แม้ว่า iPhone XR ไม่ใช่ไอโฟนราคาถูกอย่างที่ทุกคนต้องการให้เป็น แต่เป็น iPhone ในระดับราคาปกติ ที่เข้ามาแทนที่ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus เดิม ด้วยการนำเทคโนโลยีจาก iPhone XS ที่ราคาเฉียด 4 หมื่นบาท ลงมาให้ใช้งานกันใน iPhone XR ที่ตั้งราคาเริ่มต้นมาอยู่ที่ 29,900 บาท
ทำให้เมื่อมองถึงความสามารถของ iPhone XR แล้วจะกลายเป็น iPhone ที่มาตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการเทคโนโลยีล้ำๆ หน้าจอใหญ่ ในช่วงราคาที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังสามารถเป็นเจ้าของได้ ยิ่งเมื่อทำราคาร่วมกับโอเปอเรเตอร์ iPhone XR ก็จะอยู่ที่ช่วง 2 หมื่นกลางๆ
จุดเด่นหลักๆของ iPhone XR จึงกลับมาอยู่ที่การมีหน้าจอ LCD ขนาด 6.1 นิ้ว พร้อมกับสีสันให้เลือกหลากหลายถึง 6 สีด้วยกัน คือ ขาว ดำ ฟ้า ส้ม เหลือง และแดง นอกจากนี้ก็คือการนำเทคโนโลยีที่อยู่บน iPhone XS ทั้งหน่วยประมวลผล A12 กล้องหลังมุมกว้าง และกล้องหน้า TrueDepth มาไว้ให้ใช้งาน
อัปเดตเทคโนโลยีอะไรมาให้ใช้บ้าง
จากเดิมใน iPhone 8 หรือ iPhone 8 Plus ผู้ใช้จะไม่สามารถใช้งาน FaceID ได้เพราะมากับกล้องหน้าแบบ TrueDepth แต่ใน iPhone XR เมื่อมีการนำ TrueDepth มาให้ใช้งานแล้ว ก็แปลว่า iPhone XR สามารถใช้ FaceID ในการปลดล็อกเครื่องได้ และยกเลิกการใช้งาน TouchID ไปโดยปริยาย
เมื่อมีกล้องหน้า TrueDepth สิ่งที่ตามมาก็คือผู้ใช้สามารถใช้งาน Animoji และ Memoji ได้ เช่นเดียวกับการใช้กล้องหน้าถ่ายโหมด Portrait เพื่อละลายฉากหลัง ดังนั้น ถ้ามองในแง่ของเทคโนโลยีกล้องหน้าแล้ว XR ไม่แตกต่างจาก XS เลย
ถัดมาในส่วนของหน้าจอที่ให้มาเป็น Liquid Retina ที่แสดงผลได้สวยขึ้นเมื่อเทียบกับ 8 และ 8 Plus แต่เมื่อเทียบกับ Super Retina บน iPhone XS ก็จะเห็นความแตกต่างอยู่ โดยความสามารถที่ใส่มาให้ใน XR ก็จะมีอย่าง Tap to wake หรือแตะหน้าจอเพื่อปลุกเครื่องมาให้ใช้ได้
ส่วนของกล้องหลัง iPhone XR จะนำเลนส์กล้องมุมกว้างความละเอียดเท่ากับบน iPhone XS คือความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.8 ที่แม้ว่าจะไม่มีกล้องคู่มาให้ แต่ด้วยการนำ AI มาใช้งาน ทำให้ XR สามารถถ่ายภาพบุคคลแล้วปรับชัดลึก ชัดตื่นได้เหมือนใน XS และที่สำคัญคือสามารถถ่ายภาพบุคคลมุมกว้างแบบที่ XS ไม่สามารถทำได้ด้วย
แต่ก็น่าเสียดายที่ Portrait Mode ของ XR สามารถจับได้เฉพาะใบหน้าของบุคคลเท่านั้น เนื่องจากใช้ AI มาช่วยในการประมวลผล ซึ่งไม่สามารถใช้จับวัตถุอื่นๆได้ ทำให้การถ่ายภาพเบลอหลังมีข้อจำกัดอยู่พอสมควร
รวมๆแล้วจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีที่ใส่มาให้ใน iPhone XR ถือว่าปรับปรุงขึ้นมาจาก iPhone 8 Plus ค่อนข้างเยอะ ทำให้เชื่อได้ว่าผู้ที่มีแผนจะซื้อ iPhone รุ่นใหม่ XR จะกลายเป็นตัวเลือกแรก เพราะด้วยระดับราคาที่ไม่กระโดดจากเดิมมากเกินไป ทำให้สามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายกว่าข้ามไปเป็น XS หรือ XS Max
ตัวเครื่องอะลูมิเนียมกับหน้าจอกระจก
สำหรับตัวเครื่องของ iPhone XR จะมากับวัสดุที่เป็นอะลูมิเนียม 7000 ซีรีส์ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ ซึ่งจะให้ความรู้สึกในการสัมผัสใกล้เคียงกับ iPhone 8 เดิม แต่ไม่แข็งแรงเท่าใน iPhone XS โดยตัวเครื่องจะป้องกันน้ำ ป้องกันฝุ่นมาตรฐาน IP67 หรือกันน้ำลึกไม่เกิน 1 เมตรได้ 30 นาที
ขนาดตัวเครื่องของ XR จะอยู่ที่ 150.9 x 75.7 x 8.3 มิลลิเมตร น้ำหนัก 194 กรัม วางจำหน่ายด้วยกัน 6 สี คือ ขาว ดำ ฟ้า เหลือง ส้มคอรัล และแดง (Product RED)
ขณะที่หน้าจอจะใช้เป็น Liquid Retina ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1792 x 828 พิกเซล โดยมีความละเอียดเม็ดสีบนหน้าจออยู่ที่ 326 ppi ที่ส่วนบนจะมีรอยบากลงมาเช่นกันเพราะมีการนำกล้องหน้าอย่าง True Depth มาใช้งานด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหน้าจอจะไม่รองรับการทำงานแบบ 3D Touch แต่แอปเปิลมีการนำ Haptic Touch หรือการใช้ไฟฟ้าสถิตมาทำให้นิ้วรู้สึกเหมือนกดหน้าจอลงไปเวลากดค้างในจุดที่รองรับ ซึ่งการทำงานจะให้ความรู้สึกเหมือนการกดทัชแพดใน MacBook
รอบๆตัวเครื่อง ก็จะมีปุ่มควบคุม และพอร์ตการเชื่อมต่อ เหมือนกับ iPhone XS คือทางด้านซ้ายจะเป็นปุ่มเปิด–ปิดเสียง และปรับระดับเสียง ทางขวาเป็นปุ่มเปิดเครื่อง และเรียกใช้งาน Siri ด้านบนก็จะถูกปล่อยว่างไว้ ส่วนด้านล่างเป็นพอร์ต Lightning ไว้ชาร์จ และเสียบหูฟังด้วย
ในส่วนของสเปกภายในตัวเครื่อง iPhone XR จะมากับหน่วยประมวลผล Apple A12 Bionic เช่นเดียวกับใน iPhone XS ดังนั้นในเรื่องของความลื่นไหลของการใช้งานจึงไม่แตกต่างกัน และด้วยขนาดตัวเครื่องที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ใส่แบตได้มากกว่า ประกอบกับหน้าจอที่ความละเอียดน้อยกว่าทำให้ใช้งานได้นานกว่า
ด้านการเชื่อมต่อ iPhone XR ใส่มาให้ทั้ง Wi-Fi 5 บลูทูธ จีพีเอส NFC และตัวเครื่องยังรองรับการชาร์จไร้สายด้วย ไม่นับกับการเชื่อมต่อ LTE Advance เหมือนใน X ที่ใช้ LTE Cat 12 ทำให้เป็นอีกจุดที่แตกต่างจากใน XS ที่เป็น LTE Cat 16
Gallery
น่าซื้อไหม?
ถ้าเป็นคนที่ชอบใช้ iPhone แล้วปัจจุบันใช้งาน iPhone 6, 6 Plus, 6s และ 6s Plus แล้วอยากได้เครื่องรุ่นใหม่แล้ว iPhone XR ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะจะได้เทคโนโลยีหลายๆอย่างแบบเดียวกับใน iPhone XS ในราคาที่ต่ำกว่ากันหลักหมื่นบาท
แต่ถ้าไม่ได้มีข้อจำกัดในแง่ของงบประมาณการขยับข้ามไปเป็น XS หรือ XS Max จะเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ได้มากกว่า เพราะจะได้เทคโนโลยีขั้นสุดกว่า XR โดยเฉพาะเรื่องของหน้าจอที่แสดงผลได้ดีกว่า และวัสดุของตัวเครื่องที่เรียบหรูมากกว่า
ส่วนถ้ามองว่าระดับราคา XR ยังสูงเกินไป ทางเลือกอย่าง 8 และ 8 Plus ที่ปรับลดราคาลงมาก็น่าสนใจ เพียงแต่ก็ต้องยอมรับว่าจะไม่ได้ใช้งานเทคโนโลยีใหม่อย่าง TrueDepth และกล้องหลังที่เพิ่มความสามารถมากขึ้น เช่นเดียวกับหน่วยประมวลผล A12 Bionic ที่เร็ว และประหยัดแบตมากขึ้นเท่านั้นเอง