Review : Apple iPad (7th Gen) เมื่อจัดครบชุดมาลองใช้งาน

50151

คำถามคาใจของหลายๆ คนคือต้องการอุปกรณ์พกพาที่มาใช้ทำงานแทนโน้ตบุ๊กได้ ประกอบกับการที่ iPad รุ่นเริ่มต้นทำราคาออกมาอยู่ในระดับที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แล้วในการใช้งานจริง iPad เอามาใช้ทำงานแทนได้หรือไม่ ลองดูแนวทางการนำไปใช้จากรีวิวนี้ได้

Apple iPad 7th Generation ถือเป็น iPad รุ่นเริ่มต้นที่จริงๆ แล้วทำออกมาจับกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นนักศึกษา ที่ไม่ต้องการสเปกในการประมวลผลสูงมากนัก เน้นใช้งานทั่วๆไป ท่องเน็ต เข้าถึงโซเชียลมีเดีย และเข้าถึงความบันเทิงต่างๆ

ทำให้รุ่นนี้ ไม่ได้ใช้ซีพียูรุ่นใหม่อย่าง Apple A13 Bionic แต่มากับหน่วยประมวลผลอย่าง Apple A10 Fusion ขณะเดียวกันยังมากับหน้าจอ Retina ขนาด 10.2 นิ้ว มาให้ใช้งานคู่กับ Apple Pencil และเพิ่มการรองรับ Smart Keyboard มาด้วย

ข้อดี

  • ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 10,900 บาท
  • รองรับการใช้งานคู่กับ Apple Pencil
  • iPad OS ช่วยให้ใช้งานได้หลากหลายขึ้น

ข้อสังเกต

  • ใช้หน่วยประมวลผลรุ่นเก่า เพื่อให้ราคาเข้าถึงได้มากขึ้น
  • ยังใช้พอร์ต Lightning ในการเชื่อมต่ออยู่

เน้นพกพาง่าย

จุดเริ่มต้นของการนำ iPad มาใช้งานคือต้องการความสะดวกในการพกพา ซึ่งกลายเป็นว่าปัจจุบันนี้โน้ตบุ๊กทั่วไป ไม่ตอบโจทย์การพกพาไปใช้งานนอกสถานที่แล้ว แต่การพกพา iPad ทั้งเครื่องออกมากลับสะดวกกว่า iPad 7 มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี คือ สีเงิน สีเทาสเปซเกรย์ และสีทอง

ด้วยขนาดตัวเครื่องของ iPad 7 ซึ่งอยู่ที่ 250.6 x 174.1 x 7.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 483 กรัม เมื่อประกอบเข้ากับเคสแบบ Smart Keyboard แล้วก็ยังมีน้ำหนักไม่ถึง 600 กรัม จึงกลายเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้พกพาได้ง่าย

จุดเด่นของ iPad 7 คือการที่มากับหน้าจอ Retina ชนาด 10.2 นิ้ว ความละเอียด 2160 x 1620 พิกเซล ซึ่งรองรับการสัมผัสได้ลื่นไหลตามมาตรฐานของแอปเปิล หรือในกรณีที่ต้องการใช้งานคู่กับปากกา Apple Pencil ก็สามารถใช้งานได้ เพราะตัวเครื่องรองรับแล้ว

สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาใน iPad รุ่นนี้คือส่วนของ Smart Connector บริเวณทางซ้ายของตัวเครื่อง เพื่อให้ iPad สามารถเชื่อมต่อกับ Smart Keyboard ได้ เหมือนกับบน iPad Pro ที่เคยทำออกมาก่อนหน้านี้แล้ว

ส่วนพอร์ตการเชื่อมต่ออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Lightning ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ก็ยังมีมาให้ใช้งานเหมือนเดิม โดยรอบๆ ตัวเครื่องยังมีปุ่มเปิดเครื่องอยู่ที่มุมขวาบน ปุ่มปรับระดับเสียงอยู่ทางขวา และในรุ่น Cellular จะมีช่องใส่ถาดซิมอยู่ทางขวาด้วย

iPad 7  ยังมากับ Touch ID อยู่เช่นเดิม ทำให้ผู้ใช้งานยังสามารถปลดล็อกเครื่องด้วยลายนิ้วมือ แทนที่การใช้งาน Face ID บน iPad Pro หรือถ้าไม่ต้องการใช้สแกนลายนิ้วมือก็ใช้การกรอกรหัส หรือวาดรูปแบบบนหน้าจอได้ตามปกติ

เมื่อเชื่อมต่อกับเคสแบบ Smart Keyboard แล้ว iPad 7 ก็จะสามารถใช้งานคีย์บอร์ดเพื่อพิมพ์งาน หรือป้อนข้อมูลต่างๆ ได้ทันที ในจุดนี้ถือว่ามาตอบโจทย์สำหรับอาชีพที่เน้นการพิมพ์งาน หรือกรอกข้อมูลต่างๆ ได้มากขึ้น

ครบชุดราคาเท่าไหร่?

iPad 7 ราคาเริ่มต้นสำหรับรุ่น Wi-Fi พื้นที่เก็บข้อมูล 32 GB จะอยู่ที่ 10,900 บาท ตามมาด้วยรุ่น 128 GB 13,900 บาท แต่ถ้าเป็นรุ่น Cellular จะเพิ่มขึ้นมาเริ่มต้นที่ 15,400 บาท และ 18,400 บาท สำหรับ 32 GB และ 128 GB ตามลำดับ

ตามมาด้วยอุปกรณ์เสริมอย่าง Apple Pencil 3,400 บาท และ Smart Keyboard 5,900 บาท ทำให้ถ้าต้องการซื้อครบชุด อย่างน้อยต้องมี 20,200 บาท แต่ถ้าใครที่ไม่ได้ใช้ Apple Pecil ต้องการแค่คีย์บอร์ดมาใช้งานคู่กัน ก็จะเริ่มที่ 16,800 บาท

เหมาะกับใครบ้าง?

ถามว่ากลุ่มเป้าหมายของ iPad Gen 7 จริงๆ แล้วคือใคร ต้องบอกว่าเป็นแท็บเล็ตที่ครอบคลุมตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา จนถึงวัยทำงาน และผู้สูงอายุก็ว่าได้ เพียงแต่ว่าในแต่ละช่วงอายุ ก็จะมีรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกัน

นักเรียน นักศึกษา จะเหมาะกับนำไปใช้งานในการเรียนการสอน เหมาะกับการนำไปจดบันทึก ซึ่งในส่วนนี้แค่จับคู่ iPad กับ Apple Pencil ก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าเป็นกลุ่มเริ่มทำงาน โดยเฉพาะงานเขียน งานพิมพ์ กรอกข้อมูลต่างๆ การมีคีย์บอร์ดเข้ามาก็จะช่วยให้ใช้ได้สะดวกขึ้น

ส่วนผู้สูงอายุ ก็จะเหมาะไปกับการใช้เพื่อเข้าถึงความบันเทิง เข้าถึงข้อมูลต่างๆ จากขนาดหน้าจอที่ใหญ่ และน้ำหนักไม่มากเกินไป ทำให้สะดวกในการพกพาด้วย ดังนั้นกลุ่มผู้ใช้งานของ iPad จึงเป็นกลุ่มที่กว้างมาก

ยกเว้นกลุ่มมืออาชีพผู้ใช้เพื่อนำไปทำงานหนักๆ หรือกลุ่ม Power User ทั้งหลาย เพราะมีตัวเลือกอย่าง iPad Pro ที่จับกลุ่มนี้โดยเฉพาะอยู่แล้ว ด้วยตัวเครื่องที่ประสิทธิภาพสูงกว่า และมีพอร์ตอย่าง USB-C มาช่วยให้ใช้งานกับอุปกรณ์อื่นได้ง่ายขึ้น

ถ้าใช้งานทั่วๆ ไป ครบชุดสบาย

ในสายอาชีพการเป็นนักข่าว เริ่มเห็นทิศทางของการนำ iPad มาใช้งานมากขึ้น เพราะการมี Apple Pencil ช่วยให้การจดบันทึกข้อมูล ทำได้สะดวกขึ้น ไม่ต้องคอยถือกระดาษ ปากกา ไปใช้งาน ส่วนช่วงอื่นๆ ที่ต้องใช้เข้าถึงข้อมูลก็สามารถใช้งานผ่านหน้าเว็บเบราว์เซอร์ได้หมดแล้ว

ขณะเดียวกันถ้าต้องการพิมพ์งาน การมีคีย์บอร์ดมาช่วยก็ทำให้สะดวกขึ้น แต่เสียอย่างเดียวตรงที่พอเป็นแบบ Smart Cover เวลาตั้งใช้งานต้องมีพื้นที่เรียบๆ ในระดับที่พอเหมาะให้ใช้ เพราะถ้าวางบนหน้าขาเหมือนโน้ตบุ๊กปกติ ระดับความเอียงของหน้าจอจะไม่เหมาะกับการใช้งานเท่าไหร่

นอกเหนือจากนี้ ก็คือการปรับแต่ง ครอบ ทำสีรูปเล็กๆ น้อยๆ iPad สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้อยู่แล้ว ดังนั้นในการทำงานจึงแทบไม่มีความต้องใช้งานโน้ตบุ๊กอีกเลย ซึ่งก็ถือว่าเข้ามาแทนที่ได้ 80-90% แล้ว แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบในการใช้งานด้วย

อะไรที่ iPad ยังไม่ตอบโจทย์

ถ้ามองในมุมของการทำงาน การจัดการไฟล์เอกสาร หรือโปรแกรมเฉพาะที่ยังไม่ได้ทำงานผ่านคลาวด์ หรือโมบายเว็บไซต์ น่าจะเป็นปัญหาเดียวที่ iPad ยังไม่สามารถจัดการได้ ซึ่งปัจจุบันหลายๆ บริษัท ก็พัฒนาระบบหลังบ้านให้ทำงานผ่านหน้าเว็บไซต์ได้แล้ว

ปัญหาหลักๆ ของการทำงานบน iPad ตอนนี้คือเรื่องของการทำหลายๆ งานพร้อมกัน (Multitasking) ที่ปัจจุบัน แม้ว่า iPad OS จะรองรับการใช้งาน 2 แอป แบ่งครึ่งหน้าจอใช้งานแล้ว แต่การรันโพรเซสการทำงานเบื้องหลัง ยังไม่ต่อเนื่องเท่าที่ควร

สรุป

iPad Gen 7 น่าจะกลายเป็นรุ่นยอดฮิตอีกรุ่นต่อเนื่องจากรุ่นก่อนหน้า เพราะด้วยระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น บางทีการนำมาใช้เพื่อเข้าถึงคอนเทนต์ต่างๆ ก็ไม่ต้องการเครื่องราคาที่สูงเกินไป ขณะเดียวกันการปรัปรุง iPad OS ก็ช่วยให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้น ใช้ทำงานได้แล้ว

ทั้งนี้ ถ้างบประมาณไม่ใช่ข้อจำกัด และต้องการพกพา iPad ไปใช้งานนอกสถานที่จริงๆ การเลือกรุ่น Cellular 128 GB น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องการหา Wi-Fi ในการเชื่อมต่อใช้งาน และเรื่องของการบันทึกข้อมูลที่ช่วยให้ใช้งานได้ยาวๆ ไป

Gallery

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็น