Fitbit ยังกลายเป็นแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับผู้ใช้ต่อเนื่อง ทั้งในมุมของการออกผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย มีความเข้าใจแฟชัน ทำให้ใส่ใช้งานติดไปกับข้อมือได้ทุกที่ ทุกเวลา ขณะเดียวกันก็พัฒนาความสามารถของแอปพลิเคชันให้ดีขึ้น และแน่นอนว่าเมื่อแอปฯพัฒนา อุปกรณ์รุ่นเก่าก็ได้รับอานิสงค์ไปด้วย
มาถึงในรุ่น Alta HR จุดเด่นที่ Fitbit ชูขึ้นมาก็คือเรื่องของขนาดตัวเครื่องที่เล็กลง และที่สำคัญคือมากับหน้าจอแสดงผล และเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ โดยก่อนหน้านี้ในรุ่น Charge 2 HR ฟิตบิทก็ทำให้ตัวเรือนเครื่องเล็กลงจากเดิมแล้ว พอมาในรุ่น Alta ก็ทำให้เล็กลงอีก
การออกแบบ
สำหรับการออกแบบ Fitbit Alta HR จะถูกวางให้กลายเป็นฟิตเนสแบนด์ ที่เหมาะกับการใส่ใช้งานในชีวิตประจำวัน และมีความเป็นแฟชั่นอยู่ในตัว วัสดุที่ใช้จะเป็นยางที่มีความยืดหยุ่น เหมาะกับการใช้ใส่เพื่อออกกำลังกาย
ตัวเรือนของ Alta HR จะทำจากสแตนเลสที่รับรองได้ว่าจะไม่มีปัญหาสำหรับผู้ที่ผิวหนังแพ่ง่าย ผู้ใช้สามารถถอดสายออกเพื่อทำความสะอาด หรือจะเลือกซื้อสายสี และแบบอื่นๆ มาเปลี่ยนเพื่อใช้งานร่วมกับตัวเรือนได้ทันที ตัวสายจะมีให้เลือกด้วยกัน 3 ขนาด คือไซส์ M ข้อแขนระหว่าง 5.5 – 6.7 นิ้ว L ที่ 6.7 – 8.1 นิ้ว และ XL ที่ขนาด 8.1 – 9.3 นิ้ว เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ใช้งาน
การชาร์จทำได้ด้วยอุปกรณ์ชาร์จที่แถมมาให้ด้วย โดยจะมีลักษณะเป็นคลิปหนีบลงไปบนตัวเรือน เมื่อขั้วทองแดงสัมผัสเข้ากับขั้วชาร์จ ตัว Fitbit Alta HR ก็จะเริ่มชาร์จโดยอัตโนมัติ ที่น่าสนใจก็คือระยะเวลาการใช้งานหลังจากชาร์จ 1 ครั้ง สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องกว่า 7 วัน
ตัวจอแสดงผลของ Alta HR จะใช้เทคโนโลยี OLED ในการแสดงผลแบบขาวดำ เป็นเม็ดพิกเซล ที่สามารถสั่งงานได้ด้วยการสัมผัส (เคาะ) เพื่อเปลี่ยนหน้าจอในการแสดงผลสลับวนไปเรื่อยๆ
สเปก
ในส่วนของเซ็นเซอร์ที่ถูกนำมาใส่ไว้ใน Fitbit Alta HR จะมีทั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวแบบ 3 แกน (3-axis) ที่จะจดจำการเคลื่อนไหวของผู้ใช้มาบันทึกเป็นข้อมูลไว้ กับหัวใจหลักคือเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ
ระบบการเชื่อมต่อที่ใช้จะเป็นบลูทูธ 4.0 ที่จะส่งข้อมูลอัตราการเต้นของหัวใจไปแสดงผลบนสมาร์ทโฟนได้แบบเรียลไทม์ พร้อมมอเตอร์สั่น เพื่อใช้ในการแจ้งเตือนกิจกรรมต่างๆ ภายในตัว และมีหน่วยความจำที่สามารถบันทึกข้อมูลไว้ได้ราว 7 – 30 วัน ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำ
ฟีเจอร์เด่น
ในส่วนของฟีเจอร์ที่น่าสนใจ และชูเป็นจุดเด่นใน Alta HR รวมถึง Fibit รุ่นอื่นๆที่รองรับการวัดอัตราการเต้นของหัวใจคือ เทคโนโลยี PurePulse Heart Rate ที่ตัว Fitbit จะทำการวัดการเต้นของหัวใจต่อเนื่อง เพื่อแสดงให้เห็นกราฟการเต้นของหัวใจตลอดทั้งวัน รวมถึงเวลานอนที่จะคำนวนหา การเต้นของหัวใจขณะพัก (Resting HR) ด้วย
เมื่อทำการวัดการเต้นของหัวใจติดต่อกันสักระยะหนึ่งแล้ว ผู้ใช้สามารถนำกราฟมาเทียบดูได้ว่า ในการทำกิจกรรมใด หรือช่วงเวลาใด ก่อน–หลัง รับประทานอาหาร มีอัตราการเต้นของหัวใจเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งในจุดนี้จะเหมาะกับผู้สูงอายุที่รักสุขภาพ สามารถนำข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้ไปปรึกษาแพทย์ได้
ถัดมาคือระบบการตรวจจับการนอนอัตโนมัติ (Auto Sleep Tracking & Sleep Stages) ที่เพิ่มความสามารถในการวัดระดับการนอน ทั้งหมด 4 ช่วง ประกอบด้วย ช่วงตื่น ที่เป็นช่วงปกติที่เกิดขึ้นระหว่างการนอน ช่วงหลับตื้น เป็นช่วงสำคัญสำหรับความจำ การเรียนรู้ ทำให้ร่างกายฟื้นฟูจากการทำงานราว 50-60% ช่วงหลับลึก ที่จะเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ความแข็งแรง และการซ่อมแซมกล้ามเนื้อ 10-25% และ ช่วงหลับฝัน (REM) ถือเป็นช่วงที่มีการฟื้นฟูร่างกายและความทรงจำ คิดเป็นระยะราว 20-25%
ระยะเวลาในการนอนแต่ละช่วงเหล่านี้ เมื่อเก็บข้อมูลในะระยะยาว ก็สามารถนำมาดูถึงพฤติกรรมการนอนว่า ก่อนนอนผู้ใช้ทำอะไรบ้าง แล้วนอนหลับสนิทแค่ไหน หรือถ้านอนไม่หลับเกิดจากอะไร เพื่อให้หาสาเหตุได้
เช่นเดียวกับช่วงเวลาในการตื่นนอน ก็เป็นอีกจุดที่สำคัญ เพราะถ้าตื่นในช่วงที่หลับลึก จะทำให้ร่างกายไม่สดชื่น เท่ากับตื่นนอนในช่วงเวลาอื่นๆ ดังนั้น การตั้งนาฬิกาปลุกของ Fitbit ก็จะมีการกำหนดช่วงเวลาในการตื่น อิงจากระดับของการหลับ เพื่อให้ตื่นมาแล้วสดชื่นมากที่สุด
สิ่งที่เพิ่มเข้ามาแล้วถือว่าทำได้น่าสนใจคือระบบอย่าง FitStar ที่เป็นการให้คำแนะนำในการออกกำลังกายแก่ผู้ใช้ โดยจะมีให้เลือกทั้งโปรแกรมแบบฟรี และแบบที่เสียเงินเพิ่ม โดยจะมีการกำหนดตารางในการออกกำลังกายง่ายๆ สามารถทำได้ภายในบ้าน พร้อมให้เลือกระยะเวลาในการออกกำลังกายได้ด้วย
ประกอบกับการที่ Fitbit มีการสร้างเป็นกลุ่มสังคมออนไลน์ ที่ใช้งาน Fibit เหมือนกัน สามารถนำผลการออกกำลัง หรือการเดินในแต่ละวันมาแข่งขันกันในกลุ่มเพื่อน หรือ ใช้ในการค้นหาสถานที่ออกกำลังกายที่น่าสนใจ ได้เช่นกัน
ฟีเจอร์อื่นๆที่เพิ่มเติมเข้ามา ก็จะมีพวกการแจ้งเตือนสายเรียกเข้า ข้อความ ตารางนัดหมายต่างๆ ตามปกติ เพียงแต่ปัจจุบันยังรองรับการแสดงผลเฉพาะภาษาอังกฤษเท่านั้น ถ้าเป็นการแจ้งเตือนภาษาไทยจะเห็นเป็นสี่เหลี่ยมๆแทน รวมถึงการเลือกรูปแบบหน้าจอแสดงผลต่างๆ ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน
ความสามารถหลักเดิมๆ ที่มีมาในรุ่นก่อนๆ หน้าอย่าง การวัดก้าว เทียบปริมาณแคลอรี่ที่เผาพลานไป ระยะเดิน การตรวจจับกิจกรรมต่างๆแบบอัตโนมัติ ทั้งการเดิน วิ่ง ออกกำลังกาย และนอน เพิ่มด้วยระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรี ที่ใช้ได้นานกว่า 7 วันต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
ขณะที่หน้าจอปกติ ก็จะแสดงผลได้หลายรูปแบบตามที่ตั้งไว้ ไม่ว่าจะให้แสดงนาฬิกา พร้อมกับก้าว ระยะเดิน อัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งในจุดนี้ผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งได้ภายในแอปพลิเคชัน หลังจากทำการซิงค์ข้อมูลครั้งแรกเรียบร้อยแล้ว
ในการใช้งานทั่วไป ผู้ใช้สามารถแตะที่ตัวเรือนเพื่อปลุกหน้าจอให้แสดงผลขึ้นมา หลังจากนั้นเมื่อแตะซ้ำ ก็จะสลับหน้าจอไปเรื่อยๆระหว่าง เวลา จำนวนก้าวที่เดินในวันนี้ อัตรการเต้นหัวใจปัจจุบัน ระยะก้าวรวม ปริมาณแคลอรี่ที่เผาพลานไป ระยะเวลาที่มีการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง และสุดท้ายคือหน้าจอนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้
ทั้งนี้ เมื่อเทียบความสามารถระหว่าง Fitbit Charge 2 และ Fitbit Alta HR จะมีความต่างอยู่ตรงที่ Charge 2 จะรองรับการเชื่อมต่อกับ GPS ในสมาร์ทโฟนเพื่อบันทึกพิกัดขณะออกกำลังได้ พร้อมกับมีฟังก์ชันในการวัดระดับความสูง (ขึ้น–ลง บันได) ส่วน Alta HR จะมีขนาดที่เล็กลง ใส่ใช้งานได้ง่ายขึ้น
โดน Fitbit Alta HR วางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 4 สีมาตรฐาน คือดำ ส้ม น้ำเงิน ม่วง ในราคา 7,490 บาท สีพิเศษ ดำเมทัล และโรสโกลด์ ในราคา 7,990 บาท และยังมีสายหนังขายแยกที่ 2,190 บาท ประกอบด้วยสี น้ำตาล อินดีโก้ และลาเวนเดอร์
สรุป
ในต่างประเทศอุปกรณ์อย่าง Fibit เริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น ในแง่ของอุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพ ที่สามารถนำผลอย่างอัตรการเต้นของหัวใจย้อนหลัง ไปปรึกษาแพทย์ เพื่อดูถึงแนวโน้มสุขภาพที่จะเกิดขึ้น รวมถึงถูกนำไปใช้ในการวินิจฉัยโรคต่างๆมากขึ้น
ดังนั้น ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ และมีความสนใจในเทคโนโลยีอยู่บ้าง การมีอุปกรณ์ฟิตเนสแทร็กเกอร์ติดข้อแขนในการใช้ชีวิต กลายเป็นอีกอุปกรณ์ที่น่าสนใจ โดยมองว่าอาจจะให้เป็นเครื่องประดับอีกชิ้นหนึ่งในการใช้ชีวิตก็ได้
Fitbit Alta HR ที่ปรับขนาดให้เล็กลง ใส่เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจมาให้ จึงกลายเป็นรุ่นที่น่าสนใจเพิ่มมากขึ้น แต่ก็น่าเสียดายว่ามีการตัดการวัดระดับความสูง และการบันทึกพิกัด GPS ออกไป ทำให้เก็บข้อมูลได้ไม่ครบเท่ารุ่นพี่อย่าง Charge 2 / Surge ที่ออกมาก่อนหน้านี้