“ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น มีการแบ่งรุ่นย่อยเป็น 2 รุ่น 2 ขนาดหน้าจอตามเทรนด์สมาร์ทโฟนโลกที่เปลี่ยนแปลงไปมาก รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพระหว่างฮาร์ดแวร์และระบบปฏิบัติการ iOS 8 ให้ทำงานสอดคล้องกันมากขึ้น คือจุดเด่นที่หาได้จาก iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ที่ชัดเจนสุด” ส่วนถ้าผู้อ่านกำลังถามหาเรื่องนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกใน iPhone รุ่นใหม่นี้ ต้องขอเรียนตามตรงว่า “ไม่มีให้เห็นแน่นอน”

วิดีโอพรีวิว สัมผัสแรก iPhone 6 Plus สำหรับผู้อ่านที่อยากเห็นลักษณะการใช้งานต่างๆ ในรูปแบบภาพเคลื่อนไหว

แต่ก็ใช่ว่า iPhone 6 และ iPhone 6 Plus จะไม่มีสิ่งใดน่าสนใจเลย เพราะนี่คือครั้งแรกที่แอปเปิลยอมกลืนน้ำลายตัวเองตามใจผู้บริโภคขยายหน้าจอ iPhone ให้ใหญ่สุดถึง 5.5 นิ้วในรุ่น 6 Plus (รุ่นที่เราจะทดสอบในวันนี้) พร้อมความละเอียดหน้าจอ 1080p ในขณะที่ฮาร์ดแวร์บางส่วนแอปเปิลอัปเกรดเพื่อเน้นสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมมากกว่าจะเน้นอัดฟีเจอร์ให้มากเกินความจำเป็นบนแนวความคิดเดิมคือ “เรียบง่าย เข้าถึงง่าย” ซึ่งจะถูกใจเหล่าสาวกที่รอคอย iPhone 6 และ iPhone 6 Plus หรือไม่ติดตามรีวิวได้ต่อจากนี้

iPhone 6 Plus รุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบเป็นเครื่องซื้อมาเพื่อใช้งานจริง เพราะฉะนั้นบางภาพประกอบจะเห็นฟิล์มกันรอยหน้าจอและฟิล์มกันรอยตัวเครื่อง

การออกแบบ 


557000013694003

สำหรับ iPhone รุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบจะเป็นรุ่น 6 Plus หน้าจอ IPS Retina HD ขนาด 5.5 นิ้ว (รุ่นธรรมดาหน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว) ความละเอียดหน้าจอ 1,920×1,080 พิกเซล ในขณะที่รุ่นธรรมดาความละเอียดหน้าจออยู่ที่ 1,334×750 พิกเซล ความละเอียดพิกเซลต่อตารางนิ้วอยู่ที่ 401 ppi (รุ่นธรรมดาอยู่ที่ 326 ppi) อัตราคอนทราสต์ปรับเพิ่มจากรุ่น 5s ที่ 800:1 เป็น 1,300:1 พร้อมพิกเซลแบบพิเศษ Dual-domain ครั้งแรกในไอโฟนเพื่อมุมมองที่กว้างขึ้นกว่ารุ่นเดิม

เหนือหน้าจอขึ้นไปจะเป็นที่อยู่ของกล้องหน้า FaceTime ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล (1,280×960 พิกเซล) รูรับแสงถูกปรับให้กว้างขึ้นเป็น f2.2 จากเดิมอยู่ที่ f2.4 เพื่อการรับแสงในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น พร้อมเพิ่มความสามารถในการถ่ายภาพต่อเนื่องและ HDR ทั้งวิดีโอและภาพนิ่ง

ด้านใต้หน้าจอยังคงเป็นที่อยู่ของปุ่มโฮมพร้อม TouchID หรือระบบสแกนลายนิ้วมือเหมือนรุ่นก่อนหน้าทั้งหมด

557000013694006557000013694005

ส่วนการออกแบบครั้งนี้แอปเปิลปรับดีไซน์พื้นผิวด้านหลังให้เป็นลักษณะโค้งมน วัสดุที่ใช้ยังเป็นอลูมิเนียม สีตัวเครื่องมีให้เลือก 3 สีได้แก่ เงิน ทองและเทาสเปซเกรย์ ความหนาสำหรับ iPhone 6 Plus อยู่ที่ 7.1 มิลลิเมตร iPhone 6 ธรรมดาอยู่ที่ 6.9 มิลลิเมตร ในส่วนน้ำหนักสำหรับ 6 Plus จะมีน้ำหนักมากสุดที่ 172 กรัม ในขณะ iPhone 6 รุ่นธรรมดาอยู่ที่ 129 กรัม และเบาสุดคือ iPhone 5s ที่ 112 กรัม

557000013694007

มาถึงด้านหลังของตัวเครื่อง ด้านบนสุดจะเป็นที่อยู่ของกล้องถ่ายภาพความละเอียด 8 ล้านพิกเซล โดยถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่ากล้องใน iPhone 6 และ 6 Plus จะนูนจากฝาหลังเครื่องขึ้นมา ทำให้เวลาวางตัวเครื่องลงกับโต๊ะ เลนส์จะสัมผัสกับพื้นโต๊ะโดยตรง แต่จากการทดสอบมาตลอด 10 วันโดยการวางตัวเครื่องในพื้นที่ที่หลากหลายตั้งแต่โต๊ะไม้ พื้นหินอ่อนและเหล็ก ยังไม่พบรอยเกิดขึ้นที่ชิ้นกระจกเลนส์แต่อย่างใด คาดว่าผลึกแซฟไฟร์ป้องกันหน้าเลนส์จะมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าที่ผมแอบทำเป็นรอยเล็กน้อยตอนทดสอบ

ส่วนไมโครโฟนที่ติดตั้งถัดมาจากเลนส์ยังคงรับเสียงเวลาถ่ายวิดีโอได้ดีเหมือนเดิมและไฟ LED แฟลชแบบทูโทน แอปเปิลได้ออกแบบใหม่เป็นวงกลมและเปลี่ยนกระจกที่กั้นไฟแฟลชเป็นแบบขาวขุ่น ซึ่งช่วยให้แสงที่ยิงออกมาตรงๆ มีความนุ่มนวลกว่าเดิมเล็กน้อย

557000013694008557000013694009

มาดูด้านข้างเครื่องกันบ้าง เริ่มจากด้านขวามือ แอปเปิลได้ย้ายปุ่มเปิด-ปิดเครื่องลงมาไว้ด้านข้าง เพราะขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ถัดลงมาเป็นช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์แบบ Nano Sim

อีกด้านจะเป็นที่อยู่ของสวิตซ์เปิด-ปิดเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของแอปเปิลมาตั้งแต่รุ่นแรก ถัดลงไปจะเป็นปุ่มเพิ่มลดเสียงลำโพง

557000013694010

ด้านล่างของตัวเครื่องจะเป็นที่อยู่ของช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร ไมโครโฟน Lightning Port และลำโพง

สเปกและฮาร์ดแวร์เด่น


 

557000013694011

เริ่มจากสเปกซีพียูของ iPhone 6 และ 6 Plus จะใช้ซีพียู Apple A8 Dual Core 1.4GHz บนสถาปัตยกรรม 64 บิตพร้อมชิปประมวลผลการเคลื่อนไหว Apple M8 กราฟิกเลือกใช้ PowerVR GX6450 แบบ Quad-core แรม 1GB ความจุมีให้เลือก 16GB 64GB และสูงสุด 128GB แต่รุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบคือรุ่น 16GB

ส่วนแบตเตอรีสำหรับรุ่น iPhone 6 Plus จะให้ความจุมามากถึง 2,915 mAh เพื่อให้สอดคล้องกับขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นและละเอียดมากขึ้น ในขณะที่ iPhone 6 รุ่นธรรมดาให้ความจุแบตเตอรีมาเพียง 1,810 mAh ห่างกันเป็นเท่าตัว

สำหรับการรองรับเครือข่ายโทรศัพท์ รับได้ทั้ง 3G และ 4G LTE ทุกเครื่อข่ายในไทย WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11a/b/g/n/ac Bluetooth 4.0 GPS และ GLONASS พร้อม NFC แต่ปัจจุบันใช้ได้เฉพาะบริการ Apple Pay เท่านั้น ส่วนระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งมากับเครื่องคือ iOS 8

มาถึงสเปกกล้องถ่ายภาพด้านหลัง แอปเปิลยกกล้อง iSight จาก iPhone 5s แต่ปรับรูรับแสงให้กว้างขึ้นที่ f2.2 และปรับปรุงฮาร์ดแวร์บางส่วน โดยความละเอียดภาพสูงสุดจะอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์รับภาพยังคงใช้ขนาด 1/3” เหมือนรุ่นก่อนหน้า แต่พัฒนาปรับปรุงระบบตรวจจับโฟกัสอัตโนมัติใหม่ด้วยการนำเทคโนโลยีโฟกัสแบบ Phase detection เข้ามาใช้บนเทคโนโลยี “Focus Pixels” โดยเมื่อรวมการทำงานเข้ากับซีพียูตัวใหม่แล้ว กล้องใน iPhone 6 และ 6 Plus จะประมวลผลภาพและขจัดสัญญาณรบกวรในที่แสงน้อยได้ดีขึ้นมาก

วิดีโอแสดงให้เห็นถึงการทำงานของ Optical & Digital image stabilization ขณะเดินและวิ่งถ่ายวิดีโอที่ความเร็ว 60 เฟรมต่อวินาที (อย่าลืมปรับความละเอียด YouTube 1080p60 ที่รูปเฟืองขวาล่างก่อนรับชม)

แต่ทั้งนี้แอปเปิลได้แยกฮาร์ดแวร์กล้องหนึ่งตัวเก็บไว้สร้างความพิเศษให้ iPhone 6 Plus รุ่นเดียวเท่านั้นก็คือ “Optical image stabilization หรืออธิบายการทำงานก็คือ ชิ้นเลนส์ใน iPhone 6 Plus จะขยับได้ตามมือที่สั่นและทุกค่าที่ระบบป้องกันภาพสั่นไหวตรวจจับได้จะถูกประมวลผลรวมกับไจโรสโคป ชิป M8 และซีพียู A8 จากนั้นโปรแกรมภายในจะสั่งเข้าซอฟต์แวร์ป้องกันภาพสั่นไหวแบบดิจิตอลอีกครั้งเพื่อให้ผลลัพท์ภาพออกมาดีที่สุด” ในขณะที่ iPhone 6 รุ่นธรรมดาจะได้แค่ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบดิจิตอลผ่านซอฟต์แวร์เท่านั้น

วิดีโอ Slo-mo 240 เฟรมต่อวินาทีจาก iPhone 6 Plus

วิดีโอ Slo-mo 120 เฟรมต่อวินาทีจาก iPhone 5s สำหรับคนที่ต้องการเปรียบเทียบ

นอกจากนั้นในส่วนสเปกวิดีโอก็ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยสามารถบันทึกวิดีโอที่ความเร็ว 60 เฟรมต่อวินาทีได้ที่ความละเอียด 1,920×1,080 พิกเซล และโหมดสโลว์โมชัน (Slo-mo) ยังสามารถตั้งเฟรมเรตได้สูงถึง 240 เฟรมต่อวินาทีได้

User Interface และซอฟต์แวร์เด่น


557000013694012

557000013694013

หน้าจอแสดงผลสามารถปรับแบบแนวนอน (Landscape) ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นทำให้ผู้ใช้สามารถพลิกนอนเครื่องแล้วหน้าโฮมสกรีนและแอปฯที่มากับเครื่องหลายตัวสามารถแสดงผลแนวนอนได้แบบเดียวกับ iPad

557000013694014

ฟีเจอร์เด่นที่สองกับ ”Display Zoom” ที่ออกแบบมาให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้งานแบบซูมหน้าจอ เป็นผลทำให้ทั้งไอคอนและตัวอักษรใหญ่ขึ้นได้ เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่สายตาไม่ดี

557000013694015

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ออกแบบมาให้เป็นตัวช่วยผู้ใช้ในการสัมผัสหน้าจอ iPhone ที่เพิ่มขนาดขึ้นและอาจทำให้ประสบการณ์การใช้งานมือเดียวทำได้ลำบากขึ้น “Reachability” จะเข้ามาช่วยเหลือ โดยเมื่อผู้ใช้สัมผัสเบาๆ ที่ปุ่ม Touch ID สองครั้งติดกันหน้าจอด้านบนจะถูกดันลงมาข้างล่าง (สามารถทำได้ทุกแอปฯ) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถนำนิ้วมือตวัดเลือกแอปฯหรือข้อความได้ง่ายขึ้น

**แต่ถึงอย่างไรถ้าเป็นหน้าจอ 5.5 นิ้วใน iPhone 6 Plus กับนิ้วมือสั้นๆ โหมด Reachability เอาเข้าจริงก็ช่วยไม่ได้เพราะเอื้อมนิ้วไม่ถึงอยู่ดี**

557000013694016

ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น แป้นพิมพ์ Keyboard เลยกลายเป็นหนึ่งในฟีเจอร์เด่นไปในทันที เพราะพื้นที่หน้าจอที่กว้างขึ้นทำให้แป้นอักษรมีขนาดใหญ่ขึ้น การกดสัมผัสทำได้แม่นยำมากขึ้น โอกาสพิมพ์ผิดก็น้อยลงมาก ยิ่ง iPhone 6 Plus การจับถือสองมือเพื่อพิมพ์ข้อความ ถือว่าทำได้ดีและพิมพ์ได้เร็วมากกว่าทุกรุ่นที่ผ่านมา

557000013694017

ในส่วนโหมดกล้องถ่ายรูปจะมีการเพิ่มโหมด Time-lapse, Slo-mo 240 เฟรมต่อวินาที ถ่ายภาพต่อเนื่อง (Brust Shot) ทำได้เร็วขึ้นเพียงกดปุ่มชัตเตอร์กล้องค้างไว้ แล้วค่อยเข้าไปเลือกภาพที่ดีที่สุดที่หลัง ส่วนการถ่ายวิดีโอ 1,920×1,080 พิกเซล 60 เฟรมต่อวินาที ผู้ใช้จะต้องเข้าไปเปิดใช้งานในหน้า Settings > Photos & Camera เสียก่อน

ทดสอบประสิทธิภาพ


557000013694018

ซ้าย – แอปฯที่รองรับกับหน้าจอ iPhone 6/6 Plus ขวา – แอปที่ยังไม่รองรับกับความละเอียดหน้าจอ iPhone 6/6 Plus

มาถึงส่วนที่หลายคนอยากทราบผลลัพท์มากที่สุด แต่ก่อนจะทดสอบประสิทธิภาพผมขอตั้งข้อสังเกตเล็กน้อย เพราะหลังจากผมได้ใช้งาน iPhone 6 Plus ที่มาพร้อมหน้าจอความละเอียด 1080p อยู่หลายวัน มีข้อสังเกตว่าแอปฯหลายตัวใน AppStore โดยเฉพาะเกมยังไม่รองรับกับขนาดหน้าจอ 1,920×1080 พิกเซล หรือแม้แต่หน้าจอ iPhone 6 รุ่นธรรมดา 1,334×750 พิกเซลก็มีหลายแอปฯ ยังไม่รองรับ

โดยการสังเกตสำหรับผู้ใช้ก็คือแอปฯที่รองรับกับความละเอียดหน้าจอเก่า 1,136×640 พิกเซลเมื่อมาเปิดใช้งานกับ iPhone 6/6 Plus แถบสถานะ ฟอนต์จะขายใหญ่กว่าปกติ ส่วนภาพกราฟิก ปุ่มกดต่างๆ จะเบลอไม่คมชัดเล็กน้อย

557000013694019

และแน่นอนว่าด้วยแอปฯทดสอบของเราอย่าง AnTuTu Benchamark ยังรองรับกับ iPhone 6/6 Plus ที่ความละเอียดหน้าจอ 1,136×640 พิกเซล ไม่ใช่ 1080p ทำให้ผลคะแนนที่ได้จะสูงถึง 49,394 คะแนน (เพราะทดสอบที่ความละเอียดหน้าจอเก่า)

แต่ถึงอย่างไรแค่คะแนนทดสอบของแอปฯ AnTuTu ตัวเดียวคงไม่สามารถตัดสินชี้เป็นชี้ตายได้ทั้งหมด เพราะอย่าลืมว่านี่คือแอปเปิลที่ใช้ระบบปิด ทุกแอปฯและทุกอย่างที่จะเข้ามาร่วมขบวนแอปเปิลต้องทำตามเงื่อนไขที่แอปเปิลกำหนดไว้ และ iPhone 6 Plus เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นท็อปสุดของแอปเปิล ถึงแม้เมื่อเห็นตัวเลขสเปกแล้วหลายคนจะบอกว่าแอนดรอยด์ดีกว่า แต่ท้ายสุดแล้วการใช้งานจริง iPhone 6 Plus ก็มีความลื่นไหลที่ไม่ต่างจากคู่แข่งไฮเอนด์แต่อย่างใด iOS 8.1 กับ iPhone 6 Plus ทำงานเข้าขากันมาก ตลอดการทดสอบหลายวันต่อเนื่องกัน ไม่พบอาการแอปฯเด้ง ช้า หน่วงแต่อย่างใด

557000013694020

การจัดสรรทรัพยากรเครื่องที่ดีและความพร้อมของแอปฯทุกครั้งที่สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่วางขายยังคงเป็นเสน่ห์ของแอปเปิลอยู่ทุกรุ่น แม้แต่คู่แข่งอย่างแอนดรอยด์ก็เทียบได้ยากเพราะดีไวซ์เยอะเกินไป เพียงแต่ครั้งนี้แอปเปิลอาจพลาดในเรื่องความพร้อมในการจัดเตรียมแอปฯให้สอดคล้องกับขนาดหน้าจอและความละเอียดที่มีมากขึ้น ทำให้แอปฯ หลายตัวในสโตร์เมื่อนำมาใช้งานกับ iPhone รุ่นหน้าจอใหญ่ 1080p จึงให้ประสบการณ์ที่ไม่ดีในการใช้งาน โดยเฉพาะเกมที่ส่วนใหญ่รองรับหน้าจอขนาดเก่า ทำให้กราฟิกค่อนข้างเบลอ เกมที่รองรับกับชุดคำสั่ง Metal ใน iOS 8 ซึ่งจะเข้ากันดีมากกับ iPhone 6/6 Plus ก็ยังมีให้เลือกเล่นน้อย อาจต้องรอความพร้อมที่ดีกว่านี้ในอนาคต

557000013694021

ส่วนเรื่องการเล่นเกมส่วนนี้ถือว่าสอบผ่านมาก เพราะด้วยขนาดหน้าจอใหญ่ 5.5 นิ้วต้องถือว่าเต็มตาเต็มอารมณ์มาก ยิ่งเป็นเกมที่ออกแบบมาให้รีดประสิทธิภาพของ iPhone 6 Plus ออกมาแบบเต็มๆ แล้วภาพที่ได้ถือว่าสวยคมบาดใจอย่างมาก แต่ทั้งนี้ถ้าเจอเกมที่ไม่รองรับกับขนาดหน้าจอ 1080p และเกมดันเลือกแสดงผลที่ความละเอียด 640p เมื่อใด ภาพที่ได้ก็แตกและเบลอจนเสียอรรถรสไปไม่น้อย

557000013694022

มาถึงการทดสอบแบตเตอรีที่ต้องบอกว่า iPhone 6 Plus แบตเตอรีมหาอึดมาก แค่ 2,915 mAh แต่ด้วยการจัดสรรพลังงานและชิป A8+M8 ใหม่ที่บริโภคพลังงานน้อยลง ผมทดสอบใช้งานปกติหนึ่งวัน ล็อกอิน LINE แชทกับเพื่อน ถ่ายภาพ เล่นเกม ฟังเพลงจาก Deezer และเล่นอื่นๆ ตลอดทั้งวัน สามารถใช้งานได้นานถึง 15-18 ชั่วโมง ส่วนถ้าใช้งานหนักมากด้วยการฟังเพลง ชมภาพยนตร์จากสโตร์และเล่นเกมตลอดเวลา แบตเตอรีก็สามารถใช้งานได้นานถึง 8-12 ชั่วโมง

หรือถ้าอยากใช้นำทางด้วย Google Maps ซึ่งผมก็ได้ทดลองนำทางเป็นเวลา 2 ชั่วโมง 45 นาที แบตเตอรีลดจาก 100% เหลือ 53% เท่านั้น

iPhone 6 Plus

ส่วนเรื่องกล้องถ่ายภาพหลังจากการทดสอบ สีสันและโทนจะคล้ายกับ iPhone 5s แต่มีการปรับปรุงเรื่องความคมชัด White Balance ที่ดีกว่าเดิม การออโต้โฟกัสทำได้เร็วขึ้น วัดแสงได้แม่นยำและรวดเร็ว ภาพถ่ายกลางคืนทำได้ดีเพราะส่วนหนึ่งมากจากระบบกันภาพสั่นไหวแบบฮาร์ดแวร์และรูรับแสง f2.2 รวมถึงเรื่องชิปประมวลผลภาพที่ปรับปรุงใหม่ทำให้สีสันของภาพตอนกลางคืนสดใสขึ้น

มาถึงการทดสอบวิดีโอ 1080p ต้องยอมรับว่านี่คือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนมากกว่าผลลัพท์จากการถ่ายภาพนิ่ง เพราะวิดีโอใน iPhone 6/6 Plus มีคุณภาพที่สูงกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะการออโต้โฟกัสที่ฉลาด รวดเร็วและนุ่มนวลไม่โฟกัสกระชากเหมือนเก่า การปรับแสงจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งทำได้ดีขึ้น ระบบป้องกันภาพสั่นไหวถ้าถือถ่ายด้วยมือทำงานได้ค่อนข้างดีเหมือนตั้งขาตั้งกล้องถ่ายอย่างใดอย่างนั้น

สุดท้ายรื่องสำคัญว่าด้วยขนาดตัวเครื่องที่ใหญ่บิ๊กเบิ้มถึงขนาดมีคลิปทดสอบหักงอจนตัวเครื่องได้รับความเสียหายและเป็นประเด็นในโลกโซเชียล ทีมงานอยากเรียนตามตรงว่า ถ้าคุณไม่ใช่พวกชอบทำลายเป็นชีวิตจิตใจ การใช้ iPhone 6 Plus ในชีวิตประจำวันของคนไทยรวมถึงใส่กระเป๋ากางเกงมีโอกาสน้อยมากที่คุณจะทำ iPhone ให้หักงอได้ เว้นแต่คุณตั้งใจทำให้พังเอง และอีกกรณีคือการทำตกจนหน้าจอแตก เรื่องนี้ทีมงานขอเรียนตามตรงว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงมาก เพราะด้วยการจับถือที่ไม่สามารถกระชับมือได้จากขนาดตัวเครื่องที่บางและทำขอบโค้งมนจนลื่นเกินไป ถ้าผู้ใช้คนไทยที่มีมือเล็กโอกาสจับถือแล้วหลุดมือมีสูงมาก อาจต้องกาเคสมาใส่ประกบด้วยจะดีที่สุด

สรุป


557000013694029

ถ้าถามว่า iPhone 6 Plus มีสิ่งใดเหนือกว่า iPhone 6 รุ่นธรรมดาถึงขนาดต้องยอมเพิ่มส่วนต่าง 4,000 บาท ทีมงานขอสรุปให้อ่านอีกครั้งก็คือ

1.กล้องหลังมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบฮาร์ดแวร์เมื่อผนวกกับระบบดิจิตอลแล้ว เมื่อใช้ถ่ายวิดีโอน่าจะดีที่สุดในตลาดตอนนี้ 2.หน้าจอ 5.5 นิ้ว 1080p และ 3.แบตเตอรีก้อนไม่ใหญ่เมื่อเทียบกับคู่แข่งแต่ความอึดอยู่ในระดับเทพ ถ้าถามว่าคุ้มไหมที่เหล่าสาวกจะยอมเสียเงินระดับ 28,900 บาท (16GB) และ 3 หมื่นบาทขึ้นไปสำหรับรุ่น 64GB-128GB คำตอบคือ จะคุ้มมากถ้าผู้อ่านเป็นคนชอบเล่นเกม ถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ มีมือใหญ่หรือถนัดใช้สมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่ ไม่มีปัญหาเรื่องการพกพาใส่กระเป๋ากางเกง ชื่นชอบ iOS และ iPhone อยู่แล้ว การลงทุนระดับ 2-3 หมื่นบาทถือว่าคุณจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่แอปเปิลตั้งใจปรับปรุงมาเฉพาะ iPhone 6 Plus โดยเฉพาะแบตเตอรีที่น่าจะตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ฮาร์ดคอร์ได้ดี

ส่วนผู้อ่านท่านใดไม่ได้สนใจการเล่นเกมและไม่ชอบหน้าจอใหญ่ iPhone 6 รุ่นธรรมดาเป็นคำตอบที่ดีที่สุดครับ เพราะมองว่าราคากำลังดีเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้

แต่ถ้าผู้อ่านไม่ยึดติดกับแบรนด์ กำลังมองหาสมาร์ทโฟนไฮเอนด์ที่คุ้มค่า ราคาไม่หนักกระเป๋าเงินมากเกินไป iPhone 6 และ 6 Plus อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด เพราะด้วยค่าตัวที่สูงระดับ 2 หมื่นถึง 3 หมื่นบาท ในปัจจุบันคุณสามารถหาซื้อสมาร์ทโฟนคู่แข่งที่มีฟีเจอร์เทียบสเปกแล้วคุ้มค่ากว่า iPhone ได้มากมายในท้องตลาด

แต่ทั้งนี้ก่อนตัดสินใจอย่ามองเพียงแค่ตัวเลขสเปก เช่น แอนดรอย์ซีพียูเหนือกว่า แรมมากกว่าจะดีกว่า iPhone 6 หรือ 6 Plus เสมอไป เพราะต้องไม่ลืมว่าระบบปฏิบัติการและความต้องการของแต่ละระบบไม่เหมือนกัน แอนดรอยด์สเปก Quad-core แรม 2GB อาจไม่ดีเท่า iPhone 5s เพราะการจัดสรรภายในทำได้ไม่ดี เพราะฉะนั้นก่อนตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนตัวใดต้องลองศึกษาข้อมูลให้ดีเสียก่อน อย่าให้ตัวเลขสเปกมาหลอกเราได้

ข้อดี
– งานประกอบดีมาก
– หน้าจอคมชัดและสว่าง สู้แสงอาทิตย์ดีกว่าไอโฟนทุกรุ่น
– แบตเตอรีอึด
– ระบบป้องกันภาพสั่นไหวทำงานได้ดี โดยเฉพาะถ่ายวิดีโอ
– Pixels Focus ทำให้การโฟกัสแม่นยำ รวดเร็วและเวลาถ่ายวิดีโอออโต้โฟกัสนุ่มมาก

ข้อสังเกต
– ตัวเครื่องโค้งมน จับไม่ถนัด น้ำหนักมากขึ้น
– แอปฯในสโตร์หลายตัวยังไม่รองรับความละเอียดหน้าจอ 1080p

[usrlist “การออกแบบ:7.5” “สเปก/ฟีเจอร์เด่น:8.5” “ความสามารถโดยรวม:9” “ความคุ้มค่า:8″ avg=”true”]

Gallery

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็น

SHARE