Review : iPad Pro 10.5 WiFi (2017) ทรงพลังใกล้เคียงแล็ปท็อปพีซี

27870

หลังจากแอปเปิลเลือกปรับไลน์กลุ่มแท็บเล็ต iPad ใหม่ โดยให้ iPad mini 4 และ iPad (2017 แทนที่ iPad Air) เป็นคู่ยึดตลาดราคาประหยัดเน้นความคุ้มค่า ในส่วนระดับบนเน้นประสิทธิภาพ ราคาสูง แอปเปิลได้เลือกเปิดตัว iPad Pro ใหม่ 2 ขนาดหน้าจอ คือรุ่น 12.9 นิ้วและ 10.5 นิ้ว พร้อมเลือกปรับสเปกให้กลุ่ม iPad Pro มีประสิทธิภาพสูงขึ้นจากรุ่นเดิมตั้งแต่การประมวลผลไปถึงจอภาพใหม่ ProMotion 120Hz ครั้งแรกของตลาดแท็บเล็ต

การออกแบบ

iPad Pro ขึ้นชื่อว่าเป็นแท็บเล็ตที่มีราคาแพงที่สุดในตลาด เพราะฉะนั้นเรื่องงานออกแบบ แอปเปิลจึงค่อนข้างพิถีพิถัน โดยเฉพาะรุ่นไฮไลท์ 10.5 นิ้วที่ทีมงานไซเบอร์บิซนำมารีวิวในวันนี้ จะเป็นรุ่นที่ได้รับการออกแบบใหม่หมดทุกสัดส่วน ตั้งแต่ขนาดหน้าจอ 10.5 นิ้ว ความละเอียด 2,224 x 1,668 พิกเซล (ความหนาแน่นพิกเซล 264 พิกเซลต่อตารางนิ้ว) มาพร้อมกล้องหน้าความละเอียด 7 ล้านพิกเซล รูรับแสง f2.2 รองรับ Retina Flash, TouchID อัปเกรดไปใช้รุ่น 2 และมีเซ็นเซอร์ตรวจวัด Ambient light sensor เพื่อใช้ร่วมกับฟีเจอร์ True Tone Display

ในส่วนขนาดตัวเครื่อง ถึงแม้หน้าจอจะมีขนาดใหญ่จากรุ่นเดิมถึง 20% (ใช้วิธีขยายขอบจอภาพแทน) แต่ในส่วนขนาดตัวเครื่องแอปเปิลจะพยายามคงรูปร่างของ iPad Pro 9.7 นิ้วไว้ ตั้งแต่ความหนาตัวเครื่องเท่ากันที่ 6.1 มิลลิเมตร ในขณะที่ด้านยาวจะต่างกันประมาณ 10 มิลลิเมตรและน้ำหนักต่างกันในหลัก 10-20 กรัมเท่านั้น (iPad Pro 10.5 นิ้วมีน้ำหนัก 469 กรัมในรุ่น WiFi และ 477 กรัมในรุ่น WiFi+Cellular) เรียกได้ว่าคนที่ยังชื่นชอบดีไซน์ iPad Pro 9.7 นิ้วจะรู้สึกแตกต่างจากเดิมเล็กน้อยเมื่อเปลี่ยนมาใช้ iPad Pro 10.5 นิ้ว

ด้านหลัง ใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียมขึ้นรูปแผ่นเดียว เป็นที่อยู่ของกล้องถ่ายภาพหลัก (Main Camera) ที่ถูกอัปเกรดไปใช้สเปกเดียวกับ iPhone 7 ตั้งแต่ความละเอียดภาพ 12 ล้านพิกเซล มาพร้อมเลนส์กล้องรูรับแสง f1.8 มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว ไฟแฟลชแบบ LED TrueTone 4 ดวงและออโต้โฟกัสแบบ Focus Pixels รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 30 เฟรมต่อวินาทีและวิดีโอสโลโมชั่น 720p 240 เฟรมต่อวินาที

มาถึงพอร์ตเชื่อมต่อและปุ่มกดรอบตัวเครื่อง เริ่มจากด้านขวาจะเป็นที่อยู่ของปุ่มเพิ่มลดเสียง (สังเกตกล้องหลักจะยื่นออกมาจากตัวเครื่องด้านหลังค่อนข้างมาก เวลาวางบนโต๊ะต้องใช้ความระมัดระวัง)

ซ้าย ตรงกลางเป็นพอร์ต Smart Connector สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมจากแอปเปิล เช่น คีย์บอร์ด

บน ซ้ายสุดจะเป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง/หน้าจอ > ลำโพงตัวที่ 1 > ไมโครโฟน > ลำโพงตัวที่ 2 > ช่องเชื่อมต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร

ล่าง ลำโพงตัวที่ 3 > พอร์ต Lightning > ลำโพงตัวที่ 4

*ลำโพงใน iPad Pro 10.5 นิ้วจะเป็นสเตอริโอ 4 ตัว แบ่งการทำงานเป็นคู่ โดยคู่แรกจะให้เสียงแหลมแยกลำโพงซ้ายขวา คู่ที่สองเป็นเสียงกลางและเบสแยกลำโพงซ้ายขวา อีกทั้งเมื่อผู้ใช้ตะแคงเครื่องจากแนวตั้งมาแนวนอนหรือกลับเครื่องจากบนลงล่าง ล่างขึ้นบน ไม่ว่าหมุนเครื่องไปมุมไหนก็ตาม ระบบภายในจะบาลานซ์ปรับเสียงแหลม กลาง เบส แยกลำโพงซ้ายขวาให้อย่างถูกต้องทุกองศาการรับฟัง เพราะภายในมีเซ็นเซอร์ตรวจจับอยู่

ในส่วนการรองรับ Apple Pencil สำหรับ iPad Pro 10.5 นิ้ว (รวมถึงรุ่น 12.9 นิ้วใหม่) ยังคงรองรับ Apple Pencil เช่นเดิม แต่ประสิทธิภาพจะดีขึ้น

สเปกและฟีเจอร์เด่น

iPad Pro 10.5 นิ้ว และ 12.9 นิ้ว (2017) ขับเคลื่อนด้วยซีพียู Apple A10X Fusion 64-bit แบบ 6-core CPU 12-core GPU ทำงานร่วมกับชิป M10 พร้อมแรม 4GB รอมมีให้เลือก 64/256/512GB โดยรุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบเป็นความจุ 512GB WiFi

ด้านการเชื่อมต่อเครือข่าย WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac (2.4GHz และ 5GHz) พร้อม MIMO นอกจากนั้นยังรองรับเทคโนโลยีเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth 4.2 พร้อมเข็มทิศดิจิตอลในตัวและรองรับเทคโนโลยีเฉพาะ iBeacon หรือเทคโนโลยีระบุตำแหน่งในอาคาร

ส่วนรุ่น WiFi+Cellular จะเพิ่มเติมความสามารถในการรองรับเครือข่ายโทรศัพท์ผ่าน Nano Sim รองรับการเชื่อมต่อ 3G/4G LTE ทุกเครือข่ายในประเทศไทย นอกจากนั้นยังรองรับ GPS/GLONASS เพื่อใช้งานแผนที่นำทางได้ด้วย

ด้านแบตเตอรี ในรุ่นหน้าจอ 10.5 นิ้วที่ทีมงานนำมาทดสอบจะถูกขยายความจุเป็น 30.4 Wh จากเดิมในรุ่น 9.7 นิ้วอยู่ที่ 27.9 Wh สามารถใช้งานต่อเนื่องยาวนาน 10 ชั่วโมง และ iPad Pro 2017 ยังรองรับการชาร์จไฟแบบเร็วผ่านอะแดปเตอร์ USB-C ของแอปเปิลอีกด้วย

ด้านระบบปฏิบัติการปัจุบัน iPad Pro ขับเคลื่อนด้วย iOS 10 แต่ในอนาคต iOS 11 จะเป็นระบบปฏิบัติการที่เหมาะสมกับ iPad Pro (2017) มากที่สุด

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

3DMark (iPad Pro 9.7″ – 2016 Model)

3DMark (iPad Pro 10.5″ – 2017 Model)

AnTuTu Benchmark (iPad Pro 9.7″ – 2016 Model)

AnTuTu Benchmark (iPad Pro 10.5″ – 2017 Model)

เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วว่า iPad Pro 10.5 นิ้วเมื่อเทียบกับ iPad Pro 9.7 นิ้วรุ่นปีที่แล้วต้องดีกว่า รวมถึงการใช้งาน ความลื่นไหล โดยเฉพาะการเปิดใช้ฟีเจอร์ Multitasking 2 จอเพื่อทำงาน iPad Pro 10.5 จะให้ประสิทธิภาพด้านการประมวลผลที่ดีอย่างเห็นได้ชัด แอปฯต่างๆสามารถโหลดข้อมูลได้รวดเร็วขึ้น

ส่วนคนที่ชอบใช้ iPad Pro สร้างผลงานเพลงทั้งจากแอปฯเฉพาะทาง เช่น NanoStudio, GarageBand ไปถึงการวาดภาพ สร้างภาพ ตัดต่อภาพผ่าน Adobe Photoshop หรือตัดต่อวิดีโอ 4K รวมถึงช่างภาพที่ต้องจัดการรูปภาพความละเอียดสูง iPad Pro รุ่นใหม่นี้สามารถตอบสนองการทำงานเหล่านั้นได้ไม่ต่างจากแล็ปท็อป PC หรือเรียกได้ว่าสเปกเครื่องเหลือๆให้ใช้งานได้ตั้งแต่รับชมภาพยนตร์ ทำงาน เล่นเกม ทุกอย่างสามารถจัดการได้บน iPad Pro ทั้งหมด

ในส่วนจุดเด่นอย่างจอภาพใหม่ที่มาพร้อมเทคโนโลยี “ProMotion” พร้อมอัตราการดึงข้อมูลส่วนจอภาพสูงถึง 120Hz ครั้งแรกในกลุ่มแท็บเล็ตระดับยูสเซอร์ ที่นอกจากความลื่นไหล ตอบสนองต่อการกดสั่งงานได้รวดเร็วกว่าเดิมแล้ว เมื่อลองใช้ Apple Pencil เทียบกับ iPad Pro รุ่นก่อนหน้า (หน้าจอ 60Hz) Apple Pencil บน iPad Pro 2017 สามารถลากเส้นได้ต่อเนื่องและลื่นไหล เป็นธรรมชาติกว่าด้วย (พิสูจน์ด้วยตาคุณเองที่คลิปวิดีโอด้านบนสุดช่วงเวลา 1 นาที 29 วินาที)

สรุปภาพรวม iPad Pro 2017 ต้องเรียกได้ว่าเป็นแท็บเล็ตระดับบนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในตลาดในตอนนี้ทั้งเรื่องสเปกและประสิทธิภาพการประมวลผลของซีพียูที่ใกล้เคียงกับอัลตร้าบุ๊ก ไปถึงเรื่องลำโพง 4 ตัวที่ให้เสียงดีสุดในตลาดตอนนี้ คนที่กำลังมองหาแท็บเล็ตเน้นทำงานแบบหนักหน่วง หรือคนชอบเน้นเล่นเกม วาดภาพ ใช้ทำงานศิลปะหรือชอบดูหนัง ฟังเพลง iPad Pro ถือเป็นอีกหนึ่งแท็บเล็ตที่น่าสนใจเช่นกัน

ในส่วนราคาและรุ่นมีดังต่อไปนี้

iPad Pro 10.5 นิ้ว WiFi 64GB เริ่มต้นที่ 24,500 บาท ถึง 34,700 บาทในรุ่น WiFi 512GB
iPad Pro 12.9 นิ้ว WiFi 64GB เริ่มต้นที่ 30,900 บาท ถึง 41,100 บาทในรุ่น WiFi 512GB

iPad Pro 10.5 นิ้ว WiFi+Cellular 64GB เริ่มต้นที่ 29,500 บาท ถึง 39,700 บาทในรุ่น WiFi+Cellular 512GB
iPad Pro 12.9 นิ้ว WiFi+Cellular 64GB เริ่มต้นที่ 35,900 บาท ถึง 46,100 บาทในรุ่น WiFi+Cellular 512GB

มี 4 สีให้เลือก ได้แก่ สีเงิน, เทาสเปซเกรย์, ทองและโรสโกลด์ ส่วนอุปกรณ์เสริมอย่าง Apple Pencil (ซื้อแยก ไม่มีแถม) อยู่ที่ 3,900 บาท ส่วน Smart Keyboard อยู่ที่ 5,900 บาท

ข้อดี

– รุ่น 10.5 นิ้วออกแบบดี เป็นรุ่นเน้นการพกพามากที่สุด ขนาดและน้ำหนักไม่ต่างจาก 9.7 นิ้วเดิมมากนัก
– หน้าจอ 120Hz ลื่นไหลตั้งแต่เปิดเครื่อง สไลด์นิ้วปลดล็อกจอ
– สเปกเครื่องดีมาก ใช้งานได้หลากหลาย
– ลำโพง 4 ตัวให้เสียงดีสุดในตลาดแท็บเล็ตตอนนี้
– กล้องปรับปรุงใหม่สเปกเดียวกับ iPhone 7 (มาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวด้วย)

ข้อสังเกต

– แอปฯบางตัว เช่น เกม ส่วนใหญ่ยังไม่รองรับจอ 120Hz
– ไม่แถมอะแดปเตอร์ชาร์จไฟแบบเร็วมาให้ ต้องซื้อเพิ่ม

Gallery

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็น

REVIEW OVERVIEW
การออกแบบ
9
สเปก/ฟีเจอร์เด่น
9.8
ความสามารถโดยรวม
9.5
ความคุ้มค่า
9
SHARE