Review : iPhone 7 / 7 Plus ถึงเวลาไอโฟนกันน้ำ กันฝุ่นได้แล้ว

63893

i77plus-head

หลังจากพรีวิวแกะกล่อง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ไปแล้ว วันนี้ก็ถึงคิวของรีวิวฉบับเต็มตามที่ได้สัญญากันไว้ โดยในบทความนี้ทีมงานขอควบรวมทั้ง iPhone 7 และ 7 Plus เป็นรีวิวเดียวกัน เนื่องจากสเปกภายในไม่แตกต่างกันมากจนต้องเป็นประเด็นเว้นกล้องหลังที่ทีมงานจะขอทดสอบกล้องคู่ของ iPhone 7 Plus เป็นหลัก

การออกแบบ

i77plus-compare

DSC_2845

ถึงแม้หน้าตาระหว่าง iPhone 7 / 7 Plus จะไม่แตกต่างต่างจากรุ่น 6s / 6s Plus เนื่องจากมีขนาดตัวเครื่องรวมถึงการออกแบบในภาพรวมไม่ต่างกัน แต่เรื่องน้ำหนัก iPhone 7 / 7 Plus จะมีความเบากว่า iPhone 6s / 6s Plus ประมาณ 4-5 กรัม (ถือแล้วแทบไม่รู้สึกถึงความต่าง) อีกทั้งเรื่องดีไซน์ถ้าเจาะลึกลงไปในเรื่องโครงสร้างยูนิบอดี้จะพบว่า แอปเปิลออกแบบใหม่ให้มีความเรียบร้อยมากขึ้น ด้วยการซ่อนเสาอากาศไว้บริเวณสันเครื่องแทนการพาดผ่านฝาหลังแบบรุ่นก่อนหน้า รวมถึงการเก็บขอบโค้งมนยังทำได้เรียบร้อยกว่า

DSC_2804

DSC_2834

โดยเฉพาะสีใหม่ที่มีให้เลือกเฉพาะ iPhone 7 / 7 Plus ความจุ 128/256GB อย่าง Jet Black (เจ็ทแบล็ค) หรือสีดำเงาที่แอปเปิลใช้เทคนิคที่เรียกว่า “แคพิลลารี” ทำตัวเครื่องขึ้นเงาทุกสัดส่วนตั้งแต่หน้าจอ พื้นผิวด้านหลัง (ไม่ได้ใช้กระจก) ไปถึงขอบเครื่องเป็นสีดำเงาทั้งหมด

waterresis-iphone

อีกทั้ง iPhone 7 / 7 Plus ยังมาพร้อมคุณสมบัติเด่นที่หลายคนรอคอยก็คือ “สามารถป้องกันน้ำและฝุ่นได้ตามมาตรฐาน IP67” โดยแอปเปิลเครมว่า iPhone ใหม่จะสามารถใช้งานกลางสายฝนหรือถ้าเผลอทำเครื่องหล่นลงอ่างน้ำ ให้รีบเก็บขึ้นมา และไม่ต้องกังวลว่าตัวเครื่องจะได้รับความเสียหายใดๆทั้งจากน้ำและฝุ่นละออง

แต่ทั้งนี้แอปเปิลแนะนำว่า iPhone 7 / 7 Plus ไม่ควรใช้งานใต้น้ำ ลงทะเลหรือโดนน้ำเค็ม ซึ่งถ้าตัวเครื่องได้รับความเสียหายจากน้ำหรือของเหลวไหลเข้าเครื่อง จะถือว่าอยู่นอกเงื่อนไขการรับประกันทันที

DSC_2813

มาดูหน้าจอ iPhone 7 / 7 Plus เป็น IPS Retina HD โดย iPhone 7 จะมีขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1,334×750 พิกเซล (326ppi) ส่วน iPhone 7 Plus จะมีขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1,920×1,080 พิกเซล (401ppi)

display-i7

ในส่วนสเปกหน้าจอแอปเปิลปรับปรุงใหม่หมด จากเดิมใน iPhone ทุกรุ่น แอปเปิลจะใช้หน้าจอแสดงสีแบบ sRGB แต่ใน iPhone 7 ทั้งสองรุ่น แอปเปิลเปลี่ยนไปใช้จอภาพที่สามารถแสดงสีสันได้กว้างขึ้นในชื่อ “P3” (Wide Color Gamut) รวมถึงปรับความสว่างเพิ่มจากรุ่นเดิมถึง 25% ทำให้หน้าจอ iPhone 7 / 7 Plus ให้สีที่สดใสและคมขัดมากขึ้น อีกทั้งยังแสดงส่วนคอนทราสต์ของภาพได้ดีกว่าหน้าจอรุ่นเดิมมาก

มาดูเรื่องกล้องหน้า FaceTime HD แอปเปิลปรับเพิ่มความละเอียดเป็น 7 ล้านพิกเซล รูรับแสง f2.2 พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว AIS, Retina Flash สามารถถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด 1080p

stereo-iphone

ส่วนการปรับปรุงเรื่องต่อไปก็คือ “ลำโพงสเตอริโอ” ครั้งแรกในไอโฟนกับเสียงที่ดังเพิ่มขึ้น 2 เท่า โดยนอกจากลำโพงปกติที่ติดตั้งอยู่สันเครื่องด้านล่างแล้ว บริเวณลำโพงเสียงสนทนาโทรศัพท์ยังสามารถเปลี่ยนเป็นลำโพงกระจายเสียงปกติพร้อมเซ็นเซอร์ตรวจจับลักษณะการใช้งานแบบเดียวกับที่อยู่ใน iPad Pro ทำให้เมื่อเรารับฟังเพลง เล่นเกมหรือชมภาพยนตร์ ไม่ว่าจะตั้งหรือตะแคงเครื่องด้านใดก็ตาม ลำโพงสเตอริโอทั้งสองจะรักษาสมดุลและความถูกต้องของการแยกเสียงลำโพงซ้ายขวาไว้อย่างแม่นยำ ลื่นไหลและไม่สะดุด

DSC_2818

ปุ่มโฮมใหม่ – เพราะ iPhone 7 / 7 Plus ป้องกันน้ำและฝุ่นเข้าเครื่องได้ ทำให้แอปเปิลต้องออกแบบปุ่มโฮมใหม่ให้ไม่มีการยุบตัวด้วยกลไกเหมือน iPhone ทุกรุ่นที่ผ่านมา โดยแอปเปิลปรับไปใช้ปุ่มโฮมแบบสัมผัสโดยใช้เซ็นเซอร์ซึ่งถูกควบคุมโดย Taptic Engine และซอฟต์แวร์สามารถตรวจจับแรงกดได้ อีกทั้ง Taptic ยังสามารถสั่นให้ผู้ใช้รู้สึกเหมือนการกดปุ่มโฮมจริงๆได้ด้วย (ตั้งค่าได้ 3 ระดับ)

homenewbut

โดยข้อดีของปุ่มโฮมแบบใหม่ก็คือไม่มีกลไกภายใน ไม่ว่าผู้ใช้จะกดแรงหรือกดย้ำบ่อยเพียงใดปุ่มโฮมจะมีโอกาสเสียหายยากมาก หรือถ้าปุ่มโฮมมีปัญหา ระบบจะปรากฏปุ่มโฮมจำลองขึ้นมาที่ตัว iOS

ส่วนสแกนลายนิ้วมือ (Touch ID) จะทำได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น

ข้อสังเกตก็คือ ปุ่มโฮมแบบใหม่ใช้ไฟฟ้าสถิตที่นิ้วมือในการตรวจจับการกด ถ้าเราใส่ถุงมือจะไม่สามารถใช้งานปุ่มโฮมนี้ได้ และวิธีการ Hard Reset เวลาเครื่องค้าง จะเปลี่ยนไปกดปุ่มลดเสียงและปุ่มเปิดปิดเครื่องค้างไว้แทนกดปุ่มโฮมแบบเดิม

DSC_2863

กล้องหลังใหม่ – อย่างที่ทราบกันดีว่า iPhone 7 จะมีกล้องหลังตัวเดียวคือเลนส์ระยะ 28 มิลลิเมตรพร้อมรูรับแสง f1.8 ส่วน iPhone 7 Plus จะมีกล้องหลัง 2 ตัว แบ่งเป็น ระยะเลนส์ 28 มิลลิเมตร f1.8 และระยะเลนส์ 56 มิลลิเมตร f2.8 หรือเทียบเท่าออปติคอลซูม 2 เท่า

สำหรับดิจิตอลซูมใน iPhone 7 สูงสุดทำได้ 5 เท่า iPhone 7 Plus ทำได้ 10 เท่า (วิดีโอ 6 เท่า)

มาดูส่วนสเปกฮาร์ดแวร์กล้องหลังที่เหมือนกันทั้ง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เริ่มจาก

1.ทั้ง iPhone 7 / 7 Plus มาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวออปติคอล (OIS)
2.เซ็นเซอร์รับภาพขนาด 1/3″ ความละเอียดภาพ 12 ล้านพิกเซล พาโนรามา 63 ล้านพิกเซล
3.ชุดชิ้นเลนส์เพิ่มเป็น 6 ชิ้น
4.ไฟแฟลช LED เพิ่มจาก 2 ดวงเป็น 4 ดวงแบบ True Tone
5.Wide Color Capture P3 หรือการรับสีสันแบบกว้างแทน sRGB เพื่อให้สอดคล้องกับหน้าจอ
6.ออโต้โฟกัส Focus Pixel
7.วิดีโอความละเอียดสูงสุด 4K 30 เฟรมต่อวินาที
8.วิดีโอสโลโมชัน 240 เฟรมต่อวินาทีที่ความละเอียด 720p และ 120 เฟรมต่อวินาทีที่ความละเอียด 1080p

DSC_2829

ด้านความแตกต่างกันที่ iPhone 7 Plus ทำได้มากกว่า iPhone 7 ได้แก่

1.กล้องหลัง iPhone 7 Plus สามารถใช้โหมดหน้าชัดหลังเบลอ (Depth of field) ในชื่อ “Portrait Mode” (iOS 10.1 เป็นต้นไป)
2.การถ่ายวิดีโอสามารถไหลซูมและให้คุณภาพที่คมชัดตั้งแต่ 1x ไปจนถึง 2x

DSC_2809

DSC_2823

กลับมาดูส่วนพอร์ตเชื่อมต่อและปุ่มกดรอบตัวเครื่อง ทั้ง iPhone 7 / 7 Plus จะเหมือนกัน เริ่มจากด้านซ้ายจะเป็นที่อยู่ของปุ่มปิดเปิดเสียง ถัดลงมาเป็นปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง ส่วนด้านขวา เป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง และช่องใส่ซิมการ์ด Nano Sim

DSC_2810

ด้านล่าง มีการปรับเปลี่ยนโดยตัดช่อง 3.5 มิลลิเมตรออกไป และแทนที่ด้วยช่องคล้ายลำโพง (แต่ภายในไม่มีลำโพง) คาดว่าช่องนี้น่าจะช่วยเรื่อง Balance เสียงจากลำโพงสเตอริโอและอาจเป็นส่วนรับเสียงของไมโครโฟนด้วย ตรงกลางเป็น Lightning Port ด้านขวาเป็นลำโพงปกติ

headsetbox-i7

headsetbox-i7-2

สำหรับชุดหูฟังที่แถมมาจะเหมือนกับ iPhone รุ่นก่อนหน้า ยกเว้นส่วนของพอร์ตเชื่อมต่อ 3.5 มิลลิเมตรจะเปลี่ยนไปใช้ Lightning Port พร้อมแถมอะแดปเตอร์แปลง 3.5 มิลลิเมตรไปเป็น Lightning Port สำหรับเชื่อมต่อกับหูฟังทั่วไป
ในส่วนแพกเกจที่ใส่หูฟัง ส่วนนี้แอปเปิลปรับเปลี่ยนจากกล่องพลาสติกหรูหราพร้อมส่วนป้องกันสายหูฟังพันกัน ไปเป็นกล่องกระดาษ ดูแล้วลดต้นทุนดี

สเปก

DSC_2837

iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มาพร้อมซีพียู 64 บิต Apple A10 “Fusion” Quad-core + ชิปประมวลผลการเคลื่อนไหว M10 โดยซีพียูแบ่งเป็นส่วนคอร์ประสิทธิภาพสูงและส่วนคอร์เน้นประหยัดพลังงาน พร้อมแรม 3GB สำหรับ iPhone 7 Plus และแรม 2GB สำหรับ iPhone 7

โดยในส่วนความเร็วเมื่อเทียบกับ iPhone รุ่นก่อนหน้า จะเร็วกว่า iPhone 5 ถึง 4 เท่า iPhone 6 ถึง 2 เท่า

ด้านกราฟิกปรับไปใช้ GPU 6 แกนสมอง เร็วกว่า iPhone 6 ถึง 3 เท่า และ iPhone 5 ถึง 6 เท่าตัว

ในส่วนความจุมีให้เลือก 32/128/256GB โดยรุ่นที่ทีมงานทดสอบในบทความรีวิวนี้คือรุ่นความจุ 256GB (เหลือใช้จริงประมาณ 244GB)

การรองรับเครือข่ายโทรศัพท์ – เป็นครั้งแรกของ iPhone ที่รองรับ 4G LTE Advanced แบบ 3 Carrier Aggregation ความเร็วสูงสุด 450Mbps รวมถึงรองรับ VoLTE, WiFi Calling และ FaceTime Audio

ในส่วน WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac พร้อม MIMO บลูทูธ 4.2, มี NFC และ GPS/GLONASS

iOS และฟีเจอร์เด่น

home-i7

home-land7plus

ระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งมาให้กับ iPhone 7 / 7 Plus เป็น iOS 10 (อัปเดตเป็น iOS 10.1 ได้วันนี้) โดยหน้าจอ iPhone 7 Plus จะสามารถใช้งานการแสดงผล iOS แบบแนวนอน (Landscape Mode) ได้

apps-i7

ส่วนแอปพลิเคชันและการใช้งานจะไม่แตกต่างจาก iOS 10/10.1 ที่ติดตั้งบน iPhone 6s และรุ่นอื่นๆที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทีมงานจะขอแนะนำฟีเจอร์เด่นใน iOS 10 เฉพาะฟังก์ชันที่หลายคนอาจยังไม่ทราบ

wifi-i7

เริ่มจากส่วนการเชื่อมต่อ WiFi ที่ทำได้ฉลาดมากขึ้น และสามารถรู้ได้ว่าอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ WiFi กับ iPhone อยู่สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้หรือไม่ ถ้าใช้ได้ เช่น เชื่อมต่อกับโมเด็มเราเตอร์แบบ WiFi ที่บ้าน ระบบจะเชื่อมต่อพร้อมปรากฏสัญลักษณ์ WiFi ปกติ แต่ถ้าอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเป็นพวก SD การ์ด WiFi, กล้องถ่ายรูป ระบบจะรู้และปรับ WiFi ให้ใช้งานแค่เป็นตัวรับส่งข้อมูลจากอุปกรณ์เหล่านั้น ส่วนอินเตอร์เน็ตจะเปลี่ยนไปใช้ดาต้า 3G/4G อัตโนมัติ ซึ่งจากเดิมระบบจะมองการเชื่อมต่อ WiFi ทุกอย่างเป็นอินเตอร์เน็ตทั้งหมด เวลาเชื่อมต่อกับอุปกรณ์มีเดียจะมีปัญหาในเรื่องอินเตอร์เน็ตถูดปิดการเชื่อมต่อ

callblock-i7

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ตั้งแต่ iOS 10 ก็คือ ส่วนของโทรศัพท์ (Phone) จะอนุญาตให้ผู้พัฒนาแอปฯรายอื่นๆ ยกตัวอย่าง Whoscall สามารถใช้งานฟังก์ชันบอกข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาได้แบบเดียวกับ Whoscall บนแอนดรอยด์ เพราะปกติใน iOS รุ่นก่อนหน้า ถ้าผู้ใช้อยากทราบเบอร์ที่โทรเข้ามาจะต้องทำการคัดลอกเบอร์โทรศัพท์เหล่านั้นไปวางที่แอปฯของ Whoscall แต่ใน iOS 10 ระบบสามารถระบุเบอร์โทรศัพท์พร้อมข้อมูลได้ทันที

imessage-i7

Messages – ปรับปรุงใหม่ยกแผง เพราะแอปเปิลเพิ่มฟีเจอร์เข้ามามากมาย ยกตัวอย่างเช่น มีสติ๊กเกอร์ให้ดาวน์โหลดและใช้งาน สามารถเขียน เซ็นชื่อ รวมถึงส่ง Invisible Ink และ Personal Touch บอกความรู้สึกแบบส่วนตัวได้

raw-i7

และสุดท้ายกับการเพิ่มคุณสมบัติถ่ายภาพเป็นไฟล์ RAW หรือไฟล์ดิบ .DNG สำหรับช่างภาพที่ต้องการตกแต่งภาพแบบขั้นสูง (ทำได้เฉพาะ iPad Pro 9.7”, iPhone SE, 6s, 7 และ 7 Plus เป็นต้นไป) โดยการถ่าย RAW จะต้องทำผ่านแอปฯเฉพาะ เช่น Manual, Adobe Lightroom เป็นต้น ส่วนแอปฯกล้องบน iOS ปัจจุบันยังไม่เปิดให้ใช้งานฟังก์ชันดังกล่าว

ทดสอบประสิทธิภาพ

benchi77plus

ซ้าย : iPhone 7 Plus / ขวา : iPhone 7

iphone7plus-3dmark

คะแนนจาก iPhone 7 Plus

iphone7-3dmark

คะแนนจาก iPhone 7

เรื่องการทดสอบประสิทธิภาพถ้าวัดตามผลคะแนนก็เป็นไปตามคาด เนื่องจาก iPhone 7 มีแรมที่น้อยกว่า 7 Plus ทำให้ตัวเลขคะแนนต่างกัน แต่เมื่อทดลองใช้งานจริงกลับไม่เห็นผลแตกต่างอย่างชัดเจน เครื่องทั้งสองรุ่นมีความลื่นไหลตามแบบฉบับสมาร์ทโฟนเรือธงอย่างที่ควรเป็น รวมถึงถ้าเทียบเฉพาะส่วนประสิทธิภาพกับ iPhone 6s / 6s Plus สำหรับการใช้งานทั่วไปแทบไม่รู้สึกแตกต่างจนต้องยกเป็นประเด็นใหญ่ ยกเว้นผู้ใช้จะทำงานที่ต้องใช้ซีพียูประมวลผลสูงเช่น ตัดต่อวิดีโอ ตกแต่งภาพไฟล์ RAW หรือเล่นเกมที่ออกมารองรับกับ iPhone 7 / 7 Plus ก็น่าจะเห็นผลต่างอยู่บ้าง

ด้านสเปกหน้าจอที่ปรับเปลี่ยนไปใช้หน้าจอแสดงผลสีแบบ P3 และความสว่างที่เพิ่มขึ้น 25% จะเหมาะสมที่สุดสำหรับช่างภาพและคนทำงานด้านวิดีโอ เนื่องจากหน้าจอ iPhone 7 / 7 Plus สามารถเป็นอุปกรณ์ช่วยตรวจสอบเรื่องสีและการปรับแต่งแสงระดับเบื้องต้นได้ โดยเฉพาะรายละเอียดในโทนมืดกับสว่าง ลองปรับความสว่างหน้าจอขึ้นจนสุด ส่วนมืดจะแสดงรายละเอียดของภาพออกมาได้สูงกว่าหน้าจอของ iPhone ทุกรุ่นที่ผ่านมา

batt-test-i7plus

ในส่วนของแบตเตอรี แอปเปิลเครมไว้ว่า iPhone 7 สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ 13 ชั่วโมง (ทดสอบด้วยการเล่นวิดีโอผ่านระบบไร้สาย) ส่วน iPhone 7 Plus อยู่ที่ 14 ชั่วโมง (ทดสอบด้วยการเล่นวิดีโอผ่านระบบไร้สาย) แน่นอนว่าใช้งานได้นานกว่า iPhone 6s / 6s Plus ประมาณ 1-2 ชั่วโมง

โดยจากการทดสอบจริงกับ iPhone 7 Plus (ใช้งานปกติทั่วไป รวมถึงถ่ายภาพตลอดทั้งวัน) ยอมรับว่า iPhone 7 Plus ใช้งานตลอดทั้งวันได้สบาย แม้ทีมงานจะใช้งานถ่ายภาพต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมง ตัวเครื่องมีอาการร้อนเป็นระยะๆ แต่เมื่อปิดหน้าจอลง ความร้อนระบายไปอย่างรวดเร็วมาก ส่วนแบตเตอรีถือว่าแอปเปิลยังคงจัดการพลังงานภายในได้ดีมาตั้งแต่ iPhone 6 โดยเฉพาะตัว Plus ตั้งแต่ 6s-7 ถือว่าเรื่องแบตเตอรีทำได้น่าประทับใจ

ส่วน iPhone หน้าจอ 4.7 นิ้วปกติตั้งแต่ 6-7 เทียบกันด้วยความรู้สึกแล้วถือว่าใช้ได้ ระยะเวลาใช้งานจาก 100% จนแบตเตอรีขึ้นขีดแดงไม่แตกต่างกันจนรู้สึกได้ การใช้งานหนักหน่วงอาจต้องพึ่งพา Power Bank บ้าง

สุดท้ายส่วนทดสอบประสิทธิภาพกับเรื่องการป้องกันน้ำและฝุ่น ทีมงานได้มีโอกาสทดลองในภาคสนามจริง ลงไปถ่ายภาพกลางสายฝนและนำไปล้างน้ำจากก๊อกน้ำ ทุกอย่างผ่านไปได้ดี ตัวเครื่องไม่มีปัญหาใดๆ แต่ถึงอย่างไรทีมงานก็ไม่แนะนำให้นำเครื่องไปใช้ใต้น้ำหรือลงทะเลอยู่ดี เพราะถ้าตัวเครื่องได้รับความเสียหายขึ้นมา ตัวผู้ใช้จะต้องจ่ายเงินซ่อมด้วยตัวเองเนื่องจากไม่อยู่ในเงื่อนไขรับประกัน ได้ไม่คุ้มเสีย

กล้องถ่ายภาพ

camera-i7plus

อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นว่าเราจะขอทดสอบเฉพาะกล้องคู่จาก iPhone 7 Plus เป็นหลัก โดยก่อนใช้งานให้อัปเดต iOS เป็นรุ่น 10.1 ก่อนเพื่อเปิดใช้ฟังก์ชัน Portrait Camera หน้าชัดหลังเบลอที่มีให้ใช้เฉพาะ iPhone 7 Plus เท่านั้น

โดยในส่วนหน้าตา ภาพรวมของแอปฯกล้องถ่ายภาพจะเหมือน iPhone ทุกรุ่น เพียงแต่ใน iPhone 7 Plus แอปเปิลจะเพิ่มปุ่มซูมภาพเข้ามา (จากภาพจะเห็นปุ่มที่เขียนว่า 1x) โดยเมื่อกดลงไปหนึ่งครั้งจะเป็นการเปลี่ยนไปใช้เลนส์ตัวที่สองระยะซูม 2x (56 มิลลิเมตร)

zoom-7plus

จากซ้าย : 1x > 2x (Optical Zoom) > 5x (Digital Zoom) > 10x (Digital Zoom) – กดที่ภาพเพื่อขยายใหญ่

ส่วนอีกหนึ่งวิธีการซูมภาพก็คือกดปุ่ม 1x ค้างไว้จากนั้นค่อยๆสไลด์ลงข้างล่าง ระบบจะไหลซูมจาก 1x ไป 2x จนสูงสุดที่ดิจิตอลซูม 10x (ใช้วิธีนี้ในการซูมภาพสำหรับโหมดถ่ายวิดีโอได้) หรือจะใช้วิธีการซูมภาพแบบเก่าก็คือ นำสองนิ้วจิ้มแล้วถ่างออกไปเรื่อยๆก็ยังสามารถทำได้เช่นเดิม

depthoffield-i7beta

มาถึงหนึ่งฟีเจอร์ใหญ่เฉพาะ iPhone 7 Plus ก็คือ Portrait Camera หรือโหมดหน้าชัดหลังเบลอที่ปัจจุบันยังอยู่ในสถานะทดลอง (Beta) โดยแอปเปิลเริ่มเปิดให้ทดลองใช้งานตั้งแต่ iOS 10.1

โดยการใช้งานโหมด Portrait เพื่อสร้าง Depth Effect เหมือนถ่ายจากกล้อง DSLR มีข้อปฏิบัติดังต่อไปนี้

1.Portrait Mode จะใช้เลนส์ระยะ 56 มิลลิเมตร f2.8 เป็นหลัก เพราะฉะนั้นตัวบุคคลหรือวัตถุที่ต้องการถ่าย ต้องอยู่ห่างจากกล้องประมาณ 2.4 เมตร
2.ต้องการแสงพอสมควร การถ่ายในห้องหรือในที่แสงน้อยอาจทำให้ภาพแสดงส่วนชัดและเบลอผิดพลาดได้
3.แนะนำให้ถ่ายกับบุคคลหรือวัตถุที่อยู่นิ่ง เนื่องจากระบบต้องมีการประมวลผล ถ้าวัตถุหรือบุคคลเคลื่อนไหวไปมา ระบบอาจคำนวณระยะชัดผิดพลาด
4.เมื่อระบบประมวลผลเสร็จสิ้น คำว่า DEPTH EFFECT จะปรากฏกรอบสีเหลือง ให้กดปุ่มชัตเตอร์เพื่อถ่ายภาพได้

IMG_0357

ภาพปกติ

IMG_0358

ภาพหลังจากใช้ Portrait Mode

IMG_0276

ภาพปกติ

IMG_0277

ภาพหลังจากใช้ Portrait Mode

สรุปจากการทดลองใช้ Portrait Mode ซึ่งปัจจุบันอยู่ในสถานะ Beta ถือว่าให้ผลลัพท์ใช้ได้ การถ่ายภาพให้ฉากหลังเบลออย่างเป็นธรรมชาติอาจต้องมีวิธีเล็กน้อย เช่น ฉากหลังต้องเคลียร์ ไม่มีรายละเอียดของฉากที่ซับซ้อนรวมถึงแสงต้องมากพอ และวัตถุไม่เคลื่อนไหว ภาพถึงจะดูเป็นธรรมชาติ

แต่ทั้งนี้ด้วยสถานะอยู่ในขั้นตอนพัฒนา บางครั้งระบบก็เกิดการวัดระยะและคำนวณการเบลอฉากหลังผิดพลาด เช่น ภาพถ่ายนาฬิกา Apple Watch จะเห็นว่าตรงตัวอักษรวันที่มีอาการเบลอเล็กน้อยจากระบบคำนวณซับเจ็คหลักกับฉากหลังที่ควรต้องถูกเบลอผิดพลาดไป ก็คงต้องรอดูเวอร์ชันเต็มในอนาคตว่าโหมดนี้จะถูกปรับปรุงให้ฉลาดมากขึ้นเพียงใด

ทดสอบประสิทธิภาพกล้องหลัง

ติดตามชมตัวอย่างภาพจาก iPhone 7 Plus เพิ่มเติมได้จากลิงก์ https://psirichan.wordpress.com/2016/10/23/sadness-october-2016/ (เฉพาะภาพที่ 1-11 ถ่ายด้วย iPhone 7 Plus ไฟล์ RAW ผ่านแอปฯ Manual / โปรเซส : Adobe Lightroom)

มาถึงการทดสอบกล้องถ่ายภาพหลักกันบ้าง ภาพทดสอบทั้งหมดนี้ถ่ายจาก iPhone 7 และ iPhone 7 Plus สลับกันไป โดยในส่วนประสิทธิภาพไม่มีความแตกต่างกันเพราะใช้เซ็นเซอร์และสเปกภายในเดียวกัน เพียงแต่ iPhone 7 Plus จะมีเลนส์ 56 มิลลิเมตรหรือเทียบเท่าซูม 2 เท่าติดมาให้ ซึ่งน่าจะเพียงพอสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

โดยในส่วนคุณภาพไฟล์ภาพถือว่าถูกปรับปรุงเล็กน้อยจาก iPhone 6s ในเรื่องไดนามิก สีสันและนอยซ์ที่ดีขึ้น

ส่วนใครอยากรีดประสิทธิภาพสูงสุดแนะนำให้ถ่ายด้วย RAW และไปจัดการผ่านซอฟต์แวร์ในคอมพิวเตอร์จะพบว่า ไฟล์ RAW ของ iPhone 7 / 7 Plus นี่ได้คุณภาพน้องๆกล้องไฮเอนด์คอมแพกต์เลย ยกเว้นส่วนของนอยซ์ที่ทีมงานมองว่ายังทำได้ไม่ดีเท่าที่โฆษณาไว้

ด้านการใช้งานปกติผ่านแอปฯกล้องถ่ายภาพใน iOS – ส่วนนี้มีการปรับปรุงจากเดิมไปค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการถ่ายในที่แสงน้อยทำได้น่าประทับใจ แต่เรื่องระบบออโต้โฟกัสยังให้คุณภาพไม่แตกต่างจาก iPhone 6s / 6s Plus มากนัก

มาถึงงานวิดีโอ ทีมงานขอยกให้แอปเปิลครองแชมป์เช่นเดิม เพราะถึงแม้ปัจจุบัน คู่แข่งหลายเจ้าจะหันมาพัฒนาโหมดวิดีโอมากขึ้น แต่เรื่องคุณภาพไฟล์และความลื่นไหล โดยเฉพาะความคมชัดของการรับเสียงจากไมโครโฟนเฉพาะของแอปเปิล ยังทำได้ดีกว่าคู่แข่งหลายเจ้าและดีกว่า iPhone ทุกรุ่นที่ผ่านมา ยิ่งเป็น iPhone 7 Plus นอกจากกดซูมเปลี่ยนระยะเลนส์ปกติได้แล้ว ยังสามารถใช้ระบบไหลซูมจาก 1x-2x ได้ลื่นไหลตามนิ้วมือของเราได้ ยิ่งทำให้การถ่ายวิดีโอจากสมาร์ทโฟนทำได้น่าสนใจมากขึ้น

แต่ทั้งนี้ระบบไหลซูม 1x-2x รวมไปถึงช่วงเปลี่ยนระยะเลนส์จากตัวแรกไปตัวที่สอง ทีมงานมองว่าแอปเปิลต้องพัฒนาซอฟต์แวร์มาจัดการเรื่องความต่อเนื่องและลื่นไหลให้ดีกว่านี้ เพราะจากคลิปวิดีโอด้านบนจะเห็นว่าที่ระยะ 28 มิลลิเมตร (1x) เวลาซูม ระบบจะใช้ดิจิตอลซูมผสมเข้าไปจนกล้องตัดเข้าเลนส์ 56 มิลลิเมตร ภาพจะสะดุดเล็กน้อย ถ้าปรับปรุงเรื่องความต่อเนื่องส่วนนี้ได้ กล้อง iPhone 7 / 7 Plus จะโดดเด่นเรื่องงานวิดีโอมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว

สรุป

camera-i7

 

สำหรับราคา iPhone 7 มีความจุให้เลือก 32/128/256GB ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 26,500-34,500 บาท iPhone 7 Plus เริ่มต้น 31,500-39,500 บาท มีสีดำ เงิน ทอง โรสโกลด์และเจ็ทแบล็ค (*เจ็ทแบล็คมีเฉพาะรุ่น 128/256GB เท่านั้น)

โดยภาพรวมทั้ง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ถ้ามองถึงเรื่องสเปก ประสิทธิภาพโดยรวม แม้จะมีการปรับปรุงใหม่หลายส่วน แต่ถ้าเทียบกับ iPhone 6s และ 6s Plus ที่ทีมงานเคยยกให้เป็นสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดของแอปเปิลในรอบ 3 ปี การปรับปรุงครั้งนี้ยังไม่ถือว่าโดดเด่นจนต้องให้ความสนใจ ยกเว้นแค่เรื่องกล้องคู่ 2 ระยะเลนส์ใน iPhone 7 Plus และระบบป้องกันน้ำและฝุ่นของทั้งสองรุ่นที่ทีมงานมองว่าทำออกมาได้ถูกทิศทางอย่างที่ควรเป็นแล้ว (เพราะทั้งสองส่วนใช้งานได้จริงตลอดเวลา) แต่เสียดายที่แอปเปิลใส่ให้เฉพาะรุ่นใหญ่เท่านั้น

ส่วนเรื่องการตัดช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรออก แล้วแต่มุมมองของผู้อ่านแต่ละคน แต่สำหรับทีมงานคิดว่าแอปเปิลเลือกตัดช่องเชื่อมต่อนี้ออกเร็วเกินไป อีกทั้งตัดช่องนี้ออกไปแล้ว ตัว iPhone ก็ไม่ได้ถูกออกแบบให้บางลงแต่อย่างใด

ส่วนประสิทธิภาพการทำงานอื่นๆ เมื่อใช้งานจริง ทีมงานกลับไม่พบเห็นความแตกต่าง อีกทั้งแอปพลิเคชันที่จะดึงประสิทธิภาพของ iPhone 7 ออกมาอย่างเต็มที่ก็ยังมีน้อยมาก ถ้าผู้ที่กำลังสนใจแต่ในมือถือ iPhone 6s หรือ 6s Plus อยู่ เมื่อคุณมาใช้ iPhone 7 หรือ 7 Plus จะไม่รู้สึกแตกต่างมากนัก ยกเว้นคุณจะตื่นตาตื่นใจกับการป้องกันน้ำและฝุ่นรวมถึงกล้องคู่หรือปุ่มโฮมใหม่

ส่วนคนที่ใช้ iPhone 5s หรือต่ำกว่านั้น ผมอยากเรียนตามตรงว่าถึงเวลาแล้วที่คุณจะเปลี่ยนมาสู่ iPhone 7 หรือ iPhone 7 Plus เพราะในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นแรกของ iPhone ยุคต่อไป ที่คาดว่าแอปเปิลจะเดินตามเกมนี้ไปอีกหลายปี โดยเฉพาะกล้องคู่ที่เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นกว่านี้ในอนาคต

ข้อดี

– การออกแบบ เก็บงานเรียบร้อย ไร้รอยต่อ ปุ่มกดต่างๆดูแข็งแรงมากขึ้น
– ป้องกันน้ำและฝุ่น
– หน้าจอให้สีสันและความสว่างดีขึ้น
– iPhone 7 Plus กล้องหลังคู่ใช้งานได้จริงทั้งสองเลนส์
– มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอลให้ทั้ง 2 รุ่น รวมถึงกล้องหน้าด้วย
– ไฟแฟลช 4 ดวงสว่างขึ้น
– ลำโพงสเตอริโอ

ข้อสังเกต

– สีดำเจ็ทแบล็ค เป็นรอยง่ายเกินไป
– ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ทุกอย่างต้องเชื่อมต่อผ่าน Lightning Port หรือระบบไร้สายเท่านั้น (แต่มีอะแดปเตอร์แปลงแถมให้)
– เวลาใส่ถุงมือ ปุ่มโฮมแบบใหม่จะไม่ตอบสนอง
– ไม่มีกล่องใส่หูฟังแบบพลาสติกแถมมาให้แล้ว เพราะเปลี่ยนเป็นกล่องแบบกระดาษแทน
– Portrait Mode ใน iPhone 7 Plus ต้องได้รับการแก้ไขในเรื่องความรวดเร็วและความเป็นธรรมชาติของภาพให้ดีกว่านี้

Gallery

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็น

REVIEW OVERVIEW
การออกแบบ
8.5
สเปก/ฟีเจอร์เด่น
9
ความสามารถโดยรวม
8.5
ความคุ้มค่า
8
SHARE