การนำชิปเซ็ต Apple M1 มาใช้งานบน iPad Pro ทั้ง 11” และ 12.9” ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเปิดตัว iPad Pro รุ่นของปี 2021 ที่อัปเกรดในเรื่องประสิทธิภาพการประมวลผลภายในชิปเซ็ต ช่วยให้ตัวเครื่องทำงานได้อย่างลื่นไหล
Apple iPad 12.9” ยังมากับหน้าจอแบบใหม่ Liquid Retina XDR ที่รองรับช่วงสีที่กว้างขึ้น และกลายเป็น iPad รุ่นที่จอสวยสุดในเวลานี้ โดยยังคงความสามารถของทั้ง ProMotion True Tone P3 Colour และลดแสงสะท้อนจากหน้าจอด้วย
ทำให้ iPad Pro 12.9” เป็นแท็บเล็ตที่แรง จอสวย รองรับการใช้งานที่หลากหลายทั้ง ใช้งานคู่กับ Apple Pencil 2nd Gen เพื่อสร้างสรรค์ผลงานวาดเขียน จดบันทึก หรือใช้งานควบคู่กับ Magic Keyboard ทำให้มี Productivity ในการทำงานได้มากขึ้น ร่วมกับ iPadOS
Apple M1 เพิ่มประสิทธิภาพ iPad Pro
การเปลี่ยนชิปเซ็ตประมวลผลจาก Apple A12Z Bionic มาใช้งาน Apple M1 ที่มีการผสมผสานทั้งหน่วยประมวลผล กราฟิก ชิปประมวลผลทางด้าน AI อย่าง Apple Neural Engine เข้าไป ทำให้ iPad Pro รองรับการใช้งานได้ครบถ้วนมากขึ้น
ตั้งแต่การใช้งานเพื่อความบันเทิงแบบจัดเต็ม หรือการประมวลผลหนักๆ อย่างการอ่านข้อมูลขนาดใหญ่ ปรับแต่งภาพความละเอียดสูง จนถึงการตัดต่อวิดีโอระดับ 4K ได้อย่างลื่นไหล ทำให้กลายเป็นอุปกรณ์พกพาที่ทรงพลัง
ข้อมูลจากแอปเปิลระบุว่า Appe M1 ที่เป็น CPU 8 Core GPU 8 Core และ Apple Neural Engine 16 Core แรงกว่าซีพียูรุ่นก่อนหน้าถึง 50% และการประมวลผลภาพเร็วขึ้นถึง 40% ส่งผลให้ iPad Pro แรงกว่าโน้ตบุ๊กเกือบทุกรุ่นในตลาดตอนนี้
โดยการประมวลผลที่เร็วขึ้นของ Apple M1 ช่วยให้ผู้ที่ใช้งานทางครีเอทีฟทำงานบน iPad ด้วยระยะเวลาที่น้อยลง ทั้งการใช้งาน Adobe Photoshop Affinity Photo หรือตัดต่อวิดีโอด้วย LumaFusion
ขณะเดียวกัน ถ้าเป็นนักพัฒนาที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับ AR VR การที่ M1 มี Neural Engine จะช่วยให้การประมวลผลทางด้านแมชชีนเลิร์นนิ่งต่างๆ ทำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อรวมกับกล้องที่รองรับ LiDAR ทำให้ iPad Pro รองรับการใช้งาน XR ได้เป็นอย่างดี
จอสวยงาม คมชัด
อีกจุดเด่นที่ปรับปรุงขึ้นของ iPad Pro 12.9 นิ้ว คือหน้าจอที่เลือกใช้แหล่งกำเนิดแสงแบบ mini-LED มาใช้งาน ใน Liquid Retina XDR ความละเอียด 2732 x 2048 พิกเซลนี้ ช่วยให้การแสดงผลของ iPad Pro มี Extreme Dynamic Range ที่สูงขึ้น และยังรองรับ ProMotion ที่ปรับอัตราการแสดงผลระหว่าง 24Hz – 120Hz แบบอัตโนมัติ
นอกจากนี้ เพื่อให้รองรับการใช้งานในสถานที่ต่างๆ รวมถึงในที่แสงจัด ทำให้ iPad Pro 12.9 เพิ่มความสว่างหน้าจอขึ้นมาอยู่ที่ 1000 nits และเร่งได้สูงสุดถึง 1600 nits ซึ่งรองรับการแสดงผลแบบ HDR ทำให้ภาพนิ่ง และวิดีโอที่ได้ชัดเจน และสวยงาม
การเลือกใช้ mini-LCD ยังช่วยให้ทำ Contrast Ratio ได้สูงถึง 1,000,000 : 1 จากจุดกำแนิดแสงที่ละเอียดขึ้นถึง 2596 จุด โดยเมื่อใช้งานกับคอนเทนต์ที่รองรับ Dolby Vision HDR10+ จะสามารถรีดประสิทธิภาพของจอ Liquid Retina XDR ออกมาได้
อย่างไรก็ตาม iPad Pro รุ่นหน้าจอ 11 นิ้ว จะยังใช้จอ Liquid Retina เช่นเดิม ไม่ได้ถูกอัปเกรดมาเป็น Liquid Retina XDR ดังนั้น ถ้าใครใช้งาน iPad Pro 11” อยู่แล้วอยากเปลี่ยนมาใช้รุ่นปี 2021 ก็อาจจะไม่จำเป็นนัก แต่ถ้าข้ามมารุ่นจอใหญ่ 12.9” ก็จะมีความแตกต่างมากขึ้น
มาพร้อม 5G – Thunderbolt 3 – USB 4
การเชื่อมต่อที่ครบจากรุ่น Cellular ที่รองรับทั้ง WiFi 6 และ 5G ทำให้ iPad Pro มีความสมบูรณ์ในการใช้งานมากขึ้น เพราะสามารถรับส่งไฟล์ความละเอียดสูงได้อย่างรวดเร็ว แม้ทำงานอยู่นอกสถานที่ ช่วยปลดล็อกข้อจำกัดหลายๆ อย่างที่ 4G ทำไม่ได้ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องดาวน์โหลดไฟล์งานขนาดใหญ่มาใช้
ส่วนผู้ที่มีอุปกรณ์เสริม USB-C อยู่แล้ว ก็สามารถเชื่อมต่อเพื่อโอนถ่ายข้อมูลที่ความเร็วสูงขึ้นถึง 40 Gbps เมื่อใช้งานร่วมกับ Thunderbolt 3 และ USB 4 นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เชื่อมต่อกับจอความละเอียดสูงระดับ pro Display XDR ที่ความละเอียด 6K ได้ด้วย
หรือในกรณีที่ต้องการเชื่อมต่อ 10 Gigabit พอร์ต Thunderbolt ที่ให้มาก็รองรับ จึงทำให้ iPad Pro รุ่นปี 2021 มีการเชื่อมต่อที่ครบถ้วนมาก และพื้นที่เก็บข้อมูลภายในยังมีให้เลือกสูงสุดถึง 2TB ด้วย
ดีไซน์เดิมที่คุ้นเคย
ในแง่ของดีไซน์ตัวเครื่อง iPad Pro 12.9 นั้นมีความเปลี่ยนแปลงน้อยมากๆ คือตัวเครื่องหนาขึ้นเล็กน้อย เป็น 280.6 x 214.9 x 6.4 มิลลิเมตร จากรุ่นก่อนหน้าที่ 5.9 มิลลิเมตร ซึ่งความหนา 6.4 มิลลิเมตร ก็ยังถือว่าเป็นแท็บเล็ตที่บางมากๆ อยู่ดี
บริเวณขอบหน้าจอด้านบน (แนวตั้ง) หรือด้านซ้าย (แนวนอน) จะเป็นที่อยู่ของกล้อง TrueDepth 12 ล้านพิกเซล f/2.4 ที่รองรับการปลดล็อกด้วย FaceID สามารถบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 1080p 60fps
รอบตัวเครื่องทางด้านบน (แนวนอน) จะมีปุ่มปรับระดับเสียง แถบแม่เหล็กไว้เชื่อมต่อกับ Apple Pencil 2nd Gen และช่องใส่ซิมการ์ดแบบนาโนซิม ทางขวา จะมีพอร์ต USB-C ทางซ้ายมีปุ่มเปิดเครื่อง
ที่เพิ่มขึ้นมาคือลำโพง 4 จุด ช่วยให้คุณภาพเสียงสเตอริโอของ iPad Pro พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับไมโครโฟนรับเสียงที่เพิ่มขึ้นเป็น 5 จุด ทำให้ได้เสียงในระดับสตูดิโอเวลาใช้งาน FaceTime หรือ VDO Call
โดยความน่าสนใจของ iPad Pro รุ่นปี 2021 นี้ คือการพัฒนากล้อง TrueDepth ให้มีความสามารถอย่าง Center Stage เพื่อรับกับพฤติกรรมการใช้งานวิดีโอคอลล์ที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19
Center Stage จะนำ AI มาช่วยในการจับภาพ และทำให้ใบหน้าอยู่บริเวณกึ่งกลางของกล้องตลอดเวลา ช่วยให้เวลาใช้งานสามารถขยับ เคลื่อนไหวไปรอบๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะหลุดออกจากเฟรมเกินไป
ส่วนกล้องหลังยังมาพร้อมกับกล้องเลนส์หลัก 12 ล้านพิกเซล และเลนส์มุมกว้าง 10 ล้านพิกเซล พร้อม LiDAR Scanner ในการตรวจจับวัตถุ และระยะต่างๆ เช่นเดิม ซึ่งช่วยให้สามารถจับโฟกัสในที่แสงน้อยได้ด้วย
ราคาจำหน่าย
Apple iPad Pro 12.9 ที่มาพร้อมชิป Apple M1 วางจำหน่ายในรุ่น RAM 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูลให้เลือกตั้งแต่ 128 GB 256 GB และ 512 GB ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูล 1 TB และ 2 TB จะมากับ RAM 16 GB
iPad Pro 12.9 นิ้ว ราคา 37,900 บาท – 76,400 บาท ถ้าต้องการรุ่น Cellular ก็เพิ่มเงินอีก 5,000 บาท ในทุกช่วงราคา ส่วน iPad Pro 11 นิ้ว ราคาเริ่มต้น 27,900 บาท – 66,400 บาท
ส่วนราคา Apple Pencil 2nd Gen อยู่ที่ 4,490 บาท Magic Keyboard (3rd Gen) สำหรับรุ่น 11” อยู่ที่ 9,990 บาท ส่วนรุ่น 12.9” อยู่ที่ 11,690 บาท นอกจากนี้ยังมี Smart Keyboard Folio เริ่มต้นที่ 5,990 บาท – 6,590 บาท
สรุป
iPad Pro 12.9 ที่มากับชิปเซ็ต M1 ถือเป็นแท็บเล็ตประสิทธิภาพสูงที่รองรับการใช้งานได้หลากหลายมาก ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งาน ซึ่งถ้าเป็นกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นมืออาชีพ ครีเอเตอร์ ช่างภาพ ตัดต่อวิดีโอ นักพัฒนาต่างๆ iPad Pro รุ่นใหม่นี้ตอบโจทย์แน่นอน
แต่ถ้าไม่ได้มองหาการประมวลผลระดับสูง และขนาดหน้าจอ 11 นิ้ว เพียงพอกับการใช้งาน ตัวเลือกอย่าง iPad Air ที่เพิ่งปรับโฉมมาลักษณะเดียวกับ iPad Pro ก็เพียงพอกับการใช้งานทั่วไปอยู่แล้ว ดังนั้นคงต้องดูว่า iPad Pro รุ่นนี้คุ้มค่ากับการใช้งานหรือไม่