การกลับมาทำตลาดสมาร์ทโฟนอีกครั้งของแอลจี ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีของผู้บริโภคในประเทศไทยอีกครั้ง ที่จะได้มีตัวเลือกในตลาดสมาร์ทโฟนเพิ่มมากขึ้น แต่ก็มีจุดที่น่าเสียใจคือแอลจี เลือกนำรุ่นอย่าง LG G6 ที่เปิดตัวในช่วงต้นปีเข้ามาทำตลาด ก่อนที่จะนำแฟลกชิปในครึ่งปีหลังอย่าง LG V30 ตามเข้ามา
ถ้ามองที่จุดเด่นของ LG G6 หลักๆแล้วจะมีด้วยกัน 3 ส่วนคือเรื่องของหน้าจอที่เป็นแบบ Full Vision 18:9 ถัดมาคือเรื่องของกล้องถ่ายภาพที่เป็น Dual Camera ตามสมัยนิยม แต่แอลจีเลือกที่จะแตกต่างด้วยการนำเลนส์มุมกว้างมาให้ใช้ และสุดท้ายคือ เรื่องของระบบเสียงที่รองรับ Hi-Fi ให้ใช้งาน
การออกแบบ
เมื่อสัดส่วนของจอสมาร์ทโฟนเปลี่ยนเป็น 18:9 จากการที่ LG เลือกใข้จอ FullVision ทำให้รูปทรงของ G6 จะดูยาวขึ้น ประกอบกับการที่เลือกใช้ตัวเครื่องเป็นโลหะสีเงิน ทำให้เครื่องดูแข็งแรง จับถือถนัดมือ ด้วยขนาดตัวเครื่อง 148.9 x 71.9 x 7.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 163 กรัม
ด้านหน้า – ที่เป็นจุดเด่นหลักของ LG G6 คือการเลือกใช้จอ FullVision 18:9 ที่เป็นจอแบบ IPS ขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียด QHD+ (2880 x 1440 พิกเซล) ความละเอียดเม็ดสี 564ppi ทำให้การแสดงผลจะคมชัดเป็นพิเศษ
โดยจะมีช่องลำโพงสนทนา เซ็นเซอร์ และกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซลอยู่ที่ขอบบน ส่วนขอบล่างจะมีเพียงสัญลักษณ์ของ LG เท่านั้น เพราะปุ่มควบคุมต่างๆถูกรวมไปอยู่บนจอเรียบร้อยแล้ว โดยในจุดนี้ผู้ใช้สามารถเข้าไปปรับแต่งได้ด้วย
ด้านหลัง – LG ยังยึดแนวคิดในการนำปุ่มเปิด–ปิดเครื่องมาไว้ที่หลังเครื่อง เพื่อให้สะดวกเวลาหยิบเครื่องขึ้นมาจะสามารถใช้นิ้วชี้กดเพื่อเปิดได้ทันที และยังเป็นจุดสำหรับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้วย ถัดขึ้นไปจะเป็นกล้องคู่หลัก 13 ล้านพิกเซล ที่คั้นกลางด้วยไฟแฟลช
ที่เหลือก็จะมีสัญลักษณ์ Hi-Fi ที่มุมซ้ายบน และ G6 ที่ด้านล่าง พร้อมสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานต่างๆ ภายในจะมีแบตเตอรีขนาด 3,300 mAh อยู่ โดยฝาหลังตัวเครื่องตรงขอบจะมีความโค้งเล็กน้อยเพื่อให้จับถือได้ถนัดมือ เข้ากับขอบตัวเครื่อง
ด้านบน – หลักๆเลยคือเป็นช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ที่มีลายเสาอากาศอยู่ และไมค์ตัดเสียง ด้านล่าง – นอกจากไมค์หลักแล้ว ก็จะมีพอร์ต USB-C และลำโพงอยู่
ด้านซ้าย – เป็นปุ่มปรับระดับเสียง ด้านขวา – จะมีถาดซิมการ์ดที่ต้องใช้เข็มจิ้มออกมา (ในกล่องมีมาให้) โดยจะเป็นแบบ 2 ซิม ที่ให้เลือกว่าจะใส่ซิมหลัก + ไมโครเอสดีการ์ด หรือใส่นาโนซิมการ์ดทั้ง 2 ช่อง
สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องจะมีตัวเครื่อง อะเดปเตอร์ชาร์จ สาย USB-C ผ้าเช็ดหน้าจอ เข็มจิ้มถาดซิม และหูฟังแบบ In-Ear ที่รองรับระบบเสียงแบบ Hi-Fi ด้วย
สเปก
สำหรับสเปกภายในของ LG G6 จะมากับหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 821 ที่เป็น Octa-Core 64 บิต RAM 4 GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายในตัวเครื่อง 32 GB (ใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้ 256 GB) ทำงานบนระบบปฏิบัติการ แอนดรอดย์ 7.0 (Nougat)
ด้านการเชื่อมต่อรองรับ 3G และ 4G ที่รองรับความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุด 600 Mbps / 150 Mbps ส่วน Wi-Fi รองรับ 802.11ac บลูทูธ 4.2 มีวิทยุFM GPS มาให้ครบ นอกจากนี้ยังมากับระบบชาร์จเร็ว และชาร์จไร้สายด้วย
ฟีเจอร์เด่น
อย่างที่บอกไปว่า 3 จุดเด่นหลักของ G6 คือเรื่องของหน้าจอ กล้อง และเสียง ในส่วนของหน้าจอ แอลจีที่ถือเป็นผู้ผลิตจอภาพที่มีเทคโนโลยีของตัวเองอยู่แล้ว ถือว่าค่อนข้างได้เปรียบในส่วนนี้ ทำให้การแสดงผลของ LG G6 ให้สีสันที่สมจริง แถมยังเป็นจอแบบ IPS ด้วยทำให้ มุมมองในการใช้งานได้กว้างขึ้น
โดยในส่วนของอินเตอร์เฟสที่ใช้จะเป็น LG UX 6.0 UI ที่มีการพัฒนาขึ้นมาให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น และยังมีฟีเจอร์อย่าง Knock On ในการแตะหน้าจอเพื่อปลุกขึ้นมา ทำให้ไม่ต้องหยิบเครื่องเพื่อกดปุ่มเปิดหลังเครื่องเหมือนเช่นเดิม
แถบ Notification ถูกออกแบบมาให้เน้นความสะดวกในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการปรับความสว่างหน้าจอได้ทันที หรือเลือกเปิด–ปิดการเชื่อมต่อต่างๆ รวมถึงการเปิดปิดระบบเสียง Hi-Fi Quad DAC ระบบประหยัดพลัง เปิดโหมดถนอมสายตา (ตัดแสงสีฟ้า)
รวมถึง Capture+ ที่เป็นฟีเจอร์ในการจับภาพหน้าจอ สามารถเลือกได้ทั้งหน้าจอ หรือเลือกเฉพาะส่วน จากนั้นสามารถเลือกรูปแบบปากกามาเขียนคอมเมนต์งาน พร้อมแชร์ต่อไปยังโซเขียลเน็ตเวิร์กได้ทันที หรือจะเซฟส่งทางอีเมลก็ได้
ส่วนในหน้ารวมแอปฯ นอกจากใช้ในการแสดงผลแอปที่อยู่ในเครื่องแล้ว ยังสามารถใช้คำสั่ง Serch ในการค้นหาข้อมูลภายในเครื่องได้ โดยจะมีการ์ดแจ้งเตือนข้อมูลผู้ติดต่อ หรืออีเมลสำคัญๆขึ้นมาแสดงผลด้วย ส่วนอีกแถบก็จะเป็นวิตเจ็ตต่างๆให้เลือกใช้ตามปกติ
จุดเด่นที่ 2 คือเรื่องของกล้องคู่ ที่แอลจีเลือกใช้เป็นกล้องหลักความละเอียด 13 ล้านพิกเซล f/1.8 ที่เป็นเลนส์มุมปกติ (องศากว้างประมาณ 71 องศา) คู่กับกล้องเลนส์มุมกว้าง 125 องศา ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล เช่นเดียวกัน แต่รูรับแสงจะแคบลงเป็น f/2.8 ทำให้ไม่เหมาะกับการถ่ายมุมกว้างในที่แสงน้อยเท่าไหร่
ตัวอย่างรูปในมุมปกติ เทียบกับมุมกว้าง
หน้าจอกล้องถ่ายภาพหลักจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ ไล่จากแถบซ้าย เป็นปุ่มควบคุมต่างๆอย่างการเลือกโหมดถ่ายภาพ เปิดแฟลช สลับกล้องหน้า–หลัง เลือกเอฟเฟกต์ และเข้าไปตั้งค่ากล้อง ขณะที่ฝั่งขวา จะมีปุ่มชัตเตอร์ ปุ่มบันทึกวิดีโอ อัลบั้มภาพ และย้อนกลับ
ที่น่าสนใจคือส่วนของตรงกลาง ถ้าเป็นในโหมดอัตโนมัติผู้ใช้จะสามารถเลือกได้ว่า ต้องการถ่ายภาพแบบมุมปกติ หรือมุมกว้าง จากสัญลักษณ์รูปต้นไม้ (ต้นเดียว กับหลายต้น) แต่ถ้าปรับมาใช้งานโหมดถ่ายภาพแบบ Manual หรือปรับเอง ก็จะมีคำสั่งอื่นๆขึ้นมาให้เลือก ทั้งอุณหภูมิแสง ระยะโฟกัส ISO ความเร็วชัตเตอร์ และโหมดวัดแสงให้เลือก
ขณะที่การเลือกถ่ายเอฟเฟกต์ภาพต่างๆก็จะแสดงผลขึ้นมาเป็นแบบ 9 ช่องให้เลือก หรือจะเลือกใช้งานโหมดถ่ายภาพอื่นๆอย่าง Popout ที่จะทำเหมือนใส่กรอบให้ภาพจากการถ่าย 2 กล้องพร้อมกัน หรือโหมดถ่ายภาพอื่นๆทั้งคลิปเคลื่อนไหว พาโนราม่า สโลว์โมชัน โหมดถ่ายภาพอาหารเป็นต้น
ส่วนการตั้งค่ากล้องก็จะมีให้เลือกทั้งความละเอียดภาพนิ่ง ความละเอียดวิดีโอ การเปิดใช้งานโหมด HDR ตั้งเวลาถ่ายภาพ ใช้โหมดถ่ายภาพจากคำสั่งเสียง การโฟกัสวัตถุเคลื่อนไหว การป้องกันภาพสั่นไหว แจ้งเตือนเมื่อเลนส์กล้องถูกบัง บันทึกพิกัดถ่ายภาพต่างๆ
สุดท้ายคือเรื่องของระบบเสียงที่แอลจีระบุมาว่า รองรับ Hi-Fi Quad DAC ที่รองรับการเล่นไฟล์เพลงคุณภาพสูงระดับ 32-bit/192kHz เมื่อใช้คู่กับหูฟังที่รองรับระบบเสียง Hi-Res หรือแม้แต่หูที่แถมมาให้ในกล่อง เทียบกับหูฟังทั่วๆไป ถือว่าให้คุณภาพเสียงที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ไม่รับรวมกับโหมดการบันทึกเสียงแบบ HD ที่มีมาให้ใช้งานด้วย
ขณะที่ในส่วนของการตั้งค่า LG จะแบ่งการตั้งค่าออกเป็น 4 ส่วนด้วยกันคือ การเชื่อมต่อ เสียงและการแจ้งเตือน การแสดงผล และการตั้งค่าทั่วไป ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปเลือกตั้งค่าต่างๆได้สะดวกมากขึ้น มีการอธิบายรายละเอียดชัดเจน
โดยในส่วนที่น่าสนใจคือเรื่องของการที่ตัวเครื่องรองรับการใช้งาน 2 ซิม ซึ่งปกติเวลาใช้งานโทร ซิมใดอยู่ ถ้ามีสายเข้าอีกซิมจะไม่สามารถรับสายได้ แต่ใน G6 จะมีระบบอย่าง Smart Forward ในการใช้ระบบโอนสายของผู้ให้บริการเครือข่าย โอนสายโทรเข้ามายังเบอร์ที่ใช้งานอยู่แบบอัตโนมัติ
ต่อมาในส่วนของการแสดงผลใน G6 จะมีโหมดอย่าง Comfort View มาให้ในการลดแสงสีฟ้า ที่ผู้ใช้สามารถเลือกระดับการตัดแสงได้เอง หรือจะเลือกใช้งานโหมดขาวดำแทนก็ได้ นอกจากนี้ก็ยังมีฟีเจอร์อย่าง Always-on display ในการแสดงผลเวลา การแจ้งเตือนขณะที่ปิดหน้าจออยู่
ในแง่ของความฉลาดตัวเครื่องจะมาพร้อมกับโหมดอย่าง Smart Doctor ไว้ใช้ในการเคลีย RAM หรือกรณีที่มีไฟล์ขยะในระบบก็สามารถล้างเพื่อให้ตัวเครื่องทำงานได้รวดเร็วขึ้น รวมถึงฟีเจอร์อย่างการประหยัดพลังงานที่จะช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานในกรณีที่แบตใกล้หมดในเวลาฉุกเฉิน
รวมถึงฟีเจอร์อย่าง Smart Setting ที่ใช้ความอัจฉริยะของแอนดรอดย์ ในการตั้งค่าพื้นฐานของเครื่อง อย่างเช่นถ้าอยู่บ้าน (ระบุจาก GPS) ตัวเครื่องจะเปิด Wi-Fi บลูทูธ อัตโนมัติ เมื่อออกจากบ้านก็มีการตั้งโปรไฟล์เสียงใหม่ หรือเมื่อมีการเชื่อมต่อกับหูฟังจะตั้งให้เปิดแอปเล่นเพลงอัตโนมัติ เมื่อมีการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมผ่านบลูทูธให้สั่งเปิดแอปก็ได้
สำหรับในแง่ของการใช้งาน LG G6 ยังเลือกใช้ปุ่มเปิด–ปิดเครื่อง ที่อยู่หลังเครื่องเช่นเดิม และเพิ่มเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเข้าไป โดยปุ่มนี้ยังสามารถใช้ในการรีสตาร์ตเครื่องได้ด้วยการกดปุ่มเปิดเครื่อง พร้อมปุ่มลดเสียงค้างไว้ด้วย ส่วนแถบการสั่งงานก็สามารถเข้าไปเลือกใส่ปุ่มลัดอย่าง Capture+ หรือ QSlide เพิ่มหรือจะนำออกก็ได้
ทดสอบประสิทธิภาพ
Antutu Benchmark = 146,819 คะแนน
Quadrant Standard = 35,418
Multi-Touch = 10 จุด
Geekbench 4
Single-Core = 1,787คะแนน
Multi-Core = 4,161 คะแนน
Compute = 7,220 คะแนน
PassMark PerformanceTest
System = 8,158 คะแนน
CPU Tests = 153,191 คะแนน
Memory Tests = 5,767 คะแนน
Disk Tests = 48,134 คะแนน
2D Graphics Tests = 4,895 คะแนน
3D Graphics Tests = 2,492 คะแนน
3D Mark
Sling Shot Extreme Unlimited = 2,104 คะแนน
Sling Shot Unlimited = 2,647 คะแนน
Sling Shot Extreme = 3,404 คะแนน
Sling Shot = 2,660 คะแนน
Ice Storm Extreme = 14,200 คะแนน
Ice Storm Unlimited = 30,880 คะแนน
Ice Storm = 14,239 คะแนน
PC Mark
Work 2.0 = 5,230 คะแนน
Computer Vision = 3,016 คะแนน
Storage = 4,119 คะแนน
Work = 6,321 คะแนน
ส่วนการทดสอบแบตเตอรีจาก PC Mark สามารถใช้งานได้ 7 ชั่วโมง 20 นาที จะเหลือแบตเตอรีประมาณ 20% ซึ่งถ้าเปลี่ยนเป็นการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน ถ้าไม่ได้เล่นมือถือหนักๆ ก็เพียงพอต่อการใช้งานใน 1 วันสบายๆ
สรุป
รวมๆแล้ว LG G6 ถือเป็นสมาร์ทโฟนอีกรุ่นที่น่าสนใจ จากความสามารถโดยรวม และการชูในเรื่องของกล้องมุมกว้าง ถ้าไม่นับเรื่องการตั้งราคาจำหน่ายของเครื่อง ที่เลือกใช้โปรโมชันกระตุ้นการขายอย่างเมื่อซื้อ LG G6 ในราคา 25,990 บาท จะได้รับทีวี LG 42” มูลค่าเกือบ 13,000 บาทไปด้วย
ในมุมกลับกันถ้า LG เลือกปรับระดับราคาลงมาเหลือราว 2 หมื่นบาท หรือต่ำกว่า ก็จะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกับแฟลกชิปที่ออกในช่วงต้นปีของ LG ก่อนนำ LG V30 เข้ามาทำตลาดในช่วงปลายปีเพื่อจับกลุ่มที่อยากได้นวัตกรรมเพิ่มเติมแทน