จากข้อจำกัดของระบบ Apple CarPlay หรือ Android Auto ภายในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่จะเปิดให้ใช้งานเฉพาะฟีเจอร์ที่จำเป็นอย่างการโทรศัพท์ แผนที่นำทาง หรือระบบเล่นเพลงเพื่อความบันเทิงภายในรถยนต์เป็นหลัก แต่จะไม่รองรับการรับชมคอนเทนต์ที่เป็นวิดีโอจากบริการสตรีมมิ่งต่างๆ
HMS CarPlay จะเข้ามาปลดล็อกระบบความบันเทิงภายในรถยนต์ที่รองรับ CarPlay ให้ใช้งานเป็นเหมือนจอ Android ที่สามารถติดตั้งแอปพลิเคชันใช้งาน ดู YouTube Netflix LINE TV หรือ AIS Play ได้จากจอของรถยนต์ โดยไม่ต้องดัดแปลงอุปกรณ์ใดๆ ของรถ
จุดเด่นของ HMS CarPlay ที่นอกจากใช้แอปพลิเคชันต่างๆ จาก PlayStore ได้แล้ว ยังสามารถใช้ Screen Cast หน้าจอจากสมาร์ทโฟนไปยังจอในรถได้ รวมถึงเชื่อมต่อไฟล์ภาพยนต์ระดับ 4K ผ่านพอร์ต USB ที่ให้มา และยังรองรับการสั่งงานผ่านระบบสัมผัสหน้าจอ หรือปุ่มควบคุมของรถยนต์ได้ทันที วางจำหน่ายในราคา 8,990 บาท
***ไม่แนะนำให้ผู้ขับขี่ใช้เพื่อความบันเทิง เพราะจะเสียสมาธิในการขับรถได้ เน้นให้ผู้โดยสารใช้งานมากกว่า***
ปลดล็อกให้ใช้งานได้มากขึ้น
เดิมทีระบบอย่าง Apple CarPlay และ Android Auto ถูกพัฒนาขึ้นมาให้ใช้ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนทั้ง iPhone และ Android สามารถควบคุมและสั่งงานโทรศัพท์ ผ่านระบบควบคุมในรถยนต์ พร้อมนำข้อมูลต่างๆ มาแสดงผลเพื่อให้ผู้ขับมีสมาธิอยู่กับการขับขี่มากที่สุด ไม่ต้องใช้มือไปควบคุมโทรศัพท์ในการสั่งงาน
โดยมีข้อจำกัดในช่วงแรกคือรถยนต์ต้องรองรับระบบ CarPlay และทำการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับรถยนต์เพื่อใช้งาน และฟังก์ชันการใช้งานส่วนใหญ่จะเป็นพื้นฐานอย่างการสั่งงานด้วยเสียง ฟังเพลงจากแอปพลิเคชัน นำทางผ่าน Apple Maps หรือ Google Maps โดยเชื่อมต่อข้อมูลจากสมาร์ทโฟน รวมถึงการใช้โทรศัพท์ ดูตารางนัดหมาย และแอปพลิเคชันที่เกี่ยวกับการฟังเป็นหลัก
HMS CarPlay จึงกลายเป็นอุปกรณ์ที่เข้ามาปลดล็อกการใช้งานระบบ CarPlay ภายในรถยนต์ให้ใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการเปิดรับชมสตรีมมิ่งคอนเทนต์ต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าการดูวิดีโอขณะขับรถจะเหมาะกับผู้ที่นั่งไปด้วยเท่านั้น ไม่เหมาะกับคนขับอยู่แล้ว เพื่อให้มีสมาธิในการขับรถมากที่สุด
เมื่อเชื่อมต่อ HMS CarPlay เข้ากับรถยนต์รุ่นที่รองรับแล้ว ตัวหน้าจอจะตัดเข้าสู่ระบบ Android ให้ใช้งาน เปรียบเสมือนแท็บเล็ตเครื่องหนึ่งที่เชื่อมต่อเข้ากับระบบของรถยนต์อย่างสมบูรณ์ ทำให้สามารถสั่งงานผ่านหน้าจอสัมผัส หรือปุ่มควบคุมที่พวงมาลัย รวมถึงระบบเสียงภายในรถยนต์ด้วย
อย่างไรก็ตาม ในการใช้งาน HMS CarPlay ให้ได้ประสิทธิภาพจำเป็นต้องให้มือถือเปิดแชร์อินเทอร์เน็ต มาให้กล่องสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพิ่มเติมจาก PlayStore หรือแม้แต่ในขณะที่ขับรถถ้าต้องการใช้งานแอปที่ต้องการเชื่อมต่อก็ต้องเปิด HotSpot ไว้ด้วย
สำหรับการใช้งานแอปพลิเคชัน ผู้ใช้สามารถกดเข้าไปใช้งานทั้งแอปวิดีโออย่าง YouTube Netflix LINE TV AIS Play หรือแอปพลิเคชันอื่นๆ ได้ทันที ส่วนถ้าใช้งานเพื่อการนำทาง ก็มี Google Maps ติดตั้งมาให้พร้อมใช้ สามารถป้อนพิกัด หรือค้นหาสถานที่เพื่อนำทางได้ผ่านจอของ CarPlay ที่ปลดล็อกแล้ว
นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้ HMS CarPlay สะดวกขึ้นก็คือสามารถแชร์หน้าจอสมาร์ทโฟนไปปรากฏบนหน้าจอได้เลย เหมาะกับเวลาเดินทางกันหลายๆ คนแล้วอยากเปิดคอนเทนต์ให้มาดูด้วยกัน ซึ่งเวลาแชร์ไปก็จะสะดวกกว่าต้องมาคอยพิมพ์ค้นหาบน CarPlay เอง
ทั้งนี้ ในกรณีที่รถยนต์ไม่ได้รองรับหน้าจอแบบสัมผัส ทำให้อาจจะสั่งงาน CarPlay ได้ยาก ทาง HMS จะมีอุปกรณ์เสริมอย่าง รีโมท Magic Keyboard มาให้เลือกซื้อเพิ่มเติม เพื่อใช้ในการควบคุมแบบไร้สาย และมีคีย์บอร์ดให้พิมพ์ป้อนข้อมูลได้สะดวกขึ้น
อุปกรณ์ที่ให้มาพร้อม HMS CarPlay
ภายในกล่องของ HMS CarPlay Unlock จะประกอบไปด้วยกล่องปลดล็อกระบบ CarPlay ที่ภายในมาพร้อมกับซีพียู Quad Core 1.8 GHz RAM 4 GB ROM 32 GB ที่ติดตั้งระบบ Android มาให้ใช้งานพร้อมแอปพลิเคชันพื้นฐาน ซึ่งจะมีพอร์ตเชื่อมต่ออยู่ 2 ส่วนคือ USB-C สำหรับเชื่อมต่อเข้ากับรถยนต์ และ USB Type A ในการเชื่อมต่อแฟลชไดรฟ์ หรือรีโมทควบคุมเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับสาย USB-C to USB Type A และ USB-C to USB-C มาให้แบบพร้อมใช้ทันที และในกรณีที่ GPS ของรถยนต์ไม่แม่นยำพอ สามารถติดอุปกรณ์เสริมเพื่อขยายสัญญาณ GPS พร้อมฟิวส์แท็บในกล่องเพิ่มเติมได้ทันที
สำหรับรีโมท Magic Keyboard ที่วางจำหน่ายเพิ่มในราคา 1,000 บาท จะเป็นลักษณะของรีโมทที่มี 2 ฝั่ง เป็นปุ่มคีย์บอร์ดสำหรับป้อนข้อมูล และอีกฝั่งเป็นปุ่มควบคุมปกติ มีแบตเตอรีภายในตัว สามารถเสียบชาร์จได้จากสาย MicroUSB เพื่อใช้งานร่วมกับ HMS CarPlay
ส่วนรุ่นรถยนต์ที่รองรับสามารถเข้าไปตรวจสอบเพิ่มเติมได้จากหน้าเว็บไซต์ของ HMS https://hms.co.th/carplay/
สรุป
HMS Carplay ถือเป็นเครื่องมือที่เข้ามาช่วยให้เราใช้งานหน้าจออัจฉริยะภายในรถยนต์ของเราได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนทั้ง iOS และ Android ผ่านสาย USB เข้ากับรถยนต์ เพียงแค่แชร์อินเทอร์เน็ตเท่านั้น และไม่ต้องกังวลกรณีที่เวลานำทางอยู่แล้วมีสายเรียกเข้า แผนที่จะหายอีกต่อไป
แน่นอนว่า เมื่อมีการปลดล็อกให้ใช้งานเพื่อความบันเทิงได้มากขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ สมาธิของผู้ขับขี่ ที่ควรใช้งานเมื่อรถหยุดวิ่งเท่านั้น ไม่ควรทำการควบคุมใช้งานระหว่างขับรถเด็ดขาด ระบบนี้จึงเหมาะกับผู้โดยสารที่สามารถใช้จอเพื่อรับชมความบันเทิงต่างๆ ได้มากกว่า