ตั้งแต่มีข้อมูลออกมาถึงหูฟังที่แพงที่สุดในโลก กับราคาเกือบ 2 ล้านบาท ของ Sennheiser HE1 เชื่อว่าในกลุ่มนักเล่นเครื่องเสียง หรือผู้ที่ติดตามความเคลื่อนไหวต่างมีความอยากลอง หรือขอให้ได้สัมผัสสักครั้งหนึ่งในชีวิต
เมื่อ Sennheiser เตรียมนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ราคาที่จำหน่ายเมื่อรวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วจะพุ่งไปอยู่ที่ราว 2.4 ล้านบาท แน่นอนว่า เครื่องเสียงในระดับนี้ส่วนใหญ่จะเป็นแบบผลิตตามสั่ง (Made to Order) อยู่แล้ว ดังนั้นโอกาสที่จะได้ลองใช้จึงแทบไม่มี
ความเคลื่อนไหวในระดับภูมิภาคเอเชีย หลังจาก Sennheiser เริ่มนำหูฟังรุ่นดังกล่าว เดินสายให้สื่อ และผู้เชี่ยวชาญได้ทดสอบกัน ก็เริ่มมีออเดอร์เข้ามาจากในสิงคโปร์ ส่วนในประเทศไทยคงยังต้องรอดูกันต่อไปว่าจะมีใครสั่งเข้ามาใช้งานกันหรือไม่
ถ้าเป็นผู้ใช้ในกลุ่มที่ติดตามเครื่องเสียง หรือหูฟังอยู่แล้ว เชื่อว่าจะรู้จักกับ หูฟังออร์เฟียส ที่ถือเป็นหูฟังระดับตำนาน และถูกยกย่องว่าเป็นหูฟังที่เสียงดีที่สุดในโลก และแน่นอนว่าระดับราคาของหูฟังก็สูงมากเช่นเดียวกัน
สำรวจจุดเด่น
การมาของ Sennheiser HE1 เหมือนเป็นการต่อยอดของหูฟังระดับออร์เฟียส ในการสร้างประสบการณ์ด้านเสียงที่ดีที่สุดแก่ผู้ฟัง โดยผสมรวมเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในปัจจุบัน เข้ากับวัสดุคุณภาพสูงที่นำมาใช้ เป็นงานคราฟจากช่างฝีมือระดับไฮเอนด์
โดยจุดเด่นที่สุดของ Sennheiser HE1 คือเป็นหูฟังที่ตอบสนองความถี่ที่ขยายขอบเขตการได้ยินของมนุษย์ให้กว้างที่สุด และลดค่าความเพี้ยนของสัญญาณเสียงโดยรวมให้น้อยที่สุด เพื่อให้สามารถเข้าถึงอรรถรสในการฟังเพลงได้อย่างเต็มที่
ส่วนประกอบของ Sennheiser HE1 ในส่วนของฐานจะประกอบด้วยอะลูมิเนียมที่ถูกเจาะช่องมาให้กลายเป็นที่วางหูฟัง ภายในมีระบบแมคคานิคควบคุมฐานวางหูฟัง ข้างๆจะมีแอมพลิไฟร์เออร์ 8 หลอด ที่เป็นหลอดสูญญากาศคลุมด้วยแก้วควอท์ซ บนกล่องหินอ่อนคาร์รารา ที่จะถูกเคลื่อนขึ้นมาเมื่อเปิดใช้งาน
โดยทาง Sennheiser ให้เหตุผลที่เลือกหินอ่อนมาจากเมืองคาร์รารา (Carrara) มาใช้เพราะถือเป็นวัสดุที่ช่วยส่งผ่านเสียงได้แบบไม่เก็บกักเสียง และเป็นหินชนิดเดียวกับที่ ไมเคิลแองเจโลนำมาใช้ในงานแกะสลัก
ถัดลงมาจากหลอดแอมป์ เป็นส่วนของตัวกระตุ้นเสียงขั้นสูงจากแอมป์ ที่ส่งตรงไปยังส่วนครอบหูฟัง ที่สำคัญคือมีการย่นระยะการเดินทางของเสียงจากแอมป์สู่ไดอะแฟรมให้สั้นที่สุด นั้นคือ น้อยกว่า 1 เซนติเมตร ผลที่ได้คือใช้พลังงานน้อย ทำให้ประหยัดและไม่ต้องชาร์ตไฟบ่อยครั้ง
นอกจากนี้ บริเวณขั้วไฟฟ้าเซรามิกจะถูกเคลือบด้วยทอง และไดอะแฟรมเคลือบด้วยทองคำขาว โดยความหนาของไดอะแฟรมทั้งหมด มีขนาด 2.4 ไมโครมิเตอร์ในการช่วยควบคุมการสั่นสะเทือนที่เหมาะสมที่สุด ส่วนสายเคเบิลทั้งแปดเส้น ทำขึ้นจากทองแดงที่ปราศจากออกซิเจนเพื่อให้ได้ค่าการนำไฟฟ้าสูงซึ่งเคลือบด้วยแร่เงิน
ในส่วนของระบบแปลงสัญญาณสามารถตอบสนองความถี่ได้จาก 8 Hz ถึงกว่า 100 kHz ซึ่งเป็นช่วงความถี่ที่สามารถได้ยิน ช่วยให้เสียงไม่เพี้ยนอย่างแน่นอน และยังเป็นการทำให้ผู้ฟังได้ยินเสียงเครื่องดนตรีที่อาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อนในการฟังเพลงจากหูฟังรุ่นอื่นๆ
อีกจุดที่ทำให้ HE 1 น่าสนใจคือการแปลงสัญญาณดิจิตอล ที่ถูกเชื่อมต่อผ่าน S/PDIF (optical and coaxial) หรือผ่าน USB HE 1 ไปยังสัญญาณแอนาล็อกโดยใช้ชิป ESS SABRE ES9018 ผ่านตัวแปลงจากระบบดิจิตอลสู่อะนาล็อก (DAC) ภายในทั้ง 8 มีความละเอียด 32 บิต และอัตราตัวอย่างที่มากถึง 384 kHz หรือสัญญาณไฟล์ดิจิตอล (DSD) 2.8 MHz และ 5.6 MHz จะถูกทำให้สมดุลเพื่อแปลงเป็นสัญญาณแอนาล็อก
เริ่มต้นใช้งาน
ในการใช้งานเมื่อกดปุ่มเปิด/ปิดเสียง แผงควบคุมที่ด้านหน้าจะค่อยๆยื่นออกมาจากตัวเครื่องขยายเสียง ก่อนที่หลอดสูญญากาศที่บรรจุอยู่ในแก้วควอทซ์จะยื่นออกมาจากตัวเครื่อง และจะเรืองแสงออกมาเป็นสีส้ม
กล่องหูฟังที่อยู่ด้านบนตัวเครื่องที่เป็นฝากระจกจะถูกเปิดออก ทำให้เห็นหูฟังอย่างชัดเจน โดยตัวสวิทช์แบบหมุนและส่วนประกอบต่างๆ ของแผงควบคุมนั้นทำมาจากทองเหลืองชุบด้วยโครเมี่ยม ตำแหน่งของสวิทช์ทั้งสี่จะถูกควบคุมด้วยไมโครโปรเซสเซอร์และเปิดใช้งานด้วยรีเลย์ที่มีคุณภาพสูง
นอกจากนี้ อุปกรณแต่ละส่วนสามารถควบคุมได้ด้วยรีโมทจากระยะไกลและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามผู้ฟัง โดยจะมีการจำค่าล่าสุดที่ใช้งานไว้ในแต่ละประเภทของการเชื่อมต่อ เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของหูฟัง ที่ครอบหูจะทำมาจากหนังแท้ที่ผลิตในเยอรมัน ภายในบุด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์ ช่วยที่ระบายอากาศ เพื่อให้ได้คุณภาพของการดูดซับเสียงที่ดีที่สุด โดยเมื่อใส่แล้วจะครอบไปทั้งใบหู น้ำหนักอยู่ในระดับที่รับได้ ไม่หนักจนเกินไป ช่วยให้ใส่ใช้งานเป็นเวลานานได้
แต่ทั้งนี้ เนื่องจากบริเวณหูฟังจะตัวขยายสัญญาณซ่อนอยู่เพื่อลดการสูญเสียสัญญาณที่ถูกส่งผ่านสายมา ทำให้เวลาใช้งานจะรู้สึกอุ่นๆหูเล็กน้อย แต่ถ้าใช้งานในสภาพห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ ก็แทบไม่ส่งผลกระทบต่อการรับฟังแต่อย่างใด
สำหรับราคาจำหน่ายของ Sennheiser HE 1 สามารถสั่งซื้อล่วงหน้าผ่านตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยได้แล้ว ในราคาประมาณ 50,000 ยูโร (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) หรือราว 2.4 ล้านบาท เมื่อรวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว โดยใช้เวลาในการสั่งผลิตประมาณ 90-120 วัน
ขณะเดียวกันเนื่องจากเป็นสินค้าแบบผลิตตามสั่ง กรณีที่ต้องการหูฟังเพิ่มจากปกติที่ให้มา 1 ชุด ก็สามารถสั่งทำเพิ่มเป็น 2 ชุด เพื่อให้นำมาฟังพร้อมกัน 2 คนได้ โดยที่ตัวเครื่องด้านหลังจะมีช่องให้ต่อหูฟังเพิ่มอยู่ ได้คุณภาพเสียงที่ใกล้เคียงกัน
ลองฟัง
ด้วยความที่ปกติไม่ได้เป็นคนที่เล่นเครื่องเสียงมากนัก เข้าไปฟังด้วยความรู้ระดับงูๆปลาๆ โดยในช่วงก่อนเข้าไปทดลอง ทีมงานได้มีการจัดให้ทดสอบหูฟังรุ่นอื่นๆของ Sennheiser ที่วางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบันไปด้วยระหว่างรอคิว
พอถึงเวลาที่ได้เข้าไปลองฟัง จะมีผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำ และเลือกเพลงให้เบื้องต้น ซึ่งก็จะเป็นเพลงที่ถูกใช้ในการทดสอบหูฟัง หรือเครื่องเสียงต่างๆ เพื่อฟังเสียงเครื่องดนตรีต่างๆในทุกช่วงคลื่น ความประทับใจแรกเลยคือ จากคนที่ไม่ค่อยสนใจแยกเครื่องดนตรีในเพลง กลับฟังออกมาได้ชัดเจนว่ามีเครื่องดนตรีอะไรบ้างในเพลง และให้ความรู้สึกเหมือนเครื่องมาเล่นอยู่ใกล้ๆในมุมต่างๆรอบตัว
ถัดมา ทาง Sennheiser ได้เปิดให้เลือกเพลงฟังเอง เลยอยากลองเลือกเพลงที่เป็นเสียงสังเคราะห์คุณภาพเสียงทั่วๆไป 128 kbps – 192 kbps แต่เสียงที่ได้ก็ออกมาในระดับที่ไม่เคยฟังมาก่อนจากหูฟังปกติ แต่ด้วยการที่เป็นหูฟังที่ไม่ได้เน้นเบสมากนัก และคงไม่มีคนเอามาใช้ฟังพวกเครื่องดนตรีสังเคราะห์ ก็เลยจบไป
ปิดท้ายกับเพลงในท้องตลาดๆที่ขึ้นท็อปชาร์ตอยู่ในขณะนี้อย่าง Shape of you ของ Ed Sheeran โดยคุณภาพเสียงของเพลงเป็นไฟล์ FLAC ที่ทีมงานเตรียมมา ยิ่งตอกย้ำความประทับใจในการฟังมากขึ้น จากเสียงเครื่องดนตรีบางชนิดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจากหูฟังปกติ ช่วยให้ฟังเพลงสนุกขึ้นอย่างมาก
รวมๆแล้วถือเป็นการเปิดประสบการณ์ในการฟังเพลงจากหูฟังราคากว่า 2 ล้านบาท ที่เชื่อว่าสร้างความประทับใจให้แก่สื่อหลายสำนัก และผู้ฟังที่ได้รับเลือกจากตัวแทนจำหน่ายเข้าไปทดลอง ส่วนใครที่มีกำลังซื้อในระดับดังกล่าว และอยากได้หูฟังที่ซื้อแล้วจบ HE 1 จะกลายเป็นตัวเลือกหลักโดยปริยาย
แน่นอนว่า คำถามที่หลายๆคนสนใจคือ ถ้านำเงินกว่า 2 ล้านบาทไปลงทุนทำห้องฟังเพลง พร้อมซื้ออุปกรณ์แยกมาใช้ฟังไปเลยไม่ดีกว่าหรือ คำตอบจากผู้เชี่ยวชาญของเซนไฮเซอร์ก็ตอบกลับมาง่ายๆว่า โจทย์ของ HE 1 คือการนำคุณภาพเสียงระดับสูงมาให้คนที่ชื่นชอบฟังแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่หยิบหูฟังขึ้นมาสวมหูก็อินไปกับเพลงได้ทันที จึงเน้นที่ความสะดวกมาก และไม่ต้องใช้พื้นที่ในการฟังเพลงมากกว่า