Review : Apple iMac 24” ดีไซน์ สีใหม่ แรงด้วยชิป M1

6275

iMac 24” รุ่นปี 2021 ถือเป็นการปรับโฉมผลิตภัณฑ์ครั้งสำคัญของ Apple และมีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ส่วน หลังจากที่ Apple เลือกหันมาพัฒนาชิปประมวลผลของตัวเองอย่าง Apple M1 และทยอยนำมาใช้งานกับผลิตภัณฑ์หลายๆ ประเภท เริ่มจาก MacBook Air MacBook Pro Mac mini และคราวนี้ก็ถึงคิวของ iMac และ iPad Pro

ความพิเศษก็คือที่ผ่านมาทั้ง MacBook Air MacBook Pro Mac mini และ iPad Pro ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่แอปเปิลใช้ดีไซน์เดิมมาเปลี่ยนชิปเซ็ตภายในเป็น Apple M1 เท่านั้น ไม่เหมือนกับ iMac 24” ที่กลายเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่แอปเปิล เลือกออกแบบใหม่ทั้งหมด และใช้ประโยชน์ของ Apple M1 ได้อย่างน่าสนใจ

นอกจากนี้ Apple ยังได้แยกรูปแบบการใช้งานของ iMac 24” ให้ชัดเจนมากขึ้น ด้วยการนำเสนอเป็นคอมพิวเตอร์แบบออลอินวันสำหรับทุกคน ที่ไม่ได้เน้นเจาะกลุ่มมืออาชีพที่ต้องการประสิทธิภาพในการทำงาน และจอใหญ่เท่านั้น แต่รวมถึงการนำไปใช้งานในชีวิตประจำวัน ด้วยการเพิ่มตัวเลือกสีสันที่หลากหลาย จนถึงการนำไปใช้ในภาคธุรกิจก็ได้เช่นกัน

ข้อดี

  • ออกแบบใหม่ ตัวเครื่องบาง มีให้เลือกหลายสี
  • จอ 24 นิ้ว ความละเอียด 4.5K
  • ประสิทธิภาพสูง รองรับการใช้งานที่หลากหลายจาก Apple M1
  • กล้อง FaceTime  HD 1080p รองรับการวิดีโอคอล
  • ไมโครโฟน และลำโพง ปรับปรุงให้คุณภาพดีขึ้น

ข้อสังเกต

  • ขนาดจอจริงๆ อยู่ที่ 23.5 นิ้ว
  • ไม่สามารถเลือกสีของอุปกรณ์เสริมได้
  • เมจิกคีย์บอร์ดพร้อม Touch ID มาในรุ่น CPU 8 Core GPU 8 Core ถ้ารุ่นเริ่มต้นต้องซื้อเพิ่ม

ใส่ใจทุกรายละเอียด

ต้องยอมรับว่า Apple ยังคงรักษามาตรฐานในการออกแบบผลิตภัณฑ์ได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะกับการใส่ใจรายละเอียดของสีใน iMac รุ่นนี้ ซึ่งจะเห็นได้ตั้งแต่รายละเอียดต่างๆ กล่องของผลิตภัณฑ์ ที่ตรงสีกับตัวเครื่องที่เลือก รวมถึงการใส่ใจในสิ่งแวดล้อม โดยบรรจุภัณฑ์ของ iMac ใช้กระดาษเป็นสัดส่วนหลักถึง 90%

เมื่อเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ ทำให้ Apple ต้องออกแบบกล่องบรรจุภัณฑ์ที่สามารถป้องกันการกระแทกได้ ด้วยการนำกระดาษมาใช้งาน ทำให้เมื่อเปิดฝากล่องขึ้นมา เมื่อเห็นตัวเครื่องแล้วต้องง้างบริเวณขอบข้างกล่องออก ถึงจะสามารถยก iMac ออกจากกล่องได้ ช่วยให้ปลอดภัยระหว่างการขนส่งอย่างแน่นอน

ถัดมาคือรายละเอียดของอุปกรณ์เสริมต่างๆ อย่างใน iMac สีเหลืองเครื่องนี้ สัญลักษณ์อุปกรณ์เสริมก็จะเป็นสีเหลือง เมื่อเปิดออกมาก็จะพบกับอุปกรณ์ที่ถูกห่อด้วยกระดาษเช่นเดียวกัน ทำให้บรรจุภัณฑ์นี้ กลายเป็นบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกตามที่แอปเปิลวางแผนไว้

ในส่วนของสีอุปกรณ์เสริม ไม่ว่าจะเป็นคีย์บอร์ด เมาส์ และทัชแพด จะเล่นขอบสีให้เหมือนกับสีหลักของตัวเครื่อง ส่วนสายชาร์จเมาส์ที่เป็น USB-C to Lightning และสายไฟ จะใช้สีโทนอ่อนลง ซึ่งจะเป็นสีเดียวกับขอบล่างของจอ iMac นั่นเอง

น่าเสียดายที่ Apple ยังไม่เปิดเผยว่าจะมีการแยกวางจำหน่ายอุปกรณ์เสริมที่เป็นสีสันเหล่านี้แยกออกมาหรือไม่ เพราะเชื่อว่าต้องมีผู้ที่ใช้งาน iPhone แล้วอยากได้สายชาร์จแบบถักสีๆ ไปใช้งานแน่นอน สิ่งที่ทำได้ในเวลานี้คือการซื้อเครื่อง iMac ถึงจะได้อุปกรณ์เสริมตามสีที่อยากได้

ดีไซน์ใหม่หมด

หลังจากแกะเครื่องออกจากกล่องแล้ว สิ่งที่ได้เห็นคือ iMac ที่มีการออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ตัวเครื่องหนาเพียง 11.5 มิลลิเมตร พร้อมกับสีสันตัวเครื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสีเหลืองนี้ จะมีความโดดเด่นของตัวเครื่องใกล้เคียงกับสีทอง สำหรับขนาดของพื้นที่ใช้งานโดยรวมจะอยู่ที่ 46.1 x 54.7 x 14.7 เซนติเมตร น้ำหนักของตัวเครื่องอยู่ที่ 4.46 – 4.48 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับรุ่นที่เลือก

นอกจากสีเหลืองแล้ว iMac ยังมีให้เลือกอีก 6 สี เริ่มจากสีเงินที่เป็นสีดั้งเดิม ตามด้วยสีน้ำเงิน ม่วง ชมพู ส้ม และเขียว ซึ่งสีเหล่านี้ถ้าจำกันได้ก็คือมาจากโลโก้ของ Apple ในยุคแรก เรียกได้ว่ามีให้เลือกหลายสีตามสีที่แต่ละคนชื่นชอบ และเลือกนำไปใช้ให้เหมาะกับเฟอร์นิเจอร์ในบ้านก็ได้

ในส่วนของหน้าจอ iMac 24 นิ้ว ความจริงแล้วขนาดหน้าจอจะอยู่ที่ 23.5 นิ้ว เมื่อวัดในแนวทแยงมุม แต่ด้วยการสื่อสารที่ง่ายทำให้ Apple เลือกสื่อสารว่าเป็นรุ่น 24 นิ้วแทน ความละเอียดจอที่ได้จะเป็น 4.5K Retina display 4480 x 2520 พิกเซล รองรับการแสดงผล 1 พันล้านสี ความสว่างสูงสุด 500 nits ขอบเขตสี P3 และมีการปรับความสว่าง และโทนสีหน้าจออัตโนมัติ (True Tone)

บริเวณขอบของจอแสดงผล iMac ทั้ง 7 สี จะเลือกใช้สีขาว แตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่ iMac ทั้งรุ่น 21.5 นิ้ว และ 27 นิ้ว จะมากับขอบจอสีดำ ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลที่จะสื่อถึงเหมาะกับการใช้งานทั่วไป ไม่ได้เน้นกลุ่มมืออาชีพเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไปแล้ว

ในส่วนของกล้อง FaceTime HD ใน iMac 24 นิ้ว มีการปรับความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 1080p เช่นเดียวกับ iMac 27 นิ้ว ที่ออกมาก่อนหน้านี้ เพียงแต่ในรุ่นนี้จะมีคุณภาพที่ดีกว่าจากการนำชิปประมวลผลภาพ Image Signal Processor (ISP) ที่อยู่ในชิป M1 มาช่วยด้วย เนื่องจากช่วงหลังๆ การวิดีโอคอลล์กลายเป็นรูปแบบการใช้งานหลักของผู้ใช้หลายๆ คน

ในส่วนของพื้นที่ว่างใต้หน้าจอที่เรียกกันว่าบริเวณคางของ iMac 24″ นั้น ภายในจะเป็นที่อยู่ของเมนบอร์ด และชิปเซ็ตต่างๆ พร้อมพัดลมระบายอากาศ 2 ตัว ทำให้ในส่วนนี้จะมีหน้าที่หลักสำหรับการระบาดอากาศ และเป็นที่อยู่ของลำโพงด้วยเช่นกัน

พร้อมกับพัฒนาทั้งไมโครโฟน 3 ตัว ให้รับเสียงได้ดีขึ้น และช่วยตัดเสียงรบกวนจากรอบข้าง เช่นเดียวกับลำโพง 6 ตัว ที่ใส่มาให้ ทำให้เป็นเครื่องที่สามารถใช้งานได้ทั้งการประชุม จนถึงใช้เพื่อความบันเทิงอย่างดูหนัง ฟังเพลงได้อย่างเต็มที่ เพราะรองรับระบบเสียงแบบ Dolby Atmos ด้วย

สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ จะมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. มาให้ทางซ้ายของเครื่อง จากในรุ่นก่อนที่อยู่ด้านหลัง เนื่องมาจากเมื่อตัวเครื่อง iMac บางลง ทำให้ไม่สามารถวางตำแหน่งพอร์ตไว้ที่เดิมได้อีกต่อไป ส่วนหลังเครื่องจะมีพอร์ต USB-C / Thunderbolt มาให้ตามรุ่นที่เลือก โดยในรุ่นเริ่มต้นจะให้มา 2 พอร์ต ส่วนรุ่น 8 CPU 8 GPU จะให้ USB 3 เพิ่มมากอีก 2 พอร์ต

จุดเชื่อมต่อสายไฟเข้าเครื่อง เป็นอีกนวัตกรรมที่ Apple พัฒนาขึ้น เพราะนอกจากใช้ในการปล่อยกระแสไฟเข้าตัวเครื่องแล้ว ที่อะเดปเตอร์ Apple ยังมีพอร์ต Gigabit Ethernet มาให้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นการประหยัดพื้นที่ของตัวเครื่อง iMac แล้วนำพอร์ตมาไว้ที่อะเดปเตอร์แทน

โดยอะเดปเตอร์ที่ให้มาสามารถส่งไฟได้ 143W ซึ่งในความเป็นจริงชิป M1 ไม่ได้ใช้พลังงานมากขนาดนั้น เพราะ M1 ที่ใช้งานกับ MacBook Air มากับอะเดปเตอร์เพียง 30W เท่านั้น เรียกได้ว่า Apple เตรียมพร้อมไว้สำหรับอนาคตก็ว่าได้ จากอะเดปเตอร์จะมีสายถักไว้เชื่อมต่อกับตัวเครื่องยาว 2 เมตร ไม่นับรวมสายไฟอีกราว 1 เมตร ทำให้ผู้ใช้สามารถจัดวางตัวเครื่องโดยมีเพียงสายไฟเส้นเดียวโผล่ขึ้นมาจากโต๊ะ

ถัดมาในส่วนของ Magic Keyboard กรณีที่เป็นรุ่นเริ่มต้นจะไม่มี Touch ID มาให้ ต้องเป็นรุ่น 8 CPU 8 GPU ถึงจะมีให้เช่นเดียวกัน โดยความละดวกของ Touch ID ก็คือการที่เวลาใช้งานในบ้านที่มีผู้ใช้หลายคน เมื่อแตะ Touch ID ก็จะเป็นการล็อกอินเข้าบัญชีของแต่ละคนได้ทันที ยิ่งเมื่อทำงานร่วมกับคีย์บอร์ดไร้สายจึงยิ่งสะดวกขึ้น

ในขณะที่ Magic Mouse และ Magic Trackpad จะมีการเปลี่ยนแปลงที่สีบริเวณขอบ ซึ่งจะเป็นโทนเดียวกับตัวเครื่อง เรียกได้ว่าใครที่เลือก iMac สีเหลืองมาใช้ จะได้ปลดล็อกสกินสีทองในเมจิกเมาส์ทันที ที่น่าเสียดายก็คือเวลาต้องการชาร์จ Magic Mouse ก็ยังต้องใช้การเสียบสายที่ใต้เมาส์อยู่ดี ทำให้ไม่สามารถชาร์จไปใช้งานไปด้วยได้

แรงด้วย Apple M1

ที่ผ่านมา Apple ได้พิสูจน์ความสามารถของชิป M1 กันไปแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เปิดตัว MacBook Pro M1 ซึ่งผลทดสอบประสิทธิภาพนั้น แรงกว่าชิป Intel Core i9 ที่อยู่ใน MacBook Pro 16” เสียอีก ดังนั้น เรื่องความแรงของ iMac 24” จึงไม่ได้เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมากนัก

โดยในภาพรวม Apple M1 ที่ให้มานั้น รองรับการใช้งานทั่วๆ ไปของผู้บริโภคทั่วไปอยู่แล้ว จนถึงคอนเทนต์ครีเอเตอร์ระดับมืออาชีพที่ต้องการคอมพิวเตอร์มาเรนเดอร์ภาพยนต์ความละเอียด 4K ชิป M1 ก็สามารถทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม ดังนั้นถ้าเป็นการใช้งานภายในบ้าน สำนักงาน หรือวางไว้ใช้ตามสถานที่ต่างๆ iMac 24” รองรับได้สบาย

ในการเลือกซื้อ Apple จะมีให้เลือกว่าต้องการ Apple M1 รุ่น 8 Core CPU 7 Core GPU และ 8 Core CPU 8 Core GPU ให้เลือก สามารถใส่ RAM ได้สูงสุดที่ 16 GB และพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ SSD ได้สูงสุดถึง 2 TB ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งานเป็นหลัก

ส่วนการเชื่อมต่อ iMac 24” รองรับ WiFi 6 และบลูทูธ 5.0 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ macOS BigSur ที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับอีโคซิสเตมส์ของ iPhone และ iPad ได้อย่างไร้รอยต่อ ส่วน Thunderbolt / USB 4 ที่ให้มา สามารถส่งต่อข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงสุด 40 Gbps ส่วน USB 3 จะอยู่ที่ 10 Gbps โดยสามารถเชื่อมต่อกับจอแสดงผล 6K อย่าง Pro Display XDR ได้ด้วย

รุ่น และสี ที่วางจำหน่าย

iMac รุ่นเริ่มต้นแบบ 8 CPU 7 GPU จะมีให้เลือกเฉพาะสีฟ้า เขียว ชมพู และเงิน เท่านั้น ในราคาเริ่มต้น 42,900 บาท ส่วนถ้าต้องการสีเเหลือง ส้ม และม่วง จะต้องเลือกเป็นรุ่น 8 CPU 8 GPU แทนในราคาเริ่มต้น 49,900 บาท ซึ่งจะได้พื้นที่เก็บข้อมูล 256 GB

โดยในแง่ของการใช้งาน รุ่นที่แนะนำให้เลือกซื้อก็จะเป็น 8 Core CPU 8 Core GPU เป็นหลัก เพราะจะได้เพิ่มมาทั้งเมจิกคีย์บอร์ดที่มีทัชไอดี ตัวอะเดปเตอร์ที่สามารถเชื่อมต่อสายแลนได้ทันที และมีพอร์ต USB-C เพิ่มมาให้อีก 2 พอร์ตสำหรับเชื่อมต่อใช้งานเพิ่มเติม

ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูลถ้าเป็นรุ่นเริ่มต้น 256 GB อาจจะเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้ต้องการใช้ iMac ในการเก็บข้อมูล เน้นการใช้งานร่วมกับคลาวด์ หรือเปิดใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก ตรงนี้อาจจะต้องดูถึงจุดประสงค์ในการใช้งานร่วมด้วย โดยสามารถเลือกความจุได้ตั้งแต่ 256 GB 512 GB 1 TB และ 2 TB

สรุป iMac 24” เหมาะกับใคร

Apple ไม่ได้วางตำแหน่งให้ iMac เป็นคอมพิวเตอร์สำหรับมืออาชีพอีกต่อไป แต่หันมาจับกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการคอมพิวเตอร์แบบออลอินวันใช้งานในบ้าน ซึ่งตลาดเครื่อง All-in-One ในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่มีการ Work from Home หลายๆ บ้านเลือกที่จะซื้อคอมพิวเตอร์ให้บุตรหลานใช้ในการเรียนออนไลน์ และใช้งานเพื่อความบันเทิงเพิ่มเติม

นอกจากนี้ iMac 24” ยังสามารถนำไปใช้งานในกลุ่มธุรกิจได้ อย่างโรงแรม ร้านอาหาร ที่ต้องการคอมพิวเตอร์ไปใช้งาน เพิ่มสีสันให้ร้านค้า เพราะมีตัวเลือกมาให้ถึง 7 สี สามารถนำไปตกแต่งร่วมกับบรรยากาศต่างๆ ได้ทันที ซึ่งถือเป็นการขยายตลาดของ iMac เพิ่มเติมได้อย่างน่าสนใจ

Gallery

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็น