Wiko – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Mon, 15 Mar 2021 09:50:56 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Wiko Power U20 สมาร์ทโฟนจอใหญ่ แบตอึดในงบ 3,000 บาท https://cyberbiz.mgronline.com/review-wiko-power-u20/ Mon, 15 Mar 2021 09:50:56 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34933

การที่วีโก (Wiko) เน้นเจาะตลาดสมาร์ทโฟนราคาประหยัด ทำให้ที่ผ่านมาฐานลูกค้าหลักของ Wiko เป็นกลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัดเป็นหลัก เนื่องจากถือเป็นผู้ใช้ที่มองหาสมาร์ทโฟนราคาประหยัด ที่สามารถใช้งานได้คุ้มค่า

Wiko Power U20 จึงกลายเป็นรุ่นเด่นในช่วงต้นปีนี้ ด้วยการนำสมาร์ทโฟนจอใหญ่ 6.8 นิ้ว แบตเตอรีใหญ่ 6,000 mAh เหมาะกับการใช้งานโซเขียล และดูวิดีโอสตรีมมิ่งที่ใช้งานได้ต่อเนื่องยาวๆ มาวางจำหน่ายในราคา 2,999 บาท 

อย่างไรก็ตาม ด้วยระดับราคาของเครื่องรุ่นนี้ ทำให้ขาดฟีเจอร์หลักๆ ในสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ออกไปหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการที่ตัวเครื่องรองรับการเชื่อมต่อ WiFi เฉพาะ 2.4 GHz พอร์ตเชื่อมต่อเป็น MicroUSB และไม่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ เป็นต้น

ข้อดี

  • จอใหญ่ 6.8 นิ้ว
  • แบตเตอรี 6,000 mAh
  • ราคา 2,990 บาท

ข้อสังเกต

  • เหมาะกับการใช้งานโซเชียลมีเดียทั่วไปดูยูทูป
  • ประสิทธิภาพ CPU RAM ROM ตามระดับราคา
  • รองรับเฉพาะ WiFi 2.4 GHz

ตัวเลือกสมาร์ทโฟนราคาประหยัด

การที่กลุ่มเป้าหมายของ Wiko ที่ผ่านมา คือกลุ่มผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนราคาประหยัด เน้นความคุ้มค่าในการใช้งานเป็นหลัก จึงส่งผลมาถึงจุดเด่นของเครื่องรุ่นนี้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการให้ขนาดหน้าจอใหญ่ แบตเตอรีที่เหมาะกับการใช้งานต่อเนื่อง เน้นการเชื่อมต่อผ่าน 3G/4G เป็นหลัก

ทำให้ Wiko Power U20 ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานทั่วๆไป ไม่ได้เน้นเรื่องของการเล่นเกม ที่ต้องใช้ประสิทธิภาพของตัวเครื่องแรงๆ แต่จะเหมาะกับใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กที่กลายเป็นปัจจัยหลักในการใช้งานอินเทอร์เน็ต เสริมด้วยกล้อง 3 เลนส์ให้สนุกกับการถ่ายภาพเพื่อแชร์บนโซเชียลด้วย

เริ่มกันที่หน้าจอของ Wiko Power U20 ขนาด 6.8 นิ้ว ในสัดส่วน 20.5:9 บนความละเอียด HD+ (1600 x 720 พิกเซล) พร้อมมีกระจก Panda Glass มาช่วยเสริมในเรื่องความแข็งแรง และมีกล้องหน้าแบบหยดน้ำความละเอียด 5 ล้านพิกเซล มาให้ใช้งานร่วมด้วย

ในส่วนของกล้องหลัง 3 เลนส์ ประกอบด้วยเลนส์หลัก 13 ล้านพิกเซล เลนส์เสริมวัดระยะชัดลึก (Bokeh) 2 ล้านพิกเซล และเลนส์ AI ที่เข้ามาช่วยวัดสภาพแสง และทำงานร่วมกับกล้องหลักเพื่อวิเคราะห์โหมดในการถ่ายภาพ

ตัวเครื่อง Wiko U20 Plus ยังมีความโดดเด่นในเรื่องเอฟเฟกต์ฝาหลังอย่างเครื่องที่ได้รับมาทดสอบคือสีน้ำเงิน Navy Blue ที่สะท้อนแสงตามมุมที่ตกกระทบ และมีรุ่นพิเศษสีเขียวมิ้นต์ ที่จะมาพร้อมตัวอักษรคำว่า Let’s Power Up เพิ่มมาด้วย

ขนาดของตัวเครื่อง Wiko U20 Plus อยู่ที่ 173.8 x 78.6 x 9.4 มิลลิเมตร น้ำหนัก 210 กรัม ภายในให้แบตเตอรีขนาด 6,000 mAh มา โดยทาง Wiko เคลมว่าสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องถึง 4 วัน ในลักษณะของการใช้งานทั่วไป แต่ถ้ามีการเปิดใช้งานตลอดเวลาระยะเวลาการใช้งานก็จะลดลง

รอบตัวเครื่องทางฝั่งซ้ายจะเป็นที่อยู่ของถาดซิมที่สามารถใส่ 2 นาโนซิมการ์ด และ ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้สูงสุด 256 GB ทางขวามีปุ่มเปิดปิดเครื่อง ปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเรียกใช้งาน Google Assistant 

ด้านบนจะมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. มาให้ใช้งาน โดยมีหูฟังแถมมาให้ในกล่องด้วย และด้านล่างเป็นพอร์ตไมโครยูเอสดีสำหรับเสียบสายชาร์จ นั่นแปลว่าตัวเครื่องไม่รองรับการชาร์จเร็ว ทำให้ต้องใช้ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรีขนาด 6,000 mAh ค่อนข้างนาน

สเปก และทดสอบประสิทธิภาพSub-Head2

ในแง่ของสเปกตัวเครื่อง Wiko U20 Plus มากับหน่วยประมวลผล MediaTek G35 ที่เป็น Octa Core 2.3 GHz ทำงานร่วมกับกราฟิก PowerVR GE8320 ให้ RAM 3 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 32 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 11

ตัวเครื่องรองรับการเชื่อมต่อ 4G ที่ความเร็วสูงสุด 150/50 Mbps ส่วน WiFi รองรับเฉพาะ 2.4 GHz เท่านั้น ไม่ได้รองรับ WiFi 5 GHz ทำให้การเชื่อมต่อใช้งานจะมีข้อจำกัดพอสมควร ขณะที่บลูทูธให้มาเป็นเวอร์ชัน 4.2 รองรับวิทยุ FM ด้วย

สำหรับการทดสอบใช้งาน Wiko U20 Plus อย่างที่เกริ่นไปตั้งแต่ต้น ว่าตัวเครื่องเหมาะกับการนำไปใช้งานทั่วๆ ไปอย่างเล่นโซเชียลมีเดีย หรือใช้เปิดดู YouTube เป็นหลัก เนื่องจากประสิทธิภาพของตัวเครื่องก็ขึ้นอยู่กับราคาที่จ่ายไป

แต่จุดเด่นที่น่าสนใจของ Wiko U20 Plus ที่ลืมไม่ได้เลยคือขนาดของแบตเตอรีที่ให้มา 6,000 mAh ทำให้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง ทีมงานลองทดสอบใช้งานพบว่าสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 13 ชั่วโมง 38 นาทีสบายๆ แม้ว่าจะมีขนาดหน้าจอใหญ่ถึง 6.8 นิ้วก็ตาม

สรุป

Wiko U20 Plus น่าจะเหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนราคาประหยัด เพราะด้วยราคาเปิดตัวที่ 2,990 บาท แต่ได้เครื่องขนาดหน้าจอ 6.8 นิ้ว แบตเตอรี 6,000 mAh มาใช้งานก็ถือว่าคุ้มค่า กับการใช้งานทั่วไป

เพียงแต่ว่าจะมีข้อจำกัดหลายๆ อย่างในการใช้งาน อย่างเรื่องของการเชื่อมต่อ WiFi 2.4 GHz เท่านั้น พื้นที่เก็บข้อมูลที่ให้มา 32 GB อาจจะไม่เพียงพอกับการใช้งานในระยะยาว ดังนั้นต้องหาไมโครเอสดีการ์ดมาใส่เพื่อเก็บข้อมูลเพิ่ม

Gallery

]]>
Review : Wiko View Prime สมาร์ทโฟนจอ FullView ในราคาจับต้องได้ง่ายๆ https://cyberbiz.mgronline.com/review-wiko-view-prime/ Tue, 12 Dec 2017 07:31:09 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=27743

ขึ้นชื่อว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่มากับจอ FullView สัดส่วน 18:9 ที่ราคาไม่ถึง 7,500 บาท จึงทำให้ Wiko View Prime กลายเป็นรุ่นที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่งบน้อย แต่อยากได้สมาร์ทโฟนที่มากับเทรนด์จอรูปแบบใหม่ และสเปกที่เพียงพอกับการใช้งานทั่วไป

โดย View Prime ถือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นใหญ่สุดในตระกูลของ Wiko View ที่เพิ่งออกมาทำตลาดในปีนี้ จับกลุ่มระดับราคาประมาณ 5,000 – 8,000 บาท ขยายไลน์สินค้าของ Wiko ให้มาอยู่ในระดับกลางมากขึ้น โดยชูจุดเด่นที่หน้าจอ 18:9 ขนาด 5.7 นิ้ว รองรับการใช้งาน 4G และมากับกล้องหน้าคู่

การออกแบบ

ด้วยการที่เป็นสมาร์ทโฟนในสัดส่วนจอ 18:9 แต่การออกแบบของ View Prime ก็ยังมาในรูปทรงทั่วไปตามสมัยนิยม ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอขนาดใหญ่เกือบเต็มหน้าจอ โครงเครื่องใช้วัสดุโลหะ ให้ความรู้สึกแข็งแรง ในตัวเครื่องสีดำ โดยมีขนาดเครื่องอยู่ที่ 152.3 x 72.8 x 8.3  มิลลิเมตร น้ำหนัก 162 กรัม

ด้านหน้าส่วนบนจะเป็นช่องลพโพงสนทนากล้องหน้าคู่ 20 + 8 ล้านพิกเซล ไฟแฟลช เซ็นเซอร์ต่างๆ และไฟแสดงสถานะต่างๆ ถัดลงมาเป็นหน้าจอขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียด HD (1440 x 720 พิกเซล) โดยจะไม่มีปุ่มสัมผัสในส่วนล่างหน้าจอ เพราะใช้ปุ่มแบบเวอร์ชวลภายในจอแทน

ด้านหลังจะเห็นส่วนโค้งของขอบเครื่องช่วยให้จับถือถนัดมือขึ้น มีลายเสาอากาศตัดบริเวณขอบบนและล่าง โดยตรงกึ่งกลางจะมีสัญลักษณ์ Wiko อยู่ ถัดขึ้นไปเป็น เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ และกล้อง 16 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช ภายในมีแบตเตอรีขนาด 3,000 mAh

ด้านซ้ายจะเป็นที่อยู่ของช่องใส่ซิมการ์ด โดยจะรองรับ 2 นาโนซิมการ์ด และไมโครเอสดีการ์ด ทำให้สามารถใส่ใช้งานได้พร้อมกัน ด้านขวามีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดปิดเครื่อง

ด้านบนมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. มาให้ ด้านล่างเป็นพอร์ตไมโครยูเอสบี สำหรับเสียบสายชาร์จ และเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ พร้อมลำโพง และช่องไมโครโฟน

สำหรับอุปกรณ์ที่แถมมาให้ในกล่องนอกจากตัวเครื่อง ก็จะมีอะเดปเตอร์ สายชาร์จ หูฟัง เข็มจิ้มซิม และเคสใส พร้อมคู่มีการใช้งานมาให้ด้วย

สเปก

สเปกภายในของ Wiko View Prime จะใช้หน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 430 Octa-Core 1.4 GHz กราฟิกเป็น Adreno 308 RAM 4 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 64 GB รองรับการใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มสูงสุด 128 GB

ด้านการเชื่อมต่อรองรับการใช้งาน 4G/3G แบบ 2 ซิม (ซิมรองสแตนบาย 3G) WiFi มาตรฐาน 802.11 b/g/n บลูทูธ 4.2 จีพีเอส พร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 7.1

ฟีเจอร์เด่น

จุดเด่นหลักๆของ Wiko View Prime เลยคือเรื่องของความคุ้มค่าในราคา 7,490 บาท ซึ่งทำให้กลายเป็นสมาร์ทโฟนจอ 18:9 ที่ราคาต่ำสุดในตลาดตอนนี้ แน่นอนว่าด้วยการที่เป็นจอ 18:9 ทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ได้เต็มตามากขึ้น แม้ว่าแอปพลิเคชันบางส่วนจะยังไม่รองรับการแสดงผลในสัดส่วนดังกล่าวก็ตาม

ในส่วนของอินเตอร์เฟสการใช้งาน Wiko แทบจะไม่ได้มีการปรับแต่งเพิ่มเติมจากแอนดรอยด์เวอร์ชันปกติ ดังนั้นถ้าเคยใช้งานแอนดรอยด์มาก่อน ก็สามารถปรับตัวใช้งานได้ไม่ยาก เพราะมีทั้งหน้าหลักให้ใส่วิตเจ็ต หน้ารวมแอปให้เข้าไปเลือกใช้

ส่วนของการแจ้งเตือนต่างๆ ก็จะมีทางลัดให้เข้าไปตั้งค่าด่วนครบเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อไวไฟ บลูทูธ ดาต้า ปรับโหมดเครื่องบิน ล็อกการหมุนหน้าจอ หรือแม้กระทั่งไอค่อนลัดสำหรับเรียกใช้งานไฟฉาย มาให้

จุดที่ 2 ที่น่าสนใจคือเรื่องของการรักษาความปลอดภัย เพราะตัวเครื่องมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ใช้งานด้วย แม้ว่าจะเพิ่มได้สูงสุดแค่ 5 ลายนิ้วมือก็ตาม แต่ยังสามารถเลือกได้ว่ากรณีที่ใช้นิ้วที่ตั้งไว้สแกน จะทำการเข้าแอปพลิเคชันเฉพาะได้

สุดท้ายคือในส่วนของกล้องที่ให้มา 16 ล้านพิกเซล เพียงแต่ด้วยระดับราคาของเครื่อง ทำให้คุณภาพที่ได้อาจไม่ดีนักเมื่อถ่ายในที่แสงน้อย แต่ก็ยังมีเรื่องของกล้องหน้าคู่ 20 + 8 ล้านพิกเซล มาให้เป็นลูกเล่นที่น่าสนใจ ในการถ่ายเซลฟี่หน้าชัดหลังเบลอ

ที่เหลือคือเรื่องของการใช้งานทั่วๆไป Wiko View Prime ถือว่าทำได้ดีเกินคาด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเร็วในการใช้งาน ตัวเครื่องรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด และใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเข้าไปได้ (ไม่ได้เป็นถาดซิมแบบไฮบริดจ์) แบตเตอรีก็ถือว่าอึดใช้งานได้เกินวันสบายๆ

ทดสอบประสิทธิภาพ

Antutu Benchmark = 42,483 คะแนน
Quadrant Standard = 13,945 คะแนน
Multi-Touch = 5 จุด

PC Mark
Work 2.0 = 3,747 คะแนน
Computer Vision = 1,722 คะแนน
Storage = 2,846 คะแนน
Work = 4,786 คะแนน

3D Mark

Sling Shot Extreme Unlimited = 346 คะแนน
Sling Shot Extreme = 298 คะแนน
Sling Shot Unlimited 572 คะแนน
Sling Shot = 575 คะแนน
Ice Storm Extreme = 5,841 คะแนน
Ice Storm Unlimited = 9,540 คะแนน
Ice Storm = 10,002 คะแนน

PassMark PerformanceTest
System = 3,540 คะแนน
CPU Tests = 73,283 คะแนน
Memory Tests = 5,532 คะแนน
Disk Tests = 53,165 คะแนน
2D Graphics Tests = 2,377 คะแนน
3D Graphics Tests = 815 คะแนน

Geekbench 4
Single-Core = 662 คะแนน
Multi-Core = 2,512 คะแนน
Compute = 2,231 คะแนน

ส่วนการทดสอบใช้งานแบตเตอรีจาก PCMark จะใช้งานได้ต่อเนื่องราว 7 ชั่วโมง 56 นาที เมื่อแบตเตอรีเหลือ 20% แต่ถ้าเป็นการใช้งานทั่วๆไป แบบเล่นเกม เล่นโซเขียลมีเดีย เช็กอีเมล โทรศัพท์บ้างเล็กน้อย สามารถใช้งานได้ไม่ต่ำกว่า 16 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าเพียงพอกับการใช้งานในแต่ละวันอยู่แล้ว

สรุป

รวมๆแล้วถ้ามองหาสมาร์ทโฟนในช่วงระดับราคา 7,000 – 8,000 บาท เชื่อว่า Wiko View Prime จะขึ้นมาเป็นหนึ่งในตัวเลือกแรกๆในตลาดเวลานี้ เพราะด้วยความสามารถโดยรวมที่ค่อนข้างครบถ้วน แต่ถ้าจะขยับราคาขึ้นไปในช่วงหมื่นบาท ในตลาดก็ยังมีอีกหลายรุ่นที่น่าสนใจเช่นกัน

ดังนั้น ถ้ามีงบประมาณจำกัด อยากได้สมาร์ทโฟนจอใหญ่ รองรับการใช้งาน 4G แบตเตอรีสามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง ไว้ใช้ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเน็ต ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ก Wiko View Prime ถือเป็นรุ่นที่น่าสนใจในระดับราคาดังกล่าว

ข้อดี

– สมาร์ทโฟนจอ FullView 5.7 นิ้ว ในราคา 7,490 บาท

– รองรับการใช้งาน 2 ซิม + ไมโครเอสดีการ์ด

– กล้องหน้าคู่ 20 + 8 ล้านพิกเซล

– แบตเตอรี 3,000 mAh ที่ให้มาเพียงพอกับการใช้งานสบายๆ

ข้อสังเกต

– ไม่มีระบบ FastCharge มาให้

– ความละเอียดหน้าจอยังเป็น HD

– หน่วยประมวลผลที่ให้มาเป็น Snapdragon 430 อาจจะยังไม่แรงนัก

Gallery

]]>
Review : Wiko U Feel Fab ต่ำกว่า 6,000 แต่มาพร้อม 4G และ สแกนลายนิ้วมือ https://cyberbiz.mgronline.com/review-wiko-u-feel-fab/ Tue, 07 Mar 2017 10:51:12 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=25459

Wiko ถือเป็นสมาร์ทโฟนอีกแบรนด์ที่เข้ามาจับในตลาดกลุ่มผู้เริ่มใช้งาน ที่ต้องการเครื่องที่คุ้มค่าในระดับราคาไม่เกินหมื่นบาท ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีในตลาดต่างจังหวัด ด้วยการใส่เทคโนโลยีหลายๆอย่างมาให้ผู้บริโภคได้ใช้งาน

จุดเด่นของ Wiko U Feel Fab คือเป็นแอนดรอย์โฟนที่รองรับ 4G LTE และมาพร้อมกับฟังก์ชันสแกนลายนิ้วมือให้ได้ใช้งานกัน บนราคาจำหน่าย 5,690 บาท ที่มากับหน่วยประมวลผลระดับควอดคอร์ ให้ RAM 3 GB แม้ว่าจะมี ROM มา 32 GB แต่สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้

การออกแบบ

รูปลักษณ์ของ Wiko ยังถือว่าอยู่ในกรอบเดิมๆของสมาร์ทโฟน ที่เน้นจอขนาดใหญ่ โดยมีขอบตัวเครื่องโค้งรับการจับถือ ตัดกับลายฝาหลังสีเทา โดยมีขนาดรอบตัว 154.35 × 77.15 × 10.6 มม. น้ำหนัก 193 กรัม วางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 3 สี คือ ดำ เงิน และโรสโกลด์

ด้านหน้าเป็นจอ IPS ขนาด 5.5 นิ้ว โดยเป็นจอแบบขอบโค้ง 2.5D ความละเอียด HD (1280 x 720 พิกเซล) ความละเอียดเม็ดสี 266 ppi ส่วนบนหน้าจอ มีกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช ขนาบไปกับช่องลำโพงสนทนาที่อยู่ชิดขอบบนเครื่อง

ส่วนล่างหน้าจอจะมีปุ่มที่ทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไปในตัว ส่วนปุ่มย้อนกลับ โฮม และเรียกดูแอปล่าสุดจะถูกนำไปรวมกับหน้าจอแสดงผลภาย ทั้งนี้เมื่อแกะกล่องออกมาตัวเครื่องจะมีการติดฟิลม์มาให้อยู่แล้ว เรียกว่าเปิดมาก็พร้อมใช้งานทันที

ด้านหลังอย่างที่บอกว่าจะมีการทำลายฝาหลังเป็นสีเทาตัดกับตัวเครื่องสีดำ (จริงๆฝาหลังจะคลุมตัวเครื่องทั้งหมด) โดยจะมีการวางกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช สัญลักษณ์ Wiko และแนวลำโพงอยู่ตรงกึ่งกลางทั้งหมด

เมื่อแงะฝาหลังออกมา ภายในจะมีแบตเตอรีขนาด 4,000 mAh ที่ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้ ส่วนบนจะมีช่องใส่ไมโครซิมการ์ดโดยซิม 1 จะอยู่ทางซ้าย และซิม 2 กับช่องใส่ไมโครเอสดีการ์ดจะอยู่ทางขวา

ด้านซ้ายจะถูกปล่อยว่างไว้ ด้านขวามีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดเครื่อง (ปุ่มเปิดปิดค่อนข้างเล็ก) ด้านบนมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ด้านล่างจะมีช่องไมโครยูเอสบีอยู่ที่มุมซ้าย และไมโครโฟนสนทนา

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาภายในกล่องนอกจากตัวเครื่อง และแบตเตอรีแล้ว จะมีอะเดปเตอร์ชาร์จไฟ สายไมโครยูเอสบี หูฟัง อะเดปเตอร์แปลงซิมการ์ด คู่มือการใช้งาน ฟิลม์กันรอย และเคสใส ให้ใช้งานเบื้องต้น

สเปก

สำหรับสเปกของ Wiko U Feel Fab จะมาพร้อมกับหน่วยประมวลผล MediaTek MT6735 Cortex-A53 Quad-Core 1.25 GHz RAM 3 GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 32 GB รองรับไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติม 64 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 6 Mashmallow

ตัวเครื่องรองรับการทำงานแบบ 2 ซิม (ใช้เป็นไมโครซิมการ์ด) 4G LTE / 3G ทุกคลื่นที่ให้บริการในไทย พร้อมรองรับการเชื่อมต่อไวไฟ มาตรฐาน 802.11 b/g/n บลูทูธ 4.0 วิทยุ FM สามารถต่อพอร์ตไมโครยูเอสบีใช้เป็น OTG ได้ตามปกติ

ฟีเจอร์เด่น

การทำงานหลักๆของ Wiko U Feel Fab ส่วนใหญ่จะมาในลักษณะของ Pure Android ไม่ได้มีการครอบ UI พิเศษ เพื่อสร้างความต่างให้แก่ผู้ใช้งาน แต่เน้นความง่ายในการใช้งาน ไม่ซับซ้อนเป็นหลัก ทำให้หน้าหลักของการใช้งานจะมีการรรวมไอค่อนหลักมาไว้ ให้ผู้ใช้กดใช้ได้ทันที

ขณะเดียวกันก็จะมีหน้ารวมแอปพลิเคชัน ที่ใช้การแสดงผลแบบจัดเรียงอักษรมาให้ โดยส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับแอปพื้นฐานทั่วๆไป และกูเกิล เซอร์วิส รวมถึงการเพิ่มแอปอย่าง 360 Security ตัวเคลียแอปที่เปิดใช้งานค้างไว้มาให้ใช้เพิ่มเติม

นอกจากนี้ ก็จะมี Apps Lock ที่ไว้มาป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเข้าถึงแอปพลิเคชันส่วนตัว โดยผู้ใช้สามารถเลือกล็อกแอปที่ต้องการไว้ได้ ด้วยการใส่รหัส เมื่อเรียกใช้งานแอปที่ตั้งค่าไว้ก็จะต้องใส่รหัสก่อนเริ่มใช้งาน

ตัวจัดการไฟล์ในเครื่องที่จะแสดงผลเป็นไฟล์แต่ละประเภท ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ เพลง วิดีโอ เอกสาร ตัวติดตั้งแอป (Apks) และไฟล์ที่มีการบีบอัด (Zip) พร้อมระบุพื้นที่ว่างภายในโทรศัพท์ หรือจะเลือกดูตามโฟลเดอร์ของไฟล์ก็ได้เช่นเดียวกัน

แน่นอนว่า สำหรับผู้ที่ไม่เคยใช้งานสมาร์ทโฟนมาก่อน Wiko จะมีส่วนพิเศษที่จะแสดงผลเมื่อกดค้างที่หน้าจอหลัก จะมีการขึ้นแนะนำแอปพลิเคชันที่น่าสนใจ พร้อมกับทางลัดในการเข้าในงานแอปพลิเคชันต่างๆ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานสะดวกขึ้น

ส่วนฟังก์ชันที่ Wiko มีการใส่เพิ่มมาให้เป็นลูกเล่นของรุ่นนี้จะมีทั้ง Smart Action ไม่ว่าจะเป็นการดับเบิลคลิกเพื่อเปิดปิดหน้าจอคว่ำเครื่องเพื่อปิดเสียงยกเครื่องแนบหูเพื่อรับสายทันทีและฟีเจอร์อื่นๆที่รวมถึงการวาดตัวอักษรบนหน้าจอเพื่อเข้าแอปด่วนไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์เครื่องเล่นเพลงกล้อง

ในส่วนของการสแกนลายนิ้วมือ ผู้ใช้สามารถนำนิ้วมือที่ตั้งค่าไว้ไปสัมผัสที่เซ็นเซอร์ได้ทันที โดยไม่ต้องกดเปิดหน้าจอก่อน ช่วยให้สามารถกดใช้งานได้เร็วขึ้น โดยสามารถตั้งลายนิ้วมือได้สูงสุด 5 ลายนิ้วมือ ควบคู่ไปกับการป้อนรหัส หรือเลือกรูปแบบในการปลดล็อก

โหมดการใช้งานกล้องจะเน้นที่ความง่าย ผู้ใช้สามารถเปิดขึ้นมา พร้อมกดชัตเตอร์ในการถ่ายภาพได้ทันที หรือจะเข้าไปเลือกโหมดในการถ่ายภาพไม่ว่าจะเป็น ถ่ายภาพปกติ ถ่ายภาพหน้าสวย โหมดมืออาชีพในการปรับแต่งต่างๆ พาโนราม่า ถ่ายภาพชดเชยแสง โหมดกลางคืน และโหมดกีฬา

รวมถึงการเข้าไปตั้งค่าว่า เมื่อใช้นิ้วสัมผัสหน้าจอจะเป็นการถ่ายภาพทันทีหรือไม่ การสลับกล้องหน้าหลัง ถ่ายรูปอัตโนมัติเมื่อตรวจจับรอยยิ้ม เปิดปิดเสียงชัตเตอร์ เลือกขนาดภาพ ขนาดวิดีโอ บันทึกพิกัด GPS ถือว่าให้มาค่อนข้างครบ

การใช้งานโทรศัพท์จะมาพร้อมกับระบบคาดเดารายชื่อ เมื่อมีสายเข้าจะสามารถใช้นิ้วลากเพื่อรับสาย ตัดสาย ส่งข้อความกลับ ขณะสนทนาจะมีการแสดงผลว่าใช้งานบนระบบ HD Voice ชื่อ เบอร์ เวลาที่ใช้สาย พร้อมปุ่มลัดในการเปิดลำโพง ปิดไมค์ พักสาย บันทึกเสียง เรียกปุ่มกด ได้ทันที

เว็บเบราว์เซอร์ที่ให้มา กับการใช้งานหน้าจอขนาด 5.5 นิ้วถือว่าอยู่ในระดับที่กำลังดีผู้ใช้สามารถสลับการแสดงผลได้ทั้งแนวตั้งแนวนอนเลือกให้แสดงผลเป็นหน้าเว็บไซต์สำหรับพีซีและมือถือได้ตามปกติ

ทดสอบประสิทธิภาพ

AnTuTu Benchmark = 27,603 คะแนน

Quadrant Standard = 8,675 คะแนน

Multitouch Test = 5 จุด

Vellamo
Chrome Browser = 1,686 คะแนน
Android WebView = 1,758
Metal = 914
คะแนน
Multicore = 1,292
คะแนน

Geek Bench 4.0
Single-Core 525 คะแนน
Multi-Core 1,429 คะแนน
RenderScript = 761 คะแนน

Battery ผ่าน PC Mark ได้ 6 ชั่วโมง 33 นาที (แบตเหลืออีก 20%)


3DMark
Sling Shot Extreme = 102 คะแนน
Sling Shot = 154 คะแนน
Ice Storm Unlimited = 2,324 คะแนน
Ice Storm Extreme = 2,324 คะแนน
Ice Storm = 4,130 คะแนน

PC Mark
Work 2.0 = 2,507 คะแนน
Computer Vision = 1,433 คะแนน
Storage = 2,364 คะแนน
Work = 3,501 คะแนน

PassMark PerformanceTest Mobile
System = 3,117 คะแนน
CPU Tests = 18,216 คะแนน
Disk Tests = 23,312 คะแนน
Memory Tests = 3,885 คะแนน
2D Graphics Tests = 2,530 คะแนน
3D Graphics Tests = 771 คะแนน

สรุป

ถ้าเป็นกลุ่มผู้ใช้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนมาใช้งาน ถัดจากเครื่องที่ได้ฟรีจากโอเปอเรเตอร์ และมีงบประมาณจำกัด การเลื่อนขึ้นมาใช้งาน Wiko U Feel Fab ถือเป็นอีกรุ่นที่น่าสนใจในช่วงระดับราคาประมาณ 5,000 บาท จากการที่ตัวเครื่องรองรับ 4G LTE ทำให้ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้สะดวกขึ้น

แต่ถ้ามองในแง่ของประสบการณ์ใช้งานโดยรวม ก็ต้องยอมรับว่ากับระดับราคาดังกล่าว ถ้าต้องการเครื่องที่ลื่นไหลมากๆ ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะจะมีข้อจำกัดในแง่ของหน่วยประมวลผลพอสมควร ทำให้ประสิทธิภาพในการใช้งานอยู่ในระดับกลางๆเท่านั้น

สิ่งที่เพิ่มขึ้นมา และทำให้เครื่องน่าสนใจคือการใส่พวกเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ กับเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวต่างๆ ทำให้มีลูกเล่นเพิ่มเติมมาใช้งานกัน แต่ถ้าไม่ได้มองว่าพวกนี้สำคัญ กับมีงบประมาณที่เพิ่มขึ้น ก็ขยับไปเล่นในระดับ 8,000 – 10,000 บาท จะมีตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า

ข้อดี

ข้อสังเกต

Gallery

]]>
Review : Wiko Robby 2GB จอใหญ่ RAM เยอะในราคา 3,790- https://cyberbiz.mgronline.com/review-wiko-robby-2gb/ Fri, 28 Oct 2016 04:13:18 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=24300

DSC00820

ในตลาดสมาร์ทโฟนจอใหญ่ในช่วงระดับราคาต่ำกว่า 5,000 บาท ถือเป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง เนื่องจากผู้ผลิตหลายๆรายต่างเชื่อว่าจะสามารถเจาะเข้ามาในตลาดนี้ได้ง่าย เพราะเป็นกลุ่มที่มีความต้องการสูง ขอแบ่งเค้กในส่วนนี้นิดหน่อยก็เพียงพอที่จะสร้างรายได้ให้แก่บริษัทแล้ว

ในจุดนี้ Wiko ก็ถือเป็นอีกแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับฐานลูกค้าในกลุ่มนี้ จึงมีการออกผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนจับตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้มีการส่ง Wiko Robby  2GB เป็นสมาร์ทโฟน 3G 2 ซิม ขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้ว พร้อมกล้องหลัก 8 ล้านพิกเซล และกล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล มาจับกลุ่มลูกค้าที่เริ่มเปลี่ยนมาใช้งานสมาร์ทโฟนในราคา 3,790 บาท

การออกแบบ

DSC00803

ในแง่ของการออกแบบ Wiko Robby จะเน้นไปที่ความเรียบ ผสมกับความโค้งบริเวณขอบตัวเครื่อง เพื่อเพิ่มความหรูหรา และทำให้เครื่องดูแข็งแรง แม้ว่าฝาหลังที่คลุมจะใช้วัสดุที่ทำจากพลาสติกเป็นหลัก และส่งผลให้ตัวเครื่องมีน้ำหนักอยู่ที่ 185 กรัม ขนาดรอบตัวเครื่องอยู่ที่ 155 x 79.1 x 10 มิลลิเมตร มีให้เลือกด้วยกัน 3 สี คือ Space Grey Gold และ Rose Gole ซึ่งสีจะอยู่ที่ฝาหลังทั้งหมดทำให้สามารถหาซื้อฝาหลังมาเปลี่ยนสีได้

DSC00816

ด้านหน้า – ไล่จากส่วนบนจะมีช่องลำโพงสนทนา ถัดลงมาไล่จากซ้ายเป็นสัญลักษณ์ Wiko เซ็นเซอร์ตรวจวัดแสดง ไฟแฟลชสำหรับเซลฟี่ และกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ถัดลงมาเป็นหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว แบบ IPS 16 ล้านสี ความละเอียด 720p (1280 x 720 พิกเซล ความละเอียดเม็ดสี 267 ppi ขอบล่างก็จะมีลำโพงอีกตัวอยู่ จึงกลายเป็นมีลำโพงทั้งขอบบนและขอบล่าง

ความแตกต่างจากสมาร์ทโฟนทั่วไปของ Robby คือมีการใส่ลำโพงสนทนามาให้ใช้งานทั้งขอบบนและขอบล่าง ดังนั้นเวลาหยิบขึ้นมาใช้งานโทรศัพท์ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหยิบถูกด้านหรือไม่ เพราะหน้าจอจะหมุนแสดงผลตามทิศทางที่ถือเครื่อง และเรียกใช้งานลำโพง และไมค์ตามด้านที่ใช้งาน

DSC00805

ด้านหลัง – พื้นผิวจะเป็นพลาสติกเคลือบเงาให้ดูมีความคล้ายโลหะ โดยจะมีกล้องหลักความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ไฟแฟลช และสัญลักษณ์ Wiko เรียงกันอยู่ตรงกลาง สามารถถอดฝาหลังออกมาได้ เพียงแต่จะเป็นฝาหลังแบบหุ้มครอบทั้งตัวเครื่อง ทำให้เวลาแกะต้องงัดจากบริเวณขอบขวาล่างที่มีช่องให้งัดอยู่

DSC00829

เมื่อถอดฝาหลังแล้วจะพบกับแบตเตอรี Li-Polymer ขนาด 2,500 mAh ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ โดยมีช่องใส่ไมโครซิม 1 อยู่ที่ส่วนบน ขณะที่ไมโครซิม 2 จะใส่ได้ก็ต่อเมื่อถอดแบตเตอรีออกมา เช่นเดียวกับไมโครเอสดีการ์ดที่สามารถใส่เพิ่มได้สูงสุด 64 GB นอกจากนี้ ก็จะมีการระบุรายละเอียดตัวเครื่องว่ารุ่นนี้ได้รับการออกแบบที่ฝรั่งเศส ผลิตที่จีน ได้รับการขออนุญาตในการจำหน่ายเรียบร้อย

DSC00812DSC00813ด้านซ้าย – จะถูกปล่อยว่างไว้ ด้านขวา – มีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง

DSC00811DSC00810

ด้านบน – เป็นช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ด้านล่าง – พอร์ตไมโครยูเอสบีสำหรับเชื่อมต่อ และเสียบสายชาร์จ

DSC00823สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่อง ประกอบไปด้วยตัวเครื่อง เคสยางใส อะเดปเตอร์ สายยูเอสบี หูฟัง คู่มือ ถาดแปลงซิมการ์ด และฟิลม์ใสมาให้ติดใช้งานด้วย

สเปก

s06

สำหรับฮาร์ดแวร์ภายในของ Wiko Robby จะใช้งานหน่วยประมวลผลแบบ ควอดคอร์ 1.3 GHz บนพื้นฐานของ Cortex-A7 ใช้จีพียู ARM Mali 400 MP RAM 2 GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 16 GB ที่สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้ 64 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 6.0 (Marshmallow)

ด้านการเชื่อมต่อรองรับ 3G ทุกคลื่นความถี่ในประเทศไทย โดยอัตราการดาวน์โหลดอัปโหลดสูงสุดจะอยู่ที่ 21/5.76 Mbps รองรับการใช้งาน 2 ซิม แต่ซิมเสริมสแตนบายบน 2G เช่นเดิม ส่วนไวไฟทำงานบนมาตรฐาน 802.11 b/g/n บลูทูธ 4.0 มีระบบจีพีเอสภายใน วิทยุFM ตามปกติ

ฟีเจอร์เด่น

s01

ในแง่ของการใช้งานWiko Robby จะใช้พื้นฐานของแอนดรอยด์ 6.0 ในการทำงานอยู่แล้ว โดยเริ่มจากหน้าแรกที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่ง เลือกนำแอป หรือวิตเจ็ตที่ใช้งานประจำมาไว้เพื่อเรียกใช้งานได้ง่ายขึ้น ส่วนหน้าจอล็อกเครื่องก็จะมีแสดงผลการล็อกหน้าจอ เรียกกล้อง และเรียกใช้งานคำสั่งเสียงได้

ส่วนแถบการแจ้งเตือน ก็จะมีส่วนของการตั้งค่าเพิ่มเติมอย่างการปรับความสว่างหน้าจอ เปิดปิดการเชื่อมต่อไวไฟ บลูทูธ ดาต้า เปิดใช้งานโหมดเครื่องบิน ไวไฟฮ็อตสปอต โหมดห้ามรบกวน โหมดประหยัดพลังงาน การหมุนหน้าจอ โหมดง่าย ไฟฉาย และจีพีเอสได้ทันที

s02

ในส่วนของหน้ารวมแอป จะใช้การแสดงผลเรียงตามชื่อในแนวนอน โดยแอปที่ติดตั้งมาส่วนใหญ่จะเป็นแอปพื้นฐาน มีเพิ่มมาอำนวยความสะดวกในการใช้อย่างพวก Clean Master ไว้เคลีย RAM File Manager ไว้จัดการไฟล์ เพิ่มเติมนิดหน่อย

s03

หน้าจอการใช้งานโทรศัพท์จะเน้นความโล่ง ง่ายในการใช้งาน สามารถกดเลขหมายเพื่อคาดเดารายชื่อได้ หน้าจอสายเรียกเข้าจะมีแสดงชื่อ เบอร์โทร ให้กดเลือกรับสาย ตัดสาย หรือส่งข้อความกลับ ส่วนหน้าจอขณะสนทนาจะมีไอคอนให้เลือกเปิดลำโพง ปิดไมค์ เรียกปุ่มกด พักสาย เพิ่มการโทร และบันทึกเสียง

s04

นอกจากนี้ ยังมีการใส่แอปอย่าง ‘ผู้ช่วยโทรศัพท์’ ที่มาช่วยในการล้างเครื่อง จัดการพลักงาน ดูแลการอัปเดตแอปพลิเคชัน การจัดการอนุญาตต่างๆ ส่วนของซิมการ์ดจะมีให้เลือกใส่ 2 ซิม โดยเลือดได้ว่าจะให้ซิม 1 หรือ 2 เป็นซิมหลัก ซิมสำรองก็จะกลายเป็นการเชื่อมต่อบน 2G แทน

s05

จุดเด่นที่ Wiko Robby 2GB พยามชูขึ้นมาคือเรื่องของหน่วยความจำที่ให้มาเป็น 2 GB จากรุ่นแรกที่ให้มาแค่ 1 GB โดยเมื่อใช้งานทั่วๆไปจะกิน RAM ไปประมาณ 800 MB เหลือให้ใช้งานราว 1.1 GB

s09

ขณะเดียวกัน ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์ในการใช้งานด้วยลูกเล่นต่างๆของตัวเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัส 2 ครั้งเพื่อเปิด-ปิดหน้าจอ กาคว่ำเครื่องเพื่อปิดเสียง รับสายอัตโนมัติเมื่อนำเครื่องแนบหู รวมถึงการวาดตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ต่างๆบนหน้าจออย่างวาดตัว C เพื่อเรียกโทรศัพท์ M เพื่อฟังเพลง O เพื่อเปิดกล้อง ซึ่งผู้ใช้สามารถตั้งได้เอง

s07

โหมดการใช้งานกล้องของ Wiko Robby 2GB จะเน้นไปที่การใช้งานง่ายๆเป็นหลัก กล่าวคือเมื่อเปิดขึ้นมาจะเห็นปุ่มชัตเตอร์ขนาดใหญ่อยู่ทางฝั่งขวาหน้าจอให้กดถ่ายภาพได้ทันที หรือถ้าต้องการถ่ายวิดีโอก็กดที่ปุ่มบันทึกวิดีโอที่มุมขวาบนได้ ส่วนถ้าต้องการดูภาพล่าสุดก็กดที่มุมขวาล่าง

s08

ส่วนของการปรับตั้งค่าต่างๆ จะมีการปรับตั้งค่าด่วนมาให้ใช้งานที่ฝั่งซ้าย คือการหมุนกล้องหน้า-หลัง เปิด-ปิดแฟลช และเลือโหมดถ่ายภาพต่างๆที่มีให้เลือกทั้งโหมดอัตโนมัติ โหมดโปร (ปรับ ISO WB ชดเชยแสง และความคมชัด) พาโนรามา หน้าสวย HDR กลางคืน และแสงจ้า ถัดมาการตั้งค่าทั่วไปอย่างการแตะหน้าจอเพื่อถ่ายภาพ เปิดเสียงชัตเตอร์ การบันทึกพิกัดรูปภาพ เลือกความละเอียด โหมดตั้งเวลาถ่ายภาพเป็นต้น

ทดสอบประสิทธิภาพ

s10

เมื่อทดสอบ ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Antutu และ Quadrant Standart Wiko Robby 2GB ได้คะแนน 19,227 คะแนน และ 7,267 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 5 จุดพร้อมกัน

s11

ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo จากแอนดรอยด์เว็บวิวได้ 1,783 คะแนน โครมเบราว์เซอร์ 1,727 คะแนน ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ (Metal) 814 คะแนน Multicore 1,116 คะแนน คะแนน ส่วน GeekBench 4 ได้คะแนน Single-Core 411 คะแนน Multi-Core 1,162 คะแนน และ RenderScript 598 คะแนน

s12

ส่วนโปรแกรม PCMark ในส่วนของ Work Performance ได้ 2,503 คะแนน 3D Mark ทดสอบได้สูงสุดแค่ ตัว Ice Storm Unlimited ได้ 2,939 คะแนน ส่วน Ice Storm Extreme 2,026 คะแนน และ Ice Storm 3,265 คะแนน

ส่วน Passmark Performance Test Mobile ได้คะแนน System 2,460 คะแนน CPU 15,243 คะแนน Disk 12,597 คะแนน Memory 2,353 คะแนน 2D Graphics 2,135 คะแนน และ 3D Graphics 640 คะแนน

สรุป

DSC00806

Wiko Robby 2GB ถือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่นำเอา Robby ไปเพิ่ม RAM เพิ่มขึ้นมาเป็น 2 GB เพื่อให้การใช้งานโดยรวมลื่นไหลขึ้น พร้อมกับปรับระดับราคาขึ้นมาเล็กน้อยเป็น 3,790 บาท ซึ่งจะเหมาะกับกลุ่มผู้ที่เพิ่งเริ่มใช้งานสมาร์ทโฟน และต้องการเครื่องที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ ใช้งานง่าย

การทำงานโดยรวมของ Robby 2GB ก็ถือว่าสมกับราคา เพราะสามารถใช้งานทั่วๆไป อย่างการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ก เล่นอินเทอร์เน็ต ดูหนัง ฟังเพลงผ่านการสตรีมมิ่งได้ตามปกติ แต่ถ้าต้องการเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นก็อาจจะต้องมองหาตัวเลือกอื่นในตลาดแทน

ข้อดี

– ขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้ว

– ลำโพงคู่หน้า – สลับการใช้งานโทรศัพท์ได้ทั้ง 2 แนว

– ฝาหลังสามารถถอดเปลี่ยน-ถอดแบตได้

ข้อสังเกต

– ยังรองรับการทำงานบน 3G/2G เท่านั้น

– ตัวเครื่องทำจากพลาสติกเป็นส่วนใหญ่

Gallery

]]>
Review : Wiko Fever สมาร์ทโฟน 4G ชูจุดเด่นแอบเรืองแสง https://cyberbiz.mgronline.com/review-wiko-fever/ Sun, 17 Jan 2016 07:43:26 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=21003

IMG_2101

Wiko Fever ถือเป็นหนึ่งในแอนดรอยด์โฟนที่น่าสนใจ กับราคาเครื่อง 6,990 บาท แต่รองรับการใช้งาน 4G กับสเปกเครื่องระดับกลางๆ ที่เหมาะกับการใช้งานทั่วๆไป ที่สำคัญคือเรื่องของตัวเครื่องที่มีการนำอะลูมิเนียมมาใช้งาน ผสมกับฝาหลังพลาสติกที่ทำลายเป็นหนังให้จับได้ถนัดมือมากขึ้น

นอกจากนี้ ก็ยังมีในส่วนของกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชหน้าหลัง และมาพร้อมกับแอนดรอยด์ 5.1 Lollipop กับหน้าจอขนาด 5.2 นิ้ว ความละเอียด Full HD ทำให้โดยรวมแล้ว Wiko ทำการบ้านมาค่อนข้างดีกับเครื่องรุ่นนี้ อยู่ที่ว่าจะทำให้ลูกค้าเชื่อใจในแบรนด์ได้มากขึ้นอย่างไร

การออกแบบ

IMG_2079

ตัวเครื่อง Fever ออกแบบมาได้น่าสนใจเมื่อเทียบกับราคา เนื่องจากตัวเครื่องมีการใช้อะลูมิเนียมรอบตัวเครื่อง ขณะที่กระจกแผ่นหน้าบริเวณขอบก็โค้งรับกับขอบเครื่องพอดี ทำให้เวลาใช้งานทำได้ลื่นดี เพียงแต่ว่ายังมีการเว้นพื้นที่บริเวณบนและล่างตัวเครื่องมากเกินไป ทำให้ตัวเครื่องดูยาวกว่าปกติ โดยขนาดรอบตัวอยู่ที่ 148 x 73.8 x 8.3 มม. น้ำหนัก 143 กรัม มีให้เลือกด้วยกัน 2 สี คือ สีดำ สีขาว และ สีทอง

ด้านหน้าจะมีหน้าจอทัชสกรีนแบบ IPS ขนาด 5.2 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920 x 1080 พิกเซล) โดยมีช่องลำโพงสนทนาอยู่ตรงกึ่งกลางบน ขนาบด้วยกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และไฟแฟลช พร้อมกับสัญลักษณ์ ‘Wiko’ ที่มุมซ้ายบนน ส่วนล่างหน้าจอจะถูกปล่อยว่างไว้ เพราะปุ่มสั่งงานต่างๆรวมอยู่ในหน้าจอสัมผัสแล้ว

IMG_2081

ด้านหลังบริเวณฝาหลังจะเป็นพลาสติกทำเป็นลายหนัง ทำให้สัมผัสแล้วไม่ลื่นหลุดมือ โดยมีสัญลักษณ์ ‘Wiko’ สีเงินตรงกึ่งกลาง กล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล และไฟแฟลชที่มุมซ้ายบน ส่วรล่างตัวเครื่องจะมีช่องลำโพงอยู่ ขณะที่ช่องสำหรับงัดฝาหลังจะอยู่เยื้องมาทางซ้ายล่าง

IMG_2100

เมื่อแกะฝาหลังออกมาจะพบกับแบตเตอรีขนาด 2,900 mAh ที่ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้ โดยมีช่องใส่ไมโครซิมการ์ด 2 ช่อง และไมโครเอสดีการ์ด รองรับสูงสุด 64 GB อยู่ส่วนบน

IMG_2089IMG_2087

ด้านซ้ายจะถูกปล่อยว่างไว้ ด้านขวาเป็นปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่มเปิดปิดเครื่อง

IMG_2090IMG_2088

ด้านบนเป็นช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ด้านล่างมีช่องไมโครยูเอสบี และไมโครโฟน

อย่างไรก็ตาม แม้ทาง Wiko จะชูจุดเด่นในเรื่องของ ตัวเครื่องเรืองแสงในความมือ (Glow in the Dark) แต่จากเครื่องที่ได้มาทดสอบเป็นเครื่องสีดำ ทำให้อาจจะเห็นการเรืองแสงไม่ชัดเจน อาจจะต้องรอดูในตัวเครื่องสีขาว หรือ สีทองแทน ว่าจะเหมือนกับที่โฆษณาไว้หรือไม่

IMG_2103

นอกจากนี้ ภายในกล่องของ Wiko Fever จะมาพร้อมกับอุปกรณ์เสริม อย่างที่ชาร์จ สายยูเอสบี ฟิลม์กันรอย เคสใส และตัวแปลงซิมการ์ดเผื่อมาให้ด้วย

สเปก

s13

สำหรับสเปกเครื่องของ Wiko Fever ทำงานบนหน่วยประมวลผลจาก MediaTek MT6753 ที่เป็น Octa-core 1.3 GHz 64บิต ใช้หน่วยประมวลผลภาพ Mali-T720 RAM 3GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายในตัวเครื่อง 16 GB สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดได้สูงสุด 64 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอดย์ 5.1 (Lollipop)

ขณะที่ในแง่ของการเชื่อมต่อ ตัวเครื่องรองรับการใช้งาน 2 ซิม เพียงแต่เฉพาะซิมหลักเท่านั้นที่ใช้งาน 3G/4G ได้ทุกเครือข่ายในประเทศไทย โดยเป็น LTE Cat4 ดาวน์โหลดสูงสุด 150 Mbps อัปโหลดสูงสุด 50 Mbps ขณะที่การเชื่อมต่อไวเลส รองรับมาตรฐาน 802.11 b/g/n บลูทูธ 4.0 จีพีเอส วิทยุFM และรองรับการใช้งาน USB OTG

ฟีเจอร์เด่น

s01

การออกแบบอินเตอร์เฟสการใช้งานของ Wiko Fever จะเน้นไปที่การใช้งานง่ายไม่ซ้ำซ้อน ผู้ใช้สามารถตั้งลูกเล่นการปรับหมุนหน้า เปลี่ยนภาพพื้นหลังต่างๆได้เอง โดยตัวเครื่องจะไม่มีหน้ารวมแอปฯมาให้ ดังนั้นการเข้าถึงแอปจึงทำได้จากการปัดหน้าแรกไปยังแอปที่ต้องการได้ทันที ถ้ากลัวมีหน้ามากเกินไปก็สามารถจัดหมวดหมู่แอปรวมเข้าไปไว้ในโฟลเดอร์ได้

s02

ในส่วนของการล็อกหน้าจอก็เป็นตามมาตรฐานของแอนดรอดย์ผู้ใช้สามารถเข้าไปเลือกรูปแบบการล็อกหน้าจอแบบใส่รหัสหรือจะใช้แค่การปัดเพื่อปลดล็อกก็ได้ การแสดงข้อมูลในหน้าจอล็อกจะมีจุดที่น่าสนใจนอกจากการแจ้งเตือนทั่วไปแล้ว เวลาเสียบสายชาร์จจนเครื่องชาร์จเต็ม จะมีบอกระยะเวลาการใช้งานเครื่องให้ด้วยว่าสามารถใช้สนทนาได้กี่ชั่วโมง เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตใช้งานได้กี่นาที รวมถึงพยากรณ์อากาศในวันนั้นๆด้วย

ถัดมาส่วนของแถบการแจ้งเตือนด้านบนผู้ใช้ยังสามารถเข้าไปปรับตั้งค่าด่วนได้อย่างการปรับความสว่างหน้าจอเปิดปิดการเชื่อมต่ออย่างไวไฟบลูทูธดาต้าจีพีเอสไฟฉายหมุนหน้าจอและโหมดประหยัดพลังงานเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานเพียงแต่ผู้ใช้ไม่สามารถจัดเรียงด้วยตนเองได้นอกจากนี้จากระบบของแอนดรอยด์รุ่นใหม่ๆทำให้สามารถใช้งานบางแอปพลิเคชันแบบลอยตัวได้อย่างเช่นเครื่องคิดเลข

s05

ตัวแอปที่ติดตั้งมาให้ในเครื่องจะเป็นแอปทั่วๆไปในการใช้งาน ไม่มีการพรีโหลดแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็นมาให้ รวมถึงแอปเกี่ยวกับโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆด้วย ดังนั้นจึงต้องเข้าไปทำการดาวน์โหลดเพิ่มเอง ขณะที่แอปที่ติดตั้งมาให้ก็จะเป็นพวกตัวจัดการไฟล์ เครื่องอัดเสียง ไฟฉาย เป็นต้น

s06

ในส่วนของโหมดกล้องจะเน้นความง่ายในการใช้งานเช่นเดียวกัน โดยมีไอค่อนชัตเตอร์ภาพนิ่ง และบันทึกวิดีโอให้กดที่ฝั่งขวา ส่วนฝั่งซ้ายไว้สำหรับ หมุนกล้อง ปรับแฟลช เลือกโหมดถ่ายภาพ ที่มีให้เลือกทั้ง อัตโนมัติ โปร พาโนราม่า กลางคืน ชดเชยแสง หน้าสวย ถ่ายกล้องคู่ และโหมดกีฬา

โดยในโหมด Pro จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ปรับตั้งค่าความไวแสง (ISO) สมดุลแสงขาว (White Balance) ความคมชัด อุณหภูมิสี และปรับค่าชดเชยแสง เพื่อให้ได้ภาพในโทนแสงที่ต้องการ ส่วนการตั้งค่าอื่นๆก็จะมีอย่างระบบสัมผัสหน้าจอเพื่อถ่ายภาพ ปิดเสียงชัตเตอร์ ตั้งเวลาถ่ายภาพ ตั้งปุ่มปรับระดับเสียงเป็นปุ่มถ่ายภาพ หรือซูม และเลือกความละเอียดของทั้งวิดีโอ และภาพนิ่ง

s07

ถัดมาคือโหมดการใช้งานโทรศัพท์ ก็จะใช้ดีไซน์มาตรฐาน มีระบบคาดเดารายชื่อจากเลขหมายที่กด ขณะสนทนาจะมีแสดงชื่อ เบอร์ เวลาใช้สาย พร้อมไอค่อนลัดในการเปิดลำโพง ปิดไมค์ เรียกปุ่มกด พักสาย เพิ่มสาย และบันทึกเสียงด้วย ส่วนหน้าจอสายเรียกเข้าจะเป็นแบบวงกลมให้ปัดเลือกรับสาย ตัดสาย และส่งข้อความกลับได้

s08

การใช้งานเว็บเบราว์เซอร์จะใช้โครมเบราว์เซอร์เป็นมาตรฐาน และด้วยความละเอียดหน้าจอขนาด Full HD ในขนาด 5.2 นิ้ว ทำให้การอ่านข้อมูลต่างๆจำเป็นต้องซูมเข้ามาอ่านใกล้ๆแทน แต่โดยรวมการตอบสนอง การใช้งานถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เมื่อเทียบกับราคาเครื่องที่จ่ายไป

s09

แป้นพิมพ์ที่ติดมาในเครื่องจะเป็นมาตรฐานของแอนดรอยด์อยู่แล้ว ผู้ใช้สามารถเข้าไปเลือกเพิ่มภาษาไทยได้ทันที และสามารถกดเปลี่ยนภาษาได้ที่ปุ่มลูกโลก เพียงแต่คีย์บอร์ดจะมีขนาดเล็กไปสักหน่อย ดังนั้นถ้าใช้แล้วไม่คุ้นก็สามารถเปลี่ยนเป็นคีย์บอร์ดอื่นได้จากในเพลยสโตร์

ทดสอบประสิทธิภาพ

s11

มาถึงส่วนของผลการทดสอบ ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Quadrant Standard และ Antutu ได้คะแนน 35,248 คะแนน และ 20,331 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 5 จุดพร้อมกัน

s10

ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo จากโครมเบราว์เซอร์ 2,619 คะแนน แอนดรอยด์เว็บวิวได้ 2,386 คะแนนส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ (Metal) 1,068 คะแนน Multicore 1,482 คะแนน คะแนน Geek Bench 3 Single-Core 620 Multi-Core 2,673 คะแนน

ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรีต่อเนื่องอยู่ที่ 8 ชั่วโมง 53 นาที 40 วินาที คิดเป็นคะแนนของ Geekbench 3 ได้ 3,624 คะแนน

s12

ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม PCMark ในส่วนของ Work Performance ได้ 3,739 คะแนน 3D Mark ตัว Sling shot ES3.1 ได้ 183 คะแนน Sling shot ES3.0 ได้ 281 คะแนน Ice Storm Unlimited ได้ 6,849 คะแนน ส่วน Ice Storm Extreme 4,385 คะแนน และ Ice Storm 7,593 คะแนน

ส่วน Passmark Performance Test Mobile ได้คะแนน System 4,476 คะแนน CPU 77,189 คะแนน Disk 36,152 คะแนน Memory 4,959 คะแนน 2D Graphics 2,901 คะแนน และ 3D Graphics 1.135 คะแนน

สรุป

แม้ว่าจุดเด่นอย่างเรื่องของขอบตัวเครื่องเรืองแสงจะไม่ชัดเจนมากนักกับ Wiko Fever แต่โดยรวมแล้วถือว่าทาง Wiko ออกราคา และตัวเครื่องมาได้จับตลาดกลุ่มที่ไม่ต้องการสมาร์ทโฟนราคาแพง แต่เพียงพอกับการใช้งานได้เป็นอย่างดี จากการที่เครื่องทั้งรองรับ 4G และมีหน่วยประมวลผลที่เหมาะกับการใช้งานทุกรูปแบบ

อย่างไรก็ตาม ถ้ามองไปในตลาดอาจจะเจอคู่แข่งที่อยู่ในช่วงระดับราคาเดียวกันแต่มีขนาดหน้าจอใหญ่กว่า ตรงจุดนี้ก็อยู่กับทางผู้บริโภคแล้วว่าต้องการเครื่องหน้าจอใหญ่ หรือเครื่องหน้าจอขนาดพอดีมือ ถือจับใช้งานได้ง่าย ที่สำคัญคือตัวแอนดรอยด์ที่ลงมาค่อนข้างโล่ง และลื่นมาก

ข้อดี

  • สเปกตัวเครื่องค่อนข้างคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา
  • แม้จะให้แบตเตอรีมา 2,900 mAh แต่ใช้งานได้ต่อเนื่องสบายๆ
  • ตัว ROM ของแอนดรอยด์ที่ให้มาทำได้ดี ลื่น และโล่งไม่มีแอปฯที่มาคอยกินทรัพยากร

ข้อสังเกต

  • วัสดุของฝาหลัง ยังดูบอบบาง
  • ขอบเรืองแสงเห็นได้น้อยมากในที่มืด

Gallery

]]>
Review: Wiko Highway Pure 4G บางเบา ดูดี รับ 4G ในราคาไม่ถึงหมื่นบาท https://cyberbiz.mgronline.com/wiko-pure4g/ Mon, 20 Jul 2015 02:26:05 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=18322

558000007967702

“Wiko (วีโก)” ถือเป็นแบรนด์ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนหน้าใหม่ของตลาดที่สร้างชื่อเสียงและเติบโตได้รวดเร็วจากสเปกและราคาที่ออกมาได้สอดคล้องและโดนใจผู้ใช้ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะตระกูล Highway ที่ถือว่าเป็นพระเอกขายดีสุดของวีโก

โดยในวันนี้เพื่อต่อยอดความสำเร็จและทำให้สมาร์ทโฟนในกลุ่ม Highway ครอบคลุมผู้ใช้ทุกระดับ ทางวีโกก็ได้คลอดรุ่นกลางในชื่อ Highway Pure 4G ขึ้นมาแทรกกลางระหว่างรุ่นพี่ใหญ่ Highway Star และน้องเล็กสุด Highway Signs ด้วยจุดเด่นเน้นเรื่องความบาง น้ำหนักเบาและหน้าจอสีสวยในราคาไม่ถึงหนึ่งหมื่นบาทเช่นเดิม

การออกแบบ

558000007967704

Wiko Highway Pure 4G มีจุดเด่นหลักในเรื่องการออกแบบตัวเครื่องที่ขึ้นรูปจากเฟรมอลูมิเนียม ขนาดตัวเครื่องกว้างxยาว อยู่ที่ 68.1×141.9 มิลลิเมตรพร้อมความบางเพียง 5.1 มิลลิเมตรและน้ำหนักแค่ 98 กรัมสมกับสโลแกน Slimmer than ever เสียจริงๆ

ด้านหน้าจอ วีโกเลือกใช้ขนาดจอเพียง 4.8 นิ้วแบบ AMOLED ที่ให้สีสันสดใส ความละเอียด 1,280×720 พิกเซล 306ppi ครอบทับด้วยกระจกกันรอยขีดข่วน Gorilla Glass 3 พร้อมกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซลและไฟ LED แสดงแจ้งเตือนอยู่ส่วนบน

558000007967705558000007967706

ด้านหลังของตัวเครื่องเท่าที่สัมผัสวัสดุจะเหมือนเป็นพลาสติก (ฝาหลังไม่สามารถเปิดออกเปลี่ยนแบตเตอรีได้) แต่เท่าที่ทีมงานสืบค้นและทดลองใช้งานแบบไม่ติดฟิล์มป้องกันรอยขีดข่วนเป็นเวลาร่วมอาทิตย์ คาดว่าฝาหลังน่าจะผลิตจากกระจกเนื่องจากเป็นรอยค่อนข้างยาก และความใสการสะท้อนแสงมองแล้วเหมือนเป็นกระจกมากกว่าพลาสติก

สำหรับสเปกกล้องถ่ายภาพด้านหลังจะมาพร้อมความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มีไฟแฟลช LED ส่วนด้านล่างใต้ข้อความ“Designed by Wiko in France Assembled in China” จะเป็นช่องลำโพง

ข้างซ้าย
ข้างซ้าย

ข้างขวา
ข้างขวา

558000007967709
ข้างล่าง

มาดูรอบตัวเครื่องกับพอร์ตเชื่อมต่อและปุ่มกดต่างๆ เริ่มจากข้างซ้าย จะมีเฉพาะปุ่มเพิ่มลดระดับเสียงเท่านั้น ส่วนข้างขวาจะเป็นที่อยู่ของปุ่มปิดเปิดเครื่องและช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์แบบ Nano Sim

ส่วนด้านล่างจะเป็นที่อยู่ของช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร แถบเสาสัญญาณโทรศัพท์ (มีทั้งบนและล่าง) ไมโครโฟนและช่อง Micro USB

สเปก

558000007967710

สำหรับสเปก Wiko Highway Pure 4G ชื่อต่อท้ายก็บอกว่า 4G อยู่แล้วเพราะฉะนั้นจุดเด่นด้านสเปกหลักๆนอกจากราคาแล้วก็คือตัวเครื่องสามารถรองรับการเชื่อมต่อเครือข่าย 3G และ 4G LTE ทุกเครือข่ายในประเทศไทย โดยความเร็ว 4G LTE ที่รองรับสูงสุด ขาดาวน์โหลดจะอยู่ที่ 150Mbps อัปโหลด 50Mbps

ด้านซีพียูประมวลผลเลือกใช้ Qualcomm Snapdragon 410 Quad Core ความเร็ว 1.2GHz แรมให้มา 2GB รอมหรือความจุเครื่องให้มาขนาดเดียวคือ 16GB เหลือให้ใช้งานจริงประมาณ 11.72GB ไม่สามารถเพิ่มการ์ดความจำ MicroSD ได้ แต่รองรับการเชื่อมต่อแฟลชไดร์ฟแบบ USB (OTG) แบตเตอรีให้มา 2,000mAh แบบ Li-Po และมาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 4.4.4 KitKat แบบยึดหน้าตาใช้งานและระบบจัดการแบบ Pure Google โดยวีโกจะเลือกปรับเปลี่ยนหน้าตาเฉพาะไอคอน การจัดวางเมนูและแอปฯบางตัวเพียงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้กระทบกับประสิทธิภาพโดยรวมของระบบ

ในส่วนสเปกเครื่องปลีกย่อยอื่นๆ ระบบนำทางรองรับ GPS, AGPS และ GLONASS, WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 b/g/n, บลูทูธรองรับเวอร์ชัน 4.0 และภายในตัวเครื่องมาพร้อมเซนเซอร์ Accelerometer, Magnetic Sensor และ Proximity Sensor

ฟีเจอร์เด่น

558000007967711

ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของวีโกกับยูสเซอร์อินเตอร์เฟสเน้นความเป็น Pure Google ที่วีโกทำได้ดีตลอดมาตั้งแต่ความลื่นไหลและไม่บริโภคทรัพยากรเครื่องมากจนเกินไป ซึ่งสำหรับ Highway Pure 4G ข้อดีเหล่านั้นยังมีให้พบเห็นเช่นเดิม

ในส่วนแอปพลิเคชันที่ติดตั้งมาจากโรงงาน ได้แก่ LINE, Facebook, Instagram, เครื่องบันทึกเสียงและวิทยุ

558000007967712

ในส่วนคีย์บอร์ดวีโกเลือกใช้บริการจาก TouchPal X ที่ตัวแอปฯเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งธีมคีย์บอร์ดได้ตามต้องการ หรือถ้าผู้ใช้ไม่พอใจกับคีย์บอร์ดที่วีโกใส่มาให้ก็สามารถเลือกติดตั้งเองได้จาก Google PlayStore

 

558000007967713

Clean Master เป็นแอปฯที่วีโกเลือกใช้บริการมาตลอดและมีข้อดีในเรื่องการช่วยจัดการไฟล์ขยะ ตรวจจับสแปมจากแอปฯต่างๆ และช่วยเคลียร์แรม รวมถึงปิดแอปฯที่รันอยู่พื้นหลังโดยไม่จำเป็นได้

558000007967714

อีกจุดเด่นหนึ่งที่น่าสนใจก็คือระบบ Magic Unlock ที่ผู้ใช้สามารถตั้ง Gestures ต่างๆเช่น วาดตัวอักษร p ลงบนหน้าจอที่ดับอยู่จะเป็นคีย์ลัดเรียกเมนูโทรศัพท์ขึ้นมา เป็นต้น

อีกส่วนที่น่าสนใจก็คือด้านระบบเสียงที่วีโกเลือกใส่ชิปประมวลผลเสียงแบบไฮไฟ Dirac HD Sound เข้ามาและผู้ใช้สามารถเลือกเปิดใช้งานฟีเจอร์ได้จากเมนู Sound ซึ่งจะช่วยให้เสียงคมชัดมากขึ้นและรองรับการรับฟังไฟล์เสียงคุณภาพสูงที่จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

558000007967715

มาถึงส่วนสุดท้ายคือเรื่องแอปฯกล้องถ่ายภาพที่วีโกเลือกออกแบบเอง มาพร้อมฟีเจอร์เด่นอย่างความสามารถในการถ่าย HDR ได้ มีซีนโหมดให้เลือกใช้งาน อีกทั้งในโหมดเซลฟียังสามารถปรับแต่งความเนียนใสของใบหน้า ปรับตาโต ปรับคาง ได้ตามต้องการด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพ

558000007967716

ด้านการทดสอบประสิทธิภาพ ด้วยการที่วีโกเกือบทุกรุ่นพยายามคงความเป็น Pure Google มาจนถึงรุ่นล่าสุด Highway Pure 4G เรื่องของความลื่นไหลและการตอบสนองถือว่าทำได้ดีเช่นเดิม การใช้งานแอปฯทั่วไปถือว่าสอบผ่านไม่พบปัญหาเครื่องค้าง ช้าหรือหน่วงให้เห็นแต่อย่างใด ยกเว้นการเล่นเกม 3 มิติ ที่ดูจากสเปกเครื่องแล้วอาจไม่เหมาะสมเท่าใดนัก

มาถึงส่วนหน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED ก็ยังคงเอกลักษณ์เดิมคือ สีสันสดใส คอนทราสต์จัดจนหลายคนอาจไม่ชอบเพราะทำให้การรับชมภาพไม่เป็นธรรมชาติ ส่วนสีดำจะดำสนิทมาก หน้าจอสามารถสู้แสงอาทิตย์ได้ดีระดับหนึ่ง ส่วนกล้องถ่ายภาพให้ความคมชัดพอใช้เมื่อถ่ายในสภาพแสงปกติ ส่วนในที่แสงน้อย สีสันและสมดุลแสงสีขาวอาจมีเพี้ยนติดสีเขียว สีฟ้าบ้าง

สำหรับปัญหาจะอยู่ที่เรื่องพื้นที่เก็บข้อมูลที่ไม่สามารถเพิ่มความจุด้วย MicroSD Card ได้เหมือนรุ่นอื่นๆ ทำให้เกิดปัญหาสำหรับผู้ใช้ที่ชอบเก็บไฟล์เพลง รูปภาพหรือคนที่ชอบดาวน์โหลดแอปฯ อาจต้องหันไปพึ่งพาคลาวด์สตอเรจหรือแฟลชไดร์ฟผ่านช่อง MicroUSB แทน

558000007967717

สุดท้ายกับเรื่องแบตเตอรี อาจเพราะขนาดตัวเครื่องที่บางและเล็กทำให้แบตเตอรีต้องถูกลดความจุลงมาเหลือเพียง 2,000mAh และมีผลให้ระยะเวลาในการทดสอบแบตเตอรีลดลงไปเหลือเพียง 4 ชั่วโมง 47 นาที 50 วินาที และเมื่อคำนวณหาเวลาใช้งานทั่วไปจะอยู่ในช่วง 9-11 ชั่วโมงเท่านั้น

สรุป

558000007967718

สำหรับราคาเปิดตัว Wiko Highway Pure 4G อยู่ที่ 7,990 บาท ก็ถือเป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนคุ้มค่าคุ้มราคา วัสดุดี รับ 4G และที่สำคัญคือตัวเครื่องมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบาสุดในตลาดตอนนี้ แต่จะมีข้อสังเกตที่ต้องทำใจเป็นอันดับแรกก็คือเรื่องแบตเตอรีที่หมดเร็วมาก ไม่เหมาะแก่คนใช้สมาร์ทโฟนแบบหนักหน่วง เช่น แชททั้งวัน เล่นเกมตลอดเวลา และอีกข้อคือ Highway Pure 4G เพิ่มเมมไม่ได้

ข้อดี

– วัสดุงานประกอบดี คุ้มค่าคุ้มราคา
– บางและเบามาก
– ยูสเซอร์อินเตอร์เฟสปรับมาได้ลื่นไหล เน้นความเป็น Pure Google
– รองรับ 3G 4G LTE ทุกเครือข่ายในไทย
– กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซลพร้อมซอฟต์แวร์ปรับแต่งหน้าเด้งหน้าใส

ข้อสังเกต

– เพิ่ม MicroSD Card ไม่ได้
– แบตเตอรีความจุน้อย แบตฯหมดไว

[usrlist “การออกแบบ:8” “สเปก/ฟีเจอร์เด่น:8.5” “ความสามารถโดยรวม:9” “ความคุ้มค่า:9″ avg=”true”]>หลักเกณฑ์การให้คะแนนรีวิว<

Gallery

]]>