Review : Apple iPhone X จากมุมผู้ใช้แอนดรอยด์ที่หันมาใช้ iPhone เป็นเครื่องแรก

71946

หลังใช้เวลาอยู่กับ iPhone X (จะเรียกไอโฟน สิบหรือ ไอโฟน เท็น ก็ว่าไป แต่อย่าเรียกไอโฟน เอ็กซ์) ในรูปแบบที่ใช้งานเป็นเครื่องหลักมา 3 เดือน หลังจากวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ในมุมนึงก็ต้องยอมรับว่า iPhone X กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ใช้ง่าย และช่วยให้ให้ชีวิตสะดวกขึ้น

เนื่องจากเกือบสิบกว่าปีที่ผ่านมาไม่เคยได้ใช้งาน iPhone เป็นเครื่องหลัก จะมีก็แต่จับๆใช้งานบ้างในช่วงแรกๆ ที่ iPhone เข้ามาทำตลาด แต่ด้วยความยุ่งยากของ iTunes ในสมัยนั้นทำให้ถอดใจเลิกใช้งานไป และหันไปใช้งานแอนดรอยด์มาตลอด ก่อนกลับมาลองใช้งาน iPhone อีกครั้ง เมื่อ iPhone X วางตลาด

ในแง่ของการใช้งานพื้นฐานของ iPhone X ที่มากับ iOS 11 สามารถย้อนไปดูได้ที่ ชมวิดีโอแกะกล่อง พร้อมสิ่งใหม่ที่ควรรู้จักใน iPhone X

ย้ายข้อมูลมาเครื่องใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก

เริ่มกันตั้งแต่การย้ายข้อมูลมาเพื่อใช้งาน iOS เรียกได้ว่าใน iOS 11 ให้ความประทับใจตรงนี้พอสมควร เมื่อลองทำการย้ายข้อมูลจากแอนดรอยด์เครื่องเก่าที่ใช้งานมา ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ (หรือถ้าทัยสมัยหน่อยจะซิงค์ผ่านคลาวด์ของกูเกิลก็ได้) ข้อความ SMS ที่เก็บไว้หลายพันข้อความ ตามมาหมด

รวมถึงรูปต่างๆตามมาอยู่ในเครื่องใหม่ให้เรียกดูได้หมดแบบไม่ต้องกังวลว่าจะหาย จะมีก็แต่ในส่วนของแอปพลิเคชันที่ต้องทำการดาวน์โหลดมาติดตั้งเพิ่มเติม ซึ่งปัจจุบันก็ไม่ยุ่งยากแล้ว เข้า App Store ไปเลือกดาวน์โหลด กดปุ่มพาวเวอร์ 2 ทีใช้ Face ID สแกนใบหน้าเสร็จก็โหลดได้ทันที

เมื่อสอบถามเพิ่มเติมไปถึงกรณีที่เป็นผู้ใช้งาน iOS 11 เดิมอยู่แล้ว หรือมีการใช้งาน iPad อยู่ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ เพราะจากระบบไร้สายใหม่ของ Apple ที่ทำมาใช้กับ Apple AirPods และ Apple Watch ในการเชื่อมต่อ ถูกพัฒนาต่อเนื่องมาถึงการลงทะเบียนใช้งานเครื่องใหม่ (ใช้ได้ทั้ง iPhone และ iPad)

กล่าวคือถ้ามีการเปิดใช้งานเครื่องใหม่ใกล้ๆกับเครื่องเดิม บนหน้าจอเครื่องรุ่นเก่าที่ใช้จะมีข้อความเด้งขึ้นมาว่า ตรวจพบเครื่องใหม่ต้องการที่จะย้ายข้อมูลไปเพื่อใช้งานบนเครื่องใหม่หรือไม่ ถ้าต้องการก็จะเข้าสู่หน้าการเปิดกล้องเพื่อสแกนโค้ดเฉพาะที่ปรากฏขึ้นบนเครื่องใหม่ หลังจากนั้นก็ทำตามขั้นตอนย้ายข้อมูลได้เลย

ที่น่าสนใจคือ การเชื่อมต่อสายกับคอมพิวเตอร์ไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไป เพราะทุกอย่างสามารถสั่งงานได้แบบไร้สาย ในจุดนี้หลังจากใช้งานมาไม่ต่ำกว่า 3 เดือน ถือว่านับครั้งได้เลยที่หยิบสาย Lightning ออกมาใช้งานเลย เพราะถ้าต้องการส่งรูป ส่งข้อมูลปัจจุบันจะเลือกอัปโหลดขึ้น Google Drive / iCloud Drive / Air Drop เข้าคอมก็ทำได้

อย่าเพิ่งสงสัยว่าชาร์จไฟอย่างไร เพราะ iPhone X รวมถึง 8 และ 8 Plus รองรับแท่นชาร์จไร้สายแล้ว ซึ่งเชื่อว่ากลายเป็นอุปกรณ์เสริมสามัญของคนที่เคยใช้งานแอนดรอยด์ตัวท็อปกันอยู่แล้ว เพราะระบบชาร์จไร้สายเริ่มนิยมไม่ต่ำกว่า 2 ปีแล้ว

ตัวเครื่องเท่ารุ่นปกติ แต่ขนาดจอชนะรุ่น Plus

ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้ประทับใจใน iPhone X อย่างแรกเลยคือเรื่องของดีไซน์ตัวเครื่อง ความแข็งแรง ที่หาไม่ได้จากสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นในตลาด (ถ้าได้ลองจับจะรู้ว่าเครื่องประกอบแข็งแรง และน้ำหนักจะมากกว่าหลายๆรุ่นในขนาดที่ใกล้เคียงกัน) และถือเป็นรุ่นแรกที่ให้พื้นที่หน้ากระจกหน้ามาใช้งานแบบเต็มๆ

ย้อนกลับไปรีแคปสั้นๆ เกี่ยวกับดีไซน์ตัวเครื่อง iPhone X กันเล็กน้อย ไล่จากขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 143.6 x 70.9 x 7.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 174 กรัม ด้านหน้าเครื่องจะเป็นจอ OLED Super Retina HD ความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซล 458 ppi ขนาด 5.8 นิ้ว แบบเต็มพื้นที่

ขอบเครื่องจะใช้สแตนเลสสตีลที่แอปเปิลระบุว่าเกรดเดียวกับเครื่องมีทางการแพทย์ ที่ยืนยันว่าตัวเครื่องมีความแข็งแรง มีให้เลือกด้วยกัน 2 สีคือเทาสเปซเกรย์และสีเงิน กันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP67 ด้านซ้ายจะมีปุ่มเปิด/ปิดเสียง และปุ่มเพิ่มลดเสียง ด้านขวาเป็นปุ่มข้าง

พอร์ตเชื่อมต่อเดียวที่ให้มาคือพอร์ต Lightning ที่อยู่ด้านล่าง โดยมีลำโพงสเตอริโอ และไมโครโฟนอยู่ข้างๆ ส่วนด้านบนจะถูกปล่อยว่างไว้เฉยๆ ในแง่ของความแข็งแรงนั้น แน่นอนว่าทีมงานพลาดทำเครื่องตกไปเรียบร้อยแล้ว ในระยะประมาณตักลงพื้นกระเบื้อง ที่ขอบสแตนเลสก็จะมีรอยถลอกเล็กน้อยเท่านั้น

โดยจุดเด่นหลักเลยก็คือเรื่องของจอแสดงผลที่เรียกว่า edge-to-edge retina display หรือจอแสดงผลแบบเต็มพื้นที่ ทำให้ในขนาดตัวเครื่องที่ใกล้เคียงกับรุ่นธรรมดา (iPhone 7-8) แต่ได้จอแสดงผลที่ใหญ่ถึง 5.8 นิ้ว เทียบกับรุ่น 7 Plus – 8 Plus จะอยู่ที่ 5.5 นิ้วเท่านั้น

สิ่งที่เกิดขึ้นคือผู้ใช้จะได้พื้นที่แสดงผลในแนวตั้งมากขึ้นประมาณ 20% ในขนาดตัวเครื่องเท่าเดิม ทำให้การใช้งานคอนเทนต์ต่างๆบนเครื่องแสดงผลได้มากขึ้นในแนวตั้ง แต่ขณะเดียวกันเมื่อหมุนตัวเครื่องมาใช้งานในแนวนอน ตัวเครื่องก็จะไม่ได้แสดงผลแบบเต็มจอ แต่ก็ถือว่ายังใหญ่อยู่ดี

จอแหว่งมีผลกับการใช่งานไหม?

กลายเป็นหนึ่งในเรื่องที่ทำให้ iPhone X โดนล้อมาตลอด จากการที่มีการเว้นพื้นที่ขอบจอบางส่วนแหว่งลงมาเพื่อให้เป็นที่อยู่ของลำโพง กล้องหน้า และ Face ID แต่สิ่งที่พิสูจน์ได้ชัดเลยคือ กลุ่มผู้ใช้งาน iPhone X กลับไม่มีใครรำคาญจุดดังกล่าวแต่อย่างใด

เพราะด้วยระยะสายตาในการใช้งาน ร่วมกับการออกแบบอินเตอร์เฟสของ iOS 11 และการออกแบบบนแอปฯ ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ทำให้ผู้ใช้รับรู้แล้วว่า พื้นที่ข้างๆที่เพิ่มขึ้นมาจะถูกใช้ในการแสดงผลนาฬิกา และสถานะแบตเตอรีเป็นหลักเท่านั้น ไม่ได้เป็นพื้นที่ใช้ในการแสดงผลแต่อย่างใด

เพียงแต่ว่าในช่วงแรกๆที่ iPhone X ออกสู่ตลาด นักพัฒนาบางรายยังไม่ได้มีการอัปเดตแอปพลิเคชัน ส่งผลให้บางแอปที่ยังไม่รองรับ iPhone X อาจจะมีปัญหาในการแสดงผล เกิดการแสดงผลทับซ้อนกัน แต่เมื่อมีการอัปเดตทุกอย่างก็กลับมาปกติ โดยเท่าที่ใช้มาตอนนี้แอปส่วนใหญ่ได้ถูกอัปเดตการแสดงผลเรียบร้อยแล้ว

iOS 11 + iPhone X ทำให้กลายเป็นอุปกรณ์ที่ลงตัว

ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้ iPhone X ลงตัวมากที่สุด คงหนีไม่พ้น iOS 11 ที่ถูกปรับปรุงขึ้นมาให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น (หรือจะบอกว่าคล้ายแอนดรอยด์ขึ้นก็ไม่รู้) ไม่ว่าจะเป็นการรูปแบบของการลากจากขอบบนซ้าย เพื่อดูการแจ้งเตือน ลากจากขอบบนขวา เพื่อเข้าสู่การตั้งค่าด่วนต่างๆ

รวมถึงรูปแบบในการสั่งงานใหม่อย่างการปัดนิ้ว ที่ทำออกมาให้ใช้งานง่าย ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาปุ่มโฮมอีกต่อไป และทำให้ผู้ใช้ค่อนข้างเสียนิสัย เวลาไปหยิบจับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นก็จะคอยปัดจากขอบล่างเครื่องเพื่อกลับหน้าแรกอยู่เสมอ

ทำให้ในภาพรวมการใช้งานทั่วไปของสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็นการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ ใช้งานเพื่อความบันเทิง หรือทำงาน สามารถตอบสนองการใช้งานได้ลื่นไหล ซึ่งเป็นผลจากทั้งหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่อย่าง A11 Bionic รวมถึง Metal 2 ที่มาช่วยประมวลผลกราฟิกให้เนียนขึ้น

จะติดอยู่บางส่วนก็ในแง่ของการใช้งานในแนวนอน เวลาใช้งานจะมีความรู้สึกว่าการแสดงผลไม่เต็มจอเท่าที่ควร แต่ในอีกมุมนึงก็ถือเป็นส่วนที่ช่วยไม่ให้อุ้งมือเวลาจับถือไปโดนบริเวณขอบทั้ง 2 ข้างแทน

กับในเรื่องของฟีเจอร์อย่าง Animoji ที่จะเห่อใช้งานอยู่ในช่วงแรกๆ แต่พอหลังๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าไม่สะดวกในการใช้งาน ถ้าจะส่งต่อให้กับเพื่อนที่ไม่ได้ใช้งาน iPhone เพราะต้องเซฟออกมาเป็นไฟล์วิดีโอ แล้วค่อยส่งเป็นไฟล์อีกที สุดท้ายก็กลายเป็นไม่ได้ใช้งาน

กล้องยังไม่สุด แต่เพียงพอกับการใช้งาน

ถ้าเป็นผู้ใช้งาน iPhone รุ่นเดิมอยู่แล้ว จะยอมรับว่ากล้องของ iPhone X ทำมาได้ดีกว่าเดิมแบบก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นกล้องหลังที่เพิ่มขนาดรูรับแสงเป็น f/1.8 ช่วยให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น การเก็บรายละเอียดภาพในการถ่ายภาพระยะไกล ก็ทำได้ดีขึ้นจากการใช้กล้องคู่ที่เป็นเลนส์เทเลโฟโต้มาช่วย

รวมถึงโหมดถ่ายภาพบุคคล ที่แม่นยำขึ้น แต่ก็ยังมีอาการละลายฉากหลังได้ไม่ละเอียดให้เห็นอยู่ ในจุดนี้เชื่อว่าอนาคตถ้ามีการอัปเดตเฟิร์มแวร์ไปเรื่อยๆ ก็จะเนียนขึ้น เพราะทุกอย่างสามารถใช้ AI มาช่วยประมวลผลได้

แต่ถ้าเป็นผู้ที่เคยใช้งานกล้องรุ่นท็อปของแอนดรอยด์มาก่อน ก็จะมองว่ากล้องของ iPhone X ไม่ได้ถือว่าเป็นกล้องในสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุด เห็นได้ชัดๆเลยคือเรื่องของการถ่ายภาพในที่แสงน้อยที่ยังสู่คู่แข่งอย่าง Samsung และ Huawei ไม่ได้ แต่ในแง่ของการเก็บรายละเอียดภาพในสภาพแสงปกติ ถือว่าใกล้เคียงกัน

สิ่งที่โดดเด่น และน่าสนใจกลับเป็นกล้องหน้า ที่มีการนำเทคโนโลยีอย่าง True Depth มาใช้งาน ทำให้การถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ ด้วยการนำเซ็นเซอร์สแกนใบหน้ามาใช้งาน ทำให้ได้ระยะชัดลึก ชัดตื้นที่ละเอียดขึ้น พร้อมมีโหมด Portrait มาให้ใช้เหมือนกล้องหลังด้วย

ตัด Touch ID เหลือแค่สแกนใบหน้า กับใส่รหัสทำให้ใช้ยากขึ้น

แม้ว่าความแม่นยำในการสแกนใบหน้าของ iPhone X ที่ยิ่งใช้นานขึ้น ก็จะมีการเรียนรู้และทำให้แม่นยำมากยิ่งขึ้น แต่จุดหนึ่งเลยคือผู้ใช้ต้องมองกล้อง ทำให้ในบางจังหวะปลดล็อกเครื่องได้ค่อนข้างลำบาก เมื่อเทียบกับ Touch ID ที่เมื่อนำนิ้วไปสัมผัสเซ็นเซอร์ก็จะปลดล็อกทันที

ประกอบกับใน iOS 11 ระบบรักษาความปลอดภัยหลายๆอย่างถูกผูกเข้ากับ Face ID อย่างการดาวน์โหลดแอปฯ การใส่รหัสผ่านในเว็บเบราว์เซอร์อย่าง Safari และยังมีการเปิด API ให้ผู้ผลิตแอปนำไปใช้งานได้ อย่างแอปที่เกี่ยงข้องกับธุรกรรมการเงิน

ดังนั้นเวลาใช้ๆงานอยู่ ก็ต้องยกเครื่องขึ้นมาสแกนหน้าซ้ำอีกครั้ง แทนที่จากเดิมใช้ระบบอย่าง Touch ID อยู่ ก็สามารถเลื่อนนิ้วไปสัมผัสเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือได้ทันที ไม่ต้องยกเครื่องขึ้นมาทำให้เสียจังหวะในการใช้งาน

คุ้มไหมถ้าจะเสียเงินหลัก 4 หมื่นบาท

เมื่อถามในมุมของผู้ที่เคยใช้แอนดรอยด์ตัวท็อปอย่าง S8 / Note 8 หรือ P10 Plus / Mate 10 มาก่อน แล้วอยากลองหันมาใช้ iPhone X คำตอบคือ เมื่อย้ายมาแล้วจะรู้สึกว่าใช้งานได้ แต่ต้องปรับตัวค่อนข้างเยอะ เพราะฟีเจอร์บางอย่างที่เคยมีในแอนดรอยด์ โดยเฉพาะในโหมดกล้องถ่ายภาพแบบมืออาชีพ ที่ยังปรับแต่งได้ไม่เท่าที่ควร

ไม่นับพวกลูกเล่นพิเศษอย่างพวก PC Mode / USB OTG ผ่านพอร์ต USB-C หรือการใช้งาน Samsung Pay หรือ Galaxy Gift ที่สร้างพฤติกรรมให้ลูกค้ารู้สึกสะดวก และได้สิทธิพิเศษเวลาใช้งาน เมื่อย้ายมาใช้ iPhone X ลูกเล่นที่เคยได้เหล่านี้ก็จะหายไป ทำให้รู้สึกขาดๆอยู่บ้าง

แต่ถ้าเป็นผู้ที่ชื่นชอบการใช้งาน iPhone อยู่แล้ว ในมือถือ iPhone 6s หรือ iPhone 7 แล้วงบไม่ได้จำกัด ก็ต้องบอกว่า iPhone X เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจให้ได้ลองใช้งานฟีเจอร์ที่จะเป็นเทรนด์สำคัญที่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ประกอบกับประสิทธิภาพของตัวเครื่องที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนกล้องดีขึ้น

แพกเกจโอเปอเรเตอร์ เริ่มต้นที่ราว 37,000 บาท

ถ้าดูถึงการทำโปรโมชันของโอเปอเรเตอร์ ที่ให้ส่วนลดค่าเครื่องเพิ่ม โดยราคาเริ่มต้นจะลงมาเหลือที่ราว 37,000 บาท สามารถผ่อน 0% ได้ ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่อยากได้ หรือถ้าอยากได้ส่วนลดมากกว่านี้ ก็สามารถเลือกใช้แพกเกจที่สูงขึ้น เพื่อให้ได้รับส่วนลดเพิ่มเติมได้

เพราะปัจจุบันการซื้อเครื่องพร้อมแพกเกจ (ดูแพกเกจให้เหมาะสมกับการใช้งาน) ก็ถือเป็นเรื่องปกติของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมแล้ว แต่ถ้าไม่อยากซื้อพร้อมแพกเกจ ก็มีตัวเลือกอย่าง Apple Official Store บน Lazada ที่ให้ส่วนลด 2% ทำให้สามารถซื้อเครื่องได้เริ่มต้นราว 39,690 บาท เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

ทั้งนี้ ราคาเครื่องเปล่าของ iPhone X จะเริ่มต้นที่ 40,500 บาท สำหรับรุ่น 64 GB และ 46,500 บาท สำหรับรุ่น 256 GB ผ่านช่องทางของ Apple Store แต่ถ้าเป็นโอเปอเรเตอร์จะขายราคาเครื่องเปล่าที่ 41,000 บาท และ 47,000 บาท ตามลำดับ

Gallery

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็น

SHARE