Apple Watch Series 2 เป็นอีกหนึ่งกลุ่มสินค้าจากแอปเปิลที่ได้รับการเปิดตัวและวางขายพร้อมกับ iPhone 7/7 Plus โดยแอปเปิลวอทช์รุ่นที่ 2 ดูภายนอกอาจไม่รู้สึกแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้า แต่ภายในแอปเปิลได้ปรับเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ไปพอสมควร โดยเฉพาะการป้องกันน้ำและฝุ่นเปลี่ยนไปใช้มาตรฐาน WR แทน IPX แล้ว
แต่ก่อนจะเข้าสู่บทความรีวิว ทีมงานไซเบอร์บิซขอพาผู้อ่านทุกท่านมาทำความรู้จักรุ่นย่อยของ Apple Watch Series 2 กันก่อน
โดยปกติ Apple Watch จะวางขาย 2 ขนาดหน้าจอคือ 38 มิลลิมเมตรและ 42 มิลลิเมตร เพื่อให้เหมาะสมกับข้อมือของผู้ใช้ที่มีหลากหลาย ส่วนตัวเรือนผู้ใช้สามารถเลือกได้ 3 รูปแบบก็คือ อะลูมิเนียม (ราคาประหยัดสุด) ถัดมาเป็นสแตนเลสสตีล และแพงสุด (Watch Edition) ตัวเรือนทำจากเซรามิก ทั้งหมดมาพร้อมสายนาฬิกาที่สามารถเลือกได้หรือจะซื้อสายเพิ่มก็สามารถทำได้ในราคาเริ่มต้น 1,900 บาท ไปจนถึงแพงสุด สายสแตนเลสสตีล 16,900 บาท
นอกจากนั้นใน Watch Series 2 ยังมีรุ่นพิเศษเพิ่มอีก 2 รุ่น ได้แก่ Apple Watch Nike+ แอปเปิลจับมือไนกี้ โดยเน้นการออกแบบสายให้มีน้ำหนักเบากว่าปกติพร้อมช่องระบายอากาศและหน้าปัดนาฬิกาสไตล์สปอร์ต เหมาะแก่นักวิ่ง
รุ่นพิเศษต่อมา Apple Watch Hermes ที่นอกจากตัวเครื่องจะเป็นสแตนเลสสตีลและหน้าปัดนาฬิกาแบบหรูหราแล้ว สายนาฬิกายังถูกออกแบบเป็นหนังในชื่อ Manchette Double Boucle ออกแบบโดย Hermes
สำหรับ Watch Series 2 ที่เราจะนำมาทดสอบในบทความรีวิวนี้มี 3 รุ่นได้แก่
1.Watch Series 2 อะลูมิเนียม 42 มิลลิเมตร สีเทาสเปซเกรย์พร้อมสาย Woven Nylon สีดำ ราคา 14,900 บาท (ตัวเครื่องอะลูมิเนียม กล่องบรรจุภัณฑ์จะเป็นสีเหลี่ยมแนวยาว)
2.Watch Series 2 สแตนเลสสตีล 38 มิลลิเมตร พร้อมสาย Modern Buckle สีมิดไนท์บลู ราคา 28,500 บาท (ส่วนตัวเครื่องอะลูมิเนียมจะเป็นกล่องสีเหลี่ยมจัตุรัส ข้างในหรูหราตามราคาที่สูงกว่า)
3.Watch Nike+ อะลูมิเนียม 38 มิลลิเมตร สีเทาสเปซเกรย์พร้อมสาย Nike Sport Band สีดำ/Volt ราคา 13,900 บาท (กล่องบรรจุภัณฑ์จะเหมือนกับรุ่นอะลูมิเนียมพร้อมสายนาฬิกาไซต์ M/L)
การออกแบบ
ในหัวข้อการออกแบบ ทีมงานจะขออธิบายภาพรวมของนาฬิกาทั้ง 3 รุ่นพร้อมกัน เนื่องจากส่วนประกอบหลักไม่ได้แตกต่างกัน
เริ่มจากหน้าจอ โครงสร้างภาพนอกดูแล้วไม่แตกต่างจากรุ่นเก่า โดยกระจกจอสำหรับตัวเรือนอะลูมิเนียมผลิตจาก Ion-X Glass ส่วนตัวเรือนสแตลเลสสตีลและเซรามิกผลิตจาก Sapphire crystal ทั้งสองรุ่นเคลือบป้องกันรอยนิ้วมือ
ด้านจอภาพถูกปรับปรุงใหม่ไปใช้หน้าจอ OLED Retina Display with Force Touch รุ่น 2 ความละเอียด 340×272 พิกเซล (38 มิลลิเมตร) 390×312 พิกเซล (42 มิลลิเมตร) ทำให้มีความสว่างมากถึง 1,000 นิตจากเดิมในรุ่นเก่าเพียง 450 นิตเท่านั้น
ส่วนน้ำหนักของตัวนาฬิกา
ในรุ่นอะลูมิเนียมหน้าปัด 38 มิลลิเมตร อยู่ที่ 28.2 กรัม
หน้าปัด 42 มิลลิเมตร น้ำหนักอยู่ที่ 34.2 กรัม
สแตนเลสสตีลหน้าปัด 38 มิลลิเมตร อยู่ที่ 41.9 กรัม
หน้าปัด 42 มิลลิเมตร น้ำหนักอยู่ที่ 52.4 กรัม
เซรามิกหน้าปัด 38 มิลลิเมตร อยู่ที่ 39.6 กรัม
หน้าปัด 42 มิลลิเมตร น้ำหนักอยู่ที่ 45.6 กรัม
ด้านหลัง เริ่มจากตรงกลางเป็นส่วนเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจและส่วนสัมผัสกับอะแดปเตอร์ชาร์จไฟแบบแม่เหล็กสไตล์ Mag-safe ซึ่งติดตั้งอยู่บนพื้นผิวเซรามิก
ด้านบนและล่างเป็นปุ่มปลดล็อกสายนาฬิกา (กดปุ่มนี้ค้างไว้และดันสายออกด้านข้าง)
ด้านข้าง เริ่มจากด้านขวาจะเป็นที่อยู่ของเม็ดมะยม (Digital Crown) และ Side Button (กดเพื่อเรียก Dock)
ด้านซ้าย เป็นส่วนของช่องลำโพงและไมโครโฟน
มาดูเรื่องของสายนาฬิกาที่มีหลากหลายให้ผู้ใช้สามารถเลือกซื้อ ปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งานตั้งแต่ สายยางฟลูโอโรอีลาสโตเมอร์ เหมาะแก่ใช้งานร่วมกับการออกกำลังกาย เพราะทนน้ำทนฝุ่นได้ดีแถมน้ำหนักเบา สายหนังและสแตนเลส เน้นความหรูหราแต่การเก็บรักษาจะยากกว่าสายชนิดอื่น หรือสาย Buckle เน้นแฟชั่นสำหรับสุภาพสตรี เป็นต้น เพราะฉะนั้นการเลือกซื้อ Apple Watch นอกจากจะดูที่ขนาดหน้าปัดแล้ว สายนาฬิกาก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผู้ซื้อต้องให้ความสำคัญเช่นกัน
ในส่วนสายนาฬิการุ่นพิเศษ Apple Watch Series 2 Nike+ จะเป็นสายยางฟลูโอโรอีลาสโตเมอร์ที่ไนกี้ออกแบบให้มีน้ำหนักเบาและมีความยืดหยุ่นกว่าสายยางปกติ แถมด้วยรูระบายความร้อนและเหงื่อ เหมาะแก่นักวิ่งโดยเฉพาะ
สเปกและฟีเจอร์เด่น
Apple Watch Series 2 ขับเคลื่อนด้วยซีพียูรุ่นที่สองในชื่อ “S2” แบบ Dual Core ทำให้มีความเร็วมากกว่าซีพียูของ Watch รุ่นเก่าถึง 50% พร้อมชิปกราฟิกตัวใหม่ที่ทำให้นาฬิกาสามารถรันแอปฯที่มีกราฟิก 3 มิติที่ความเร็ว 60 เฟรมต่อวินาทีได้
นอกจากนั้นทางแอปเปิลยังได้เพิ่มฮาร์ดแวร์ในส่วนของ GPS/GLONASS เพื่อทำให้ Watch Series 2 สามารถบันทึกพิกัดการวิ่งออกกำลังกายร่วมกับเซ็นเซอร์ Gyroscope และ Accelerometer ที่มีอยู่เดิม
ในส่วนสเปกอื่นๆ Watch Series 2 รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 802.11 b/g/n 2.4GHz บลูทูธ 4.0 และมี NFC รองรับ Apple Pay ด้วย
มาถึงฟีเจอร์เด่น เริ่มจากเรื่องแรก “การกันน้ำมาตรฐานใหม่” จากเดิม Apple Watch สามารถกันน้ำและฝุ่นตามมาตรฐาน IPX7 แต่ใน Watch Series 2 แอปเปิลเน้นการกันน้ำมากขึ้น พร้อมเปลี่ยนไปใช้มาตรฐาน “WR50 (Water Resistant to 50 meters)” หรือการกันน้ำได้ลึกสุด 50 เมตร เนื่องจาก Watch Series 2 ถูกออกแบบมาเน้นการใช้ตรวจจับการว่ายน้ำทั้งสำหรับคนทั่วไปและนักกีฬาอาชีพ
ทำให้ในส่วนซอฟต์แวร์ Workout ใน WatchOS 3 จะเพิ่มโหมดว่ายน้ำเข้ามา โดยโหมดดังกล่าวจะทำงานร่วมกับ GPS และเซ็นเซอร์ในตัวเครื่องทั้งหมด เพื่อช่วยวิเคราะห์ว่าคุณกำลังว่ายน้ำท่าใดอยู่และว่ายไปกี่รอบสระแล้ว ทุกอย่างจะถูก Watch Series 2 ตรวจวัดและจัดเก็บพร้อมแสดงผลลัพท์ทั้งหมดผ่านทางแอปฯ Activity บน iPhone
*ระหว่างตรวจจับการว่ายน้ำอยู่ หน้าจอจะล็อกเพื่อป้องกันระบบทัชสกรีนทำงานโดยไม่ตั้งใจ ผู้ใช้สามารถปลดล็อกได้ด้วยการหมุนเม็ดมะยมจนกว่าลำโพงจะมีเสียงดังขึ้น*
นอกจากการใช้ว่ายน้ำปกติแล้ว Watch Series 2 ยังรองรับกิจกรรมทางน้ำอื่นๆอีก เช่น ใส่ลงเล่นน้ำทะเล ว่ายน้ำในคลอง ดำน้ำสน็อกเกิล แช่อ่างน้ำชิวๆ เป็นต้น โดยถ้าผู้ใช้ต้องการล็อกหน้าจอด้วยตัวเองก็สามารถทำได้ด้วยกดปุ่มหยดน้ำในหน้าตั้งค่าด่วน (ที่หน้านาฬิกาน้ำนิ้วสัมผัสจอด้านล่างแล้วเลื่อนขึ้นบน) ส่วนวิธีปลดล็อกตัวเครื่องคือ ยกนาฬิกาขึ้นแล้วหมุนเม็ดมะยมจนลำโพงส่งเสียงดัง (เสียงที่ได้ยินคือเทคนิคการไล่น้ำออกจากช่องลำโพงของแอปเปิลโดยใช้คลื่นความถี่ดันน้ำ)
WatchOS 3
ถือเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ของระบบปฏิบัติการ WatchOS หลังจากแอปเปิลแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆจนระบบเริ่มเสถียรและใช้งานได้ลื่นไหลแล้ว ใน WatchOS เวอร์ชันใหม่ล่าสุด แอปเปิลได้ขยายขีดความสามารถของซอฟต์แวร์หลายส่วน โดยเฉพาะการเปิดให้ผู้พัฒนาแอปพลิเคชันรายอื่นสามารถนำฟีเจอร์ของนาฬิกาไปใช้งานได้เพิ่มขึ้น ยกตัวอย่าง แอปฯ HeartWatch ที่ใช้ตรวจวัดอัตราการเต้นหัวใจตลอดทั้งวันของผู้ใช้พร้อมสรุปผลผ่านแอปฯบน iPhone เป็นต้น
ส่วนระบบแจ้งเตือนจากแอปฯบน iPhone เช่น ไลน์ เฟสบุ๊ก โทรศัพท์ รับสายโทรศัพท์ สั่งถ่ายภาพ ยังคงมีให้ใช้งานบน Watch Series 2 ด้วยประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นกว่าเก่า
หรือถ้าต้องการทราบรายละเอียดการทำงานของ Apple Watch สามารถอ่านรีวิวเก่าประกอบได้ที่ http://www.cyberbiz.in.th/apple-watch/
Nike+ Run Club เป็นอีกหนึ่งแอปพลิเคชันตรวจจับการวิ่งออกกำลังกายที่รองรับกับ Watch Series 2 ได้สมบูรณ์แบบที่สุด เนื่องจากการเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกันผลิต Watch Nike+ ร่วมกับแอปเปิล
นอกจากนั้นในส่วนหน้านาฬิกาบอกเวลาก็เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งได้หลากหลายมากขึ้น และการจัดการตั้งค่านาฬิกาทั้งหมดสามารถทำจาก iPhone ได้แล้ว
Breathe หรือแอปฯกำหนดลมหายใจเข้าออก (อานาปานสติ) ถือเป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Apple Watch เพราะบางครั้งเวลาเรานั่งทำงานนานเกินไป ร่างกายอาจเกิดความเครียดได้ ตามปกติแอปเปิลจะมีข้อความแจ้งเตือนให้ลุกเดินอยู่ก่อนแล้ว แต่ใน OS ใหม่จะมีการเพิ่ม Breathe เข้ามาจัดการความเครียดเสริมด้วย
โดยหลักการทำงานของแอปฯนี้ ค่ามาตรฐานเริ่มต้นจะตั้งไว้ทุก 5 ชั่วโมง (ต้องใส่นาฬิกาอยู่ที่ข้อมือด้วย ระบบถึงจะแจ้งเตือน) ระบบจะให้ผู้ใช้นั่งนิ่งๆจนผ่อนคลาย จากนั้นนาฬิกาจะเริ่มสั่น ให้หายใจเข้าตามการสั่นของนาฬิกาแล้วหลังจากนั้นสักพักค่อยๆปล่อยลมหายใจออก ทำไปเรื่อยๆจนจบขั้นตอน ระบบจะสรุปอัตราการเต้นของหัวใจให้ผู้ใช้ได้ทราบ รวมถึงเก็บข้อมูลไว้ใน Apple Health ด้วย
ด้าน Activity นอกจากใช้ดูจำนวนก้าวเดิน ระยะทางหรือเวลายืนด้วยวงกลมสามสีที่เราคุ้นเคยได้แล้ว เมื่อใช้ร่วมกับ Apple Watch Series 2 ที่มี GPS ในตัว ทำให้การออกกำลังกายผ่านแอปฯ Workout ทั้งหมดจะถูกเพิ่มพิกัดเส้นทางที่เราออกกำลังกายลงไปพร้อม Elevation Gain (การขึ้นที่สูง ความชัน) ไปถึงชื่อสถานที่และสภาพอากาศที่นาฬิการตรวจจับได้ระหว่าง Workout ทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้ในแอปฯนี้ทั้งหมด
รวมถึงถ้าใครมีเพื่อนที่ใช้ Apple Watch เหมือนกันก็สามารถแชร์สถิติของเรากับเพื่อนเพื่อแข่งขันกันได้
ในส่วนการปรับปรุงที่น่าสนใจอื่นๆ เริ่มจาก Messages จะเหมือนกับ iOS 10 คือรองรับการส่งสติกเกอร์ รวมถึงรองรับฟีเจอร์พูดเพื่อให้ระบบพิมพ์ข้อความให้ (รองรับภาษาไทย) หรือใช้ Scribble เขียนเป็นตัวอักษรบนหน้าจอแล้วระบบจะแปลงเป็นข้อความให้ (ปัจจุบันยังไม่รองรับภาษาไทย)
ส่วนต่อมาเป็นฟีเจอร์ Home รองรับกับบ้านอัจฉริยะ, SOS ฟีเจอร์ขอความช่วยเหลือ เพียงกดปุ่มด้านข้าง (Side Button) ค้างไว้ระบบจะโทรหาบริการฉุกเฉินในพื้นที่ของเราอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องค่าใดๆ และสุดท้ายสำหรับคนใช้ Mac และมีการตั้งรหัสผ่านไว้ เมื่อสวมนาฬิกาที่ข้อมือคุณสามารถเข้าใช้งาน Mac ได้ทันทีโดยไม่ต้องใส่รหัสผ่าน
ทดสอบใช้งานและสรุป
ทีมงานได้มีโอกาสใช้งานทั้ง Apple Watch ตัวแรกและ Watch Series 2 พร้อมกัน ต้องบอกว่าในเรื่องภาพลักษณ์ภายนอก การสวมใส่ข้อมือใช้งานในชีวิตประจำวันไม่มีความแตกต่างจากเดิมเลย ยกเว้นภายในที่ทำงานได้รวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะการเปิดแอปฯต่างๆที่รวดเร็วกว่าเดิมจนเห็นได้ชัดเจน
ถ้าดูจากเส้นพิกัดที่นาฬิกาบันทึกไว้และนำมาแสดงผลผ่านแอปฯ Activity บน iPhone ต้องบอกตามตรงว่าทำได้ละเอียดพร้อมสีบอกความหนักเบาของการออกกำลังกายด้วย
ส่วนเรื่อง GPS จากการทดสอบตรวจจับการเดินตลอด 2-3 ชั่วโมงต่อวัน พบว่า GPS ใน Watch ทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำดีมาก อาการ GPS หลุดไม่ค่อยพบเจอตลอดการทดสอบ อีกทั้งถ้าเรานำ iPhone วางไว้ที่บ้านและพกแต่ Watch Series 2 ใส่ข้อมือไปออกกำลังกาย GPS ก็ยังทำงานพร้อมเก็บพิกัดและเก็บข้อมูลไว้ในตัวเองได้ปกติ ต่างจาก Watch ตัวแรกที่ต้องทำงานคู่กับ iPhone เสมอ
มาถึงเรื่องกันน้ำกันฝุ่น WR50 ความจริงจากรุ่นก่อนที่ได้มาตรฐาน IPX7 ทีมงานก็เคยทดสอบลงสระน้ำ ใส่อาบน้ำมาจนเกือบ 6-7 เดือนก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น มาในรุ่นนี้แอปเปิลเพิ่มดีกรีการกันน้ำไปถึงระดับ WR50 แน่นอนว่าคนที่ได้รับผลประโยชน์แห่งการปรับเปลี่ยนนี้เต็มๆคงอยู่ที่นักกีฬาว่ายน้ำมากกว่าคนทั่วไป
สุดท้ายในเรื่องแบตเตอรี ถึงแม้ Watch Series 2 จะใส่ GPS และปรับซีพียูให้แรงขึ้น แต่เรื่องการบริโภคพลังงานและแบตเตอรีแทบไม่แตกต่างจากเดิม ตัว Watch Series 2 สามารถใช้งานได้ประมาณ 18 ชั่วโมงเช่นเดิม
สรุปภาพรวม Apple Watch Series 2 เป็นการปรับปรุงอุดช่องโหว่ โดยเฉพาะเรื่องความรวดเร็วเพิ่มจากรุ่นแรกได้ค่อนข้างดี ฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาอย่าง GPS, กันน้ำกันฝุ่นระดับ WR50 ถ้าไม่ใช่นักกีฬาหรือคนชอบทำกิจกรรมนอกบ้านจริงๆก็คงไม่ค่อยได้ใช้ฟังก์ชันเหล่านี้เท่าใด
แต่ไม่ต้องห่วง สำหรับคนที่มอง Apple Watch อยู่และคิดว่าตัว Series 2 ให้ฟีเจอร์ที่เกินความจำเป็น เพราะในครั้งนี้แอปเปิลได้นำ Watch รุ่นแรกมาปรับปรุงเปลี่ยนซีพียูไปใช้แบบดูอัลคอร์ (S1P) และนำมาขายใหม่ในชื่อ Apple Watch Series 1 ในราคาเพียง 10,500 บาท มีให้เลือกเฉพาะตัวเรือนอะลูมิเนียม 38 มิลลิเมตร และราคา 11,500 บาท เป็นตัวเรือนอะลูมิเนียม 42 มิลลิเมตรเท่านั้น
ส่วนประสิทธิภาพจะเทียบเท่ากับ Series 2 ทุกประการ ยกเว้นไม่มี GPS ไม่มีโหมดว่ายน้ำเนื่องจากป้องกันน้ำได้แค่ระดับ IPX7 เหมือนรุ่นแรก
ด้านราคา Apple Watch Series 2 สำหรับตัวเรือนอะลูมิเนียม 38 มิลลิเมตร ราคาเริ่มต้น 13,900 บาท ตัวเรือนอะลูมิเนียม 42 มิลลิเมตร ราคาเริ่มต้น 14,900 บาท
ส่วนตัวเรือนสแตนเลสสตีล 38 มิลลิเมตร ราคาเริ่มต้น 20,500 บาท 42 มิลลิเมตร ราคาเริ่มต้น 22,500 บาท และตัวเรือนเซรามิก สีขาว ราคาเริ่มต้น 47,500 บาท
สุดท้าย Watch Bands (สายนาฬิกา) ราคาเริ่มต้น 1,900 บาท สามารถใช้ร่วมกับ Apple Watch Series 1 และ 2