Review : Apple iPad Pro 11″ (2020) พร้อมคู่หู Magic Keyboard

7714

สิ่งที่ แอปเปิล (Apple) พยายามสื่อสารไปยังผู้บริโภคถึงความสามารถของ iPad Pro ในช่วงหลังๆ คือสามารถเข้ามาใช้งานแทนที่โน้ตบุ๊ก พร้อมกับชูเรื่องประสิทธิภาพของ iPad Pro ที่แรงกว่าโน้ตบุ๊กรุ่นทั่วไปในท้องตลาด

จนถึงการแยก iPadOS ออกมาเพื่อพัฒนาให้ iPad Pro รองรับการทำงานให้หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการทำให้รองรับการใช้งานแทร็กแพด และเมาส์ ผ่านการเชื่อมต่อบลูทูธ จากก่อนหน้านี้ถ้าต้องการใช้งานนจะต้องเชื่อมต่อผ่าน USB-C

พอมาเป็น iPad Pro รุ่นปี 2020 แอปเปิล เลยอัปเดตทั้งตัว iPad Pro ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มความสามารถของกล้องด้วยการนำเลนส์ LiDAR มาให้ใช้งานเพื่อให้ใช้ AR ได้แม่นยำขึ้น ปิดท้ายที่การออกอุปกรณ์เสริมอย่าง Magic Keyboard มาใช้งานคู่กับ iPad Pro

แน่นอนว่าด้วยระดับราคาของ iPad Pro อาจจะไม่เหมาะกับทุกคน เพราะสามารถหันไปเลือกซื้อโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูงใช้งานได้ แต่ก็แลกกับเรื่องของความสะดวกในการพกพา และการใช้งานระบบสัมผัสที่ดี และแม่นยำกว่า สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานที่เหมาะสมเป็นหลัก

ข้อดี

  • iPad Pro ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นจาก Apple Bionic A12Z
  • กล้อง LiDAR Scanner ช่วยให้ใช้งาน AR ได้แม่นยำขึ้น
  • iPad OS ช่วยเสริมให้นำมาใช้งานแทนคอมพิวเตอร์ได้ดีขึ้น

ข้อสังเกต

  • ราคาค่อนข้างสูง เหมาะกับผู้ใช้มืออาชีพเป็นหลัก
  • ใครใช้งานรุ่นเก่าอยู่ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยน
  • พอร์ตใช้งานค่อนข้างจำกัดเพราะมีให้เฉพาะ USB-C เท่านั้น ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มม.

แรงขึ้น สมบูรณ์แบบมากขึ้น

iPad Pro รุ่นปี 2020 จริงๆ แล้วเหมือนเป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์ที่เน้นการอัปเกรดสเปกบนดีไซน์เครื่องแบบเดิม ทำให้ในความเป็นจริงแล้ว ถ้ามี iPad Pro รุ่นปี 2018 อยู่ ก็ยังไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนมาใช้งานรุ่นปี 2020 นี้

เช่นเดียวกับถ้ามีงบประมาณจำกัด การเลือกซื้อ iPad Pro รุ่นปี 2018 ที่มีการปรับราคาลง ก็จะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น แต่ถ้าวางแผนไว้ว่าจะใช้งานในระยะยาว และงบประมาณไม่ใช่ปัจจัยหลัก การหันมาเลือกรุ่นปี 2020 ก็จะช่วยให้จบในระยะยาวมากกว่า

จุดที่ทำให้ iPad Pro รุ่นใหม่นี้แรงมากขึ้นคือการพัฒนาชิปเซ็ต Apple A12Z Bionic ที่แรงมากขึ้น โดยรุ่นจอ 11 นิ้ว จะมีความละเอียดหน้าจอ 2388  x 1668 พิกเซล 264 ppi  ให้การแสดงผลสีกว้างระดับ P3 ซึ่งยังรักษาเรื่องระยะขอบจอทุกด้านที่เท่ากันอยู่

โดยกล้องหน้าของ iPad Pro จะมากับความละเอียด 7 ล้านพิกเซล ที่มีเทคโนโลยี TrueDepth ไว้ใช้สำหรับปลดล็อกตัวเครื่องด้วย FaceID ด้วย ซึ่งพัฒนาให้สามารถปลดล็อกได้ทุกมุมมอง ไม่จำเป็นต้องเฉพาะแนวตั้ง หรือแนวนอนเท่านั้น

 

อีกส่วนที่พัฒนาเพิ่มคือกล้องหลังที่หันมาใช้กล้อง 2 เลนส์ ประกอบไปด้วย เลนส์ปกติ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.8 และเลนส์มุมกว้าง 10 ล้านพิกเซล f/2.4 และมีไฟแฟลชอยู่ด้านข้าง

เสริมด้วยเซ็นเซอร์ LiDAR Scanner (Light Detection and Ranging) ที่มาช่วยในการวัดระยะ ด้วยการใช้แสงส่องไปยังวัดถุเพื่อรับแสงสะท้อนกลับมา ได้ไกลถึง 5 เมตร และมีการสแกนต่อเนื่องทำให้รองรับการใช้งานร่วมกับ AR ที่แสดงผลได้รวดเร็ว และแม่นยำมากขึ้น

ความสามารถของกล้องหลัง คือยังสามารถใช้ถ่ายภาพวิดีโอระดับ 4K ได้ด้วย แต่ไม่รองรับการถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ซึ่งเมื่อกดเข้าโหมด Portrait จะสลับมาใช้งานกล้องหน้าแทน

รอบตัวเครื่องที่เหลือก็จะมีลำโพงในลักษณะของสเตอริโอ มีปุ่มเปิดเครื่องอยู่ด้านบน (เมื่อใช้เครื่องในแนวตั้ง) ปุ่มปรับระดับเสียงอยู่ทางขวา และเป็นที่แปะ Apple Pencil 2 เพื่อชาร์จ และเชื่อมต่อ

นอกจากนี้ ก็จะมีไมโครโฟนรับเสียงอยู่ทางซ้าย และพอร์ต USB-C ที่ใช้ชาร์จได้ และยังสามารถเชื่อมต่อกับอะเดปเตอร์ เพื่อส่งภาพไปยังหน้าจอ และใช้โอนถ่ายข้อมูลจากการ์ดรีดเดอร์ หรือต่อกับฮาร์ดดิสก์พกพาได้ อยู่ข้างล่าง

ขนาดของ iPad Pro 11 นิ้ว จะอยู่ที่ 247.6 x 178.5 x 5.9 มิลลิเมตร นำ้หนัก 471 กรัม ส่วน iPad Pro 12.9 นิ้ว จะมีขนาดอยู่ที่ 280.6 x 214.9 x 5.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 641 กรัม

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่อง iPad Pro จะมากับสายชาร์จ USB-C ยาว 1เมตร และอะเดปเตอร์ชาร์จไฟ 18W มาให้ใช้งาน แต่ในความเป็นจริง iPad Pro สามารถชาร์จไฟได้สูงสุด 45W ดังนั้นถ้าใครมีอะเดปเตอร์ชาร์จไฟของ MacBook Pro เมื่อนำมาเสียบชาร์จกับ iPad Pro ก็จะชาร์จได้เร็วขึ้นด้วย

เชื่อมต่อ Apple Pencil และ Magic TrackPad

สำหรับความสามารถที่เพิ่มขึ้นมาหลังการอัปเดต iPadOS 13.4 คือฟีเจอร์ในการใช้งาน iPad Pro ร่วมกับแทร็กแพด ซึ่งอุปกรณ์ที่ Apple มีวางจำหน่ายอยู่แล้วก็คือ Magic TrackPad 2 (4,290 บาท) ซึ่งจะมาช่วยให้เวลาใช้งาน iPad Pro สามารถสั่งงานผ่านแทร็กแพดได้สะดวกขึ้น หรือถ้ามี Magic Mouse อยู่ก็สามารถนำมาเชื่อมต่อใช้งานแทนเมาส์ไร้สายได้

ขณะเดียวกัน ถ้าไม่ได้ต้องการใช้เมาส์ หรือแทร็กแพด การใช้งานร่วมกับ Apple Pencil 2 ก็ยังให้ความสะดวกอยู่เช่นเดิม เพียงแค่แปะ Apple Pencil 2 เข้ากับข้างตัวเครื่องก็จะเชื่อมต่อให้เริ่มใช้งานได้ทันที

ความสามารถของ Apple Pencil 2 เมื่อใช้งานคู่กับ iPad Pro นั้นน่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนทราบถึงความสะดวกในการใช้งานกันอยู่แล้ว แต่ก็จะติดตรงที่เวลาพกพาแม่เหล็กที่ติดอยู่ข้างตัวเครื่องอาจจะไม่ได้ปลอดภัยจนทำให้ถือไปไหนมาไหนได้ง่าย ทำให้ต้องระมัดระวังพอสมควร

Magic Keyboard เคสรุ่นใหม่ที่มีทั้งคีย์บอร์ด และแทร็กแพด

ส่วนเคส Magic Keyboard ถือว่ามาช่วยปลดล็อกการใช้งานแทร็กแพด ให้กับ iPad Pro โดยมีความพิเศษที่ตั้งแต่การปรับขนาดเคอเซอร์ และสามารถเลือกสีให้ขอบของเคอเซอร์ได้ด้วย เพื่อให้เวลาใช้งานเห็นได้ชัดเจนว่าเคอเซอร์อยู่บริเวณไหนของหน้าจอ

ขณะเดียวกัน ด้วยการออกแบบที่ผสมผสานการใช้งานระหว่างแทร็กแพด กับทัชสกรีน ทำให้เวลาเลื่อนเคอเซอร์ไปบนไอค่อน หรือลากไปวางบริเวณแทบคำสั่งต่างๆ ตัวไอค่อน หรือแทบเหล่านั้นจะเด่นขึ้นมาให้รับรู้ว่าได้เลือกไอค่อนเหล่านั้นอยู่

ส่วนการใช้งาน Gesture เพื่อควบคุม iPadOS นั้น ผู้ใช้สามารถใช้ 3 นิ้วลากขึ้นแล้วหยุด เพื่อเปิดหน้า Multitaks ขึ้นมา เพื่อสลับการใช้งานแอปพลิเคชัน โดยในหน้านี้สามารถใช้ 2 นิ้ว ลากขึ้นเพื่อปิดการใช้งานแอปได้ด้วย

ถ้าต้องการกลับสู่หน้าหลัก ให้ใช้ 3 นิ้วลากขึ้นแล้วปล่อย ถ้าต้องการสลับหน้าจอที่เปิดไปยังแอปขึ้น สามารถใช้ 3 นิ้ว ปาดไปทางซ้ายขวาเพื่อสลับหน้าต่างได้เช่นเดียวกัน ถ้าต้องการกดคลิกขวา สามารถใช้การกด 2 นิ้วพร้อมกันได้

กรณีที่ต้องการเรียกใช้งาน Dock สามารถลากเคอเซอร์ลงไปที่สุดขอบจอ Dock จะปรากฏขึ้นมา ถ้าต้องการเข้า Control Center ให้ลากเคอเซอร์ไปไว้บริเวณมุมขวาบนและคลิก เพื่อเข้าไปตั้งค่าการเชื่อมต่อ ปรับความสว่างหน้าจอ ปรับเสียง และเข้าสู่คำสั่งลัดต่างๆ ได้

อย่างไรก็ตามเคส Magic Keyboard อาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนที่ทุกคนคาดหวังไว้ เพราะในการใช้งานจริง การปรับมุมมองของหน้าจอ iPad Pro จะยังมีข้อจำกัดอยู่ ทำให้ได้มุมมองในการใช้งานไม่แตกต่างจาก Smart Keyboard Folio

เมื่อทำการใช้งานจะพบว่าเวลาที่ปรับเงยหน้าจอสุดแล้ว เวลาใช้นิ้วพิมพ์ปุ่มตัวอักษรแถวบน นิ้วจะไปโดนบริเวณขอบจอล่างอยู่ ทำให้เวลาใช้พิมพ์งานแล้วไม่ค่อยสะดวกเท่าที่ควร

ประโยชน์อีกหนึ่งประโยชน์ของ Magic Keyboard คือมากับไฟ Backlit ทำให้สามารถใช้งานในที่มืด หรือที่แสงน้อยได้สะดวกขึ้น โดยผู้ใช้สามารถเข้าไปปรับความสว่างของไฟคีย์บอร์ดได้ส่วนของการตั้งค่าได้ด้วย

นอกจากนี้ กรณีที่ต้องการใช้งานปุ่ม ESC สามารถเข้าไปเลือกตั้งปุ่มเปลี่ยนภาษาให้กลายเป็น ESC แทน แล้วเวลาเปลี่ยนภาษาก็หันไปใช้ Capslock เหมือนบน MacBook แทนก็ช่วยให้ใช้คีย์บอร์ดได้ง่ายขึ้นด้วย

ส่วนตัวแทร็กแพดจะไม่ได้ใช้เป็นแบบ Force Touch TrackPad เหมือนใน MacBook รุ่นหลักๆ หรือแม้แแต่ใน Magic Trackpad แต่แอปเปิลกลับไปใช้แทร็กแพดรุ่นปกติทั่วไปแทน เรียกได้ว่าเป็นการนำเทคโนโลยีเก่ากลับมาใช้อีกครั้งก็ว่าได้

แต่ก็จะมีข้อดีเรื่องของการเพิ่มพอร์ต USB-C มาให้ไว้เสียบชาร์จเครื่องเพิ่มเติม ในกรณีที่ต้องใช้พอร์ตหลักเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมอื่นๆ แต่ความเร็วในการชาร์จก็จะไม่เทียบเท่ากับเสียบชาร์จที่ตัวเครื่อง

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของน้ำหนัก Magic Keyboard ที่ถือว่าค่อนข้างหนัก อย่างในรุ่น 11 นิ้ว น้ำหนักคีย์บอร์ดจะอยู่ที่ 596 กรัม เมื่อเทียบกับ Smart Keyboard ที่มีน้ำหนักราว 305 กรัม จะแตกต่างกันเกือบเท่าตัว

ยิ่งเมื่อรวมกับน้ำหนักของ iPad Pro เข้าไปอีก 471 กรัม ทำให้น้ำหนักรวมเมื่อใช้งานร่วมกับ Magic Keyboard จะขึ้นไปถึง 1 กิโลกรัม ซึ่งถ้าเป็น iPad Pro รุ่นจอ 12.9 นิ้ว น้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้นไป ไม่แตกต่างจากพก MacBook Pro สักเครื่องใช้งาน

ทั้งนี้ ราคาจำหน่ายของ Magic Keyboard จะเริ่มต้นที่ 9,990 บาท สำหรับรุ่นจอ 11 นิ้ว และ 11,690 บาท สำหรับรุ่นจอ 12.9 นิ้ว ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างสูง และ Magic Keyboard ยังมีข้อจำกัดในการใช้งานค่อนข้างเยอะ

เหมาะกับรูปแบบการใช้งานลักษณะใด

กลุ่มเป้าหมายของ iPad Pro ถ้าตัดเรื่องการใช้งานเพื่อความบันเทิงออกไป เพราะ iPad ทุกรุ่นสามารถตอบโจทย์ได้อยู่แล้ว iPad Pro จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์พกพาที่พกง่าย สะดวกใช้งานหลากหลายรูปแบบ

กลุ่มแรกเลยคือ ผู้ที่ชื่นชอบการวาดเขียน จดบันทึก เชื่อว่าตั้งแต่ iPad Pro รุ่นแรกออกมาพร้อมกับ Apple Pencil ผู้ใช้ในกลุ่มนี้จะประทับใจกันตั้งแต่ยุคแรกแล้ว พอใช้งานไปเรื่อยๆ เกิดความเคยชินก็จะใช้ยาวมาเรื่อยๆ

ส่วนการทำงานทางด้านสื่อออนไลน์ เรียกว่า iPad Pro ในปัจจุบันนี้ตอบโจทย์ได้เกือบทั้งหมด ทั้งด้านการพิมพ์เมื่อมีอุปกรณ์เสริมอย่าง Smart Keyboard หรือ Magic Keyboard ปัญหาในการพิมพ์งานก็จะหมดไป

หรือถ้าด้าน Production ทั้งภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว iPad Pro สามารถใช้ทำรูปได้ไม่แตกต่างจากบนคอมพิวเตอร์ เพราะเริ่มมีแอปพลิเคชันที่รองรับมากขึ้น โดยเฉพาะ Photoshop ก็มีมาให้ใช้งานกันแล้ว

ส่วนทางด้านการตัดต่อวิดีโอ อาจจะไม่สมบูรณ์แบบเท่ากับทำบนเครื่องโน้ตบุ๊ก แต่ก็สามารถตัดต่อวิดีโอดีๆ ได้ถ้าเลือกใช้งานแอปพลิเคชันที่เหมาะสม อย่างที่นิยมกันก็จะเป็น LumaFusion ซึ่งรองรับการตัดต่อไฟล์ระดับ 4K ได้สบายๆ

จะเห็นได้ว่า ถ้าเป็นการใช้งานพื้นฐานทั่วๆไป จนถึงการทำงานเฉพาะทางบางอย่างที่มีแอปพลิเคชันรองรับ iPad Pro สามารถตอบโจทย์ใช้งานได้แล้ว ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับการเลือกนำไปใช้งานมากกว่า ว่าต้องการอุปกรณ์ลักษณะไหน

ซึ่งถ้ามีงบประมาณที่จำกัด แล้วต้องเลือกระหว่างคอมพิวเตอร์เครื่องแรก กับ iPad Pro ก็จะแนะนำให้ซื้อคอมพิวเตอร์มาใช้งานเป็นเครื่องหลักก่อน แล้วในอนาคตถ้ามีความจำเป็นจริงๆ iPad Pro จะเป็นอุปกรณ์พกพาตัวเลือกถัดมาในการลงทุนเพื่อใช้งานได้จริงๆ

สรุป

iPad Pro รุ่นปี 2020 กลายเป็น iPad ที่ดีที่สุดในเวลานี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายขึ้นหลังจากอัปเดต iPadOS ที่ช่วยให้สามารถใช้งานแทร็กแพดได้สะดวกขึ้น รวมถึงมีอุปกรณ์เสริมให้ใช้งานมากขึ้นอย่าง Magic Keyboard เพื่อหวังจะเข้ามาแทนที่โน้ตบุ๊ก

แต่ด้วยระดับราคาเครื่องที่เริ่มต้น 27,900 บาท สำหรับรุ่น 11 นิ้ว และ 34,800 บาท สำหรับ 12.9 นิ้ว ทำให้อาจจะตัดสินใจยากสักหน่อยในการลงทุนซื้อ iPad สักเครื่อง ซึ่งถ้าซื้อมาแล้วทำให้ทำงานได้สะดวกขึ้น เร็วขึ่นก็เป็นอะไรที่คุ้มค่า แต่ถ้าจะนำมาใช้เพื่อความบันเทิงอย่างเดียว มองหา iPad รุ่นอื่นๆ ที่มีราคาย่อมเยาว์กว่าก็จะคุ้มค่ามากกว่า

สุดท้ายปัญหาเรื่องของ iPad Pro บิดงอได้ เท่าที่ทดลองใช้รุ่นปี 2018 มาตลอดจนถึงรุ่นปี 2020 ปัญหานี้จะไม่ค่อยพบกันเครื่องขนาดหน้าจอ 11 นิ้วสักเท่าไหร่ เพราะตัวเครื่องมีขนาดเล็กกว่า โอกาสที่จะงอเลยน้อยกว่าเครื่องจอใหญ่อย่าง 12.9 นิ้ว ซึ่งในรุ่นปี 2020 นี้ก็ยังใช้โครงเครื่องรูปแบบเดิม ถ้าสนใจซื้อใช้งานก็ต้องระวังในจุดนี้ด้วย

Gallery

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็น

SHARE