Review : iPad Pro 9.7” ทรงพลังในขนาดพอดีมือ

73107

ipadpro-head

ถ้า iPad Pro 12.9 นิ้วมีขนาดใหญ่และน้ำหนักที่มากเกินไป iPad Pro 9.7 นิ้ว จะเป็นแท็บเล็ตในกลุ่มประสิทธิภาพสูงตัวใหม่ที่จะเข้ามาเสริมไลน์กลุ่มไฮเอนด์ไอแพดเพื่อเน้นตอบโจทย์ผู้ใช้งานเน้นพกพาได้สะดวกสบายขึ้นไม่ต่างจาก iPad Air 2

สำหรับรุ่นที่ทีมงานทดสอบจะเป็น iPad Pro 9.7 นิ้ว WiFi 128GB สีเทาสเปซเกรย์

การออกแบบ สเปกและฟีเจอร์เด่น

IMG_4394

IMG_4416

iPad Pro หน้าจอ 9.7 นิ้ว มีขนาดความสูง 240 มิลลิเมตร กว้าง 169.5 มิลลิเมตร หนา 6.1 มิลลิเมตรและน้ำหนัก 437 กรัมในรุ่น WiFi ส่วนรุ่น WiFi + Cellular อยู่ที่ 444 กรัม ซึ่งเท่ากับ iPad Air 2 ทุกสัดส่วนอย่างไม่น่าเชื่อ

iPadPro-compare

ส่วนเมื่อเทียบกับพี่ใหญ่ iPad Pro 12.9 นิ้ว (ที่หลายคนบ่นว่าใหญ่และหนักเกินกว่าจะเป็นแท็บเล็ต)

ด้านความสูงรุ่นหน้าจอ 12.9 นิ้วอยู่ที่ 305.7 มิลลิเมตร รุ่นหน้าจอ 9.7 นิ้วอยู่ที่ 240 มิลลิเมตร ต่างกัน 65.7 มิลลิเมตร

ด้านความกว้างรุ่นหน้าจอ 12.9 นิ้วอยู่ที่ 220.6 มิลลิเมตร รุ่นหน้าจอ 9.7 นิ้วอยู่ที่ 169.5 มิลลิเมตร ต่างกัน 51.1 มิลลิเมตร

ด้านความหนารุ่นหน้าจอ 12.9 นิ้วอยู่ที่ 6.9 มิลลิเมตร รุ่นหน้าจอ 9.7 นิ้วอยู่ที่ 6.1 มิลลิเมตร ต่างกัน 0.8 มิลลิเมตร

สุดท้ายส่วนน้ำหนักที่ต่างกันมากพอสมควร โดยในรุ่นหน้าจอ 12.9 นิ้ว (WiFi) อยู่ที่ 713 กรัม รุ่นหน้าจอ 9.7 นิ้วอยู่ที่ 437 กรัม ต่างกัน 276 กรัม

ส่วนรุ่นหน้าจอ 12.9 นิ้ว (WiFi+Cellular) อยู่ที่ 723 กรัม รุ่นหน้าจอ 9.7 นิ้ว (WiFi+Cellular) อยู่ที่ 444 กรัม ต่างกัน 279 กรัม

IMG_4463IMG_4435

มาถึงสเปกของจอแสดงผล Retina มองผิวเผินดูไม่แตกต่างจาก iPad Pro 12.9 นิ้วและ iPad Air 2 แต่เมื่อลองเจาะลึกสเปกดูจะพบว่า แอปเปิลได้ลดความละเอียดหน้าจอลงเหลือ 2,048×1,536 พิกเซล แต่ด้านเทคโนโลยีแสดงผลภาพ แอปเปิลได้ปรับปรุงใหม่และเลือกใช้งานครั้งแรกใน iPad Pro 9.7 นิ้ว ดังนี้

1. ความสว่างหน้าจอเพิ่มเป็น 500 นิต (iPad Pro 12.9 นิ้ว อยู่ที่ 374 นิต)
2. หน้าจอสามารถแสดงเม็ดสีได้กว้างกว่าเดิมถึง 25% ตามมาตรฐาน DCI P3 (ของเดิมถ้าข้อมูลไม่ผิดพลาดจะเป็น sRGB) โดยแอปเปิลเครมว่า “หน้าจอใหม่นี้จะทำให้คุณเห็นสีและรายละเอียดของภาพที่ถูกซ่อนไว้จากหน้าจอรุ่นเก่าได้อย่างไม่น่าเชื่อ”
3. สีดำจะดำสนิท สีขาวจะใสและเคลียร์ ทำให้ภาพมีมิติมากขึ้น
4. หน้าจอรองรับฟีเจอร์ Retina Flash (ใช้แทนไฟแฟลชเวลาถ่ายเซลฟีในที่แสงน้อยได้) แบบเดียวกับ iPhone 6s

ambient-sensors-pro97

นอกจากนั้นแอปเปิลยังได้เพิ่มเซ็นเซอร์ตรวจจับสภาพแสง (Ambient light sensor) บริเวณมุมจอด้านบน 2 ตัว 4 ช่องสัญญาณพร้อมรองรับเทคโนโลยี “True Tone Display” เป็นครั้งแรกของแอปเปิล

truetone-display

truetone-menu

สำหรับการทำงานของ “True Tone Display” จะใช้เซ็นเซอร์ 2 ตัว 4 ช่องสัญญาณตรวจจับสภาพแสงรอบตัวผู้ใช้ระหว่างเปิดใช้งานไอแพด จากนั้นระบบจะทำการปรับสีของหน้าจอให้เหมาะสม (ปรับได้นุ่มนวลจนผู้ใช้ไม่รู้สึก) สอดคล้องกับสภาพแสงในห้องเพื่อลดอาการปวดตาลงได้

ในส่วนกล้องหน้า ยังคงติดตั้งอยู่ตำแหน่งเดิมแต่แอปเปิลปรับเพิ่มความละเอียดเป็น 5 ล้านพิกเซล (ยกมาจาก iPhone 6s) พร้อมรองรับ Retina Flash และวิดีโอที่ความละเอียด 720p

IMG_4412

ด้านปุ่มโฮม ยังคงมาพร้อม Touch ID เช่นเดิม

IMG_4426

IMG_4423

ด้านหลัง – จุดแตกต่างที่ชัดเจนจากไอแพดทุกรุ่นที่วางขายในปัจจุบันก็คือ “กล้องหลัง iSight ปรับใหม่ครั้งแรกในรอบหลายปี” โดยกล้องหลัง iPad Pro 9.7 นิ้ว ถูกยกมาจาก iPhone 6s ทุกส่วน ตั้งแต่เลนส์กล้องพร้อมรูรับแสง f2.2, ออโต้โฟกัสพร้อม Focus Pixel ไปถึงความละเอียดภาพถูกเพิ่มให้เท่ากับ iPhone 6s คือ 12 ล้านพิกเซล (พาโนรามา 63 ล้านพิกเซล) พร้อมไฟแฟลช True Tone ครั้งแรกของกลุ่มผลิตภัณฑ์ไอแพด

camera-setup-pro97

ในส่วนสเปกวิดีโอมีการปรับเปลี่ยนใหม่ให้เท่ากับ iPhone 6s เช่นกัน โดยวิดีโอรองรับความละเอียดสูงสุด 4K และ 1080p ที่ความเร็วสูงสุด 60 เฟรมต่อวินาที นอกจากนั้นยังรองรับวิดีโอสโลโมชั่น 1080p ที่ความเร็ว 120 เฟรมต่อวินาที และ 720p ที่ความเร็ว 240 เฟรมต่อวินาที พร้อมระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหว

IMG_4414

IMG_4415

IMG_4417

IMG_4416

กลับมาดูพอร์ตเชื่อมต่อรอบตัวเครื่อง เริ่มจากขวามือจะเป็นปุ่มเพิ่มลดระดับเสียงและไมโครโฟน ซ้ายมือเป็นพอร์ตเชื่อมต่อกับเคส Smart Keyboard
ด้านล่าง – ตรงกลางเป็นพอร์ต Lightning ซ้ายและขวาเป็นลำโพง
ด้านบน – เป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง ขวามือสุดเป็นช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร และลำโพงซ้ายและขวา

โดยเมื่อรวมกับลำโพงอีก 2 ตัวด้านล่าง iPad Pro 9.7 นิ้ว จะมีลำโพงถึง 4 ตัว (แบบเดียวกับ iPad Pro 12.9”) สามารถแบ่งหน้าที่การทำงานคือ 2 ตัวบนเป็นลำโพงเสียงแหลมซ้ายขวา 2 ตัวล่างเป็นลำโพงเบสซ้ายขวา และเมื่อใดก็ตามที่ผู้ใช้พลิกตะแคงเครื่องไปแนวอื่น ลำโพงทั้งสองคู่จะสามารถสลับตำแหน่งการทำงานได้ตามที่เซ็นเซอร์ตรวจจับเพื่อรักษาสมดุลเสียงสเตอริโอให้คงที่ รวมถึงการแยกเสียงซ้ายและขวาจะต้องเป็นไปอย่างถูกต้องไม่ว่าผู้ใช้จะใช้ไอแพดในมุมมองใดก็ตาม เสียงที่ออกมาต้องสมบูรณ์แบบที่สุด

IMG_4441

case-pro97

iPad Pro 9.7 นิ้ว เมื่อรวมร่างกับ Smart Keyboard (Made for iPad Pro 9.7-inch) นอกจากนั้นยังรองรับดินสอไฮเทค Apple Pencil ด้วย

IMG_4451

ส่วนอะแดปเตอร์ชาร์จไฟจะให้รุ่น 10 วัตต์มา

สเปกประมวลผล

เริ่มจากหน่วยประมวลผล (ซีพียู) เลือกใช้ Apple A9X Dual Core 64 บิต ตัวเดียวกับที่ใช้บน iPad Pro 12.9 นิ้ว แต่ลดความเร็วเหลือ 2.16GHz พร้อมกราฟฟิก PowerVR Series 7 แรม 2GB และแบตเตอรีให้มา 7,306 มิลลิแอมป์

ด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร สำหรับรุ่น WiFi + Cellular จะรองรับ 3G/4G LTE ทุกคลื่นความถี่ที่มีในประเทศไทย WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac ทั้ง 2.4GHz และ 5GHz พร้อม MIMO, บลูทูธรองรับเวอร์ชัน 4.2

ส่วนความจุทั้ง 2 โมเดลมีให้เลือกตั้งแต่ 32GB/128GB/256GB

ซอฟต์แวร์เด่น

home-pro97

split-screen-pro97

iPad Pro 9.7 นิ้วจะมาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 9.3 โดยฟีเจอร์เด่นเมื่อใช้งานบนไอแพดก็คือ Split-screen ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถแบ่งครึ่งจอเพื่อใช้งานแอปพลิเคชัน 2 ตัวพร้อมกันได้

camera-pro97

ส่วนแอปฯกล้องก็มีการปรับเพิ่มฟังก์ชันใช้งานให้เหมือนกับ iPhone 6s พร้อม Live Photos และปุ่มเปิดปิดไฟแฟลช โดยกล้องของ iPad Pro 9.7 นิ้วจะให้คุณภาพทั้งไฟล์ภาพและการใช้งานทุกอย่างเหมือนกับ iPhone ทั้งหมด

ทดสอบประสิทธิภาพ

antutu-pro97

antutucompare

เริ่มจาก AnTuTu Benchmark ทำคะแนนทดสอบได้ 159,087 คะแนน เทียบกับ iPad Pro 12.9 นิ้ว (ทำคะแนนทดสอบได้ 184,084 คะแนน) จะเห็นว่าคะแนนต่างกันบ้างเนื่องจาก iPad Pro 9.7 นิ้วมีการลดสเปกซีพียูและแรมลง

geekbench-pro97

benchmark-pro97

ในส่วนคะแนนทดสอบ Geekbench Single Core อยู่ที่ 3,075 คะแนน Multi Core อยู่ที่ 5,246 คะแนน
มาถึงการทดสอบกราฟิกด้วย 3D Mark ชุดทดสอบ Sling Shot Extreme ทำได้คะแนนได้ 2,844 คะแนน ส่วน Ice Storm Unlimited อยู่ที่ 33,383 คะแนน

battery-test-pro97

batt-compare

มาถึงการทดสอบแบตเตอรี อย่างแรกต้องเข้าใจสเปกก่อนว่า iPad Pro 9.7 นิ้ว ถูกลดสเปกแบตเตอรีจาก iPad Pro 12.9 นิ้วที่ 10,307 มิลลิแอมป์ เหลือ 7,306 มิลลิแอมป์ ทำให้เวลาใช้งานต่อเนื่องลดลงเล็กน้อยจาก 16 ชั่วโมงปลายๆ เหลือเพียง 14 ชั่วโมง 22 นาที 20 วินาที หรือถ้าคิดเป็นเวลาใช้งานทั่วไป (สแตนบายบ้างใช้งานบ้างสลับทั้งวัน) จะอยู่ที่ประมาณ 19-21 ชั่วโมง ถือว่าโอเค ใช้งานตลอดทั้งวันสบายๆหายห่วง

ลองมาทดสอบประสิทธิภาพเพื่อตอบคำถามว่า “แรม 2GB กับสเปกบางส่วนที่ลดลงจะเพียงพอต่อการใช้งานหรือไม่” (กรุณาชมคลิปด้านบนประกอบความเข้าใจไปด้วย) ผลการทดสอบจะเห็นว่า iPad Pro 9.7 นิ้ว ให้ประสิทธิภาพการทำงานทั้งหมดไม่แตกต่างจาก iPad Pro 12.9 นิ้วมากนัก ทุกอย่างที่เคยทำบน iPad Pro 12.9 นิ้วได้ iPad Pro 9.7 นิ้วก็ทำได้เช่นกัน เพียงแต่ถ้าใช้งานหนักมากจริงๆ เช่นต้องเปิดและรันปลั๊กอินแอปฯทำเพลงต่างๆไว้เบื้องหลังจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้จะทำให้ iPad เกิดอาการกระตุกขึ้นได้

imovie-pro97

music-pro97-2

ส่วนการตัดต่อวิดีโอ 4K หรือคลิป 1080p รวมถึงการจัดทำเพลงด้วยแอปฯ GarageBand ส่วนนี้สามารถทำได้อย่างไม่มีปัญหา ทุกอย่างทำได้ลื่นไหลไม่เสียชื่อตระกูล Pro แน่นอน

รับชมอีกหนึ่งคลิปวิดีโอรีดเค้นประสิทธิภาพ iPad Pro 9.7 นิ้วกับการใช้เล่นดนตรีสดผ่านแอปฯ GarageBand ด้วยฟีเจอร์ Live Loops

สุดท้ายกับการทดสอบกล้องถ่ายภาพทั้งหน้าและหลัง เนื่องจากแอปเปิลตั้งใจปรับฮาร์ดแวร์กล้องให้เท่ากับ iPhone 6s พร้อมไฟแฟลช LED เป็นครั้งแรก (ส่วน iPad Pro 12.9 นิ้วจะใช้สเปกกล้องตัวเก่าแบบเดียวกับ iPad mini 4 และ iPad Air 2) ผลลัพท์ของการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ก็คือ ภาพและวิดีโอ 4K และ 1080p ที่ได้ให้คุณภาพไม่ต่างจาก iPhone 6s แต่อย่างใด ทุกฟีเจอร์กล้องที่ iPhone 6s ทำได้ iPad Pro 9.7 นิ้วก็ทำได้ไม่ต่างกัน

สรุป

ราคาเปิดตัว iPad Pro 9.7 นิ้ว WiFi เริ่มต้น 22,900 บาท – 34,900 บาท ส่วนรุ่น WiFi + Cellular เริ่มต้น 27,900 บาท – 39,900 บาท

iPad Pro 9.7 นิ้ว ยังถือว่าเป็นไฮเอนด์แท็บเล็ตจากแอปเปิลไม่ต่างจากรุ่นพี่ใหญ่ 12.9 นิ้ว โดยขนาดหน้าจอ 9.7 นิ้วเป็นขนาดที่แอปเปิลขายดีที่สุด เนื่องจากหน้าจอมีขนาดพอเหมาะกับการพกพาและใช้งานด้านเอนเตอร์เทนเมนต์ได้พอดิบพอดี อีกทั้งในส่วนประสิทธิภาพแม้จะถูกลดทอนสเปกจากรุ่น 12.9 นิ้วลงไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับการใช้งานปกติ แอปฯทุกตัวที่ใช้งานบน iPad Pro 12.9 นิ้วได้ iPad Pro 9.7 นิ้วก็ใช้งานได้เช่นกัน

เพราะฉะนั้นเลิกกังวลกันได้เสียทีว่า ด้วยสเปกที่ลดลงจะทำให้ระบบเครื่องทำงานได้ช้า ส่วนนี้แอปเปิลปรับแต่งมาได้ดีตามแบบฉบับเช่นเดิม ใช้มาร่วมอาทิตย์ก็ไม่พบปัญหาแอปฯเด้งเพราะแรมหมดแต่อย่างใด

คราวนี้ถ้าถามว่าระหว่าง iPad Pro 12.9 นิ้ว เทียบกับ iPad Pro 9.7 นิ้ว ซื้อรุ่นไหนคุ้มค่ากว่ากัน?

ทีมงานขอตอบว่า ถ้าคุณต้องการ iPad ประสิทธิภาพสูงสุด เช่น ต้องการหา iPad ไว้ตัดต่อวิดีโอตกแต่งภาพ วาดการ์ตูนหรือทำเพลงแบบมืออาชีพที่ต้องใช้แอปฯปลั๊กอินทำงานเบื้องหลังจำนวนมาก iPad Pro 12.9 นิ้วจะเหมาะสมที่สุด เพราะด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่เทียบเท่า MacBook แล้ว ประสิทธิภาพถือว่าจัดเต็มสุด

ส่วนถ้าคุณต้องการ iPad เพื่อใช้งานทั่วไป เน้นความคุ้มค่าเป็นหลัก ไปถึงต้องการ iPad ที่สามารถพกพาได้ในขนาดกำลังพอดีมือและต้องการประสิทธิภาพประมวลผลที่สูงแบบเดียวกับพี่ใหญ่ iPad Pro 9.7 นิ้วน่าจะเหมาะสมที่สุด โดยเฉพาะการนำไปใช้งานด้านเอนเตอร์เทนเมนต์ พกพาเป็นโรงหนังเคลื่อนที่ไปถึงคนชอบอ่าน E-Book ด้วยหน้าจอใหม่ True Tone Display ที่มีเฉพาะ iPad Pro 9.7 นิ้วในตอนนี้ น่าจะทำให้คุณหลงรักได้ไม่ยาก

ข้อดี

– เป็น iPad ที่หน้าจอสวยสุดในปัจจุบันนี้
– ความหนา น้ำหนักกำลังพอดีมือ เป็น iPad Pro ที่อนาคตจะเข้ามาแทนที่ iPad Air ได้สมบูรณ์มาก
– ลำโพง 4 ตัว ทรงพลังเช่นเดิม
– True Tone Display ปรับสีหน้าจอตามสภาพแวดล้อมได้เนียนตามาก
– กล้องหลังและหน้ารวมถึงไฟแฟลชที่หลายคนรอคอย ถูกติดตั้งมาให้อย่างสมบูรณ์

ข้อสังเกต

– กล้องหลังนูนออกมาค่อนข้างมาก (ใครใช้รุ่นนี้แล้วไม่ใส่เคสหลัง ต้องระวังเลนส์กล้องเป็นรอย)
– อุปกรณ์เสริมอย่าง Smart Keyboard ที่ควรจะเป็นข้อดีเพราะเมื่อใช้ร่วมกับ iPad แล้ว ทำงานได้ยอดเยี่ยมมาก แต่ที่ต้องให้เป็นข้อสังเกตไว้เพราะไม่มีภาษาไทย และราคาสูงมาก

Gallery

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็น

REVIEW OVERVIEW
การออกแบบ
9.5
สเปก/ฟีเจอร์เด่น
9
ความสามารถโดยรวม
9
ความคุ้มค่า
9
SHARE