จะเห็นกันว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เอชทีซี จะเริ่มแนะนำซีรีส์ U เข้าสู่ท้องตลาด เพื่อสื่อถึงการเป็นสมาร์ทโฟนที่เข้าใจผู้ใช้งาน พร้อมกับการนำ HTC U Play และ HTC U Ultra เข้ามาวางจำหน่ายในไทยแบบเงียบๆ จากผู้นำเข้ารายใหม่ และหวังใช้จุดขายของผลิตภัณฑ์มาช่วยบอกต่อในวงกว้าง
HTC U Ultra ถือเป็นสมาร์ทโฟน ที่มากับจอใหญ่ขนาด 5.7 นิ้ว และยังไม่พอมีการแถมจอที่ 2 มาให้ใช้กันด้วย ซึ่งถือเป็นจุดต่างที่สำคัญกับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆในตลาด ส่วนในแง่ของสเปก จะเป็นซีพียูรุ่นไฮเอนด์ในปีก่อนอย่าง Snapdragon 821 RAM 4 GB ROM 64 GB รองรับ 4G LTE Cat11 หรือ 3CA ในราคา 22,490 บาท
การออกแบบ
ที่เห็นได้ชัดเลยคือเอชทีซีเริ่มเปลี่ยนจากการใช้งานวัสดุอลูมิเนียมชิ้นเดียวที่ถือเป็นเอกลักษณ์มาเป็นใช้เป็นขอบอลูมิเนียมพร้อมกระจกเคลือบด้านหน้า และด้านหลังแทน บนลวดลายที่เอชทีซีใช้คำว่า ‘Liquid surface’ จากวัสดุกันรอยขีดข่วนแต่ผิวมัน จนสะท้อนแสงในหลายมุม
โดยเอชทีซี เลือกวางจำหน่าย U Ultra ในประเทศไทยทั้งหมด 2 สีดำ (Brillian Black) และ น้ำเงิน (Indigo Blue) แต่ในต่างประเทศจะมีสีขาว (Ice White) และชมพู (Cosmetic Pink) ด้วย ส่วนขนาดรอบตัวจะอยู่ที่ 162.41 x 79.79 x 7.99 มิลลิเมตร น้ำหนัก 170 กรัม
ด้านหน้า – อย่างที่บอกไปว่าด้านหน้าจะเป็นกระจก Gorilla Glass 5 แบบขอบโค้ง 2.5D ภายในเป็นจอแบบ Super LCD 5 ขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียด Quad HD (2,560 x 1.440 พิกเซล) โดยส่วนบนจอจะมี Dual Display อยู่ทางฝั่งขวา และกล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซลอยู่ข้างๆ บนสุดจะเป็นลำโพงสนทนา
ส่วนด้านล่างจอจะมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ที่เป็นปุ่มกดโฮมไปในตัว ที่ไม่จำเป็นต้องให้หน้าจอติดก็สามารถนำนิ้วมาสัมผัสเพื่อปลดล็อกเครื่องได้ โดยมีปุ่มสัมผัสย้อนหลัง (ทางซ้าย) และเรียกดูแอปที่ใช้งานล่าสุด (ทางขวา) ขนาบอยู่
ด้านหลัง – จะมีการสกรีนสัญลักษณ์ hTC อยู่ตรงกลางค่อนไปทางบน และกล่องหลักที่เป็น Ultra Pixel 2 ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล 1.55um ที่นูนขึ้นมาจากตัวเครื่อง และไฟแฟลชแบบ 2 สี (Dual Tone LED Flash) และจะมีเลเซอร์โฟกัสซ่อนอยู่ล่างแฟลชด้วย
ถ้าสังเกตดีๆส่วนล่างจะมีไมโครโฟนช่วยรับเสียงแบบ 3มิติอยู่ด้วย ภายในจะมีแบตเตอรีขนาด 3,000 mAh ที่มาพร้อมระบบ Quick Charge 3.0 แต่ทั้งนี้ในส่วนของฝาหลังจะเป็นรอยนิ้วมือง่ายมาก ทำให้ต้องเช็ดเครื่องบ่อยๆ
ด้านบน – จะมีช่องสำหรับใช้เข็มจิ้มถาดใส่ซิมออกมา ตัวเครื่องรองรับ Dual Nano Sim แบบ 3G Standby ในซิมที่ 2 หรือจะเลือกใส่ไมโครเอสดีการ์ดสูงสุด 256 GB แทน และมีไมค์ตัดเสียงรบกวนข้างๆ ด้านล่าง – เหลือเพียงพอร์ต USB-C ไมค์สนทนา และลำโพงเท่านั้น ตัดพอร์ต 3.5 มม.ออกไปเรียบร้อย
ด้านขวา – เป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิด–ปิดเครื่อง ด้านซ้ายจะถูกปล่อยว่างไว้ และรอบๆขอบจะมีเส้นรับสัญญาณอากาศอยู่รอบๆตัวเครื่อง
สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องจะประกอบไปด้วยตัวเครื่อง HTC U Ultra เคสพลาสติกใส ผ้าเช็ดเครื่อง อะเดปเตอร์ สาย USB-C และหูฟัง In-Ear ที่เป็นพอร์ต USB-C พร้อมจุกหูฟังอีก 2 ขนาด แต่ไม่มีอะเดปเตอร์แปลง USB-C เป็น 3.5 มม.ให้มาด้วย
สเปก
ในส่วนของสเปกภายใน HTC U Ultra จะมากับชิปเซ็ต Snapdragon 821 ที่เป็นควอดคอร์ 2.15 GHz 64bit RAM 4 GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 64 GB รองรับไมโครเอสดีการ์ดสูงสุด 256 GB ตัวเครื่องทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 7.0
ด้านการเชื่อมต่อรองรับ 4G LTE Cat 11 หรือ 3CA (กรณีใช้งานซิมเดียว) ให้อัตราการดาวน์โหลดสูงสุด 600 Mbps อัปโหลด 50 Mpbs ส่วน Wi-FI เป็น Dual Band 802.11ac มาพร้อมบลูทูธ 4.2 NFC GPS ภายในเรียบร้อย
ส่วนสเปกกล้องหลัก เป็น HTC UltraPixel 2 ที่ให้เม็ดสีขนาด 1.55um ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.8 มาพร้อมระบบโฟกัสแบบ PDAF และเลเซอร์โฟกัส เซ็นเซอร์แบบ BSI รองรับระบบกันสั่น OIS ตัวเลนส์ทำจากกระจก Sapphire กล้องหน้าเป็น 16 ล้านพิกเซล ที่มีโหมด UltraPixel ให้เลือกถ่ายเวลาแสงน้อยด้วย
ฟีเจอร์เด่น
ในส่วนของการใช้งาน U Ultra จะมากับอินเตอร์เฟส HTC Sense เช่นเดิม ไล่ตั้งแต่หน้าจอปลดล็อกที่สามารถลากไอค่อนลัดเพื่อเข้าสู่การใช้งานได้ทันที หรือจะใช้ลายนิ้วมือปลดล็อกก่อนใช้งานก็ได้ ถัดมาหน้าจอหลักก็จะให้ผู้ใช้ปรับแต่งตามปกติ ส่วนการแจ้งเตือนจะมีการตั้งค่าลัดต่างๆให้เลือก
ที่เพิ่มเติมเข้ามาคือหน้าจอที่ 2 ทีทางเอชทีซีเรียกว่า จอแสดงผลรอง (Dual Screen) ที่จะแสดงผลอยู่ที่มุมขวาบนของหน้าจอหลักอีกที โดยค่ามาตรฐานของจอนี้จะมีให้เลือก 6 รูปแบบคือ แสดงข้อความเตือนความจำ แสดงปฏิทินนัดหมาย รายชื่อผู้ติดต่อด่วน เครื่องเล่นเพลง พยากรณอากาศ และทางลัดเรียกใช้งานแอป
แต่ในกรณีที่หน้าจอหลักปิดอยู่ เมื่อทำการสัมผัสบริเวณจอรอง หรือยกเครื่องขึ้นมา จะมีการแสดงผลวัน เวลา อุณหภูมิ และไอคอนการแจ้งเตือน สามารถปัด เพื่อเข้าไปตั้งค่าด่วนอย่างปิดเสียง เปิด–ปิด ไวไฟ บลูทูธ ไฟฉาย กล้อง และเครื่องคิดเลขได้ เพิ่มเข้ามา
นอกจากนี้ ในกรณีที่เข้าใช้งานแอปแบบเต็มหน้าจอ อย่างการเล่นเกม หรือดูหนัง ตัวจอแสดงผลรอง ก็จะปรับมาเป็นการแสดงผลนาฬิกา พร้อมกับเปอเซนแบตเตอรี่ เพื่อให้ผู้ใช้ทราบ โดยไม่มีผลกับการแสดงผลของจอหลัก
ถัดมาคือระบบ AI หรือการนำ Machine Learning มาใช้ในเอชทีซี กับระบบที่เรียกว่า Sense Companion ที่จะกลายมาเป็นผู้ช่วยในการแนะนำข้อมูลต่างๆ ในการใช้งานอย่างการแสดงพยากรณ์อากาศวันรุ่งขึ้น การแจ้งเตือนให้ชาร์จแบต การติดต่อกับผู้ใช้ หรือตารางนัดหมายที่จะเกิดขึ้นเป็นต้น
อีกจุดเด่นที่น่าสนใจใน U Ultra คือเรื่องของกล้อง อาจจะเพราะไม่ได้เล่นกล้องของเอชทีซีมาสักพักนึง พอกลับมาจับอีกครั้งให้ความรู้สึกที่ดีขึ้น อินเตอร์เฟสใช้งานง่าย ตัวกล้องโฟกัสได้เร็วมากจาก PDAF + Laser Focus ทำให้ช่วยถ่ายภาพได้สนุกขึ้น
โดยผู้ใช้สามารถเลือกโหมดในการถ่ายภาพได้จากการลากนิ้วจากขอบบนลงมา จะมีให้เลือกโหมดถ่ายภาพทั้งปกติ Zoe (ถ่ายเป็นคลิปวิดีโอสั้นๆ) พาโนรามา โปร วิดีโอ ไฮเปอร์แลปส์ สโลว์โมชั่น เซลฟี่ เซลฟี่พาโนรามา และวิดีโอเซลฟี่ได้
ที่น่าสนใจคือในโหมดโปรตัวกล้องจะบันทึกภาพทั้งไฟล์ JPG และ DNG ให้ไปปรับแต่งกัน สามารถเลือกตั้งค่าความไวแสง (ISO) ได้ที่ 100 – 3200 ส่วนความเร็วชัตเตอร์ได้ตั้งแต่ 1/8000 – 16 วินาที พร้อมปรับสมดุลแสงขาวได้ตามองศาเคลวินที่ต้องการ
ส่วนโหมดถ่ายภาพวิดีโอ ผู้ใช้สามารถพักหน้าจอหลักขณะถ่าย มาควบคุมผ่านจอแสดงผลรองได้ ทำให้ช่วยประหยัดแบตเตอรีขณะบันทึกวิดีโอได้ (กดพักหน้าจอ) แต่ถ้าอยู่ในโหมดกล้องธรรมดาจอรองจะใช้เป็นแถบในการซูมเข้า–ออกแทน
กลับมาที่แอปพลิเคชันที่ติดตั้งมาให้ในเครื่อง ส่วนใหญ่จะเป็นแอปทั่วๆไป ไม่ได้มีการบันเดิลแอปอื่นๆมาให้รกเครื่อง รวมถึงแอปส่วนใหญ่จะใช้บริการจากกูเกิล เซอร์วิสเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ (พร้อมอัปโหลดขึ้นกูเกิลไดรฟ์เก็บรูปได้ทันที) ปฏิทินที่ซิงค์กับเมล จะมีเพิ่มมาก็คือคีย์บอร์ด TouchPal และ Viveport ในการใช้งานคู่กับแว่นวีอาร์
ในส่วนของหน้าจอตั้งค่า ก็จะเน้นความเรียบง่าย แบ่งการตั้งค่าเป็นการเชื่อมต่อ การใช้งานตัวเครื่องต่างๆ และการตั้งค่าโทรศัพท์ ที่น่าสนใจคือระบบอย่าง HTC Boomsound ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาให้สามารถตรวจจับได้เองว่าคอนเทนต์ที่เล่นอยู่เป็นเพลง หรือภาพยนตร์ ก็จะให้ผลที่ต่างกัน
ตัว RAM ที่ให้มา 4 GB เมื่อเปิดใช้งานไปสักพักจะเหลือให้ใช้งานราว 1.7 GB ถือว่าค่อนข้างเพียงพอ ส่วน ROM 64 GB เมื่อลงแอปทดสอบต่างๆแล้วจะเหลือพื้นที่ให้ใช้งานราว 50 GB นอกจากนี้ ยังมีในเรื่องการตั้งค่าเสียงหูฟัง U Sonic ที่จะปรับเสียงให้เหมาะกับหูของแต่ละคนมาให้ใช้งานด้วย
พวกการใช้งานท่าทางสั่งงานตัวเครื่อง อย่างการแตะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่อเปิด กวาดนิ้วขึ้นเพื่อปลดล็อก กวาดทางซ้ายเพื่อเข้าหน้าจอหลัก และกวาดทางขวาเพื่อเรียกใช้งาน BlinkFeed ที่มีมาตั้งแต่สมัย HTC One ก็ยังมีมาให้ใช้งานต่อเนื่อง รวมถึงการตั้งอุณหภูมิสีของหน้าจอ
ตัวอย่างภาพจากกล้อง
ทดสอบประสิทธิภาพ
Antutu Benchmark = 127,041 คะแนน
Quadrant Standard = 38,181
Multi-touch Test = 10 จุด
PC Mark
Work 2.0 = 5,207 คะแนน
Computer Vision = 2,846 คะแนน
Work = 6,707 คะแนน
3D Mark
Sling Shot Extreme Unlimited = 2,077 คะแนน
Sling Shot Unlimited = 2,700 คะแนน
Sling Shot Extreme = 1,951 คะแนน
Sling Shot = 2,483 คะแนน
Ice Storm Extreme = 13,025 คะแนน
Ice Storm Unlimited = 28,907 คะแนน
Ice Storm = 13,627 คะแนน
PassMark PerformanceTest
System = 7,239 คะแนน
CPU Tests = 31,975 คะแนน
Memory Tests = 3,953 คะแนน
Disk Tests = 44,288 คะแนน
2D Graphics Tests = 4,907 คะแนน
3D Graphics Tests = 2,792 คะแนน
Geekbench 4
Single-Core = 1,700 คะแนน
Multi-Core = 3,817 คะแนน
Compute = 7,168 คะแนน
ที่น่าสนใจคือแม้ว่าตัวเครื่องจะให้แบตเตอรีมา 3,000 mAh กับจอ 2K ขนาด 5.7 นิ้ว แต่กลับสามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 6 ชั่วโมง 15 นาที ซึ่งถือว่าทำได้อยู่ในระดับมาตรฐาน ถ้าการใช้งานในแต่ละวันไม่ได้หนักมากก็อยู่ถึงวันสบายๆ
การใช้งานทั่วไปพวกเล่นโซเชียล ใช้งานเว็บเบราว์เซอร์ต่างๆ ถือว่าทำได้ดี จากการแสดงผลที่ใหญ่ถึง 5.7 นิ้ว ไม่นับรวมเรื่องของเสียงที่เอชทีซีโด่งดังมาจาก Boom Sound ที่หันลำโพงเข้าหาผู้ใช้ และยังมากับชิปเสียงแบบ HiRes ด้วย
สรุป
HTC U Ultra ถือเป็นการกลับมาที่น่าสนใจในตลาดประเทศไทย เพราะเชื่อว่ายังมีกลุ่มผู้ใช้งานเอชทีซี ที่เชื่อมั่นในแบรนด์อยู่ เพียงแต่ว่าทางเอชทีซีคงต้องพิสูจน์ความน่าเชื่อถือทั้งบริการหลังการขาย และช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุมได้มากขึ้นเสียก่อน
ส่วนในแง่ของตัวเครื่อง U Ultra ผู้บริโภคอาจจะมองว่ากับราคา 22,490 บาท ถือว่าค่อนข้างสูง แต่ถ้ามองจริงๆแล้วกับเครื่องขนาดจอ 5.7 นิ้ว กับซีพียู Snapdragon 821 ที่เป็นหน่วยประมวลผลรุ่นท็อปในปีที่ผ่านมา ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่พอรับได้ ประกอบกับการที่ต้องการจับตลาดพรีเมียมเป็นหลัก แต่ถ้ามีการทำโปรโมชันร่วมกับโอเปอเรเตอร์จะน่าสนใจกว่านี้
ขณะที่ในแง่การใช้งานรวมๆ แล้ว U Ultra ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ค่อนข้างครบรอบด้านทั้งประสิทธิภาพ กล้อง (โฟกัส–ถ่ายเร็วมาก) รองรับ 4G LTE 3CA / VoWiFi / VoLTE เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเร็ว เรียกได้ว่าอะไรที่เครื่องไฮเอนด์ควรจะมีก็มีมาให้ครบ แถมเพิ่มด้วยจอเล็กๆมาให้ใช้สั่งงาน ดูการแจ้งเตือนเพิ่มเติม