Huawei – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Sat, 27 Jun 2020 09:38:49 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Huawei P40 Pro+ สมาร์ทโฟน Leica Penta Cemra ซูมไกล 100x https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-p40-pro-plus/ Sat, 27 Jun 2020 09:35:06 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33127

ความสามารถหลักของ Huawei P40 Pro+ เมื่อเทียบกับ P40 Pro คือการเพิ่มกล้องถ่ายภาพระยะไกลเข้ามาจนทำให้กลายเป็นรุ่นแรกของหัวเว่ย ที่นำชุดกล้อง Leica Penta Camera มาใช้งาน จนทำให้สามารถซุมดิจิทัลได้ระดับ 100 เท่า ที่ถือว่าเป็นกิมมิคให้ใช้งานกัน แต่ความจริงคือการเพิ่มระยะเลนส์มาช่วยให้การถ่ายภาพทำได้สนุกขึ้น

นอกเหนือจากเรื่องกล้องแล้ว P40 Pro+ ยังมีการปรับมาใช้ฝาหลังแบบเซรามิค และเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลเป็น 512 GB ทำให้ใช้งานได้ยาวๆ พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ 5G ซึ่งทำให้เครื่องรุ่นนี้ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น ประกอบกับ Huawei App Gallery ที่มีการพัฒนาต่อเนื่อง ทำให้ถ้ามองถึงการนำมาใช้งานทั่วไป ก็สามารถตอบโจทย์ได้

หัวเว่ย เปิดราคา Huawei P40 Pro+ มาที่ 40,990 บาท เมื่อเทียบกับรุ่นกลางอย่าง P40 Pro ที่เปิดราคามา 31,990 บาท ถ้าใครที่กำลังลังเล ว่าจะเลือกซื้อรุ่นไหนดี กับความต่างเงิน 9,000 บาท แนะนำว่าถ้างบประมาณไม่ใช่ปัญหาการเลือก P40 Pro+ ไปเลยจะจบที่สุด แต่ถ้ามีจำกัด P40 Pro ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว

ข้อดี

  • กล้อง Leica Penta Camera ที่ถ่ายภาพดีที่สุดในสมาร์ทโฟนเวลานี้
  • รองรับการใช้งาน 5G ตั้งแต่แกะกล่อง
  • พื้นที่เก็บข้อมูล 512 GB
  • รองรับชาร์จเร็ว 40W ทั้งแบบมีสาย และไร้สาย

ข้อสังเกต

  • ราคาค่อนข้างสูง (40,990 บาท)
  • ไม่สามารถใช้งาน GMS ได้ (ถ้าไม่ติดตั้งเพิ่มเติม)

ฮาร์ดแวร์คือจุดเด่น

ถ้าตัดเรื่องซอฟต์แวร์ในการทำงานของ Huawei P40 Pro+ ออกไป โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่รองรับการใช้งาน Google Mobile Service ตั้งแต่แกะกล่องออกมา เชื่อว่า P40 Pro+ จะกลายเป็นสมาร์ทโฟนที่มีความวมบูรณ์แบบ และได้รับเลือกเป็นสมาร์ทโฟนที่มีกล้องยอดเยี่ยมที่สุดในปีนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

เพียงแต่ว่าในการใช้งานจริง ระบบปฏิบัติการ และเซอร์วิสต่างๆ ที่อยู่ในเครื่องกลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อ และต้องเข้าใจว่าผู้ใช้งานบางส่วนไม่มีความรู้ที่จะติดตั้ง GMS เพิ่มเพื่อใช้งานเอง และเลือกที่จะใช้งานเท่าที่ใช้ได้หลังจากแกะกล่องออกมา

นั่นทำให้การใช้งาน Huawei P40 Pro+ นั้นไม่สามารถรีดประสิทธิภาพทั้งหมดของเครื่องออกมาได้ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ เชื่อได้ว่าการเลือกซื้อ P40 Pro+ มาใช้งานจะไม่ผิดหวัง โดยเฉพาะในแง่ของฮาร์ดแวร์ ที่โดดเด่นทั้งเรื่องหน่วยประมวลผล กล้อง การประหยัดพลังงาน ระบบชาร์จเร็ว จนถึงวัสดุ และดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน

ไม่นับในเรื่องของระบบความปลอดภัย จากทั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ และเซ็นเซอร์ปลดล็อกใบหน้าแบบ Depth Camera ที่มาช่วยทำให้กล้องหน้าสามารถถ่ายภาพเซลฟี่แบบเบลอฉากหลังได้เนียนตามากขึ้นอีก รวมๆ แล้ว P40 Pro+ จึงกลายเป็นมือถือที่มีความสมบูรณ์ในแง่ของฮาร์ดแวร์อย่างเห็นได้ชัด

รวมถึงในแง่ของการเชื่อมต่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น 5G ที่รองรับการใช้งานกับเครือข่ายในไทยทั้งเอไอเอส และทรูมูฟ เอช ตัวเครื่องยังรองรับ WiFi 6 ทำความเร็วดาวน์โหลดได้สูงสุดถึง 2.4 Gbps บลูทูธ 5.1

ส่วนหน่วยประมวล Huawei เลือกใช้ซีพียูที่ผลิตเองอย่าง Kirin 990 5G ซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่ใช้ใน P40 Pro และ Mate 30 Pro โดยมากับ Octa Core ที่ให้ความเร็ว 2.86 GHz x2 + 2.36 GHz x2 + 1.95 x4 ซีพียูเป็น Mali-G76 และยังมี Dual NPU มาช่วยประมวลผลเพิ่มเติมด้วย

ทั้งนี้ Huawei P40 Pro+ ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10 ที่ครอบด้วย EMUI 10.1 ที่ภายในมี Huawei Mobile Service ให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันต่างๆ ได้จาก Huawei AppGallery

ความโดดเด่นของ Leica Penta Camera

ส่วนถัดมาคือการชูจุดเด่นเรื่องของกล้อง โดย P40 Pro+ ถือเป็นการยกระดับความสามารถของกล้องที่หัวเว่ย ทำงานร่วมกับทางไลก้า (Leica) มาอย่างต่อเนื่องได้น่าสนใจ โดยเฉพาะการนำเลนส์เทเลโฟโต้ 2 เลนส์ มาใช้ทำให้ได้ภาพซูมระยะไกลที่คมชัดมากขึ้น

เริ่มกันจากเลนส์หลักของ P40 Pro+ ที่มากับความละเอียด 50 ล้านพิกเซล โดยหัวเว่ย ใช้ชื่อว่าเป็นเลนส์ Ultra Vision Camera f/1.9 มาพร้อมกับกันสั่น OIS เลนส์นี้จะทำหน้านี้เป็นเลนส์ถ่ายภาพในมุมปกติ รวมถึงการซูมภาพในระยะไม่เกิน 3x

ถัดมาคือเลนส์มุมกว้าง 40 ล้านพิกเซล CineCamera ซึ่งกลายเป็นเลนส์หลักที่ใช้ในการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด 4K มากับ f/1.8 ช่วยให้สามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ และทำงานร่วมกับระบบกันสั่น OIS+AIS ทำให้ภาพเคลื่อนไหวออกมานิ่ง

ต่อด้วยชุดเลนส์เทเลโฟโต้ 8 ล้านพิกเซล ที่มี 2 ช่วงเลนส์คือ เลนส์ Telephoto Camera f/2.4 รับผิดชอบระยะการซูมระหว่าง 3x – 9.9x และเลนส์ SuperZoomCamera f/4.4 ที่รับผิดชอบระยะซูม 10x ขึ้นไป ซึ่งตัว SiperZoomCamera จะนำหลักการของ Periscope มาใช้งาน ทำให้เมื่อใช้ซูมระยะไกลแบบไฮบริดจะสามารถซูมได้ถึง 100x

ส่วนเลนส์สุดท้ายคือ 3D Depth Sensing Camera ที่ใช้ในการวัดระยะชัดลึกชัดตื้น เพื่อให้เวลาถ่ายภาพบุคคล หรือการโฟกัสวัตถุบางอย่าง สามารถเบลอภาพพื้นหลักได้อย่างเนียนตามากขึ้น

ในส่วนของกล้องหน้า P40 Pro+ มากับกล้องหน้าคู่ 32 ล้านพิกเซล Selfie Camera f/2.2 ที่เป็นตัวหลัก คู่กับกล้อง Depth Camera ไว้ใช้ในการวัดระยะ ทำให้การถ่ายกล้องหน้าสามารถถ่ายแบบหน้าชัดหลังเบลอเพื่อสร้างโบเก้ได้ด้วย

ทั้งนี้ ในการใช้งานจริงต้องยอมรับว่า P40 Pro+ ทำออกมาให้ถ่ายภาพได้สนุกกว่าเดิม ทั้งภาพนิ่ง และภาพวิดีโอ โดยระยะหวังผลที่สามารถซูมได้จะอยู่ที่ราว 10x-20x ถ้าไกลกว่านั้น คุณภาพของรูปที่ได้นั้น ไม่ได้คมชัดมาก แต่ช่วยให้สามารถเห็นรายละเอียดในระยะไกลๆ ได้สบายๆ

เช่นเดียวกับการประมวลผล AI ของ Huawei ที่ฉลาดขึ้น มีการปรับแต่งสีรูปภาพให้สดใส แน่นอนว่าใครที่ชอบโทนภาพของ Huawei ไม่ผิดหวังแน่นอน แต่ถ้าใครที่ต้องการสีแบบที่ตาเห็น อาจจะต้องมองข้ามกล้องของหัวเว่ยไป

แบตอึด ชาร์จเร็วพึ่งพาได้

แบตเตอรีกลายเป็นอีกจุดขายสำคัญในช่วงหลังของ Huawei ได้อย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะตั้งแต่ P30 เป็นต้นมา ที่แบตเตอรีของสมาร์ทโฟนหัวเว่ย เมื่อทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผล Kirin มีการจัดการพลังงานที่ยอดเยี่ยมมาก

ใน P40 Pro+ ก็เป็นอีกรุ่นที่แบตเตอรี สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องสบายๆ แม้ว่าจะมีการนำไปถ่ายภาพหนักๆ ตลอดวันก็ยังรอดมาให้ใช้งานได้ถึงเย็นๆ โดยเฉพาะผู้ที่ใช้งานร่วมกับ HMS เพียงอย่างเดียว ไม่ได้ลง GMS แบตเตอรีก็จะอึดกว่าปกติด้วย

ทั้งนี้ ในส่วนของการชาร์จเร็ว Huawei P40 Pro+ รองรับการชาร์จทั้งแบบไร้สาย และมีสายที่ความเร็ว 40W โดยอะเดปเตอร์ที่แถมมาให้ในกล่องจะรองรับการชาร์จแบบมีสาย 40W

ในกรณีที่ต้องการชาร์จไร้สายแบบ 40W ด้วยจะต้องซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่มคือแท่นชาร์จ Huawei SuperCharge Wireless Charger Stand และอะเดปเตอร์ Huawei 65 W เพิ่มเติม

ดีไซน์ที่ลงตัว

ในแง่ของการออกแบบตัวเครื่อง P40 Pro+ เมื่อเทียบกับ P40 Pro อาจจะไม่ได้แตกต่างกันมาก เพราะขนาดตัวเครื่องจะใกล้เคียงกันคือ 72.6 x 158.2 x 9 มิลลิเมตร

แต่ตัวเครื่อง P40 Pro+ จะมีน้ำหนักมากกว่าที่ 226 กรัม เนื่องจากเลนส์กล้องที่เพิ่มมา และฝาหลังของ Pro+ จะใช้วัสดุเป็นเซรามิค ที่แข็งแรงกว่า โดย P40 Pro+ ที่วางจำหน่ายในไทย จะวางขายเฉพาะรุ่น White Ceramic เท่านั้น

ขนาดหน้าจอของเครื่องจะอยู่ที่ 6.58 นิ้ว มีการเจาะรูกล้องหน้าคู่อยู่ที่มุมซ้ายบน ตัวเครื่องจะมีลักษณะเป็นจอโค้ง ความละเอียด 2640 x 1200 พิกเซล Refresh Reate อยู่ที่ 90Hz ใต้หน้าจอฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ให้ใช้งาน

ปุ่มควบคุมหลักจะอยู่ทางด้านขวาเครื่อง มีทั้งปุ่มปรับเสียง และปุ่มเปิดปิดเครื่อง ส่วนทางขวาจะปล่อยว่างไว้ โดยมีลายเสารับสัญญาณอยู่ที่ข้างตัวเครื่องด้วย

ด้านบน นอกจากช่องไมโครโฟนตัวที่ 2 แล้วก็จะมีเซ็นเซอร์อินฟาเรดมาให้ใช้ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ด้านล่าง มีพอร์ต USB-C ช่องลำโพง ไมโครโฟน และถาดใส่ซิมการ์ดที่ใส่ได้ 2 ซิม หรือจะเลือกเพิ่ม NM SD Card  เพื่อใช้เก็บข้อมูลเพิ่มเติมก็ได้

ด้านหลัง จะเป็นที่อยู่ของชุดกล้อง 5 เลนส์ และไฟแฟลช Dual LED และจะมีสัญลักษณ์ของ Huawei สกรีนอยู่ด้วย ภายในเป็นแบตเตอรีขนาด 4,200 mAh

ทดสอบประสิทธิภาพ

ด้วยการที่ปัจจุบันเกมที่อยู่ใน Huawei AppGallery ยังไม่ได้มีครบเหมือนใน PlayStore ดังนั้น เท่าที่ทดสอบบางเกมที่มาลงใน AppGallery แล้ว P40 Pro+ เล่นได้ทุกเกมแน่นอน และเชื่อว่าถ้าใครที่ลง GMS ใช้งาน เกมอื่นๆ ที่อยู่ใน PlayStore เครื่องรุ่นนี้ก็รองรับ

ในแง่ของการใช้งานด้านความบันเทิง P40 Pro+ ที่ให้จอขนาด 6.58 นิ้ว พร้อมกับ Refresh Rate 90Hz ถือว่าแสดงผลได้คมชัด ลื่นไหล ครบเครื่องดี ดังนั้นเครื่องรุ่นนี้จึงตอบโจทย์ได้ทุกกลุ่ม

สำหรับประสิทธิภาพในการประมวลผลผ่านโปรแกรมทดสอบต่างๆ ลองไล่ดูได้ด้านล่าง

สรุป

Huawei P40 Pro+ นั้นมีกลุ่มผู้ใช้งานเฉพาะที่ชัดเจนมากๆ เพราะต้องเป็นผู้ที่อยากได้สมาร์ทโฟนที่มีกล้องถ่ายภาพได้สนุก ครบเครื่อง เพราะ P40 Pro+ ตอบโจทย์ได้ทุกอย่างจากการที่เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของ Huawei ที่มากับกล้องหลัง 5 เลนส์

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ราคาเปิดตัวมาอยู่ที่ 40,990 บาท อาจจะสูงไปสักหน่อย สำหรับสมาร์ทโฟน 5G ที่ไม่รองรับ GMS เพราะมีคู่แข่งในระดับเดียวกันอย่าง Galaxy S20 Ultra 5G เปิดตัวมาในราคาต่ำกว่าที่ 39,990 บาท แถมยังมี GMS ให้ใช้งาน ก็เป็นการตัดสินใจที่เลือกได้ยาก

แน่นอนว่า ถ้างบประมาณไม่ใช่ปัญหา และสามารถติดตั้ง GMS ใช้งานได้ด้วยตนเอง การเลือกซื้อ P40 Pro+ จะเป็นคำตอบสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่พกใช้งานแทนกล้องถ่ายภาพได้ไปในตัว

Gallery

]]>
Review : Huawei P40 Pro กล้องยังสุด พร้อมใช้ 5G https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-p40-pro/ Mon, 20 Apr 2020 08:15:09 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32598

ต้องยอมรับ Huawei P40 Pro กลายเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่น่าใช้ที่สุดในเวลานี้ ทั้งเรื่องของประสิทธิภาพในการประมวลผลที่ใช้เล่นเกม หรือทำงานหนักๆ ได้สบาย การเชื่อมต่อ 5G – WiFi 6 ที่เร็วที่สุดในกลุ่มสมาร์ทโฟนด้วยกัน

รวมถึงจุดเด่นในเรื่องของกล้องจากการทำงานร่วมกับทาง ไลก้า (Leica) ที่แม้ P40 Pro จะยังไม่ใช่รุ่นท็อปสุด เพราะในอนาคต หัวเว่ย มีโอกาสนำ P40 Pro+ เข้ามาทำตลาดด้วย และคุณภาพของกล้องก็จะสูงขึ้นไปอีก

แต่กลายเป็นว่าด้วยการที่รุ่นนี้ไม่มี Google Play Store ทำให้การใช้งานสำหรับผู้บริโภคทั่วไปอาจจะยากลำบากสักหน่อย แม้ว่าทางหัวเว่ย จะมีการพัฒนา Huawei App Gallery และมีทางเลือกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันจากช่องทางอื่นเพิ่มเติมแล้วก็ตาม

เพราะสุดท้ายการที่มีแอปฯ มาให้ใช้งานได้ไม่ครบ ก็ถือว่าเป็นการสร้างความลำบากให้ผู้ใช้งานอยู่ดี ทำให้อาจจะต้องรอหัวเว่ย พัฒนา Huawei Mobile Service ให้มีจำนวนแอปพลิเคชันให้ใช้งานมากกว่านี้ และครบถ้วนไม่ต่างจาก Google ถึงจะเป็นสมาร์ทโฟนที่เหมาะกับทุกคน

ข้อดี

  • หน้าจอ 6.58 นิ้ว 90 Hz โค้ง 4 ด้าน และมีขอบจอบางที่สุดในท้องตลาด
  • วัสดุ  และงานประกอบยกระดับให้กลายเป็นเครื่องที่มีความหรูหรา
  • กันน้ำ กันฝุ่น มาตรฐาน IP68
  • คุณภาพของกล้องที่รองรับทุกสภาพแสง
  • รองรับการเชื่อมต่อทั้ง 5G และ WiFi 6

ข้อสังเกต

  • บางคนอาจจะไม่ชอบใช้งานสมาร์ทโฟนจอโค้ง เพราะมีโอกาสแตกง่าย และเวลาถือใช้งานจะต้องระวังมากกว่าปกติ
  • ไม่มี Google Mobile Service ให้ใช้งาน

คุณภาพกล้องยังสุดเหมือนเดิม

หัวเว่ย ยังยึดมั่นใจการนำกล้องถ่ายภาพ และดีไซน์ตัวเครื่อง ที่ดีที่สุดมาไว้กับสมาร์ทโฟนในตระกูล P ซีรีส์ เหมือนเดิม ตั้งแต่เริ่มสร้างชื่อเสียงในยุคของ P9 ต่อเนื่องถึง P10 P20 P30 และล่าสุดคือ P40 ที่มีการทำงานร่วมกับ Leica อย่างใกล้ชิด

ทำให้ที่ผ่านมา P ซีรีส์ กลายเป็นตัวเลือกแรกๆ ของผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ เพราะให้โทนสีที่แตกต่างจากสมาร์ทโฟนรุ่นอื่น มีความคลาสสิคของ Leica อยู่เล็กๆ และขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาเรื่องการถ่ายภาพในเวลากลางคืน และการซูมภาพมานำเสนอ

ใน P40 Pro นี้ก็เช่นเดียวกัน นอกจากยกคุณภาพกล้องที่เป็นที่สุดทั้งการถ่ายภาพในมุมกว้าง มุมมองปกติ ภาพระยะไกล และช่วงเวลากลางคืน ด้วยการหันมาใช้เลนส์กล้องที่ดีขึ้น ประกอบด้วยกล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ที่เป็น Ultra Vision ขนาดเซ็นเซอร์ 1/1.28 นิ้ว ซึ่งยังคงใช้เทคโนโลยีสีแบบ RYYB เพื่อให้เก็บรายละเอียดแสงได้ดีขึ้น

ตามด้วยเลนส์ Telephoto 12 ล้านพิกเซล ที่เป็น SuperZoom Periscope ทำหน้าที่ซูมถ่ายภาพมีทั้งแบบ Optical 5x Hybrid 10x และซูมได้สูงสุด 50x (รุ่น Pro+ จะซูมได้ 100x) โดยเลนส์นี้จะมาช่วยเก็บรายละเอียดภายในระยะไกล นำมาประมวลผลคู่กับเลนส์อื่นด้วย

นอกจากนี้ ยังมีเลนส์มุมกว้าง 40 ล้านพิกเซล ซึ่งเป็นเลนส์ที่ทำหน้านี้ถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงด้วยในตัว จากการเป็น Cinematic Video Camera ที่มีขนาดเซ็นเซอร์ถึง 1/1.54 นิ้ว สุดท้ายคือเลนส์วัดระยะ 3D Depth Sensing เพื่อนำมาช่วย AI ประมวลผลการละลายพื้นหลังเพื่อทำเอฟเฟกต์โบเก้ต่างๆ

อีกจุดที่ P40 Pro พัฒนาขึ้นมาจากรุ่นก่อนหน้าคือ การหันมาใช้กล้องหน้าคู่ 32 ล้านพิกเซล คู่กับ DepthCamera ที่รองรับการสแกนใบหน้าแบบอินฟาเรดด้วยทำให้นอกจากมีความแม่นยำในการปลดล็อกด้วยใบหน้ามากขึ้น และทำให้เวลาถ่ายเซลฟี่สามารถเบลอฉากหลังได้ด้วย

ส่วนเรื่องการถ่ายภาพวิดีโอ P40 Pro ยังจำกัดการถ่ายภาพอยู่ที่ 4K60fps ซึ่งเมื่อใช้งานคู่กับเลนส์กันสั่นแบบ OIS ทำให้ได้ภาพที่นิ่ง และเก็บรายละเอียดได้เพิ่มขึ้นจากคุณภาพของเลนส์เช่นเดียวกัน โดยโหมดพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาคือสามารถถ่ายวิดีโอ 4K แบบ Time Lapse ด้วยตัวอย่างการซูมเพื่อถ่ายภาพดวงจันทร์

Gallery

หน้าจอแสดงผลแบบใหม่

ถัดจากเรื่องการถ่ายภาพ ก็คือเรื่องของการแสดงผลที่คราวนี้ P40 Pro หันมาใช้จอแบบ Quad-Curve Overflow Display ที่เป็นจอโค้งทั้ง 4 ด้าน ทำให้กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ขอบจอบางที่สุดในตลาดเวลานี้ก็ว่าได้ โดยตัวจอยังคงใช้เทคโนโลยี OLED อยู่เช่นเดิม

สำหรับความละเอียดของหน้าจออยู่ที่ระดับ 2K (2640 x 1200 พิกเซล) ที่ปรับค่าการแสดงผลหน้าจอขึ้นมาเป็น 90 Hz ซึ่งทางหัวเว่ย ระบุว่า เป็นค่าการแสดงผลที่เหมาะสมที่สุดเพราะช่วยให้แสดงผลได้ลื่นไหล และประหยัดแบตด้วย แม้ว่าคู่แข่งหลายๆ แบรนด์หันไปใช้หน้าจอแบบ 120 Hz แล้วก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการเจาะรูกล้องหน้าคู่ที่มาวางไว้ทางมุมซ้าย ซึ่งทางหัวเว่ย เน้นว่าเป็นจุดที่เหมาะสมที่สุด เพราะเวลาปรับเครื่องมาใช้งานในแนวนอนอย่างการเล่นเกม ตัวกล้องคู่จะอยู่บริเวณอุ้งมือที่จับทำให้ไม่รบกวนการแสดงผลก็ตาม

แต่ในความเป็นจริง Samsung เคยนำกล้องหน้าคู่ในลักษณะดังกล่าวมาใช้งานตั้งแต่ Galaxy S10+ ซึ่งเป็นรุ่นของปีที่แล้ว เพียงแต่อยู่ทางมุมขวา และเลิกใช้งานไปแล้วตั้งแต่ Note10 ที่หันมาใช้กล้องหน้าที่มีขนาดเล็กแทน ตามด้วย S20 ซีรีส์ ก็ใช้กล้องหน้าเจาะรูตรงกลางแทนแล้ว

อีกจุดที่ P40 Pro ทำได้ดีคือเรื่องของวัสดุที่ให้ความเป็นพรีเมียมมากขึ้น ตามสไตล์ของ P ซีรีส์ ที่จะเน้นเรื่องของแฟชัน โดยจากสี Deep Sea Blue รุ่นนี้ จะเห็นได้ถึงการสะท้อนของแสง และเงาที่ฝาหลังเครื่อง ส่วนใครที่ชอบสีหรูๆ ก็จะมีตัวเลือกอย่าง Silver Frost ให้เลือกด้วย

ทั้งนี้ ขนาดตัวเครื่องของ P40 Pro จะอยู่ที่ 72.6 x 158.2 x 8.95 มิลลิเมตร นำ้หนัก 209 กรัม มีให้เลือกด้วยกัน 3 สีก่อนในช่วงแรก คือ น้ำเงิน Deep Sea Blue ทอง Blush Gold และ เงิน Silver Frost โดยภาพรายละเอียดตัวเครื่องต่างๆ สามารถย้อนกลับไปดูได้ที่ พรีวิว : Huawei P40 Pro

แบตฯ ยังอึดเหมือนเดิม เพิ่มเติมด้วยชาร์จเร็วขึ้น

อีกหนึ่งจุดแข็งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาของ หัวเว่ย คงหนีไม่พ้นเรื่องของการประหยัดพลังงาน ที่ทำให้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนาน และแบตเตอรีไม่หมดระหว่างวันแน่นอน ซึ่งความสามารถนี้ ก็ยังตามติดมาใน P40 Pro ด้วยเช่นเดียวกัน

แบตเตอรีที่ให้มาใน P40 Pro อยู่ที่ 4,200 mAh เมื่อทำงานกับหน่วยประมวลผลอย่าง Kirin 990 ที่แม้จะเพิ่มการรองรับการเชื่อมต่อ 5G เข้ามา แต่ก็ไม่ได้ทำให้ใช้พลังงานมากขึ้นแต่อย่างใด

นอกจากนี้ P40 Pro ยังมากับระบบชาร์จเร็ว Huawei SuperCharge 40W และการชาร์จไร้สาย Wireless Huawei SuperCharge 27W ทำให้ใช้เวลาในการชาร์จแบตเตอรีเพียงไม่กี่นาทีก็ใช้งานได้ต่อเนื่องสบายๆ

เช่นเดียวกับฟีเจอร์อย่าง Reverse Charge ก็ยังมีติดตั้งมาให้สามารถแชร์แบตเตอรีของ P40 Pro ให้กับอุปกรณ์อื่นที่รองรับ โดยสามารถแชร์พลังงานได้ทั้งจากสาย USB-C และผ่านระบบชาร์จไร้สายด้วย

ฟีเจอร์ภาพรวม

ที่ผ่านมา หัวเว่ย ได้พัฒนาอินเตอร์เฟสอย่าง EMUI มาให้ใช้งานกันต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันคือ EMUI 10.1 แล้ว ความสามารถในการใช้งานโดยรวมถึอว่าถูกปรับปรุง และออกแบบมาได้อย่างลงตัวแล้ว

โดยเฉพาะการทำงานร่วมกันภายในอีโคซิสเตมส์ของหัวเว่ย อย่างผู้ที่มี MateBook MediaPad หรือ MatePad ใช้งานอยู่ ก็สามารถแชร์หน้าจอใช้งานระหว่างอุปกรณ์ (MeeTime) โยนไฟล์ระหว่างอุปกรณ์ (Huawei Share) ใช้การแตะเครื่องเพื่อเชื่อมต่อ (OneHop) ได้ด้วย

ตามด้วยเรื่องของความปลอดภัย P40 Pro รองรับทั้งการปลดล็อกเครื่องด้วยใบหน้า (อาจจะไม่สะดวกในเวลานี้ที่ต้องใส่หน้ากากกัน) และการสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอที่ถือว่าปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว

กล้องหน้ายังถูกพัฒนามาให้รองรับการสั่งงานแบบไม่สัมผัสหน้าจอ (Air Gesture) ที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถใช้มือควบคุมการเลื่อนของหน้าจอด้วยการปัดขึ้นลง และจับภาพหน้าจอเมื่อกำมือเข้ามาด้วย

ทำให้ในส่วนนี้ ถือว่าไม่ติดอะไร ถือว่าหัวเว่ย ทำออกมาได้สมบูรณ์แบบ และเริ่มสร้างอีโคซิสเตมส์ในการใช้งานหัวเว่ยดีไวซ์ ให้แก่ผู้ใช้ ที่สามารถเชื่อมต่อการใช้งานจากหลายๆ อุปกรณ์เข้าหากันได้อย่างลงตัว

HMS แทนที่ GMS ได้หรือยัง?

มาถึงประเด็นใหญ่ที่สุดในการใช้งาน P40 Pro จากที่ทีมงานทดลองใช้งานแบบไม่ติดตั้ง GMS (Google Mobile Service) เพิ่มเติม ใช้วิธีการหาโหลดแอปพลิเคชันเท่าที่มีใน Huawei App Gallery ภายในอีโคซิสเตมส์ของ Huawei Mobile Service และจากเว็บไซต์นักพัฒนาเท่านั้น โดยเน้นเรื่องของความปลอดภัย

ทำให้พบว่าในภาพรวมแล้วจะขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานเลยว่า ในแต่ละวันใช้งานแอปพลิเคชันอะไรบ้าง ถ้าให้ดีลองเช็กก่อนว่าแอปฯ หลักๆ ที่จำเป็นต้องใช้งานเป็นประจำมีให้ใช้อยู่ใน App Gallery หรือไม่ ถ้าไม่มีมีแอปตัวไหนทดแทนได้

เพราะกลายเป็นว่า แม้ว่าจำนวนแอปพลิเคชันที่อยู่บน App Gallery จะเพิ่มขึ้นแล้ว โดยเฉพาะแอปที่ใช้งานทั่วไป อย่างที่หัวเว่ย แนะนำมาในหมวดการท่องเที่ยว โซเชียลมีเดีย ความบันเทิง ช้อปปิ้ง เกม และธุรกรรมทางการเงิน ที่แอปฯ หลักๆ มากันเกือบครบแล้ว

แต่ก็จะมีบางอย่างที่ต้องไปหาดาวน์โหลดเอง อย่างในมุมของการใช้โซเชียลมีเดีย ทีมงานลองติดตั้งแอป Facebook จากการโหลดไฟล์ติดตั้งจากเว็บไซต์ของทาง Facebook การใช้งาน Instagra ต้องใช้งานผ่านหน้าเว็บเบราว์เซอร์แทน LINE แม้ว่าจะประกาศเตรียมให้ดาวน์โหลดแต่ในช่วงที่ทดสอบยังไม่มา

เกมดังๆ ก็ยังมีมาน้อยไมเกมที่เล่นประจำอย่าง Call of Duty ก็ยังไม่มีมาให้เล่น ดังนั้นในความรู้สึกส่วนตัว ก็ยังมองว่า App Gallery ยังตอบโจทย์ได้ไม่ทั้งหมด และยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ๆ ถึงจะตาม PlayStore ทัน

ไม่นับกับการใช้งานที่แทบจะผูกกับบริการของ GMS ต่างๆ ทั้งการใช้ Gmail (ใช้แอป Mail ในเครื่องพอทดแทนได้) Google Drive ในการเก็บไฟล์ การดึงข้อมูลแผนที่นำทางจาก Google Maps การสั่งงานอุปกรณ์ IoT ใน Google Home ปฏิทินบน Google Calendar พวกนี้ ตัดขาดกันไปได้เลย

ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ยังถือเป็นจุดอ่อนเดียวของ Huawei P40 Pro ในเวลานี้ ในมุมของผู้ใช้งานทั่วไป ยังคงอยู่ที่การขาด Play Store และไม่รองรับการใช้งาน GMS ต่างๆ ไม่นับกับพาวเวอร์ยูสเซอร์ที่ยังมีช่องทางให้ติดตั้งใช้งานได้ แต่ก็ไม่การันตีความสมบูรณ์ในการใช้งาน 100%

เห็นได้ชัดจากยอดขายของหัวเว่ย ในช่วงปีที่ผ่านมา จากที่เคยมีโอกาสขึ้นไปเบียดเป็นท็อป 3 ในตลาดแอนดรอยด์ด้วยส่วนแบ่ง 15% แต่กลายเป็นว่าปีที่ผ่านมายอดขายของหัวเว่ย หายไปกว่า 28% ทำให้ส่วนแบ่งตลาดลดลงเหลือ 12% จากข้อมูลของทาง IDC

สเปก และการเชื่อมต่อ

ย้อนกลับมาที่สเปกของ Huawei P40 Pro ที่ใช้หน่วยประมวลผลรุ่นท็อปของค่ายในเวลานี้อย่าง Kirin 990 อัด RAM มาให้ใช้งาน 8 GB และพื้นที่เก็บข้อมูลภายในตัวเครื่องอีก 256 GB ซึ่งผู้ใช้สามารถเพิ่มหน่วยความจำ NM SD ได้อีกสูงสุด 256 GB ก็ถือว่าเพียงพอกับการใช้งาน

ในด้านของการเชื่อมต่อ เมื่อแกะกล่อง P40 Pro ออกมา จะสามารถใช้งาน 5G ในประเทศไทยบริเวณพื้นที่ที่รองรับการใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ก็ยังรองรับ 4G LTE และ Wi-Fi 6 ที่เมื่อเชื่อมต่อกับเราเตอร์ที่ปล่อยสัญญาณได้ดีๆ จะทำความเร็วระดับ 1 Gbps ได้สบายๆ

นอกจากนี้ ก็จะรองรับการเชื่อมต่อผ่าน บลูทูธ 5.1 ที่รองรับ บลูทูธพลังงานต่ำ พอร์ตการเชื่อมต่อ USB-C 3.1 สามารถเชื่อมต่อกับจอภาพเพื่อใช้งานเป็น Desktop Mode ได้เหมือนเดิม ทำงานบนพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ Android 10

สรุป

Huawei P40 Pro ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่หัวเว่ย ทำออกมาได้สมบูรณ์แบบทั้งหมดในเรื่องของฮาร์ดแวร์ พร้อมไปกับการได้เห็นพัฒนาการที่ชัดเจนขึ้นของซอฟต์แวร์ ทั้ง EMUI 10.1 ที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง กล้องที่ยังรักษามาตรฐานไว้ได้อย่างชัดเจน

สุดท้ายก็จะติดอยู่เรื่องเดียวคือ HMS ยังไม่สามารถมาแทนที่การใช้งาน GMS ได้ทั้งหมด ดังนั้นถ้าตัดสินใจเลือกซื้อแล้วคิดว่าสามารถติดตั้ง GMS ได้เอง กับเครื่องราคา 31,990 บาท P40 Pro จะคุ้มค่ามาก แต่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้อาจจะต้องมองข้ามไปก่อน

]]>
Review : Huawei Y9s จอใหญ่ กล้องละเอียด 48 ล้านพิกเซล มาพร้อมกูเกิลเซอร์วิส https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-y9s/ Mon, 27 Jan 2020 06:38:26 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32070

แม้ว่าช่วงปลายปีที่ผ่านมา หัวเว่ย จะเผชิญปัญหากับการที่สมาร์ทโฟนระดับเรือธงอย่าง Mate 30 Pro ไม่รองรับการใช้งานกูเกิลเซอร์วิส และเริ่มหันมาพัฒนา หัวเว่ย โมบาย เซอร์วิส มาใช้งานแทน แต่ในกลุ่มของเครื่องสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นยังไม่ได้รับผลกระทบจากตรงนี้

ทำให้กลายเป็นว่า Huawei Y9s มาช่วยให้ในปีที่ผ่านมา หัวเว่ย สามารถประคองตัวท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ ประกอบกับการทำราคาน่าสนใจที่ 7,990 บาท แต่ได้หน้าจอขนาด 6.59 นิ้ว จึงกลายเป็นรุ่นที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนจอใหญ่

นอกจากหน้าจอใหญ่แล้ว Y9s ยังมีการเพิ่ม RAM มาเป็น 6 GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายในตัวเครื่อง 128 GB พร้อมกับการนำเซ็นเซอร์กล้อง 48 ล้านพิกเซลมาให้ใช้งาน เรียกได้ว่าครบเครื่องในราคาไม่ถึง 8 พันบาท จึงกลายเป็นรุ่นที่น่าสนใจไม่น้อย

ข้อดี

  • หน้าจอ FullView Displayขนาดหน้าจอ 6.59 นิ้ว
  • กล้องหน้าป็อปอัพ กล้องหลัง 48 ล้านพิกเซล
  • RAM 6 GB + RON 128 GB

ข้อสังเกต

  • เชื่อมต่อ Wi-Fi ได้เฉพาะคลื่น 2.4 GHz
  • แบตเตอรี 4000 mAh แต่ไม่รองรับระบบ Fast Charge

สมาร์ทโฟนจอใหญ่ แบตอึด ราคาดี

ที่ผ่านมา จุดเด่นของ Huawei Y ซีรีส์ จะเน้นที่ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคาเป็นหลัก ซึ่ง Y9s ก็ยังคงรักษามาตรฐานนี้ไว้ได้ จากการที่ให้หน้าจอความละเอียดสูง Full HD+ ขนาด 6.59 นิ้ว แบบ FullView มาให้ใช้งาน โดยไม่มีรอยบาก หรือรูกล้องหน้าให้รำคาญใจ

ด้วยการที่ Y9s หันไปใช้กลไกกล้องแบบป็อปอัปแทน โดยให้กล้องหน้ามาที่ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล f/2.2 เรียกได้ว่าค่อนข้างถูกใจสายเซลฟี่กันอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อทำงานร่วมกับการประมวลผล AI เพิ่มเติม

ขนาดของตัวเครื่อง Y9s อยู่ที่ 77.2 x 163.1 x 8.8 มิลลิเมตร น้ำหนัก 206 กรัม มีให้เลือกด้วยกัน 2 สีคือ สีที่นำมารีวิว Breathing Crystal และสีดำ Midnight Black ซึ่งถ้าใครที่ชอบเครื่องสีรุ้งเมื่อตัวเครื่องสะท้อนแสงแล้วก็จะให้มุมมองที่สวยงามขึ้น

การวางตำแหน่งของกล้องหลัง จะเป็นแนวเดียวกับรุ่นพี่อย่าง P30 ที่เป็นแนวตั้ง 3 เลนส์ ประกอบไปด้วย กล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล f/1.8 ตามด้วยเลนส์มุมกว้าง 8 ล้านพิกเซล f/2.4 และกล้องวัดระยะ f2.4 ที่ช่วยให้ภาพที่ได้มีมิติมากขึ้น

พอร์ตเชื่อมต่อที่ให้มาจะเป็นพอร์ต USB-C ที่ใช้เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ และเสียบสายชาร์จ และมากับช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ให้ใช้งานกันอยู่ ที่ใต้เครื่อง ส่วนบนเครื่องจะมีถาดใส่ซิมการ์ด และจุดที่ซ่อนกล้องแบบป็อปอัปไว้

ด้านขวาเครื่องนอกจากปุ่มปรับระดับเสียงแล้ว ก็จะมีปุ่มเปิดเครื่อง ที่เป็นจุดสแกนลายนิ้วมือในตัว ซึ่งวางไว้ในจุดที่สามารถหยิบเครื่องขึ้นมาแล้วใช้นิ้วชี้มือซ้าย หรือนิ้วโป้งมือขวาปลดล็อกได้ทันที อย่างไรก็ตามด้วยการที่เป็นกล้องหน้าแบบป็อปอัปทำให้ Y9s ไม่รองรับการปลดล็อกเครื่องด้วยใบหน้า

สำหรับสเปกภายในของ Y9s มากับหน่วยประมวลผล Kirin 710F ที่เป็น Octa-Core 2.2 GHz + 1.7 GHz RAM 6 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 128 GB สามารถเพิ่มไมโครเอสดีได้สูงสุด 512 GB ภายในมีแบตเตอรีขนาด 4,000 mAh

ตัวเครื่องทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 9 บน EMUI 9.1 ที่รองรับการอัปเดตเป็น EMUI 10 ในอนาคต ในส่วนของการเชื่อมต่อ ตัวเครื่องรองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด รองรับการใช้งาน 4G Wi-Fi 802.11n และบลูทูธ 4.2

ขณะเดียวกัน ด้วยการที่ราคาเปิดตัวของ Huawei Y9s อยู่ที่ 7,990 บาท ทำให้มีการตัดสเปกบางส่วนออกไป อย่างเรื่องของการรองรับการชาร์จเร็วที่ไม่มีมาด้วย รวมถึงการเชื่อมต่อ Wi-Fi แบบ 5 GHz ที่กลายเป็นมาตรฐานของไฟเบอร์ในปัจจุบันแล้ว

ทำให้เวลาเชื่อมต่อ Wi-Fi ความเร็วจะจำกัดอยู่ที่ราว 50-70 Mbps เท่านั้น แต่ถ้าใช้งานทั่วๆ ไปความเร็วดังกล่าวก็ถือว่าเพียงพออยู่แล้ว ดังนั้นก็รับรู้ไว้ว่ามีข้อจำกัดนี้อยู่ แต่กับราคาที่ไม่ถึง 8 พันบาท ก็ถือเป็นเรื่องที่รับได้

ทดสอบประสิทธิภาพ

ในแง่ของการใช้งาน Kirin 710F ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานทั่วๆ ไป รวมถึงเล่นเกมแบบปรับสเปกต่ำๆ ได้ สบายๆ แต่ถ้าต้องการปรับความละเอียดสูงๆ อาจจะต้องหันไปมองรุ่นที่ราคาสูงกว่านี้ หรือเลือกเป็นซีรีส์ nova แทน เพราะ Y9s จะเหมาะกับการใช้งานเริ่มต้นมากกว่า

ดังนั้น ถ้าต้องการนำมาใช้ดูยูทูป เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ก Y9s ถือว่าตอบโจทย์นี้ได้ จากการที่ให้แบตเตอรีมา 4,000 mAh สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ยาวๆ โดยไม่ต้องกังวลว่าแบตจะหมดระหว่างวัน

ผลทดสอบต่างๆ สามารถดูได้จากอัลบัมภาพด้านล่าง

สรุป

Huawei Y9s ถือว่าเป็นรุ่นที่จับกลุ่มผู้ใช้งานได้ชัดเจนอยู่แล้ว ว่าต้องเป็นผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนราคาคุ้มค่า ได้หน้าจอใหญ่ มีเทคโนโลยีอย่างเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือให้ใช้งาน รวมถึงกล้องความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ที่เก็บภาพในที่แสงดีได้สบายๆ

แต่ก็มีข้อจำกัดอย่างที่บอกเรื่องของชาร์จเร็ว และ Wi-Fi 5 GHz ที่ไม่มีมาให้ ซึ่งถ้าไม่ได้ใช้งานตรงจุดนี้ หรือถ้าคิดว่าไม่ได้จำเป็นกับการใช้งาน รุ่นนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในรุ่นที่เหมาะกับช่วงราคานี้มากๆ

Gallery

]]>
Review : Huawei Mate 30 Pro บทพิสูจน์สมาร์ทโฟนเมื่อไม่มี Google Service https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-mate-30-pro/ Wed, 27 Nov 2019 14:08:36 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=31724

ถ้ามองในมุมของนวัตกรรม Huawei Mate 30 Pro ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่นำจุดเปลี่ยนใหม่ๆ มาให้แก่ตลาดอยู่มากมาย ทั้งเรื่องของกล้อง 4 เลนส์คุณภาพสูง การนำเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของมือมาใช้ รวมกับสเปกการเชื่อมต่อระดับสูง

แน่นอนว่าข้อเสียเดียวของ Mate 30 Pro ข้อเดียวที่รู้กันอยู่คือเรื่องของการที่ตัวเครื่องที่วางจำหน่ายในเวลานี้ไม่รองรับ Google Mobile Service (GMS) ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงเพลยสโตร์ (Play Store) และบริการอื่นๆ ของกูเกิล ที่คนไทยนิยมใช้กันทั้งยูทูป จีเมล แมปส์ ตารางนัดหมายต่างๆ ได้

แม้ว่าจะมีทางแก้ออกมาให้ผู้ใช้ได้ติดตั้ง GMS เพื่อใช้งานกันเอง แต่ในความเป็นจริงยูสเซอร์ทุกคนไม่ได้มีความเชียวชาญขนาดนั้น และดูกลายเป็นการผลักภาระให้แก่ผู้ใช้งานมากเกินไป ดังนั้น ข้อสำคัญที่ต้องตัดสินใจก่อนซื้อเลยคือประเด็นนี้ เพราะทุกคนไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต

ข้อดี

กล้อง 4 เลนส์ ที่ปรับแต่งจาก Leica

ประสิทธิภาพ / การเชื่อมต่อ ระดับสูง

EMUI 10 ที่รองรับ Dark Mode แล้ว

ข้อสังเกต

ไม่รองรับ GMS ผู้ใช้ต้องติดตั้งเอง
สำหรับผู้ที่ไม่เคยใช้ Huawei มาก่อนต้องปรับตัวกับ UI ใหม่พอสมควร

Huawei Mate 30 Pro เหมาะกับใคร

Huawei Mate 30 Pro น่าจะกลายเป็นสมาร์ทโฟนที่มีหลายคนอยากซื้อมาใช้งาน แต่ติดในเรื่องของการที่ปัจจุบันยังไม่สามารถใช้งานเซอร์วิสต่างๆ ของกูเกิลได้ โดยมีมูลเหตุจากสงครามการค้าระหว่างจีน และสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้น และยังไม่มีทางออกที่เหมาะสมในเวลานี้

ทำให้กลายเป็นว่า Mate 30 Pro ถือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของหัวเว่ย ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ แต่ไม่สามารถใช้งานบริการของกูเกิลได้ตั้งแต่แกะกล่อง ทำให้หัวเว่ย ต้องมีการนำสโตร์ และเซอร์วิสของตัวเองมาให้บริการผ่าน Huawei Mobile Service แทน

ดังนั้น กลุ่มผู้ใช้งานที่จะตัดสินใจซื้อ Mate 30 Pro ในเวลานี้ ต้องมีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีพอสมควร เพื่อที่จะสามารถทำการติดตั้ง และลงบริการของ GMS เพื่อให้สามารถใช้งานได้เหมือนสมาร์ทโฟนทั่วไป แต่ถ้าไม่มีความรู้ อาจจะต้องแนะนำให้ข้ามรุ่นนี้ไปก่อน หรือรอเวลาจนกว่าที่หัวเว่ย และสหรัฐฯ จะตกลงกันได้ และนำ GMS กลับมาให้บริการ

ใช้เฉพาะ HMS เพียงพอหรือไม่?

แน่นอนว่าในช่วงที่ได้เครื่องมารีวิวเพื่อทดลองใช้งาน ทุกคนจะต้องลองอยู่กับ Huawei Mate 30 Pro ที่ไม่มี GMS ใช้งาน มีแต่บริการของ HMS ที่ปัจจุบันเริ่มมีแอปพลิเคชันที่รองรับการใช้งานเพิ่มมากขึ้น ทำให้ได้ประสบการณ์กันว่า Mate 30 Pro ที่มีเพียง HMS นั้น ไม่เพียงพอกับการใช้งานแน่ๆ นอกจากจะนำมาใช้เป็นกล้องถ่ายภาพอย่างเดียว

เหตุใดที่บอกว่า HMS ไม่เพียงพอ อย่างแรกเลยคือการเข้าถึงการใช้งานทั่วๆไปของสมาร์ทโฟน Mate 30 Pro มีเว็บเบราว์เซอร์มาให้ สามารถเข้าเว็บ หรือเล่นเฟซบุ๊กผ่านหน้าโมบายไซต์ได้ เข้าอีเมลใช้งานได้ปกติ เพียงแต่ประสบการณ์ใช้งานก็จะไม่ได้ เพราะทุกอย่างต้องใช้ผ่านเว็บเบราว์เซอร์เท่านั้น

สมมุติถ่ายภาพสวยๆจาก Mate 30 Pro มาจะแชร์ภาพลง Facebook หรือ Instagram ใน HMS ยังไม่มีให้ติดตั้ง จะส่งให้เพื่อนผ่าน LINE ใน HMS ก็ไม่มีให้โหลดมาติดตั้งเช่นกัน ในจุดนี้ ถ้าไม่ติดตั้ง GMS ใช้งาน หัวเว่ยจะแนะนำให้ไปดาวน์โหลดแอปจากสโตร์อื่นที่ให้บริการแบบ 3rd Party แต่ก็จะกังวลเรื่องของความปลอดภัย

ดังนั้นแล้ว การใช้งาน Mate 30 Pro ที่ไม่มี GMS จึงต้องทำใจพอสมควรว่าจะถูกจำกัดการใช้งานค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตามเนื่องจาก HMS กำลังอยู่ในช่วงที่พัฒนา มีปริมาณแอปพลิเคชันให้ติดตั้งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประเด็นนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะช่วงที่ได้รับเครื่องมารีวิวเท่านั้น

ถ้าหัวเว่ยมีการเพิ่มแอปที่รองรับมากขึ้นให้พอกับการใช้งานระยะยาว ตอบโจทย์การใช้งานได้หมด Mate 30 Pro ก็จะกลายเป็นสมาร์ทโฟนที่น่าสนใจขึ้นมาทันที

การออกแบบ

กลับมาที่ตัวเครื่องของ Mate 30 Pro กันบ้าง ตัวเครื่องรุ่นนี้ มีการปรับการออกแบบที่น่าสนใจไม่น้อย อย่างการนำขอบจอโค้งแบบสมดุลมาใช้งาน ด้วยขอบจอที่โค้งถึง 88 องศา ทำให้มุมมองของจอภาพที่ได้กว้างขึ้น ทั้งในแนวตั้ง และแนวนอน ขนาดตัวเครื่องจะอยู่ที่ 158.1 x 73.1 x 8.8 มิลลิเมตร น้ำหนัก 198 กรัม มีให้เลือกด้วยกัน 2 สี คือ เงิน Space Silver และ ดำ

โดยหน้าจอ OLED ของ Mate 30 Pro มากับขนาด 6.53 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ (2400 x 1176 พิกเซล) โดยมีแถบกล้องหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล กล้องตรวจจับความลึก 3มิติ และเซ็นเซอร์ควบคุมท่าทางอยู่ที่ขอบบน

เฉพาะตัวจอภาพทาง Mate 30 Pro ก็มีนวัตกรรมที่น่าสนใจหลายอย่างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการฝั่งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ใต้จอ และเมื่อตัวเครื่องมีขอบจอที่โค้งไปถึงกลางเครื่อง ทำให้ไม่มีปุ่มปรับระดับเสียงอีกต่อไป

ในจุดนี้หัวเว่ย เลือกนำปุ่มปรับเสียงเสมือนแบบสัมผัสมาให้ใช้งานแทน ด้วยการแตะสองครั้งที่ขอบจอเครื่องทั้งด้านซ้าย และขวา จะสามารถปรับระดับเสียงได้ทันที นอกจากนี้ ยังสามารถประยุกต์ไปใช้กับการเล่นเกมได้ด้วย

ทำให้ข้างเครื่องของ Mate 30 Pro จะเหลือเพียงปุ่มเปิดเครื่องที่มีขนาดบางมากๆ เท่านั้น ส่วนปุ่มอื่นๆ ก็หายไป ขอบบนจะมีเซ็นเซอร์อินฟาเรดให้ใช้งาน ส่วนถาดใส่ซิมจะไปอยู่บริเวณขอบล่าง กับลำโพง และพอร์ต USB-C แทน

มาถึงจุดเด่นหลักของเครื่องรุ่นนี้คือด้านหลังเครื่องที่ออกแบบการวางกล้องใหม่ ที่เรียกว่าวงแหวน Halo ด้วยการเรียงกล้อง 4 ตัวไว้ภายในวงแหวน เพื่อทำให้การรับภาพจากเลนส์ต่างๆสมบูรณ์แบบมากที่สุด และเพื่อให้รับกับการถ่ายภาพ การวางแนวตัวอักษรต่างๆ จะเป็นนอนให้อ่านได้เมื่อจับเครื่องในแนวนอนสำหรับถ่ายภาพเท่านั้น

ภายในของ Mate 30 Pro จะมากับแบตเตอรีขนาด 4,500 mAh โดยในรุ่นนี้จะมากับระบบ Huawei Super Chrage ที่ได้แรงดันไฟสูงสุด 40W และรองรับการชาร์จไร้สายที่ 27W โดยยังสามารถใช้ฟีเจอร์ Reverse Wireless Chargeing ได้เหมือนเดิม

สำหรับสเปกภายในของ Huawei Mate 30 Pro มากับหน่วยประมวลผล Kirin 990 ที่เป็น Octa Core 2.86 GHz + 2.09 GHz กราฟิก Mail-G76 พร้อม Dual NPU RAM 8 GB ROM 256 GB ใส่การ์ดหน่วยความจำเพิ่มได้ 256 GB

ด้านการเชื่อมต่อรองรับ 4G แบบ 2 ซิมการ์ด หรือจะเลือกใส่ 1 นาโนซิม คู่กับ NM SD Card ก็ได้เช่นกัน WiFi 5 บลูทูธ 5.1 พร้อมระบบ GPS NFC ทำงานบน EMUI 10 บนพื้นฐานของ Android 10

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจใน Mate 30 Pro

ด้วยการที่ Mate 30 Pro เพิ่มเซ็นเซอร์ตรวจจับท่าทาง มาพร้อมกับกล้องหน้าที่เป็น 3D Depth ทำให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานได้ด้วยการปัดนิ้วมือได้ อย่างเวลาท่องเว็บ หรือเปิดดูรูปภาพ ในขณะที่เครืองวางอยู่

ผู้ใช้สามารถแบมือเพื่อสังเกตสัญลักษณ์บนหน้าจอว่าเซ็นเซอร์ตรวจจับท่าทางทำงานแล้ว หลังจากนั้นก็ปาดมือขึ้นหรือลงเพื่อเลื่อนหน้าจอได้ทันที หรือจะกำมือเพื่อจับภาพหน้าจอก็ได้เช่นกัน ถือเป็นฟีเจอร์ที่น่าสนใจเวลามือเปื้อนแล้วต้องการสั่งงานเครื่อง

ถัดมาคือความสามารถของกล้อง 4 เลนส์ ที่มาพร้อมกับ AI เช่นเคย ใน Mate 30 Pro จะเน้นเรื่องของการถ่ายภาพเคลื่อนไหวมากขึ้น ด้วยการนำกล้อง SuperSensing Cine Camera มาใช้งาน ประกอบไปด้วย

เลนส์หลัก Cine Camera 40 ล้านพิกเซล f/1.8 ตามด้วยเลนส์ SuperSensing Camera 40 ล้านพิกเซล f/1.6 กล้อง Telephoto 8 ล้านพิกเซล f/2.4 และกล้องวัดระยะลึก 3D มาใช้งานคู่กัน

ด้วยการอัปเกรดกล้องในการถ่ายภาพวิดีโอทำให้ Mate 30 Pro สามารถถ่ายภาพวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ หรือจะโฟกัสเฉพาะวัตถุได้แล้ว เหมือนการถ่ายภาพนิ่งแบบ Portrait รวมถึงการถ่ายภาพสโลวโมชัน 7680 เฟรมต่อวินาที

ส่วนความสามารถที่เคยให้มาใน P30 Pro อย่างการถ่ายภาพในที่แสงน้อย ยังสามารถใช้งานได้เช่นเดิม ด้วยการนำ AI มาช่วยประมวลผล ส่วนการซูมภาพจะลดลงเหลือ 30 เท่า แต่ก็แลกกับคุณภาพที่ชัดเจนขึ้นด้วยเช่นกัน

รวมๆ แล้วจากประสบการณ์ในการใช้งานกล้อง Mate 30 Pro ถือว่ายังให้ความประทับใจได้เหมือนเคย และเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายวิดีโอที่มีลูกเล่นให้มากขึ้น ดังนั้นถ้ามองถึงประสิทธิภาพของกล้องแล้ว Mate 30 Pro เป็นรุ่นที่พึ่งพาได้แน่ๆ

ทดสอบประสิทธิภาพ

ในส่วนของการประมวลผลตัวเครื่อง ต้องยอมรับว่า Kirin 990 ทำหน้าที่ได้ดี สามารถประมวลผลหนักๆ ได้สบาย ดังนั้นการเล่นเกม หรือการใช้งานของ Mate 30 Pro จึงทำได้ลื่นไหลอย่างไม่มีปัญหา

สรุป

Huawei Mate 30 Pro จะกลายเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยถ้ามากับ GMS เพราะด้วยนวัตกรรมทั้งจอภาพ กล้อง การประมวลผลต่างๆ ถือว่าทำได้ดีทั้งหมด ดังนั้นต้องลองดูกันว่าในอนาคตจะมีโอกาสได้ GMS มาใช้งานง่ายๆ โดยไม่ต้องติดตั้งเพิ่มมั้ย หรือไม่งั้นหัวเว่ยต้องทำงานหนักกับ HMS เพื่อให้มาแทนที่การใช้งานทั้งหมดให้ได้

เพราะการที่ผู้บริโภคเสียเงินระดับ 28,990 บาท ต้องหวังที่จะใช้งานเครื่องได้เต็มประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะคนไทยคุ้นเคยกับการใช้งานบริการต่างๆของ กูเกิล ในชีวิตประจำวันกันหมดแล้ว

]]>
Review : Huawei P30 Pro ที่สุดของกล้องถ่ายภาพบนสมาร์ทโฟน https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-p30-pro/ Tue, 09 Apr 2019 09:30:44 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=30478

เรียกได้ว่า หัวเว่ย (Huawei) ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในการปรับแนวคิดการถ่ายภาพบนสมาร์ทโฟน ด้วยการชูจุดเด่นอย่างการซูมภาพได้ไกล 50x บน P30 Pro และการถ่ายภาพในที่แสงน้อย ให้ออกมาสว่างเหมือนกลางวัน จนกลายเป็นจุดขายหลักของเครื่องรุ่นนี้

Huawei P30 Pro ถือว่าทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ด้วยการเลือกนำจุดที่ผู้บริโภคต้องการเป็นลำดับต้นๆ ในการเลือกซื้อสมาร์ทโฟนเวลานี้คือเรื่องของกล้อง มาชูเป็นจุดเด่น ต่อยอดจากความร่วมมือกับ ไลก้า (Leica) ที่มัดใจผู้บริโภคมาได้ตั้งแต่ P20 ซีรีส์แล้ว

การมาของ P30 Pro เลยยิ่งเข้าไปตอกย้ำภาพของการเป็นผู้นำสมาร์ทโฟนที่สามารถถ่ายภาพได้ดี ผสมไปกับประสิทธิภาพของตัวเครื่องที่ถูกพูดถึงมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาคือ Mate20 Pro ที่แสดงให้ผู้บริโภคเห็นถึงความสามารถมาแล้ว

ข้อดี

  • สมาร์ทโฟนที่มีกล้องถ่ายภาพดีสุดในเวลานี้
  • แบตเตอรี 4,200 mAh อึดมาก รองรับการชาร์จเร็ว / Reverse Charge ให้อุปกรณ์อื่น
  • สีตัวเครื่องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
  • เริ่มมีการนำเสนอฟีเจอร์ที่ใช้งานในอีโคซิสเตมส์อย่าง OneHop เข้ามาให้ใช้งาน

ข้อสังเกต

  • ความละเอียดหน้าจอแสดงผลยังเป็น Full HD+
  • กล้องหน้าเป็นแบบ Fix Focus / ไม่รองรับการสแกนใบหน้าแบบ 3D
  • ถ้าจะเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลต้องใช้ NM Card โดยเฉพาะ
  • ไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. / ตัวแปลงมาให้

เด่นที่กล้องชัดเจน

จุดสำคัญที่ทำให้ P30 Pro กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่มีความโดดเด่นเรื่องของกล้องคือการปรับแนวคิดในการบันทึกภาพ จากเดิมที่เซ็นเซอร์จะรับแสง RGB (แดง เขียว น้ำเงิน) มาเพื่อประมวลผลออกมาเป็นภาพ แต่ Huawei เลือกนำการรับแสงแบบ RYYB (แดง เหลือง เหลือง น้ำเงิน) มาช่วยประมวลผลแทน ทำให้สามารถเก็บแสงได้มากกว่าเดิม 40%

โดยเมื่อดูถึงการจัดเรียงกล้องหลังทั้ง 3 เลนส์ ของ P30 Pro ไล่จากด้านบนลงมาคือเลนส์มุมกว้างสุดที่ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล f/2.2 ในระยะเลนส์ 16 มม. ตรงกลางคือเลนส์หลักระยะ 27 มม. ที่ความละเอียด 40 ล้านพิกเซล f/1.6 และสุดท้ายคือเลนส์ซูมระยะ 125 มม. ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/2.4

ที่น่าสนใจคือเลนส์ทุกตัวมาพร้อมกับระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และระบบกันสั่น OIS ไม่นับรวมกับเลนส์ ToF ที่มาช่วยในการโฟกัสระยะของวัตถุเพิ่มเติม ซึ่งช่วยให้สามารถจับโฟกัสในที่แสงน้อยได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงการสร้างโบเก้ของการถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ด้วย

การใช้งานแต่ละช่วงเลนส์ก็จะมีการจับคู่ทำหน้าที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งาน เบื้องต้นก็คือถ้าใช้งานถ่ายระยะปกติ 1x กล้องหลัก 40 ล้านพิกเซลจะเป็นเลนส์หลัก เมื่อซูมเข้าไปถึงระยะ 5 เท่า ถึงจะปรับเป็นหน้าที่ของเลนส์ซูม 8 ล้านพิกเซล

ในขณะที่ถ้าถ่ายภาพในระยะ 3x-5x จะเป็นการทำงานคู่กันระหว่างเลนส์หลัก และเลนส์ซูม เพื่อให้ภาพที่ออกมาได้รายละเอียดมากที่สุด นอกจากนี้ ก็ยังมีการทำงานของเลนส์มุมกว้างคู่กับเลนส์หลัก เมื่อถ่ายภาพซูเปอร์มาโคร หรือการนำเลนส์กว้างมาช่วยลดการสั่นไหวของภาพขณะถ่ายวิดีโอด้วย

จะเห็นได้ว่า การทำงานของ AI ที่มากับหน่วยประมวลผล Kirin 980 ที่เข้ามาช่วยควบคุมการทำงานของกล้องตรงนี้ กลายเป็นจุดเด่นหลักที่ทำให้ P30 Pro สามารถถ่ายภาพได้ดีขึ้น พัฒนาขึ้นจาก P20 Pro และ Mate20 Pro เป็นอย่างมาก

P30 Pro ที่ดัน ISO ไปถึง 439,600

โดยภาพการเปรียบเทียบของรูปที่ถ่ายในที่แสงน้อย ระหว่าง iPhone XS Max Galaxy S10+ และ P30 Pro ถือเป็นการแสดงจุดเด่นที่ชัดเจนที่สุดของเครื่องรุ่นนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะในสภาพแสงที่เครื่อง 2 รุ่นแรกไม่สามารถบันทึกภาพได้ แต่ P30 Pro สามารถถ่ายและเก็บรายละเอียดออกมาได้ แม้ใช้งานในโหมดอัตโนมัติ

นอกจากนี้ การซูมภาพในระยะที่ให้ความคมชัดมากที่สุดของรุ่นนี้ เมื่อหันมาใช้เลนส์ซูมแบบ Periscope ทำให้การถ่ายภาพระยะ 10x ที่เป็นไฮบริดจ์ซูมได้ความคมชัดมาก และช่วยให้สามารถทำดิจิทัลซูมไปได้สูงถึง 50 เท่าด้วย

ส่วนกล้องหน้าที่หันมาใช้เลนส์แบบฟิกซ์โฟกัส ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล เมื่อทำงานร่วมกับระบบ AI ก็ช่วยให้สามารถละลายหลังได้เมื่อถ่ายเซลฟี่ รวมไปถึงการใส่เอฟเฟกต์ภาพต่างๆ และเนื่องจากเป็นเลนส์แบบฟิกซ์โฟกัส ทำให้เหมาะกับระยะการถ่ายเซลฟี่เป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของโหมดการถ่ายวิดีโอ P30 Pro ยังมีจุดที่ยังไม่สามารถแซงคู่แข่งได้อย่างเรื่องระบบกันสั่น การโฟกัสภาพ การตรวจจับวัตถุต่างๆ ที่เชื่อว่ามีโอกาสพัฒนาขึ้นอีกแน่นอนในอนาคต ซึ่งถ้ามองเทียบกับรุ่นก่อนหน้าของหัวเว่ยก็ถือว่าพัฒนาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดแล้ว

โหมดถ่ายวิดีโอที่น่าสนใจใน P30 Pro คือเรื่องของการถ่ายวิดีโอ 2 กล้องพร้อมกัน ทำให้ได้มุมมองที่แตกต่างกัน คือได้ทั้งแบบมุมกว้าง และมุมแคบ ทำให้ได้ภาพเคลื่อนไหวที่แปลกตาไปอีกแบบ

Photos Gallery

ฟีเจอร์อื่นๆก็ไม่ทิ้ง

ต่อมา หลังจากเรื่องกล้องฟีเจอร์อื่นๆที่ถูกนำเสนอมาใน Mate20 Pro ที่ถือเป็นรุ่นแฟลกชิปที่เน้นประสิทธิภาพ Huawei ก็มีการนำมาให้ใช้งานภายใน P30 Pro นี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นระบบบริหารจัดการพลังงาน ที่ทำให้ P30 Pro สามารถใช้งานบนแบตเตอรีขนาด 4,200 mAh ได้สบายๆ

พร้อมด้วยเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Huawei Super Charge ที่รองรับไฟแรง 40W ทำให้สามารถชาร์จได้ 70% ในเวลา 30 นาที รวมกับรองรับการชาร์จไร้สาย และฟีเจอร์อย่าง Reverse Charge ที่จะแชร์แบตเตอรีแบบไร้สายให้อุปกรณ์อื่นด้วย

ส่วนการปลดล็อกด้วยการสแกนลายนิ้วมือก็ทำได้รวดเร็ว แถมตัวเครื่อง P30 Pro ยังมากับการป้องกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 ที่น้ำลึก 1.5 เมตร ไม่เกิน 30 นาที ทำให้ในการใช้งาน เมื่ออกไปถ่ายภาพก็ไม่ต้องกังวลเมื่อฝนตก

ในส่วนของประสิทธิภาพตัวเครื่อง เนื่องจาก P30 Pro นำชิปเซ็ตอย่าง Kirin 980 มาใช้งาน ซึ่งถือเป็นหน่วยประมวลผลบนสถาปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตรรุ่นแรกๆของโลกอยู่แล้ว เมื่อนำมาใช้งานคู่กับเครื่อง RAM 8 GB ROM 256 GB จึงถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่อยู่ในกลุ่มประสิทธิภาพสูงในทันที

แต่ถ้ามองในแง่ของการเป็นเครื่องไฮเอนด์แล้ว P30 Pro ก็ยังมีจุดที่น่าเสียดายอยู่เมื่อเทียบกับ Mate20 Pro อย่างเรื่องจอแสดงที่ Mate20 Pro ให้ความละเอียดจอเป็น 2K รวมถึงกล้องหน้าที่รองรับการสแกนใบหน้าแบบ 3D ที่หายไปในรุ่นนี้

ดีไซน์ ยังคงสำคัญ

ดีไซน์ตัวเครื่องของ P30 Pro ถูกพัฒนามาเรื่อยๆ จากรุ่นเดิมที่เป็นจอแบน พอมาในรุ่นนี้ก็พัฒนามาเป็นจอโค้ง เช่นเดียวกับใน Mate20 Pro ที่ทำเป็นรุ่นจอโค้งมาก่อนแล้ว พร้อมกับปรับลดรอยบากบนหน้าจอออกไป เหลืองเพียงกล้องหน้าอยู่ตรงกึ่งกลางจอด้านบนเท่านั้น เพื่อให้ได้หน้าจอแสดงผลที่เต็มพื้นที่มากที่สุด

ด้านหลังเครื่องก็มีการไล่เฉดสีตามสมัยนิยม โดยเฉพาะสีอย่าง Breathing Crystal ที่จะไล่เฉดสีตามแต่ละมุมมอง ทำให้ตัวเครื่องมีความหรูหรามากยิ่งขึ้น ประกอบกับการออกแบบให้เป็นขอบหลังโค้งด้วยเช่นกัน ทำให้เวลาจับถือถนัดมือมากยิ่งขึ้น

ขนาดของ P30 Pro จะอยู่ที่ 73.4 x 158. X 8.41 มิลลิเมตร น้ำหนัก 192 กรัม โดยส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ของหน้าจอ 6.47 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ (2340 x 1080 พิกเซล) แน่นอนว่าเมื่อหันมาใช้จอโค้งทำจะเสียพื้นที่บริเวณขอบเครื่องไปบางส่วน ซึ่งในจุดนี้ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ค่อยชินกับจอโค้งเวลาใช้งานช่วงแรกๆ จะต้องมีอาการสัมผัสบริเวณขอบไม่ค่อยติดอยู่บ่อยๆ

ส่วนรอบๆตัวเครื่องของ P30 Pro ทางด้านซ้ายจะถูกปล่อยว่างไว้ ส่วนทางด้านขวา เป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดปิดเครื่อง ขณะที่ด้านบนจะมีไมโครโฟนตัดเสียง และพอร์ตอินฟาเรตที่เอาไว้ใช้ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ

ด้านล่างจะนอกจากเป็นที่อยู่ของพอร์ต USB-C ที่ใช้เป็นทั้งช่องชาร์จแบตเตอรี เชื่อมต่อหูฟัง และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ พร้อมกับรูไมโครโฟน ก็จะมีช่องใส่นาโนซิมการ์ด ที่รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิม หรือ 1 ซิม คู่กับการ์ดนาโนเมมโมรี่ (NM Card) ของหัวเว่ยโดยเฉพาะ

ส่วนลำโพงสนทนา P30 Pro จะใช้เทคโนโลยีใหม่ Acoustic Display ที่ใช้การกระจายตัวของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากการสั่นสะเทือนในจอภาพ ทำให้เสียงสามารถแนบหน้าจอเข้ากับหูเพื่อใช้งานได้เลย ส่วนเสียงลำโพงของเครื่องรุ่นนี้ที่เป็นแบบโมโน ก็จะไม่ดังออกมาจนกังวาล แต่อยู่ในระดับที่เพียงพอกับการใช้งาน

อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องของ P30 Pro นอกจากตัวเครื่องก็จะมี อะเดปเตอร์ที่รองรับการชาร์จเร็ว 40w สายชาร์จ USB-C หูฟัง USB-C เคสใส คู่มือ เข็มจิ้มถาดซิมมาให้

Gallery

ทดสอบประสิทธิภาพ

สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพของ Huawei P30 Pro ในส่วนของการประมวลผลถือว่าอยู่ในระดับบนๆ อยู่แล้ว แต่ในเรื่องของแบตเตอรี กลับเด่นชัดขึ้นมา โดยสามารถทำเวลาใช้งานต่อเนื่องได้ถึง 16 ชั่วโมง

สรุป

จากประสิทธิภาพของกล้องในหลายๆจุด Huawei P30 Pro ได้พิสูจน์ถึงความเป็นสมาร์ทโฟนที่กล้องถ่ายภาพนิ่งได้ดีที่สุดในตลาดเวลานี้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็ยังมีส่วนที่ต้องพัฒนาในการถ่ายวิดีโอให้ดีขึ้น เทียบกับคู่แข่งรายอื่นๆในท้องตลาด

นอกจากนี้ ด้วยการทำราคากับโอเปอเรเตอร์ และโปรโมชันในช่วงเปิดจองทำให้ P30 Pro กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ระดับราคาน่าสนใจ เพราะถ้าเป็นผู้ที่ใช้แพกเกจมือถือรายเดือนแพงๆอยู่แล้ว ก็สามารถซื้อเครื่องได้ในราคาเริ่มต้นที่ 9,990 บาท จากราคาปกติที่ 31,990 บาท ซึ่งถือว่าลดเยอะมาก

]]>
Review : Huawei Y7 Pro 2019 ใหญ่อึดใหม่แต่ราคาเดิม https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-y7-pro-2019/ Wed, 20 Feb 2019 05:56:42 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=30181 Huawei Y7 Pro 2019 คือภาคต่อจาก Y7 Pro 2018 ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาในกลุ่มสมาร์ทโฟนราคาต่ำกว่า 5,000 บาทมาก่อนหน้านี้ สำหรับปีนี้ Y7 Pro 2019 กลายเป็นรุ่นใหม่ที่ถอดสเปกมาแบบไม่เกรงใจใคร โดยเพิ่มความใหม่ที่แบตเตอรี่อึดกว่าเดิม กล้องหน้าละเอียดขึ้น ระบบกล้อง AI หน้าจอที่ขยายขึ้นเล็กน้อย และชิปที่แรงขึ้นนิดเดียว ทั้งหมดนี้จำหน่ายในราคาเดิมแบบไม่ต้องคิดมาก

ข้อดี

– คุณสมบัติเครื่องดีขึ้น แต่จำหน่ายในราคาเท่ารุ่นเก่า
– ระบบลื่นไหลแม้เครื่องทำงานหนักและเปิดหลายแอปพร้อมกัน
– แบตเตอรี่อึดทนนาน เหลือ 10% ยังใช้ได้ 3 ชั่วโมง

ข้อสังเกต

– ไม่มีเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือ
– ไม่เหมาะกับการภาพถ่ายแสงน้อย
– หากไม่ได้ชาร์จกับ adapter ที่ให้มา จะชาร์จได้ช้ามาก

ต่างกันนิดเดียว?

สิ่งที่ Huawei ทำกับ Y7 Pro 2019 นั้นต้องบอกว่าถอดแบบมาจาก Y7 รุ่นปี 2018 ชนิด copy แล้ว paste เพราะจุดขายใหม่อย่างกล้องหลังคู่ AI ที่เพิ่มมาให้ในรุ่นปี 2019 ก็ยังมีขนาด 13 ล้านพิกเซลและ 2 ล้านพิกเซลเท่ากับรุ่น 2018 (ภาพด้านล่าง) เพียงแต่จัดเรียงในแนวตั้ง แทนที่จะเป็นแนวนอนแบบเดิม

Y7 Pro 2019 มีขนาดยาว ใหญ่ และหนักกว่ารุ่น 2018 ขนาดตัวเครื่อง 158.9 x 76.9 x 8.1 มม. หนัก 168 กรัม (จากเดิม 158.3 x 76.7 x 7.8 มม. หนัก 155 กรัม) ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้จะเห็นได้ชัดเมื่อนำ 2 เครื่องมาวางทาบกันเท่านั้น

ขนาดที่ใหญ่ขึ้นเป็นเพราะหน้าจอของ Y7 Pro 2019 ถูกเปลี่ยนเป็นดีไซน์ไร้ขอบแบบหยดน้ำขนาด 6.26 นิ้ว (15.21 ซม.) ถือเป็นขนาดที่ใหญ่กว่า 5.99 นิ้วของรุ่น 2018 (15.9 ซม.) เพียงเล็กน้อย รูปแบบหน้าจอคือ IPS LCD ที่มีความหนาแน่นพิกเซล 269 ppi เท่าเดิม บนสัดส่วนที่ต่างกันเพราะรุ่นใหม่มีสัดส่วน 19.5:9 ยาวกว่ารุ่น 2018 ที่มีสัดส่วน 18:9

จาก Y7 รุ่นปี 2018 ที่ Huawei ออกแบบให้ด้านบนเครื่องไร้ร่องรอยใด ปีนี้ Huawei ดึงพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มม. ไปติดไว้ที่ด้านบนของเครื่อง ด้านล่างของตัวเครื่องมีช่อง micro usb ที่คั่นกลางระหว่างไมค์สนทนาและลำโพง

Y7 Pro 2019 ออกแบบให้ปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่ม power อยู่ฝั่งขวาของเครื่อง ฝั่งซ้ายเป็นที่อยู่ของถาดใส่ซิมแบบ 3 สล็อตยอดฮิต

สิ่งที่ Huawei ทิ้งไปคือระบบเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือ ทำให้ด้านหลังเครื่องของ Y7 Pro 2019 ราบเรียบไร้รอย จุดนี้ Huawei หยิบมาเฉพาะระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Unlock) ซึ่งได้รับความนิยมมากกว่าในผู้ใช้บางกลุ่ม

สำหรับหน้าจอไร้ขอบแบบหยดน้ำ Huawei เปิดช่องให้ลบรอยหยดน้ำออกได้เช่นเคย

ทำงานไหลลื่น

ชิปประมวลผลของ Y7 Pro 2019 คือ Qualcomm Snapdragon 450 แต่ของรุ่น 2018 เป็น Snapdragon 430 ที่ด้อยกว่าเล็กน้อยเท่านั้น ระบบปฏิบัติการยังเป็น Android 8.1 OREO (EMUI 8.2) เช่นเดิม

แบตเตอรี่ Y7 รุ่น 2019 ถูกจัดเต็มความจุมากถึง 4,000 mAh ใช้งานได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น จุดนี้ต้องชื่นชมเพราะเมื่อทำงานคู่กับ RAM 3GB เครื่องสามารถทำงานได้ลื่นไหลบนหน่วยความจำภายในเครื่อง 32GB (รองรับเมมโมรี่การ์ดสูงสุด 512GB) ซึ่งทั้งหมดเท่ากันกับรุ่น 2018

สำหรับคอเกม Y7 รุ่น 2019 จะไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะใช้ชิปการ์ดจอ Adreno 506 พัฒนาเล็กน้อยจากเดิม Adreno 505 ส่งให้เล่นเกมส์ได้ดีไม่น่าเกลียด

ผลการทดสอบของ Y7 รุ่น 2019 ถือว่ายังด้อยกว่ารุ่นกลางล่าง สำหรับส่วนของแบตเตอรี่ พบว่าแบตเตอรี่ที่ให้มามากถึง 4,000 mAh (จากเดิม 3,000 mAh) สามารถใช้งานได้ยาวนานเกิน 2 วัน แต่การไม่รองรับระบบชาร์จไว ทำให้การชาร์จจาก 10% เป็น 100% ใช้เวลาเกิน 2 ชั่วโมง

กล้องคู่ AI

การเพิ่มกล้อง AI ให้ Y7 Pro 2019 ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงลูกเล่นสำหรับการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ แต่น่าเสียดายที่ Master AI สามารถช่วยให้ถ่ายภาพได้สวยเฉพาะในช่วงแสงจ้าเท่านั้น เพราะในภาวะแสงน้อย Y7 Pro 2019 ถือว่าสอบไม่ผ่าน


Y7 Pro 2019 คือกล้องที่เหมาะกับคนรักการ Selfie เพราะกล้องหน้ามีการเพิ่มความละเอียดให้เป็น 16 ล้านพิกเซล จากรุ่นปี 2018 ทื่มีกล้องหน้า 8 ล้านพิกเซลเท่านั้น มีโหมด HDR มาให้พร้อมไฟแฟลชกล้องหน้า

ข้อมูลระบุว่า AI Camera พร้อมไฟแฟลช LED ของ Y7 ปี 2019 มีฐานข้อมูลการวิเคราะห์ภาพ AI Scene Recognition กว่า 500 ซีน 22 ประเภท การทดสอบพบว่าระบบจำแนกได้รวดเร็ว แต่ก็มีส่วนที่ผิดพลาดบ้าง นอกจาก AI โหมดการถ่ายรูปหลากหลายยังมีมาให้ครบใน Y7 2019 เช่นเดียวกับโหมดมืออาชีพสำหรับคนชอบตั้งค่า



สรุป

ตัวเครื่องและจอแสดงผลสวยงามทำให้ราคาจำหน่ายที่วางไว้ 4,990 บาทถูกมองว่าดีงามมาก โดยเฉพาะการถ่ายรูปที่ง่ายและรวดเพราะพลังของ AI Scene ยังมีแบตเตอรี่ 4000 mAh ที่ทำให้หมดห่วงไม่ต้องชาร์จทุกวัน (ระบบยังคงจะเตือนว่าแบตเตอรี่ต่ำเมื่อเหลือ 20% และตัดคุณสมบัติบางส่วนออกเพื่อประหยัดแบตเตอรี่แม้จะแสดงผลว่ายังสามารถใช้งานต่อได้กว่า 6 ชั่วโมง)

นอกจากนี้ Y7 Pro 2019 ยังสามารถตอบโจทย์คอเกมได้ระดับหนึ่ง ถือเป็นอีกสมาร์ทโฟนราคาไม่ถึง 5 พันบาทที่น่าสนใจมากทีเดียว.

]]>
Review : Huawei Nova 3 ไม่ได้มีดีแค่กล้อง 4 ตัว!! https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-nova-3/ Fri, 21 Sep 2018 08:54:05 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29255 ใครกำลังมองหาสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นเด่นแต่ราคาไม่แรงเกินไป Huawei Nova 3 อาจเป็นคำตอบที่ยอดเยี่ยมเพราะ Nova 3 จัดเต็มหน่วยประมวลผลรวดเร็ว พื้นที่เก็บข้อมูลกว้างขวาง และระบบการจัดการเครื่องที่ครบถ้วน ยังมีระบบกล้องถ่ายภาพ 4 เลนส์ที่แบ่งเป็น 2 ตัวด้านหน้าและ 2 ตัวด้านหลังอย่างเท่าเทียม เรียกว่าไม่ได้มีดีเฉพาะที่จุดขายอย่างกล้อง 4 ตัวเท่านั้น ยังมีอีกหลายจุดเด่นที่ถูกห่อไว้ด้วยดีไซน์สีสดใสแวววาวมีสไตล์

ข้อดี

– สมรรถนะจัดเต็ม ชิปแรง RAM เยอะ
– ระบบกล้องถ่ายรูปไม่อายใคร มีระบบ AI ดันสีให้สดใสถ่ายง่าย
– EMUI ปรับใหม่ใช้ง่าย มีหลายฟีเจอร์ช่วยบริหารเครื่องตั้งค่ารวดเร็ว

ข้อสังเกต

– คุณภาพหน้าจออยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่โดดเด่น

– ตัวกล้องยังแพ้สมาร์ทโฟนระดับเรือธง

– ระบบชาร์จไฟด่วน ไม่ด่วนเท่าที่ควร

*** กระจกคู่กรอบโลหะ

Nova 3 ใช้กระจกคู่กับกรอบโลหะทำให้โทรศัพท์มีรูปลักษณ์ทันสมัย หน้าจอขนาดใหญ่ในตัวเครื่องบาง 7.3 มม. มาพร้อมรอยบากด้านบนหน้าจอที่ซ่อนไว้ได้ ซึ่งแม้จะเป็นโทรศัพท์ขนาดจอใหญ่แต่สามารถจัดการได้ด้วยมือเดียว น้ำหนัก 166 กรัมถือว่าไม่หนักไม่เบาสำหรับโทรศัพท์ในขนาดกลุ่มนี้

Huawei Nova 3 รุ่นที่เราได้มาทดสอบเป็นรุ่นสีม่วง 2 โทนสีสไตล์เดียวกับสีเด่นของ P20 Pro อย่างสี Twilight แสดงว่า Huawei จัดเต็มดีไซน์เรือธงที่เตรียมไว้สำหรับปี 2018 มาให้ใน Nova 3 แบบไม่หวง โดยเฉพาะโปรเซสเซอร์และหน่วยความจำสำรองที่เทียบกับเรือธงได้สบาย นอกจากนี้ยังมีหน้าจอ LCD ขนาดใหญ่ 6.3 นิ้ว ความละเอียด FHD ที่ 1080×2340

ดีไซน์กระจก 3D ไล่เฉดสีของ Nova 3 มีรอยนิ้วมือเกิดขึ้นง่ายมาก แต่ก็อาจไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับใครหลายคน Nova 3 มาพร้อมระบบสแกนลายนิ้วมือด้านหลังกึ่งกลางเครื่องเช่นเดียวกับโทรศัพท์ Huawei รุ่นอื่น ระบบสแกนลายนิ้วมือทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำมากในระดับน่าพอใจ

Huawei Nova 3 ยังคงมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. แสดงว่าเป็นโทรศัพท์ที่มุ่งเป้าหมายไปที่กลุ่มผู้ใช้ทั่วไป มีช่องเสียบ USB Type-C ที่ด้านล่าง โทรศัพท์รองรับเทคโนโลยีชาร์จไวทันใจ ตัว EMUI ออกแบบใหม่เพื่อให้ดูทันสมัยขึ้น มีโปรแกรมจิ๋วหรือวิดเจ็ตใหม่ที่บอกสภาพอากาศและการแจ้งเตือนใหม่ที่ใช้ไอคอนเพื่อการสลับไปมาอย่างรวดเร็ว ทำให้โทรศัพท์ดูสะอาดตามากขึ้น

***กล้อง 4 ตัว – หน้า 2 หลัง 2

หนึ่งในไฮไลท์ของ Huawei Nova 3 คือกล้องคู่ที่มีอยู่ด้านหน้าและหลัง กล้องคู่ด้านหน้าเป็นเซ็นเซอร์ขนาด 24MP ที่มีรูรับแสง f / 2.0 ใช้ร่วมกับเซ็นเซอร์สีกว้าง 2MP ที่จับข้อมูลความลึกของภาพเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ bokeh ที่ชัดเจน กล้องทั้ง 2 ตัวใช้ AI ซึ่ง Huawei ระบุว่าสามารถเข้าใจสภาพแวดล้อมรอบด้านเพื่อสร้างภาพที่น่าตื่นตา

ด้านหลังของ Huawei Nova 3 มีกล้องคู่ 24MP + 16MP สำหรับ AI ที่กล้องหลัง ระบบสามารถแยกสภาพแวดล้อมได้กว่า 200 แบบใน 8 ประเภทไม่ซ้ำกัน ได้แก่ ท้องฟ้าสีฟ้า ชายหาด พืช กลางคืน ดอกไม้ และหิมะ

โดยรวมแล้ว Huawei Nova 3 ทำให้เรารู้สึกประทับใจกับกล้องทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพราะเมื่อใช้ Huawei Nova 3 ถ่ายภาพในเวลากลางวัน การทำ bokeh เกิดขึ้นได้ง่ายดายและมีการจัดการเพื่อเบลอพื้นหลังโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดเลย

นอกจากนี้ ชาว Huawei Nova 3 สามารถเปิดปิด AI ได้ง่าย ระบบสามารถระบุว่าเป็นภาพถ่ายพืช ท้องฟ้า และรถได้อย่างถูกต้อง และสามารถปรับแสงให้สดได้ในไม่กี่อึดใจ (ภาพด้านล่างเปรียบเทียบระหว่างเปิดและปิด AI)

การทำงานของกล้องในช่วงที่แสงน้อยทำได้ดี Huawei Nova 3 ไม่เสียชื่อที่มี AI เป็นจุดขาย เพราะสามารถดึงสีขึ้นมาได้ชัดเมื่อเทียบกับภาพถ่ายที่ปิดโหมด, ใช้แฟลช และไม่ใช้แฟลช

กล้องหลังคู่ 16MP + 24MP ของ Nova 3 ทำให้โหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอชัดเจน ขณะเดียวกัน Nova 3 ก็ไม่ลืมจัดโหมดให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่ารูรับแสงได้ตามใจต้องการ รวมถึงโหมด HDR อัตโนมัติ ที่เป็นสุดยอดตัวช่วยผู้ทำงานได้ดีในทุกสภาวะ บนการซูมที่ทำได้ดี

ลูกเล่นใน Huawei Nova 3 ถือว่ามาครบ เพราะมี 3D Portrait Lighting ให้เลือกปรับแต่งแสงแบบสตูดิโอได้ 5 ระดับในโหมดถ่ายภาพบุคคล มีโหมด AR Fun, AR Effect ที่รองรับการวิเคราะห์ท่าทาง ทำให้เพียงชี้นิ้วขึ้นฟ้าก็มีภาพสายฟ้าฟาด หรือการไขว้นิ้วชและโป้งก็มีภาพมินิฮาร์ทแสดงขึ้น ยังมี 3D Qmoji ตัวการ์ตูนแสดงอารมณ์ที่เชื่อว่าจะเพิ่มความสนุกให้กับการถ่ายภาพมากยิ่งขึ้น

Nova 3 โดดเด่นมากเรื่องการตั้งค่ากล้องที่ครบและง่าย โดยเฉพาะกล้องหน้าเพื่อการถ่ายภาพตัวเองด้วยเซ็นเซอร์ 24 MP + 2 MP เมื่อเทียบภาพที่เปิดและปิดโหมดความงาม พบว่าแตกต่างกันชัดเจน

*** สุดยอดชิป

Huawei Nova 3 ยังมีจุดเด่นเรื่องการใช้หน่วยประมวลผล 8 คอร์ระดับท็อปของตลาด Hisilicon Kirin 970 ทำให้สามารถเบลอเส้นกั้นระหว่างสมาร์ทโฟนไฮเอนด์ได้มากกว่ารุ่นอื่น ยังมี RAM 6GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 128GB ซึ่งโดยทั่วไปจะมีไว้สำหรับรุ่นเรือธง ผลคือ Nova 3 สามารถทำงานได้เร็วลื่นไหล

นอกจากนี้ Nova 3 ยังใช้ GPU Turbo ช่วยให้การเล่นเกมบนสมาร์ทโฟนทำได้ไม่สะดุด กราฟฟิกเต็มตา ยังมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ใช้งานได้ตลอดวัน

การทดสอบบน AuTuTu Benchmark v7.1.0 พบว่า Nova 3 เครื่องที่ทีมงานได้รับมาทดสอบนั้นทำคะแนน 207355 โดย Nova 3 รองรับเกมแรงอย่าง PUBG mobile หรือ ROV ได้ดี

จากการทดสอบ แบตเตอรี่ที่ Huawei เคลมว่ามีคุณสมบัติ SuperCharge นั้นใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงจึงจะชาร์จเต็มจากเกือบ 0% เป็น 100% โดย Nova 3 ที่เราได้ทดสอบจะชาร์จได้ 25% ในครึ่งชั่วโมงแรก และเพิ่มเป็น 55% เมื่อครบชั่วโมงแรก และหลังการใช้งานตลอดวัน เครื่องจะมีแบตเตอรี่เหลือ 30-40% ทำให้ยังใช้งานต่อได้มากกว่า 5 ชั่วโมง

*** สรุป

วันนี้โทรศัพท์มือถือในท้องตลาดกำลังแข่งกันให้มีคุณสมบัติดีขึ้นบนราคาที่ประหยัดกว่า สมาร์ทโฟนหลายรุ่นเป็นตัวอย่างได้ดีในวันที่การแข่งขันรุนแรงขึ้นทุกภูมิภาคทั่วโลก Nova 3 ก็เช่นกัน ราคาที่ Huawei ตั้งไว้สำหรับสมาร์ทโฟน RAM 6GB อย่าง Nova 3 คือ 16,990 บาท ถือเป็นราคาที่สูงในกลุ่มสมาร์ทโฟนระดับกลาง

สเปกระดับไฮเอนด์ทำให้หลายคนสรุปว่า Nova 3 เป็นโทรศัพท์ที่ดีกว่าโทรศัพท์พื้นฐานในตระกูล Huawei แถม Huawei P20 Pro อย่างเรือธงยังมาพร้อมกล้องถ่ายรูป 3 เลนส์ ซึ่ง Huawei Nova 3 จัดมาให้ 4 ตัวแซงหน้าไปแล้ว ดังนั้น Nova 3 ถือว่ามีคุณสมบัติหลากหลายและสมดุล คาดว่าจะเป็นอีกรุ่นที่โดนใจคนไทย และเป็นอีกแรงที่ส่งให้ Huawei ขยายฐานตลาดได้สำเร็จเพราะความคุ้มค่า

แต่หากใครยังไม่รีบ การอดทนรอดูรุ่นอื่นที่จะดาหน้าบุกตลาดไทยช่วงปลายปีนี้ก็ถือว่าน่าสนใจ เพราะจะมีตัวเลือกไว้เปรียบเทียบอีกมากในรุ่นที่เป็น RAM 6GB และอาจจะทำให้ได้รุ่นที่มีหน้าจอละเอียดเหนือชั้นกว่า

สรุปคุณสมบัติเด่น Nova 3:

หน่วยประมวลผล Hisilicon Kirin 970 Octa Core
หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G72 MP12 รองรับ GPU Turbo
หน้าจอขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ 2340 x 1080 พิกเซล
ระบบปฎิบัติการ Android 8.1 Oreo พร้อม EMUI 8.2
หน่วยความจำในตัว ROM 128GB พร้อมรองรับ MicroSD Card สูงสุด 256 GB
รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด, USB Type-C
รองรับเครือข่าย 2G/3G/4G
RAM 6GB
กล้องหลังคู่ความละเอียด 16MP + 24MP
กล้องหน้าคู่ความละเอียด 24MP + 2MP
รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือ Fingerprint Scan
มีฟีเจอร์สแกนใบหน้าปลดล็อคเครื่อง
แบตเตอรี่ 3750 mAh รองรับระบบชาร์จเร็วของ Huawei
ราคา 16,990 บาท.

]]>
Review : Huawei P20 Pro ยกระดับกล้องมือถือ ด้วย AI และกล้อง 3 เลนส์ https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-p20-pro/ Fri, 20 Apr 2018 04:16:02 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=28355

จุดเด่นหลักของ Huawei P20 Pro ที่ถูกนำเสนอออกมาให้เห็นชัดที่สุดเลยคือการที่มาพร้อมกับกล้อง 3 เลนส์ ที่เป็นการผสมผสานระหว่างเลนส์ความละเอียดสูง 40 ล้านพิกเซล เลนส์รับภาพขาวดำ ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล และเลนส์มุมแคบ (Tele) 8 ล้านพิกเซล มาช่วยในการทำระยะชัดลึกชัดตื้น

พร้อมไปกับการปรับแต่งจากไลก้า (Leica) ที่มาช่วยเร่งสี และคุณภาพของรูปให้ดียิ่งขึ้น ไม่นับรวมกับความสามารถต่างๆอย่างการที่ซูมภาพได้ 5 เท่า ระบบกันสั่นรูปแบบใหม่อย่าง Huawei AIS ที่นำ AI มาช่วยควบคุม ทำให้ถ้าถามถึงเทคโนโลยีกล้องในเวลานี้ P20 Pro ขึ้นมาอยู่อันดับต้นๆ ได้ไม่ยาก

ขณะเดียวกัน ในแง่ของราคาเปิดตัวที่ 27,990 บาท ยิ่งทำให้ P20 Pro น่าสนใจมากขึ้น เพราะกลายเป็นสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ที่ราคาต่ำกว่า Samsung Galaxy S9+ และ iPhone X อยู่ อาจทำให้ตัดสินใจเลือกซื้อได้ง่ายขึ้น

ข้อดี

กล้อง 3 เลนส์ ที่นำ AI มาช่วยประมวลผล

สเปกเครื่องระดับไฮเอนด์ RAM 6 GB รองรับ 4G LTE Cat 18 1.2 Gbps

แบตเตอรี 4,000 mAh ใช้งาน 1 วันหนักๆแบบสบายๆ

การออกแบบและสีสันตัวเครื่องที่น่าสนใจ

ข้อสังเกต

การบันทึกวิดีโอความละเอียดสูงยังมีข้อจำกัดอยู่

ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มม.

ไม่สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้

จอแสดงผลยังอยู่ในระดับ FullHD

ปรับดีไซน์ใหม่ให้หรูขึ้น

การออกแบบโดยรวมของ Huawei P20 Pro ถือว่าเป็นการดีไซน์ใหม่ขึ้นมา โดยไม่เหลือความเป็น P10 เดิมอยู่เลย ด้วยการหันมาใช้กระจกหน้าแบบ FullView ที่มีรอยบากบนหน้าจอ เพื่อเป็นที่อยู่ของกล้องหน้า 24 ล้านพิกเซล f/2.0 และลำโพงโทรศัพท์ ส่วนล่างหน้าจอยังคงมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือให้กดใช้งานอยู่

หน้าจอของ P20 Pro จะมีขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด FullHD+ (2244 x 1080 พิกเซล) ความละเอียดเม็ดสี 408 ppi ในสัดส่วน 18.7:9 ที่หันมาใช้เทคโนโลยี OLED ทำให้สีสันของหน้าจอสดใสมากขึ้น

ส่วนรอบๆเครื่องทางซ้ายจะมีช่องใส่ถาดซิมการ์ดที่เป็นแบบ 2 นาโนซิม ทางขวาเป็นปุ่มเพิ่มลดเสียง และปุ่มเปิดเครื่อง ที่มีสัญลักษณ์สีแดงแสดงความเป็น Leica ระบุเพิ่มเข้ามา ส่วนขอบบนจะมีช่องไมโครโฟนตัดเสียง และเซ็นเซอร์อินฟาเรต ขอบล่างเป็นลำโพง และพอร์ต USB-C

มาถึงจุดเด่นหลักคือ Triple Camera ที่อยู่ด้านหลังเครื่อง โดยการออกแบบต่างๆ ทำให้เห็นว่า P20 Pro เน้นการใช้งานถ่ายภาพในแนวนอน ด้วยการสกรีนชื่อแบรนด์ Huawei และ Leica ในแนวเดียวกับกล้องที่เป็นแนวตั้ง

โดยกล้องทั้ง 3 เลนส์จะมีหน้าที่แตกต่างกันชัดเจน ไล่จากที่อยู่ชิดกับไฟแฟลช คือเลนส์ถ่ายภาพขาวดำ ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล f/1.6 ที่ไว้ใช้ในการเก็บคอนทราสต์ของภาพให้มีมิติมากยิ่งขึ้น

ถัดมาคือเลนส์สี RGB ความละเอียด 40 ล้านพิกเซล f/1.6 ที่ใช้เป็นเลนส์หลักในการเก็บภาพ โดยถ้าตั้งที่ความละเอียด 40 ล้านพิกเซล จะไม่สามารถซูมภาพได้ แต่ถ้าตั้งความละเอียดที่ 10 ล้านพิกเซล ระบบจะทำ Hybrid Zoom ให้ได้สูงสุด 5 เท่า

ที่อยู่คู่กันคือเลนส์มุมแคบ 8 ล้านพิกเซล f/2.4 ซึ่งมาช่วยในการถ่ายโหมด Portrait หรือภาพยุคคล เพื่อละลายฉากหลัง ด้วยการแยกวัตถุออกมา โดยใน P20 Pro จะมีการนำหน่วยประมวลผล NPU มาใช้เพื่อให้ AI ช่วยประมวลผลภาพให้ออกมาเนียนมากที่สุด

สำหรับขนาดตัวเครื่องจะอยู่ที่ 73.9 x 155 x 7.8 มิลเมตร นำ้หนัก 180 กรัม สเปกภายใน P20 Pro จะทำงานบนหน่วยประมวลผล Kirin 970 (2.36 x 1.8 GHz) RAM 6 GB ROM 128 GB แบตเตอรี 4,000 mAh ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 8.1

รองรับการใช้งาน 4G 2 ซิมการ์ด (นาโนซิม) ตัวเครื่องมีเฉพาะพอร์ต USB-C ให้ใช้ในการเชื่อมต่อเท่านั้น ส่วนการเชื่อมต่อไร้สายจะมีทั้ง Wi-Fi 802.11ac บลูทูธ 4.2 NFC GPS และยังมีพอร์ตอินฟาเรตมาให้ใช้งานด้วย

ก่อนหน้านี้ ทีมงานเคยเปรียบเทียบความสามารถระหว่างเรือธง 2 รุ่นคือ Samsung Galaxy S9+ และ Huawei P20 Pro ไว้คร่าวๆ เพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจกัน ว่าการใช้งานแบบใด เหมาะกับเครื่องรุ่นไหน

ลงรายละเอียด Triple Camera

 

ทีนี้ มาเจาะลึกกันถึงความสามารถใน P20 Pro ที่น่าสนใจกันบ้าง เริ่มจากในโหมดเด็ดอย่างการถ่ายภาพ ที่กลายเป็นว่า Huawei สามารถคว้ารางวัลการเป็นสมาร์ทโฟนที่ถ่ายภาพได้ดีที่สุดในเวลานี้มาได้ท้ังในส่วนของ P20 และ P20 Pro

ส่วนหนึ่งที่เป็นตัวช่วยสำคัญเลยคือการทำงานร่วมกันระหว่าง Huawei และ Leica ในการนำเลนส์มาปรับแต่งให้เหมาะสม ผสมไปกับการที่ Huawei มีการนำ Master AI มาใช้งานเพื่อช่วยประมวลผลภาพ ส่งผลให้ภาพที่ได้จาก P20 Pro มีเอกลักษณ์ของความเป็น Leica ได้เป็นอย่างดี

จุดเด่นของ Master AI เลยคือเมื่อเข้าโหมดถ่ายภาพตัวกล้องจะเลือกโหมดถ่ายภาพให้อัตโนมัติ โดยขึ้นอยู่กับวัตถุ สภาพแสงที่ถ่าย โดยใช้ AI มาช่วยเลือก โดยในจุดนี้จะมีการแสดงผลขึ้นมาแจ้งเตือนว่ากำลังใช้โหมดถ่ายภาพใดอยู่ และในขณะเดียวกันก็จะมีการเร่งสีขึ้นมาให้ดูสวยงามขึ้น

สิ่งที่เกิดขึ้นคือความสะดวกในการใช้งานที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องไปคิดว่าจะใช้โหมดใดถ่ายภาพ หยิบขึ้นมาก็สามารถรอให้ AI ประมวลผล แล้วกดถ่ายได้เลย ถ้าไม่ชอบสีที่ปรับแต่งเพิ่มก็กดกากบาทเพื่อปิดโหมดดังกล่าวและกลับมาใช้โหมดปกติในการถ่ายภาพ

อย่างไรก็ตาม การที่ AI ฉลาดเกินไป ทำให้กลายเป็นจุดที่เวลาใช้งานแล้วค่อนข้างขัดใจอย่างเช่น ถ้าการถ่ายภาพในสภาพสีที่สมจริง แต่เมื่อ AI มาช่วยประมวลผล ภาพที่ได้ออกมากลายเป็นมีการเร่งสีออกมา ทำให้ภาพที่ได้ไม่ค่อยตรงกับธรรมชาติ แต่แน่นอนถ้าเป็นผู้ที่ชอบสีสดๆ ก็จะไม่มีปัญหากับตรงนี้

ถัดมาเลยคือเรื่องของอินเตอร์เฟสการใช้งานกล้อง ที่คิดว่า Huawei พยายามปรับรูปแบบการใช้งานให้เหมือนกับ iPhone มากเกินไป ด้วยการเปลี่ยนมาใช้การปัดซ้ายขวาเพื่อเปลี่ยนโหมดในการถ่ายภาพแทน ทำให้ถ้าต้องการสลับจากการถ่ายภาพนิ่ง ไปถ่ายภาพแบบปรับรูรับแสง หรือถ่ายภาพในโหมดโปรต้องปาดอย่างน้อย 2 ครั้ง

จากเดิมที่ปาดครั้งเดียว แล้วเลือกโหมดที่ต้องการใช้งานได้ทันที และยิ่งเมื่อมาใช้งานในโหมดโปร ที่ต้องมีการใช้นิ้วลากเพื่อปรับตั้งค่าสปีดชัตเตอร์ ความไวแสง หรือระยะโฟกัส ปาดไปปาดมากลายเป็นเปลี่ยนโหมดถ่ายภาพไปก็มี

ต่อมาคือเรื่องของการซูมภาพที่ Huawei มีการนำ Hybrid Zoom มาใช้งาน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถซูมภาพได้ 1x 3x และ 5x โดยที่ยังรักษาความละเอียดของภาพไว้ได้ (การซูมภาพต้องตั้งความละเอียดภาพที่ 10 ล้านพิกเซล ถ้าไปตั้งที่ความละเอียด 40 ล้านพิกเซลจะไม่สามารถซูมได้)

โดยในส่วนของการถ่ายวิดีโอ ก็ได้รับอานิสงค์จากเลนส์ความละเอียดสูงเช่นกัน ทำให้เมื่อเลือกถ่ายภาพในระดับ Full HD จะสามารถซูมภาพได้มากขึ้น แต่ถ้าถ่ายในระดับ 4K ก็ยังไม่สามารถซูมแล้วเก็บรายละเอียดได้เหมือนเดิม

ประกอบกับการทำงานของ Huawei AIS ที่เป็นระบบกันสั่นที่นำ AI มาช่วยประมวลผล ซึ่งจะเหมาะกับการใช้งานเมื่อถ่ายในมุมกว้าง จะช่วยให้สามารถถือกล้องถ่ายได้ในระยะเวลาที่นานขึ้น ช่วยให้เปิดหน้าเลนส์รับแสงได้มากขึ้น ผลก็คือสามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดี

แต่ Huawei AIS ก็มีจุดที่ต้องเข้าใจนิดหน่อยตรงที่เมื่อใช้ถ่ายภาพในระยะซูม เมื่อระบบกันสั่นตรวจจับการสั่นไหวของมือเล็กน้อย ก็จะทำให้เกิดการไหลไปมาของภาพ เพราะ AI พยายามปรับให้ภาพนิ่งที่สุด ซึ่งเชื่อว่าในจุดนี้จะสามารถพัฒนาได้ในอนาคต

Gallery

ประสิทธิภาพโดยรวมระดับไฮเอนด์

หมดจากการใช้งานในโหมดกล้อง ส่วนที่เหลือของ P20 Pro โดยรวมก็ถือว่าอยู่ในระดับของสมาร์ทโฟนไฮเอนด์อยู่แล้ว การใช้งานทั่วๆไปทั้งหลายทำได้ไหลลื่นสบายๆ โดยเฉพาะการเล่นเกมที่ Kirin 970 กับ RAM 6 GB ต่อให้เกมกินสเปกแค่ไหนก็ยังประมวลผลได้ลื่นไหล

ในส่วนของการแสดงผลอย่างรอยบากบนหน้าจอ ถ้าผู้ใช้ไม่ชอบทาง Huawei ก็มีตัวเลือกมาให้ตั้งค่าถมแถบดำเพื่อปิดรอยบากดังกล่าวได้ แต่ถ้าไม่ได้มีปัญหาในการใช้งานก็สามารถใช้แบบปกติไปได้เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ ในส่วนของการใช้งานสมาร์ทโฟนที่มีรอยบาก ช่วงแรกๆ ที่แอปพลิเคชันบนแอนดรอยด์ยังไม่ได้มีการอัปเดต การแสดงผลก็จะมีการแสดงผลเพี้ยนบ้าง อย่างเช่นไปมีข้อความขึ้นทับกับตรงรอยบากดังกล่าว ซึ่งในจุดนี้ก็ต้องใช้เวลาให้นักพัฒนามีการอัปเดตแอปพลิเคชันเพิ่มเติม เหมือนกับที่เกิดกับ iPhone X ช่วงแรกๆ

มาถึงในส่วนของการทดสอบประสิทธิภาพ ถ้ามองที่ตัวเลขในการทดสอบ P20 Pro จะกลายเป็นสมาร์ทโฟนที่อยู่ในระดับท็อปๆอยู่แล้ว ทั้งในแง่ของการประมวลผล และการแสดงผลบนหน้าจอระดับ Full HD ที่ให้มา

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเรื่องของแบตเตอรี ที่ให้มา 4,000 mAh ซึ่งกลายเป็นว่าเมื่อใช้งานจริง สามารถอยู่ได้เกิน 1 วันสบายๆ และถ้าไม่ได้ใช้งานมากนักจะลากยาวไปถึง 2 วันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แถมยังทำระยะเวลาทดสอบบน PCMark ได้ถึง 8 ชั่วโมงด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพ

]]>
Review : Huawei Mate 10 Pro เครื่องเร็ว กล้องสวย แบตอึด คือ 3 นิยามหลักของรุ่นนี้ https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-mate-10-pro/ Tue, 26 Dec 2017 08:58:26 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=27891

อย่างที่รู้กันว่าซีรีส์ Mate ของ Huawei ถือเป็นตระกูลที่เน้นในแง่ของประสิทธิภาพ การใช้งาน และเทคโนโลยีใหม่เป็นหลัก ที่จะกลายเป็นตัวต้นแบบให้รุ่นอื่นๆที่จะตามออกมาในอนาคต ซึ่งใน Mate 10 Pro ที่เพิ่งวางจำหน่ายนี้ก็เช่นกัน

Huawei Mate 10 Pro จะเคลมถึงการเป็นสมาร์ทโฟนที่มากับหน่วยประมวลผล Kirin 970 ที่มีการแยกหน่วยประมวลผลที่เป็น AI ออกมาด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องของการที่รองรับ 4.5G แบบ 2 ซิมที่สามารถใช้งานได้พร้อมกัน และที่ไม่เคยมีใน Huawei มาก่อนคือ Desktop Mode ในการต่อสมาร์ทโฟนกับจอเพื่อใช้งานเป็นคอมพิวเตอร์

ไม่นับรวมกับเรื่องที่ถูกปรับปรุงจากรุ่นก่อนหน้าอย่างกล้องหลังคู่ที่ยังคงคอนเซปต์ Leica เช่นเดิม เพิ่มเติมด้วยเลนส์ชนิดใหม่ที่ให้รูรับแสงขนาดใหญ่มากขึ้น ขณะเดียวกันการมาของ AI ช่วยทำให้เครื่องมีการเรียนรู้ และปรับการใช้งานให้เหมาะกับผู้ใช้ด้วย ในราคา 27,900 บาท

การออกแบบ

ตัวเครื่องของ Mate 10 Pro จะมากับดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์อย่างอย่างวัสดุอะลูมิเนียมที่ใช้ ให้ความคงทนแข็งแรง ประกอบกับมีการใช้หน้าจอ Full View Display ทำให้ตัวเครื่องไม่กว้างจนเกินไป แม้จะให้จอที่มีขนาดใหญ่ โดยตัวเครื่องจะอยู่ที่ 154.2 x 74.5 x 7.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 178 กรัม วางจำหน่ายด้วยกัน 2 สีคือ น้ำเงิน และน้ำตาล

ด้านหน้าจะมีการเว้นขอบบนและล่างไว้ในขนาดที่สมมาตร โดยขอบบนจะเป็นที่อยู่ของลำโพงสนทนา กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ที่ให้ f/2.0 เซ็นเซอร์ต่างๆ และไฟแสดงสถานะเครื่อง ถัดลงมาเป็นหน้าจอ OLED Full View Display ขนาด 5.9 นิ้ว Full HD+ (2160 x 1080 พิกเซล) ส่วนขอบล่างเป็นตรา Huawei

ด้านหลังที่เห็นหลักๆเลยคือกล้องเลนส์ Leica คู่ที่เป็นเลนส์ขาวดำความละเอียด 20 ล้านพิกเซล และเลนส์สี 12 ล้านพิกเซล ที่ f/1.6 ทั้งคู่ (Summilux-H) โดยมีไฟแฟลช Dual LED อยู่ข้างๆ ซึ่งตรงนี้จะมีการเล่นลายสีของเครื่องที่เข้มกว่าพาดผ่านอยู่

ลงมาเป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ซึ่งเมื่อวางตำแหน่งอยู่ข้างล่างเลนส์กล้อง ถือเป็นจุดที่เหมาะมาก เพราะช่วยให้สามารถใช้นิ้วชี้ปลดล็อกได้พอดี ลงมาด้านล่างก็จะมีโลโก้ Huawei อยู่ ทั้งนี้ด้วยการที่ฝาหลังจะใช้วัสดุเงามันทำให้เวลาใช้งานจะมีรอยนิ้วมือติดค่อนข้างง่าย ภายในจะมีแบตเตอรีขนาด 4,000 mAh อยู่

ด้านซ้ายจะมีเพียงช่องถาดใส่ซิมการ์ด ที่ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะใส่ 1 นาโนซิม + ไมโครเอสดีการ์ด หรือจะเลือกใส่นาโนซิมทั้ง 2 ช่อง ด้านขวาเป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดปิดเครื่อง

ด้านบนจะมีเซ็นเซอร์อินฟาเรดอยู่ กับไมโครโฟนตัดเสียง และลายเสาอากาศ ด้านล่างจะมีลำโพง ไมโครโฟนสนทนา และพอร์ต USB-C โดยมีลายเสาอากาศขนาบอยู่เช่นกัน

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องประกอบไปด้วย ตัวเครื่อง อะเดปเตอร์ สาย USB-C เคสใส คู่มือ และอะเดปเตอร์แปลงพอร์ต USB-C เป็นช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. มาให้ด้วย

สเปก

Huawei Mate 10 Pro จะทำงานบนหน่วยประมวลผล Kirin 970 ที่เป็น Octa Core (2.36 GHz x 4, 1.8 GHz x 4) หน่วยประมวลผลกราฟิกเป็น Mali-G72 MP12 มี NPU เพิ่มเติมมาด้วย RAM 6GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายในตัวเครื่อง 128 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 8.0 Oreo

ในส่วนของการเชื่อมต่อ Mate 10 Pro จะเป็นเครื่องรุ่นแรกในโลกที่รองรับ 4G 2 ซิม ที่ใช้งานได้พร้อมกัน และยังมาพร้อมการเชื่อมต่อไวไฟ 802.1.1 a/b/g/n/ac บลูทูธ 4.2 โดยตัวพอร์ต USB-C ยังสามารถใช้ต่อกับจอเพื่อเข้าใช้งาน Desktop Mode ได้ด้วย

ฟีเจอร์เด่น

สำหรับจุดเด่นหลักๆของ Huawei Mate 10 Pro จะเริ่มกันจากตัวของอินเตอร์เฟสที่เป็น EMUI 8.0 ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เน้นการใช้งานที่ลื่นไหลมากขึ้น ด้วยการที่ไม่มีหน้ารวมแอป แต่จะเป็นการแสดงไอค่อนที่หน้าจอหลักทั้งหมด ทำให้การใช้งานไม่ซับซ้อน

รูปแบบการแจ้งเตือนก็จะเป็นตามปกติของแอนดรอยด์ทั่วไปที่บริเวณแถบ Notification จะมีไอค่อนลัดสำหรับการตั้งค่าด่วนต่างๆ ซึ่งจะมีที่น่าสนใจอย่างการจับภาพหน้าจอ การบันทึกภาพหน้าจอเป็นวิดีโอ โหมดถนอมสายตา มาให้เลือกใช้ด้วย

ส่วนในแง่ของแอปพลิเคชันที่บันเดิลมาให้ นอกจากเครื่องมือพื้นฐานทั่วไป และบริการของกูเกิลเซอร์วิสแล้ว จะมีเครื่องมืออย่างพยากรณ์อากาศ เครื่องคิดเลข ไฟฉาย กระจก รีโมทอัจฉริยะ (ใช้อินฟาเรตควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า) เข็มทิศ

มาถึงในแง่ของการใช้งานเริ่มจากจุดเด่นหลักๆกันก่อน คือเรื่องของการเชื่อมต่อที่ Mate 10 Pro รองรับการใช้งาน 4G 2 ซิม กล่าวคือจากเดิมสมาร์ทโฟนที่รองรับ 2 ซิมเวลาซิมหลักเชื่อมต่อ 4G ซิมรองจะสแตนบายในโหมด 3G หรอื 2G แต่พอมาเป็นใน Mate 10 Pro ตัวเครื่องถูกทำมาให้สามารถเชื่อมต่อ 4G ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิม

เมื่อเชื่อมต่อ 4G ได้ทั้ง 2 ซิมแล้วดีอย่างไร ก็คือในเรื่องของการใช้งานโทรศัพท์ที่จะได้เสียงที่คมชัดขึ้นจาก VoLTE และการสลับการใช้งานดาต้าทำให้ง่ายขึ้น ประกอบกับการที่รองรับ 4G LTE Cat 18 ทำให้สามารถเชื่อมต่อได้สูงสุดถึง 1.2 Gbps (บนเครือข่ายที่รองรับ)

ถัดมาในแง่ของการที่ตัวเครื่องมี AI มาให้ หลักๆแล้วจะถูกนำไปใช้งานกับโหมดการถ่ายภาพอัตโนมัติ ที่จะตรวจจับวัตถุที่ถ่ายและเลือกโหมดใช้งานที่เหมาะสมให้ ซึ่งถือว่าทำให้กล้องอัตโนมัติของหัวเว่ยฉลาดขึ้น ถ่ายภาพได้ง่ายขึ้น

ในขณะเดียวกันด้วยกล้องใหม่ทำให้การใช้งานในโหมดโปรทำได้สนุกขึ้นเช่นเดียวกัน ดังนั้นผู้ที่ชอบการถ่ายภาพ และปรับแต่งได้เอง มีไฟล์ RAW ไปให้ Process ภาพให้ดีขึ้นอีก Mate 10 Pro จะไม่ทำให้ผิดหวัง

อีกระบบหนึ่งที่ AI ถูกนำไปใช้คือตัวบริหารจัดการแบตเตอรี ที่ตัวเครื่องจะคอยทำการสแกนแอปที่เปิดใช้งาน เมื่อพบแอปที่มีการใช้พลังงานมากกว่าปกติก็จะมีการแจ้งเตือน เพื่อให้ปิดแอป หรือตรวจสอบการใช้งาน (ในอีกมุมหนึ่งผู้ใช้อาจจะรู้สึกรำคาญได้เพราะจะมีแจ้งเตือนขึ้นมาเรื่อยๆ)

ทำให้แบตเตอรีที่ให้มาขนาด 4,000 mAh สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องทั้งวันสบายๆ ไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรีจะหมดระหว่างวัน ซึ่งเท่าที่ลองใช้มาเเดือนกว่าๆ ก็พบว่า Mate 10 Pro เป็นสมาร์ทโฟนที่แบตอึดมาก เมื่อเทียบกับเรือธงหลายๆรุ่นในช่วงปลายปีนี้

ส่วนฟีเจอร์อื่นๆที่ให้มา เนื่องจาก Mate 10 Pro จะไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ทำให้ถ้าไม่ใช้งานหูฟัง USB-C ที่แถมมาให้ ก็สามารถใช้อะเดปเตอร์แปลง USB-C ไปเป็นพอร์ต 3.5 มม.ได้เช่นเดียวกัน โดยในการใช้งานผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งค่าหูฟังที่ใช้ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานได้

ในส่วนของการตั้งค่า หัวเว่ยจะใช้การรวมการตั้งค่าในลักษณะเดียวกันเข้าไปอยู่ในหัวข้อเดียวกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อเครือข่าย เชื่อมต่ออุปกรณ์ ตั้งค่าแอป การแจ้งเตือน จัดการแบตเตอรี ตั้งค่าหน้าจอ เสียง จัดการพื้นที่เก็บข้อมูล ระบบรักษาความปลอดภัย

โดยในส่วนของการแจ้งเตือนผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะให้มีการแสดงไฟแจ้งเตือน แสดงชื่อโอเปอเรเตอร์ที่เชื่อมต่อ ความเร็วในการเชื่อมต่อ และเปอเซนต์แบตเตอรี นอกจากนี้ ก็ยังมีฟีเจอร์ App Twin ที่จะทำให้สามารถใช้งานเฟซบุ๊ก ไลน์ ได้ 2 บัญชีในเครื่องเดียว

การแสดงผลนอกจากปรับตั้งค่าความสว่างอัตโนมัติแล้ว ยังสามารถเข้าไปตั้งค่าอุณหภูมิสี เปิดโหมดถนอมดวงตา ตั้งขนาดตัวอักษรได้ สำหรับแถบควบคุมด้านล่างก็ยังสารถเลือกจัดเรียงปุ่มต่างๆได้ และโหมดช่วยในการใช้งานอย่างการใช้งานมือเดียว การควบคุมด้วยท่าทางต่างๆ

คีย์บอร์ดที่ให้มากับตัวเครื่องคือ SwifKey ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความชอบของผู้ใช้ แต่โดยส่วนตัวแล้วเลือกที่จะโหลดแอปคีย์บอร์ดอย่าง Gboard ที่เป็นของกูเกิลมาใช้งาน และถนัดมากกว่า

สุดท้ายในส่วนของ PC Mode หรือการเปลี่ยน Mate 10 Pro ให้กลายเป็นพีซี เมื่อเชื่อมต่อกับจอแสดงผล ด้วยการเชื่อมต่ออะเดปเตอร์ USB-C to HDMI โดยเมื่อเชื่อมต่อแล้วตัวหน้าจอ Mate 10 Pro ก็จะทำหน้าที่แทนเมาส์ หรือคีย์บอร์ดให้ใช้งานกัน

กรณีที่มีคีย์บอร์ด หรือเมาส์บลูทูธ ก็ยังสามารถเชื่อมต่อกันเพื่อใช้งานแบบไร้สายได้ หรือถ้าตัวอะเดปเตอร์มีพอร์ต USB แยกมาให้ก็สามารถเสียบสายเพื่อใช้งานได้ทันทีเช่นเดียวกัน

ในการใช้งาน PC Mode นอกจากแอปที่ติดตั้งมาให้ในเครื่องอย่างตัวจัดการไฟล์ โครม อีเมล โน้ต อัลบั้มภาพ และวิดีโอ ผู้ใช้ยังสามารถเรียกใช้งานแอปที่ดาวน์โหลดมาติดตั้งเพิ่มเติมได้ ช่วยให้สามารถใช้งานบนหน้าจอขนาดใหญ่ได้สะดวกขึ้น

ยกตัวอย่างเช่นถ้าต้องการดูหนังจากจอขนาดใหญ่ เปิด Netflix ขึ้นมา ก็สามารถเลือกดูซีรีส์เรื่องโปรดได้ทันที

ทดสอบประสิทธิภาพ

Antutu Benchmark = 177,816 คะแนน
Multi-Touch = 10 จุด
AndroBench Read = 803.58 MB/s Write 229.62 MB/s

PC Mark
Work 2.0 = 6,888 คะแนน
Computer Vision = 4,595 คะแนน
Storage = 14,615 คะแนน
Work = 8,086 คะแนน

3D Mark
Sling Shot Extreme Unlimited = 3,017 คะแนน
Sling Shot Extreme = 2,929 คะแนน
Sling Shot Unlimited = 3,297 คะแนน
Sling Shot = 3,385 คะแนน
Ice Storm Extreme = 14,145 คะแนน
Ice Storm Unlimited = 32,043 คะแนน
Ice Storm = 14,269 คะแนน

PassMark PerformanceTest
System = 12,798 คะแนน
CPU Tests = 178,344 คะแนน
Memory Tests = 9,052 คะแนน
Disk Tests = 71,384 คะแนน
2D Graphics Tests = 8,028 คะแนน
3D Graphics Tests = 3,892 คะแนน

Geekbench 4
Single-Core = 1,899 คะแนน
Multi-Core = 6,773 คะแนน
Compute = 7,486 คะแนน

ในส่วนของการทดสอบแบตเตอรีจาก PC Mark เปิดใช้งานตลอดเวลาจนแบตเตอรีลดลงเหลือ 20% จะได้ระยะเวลาประมาณ 11 ชั่วโมง 18 นาที ซึ่งถือว่าสูงมาก เพราะเป็นการทดสอบใช้งานต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับการใช้งานจริงจึงสามารถใช้งานได้วันถึง 2 วันสบายๆ

สรุป

หลังจากได้ลองใช้งาน Hauwei Mate 10 Pro มาเกือบๆ 2 เดือน สิ่งที่พบหลักๆเลยคือตัวเครื่องค่อนข้างครบ และคุ้มเมื่อเทียบกับระดับราคาตามที่หัวเว่ยเคลมไว้ เพราะตอบโจทย์การใช้งานได้ทั้งการใช้งานหนักๆ การถ่ายภาพ แบตเตอรี ประกอบกับหน้าจอขนาดใหญ่ รวมๆจึงตอบโจทย์ทั้งหมด

เพียงแต่ว่าด้วย EMUI ของ Mate 10 Pro อาจจะยังไม่สมบูรณ์มากนัก เวลาใช้งานบางทีจะเจออาการแอปเด้ง หรือแอปค้างให้เห็นบ้าง ประกอบกับสัดส่วนหน้าจอเป็น 18:9 แต่ในบางแอป (ที่เจอคือ 1-2 แอปฯ) ไม่สามารถเลือกปรับสัดส่วนได้เอง ทำให้กลายเป็นไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่

แต่ด้วยการที่เป็นรุ่นเรือธงของปีอยู่แล้วเชื่อว่าจะมีการอัปเดตเฟิร์มแวร์ออกมาต่อเนื่อง รวมถึงเมื่อแอปมีการอัปเดตให้รองรับสัดส่วนใหม่ก็จะใช้งานได้อย่างราบรื่น อีกจุดที่ค่อนข้างประทับใจคือภาครัฐสัญญาณ 4G ที่ใช้งานได้ทั้ง 2 ซิม ถือเป็นจุดที่น่าสนใจจริงๆ

ส่วนในเรื่องของ AI ที่นำมาใช้กับหน่วยประมวลผล ผู้ใช้อาจจะยังไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ เพราะยังอยู่ในช่วงการเก็บข้อมูลใช้งาน แต่ถ้าใช้งานไปสักพัก ตัวเครื่องมีการเรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้มากขึ้น ก็จะเข้ามาช่วยโดยเฉพาะในเรื่องของแบตเตอรีที่ไม่เคยหมดระหว่างวัน

ข้อดี

สมาร์ทโฟนไฮเอนด์สเปกแรง

แบตฯ อึดมากใช้งานได้ 2 วันสบายๆ ถ้าไม่ใช้งานหนัก

กล้องคู่ Leica ไม่ทำให้ผิดหวัง โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายโหมด Pro

รองรับ 4G สแตนบายพร้อมกัน 2 ซิม ใช้ VoLTE ได้เสียงคมชัด

ข้อสังเกต

ตัวเครื่องจะมีขนาดใหญ่ไม่สักหน่อยเมื่อถือใช้งานมือเดียว

ไม่มีระบบชาร์จไร้สายมาให้

ไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. (แต่ในกล่องมีแถมอะเดปเตอร์แปลงมาให้)

อินเตอร์เฟส EMUI ยังไม่ค่อยสมบูรณ์

Gallery

]]>
เทียบภาพถ่ายจาก 3 สมาร์ทโฟนเด่นช่วงปลายปี 2017 Note 8 – Mate 10 Pro – iPhone X https://cyberbiz.mgronline.com/compare-flagship-smartphone-camera-2h2017/ Tue, 19 Dec 2017 08:39:01 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=27837

กับคำถามที่ว่าช่วงปลายปีเลือกซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นใดดี กล้องจากเครื่องระดับไฮเอนด์รุ่นไหนดีที่สุด ทีมงาน Cyberbiz เลยนำ 3 รุ่นเด่นในช่วงปลายปี 2017 ไม่ว่าจะเป็น Samsung Galaxy Note 8 Huawei Mate 10 Pro และ Apple iPhone X มาเทียบกันให้หายสงสัย

(รูปถ่ายไม่ได้เรียงตามรุ่นที่กล่าวไป เฉลยอยู่ด้านล่าง)

สภาพแสงปกติ

ซูม 2X


แสงน้อย

อาหาร

หน้าชัดหลังเบลอ

สำหรับลำดับในการเรียงภาพ รูปแรกจะมาจาก Apple iPhone X ตามด้วย Huawei Mate 10 Pro และ Samsung Galaxy Note 8

เมื่อลองเทียบกันในแง่ของคุณภาพรูปที่แตกเชื่อว่าไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก แต่ละแบรนด์ก็จะมีเอกลักษณ์ในแง่ของสีที่ได้แตกต่างกัน แต่ถ้าถามว่าสีจากเครื่องรุ่นใดที่ให้ตรงตามความเป็นจริงมากที่สุด ก็จะเป็น iPhone X แต่ถ้ามองในแง่ของความสด การชดเชยแสงที่ทำให้สีอิ่มมากขึ้น Note 8 ก็ให้แสงดีที่สุด

ส่วน Mate 10 Pro จะดีโดดเด่นในเรื่องของการทำหน้าชัดหลังเบลอมากกว่า เนื่องจากเลนส์คู่ที่ใช้ไม่ได้เป็นเลนส์เทเลเหมือนอีก 2 รุ่น แต่ใช้เลนส์ขาว-ดำ ในมีความฉลาดในแง่การเก็บมิติของภาพมาช่วยแยกวัตถุออกมา ดังนั้นดูแล้วชอบสี ชอบโทนรูปแบบไหน ก็เลือกใช้งานกันได้

ทั้งนี้ผู้ที่อยากเข้าไปชมภาพจากไฟล์จริง สามารถเข้าไปดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้ที่ Google Drive นี้เลย

]]>