หลังจากกลุ่มผลิตภัณฑ์แท็บเล็ตตัวเล็กของแอปเปิลอย่าง iPad mini (เป็นแท็บเล็ตยอดนิยมในบ้านเรามาก) กำลังตกอยู่ในช่วงเงียบเหงา ไร้การอัปเกรดสเปกเครื่องให้สดใหม่มาร่วมปี แถมรุ่น 3 ที่ออกวางจำหน่ายไปเมื่อปีก่อนก็โดนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องสเปกเครื่องที่ไม่แตกต่างจากรุ่น 2 อย่างหนักจนยอดขายไม่ดี
มาวันนี้แอปเปิลขอแก้ตัวใหม่ด้วยการคลอด iPad mini 4 กับการปรับเปลี่ยนสเปกเครื่องใหม่หมดทุกส่วนเพื่อมาแทนที่ iPad mini 3 ที่ปัจจุบันแอปเปิลเลิกผลิตไปแล้ว
การออกแบบ
iPad mini 4 มีการปรับเปลี่ยนขนาดรูปทรงจากรุ่นเดิมให้บางลง 18% (หนา 6.1 มิลลิเมตร) พร้อมน้ำหนักเพียง 298.8 กรัมในรุ่น WiFi และ 304 กรัมในรุ่น WiFi + Cellular
หน้าจอ – ถือเป็นครั้งแรกของตระกูล mini ที่แอปเปิลเคลือบสารกันแสงสะท้อนเข้ามา โดยพาเนลจอยังคงเป็น LED Retina ขนาด 7.9 นิ้ว ความละเอียด 2,048×1,536 พิกเซล ความหนาแน่นพิกเซลอยู่ที่ 326 พิกเซลต่อนิ้ว
นอกจากนั้นแอปเปิลยังใส่เทคโนโลยี Full Lamination แบบเดียวกับ iPad Air 2 และ iPad Pro เข้ามา ซึ่งช่วยให้ภาพที่แสดงผ่านหน้าจอจะได้สีสันและคอนทราสต์ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะสีดำจะดำสนิทและความคมชัดจะสูงขึ้นกว่า iPad mini รุ่นเดิมมาก
ใต้หน้าจอ – ยังคงเป็นปุ่มโฮมพร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ TouchID ส่วนด้านบนเป็นกล้องหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซลเหมือน iPad ทุกรุ่น
ด้านหลัง – วัสดุด้านหลังเป็นอลูมิเนียมพร้อมสีให้เลือก 3 สีได้แก่ สีทอง สีเงินและสีเทาสเปซเกรย์ พร้อมกล้องหลัง iSight ปรับใหม่เพิ่มความละเอียดจาก 5 ล้านพิกเซลเป็น 8 ล้านพิกเซล รองรับโหมดถ่ายภาพต่อเนื่องและวิดีโอสโลโมชันเพิ่มจากรุ่นเดิม
มาถึงพอร์ตเชื่อมต่อและปุ่มกดต่างๆรอบตัวเครื่อง เริ่มจากด้านขวา เป็นปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง และสำหรับรุ่น WiFi + Cellular ด้านล่างจะเป็นช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์ Nano Sim
ส่วนด้านซ้ายจะไม่มีปุ่มกดและพอร์ตเชื่อมต่อใดๆติดตั้งอยู่
มาดูด้านบนของตัวเครื่อง ตรงกลางแถบสีขาว จะเป็นส่วนของเสาสัญญาณโทรศัพท์ (ถ้าเป็น WiFi จะไม่มีแถบสีขาวนี้) ด้านขวามือ (ซ้ายของภาพ) จะเป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง และซ้ายมือ (ขวาของภาพ) เป็นช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
ด้านล่างเป็นลำโพงสเตอริโอซ้าย ขวา (จุดสังเกตว่าเครื่องเป็น iPad mini 3 หรือ 4 สามารถดูได้จากลำโพง โดยรุ่น 3 ช่องลำโพงจะเป็นสองแถว ส่วนรุ่น 4 จะเป็นแถวเดียวและรูลำโพงใหญ่กว่า) ตรงกลางเป็นพอร์ต Lightning
สเปกและฟีเจอร์เด่น
iPad mini 4 มาพร้อมสเปกที่ใกล้เคียงกับ iPad Air 2 อย่างมาก โดยหน่วยประมวลผลเลือกใช้ Apple A8 Dual Core 1.5GHz 64 บิต (เร็วกว่าเดิม 30%) พร้อมชิปประมวลผลการเคลื่อนไหว M8 กราฟิกชิป PowerVR GX6450 แรม 2GB หน่วยเก็บข้อมูลภายในมีความจุให้เลือกตั้งแต่ 16/64/128GB (รุ่นที่ทดสอบความจุ 128GB เหลือพื้นที่ใช้งานจริงประมาณ 110GB) ขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการ iOS 9 (ปัจจุบัน iOS 9.2)
ในส่วนฟีเจอร์เกือบทุกส่วนเหมือนกับ iPad mini รุ่นก่อนเกือบทั้งหมด Split View สามารถใช้งานได้ลื่นไหลขึ้นเมื่อเทียบกับ iPad mini รุ่นที่แล้ว โดยเมื่อเปิดใช้งานแอปฯสองหน้าจอ ระบบจะปรับขนาดเป็น iPhone Size
สำหรับสเปกปลีกย่อยที่เปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นก่อนหน้า WiFi พร้อม MIMO รองรับมาตรฐานใหม่ 802.11 a/b/g/n/ac สองช่องความถี่ 2.4GHz และ 5GHz สามารถรับส่งข้อมูลความเร็วสูงสุด 866Mbps ส่วนบลูทูธปรับไปใช้รุ่น 4.2
ในส่วนเซ็นเซอร์ภายใน นอกจากการเพิ่ม TouchID เข้ามาแล้ว ตัวเครื่องยังมาพร้อมเซ็นเซอร์บารอมิเตอร์และรองรับบริการ Apple Sim ด้วย
ทดสอบประสิทธิภาพ
ในส่วนประสิทธิภาพ iPad mini 4 ได้คะแนนทดสอบอยู่เหนือ iPhone 6 / 6 Plus และใกล้เคียงกับ iPad Air 2
การใช้งานตัดต่อวิดีโอผ่าน iMovie และเล่นเกม 3 มิติทำได้ลื่นไหลขึ้น และมีสิ่งที่น่าสนใจคือ หน้าจอ iPad mini 4 ให้สีสันที่สวยงามและความคมชัดมากกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด
แต่สิ่งหนึ่งที่อาจเป็นข้อสังเกตสำคัญของ iPad mini 4 ก็คือเรื่องแบตเตอรีที่ปรับลดลงเหลือเพียง 5,124 mAh (จากเดิมใน iPad mini 3 อยู่ที่ 6,471 mAh) ถึงแม้แอปเปิลจะเครมว่าแบตเตอรีจะให้เวลาใช้งานเท่าเดิมคือประมาณ 10 ชั่วโมง แต่จากการทดสอบด้วย Geekbench 3 และทดลองใช้งานจริงพบว่า แบตเตอรี iPad mini 4 หมดเร็วกว่ารุ่นก่อนหน้าเล็กน้อย โดยถ้าใช้งานแบบหนักหน่วงแบตเตอรีจะอยู่ได้ประมาณ 5-6 ชั่วโมง ในขณะที่รุ่น 3 จะอยู่ที่ประมาณ 6-7 ชั่วโมง ส่วนเมื่อใช้งานทั่วไป เช่น แชท เล่นเฟสบุ๊ก ท่องเว็บไซต์ ระยะเวลาที่ได้ไล่เลี่ยกันมาก
มาถึงการทดสอบสุดท้ายกับกล้อง iSight ปรับใหม่ ที่ดูแล้วสเปกใกล้เคียงกับ iPhone 6 และ 6 Plus โดยเมื่อทีมงานทดลองถ่ายภาพ ผลลัพท์ที่ได้ใกล้เคียงกับการถ่ายภาพด้วยกล้องบน iPhone 6 มาก จะแตกต่างก็ตรงระบบจัดการนอยซ์ที่ iPhone ทำได้ดีกว่า
สรุป
สำหรับราคาเปิดตัว iPad mini 4 ในรุ่น WiFi ราคาเริ่มต้น 13,400 บาท รุ่น WiFi + Cellular เริ่มต้น 17,900 บาท ถือเป็นแท็บเล็ตขนาดพอดีมือ ที่ในครั้งนี้ถูกปรับสเปกมาได้พอดีและน่าสนใจจนสามารถตอกปิดฝาโลง iPad mini 3 ได้อย่างสวยงาม โดยเฉพาะประสิทธิภาพที่ถูกจัดอยู่ตรงกลางระหว่าง iPhone 6 และ iPad Air 2 จนกลายเป็นรุ่นที่เร็วที่สุดในตระกูล iPad mini
ผู้อ่านที่เคยผิดหวังกับการมาของ iPad mini 3 ลองหันกลับมามองรุ่น 4 ใหม่อีกครั้ง ผมเชื่อว่าคนที่กำลังรอแท็บเล็ตขนาดพอดีมือจากแอปเปิลจะต้องถูกใจรุ่นนี้ที่สุด