวเครื่อง และราคาที่สูงขึ้นด้วย

สรุป

Samsung Galaxy S21 Ultra ถือว่าออกมาแสดงนวัตกรรมในการพัฒนาสมาร์ทโฟนของซัมซุงได้อย่างน่าสนใจ และจะเรียกความเชื่อมั่นจากผู้ใช้กลับมาได้อย่างแน่นอน ด้วยการที่ให้ทั้งหน้าจอ กล้อง ชิปเซ็ตประมวลผลที่แรงขึ้น และรองรับ 5G ด้วย ทำให้สามารถใช้งานได้ทุกรูปแบบ

โดยเฉพาะในกลุ่มของครีเอเตอร์ที่ต้องการสมาร์ทโฟนคู่ใจที่สามารถบันทึกเรื่องราวได้ทุกที่ทุกเวลา รวมถึงผู้ใช้งานทั่วๆ ไปที่ต้องการใช้สมาร์ทโฟนจดบันทึกต่างๆ จากเดิมที่ต้องใช้งาน Galaxy Note ซีรีส์ ก็สามารถเลือกมาใช้งาน S21 Ultra คู่กับ S Pen แทนได้แล้วด้วย

Gallery

]]>
Review : Redmi Note 9T / Redmi 9T สานต่อรุ่นยอดนิยมรับ 5G – แบตฯใหญ่ https://cyberbiz.mgronline.com/review-redmi-note-9t-redmi-9t/ Tue, 12 Jan 2021 07:35:08 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34526

Redmi Note 9T และ Redmi 9T กลายเป็นสมาร์ทโฟน 2 รุ่นที่มาสร้างสีสันให้แก่ Xiaomi อย่างน่าสนใจในช่วงต้นปีนี้ โดย Redmi Note 9T มีความโดดเด่นที่เป็นสมาร์ทโฟนรองรับ 5G ราคาคุ้มที่สุดในเวลานี้ ส่วน Redmi 9T เน้นประสิทธิภาพคุ้มค่า คุ้มราคา

จุดเด่นหลักของ Redmi Note 9T อยู่ที่ชิปเซ็ตที่เลือกใช้งานเป็น MediaTek Dimensity 800U ที่รองรับการเชื่อมต่อ 5G มาพร้อมกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล แบตเตอรี 5,000 mAh ในราคาเริ่มต้น 6,999 บาท (Pre-Order 5,999 บาท)

ในขณะที่ Redmi 9T มากับ Snapdragon 662 ซึ่งรุ่นนี้จะรองรับเฉพาะ 4G เท่านั้น มาพร้อมกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล แบตเตอรี 6,000 mAh รองรับการใช้งานต่อเนื่อง บนหน้าจอขนาด 6.53 นิ้ว

โดยทั้ง 2 รุ่นได้เข้ามาจับตลาดในช่วงระดับราคา 4,499 – 7,499 บาท ของ Xiaomi ซึ่งเข้ามาแทนที่ตระกูล Redmi 9 เดิมที่ครองตำแหน่งสมาร์ทโฟนราคาประหยัด ได้อย่างน่าสนใจ

ข้อดี

  • Redmi Note 9T รองรับ 5G 2 ซิม พร้อมใช้งานในไทย
  • แบตฯ ใหญ่ 5,000 mAh / 6,000 mAh
  • เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ที่ปุ่มเปิดเครื่อง
  • ราคาเข้าถึงได้

ข้อสังเกต

  • Redmi Note 9T ให้ RAM มาค่อนข้างน้อย (4 GB)
  • คุณภาพกล้องตามราคา / Note 9T ไม่มีเลนส์มุมกว้าง
  • หน้าจอค่อนข้างมืดเวลาใช้งานกลางแจ้ง

2 ตัวเลือกสมาร์ทโฟนราคาประหยัด

การวางราคาของ Redmi 9T และ Redmi Note 9T ของ Xiaomi ในคราวนี้ ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะในการใช้งานทั่วไปของสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น นั้นแทบไม่แตกต่างกันมาก เพียงแต่ในการเลือกซื้อควรดูตามรูปแบบการใช้งานด้วย

อย่างในรุ่น Redmi 9T ถ้าต้องการสมาร์ทโฟนที่มาใช้งานทั่วไป เล่นโซเชียลมีเดีย ฟังเพลง ดูหนังสตรีมมิ่ง รุ่นเริ่มต้นอย่าง RAM 4 GB ROM 64 GB ในราคา 4,499 บาท ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

แต่ถ้าต้องการเล่นเกมด้วยแนะนำให้ขยับขึ้นมาเป็นรุ่น RAM 6 GB ROM 128 GB ในราคา 5,299 บาท จะรองรับการใช้งานได้หลากหลายกว่า และการใช้งานโดยรวมก็จะลื่นไหลมากยิ่งขึ้นด้วย

ในขณะที่ Redmi Note 9T นั้น จริงๆ แล้วเหมาะกับผู้ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ 5G เป็นหลัก เพื่อนำมาใช้งานในการดูหนัง ฟังเพลงที่ลื่นไหลเป็นหลัก ส่วนการเล่นเกมบน Redmi Note 9T ถ้าเป็นเกม FPS ทั่วๆ ไปปรับกลางๆ ยังพอเล่นได้ แต่ถ้าปรับสูงขึ้นมา หรือลองเล่น Genshin Impact ที่ค่อนข้างกินสเปก รุ่นนี้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่

ดังนั้น ในการเลือกซื้อควรคำนึงถึงเรื่องของแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตที่ใช้งานเป็นหลัก ถ้ามีความจำเป็นในการใช้งานโมบาย อินเทอร์เน็ต เพื่อใช้ทำงานตลอดเวลาและพร้อมที่จะสมัครแพ็กเกจ 5G ที่มีระดับราคาเดือนละ 699 บาท ขึ้นไป หรือ 1,199 บาท สำหรับเน็ตไม่จำกัด Redmi Note 9T เข้ามาตอบโจทย์แน่นอน

แต่ถ้าไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้งาน 5G ตัวเลือกอย่าง Redmi 9T รุ่น RAM 6 GB ROM 128 GB ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว แต่แน่นอนว่าด้วยราคาเปิดจองของ Redmi Note 9T ที่เริ่มต้น 5,999 บาท และประสิทธิภาพโดยรวมสูงกว่า ย่อมทำให้ตัดสินใจเลือกได้ยากขึ้น

การออกแบบ Redmi 9T / Redmi Note 9T

ด้วยการที่ทั้ง 2 รุ่นอยู่ในซีรีส์ของ Redmi 9 เช่นเดียวกัน ทำให้ทั้ง 2 รุ่นมีขนาดหน้าจอเท่ากันที่ 6.53 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ ซึ่งมีความแตกต่างกันเล็กน้อยในเรื่องของตำแหน่งกล้องหน้า โดย Redmi 9T จะให้กล้องหน้าแบบหยดน้ำ ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ในขณะที่ Redmi Note 9T มากับกล้องหน้าแบบเจาะรู ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล

Redmi 9T เลือกใช้จอ Gorilla Glass 3 ให้ความสว่างหน้าจอสูงสุดที่ 400 nit ตัวเครื่องขนาด 162.3 x 77.3 x 9.6 มิลลิเมตร น้ำหนัก 198 กรัม มีให้เลือกด้วยกัน 4 สี คือ เทา Carbon Gray, น้ำเงิน Twilight Blue, ส้ม Sunrise Orange และเขียว Ocean Green

ด้านหลังของเครื่อง Redmi 9T เลือกใช้วัสดุเป็นพลาสติกแบบด้านช่วยป้องกันรอยนิ้วมือ อย่างในภาพคือรุ่นสีส้ม จะมีการสกรีนตัวอักษร Redmi ขนาดใหญ่เป็นลวดลายไว้ที่ฝาหลังด้วย

กล้องหลักของ Redmi 9T เลือกใช้แบบ 4 เลนส์ โดยมีกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล f/1.79 มาให้ใช้งาน ร่วมกับเลนส์มุมกว้าง 8 ล้านพิกเซล มุมมอง 120 องศา f/2.2 เลนส์ มาโคร 2 ล้านพิกเซล f/2.4 และเลนส์สุดท้ายใช้ในการวัดระยะ 2 ล้านพิกเซล ภายในให้แบตเตอรีขนาด 6,000 mAh

ส่วนรอบตัวเครื่องทางฝั่งขวาเป็นปุ่มปรับระดับเสียง ปุ่มเปิดเครื่อง พร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ด้านซ้ายมีช่องใส่ถาดซิมที่สามารถใช้งาน 2 นาโนซิม พร้อมกับไมโครเอสดีการ์ดได้สูงสุด 512 GB

ด้านบนมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ช่องลำโพง และเซ็นเซอร์อินฟาเรต ด้านล่างเป็นพอร์ต USB-C  พร้อมไมโครโฟน และลำโพงเช่นเดียวกัน โดยรุ่นนี้รองรับการชาร์จเร็ว 18W โดยมีอะเดปเตอร์ 22.5W มาให้ในกล่อง

ขณะที่ Redmi Note 9T เลือกใช้จอ Gorilla Glass 5 ให้ความสว่างสูงสุดที่ 450 nit ขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 161.95 x 77.25 x 9.05 มิลลิเมตร น้ำหนัก 199 กรัม มีให้เลือก 2 สี คือ ดำ Nightfall Black และ ม่วง Daybreak Purple

ด้านหลัง Redmi Note 9T จะมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนในส่วนของกล้องที่จัดเรียงโมดูลทรงกลมอยู่ตรงกลาง กับกล้อง 3 เลนส์ เมื่อรวมกับไฟแฟลชเป็น 4 รูพอดี ภายในเป็นกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล f/1.79 ตามด้วยเลนส์มาโคร 2 ล้านพิกเซล f/1.75 และเลนส์วัดระยะชัดลึก 2 ล้านพิกเซล จะสังเกตได้ว่ารุ่นนี้ไม่มีเลนส์มุมกว้างมาด้วย ภายในให้แบตเตอรีมาขนาด 5,000 mAh

รอบตัวเครื่องทางฝั่งซ้ายจะเป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดเครื่องที่มาพร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ทางฝั่งขวาเป็นถาดซิมแบบ 2 นาโนซิม และใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติมเช่นกัน

ด้านบนตัวเครื่องมีเซ็นเซอร์อินฟาเรตมาให้ใช้งานควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้า พร้อมไมโครโฟน และลำโพง ด้านล่างมีพอร์ต USB-C ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ลำโพง และไมโครโฟนสนทนา รองรับการชาร์จเร็ว 18W เช่นเดียวกัน

สำหรับสเปกของ Redmi 9T มากับหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 662 ที่เป็น Octa-Core 2 GHz สถาปัตยกรรม 11 นาโนเมตร GPU Adreno 610 RAM 4 GB ROM 64/128GB รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 5 บลูทูธ 5.0 รุ่นที่วางจำหน่ายในไทยไม่รองรับ NFC

ส่วน Redmi Note 9T มากับหน่วยประมวลผล MediaTek 800U บนสถานปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร Octa-Core 2.4 GHz GPU Mali-G57 RAM 4 GB ROM 64/128 GB รองรับ WiFi 5 บลูทูธ 5.1 NFC

ทื่สำคัญคือ Redmi Note 9T รองรับการเชื่อมต่อ 5G แบบ 2 ซิม สแตนบาย คือสามารถสลับใช้งานซิมที่ใช้งาน 5G ได้ทันที โดยไม่ต้องรีสตาร์ทเครื่องเพื่อสลับช่องซิมแต่อย่างใด

Redmi Note 9T กับอินเทอร์เน็ตไร้สายพร้อมใช้

ด้วยการที่จุดเด่นของ Redmi Note 9T ใครที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่จะมาปล่อยสัญญาณ 5G ให้ดีไวซ์อื่นๆ อย่างโน้ตบุ๊ก หรือคอมพิวเตอร์ใช้งาน ในช่วงที่ต้องทำงานจากที่บ้าน หรือคอนโด สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างแน่นอน

โดยความน่าสนใจของ Redmi Note 9T คือมากับ WiFi แบบ 4×4 กล่าวคือสามารถใช้ในการปล่อยสัญญาณ WiFi บนคลื่น 5 GHz ได้ ทำให้ได้ความเร็วในการเชื่อมต่อ 5G ไปยังอุปกรณ์ที่รองรับได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่มีคอขวดในการปล่อย HotSpot ใช้งาน

รวมถึงในกรณีที่ต้องการเชื่อมต่อกับ WiFi ตามที่สาธารณะที่มีล็อกอินเดียว ก็สามารถใช้ Redmi Note 9T ปล่อยแชร์อินเทอร์เน็ตด้วยสัญญาณ WiFi ไปได้พร้อมๆ กันด้วย ทำให้รองรับการใช้งานที่หลากหลายขึ้น

แน่นอนว่าด้วยราคาจำหน่ายในช่วงพรีออเดอร์ที่ 5,999 บาท ยิ่งทำให้ Redmi Note 9T น่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถนำมาใช้แทนที่ 5G CPE ที่มีราคาสูงได้ด้วย ดังนั้นใครที่กำลังมองหาอุปกรณ์กระจายสัญญาณ 5G ใช้งานรุ่นนี้รองรับสบายๆ

ประสบการณ์ใช้งาน

ทั้ง Redmi 9T และ Redmi Note 9T ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ก ดูหนัง ฟังเพลงต่างๆ เพราะให้แบตเตอรีมาขนาด 5,000 – 6,000 mAh ทำให้รองรับการใช้งานได้ต่อเนื่อง

ในแง่ของการตอบสนองการใช้งาน ถ้าเป็นการใช้งานทั่วไป ถือว่า MIUI 12 ที่ออกแบบมาให้ใช้งานบน Android 10 นั้นลื่นไหลดี เมื่อเทียบกับระดับราคาเครื่องที่อยู่ราว 4,500 – 7,500 บาท

แต่ถ้ามองถึงดีไวซ์ที่จะมาใช้เล่นเกมลื่นๆ อาจจะต้องมองข้ามทั้ง 2 รุ่นนี้ไปแล้วมองหารุ่นพี่อย่าง Mi 10T ในระดับราคาหมื่นบาทขึ้นไปแทน จะตอบโจทย์การเล่นเกมได้มากกว่าอย่างชัดเจน

ในส่วนของกล้อง ต้องยอมรับว่าด้วยระดับราคาของเครื่อง คุณภาพที่ได้จากการถ่ายภาพเลนส์ 48 ล้านพิกเซล ในสภาพแสงปกตินั้น ถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้ แต่กลับกันการถ่ายภาพในที่แสงน้อยเป็นวุ้นๆ ค่อนข้างเยอะ ทำให้ในภาพรวมถือว่ากล้องที่ได้ตามราคาที่จ่ายไป

อีกจุดที่น่าเสียดายไม่น้อยเลยคือการที่ Redmi ทั้ง 2 เครื่องมีการพรีโหลดแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็นมาให้ด้วย รวมถึงการฝังโฆษณามาในแอปพลิเคชันต่างๆ ดังนั้น หลังจากเปิดใช้งานเครื่องแล้ว ถ้ามีแอปพลิเคชันไหนที่คิดว่าไม่ได้ใช้งานแน่ๆ ก็สามารถลบแอปฯ ที่พรีโหลดมาให้ช่วยเพิ่มพื้นที่ว่างในเครื่องได้ด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพ

Redmi Note 9T

Redmi 9T

ส่วนของการทดสอบประสิทธิภาพ จะเห็นว่า Redmi 9T ถือว่าทำคะแนนออกมาได้อยู่ในระดับกลางๆ ในขณะที่ Redmi Note 9T ตัวเครื่องแรงกว่าอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานเป็นหลักมากกว่า

อย่างไรก็ตาม เมื่อทดสอบในแง่ของแบตเตอรรี Redmi 9T ที่มากับแบตเตอรีขนาด 6,000 mAh นั้นใช้งานได้แบบเปิดจอตลอดกว่า 12 ชั่วโมงครึ่ง และแบตเตอรียังเหลืออีก 20% ในขณะที่ Redmi Note 9T ใช้งานได้ต่อเนื่องเกือบๆ 9 ชั่วโมง

ดังนั้น ถ้าต้องการสมาร์ทโฟนแบตอึด ใช้งานได้ยาวๆ เปิดหนัง ฟังเพลง Redmi 9T สามารถใช้งานได้ตลอดวัน ส่วน Redmi Note 9T แม้ว่าจะใช้งานต่อเนื่องได้น้อยกว่า แต่ก็แลกมากับการเชื่อมต่อ 5G ที่ได้ความเร็วในการใช้งานเร็วขึ้นด้วย

สรุป

Redmi 9T และ Redmi Note 9T ถือว่าเข้ามาสานต่อความสำเร็จของซีรีส์ Redmi 9 ที่ขายไปแล้วมากกว่า 20 ล้านเครื่องได้อย่างน่าสนใจ โดยจุดเด่นหลักของ Redmi 9T คือเรื่องของแบตเตอรี ในขณะที่ Redmi Note 9T จะเน้นการเชื่อมต่อ 5G

ดังนั้นใครที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนราคาเข้าถึงได้ในช่วง 4,500 – 7,500 บาท ลองดูทั้ง 2 รุ่นนี้เป็นตัวเลือกได้ เพราะในการใช้งานทั่วๆ ไป เพียงพอกับการใช้งานแน่นอน แต่ถ้ามีงบประมาณในระดับหมื่นบาท Mi 10T ยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสุดของ Xiaomi ในเวลานี้

  • Redmi Note 9T ขนาด 4 GB + 64 GB ราคาพิเศษ 5,999 บาท จากราคาปกติ 6,999 บาท เลือกซื้อได้ที่ลิงก์ https://bit.ly/38eS2xu
  • Redmi Note 9T ขนาด 4 GB + 128 GB ราคาพิเศษ 6,599 บาท จากราคาปกติ 7,499 บาท เลือกซื้อได้ที่ลิงก์ http://bit.ly/3ngkjYP
  • Redmi 9T ขนาดความจุ 4 GB + 64 GB ราคา 4,499 บาท วางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2564
  • Redmi 9T ขนาดความจุ 6GB + 12 GB ราคา 5,299 บาท วางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2564

Gallery

]]>
Review : Sony Xperia 5 II เครื่องแรง กล้องดี จับถือถนัดมือ https://cyberbiz.mgronline.com/review-sony-xperia-5-ii/ Tue, 29 Dec 2020 11:49:11 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34406

โซนี่ (Sony) ยังคงความโดดเด่นในการผลิตสมาร์ทโฟนในขนาดตัวเครื่องที่พกพาใช้งานง่าย ด้วยการเลือกผลิตสมาร์ทโฟนในสัดส่วนหน้าจอแบบ 21:9 ต่อเนื่องจากในช่วงกลางปีที่นำเสนอ Xperia 1 II ตามด้วยการส่ง Xperia 5 II สู่ตลาดในช่วงปลายปี

ความโดดเด่นของ Xperia 5 II ถือพัฒนาขึ้นมาจากรุ่นก่อนหน้าคือ ปรับหน้าจอแสดงผลให้รองรับ Refresh Rate 120 Hz ในขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว ใส่สเปกจัดเต็มมาด้วย Snapdragon 865 5G ทำให้รองรับการใช้งานยาวๆ ต่อไปในอนาคต

อีกจุดก็คือการนำเทคโนโลยีที่โซนี่ มีความเชี่ยวชาญทั้งด้านภาพ เสียง และกล้องถ่ายภาพ มารวมกันไว้ให้ใช้งานในสมาร์ทโฟนเครื่องนี้ ทำให้โดยรวมแล้ว รุ่นนี้จะเข้ามาตอบโจทย์ผู้ที่ช่ืนชอบ โซนี่ และต้องการเครื่องในระดับราคาไม่เกิน 30,000 บาท ได้อย่างแน่นอน

ข้อดี

  • ตัวเครื่องขนาดพอดีมือ
  • หน้าจอรองรับ Refresh Rate 120 Hz
  • กันน้ำ กันฝุ่น IP65/68
  • มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.

ข้อสังเกต

  • รองรับ 5G บนคลื่น 700 MHz ทำให้ต้องรอโอเปอเรเตอร์ในไทยขยายพื้นที่ให้บริการ
  • ไม่รองรับการชาร์จไร้สาย

การออกแบบ

Sony Xperia 5 II ถือว่าอยู่ในกลุ่มสมาร์ทโฟนที่มีขนาดตัวเครื่องเล็ก พกพาง่าย เพราะสามารถถือใช้งานได้ด้วยมือข้างเดียว จากการที่โซนี่เลือกใช้สัดส่วนหน้าจอแบบ CinemaWide 21:9 ทำให้มือถือขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว มาในทรงยาวคล้ายรีโมททีวีเช่นเดิม

จนกลายเป็นจุดเด่นที่ทำให้ผู้ที่ชื่นชอบโซนี่ ให้ความสนใจ เพราะจะได้มือถือที่ถือใช้งานมือเดียวได้สะดวก ในขนาดตัวเครื่อง 158 x 68 x 8 มิลลิเมตร น้ำหนัก 163 กรัม นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังกันน้ำ กันฝุ่นมาตรฐาน IP65/68 อีกด้วย


ในส่วนของหน้าจอที่ให้มาเป็นกระจก Corning Gorilla Glass 6 ขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว ที่เป็นจอแบบ OLED HDR ความละเอียด FHD+ (2520 x 1080 พิกเซล) ความน่าสนใจก็คือมากับอัตรารีเฟรชที่ 120 Hz พร้อมเทคโนโลยี Motion Blur Reduction 240 Hz และอัตราการสัมผัสที่ 240 Hz

ส่วนบนของหน้าจอมีกล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/2.0 ซึ่งด้วยการที่โซนี่ ไม่ได้เลือกใช้จอแบบเจาะรู ทำให้ยังมีการเว้นพื้นที่บริเวณขอบบน และขอบล่างของหน้าจออยู่ ซึ่งกลายเป็นช่วยให้เวลาใช้งานตัวเครื่องในแนวนอน อุ้งมือจะไม่ไปสัมผัสโดนหน้าจอในขณะถือใช้งานด้วย

รอบตัวเครื่องของ Xperia 5 II ทางฝั่งซ้าย จะมีช่องใส่ซิมการ์ดแบบไฮบริด ที่สามารถเลือกใส่นาโนซิมการ์ด พร้อมกับ MicroSDXC ความจุสูงสุด 1 TB ที่จะมีซีลยางปิดไว้เพื่อป้องกันน้ำกันฝุ่น ทำให้ไม่ต้องใช้งานร่วมกับเข็มจิ้มซิม

ทางฝั่งขวา จะมีทั้งปุ่มเพิ่มลดเสียง ปุ่มเปิดเครื่องที่ใช้เป็นจุดสแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อกตัวเครื่อง ปุ่มลัดสำหรับเรียกใช้งาน Google Assistant และปุ่มเรียกใช้งานกล้อง ที่เปลี่ยนเป็นชัตเตอร์ในการถ่ายภาพเมื่อเข้าสู่โหมดกล้องด้วย

ด้านบนมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. มาให้ใช้งานเพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีขึ้น และลดสัญญาณรบกวนลดเหลือน้อยกว่า 20dB ด้านล่าง จะมีช่องไมโครโฟน และ USB-C ให้เสียบชาร์จแบตเตอรี และเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ตามปกติ

ด้านหลัง Xperia 5 II มากับกล้องหลัก 3 เลนส์ ที่นำชิ้นเลนส์ของ ZEISS มาใช้งาน ความละเอียดเท่ากันทั้งหมดที่ 12 ล้านพิกเซล ใน 3 ระยะเลนส์ เริ่มต้นที่เลนส์ปกติ 24 มม. f/1.7 ตามด้วยเลนส์ซูม 70 มม. f/2.4 และเลนส์มุมกว้าง 16 มม. f/2.2 พร้อมกับไฟแฟลช โดยมีสัญลักษณ์ NFC อยู่ข้างๆ กล้องด้วย

ภายในตัวเครื่องให้แบตเตอรีมาขนาด 4000 mAh รองรับการชาร์จเร็วแบบ USB PD (USB Power Delivery) เมื่อใช้งานร่วมกับอะเดปเตอร์ที่ปล่อยไฟ 21W ขึ้นไป จะสามารถชาร์จได้ 50% ภายใน 30 นาที

ในส่วนของสเปกตัวเครื่อง มากับซีพียู Qualcomm Snapdragon 865 RAM 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูลในตัวเครื่อง 256 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10 และรองรับการอัปเกรดเป็น Android 11 ในอนาคตอันใกล้นี้

ขณะที่การเชื่อมต่อรองรับ WiFi 6 บลูทูธ 5.1 พร้อมระบบระบุพิกัด (GPS) รวมถึง 4G และ 5G เพียงแต่ไม่รองรับการใช้งานบนคลื่น 2600 MHz ทำให้ต้องรอโอเปอเรเตอร์ในไทยนำคลื่น 700 MHz มาให้บริการ 5G ก่อนถึงจะสามารถใช้งานได้ หรือรอการประมูลคลื่น 3500 MHz ที่เป็นอีกหนึ่งคลื่นมาตรฐานของ 5G

รวมความเชี่ยวชาญ โซนี่ สู่มือถือ

ด้วยการที่จุดเด่นของสมาร์ทโฟน Xperia ของโซนี่ คือการนำความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีทั้งการแสดงผล จากโทรทัศน์ Bravia กล้องจาก Alpha และระบบเสียงระดับ Hi-Res Audio มาผสมผสานออกมากลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ครบเครื่อง

Sony Xperia 5 II จึงกลายเป็นสมาร์ทโฟนที่มีความครบเครื่องทั้งเรื่องของการถ่ายภาพวิดีโอ ภาพนิ่ง ระบบการแสดงผลบนหน้าจอ CinemaWide ประสบการณ์เล่นเกม จากขุมพลังของ Snapdragon 865 รวมกับการที่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. มาให้ใช้งานคู่กับหูฟัง จึงทำให้รุ่นนี้มีความครบเครื่องในแง่ของการส่งมอบความบันเทิงเป็นอย่างมาก

แน่นอนว่า เมื่อเทียบกับ Xperia 1 II ที่วางจำหน่ายไปก่อนหน้า อาจจะมีบางอย่างเช่นเรื่องขนาดของหน้าจอที่ใหญ่กว่า (6.5 นิ้ว ความละเอียด 4K) แต่เป็น Refresh Rate 60 Hz กล้องหลักมีเซ็นเซอร์ 3D มาช่วยในการโฟกัสเพิ่มเติม และขนาดเครื่องที่ใหญ่กว่า

แต่เมื่อดูในแง่ของความคุ้มค่าแล้ว Xperia 5 II ในระดับราคาที่ต่ำกว่า เพราะเปิดราคามา 28,990 บาท แม้จะได้จอเล็กลงเป็น 6.1 นิ้ว แต่ในภาพรวมของการใช้งานแล้ว ถือว่าพกพาง่าย รองรับการแสดงผลในระดับ Refresh Rate 120 Hz ทำให้การเล่นเกมทำได้ลื่นไหลมากกว่าด้วย

ทีนี้ มาเจาะลึกถึงความสามารถของ Xperia 5 II กันบ้าง เริ่มจากจุดเด่นที่สุดของรุ่นนี้คือหน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว นั้นมีการนำชิป X1 สำหรับมือถือ ในการแสดงผลเทคโนโลยี Bravia HDR ช่วยให้คอนเทนต์ที่รับชมมีสีสัน และคมชัดมากขึ้นกว่าปกติ ขณะเดียวกัน ประสบการณ์เล่นเกมบนหน้าจอสัมผัสที่แสดงผลแบบ 120 Hz และรองรับอัตราการสัมผัสที่ 240 Hz จะช่วยให้เล่นเกมได้สนุกขึ้นด้วย

ถัดมาคือเรื่องของกล้องที่โซนี่ เลือกนำเทคโนโลยีกล้องจาก Alpha มาช่วยเสริมประสิทธิภาพของกล้องบนสมาร์ทโฟน ทำให้ Xperia 5 II สามารถตรวจจับโฟกัสดวงตาแบบอัตโนมัติ ช่วยให้ถ่ายภาพผู้คน หรือสัตว์ที่กำลังเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว

ประกอบกับการนำเลนส์ ZEISS มาใช้ร่วมกับเซ็นเซอร์กล้องหลัก Exmor RS ขนาด 1/1.7 นิ้ว ทำให้สามารถเก็บรายละเอียดได้คมชัด มีการนำระบบประมวลผลภาพ BIONZ X มาใช้ให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น

โดยความน่าสนใจคือโหมดถ่ายภาพที่ให้มาใน Xperia 5 II คือการมีแอปกล้องให้เลือกใช้งานทั้งสำหรับการใช้งานทั่วไปแบบอัตโนมัติ จนถึงแอปฯ ถ่ายภาพสำหรับมืออาชีพ ให้เลือกปรับแต่งการตั้งค่าต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ช่วยให้สามารถสร้างสรรค์ภาพนิ่ง และวิดีโอได้อย่างที่ต้องการ

ทดสอบประสิทธิภาพ

สำหรับประสิทธิภาพของของ Sony Xperia 5 II นั้นต้องยอมรับว่าอยู่ในกลุ่มของสมาร์ทโฟนเรือธงอยู่แล้ว ทำให้รองรับการใช้งานต่างๆ บนสมาร์ทโฟนได้ครบถ้วน และที่สำคัญเมื่อจอมีขนาดเล็กลงทำให้การใช้งานแบตเตอรีต่อการชาร์จทำได้นานขึ้นมากกว่า 13 ชั่วโมง

สรุป

สำหรับผู้ที่สนใจ Sony Xperia 5 II โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบสมาร์ทโฟนขนาดพกพาง่าย การเปิดราคาค่าตัวที่ 28,990 บาท ถือว่าไม่ใช่ราคาที่สูงเกินไปนัก เพราะได้เข้าถึงเทคโนโลยีทั้งเรื่องภาพ กล้อง เสียง จากโซนี่ รวมถึงการเลือกใช้ซีพียูระดับไฮเอนด์ ทำให้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวๆ

อย่างไรก็ตาม Xperia 5 II อาจจะไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการใช้งาน 5G ในไทยเท่าไหร่ เพราะตัวเครื่องไม่ได้รองรับคลื่น 2600 MHz ซึ่งเป็นคลื่นหลักที่โอเปอเรเตอร์นำมาให้บริการ แต่ในอนาคตถ้ามีการนำคลื่น 3500 MHz มาประมูล เครื่องรุ่นนี้จะรองรับการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแน่นอน

Gallery

]]>
Review : Motorola Razr 5G ปลุกตำนานสมาร์ทโฟนจอพับ https://cyberbiz.mgronline.com/review-motorola-razr-5g/ Tue, 22 Dec 2020 07:15:24 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34351

การกลับมาทำตลาดสมาร์ทโฟนในไทยอีกครั้งของ โมโตโรล่า (Motorola) ในปีนี้ ไม่ใช่มาแค่สมาร์ทโฟนระดับกลางล่าง ในซีรีส์ยอดนิยมอย่าง Moto G เท่านั้น แต่มีการนำนวัตกรรมจอพับอย่าง Razr 5G เข้ามาขายในไทยด้วย

ความโดดเด่นของ Motorola Razr 5G คือการนำดีไซน์สุดคลาสสิกของ Razr ในทรงฝาพับเครื่องบาง กลับมาทำตลาดอีกครั้ง กับสมาร์ทโฟนจอพับของโมโตโรล่า ที่ได้รับการอัปเกรดให้รองรับ 5G

เมื่อเทคโนโลยีจอพับ เริ่มกลายเป็นนวัตกรรมที่เข้าถึงได้ของสมาร์ทโฟน หลังจากที่เห็นหลายๆ แบรนด์เริ่มผลิตมือถือจอพับออกสู่ตลาด จึงไม่แปลกที่แบรนด์อย่าง Motorola ที่โดดเด่นในเรื่องสมาร์ทโฟนจอพับทรงคลาสสิกจะให้ความสนใจ

Motorola Razr เป็นสมาร์ทโฟนจอพับที่มากับจอแสดงผล 2 หน้าจอ ให้ใช้งานด่วนๆ ด้านนอก และใช้งานแบบเต็มที่เมื่อกางหน้าจอออกมา ทำให้ได้ขนาดจอ 6.2 นิ้ว ในตัวเครื่องเล็ก พกพาง่าย ในราคา 44,990 บาท

ข้อดี

  • สมาร์ทโฟนจอพับหน้าจอ 6.2 นิ้ว
  • รองรับการเชื่อมต่อ 5G
  • กล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล ที่ใช้ถ่ายเซลฟี่ได้ด้วย
  • ตัวเครื่องแข็งแรง โดนเฉพาะข้อต่อพับหน้าจอ

ข้อสังเกต

  • ไม่กันน้ำ กันฝุ่น จากการที่ตัวเครื่องเป็นจอพบ
  • ปุ่มสแกนลายนิ้วมือ อยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานได้ยาก
  • ไม่มีกล้องมุมกว้าง-เทเลโฟโต้มาด้วย
  • ราคาค่อนข้างสูง

มือถือจอพับ ปลุกตำนาน RAZR

ถ้ามองไปในยุคของโทรศัพท์มือถือจอพับสมัยก่อน เชื่อว่า Motorola Razr ได้กลายเป็นโทรศัพท์เครื่องโปรดของใครหลายๆ คนที่อาจจะเคยใช้งาน หรือได้สัมผัสถึงความบางของมือถือในยุคนั้น

จนทำให้ Razr กลายเป็นหนึ่งในตำนานที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของ Motorola และมีการนำซีรีส์นี้กลับมาผลิตใหม่ในยุคสมาร์ทโฟนหลายๆ ครั้ง เพียงแต่ที่ผ่านมานวัตกรรมจอพับยังไม่เกิดขึ้น ทำให้เน้นจุดเด่นเรื่องความบางของตัวเครื่องเป็นหลัก

ในวันที่มือถือจอพับกลับมาเป็นเทคโนโลยีใหม่ในตลาดอีกครั้ง Motorola จึงไม่รอช้าที่จะนำซีรีส์ Razr กลับมาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง ในการเป็นสมาร์ทโฟนจอพับ ที่จะเรียกความเชื่อมั่นแบรนด์กลับมา

ดีไซน์ของ Motorola Razr 5G นั้น ถือว่าพยามนำจุดเด่นของ Razr กลับมา ในการเป็นมือถือจอพับแบบฝาหอย แต่ด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่างทำให้ตัวเครื่องเวลาพับหน้าจอนั้น ยังค่อนข้างหนาอยู่

ขนาดของตัวเครื่องเวลาพับจะอยู่ที่ 91.7 x 72.6 x 16 มิลลิเมตร ด้านหน้าจะมีจอแสดงผลขนาด 2.7 นิ้ว (800 x 600 พิกเซ,)ให้ใช้สั่งงานแบบง่ายๆ ในกรณีที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลในสมาร์ทโฟนแบบด่วนๆ

ด้านล่างหน้าจอจะเป็นกล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช ซึ่งการที่มี 2 จอทำให้สามารถใช้กล้องนี้ในการถ่ายภาพเซลฟี่ได้เช่นเดียวกัน

เมื่อกางหน้าจอขึ้นมาตัวเครื่องจะอยู่ที่ 169.2 x 72.6 x 7.9 มิลลิเมตร น้ำหนักจะอยู่ที่ 192 กรัม ถ้าดูที่ความหนาของตัวเครื่องเมื่อพับหน้าจอจะอยู่ที่ 16 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าค่อนข้างหนาเมื่อเทียบกับขนาดของสมาร์ทโฟนทั่วไป แต่เมื่อกางหน้าจอออกมาเหลือ 7.9 มิลลิเมตร ก็นับว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่บางมากๆ รุ่นหนึ่ง

ในส่วนของหน้าจอแสดงผลด้านในจะมีขนาด 6.2 นิ้ว (2142 x 876 พิกเซล) ในสัดส่วน 21:9 ซึ่งจะเห็นว่าจอค่อนข้างยาว เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนทั่วไปในท้องตลาด โดยจอจะมีแถบกล้องหน้าความละเอียด 20 ล้านพิกเซล อยู่ด้วย

สำหรับปุ่มควบคุมรอบตัวเครื่องทางซ้าย จะมีปุ่มเปิดเครื่องอยู่ที่ขอบจอส่วนบน และปุ่มปรับระดับเสียงอยู่ทางฝั่งขวา ทำให้เวลากางหน้าจอใช้งาน จะรู้สึกว่าตำแหน่งของปุ่มอยู่สูงไปสักหน่อย

ด้านหลังเครื่อง จะมีสัญลักษณ์ของ Motorola อยู่ ซึ่งเป็นที่อยู่ของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้วย ซึ่งเวลาถือจะปลดล็อกใช้งานต้องขยับจุดในการจับตัวเครื่องเล็กน้อย ถึงจะสามารถสแกนลายนิ้วมือได้อย่างง่ายๆ

ส่วนข้อต่อจอพับของ Motorola Razr 5G นั้นถูกออกแบบมาได้เป็นอย่างดี และถือว่าทำมาได้แข็งแรงมากๆ เพราะด้วยลักษณะการใช้งานของมือถือฝาพับ ในกรณีที่สะดวกเปิดใช้งานมือเดียว เรายังสามารถใช้นิ้วแทรกเข้าไป และเหวี่ยงหน้าจอให้เปิดได้เหมือนเดิม

ด้านล่างของเครื่องจะมีพอร์ต USB-C ถาดใส่ซิมการ์ดแบบนาโนซิม ไมโครโฟน และลำโพงอยู่ ซึ่งทำให้บริเวณนี้หนาขึ้นมาเล็กน้อย ส่งผลให้เวลาสัมผัสขอบล่างของหน้าจอจะชอบโดนตรงจุดนี้เป็นประจำ

แบตเตอรีของ Motorola Razr 5G มีขนาด 2800 mAh รองรับการชาร์จเร็วแบบ TurboPower 15W โดยเท่าที่ใช้งานมา แม้ว่าจะเชื่อมต่อ 5G ตลอดเวลา ก็สามารถใช้งานได้ตลอดวันสบายๆ

สเปก

ในส่วนของสเปกตัวเครื่อง Motorola Razr 5G มากับซีพียู Qualcomm Snapdragon 765G กราฟิก Aderno 620 RAM 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 256 GB (ไม่สามารถใส่ MicroSD การ์ดเพิ่มเติมได้)

รองรับการเชื่อมต่อทั้ง 4G 5G Wi-Fi 5 บลูทูธ 5.1 NFC GPS เรียกว่าใส่มาให้ครบถ้วนทั้งหมด ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10 ที่รองรับการอัปเกรดเป็น Android 11 ในอนาคต

การใช้งาน RAZR 5G

ด้วยการที่ตัวเครื่อง Razr 5G มีหน้าจอแสดงผลภายนอก ที่เรียกว่า Quick View มาให้ใช้งานด้วย ในหน้าจอนี้ เราสามารถเข้าถึงการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ได้ทันทีที่เราปลดล็อกเครื่อง

ดังนั้นถ้ามีข้อความแจ้งเตือนเข้ามา ก็สามารถใช้นิ้วปลดล็อกที่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านหลังเครื่อง เพื่อดูข้อความได้ทันที หรือแม้แต่เข้าใช้งานแอปโซเชียลมีเดียต่างๆ

โดยผู้ใช้สามารถเข้าไปเลือกตั้งแอปฯ ด่วนที่ใช้งานประจำไว้เรียกใช้งานได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เข้าโหมดกล้องเพื่อถ่ายภาพจากกล้องหลัง 48 ล้านพิกเซลได้ทันที

ความน่าสนใจก็คือเวลาที่ใช้งานแอปฯ ในหน้าจอเล็กอยู่แล้วเปิดฝาขึ้นมา ถ้าเป็นแอปที่รองรับการใช้งานแบบต่อเนื่อง อย่างแอปของ Google อย่าง Maps หรือ YouTube ก็สามารถเข้าถึงคอนเทนต์ได้ต่อทันที

เมื่อเปิดฝาพับขึ้นมา ก็จะพบกับหน้าจออินเตอร์เฟสแบบ My UX ที่มาพร้อม Android 10 แบบโล่งๆ ไม่ได้มีการปรับแต่งอะไรเพิ่มเติมมากนัก ทำให้การใช้งานโดยรวมค่อนข้างลื่นไหล

ในส่วนของกล้องถ่ายภาพที่ให้มาทั้งกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล และกล้องเซลฟี่ 20 ล้านพิกเซล ก็ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานอยู่แล้ว

ตัวเครื่อง Razr 5G ยังมีฟีเจอร์การควบคุมต่างๆ (Moto Actions) ที่น่าสนใจ อย่างการถ่ายภาพด่วน สามารถทำได้ด้วยการสบัดข้อมือ 2 ครั้ง เปิดไฟฉายด้วยการเขย่ายเครื่อง 2 ครั้ง หรือการใช้สามนิ้วแตะที่หน้าจอค้าง เพื่อจับภาพหน้าจอ มาให้เพิ่มเติมด้วย

สำหรับการใช้งานทั่วไป Razr 5G ถือว่ารองรับทุกรูปแบบการใช้งานอยู่แล้ว แต่ด้วยตัวเครื่องที่มาเป็นลักษณะของฝาพับ อาจจะไม่เหมาะกับการใช้งานเล่นเกมมากสักเท่าไหร่ เนื่องจากเวลาใช้งานตัวเครื่องในแนวนอน บริเวณขอบเครื่องด้านล่างจะทำให้การสัมผัสหน้าจอแถวๆ นั้นยากขั้น

ประกอบกับตัวจอแสดงผลที่เป็นแบบจอพับ ยังไม่ได้เรียบเนียนเหมือนจอแสดงผลแบบปกติ ทำให้เวลาลูบผ่านจะรู้สึกว่าจอบริเวณแกนฝาพับนั้นยุบลงไปเล็กน้อย

อีกอย่างคือจอพับของ Razr 5G นั้น ยังไม่สามารถใช้งานในลักษณะของการงอหน้าจอเหมือนใน Galaxy Z Flip ทำให้ลักษณะการใช้งานจะอยู่ในรูปแบบของการกางจอจนสุดเท่านั้น

สรุป

Motorola Razr 5G ได้เรียกกลิ่นอายของ Razr กลับมาได้อย่างน่าสนใจ ผู้ที่ชื่นชอบโทรศัพท์แบบฝาพับน่าจะชื่นชอบรุ่นนี้ได้ไม่ยาก ที่สำคัญคือการที่ตัวเครื่องรองรับ 5G ทำให้สามารถใช้งานได้ยาวๆ

เช่นเดียวกับงานประกอบ และวัสดุของตัวเครื่อง ที่ให้ความรู้สึกพรีเมียม แกนของฝาพับทำได้แข็งแรง รองรับการพับจอ และกางจอได้เป็นอย่างดี

แต่ด้วยลักษณะของการใช้งานจะเน้นที่การใช้เป็นโทรศัพท์ และใช้งานทั่วๆ ไปมากกว่า ไม่ได้เด่นในแง่ของกล้องถ่ายภาพ หรือการเล่นเกม เพราะให้กล้องมาระยะเดียว และซีพียูที่เลือกใช้ก็ไม่ใช่รุ่นท็อปสุด

Motorola Razr 5G วางจำหน่ายแล้วในราคา 44,990 บาท มีให้เลือกสีเดียวคือ สีเทาเข้ม Polished Graphite

]]>
Review : Xiaomi Mi 10T Pro สมาร์ทโฟน 5G สเปกเรือธง ราคาคุ้มค่า https://cyberbiz.mgronline.com/review-xiaomi-mi-10t-pro/ Mon, 30 Nov 2020 06:35:13 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34274

หนึ่งในปรากฏการณ์ เสียวหมี่ (Xiaomi) ที่เกิดขึ้นในปี 2020 คือการสร้างความคุ้มค่าในการเข้าถึงสมาร์ทโฟน 5G ให้คนไทยได้ใช้งานเครื่องประสิทธิภาพสูงในระดับไฮเอนด์ ในราคา 13,990 บาท ทำให้แบรนด์ของ Xiaomi ได้รับการพูดถึงมากยิ่งขึ้น

ภาพของการต่อแถวจองเครื่องสมาร์ทโฟนในระดับราคาหมื่นกลางๆ นั้นแทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย จะมีก็แต่มือถือระดับไฮเอนด์เกิน 2 หมื่นบาท เท่านั้นที่เคยเกิดขึ้น แต่ Xiaomi ทำได้ ในการเปิดจอง Mi 10T และ Mi 10T Pro

ความโดดเด่นของ Mi 10T Pro คือการเป็นสมาร์ทโฟนที่ครบเครื่องในระดับราคาที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ ด้วยการเลือกนำซีพียูอย่าง Snapdragon 865 มาใช้งานร่วมกับโมเด็มที่รองรับ 5G หน้าจอที่ตอบสนองการแสดงผลแบบ 144 Hz แบต 5000 mAh รองรับชาร์จเร็ว 33W ในราคาเริ่มต้น 13,990 บาท

ข้อดี

  • ประสิทธิภาพสูงจาก Snadragon 865
  • หน้าจอ 6.67 นิ้ว แบบ Adaptive Display 144 Hz
  • รองรับการใช้งาน 5G ในไทย

ข้อสังเกต

  • ไม่รองรับระบบชาร์จไร้สาย
  • ฝาหลังเป็นรอยนิ้วมือค่อนข้างง่าย

ดีไซน์ตัวเครื่อง

Xiaomi Mi 10T Pro ใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียมผสมกับกระจกหน้าหลัง ทำให้ตัวเครื่องดูมีความหรูหรามากยิ่งขึ้น โดยมีให้เลือกทั้งหมด 3 สี คือ ดำ Cosmic Black เงิน Lunar Silver และ น้ำเงิน Aurora Blue ขนาดตัวเครื่อง 165.1 x 76.4 x 9.33 มิลลิเมตร น้ำหนัก 218 กรัม 

อย่างไรก็ตาม หน้าจอของ Mi 10T Pro ขนาด 6.67 นิ้ว ยังคงเลือกใช้หน้าจอแบบ LCD ไม่ได้เปลี่ยนมาใช้จอ OLED ที่ให้สีสันสดใสกว่า แต่ก็แลกมากับรองรับการ Refresh Rate สูงสุดที่ 144 Hz โดยตัวเครื่องจะมีระบบอย่าง AdaptiveSync มาช่วยคำนวนการปรับอัตราการแสดงผลให้เหมาะสมเพื่อประหยัดพลังงานมากขึ้น

กล้องหน้าแบบเจาะรูที่ให้มาความละเอียด 20 ล้านพิกเซล f/2.2 มีโหมดถ่ายภาพบุคคลมาให้ ทำงานร่วมกับ AI ในการตรวจจับฉากหลังต่างๆ ถ่ายวิดีโอได้สูงสุด Full HD 30 fps

ด้านหลังของตัวเครื่องด้วยการที่ใช้กระจก ทำให้สะท้อนแสงได้หลากหลายมุม และมีรอยนิ้วมือติดค่อนข้างง่าย โดยมีชุดเลนส์กล้องอยู่ที่มุมซ้ายบน ร่วมกับไฟแฟลช และมีสัญลักษณ์ Mi อยู่ที่ซ้ายล่าง

ด้านซ้าย จะถูกปล่อยว่างไว้ ด้านขวามีปุ่มเปิดปิดเครื่อง ที่ฝั่งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ด้วย และปุ่มเพิ่มลดเสียง ด้านล่างจะมีช่องใส่ถาดซิม ลำโพง และพอร์ต USB-C สำหรับเสียบสายชาร์จ และเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์

รองรับ 5G ราคาคุ้มค่า

การทำราคาจำหน่ายของ Xiaomi Mi 10T 5G ในราคา 13,990 บาท นั้นเรียกได้ว่า ทำให้ตลาดราคาสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ได้รับผลกระทบพอสมควร โดยเฉพาะในกลุ่มของ Galaxy S20 FE ที่ใช้หน่วยประมวลผลรุ่นเดียวกัน แต่ราคาอยู่ที่ราว 2 หมื่นบาท

ประกอบกับการที่ เสียวหมี่ มองว่ารุ่นนี้เป็นเครื่องไฮไลท์ส่งท้ายปี ที่มากระตุ้นตลาดสมาร์ทโฟน และยอดขายของเสียวหมี่ให้เติบโต จึงทำให้ตั้งราคามาได้น่าสนใจ โดยสามารถเลือกได้ตั้งแต่ 11,990 – 15,990 บาท ขึ้นอยู่กับว่าต้องการสเปกไหน รองรับ 5G หรือไม่

ดังนั้น ถ้าใครที่มีงบประมาณจำกัดอยู่ในช่วงหมื่นต้นๆ Xiaomi Mi 10T ซีรีส์ ถือว่าเป็นรุ่นที่ตอบโจทย์ได้อย่างแน่นอน ทั้งเรื่องของหน้าจอ การเชื่อมต่อ กล้องถ่ายภาพ แบตเตอรี และการใช้งานตัวเครื่องที่ลื่นไหล

จุดแตกต่างระหว่าง Mi 10T และ Mi 10T Pro หลักๆ แล้วจะอยู่ที่กล้องหลัก 64 ล้านพิกเซล และ 108 ล้านพิกเซล ตามลำดับ ให้สเปกสูงสุดที่ RAM 8 GB ROM 256 GB และมีรุ่นเล็กอย่าง Mi 10T 5G RAM 6 GB ROM 128 GB ออกมาให้เลือกในราคาเริ่มต้นที่ 11,990 บาทเท่านั้น

ที่สำคัญคือทุกรุ่นรองรับการเชื่อมต่อ 5G นั่นแปลว่า ซื้อเครื่องแล้วสามารถใช้งานต่อไปได้ยาวๆ ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องหาเครื่อง 5G มาใช้งานในอนาคตอีก เพราะในไทยเครือข่าย 5G รองรับการใช้งานทั่วประเทศแล้ว และทำให้ประสบการณ์ใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สายดีขึ้นด้วย

เครื่องแรงกล้องดี

นอกเหนือจากการเชื่อมต่อเครือข่ายที่ดีแล้ว Mi 10T Pro ยังมากับหน่วยประมวลผลรุ่นท็อปอย่าง Snapdragon 865 ที่พัฒนาบนสถาปัยกรรมแบบ 7 นาโมเมตร ให้ประสิทธิภาพในการประมวลผลระดับสูง ทำให้รองรับการใช้งานที่หลากหลาย โดยเฉพาะการเล่นเกมที่ใช้สเปกสูงๆ จนถึงการประมวลผลภาพจากกล้องที่ดีขึ้น

ก่อนหน้านี้ Xiaomi เคยนำกล้องหลักความละเอียด 108 ล้านพิกเซล มาใช้งานกับ Mi Note 10 เพียงแต่ว่าใน่ชวงนั้น ทำงานกับซีพียูรุ่นรองลงมาทำให้เกิดปัญหาในการโปรเซสภาพที่ช้า แต่พอมาเป็น Mi 10T Pro ปัญหาดังกล่าวหายไป และได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างดี

ความน่าสนใจของ Mi 10T Pro คือมากับกล้องหลัง 4 เลนส์ โดยมีเลนส์หลัก 108 ล้านพิกเซล f/1.69 ที่ใช้เก็บรายละเอียด ตามด้วยเลนส์มุมกว้าง 13 ล้านพิกเซล f/2.4 และมาโคร 5 ล้านพิกเซล

เมื่อกล้องหลักความละเอียดสูงถึง 108 ล้านพิกเซล ทำให้เครื่องรุ่นนี้รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงระดับ 8K 24/30 fps ด้วยเช่นกัน ซึ่งเมื่อทำงานกับ Snapdragon 865 แล้วก็ยังประมวลผลออกมาได้รวดเร็ว แต่ในการใช้งานจริง วิดีโอความละเอียด 4K ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว

แบตฯ ใช้งานได้ยาวๆ

อีกหนึ่งจุดที่ต้องยอมรับว่า Xiaomi ทำการบ้านมาดีคือ การเลือกใช้แบตเตอรีขนาด 5000 mAh เมื่อทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการ Android 10 ที่ครอบด้วย MIUI 12 ถือว่าจัดการพลังงงานได้ดีมาก

แม้ว่าจะเชื่อมต่อกับเครือข่าย 5G เล่นเกมต่อเนื่องก็สามารถใช้งานได้ตลอดวัน แต่จะมีแบตลดเร็วๆ บ้างในช่วงที่ใช้งานกล้องต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการที่ตัวเครื่องร้อนขึ้นมา แต่ในภาพรวมถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้

ขณะเดียวกัน เมื่อมากับระบบชาร์จเร็ว 33W ที่แถมอะเดปเตอร์แบบ USB-A to USB-C มาให้ในกล่อง ก็ช่วยให้การชาร์ตแบตเตอรีขนาด 5000 mAh ทำได้รวดเร็ว และไม่ใช้ระยะเวลามากเกินไป

ทดสอบประสิทธิภาพ

ในการใช้งาน Xiaomi Mi 10T Pro เรื่องการประมวลผลต่างๆ ถือว่าอยู่ในระดับท็อปอยู่แล้ว รองรับทั้งการเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง แต่ที่น่าสนใจคือด้วยหน้าจอที่ให้มาขนาดใหญ่ถึง 6.67 นิ้ว ทำให้การรับชมภาพยนต์แบบสตรีมมิ่งทำได้น่าสนใจมากขึ้น

โดยทาง Xiaomi ได้ทำพันธมิตรร่วมกับ Netflix ให้ลูกค้าที่ซื้อ Mi 10T Pro รับชม Netflix ฟรี 6 เดือนด้วย เมื่อลงทะเบียนภายในสิ้นเดือนมกราคม 2021

ส่วนการใช้งานแบตเตอรี เมื่อลองปรับการใช้งานระหว่างหน้าจอแบบ Adaptive Display 144 Hz เทียบกับ 60 Hz ใช้งานแล้วจะอยู่ที่ 17 ชั่วโมง เทียบกับ 20 ชั่วโมงตามลำดับ ซึ่งถือว่าเปิดใช้งานไว้ตลอดก็ไม่ได้ใช้พลังงานแบตเตอรีเพิ่มมากนัก ยังใช้งานได้ตลอดวันสบายๆ

สรุป

Xiaomi Mi 10T Pro ถือเป็นรุ่นเด่นที่สุดของ Xiaomi ในปีนี้ก็ว่าได้ เพราะด้วยการทำราคาที่น่าสนใจ กับให้สเปกมาสุด จึงทำให้กลายเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนราคาคุ้มค่าที่สุดในตอนนี้ เพราะทั้งรองรับ 5G หน้าจอ 144 Hz แบตเตอรี 5000 mAh ก็ใช้งานยาวๆ ได้อีกหลายปีแล้ว

Gallery

]]>