Review : Apple AirPods Pro หูฟังไร้สายที่โปรขึ้น ตัดเสียงรบกวนได้เด็ด

6149

ตอนนี้ AirPods กลายเป็นหูฟังไร้สายแบบ True Wireless ที่ขายดีที่สุดในโลกไปแล้ว และยังต่อเนื่องถึงการเป็นของขวัญที่ได้รับความนิยมในเทศกาลของขวัญช่วงปลายปี ยิ่งตอกย้ำถึงความสำเร็จในการทำตลาด AirPods ของแอปเปิล (Apple) ได้เป็นอย่างดี

พอแอปเปิล ออก AirPods Pro มา เชื่อว่าผู้ที่เคยใช้งาน AirPods มาและมีประสบการณ์ใช้งานที่ดี ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนมาใช้งานในรุ่นที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันผู้ที่เคยมีปัญหาไม่สามารถใช้งาน AirPods ได้เพราะใส่แล้วหลุด พอออกมาเป็น AirPods Pro ก็จะใช้งานได้แล้ว

จุดเด่นของ AirPods Pro จะอยู่ที่การออกแบบหูฟัง In-Ears ให้ใส่ได้สบายหู พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation รุ่นแรกของแอปเปิล และยังมีโหมดรับเสียงจากรอบข้าง เพื่อให้ใส่ใช้งานได้ในทุกๆ เวลา

ข้อดี

  • หูฟังไร้สาย พร้อมระบบตัดเสียงรบกวน
  • มีโหมด Transparency รับเสียงจากรอบข้าง
  • ระบบปรับแรงดันในหู ช่วยให้ใส่ In-Ears ได้สบายขึ้น
  • เชื่อมต่อกับ iPhone และ Apple Device ได้ง่าย แบบไร้รอยต่อ

ข้อสังเกต

  • เวลาใช้งานต่อเนื่องอยู่ที่ 4.5 – 5 ชั่วโมง ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (ถ้านับรวมแบตฯ เคสได้เกิน 24 ชั่วโมง)
  • คุณภาพเสียง ยังสู้กับแบรนด์อื่นในระดับราคาใกล้เคียงกันไม่ได้

 

ทำความรู้จักเทคโนโลยีตัดเสียง

เทคโนโลยีที่ทำให้ AirPods Pro มีความแตกต่างจากหูฟังตัดเสียงรบกวน (Noise Cancelling) รุ่นอื่นๆ ในท้องตลาดคือเรื่องของการนำเทคโนโลยี Active Noise Cancellation มาใช้งาน ด้วยการติดตั้งไมโครโฟนเพิ่มมาช่วยตรวจจับเสียงภายนอก

โดยไมโครโฟนที่จับเสียงภายนอกนี้จะทำให้หูฟังรับรู้ว่าเวลาที่ใช้งานอยู่สภาพเสียงรบกวนภายนอกเป็นอย่างไร หลังจากนั้น AirPods Pro จะส่งคลื่นเสียงด้านตรงข้ามที่เท่ากัน เพื่อตัดเสียงภายนอกออก

แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะ AirPods Pro มีไมโครโฟนที่หันเข้ามาอยู่ภายในหูของผู้ใช้ ที่จะคอยฟังเสียงภายในหูด้วย เพื่อคำนวนและตัดเสียงรบกวนที่ไม่อยากได้ยินออกเช่นกัน โดยระบบการทำงานจะมีการตัดเสียงรบกวนต่อเนื่องที่ 200 ครั้งต่อวินาที

In-Ears ที่ใส่สบาย

อีกจุดที่แอปเปิลนำมาใช้เป็นจุดขายสำคัญของ Air Pods Pro คือเรื่องของการใส่ได้สบายหู โดยเริ่มจากภายในกล่องจะมีจุกซิลิโคน (Ear Tip) ให้เลือก 3 ขนาด เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนที่มีขนาดรูหูไม่เท่ากัน

โดยสิ่งที่แอปเปิล พัฒนาเพิ่มมาคือ ฟีเจอร์ที่จะตรวจสอบว่า จุกซิลิโคนที่ใส่อยู่พอดีหูหรือไม่ โดยหลังจากที่ทำการเชื่อมต่อ AirPods Pro เข้ากับอุปกรณ์ที่ใช้งาน iOS 13.2 ขึ้นไป แล้วผู้ใช้สามารถกดเข้าไปทดสอบกันได้

แน่นอนว่าวิธีการเชื่อมต่อ AirPods Pro ยังง่ายเหมือน AirPods ที่เพียงเปิดฝาขึ้นมา ตัว iOS ก็จะทำการแจ้งเตือนให้กดเชื่อมต่อได้ทันที หลังจากนั้นสามารถเข้าไปตั้งค่าเพิ่มเติมได้ใน Setting > Bluetooth > กดสัญลักษณ์ i ด้านหลัง AirPods Pro เพื่อเข้าสู่การตั้งค่า

สิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือการกด Ear Tip Fit Test เพื่อตรวจสอบว่า จุกซิลิโคนที่ใส่ใช้งานอยู่พอดีหรือไม่ ซึ่งจะช่วยทั้งในเรื่องของคุณภาพเสียง และการตัดเสียงรบกวนด้วย

ถ้าใส่พอดีจะมีการขึ้นบอกว่า Good Seal ถ้าไม่พอดีจะขึ้นแจ้งว่าให้ลองขยับ หรือเปลี่ยนจุกซิลิโคนดู ซึ่งจุกมาตรฐานที่ติดมากับ AirPods Pro คือขนาดกลาง ถ้ารู้สึกว่าหลวมไปให้เปลี่ยนเป็นขนาดใหญ่ขึ้น และถ้ารู้สึกว่าแน่นไปให้ลองปรับให้เล็กลงดู

ในการใส่ใช้งาน เท่าที่ทดสอบใช้งานจนแบตเตอรี AirPods Pro หมด ประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง พบว่า AirPods Pro ออกแบบจุกมาได้ดีมากๆ เพราะไม่รู้สึกล้าหู เหมือนเวลาใส่หูฟัง In Ears ของแบรนด์อื่นๆ อาจจะเพราะ AirPods Pro มีระบบช่วยปรับแรงดันภายในหูด้วยในตัว

ตัดเสียงรบกวนที่เลือกปรับได้เอง

แน่นอนว่าฟีเจอร์หลักของ AirPods Pro คือระบบการตัดเสียงรบกวน แต่ในการใช้งานในชีวิตประจำวัน การใส่หูฟังแบบตัดเสียงรบกวนตลอดเวลา กลายเป็นเรื่องอันตราย เพราะจะไม่ทำให้ได้ยินเสียงแวดล้อมรอบตัว

ในจุดนี้แอปเปิล จึงได้เพิ่มฟีเจอร์ในการสั่งงาน AirPods Pro เข้ามาให้ผู้ใช้เลือกปรับได้ว่า จะเปิดใช้งานระบบตัดเสียงรบกวน (Noise Cancellation) ปิด หรือเปิดโหมดรับเสียงจากภายนอก (Transparency) ที่เลือกปรับได้ 3 วิธี

วิธีแรกคือ กดบีบก้านหูฟัง เพื่อสลับระหว่างตัดเสียง และรับเสียงจากภายนอก วิธีที่สองคือเข้าไปปรับในการตั้งค่าบลูทูธ เหมือนตอนทดสอบจุกซิลิโคน และวิธีที่สาม เข้าจากแถบตั้งค่าด่วน กดค้างที่แถบปรับระดับเสียง จะมีตัวเลือกขึ้นมาให้ปรับ

การออกแบบ AirPods Pro

รูปลักษณ์ของ AirPods Pro เมื่อเทียบกับ AirPods บริเวณก้านหูฟังจะสั้นลงเล็กน้อย ส่วนตัวหูฟังจะมีส่วนของจุกซิลิโคนที่ยื่นขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม ทำให้ โดยขนาดจะอยู่ที่ 30.9 x 21.8 x 24 มม. น้ำหนักข้างละ 5.4 กรัม

โดยทั้งภายในและภายนอกของ AirPods Pro จะมีไมโครโฟนอยู่ด้วยเพื่อใช้คู่กับระบบตัดเสียงรบกวนดังที่กล่าวไปข้างต้น นอกจากนี้ก็จะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับเวลาใส่ และถอดออกจากหู

ส่วนตรงก้านได้ออกแบบใหม่ให้มีส่วนที่เว้าลงไปเล็กน้อย เพื่อรับนำ้หนักในการบีบสั่งงาน ด้วยการใส่เซ็นเซอร์แรงกดที่ไว้ใช้ทั้งการควบคุมเพลง บีบเพื่อรับโทรศัพท์ และเปลี่ยนโหมดใช้งาน

ภายในของ AirPods Pro จะมีชิปเซ็น Apple H1 ที่คอยประมวลผลเรื่องของเสียง ซึ่งทำงานร่วมกับไดรเวอร์ของลำโพง ในการตัดเสียงรบกวน จนถึงการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Siri ด้วย

ส่วนของเคส AirPods Pro เมื่อเทียบกับ AirPods ปกติ จะมีลักษณะกว้างขึ้น แต่สั้นลง ขนาดเคสจะอยู่ที่ 45.2 x 60.6 x 21.7 มิลลิเมตร นำ้หนัก 45.6 กรัม ส่วนขนาดเคสของ AirPods จะอยู่ที่ 53.5 x 44.3 x 21.3 มิลลิเมตร น้ำหนัก 40 กรัม

โดยตัวเคสจะมากับระบบชาร์จไร้สายอยู่แล้ว สามารถนำไปวางบนแท่นชาร์จมาตรฐาน Qi เพื่อชาร์จได้เลย หรือจะเลือกชาร์จผ่านพอร์ต Lightning ก็ได้เช่นกัน

สรุป

AirPods Pro น่าจะเป็นหูฟังไร้สายที่ผู้ใช้งาน iPhone ส่วนใหญ่ต้องหารซื้อหามาใช้งาน ทั้งผู้ที่มี AirPods เดิมอยู่แล้ว และยังไม่มี เพราะถือว่ามาช่วยในเรื่องของการตัดเสียงรบกวนจากภายนอกเวลาใช้งานได้

แม้ว่าระดับราคาของ AirPods Pro จะค่อยข้างสูง (9,490 บาท) แต่เมื่อเทียบกับหูฟังไร้สายแบบตัดเสียงรบกวนคุณภาพสูงในท้องตลาดแล้ว ถือว่าใกล้เคียงกัน ถ้าใครที่อยากซื้อแล้วจบก็แนะนำ

แต่ถ้ามองว่าระดับราคานี้ค่อนข้างสูงเกิดไป ก็อาจจะมองตัวเลือกอย่าง AirPods ที่ปรับลดราคาลงมา แต่ก็แลกกับไม่มีระบบตัดเสียงรบกวน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละรายด้วย เพราะหูฟังแบบ In Ears อาจจะชอบไม่เหมือนกัน

Gallery

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็น