วันนี้ทีมงานไซเบอร์บิซได้รับเครื่องบันทึกเสียงดิจิตอล Philips (ฟิลิปส์) “SpeechAir PSP1100” ที่โดดเด่นในเรื่องการออกแบบให้เป็นลูกผสมกับแอนดรอยด์สมาร์ทโฟน ใช้งานได้หลากหลาย อีกทั้งภายในยังมาพร้อมระบบรักษาความปลอดภัยระดับองค์กร รวมถึงฟีเจอร์และสเปกแบบจัดเต็มด้วยชุดไมโครโฟนคุณภาพสูง 3 ตัวรับเสียงได้กว้าง 360 องศา เน้นใช้บันทึกเสียงงานสัมภาษณ์เดี่ยว สัมภาษณ์กลุ่ม หรือบันทึกเสียงจากที่ประชุมต่างๆ
การออกแบบและสเปก
Philips SpeechAir มีหน้าตาคล้ายกับสมาร์ทโฟนอย่างมาก โดยตัวเครื่องมาพร้อมหน้าจอ IPS ทัชสกรีนขนาด 4 นิ้ว กระจกจอเป็น Gorilla Glass ความละเอียดหน้าจออยู่ที่ 480×800 พิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์ตรวจวัดแสง, Motion Sensor และ optical proximity sensor ติดตั้งเหนือหน้าจอขึ้นไปแบบเดียวกับที่อยู่ในแอนดรอยด์สมาร์ทโฟน รวมถึงมีการติดตั้งลำโพงสนทนาโทรศัพท์เหนือโลโก้ PHILIPS สำหรับใช้งานโทรศัพท์ผ่าน VoIP
ด้านขนาดตัวเครื่อง กว้างxสูง อยู่ที่ 62×127 มิลลิเมตร หนา 15 มิลลิเมตร น้ำหนัก 116 กรัม ตัวเครื่องป้องกันการตกกระแทกตามมาตรฐาน US military standard 516.6 อีกทั้งพื้นผิวรอบตัวเครื่องรวมถึงหน้าจอยังผลิตจากวัสดุที่เชื้อแบคทีเรียไม่สามารถเกาะติดได้
ในส่วนสเปกเครื่อง SpeechAir ขับเคลื่อนด้วยแอนดรอยด์ 4.4.2 ซีพียู Dual Core Cortex-A9 ความเร็ว 1.6GHz แรม 1GB รอมภายใน 16GB (เหลือให้ใช้งานจริงประมาณ 12.5GB) แบตเตอรี 2,700mAh ใช้งานบันทึกเสียงต่อเนื่อง 12 ชั่วโมง
ด้านหลัง จะเป็นที่อยู่ของกล้องถ่ายภาพ สามารถถ่ายภาพที่ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล บันทึกวิดีโอ 1080p 30fps และอ่าน QR-Code พร้อมไฟแฟลช LED
ถัดลงไปเป็นลำโพงและโลโก้ฟิลิปส์
มาดูตำแหน่งไมโครโฟนตัวหลัก Dictation microphone (directional microphone) มี 2 ตัว ติดตั้งอยู่บริเวณมุมขวาบนของเครื่องและข้างไฟแฟลชกล้องถ่ายภาพด้านหลัง โดยไมโครโฟนทั้งสองตัวนี้จะรับเสียงตรงเข้าทางเดียว (ใช้กับงานในลักษณะยื่นไมโครโฟนจ่อปากผู้ถูกสัมภาษณ์) ซึ่งจะให้เสียงที่คมชัดและมีน้ำหนักเสียงดีที่สุด
ในส่วนไมโครโฟนตัวที่ 3 จะถูกติดตั้งอยู่ด้านข้างของเครื่องเหนือปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง โดยไมโครโฟนตัวนี้จะใช้รับเสียง 360 องศา (omnidirectional microphone) สำหรับงานประชุม
ด้านขวาของตัวเครื่อง – ส่วนนี้จะเป็นที่อยู่ของปุ่มคำสั่งต่างๆ เริ่มจาก ช่องรีเซ็ทเครื่อง, สวิตซ์ปิดเปิดเครื่อง, Slide Switch (สำหรับสั่งงานบันทึกเสียง) และปุ่มฟังก์ชัน (ตั้งค่าใช้งานได้จากเมนู Button assignment)
ด้านล่างของตัวเครื่อง – ตรงกลางเป็นพอร์ตเชื่อมต่อ Docking ด้านซ้ายเป็นรูไมโครโฟนรับเสียงสนทนาเมื่อใช้งานโทรศัพท์ผ่าน VOIP ด้านขวาเป็นช่อง MicroUSB
ด้านบน – เริ่มจากตรงกลาง เป็นไฟ LED (ติดเป็นสีแดงเมื่อมีการกดบันทึกเสียง) ขวามือเป็นช่องเสียงไมโครโฟนภายนอกและช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
มาดูในส่วน Docking Station (แถมมาในชุด) ทำหน้าที่หลักในการชาร์จไฟให้ตัว SpeechAir และสามารถชิงค์ข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ได้ โดยด้านหลังจะมีพอร์ตเชื่อมต่อเริ่มจากซ้ายสุด MicroUSB สำหรับเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ตรงกลาง LAN สำหรับเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตและระบบเครือข่ายภายในองค์กรผ่านสายแลน ขวาสุด MicroUSB 5V DC สำหรับเชื่อมต่อกับอะแดปเตอร์ชาร์จไฟบ้าน
โดยในส่วนไฟสถานะการทำงานด้านหน้า Docking ซ้ายเป็นไฟชาร์จแบตเตอรี ขวาเป็นไฟซิงค์ข้อมูลกับคอมพิวเตอร์
หน้าตาอุปกรณ์ที่แถมมาในกล่อง Philips SpeechAir PSP1100 เริ่มจาก แฟลชไดร์ฟ 4GB ภายในมีคู่มือและซอฟต์แวร์จัดการไฟล์เสียง, อะแดปเตอร์ชาร์จไฟ 5V 2A, หูฟังอินเอียร์ และสาย MicroUSB 2 เส้น แบ่งเป็น สายสั้นใช้สำหรับเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ส่วนสายยาวไว้เชื่อมต่อกับ Docking
การใช้งานและฟีเจอร์เด่น
ด้วยความที่ตัวเครื่องขับเคลื่อนด้วยแอนดรอยด์ 4.2.2 Jelly Bean ทำให้ฟังก์ชันการใช้งานพื้นฐานจะเหมือนกับใช้บนสมาร์ทโฟนทั้งหมด คุณสามารถเชื่อมต่อ WiFi, บลูทูธ, ถ่ายภาพหรือท่องเว็บไซต์ผ่านบราวเซอร์ได้ปกติ
ส่วนการติดตั้งแอปฯเพิ่มเติม จะไม่สามารถทำได้เพราะไม่มี Play Store แต่ฟิลิปส์ให้แอปฯ Explorer สำหรับเพื่อเอาไว้จัดการไฟล์รวมถึงเลือกติดตั้ง apk หรือเฟริมแวร์จากภายนอกได้
ในส่วนแอปฯหลักก็คือ “Dictation recorder” ลิขสิทธิ์ใช้ได้เฉพาะ Philips SpeechAir เท่านั้น หน้าที่หลักก็คือใช้บันทึกเสียง โดยวิธีการควบคุมทำได้ง่ายผ่าน Slide Switch ด้านข้างเครื่อง (ดันขึ้น เริ่มบันทึก ดันลง หยุด ดันลงจนสุดแล้วค้างไว้ กรอคลิปเสียง)
นอกจากนั้นผู้ใช้ยังสามารถตัดต่อคลิปเสียงด้วยการบันทึกซ้ำหรือแทรกคลิปเสียงใหม่ได้ รวมถึงใส่รายละเอียดของคลิปเสียงได้ด้วย
มาถึงรูปแบบไฟล์ที่บันทึก มาตรฐานจะเป็นไฟล์ DSS Pro .DS2 (28 kbit/s) เพราะให้ขนาดไฟล์ที่เล็กเหมาะกับส่งผ่านทางอีเมล์ แต่ทั้งนี้ถ้าคิดว่าไม่สะดวก ทางฟิลิปส์ได้ให้ออปชันบันทึกเป็น WAV PCM (256 kbit/s) มาให้อีกหนึ่งตัวเลือก
ในส่วนไมโครโฟน 3 ตัว ผู้ใช้สามารถปรับตั้งความไวของไมโครโฟนรวมถึงเลือกวิธีการรับเสียงของตัวไมโครโฟนได้ตามการใช้งานอีกด้วย เรียกได้ว่า SpeechAir PSP1100 สามารถใช้บันทึกเสียงได้ตั้งแต่สัมภาษณ์เดี่ยวไปถึงใช้บันทึกเสียงในที่ประชุมขนาดใหญ่ได้เลย
และนอกจากนั้นสำหรับคนที่ต้องการป้องกันคลิปเสียงหลุด ทางฟิลิปส์ยังให้ระบบเข้ารหัสไฟล์แบบ Real-Time Advanced Encryption Standard (AES) 256 bits มาให้ด้วย (แต่ระบบดังกล่าวจะป้องกันเฉพาะเมื่อใช้ภายในแอปฯ Dictation recorder เท่านั้น)
มาถึงบริการพิเศษเฉพาะผู้ใช้เครื่องบันทึกเสียงฟิลิปส์ ก็คือ “SpeechLive“ หรือบริการถอดเทปแล้วพิมพ์เป็นเอกสาร Text file ให้” (มีค่าบริการรายเดือน) แต่ทั้งนี้บริการดังกล่าว ปัจจุบันไม่เปิดให้ผู้ใช้ในประเทศไทยและไม่รองรับภาษาไทย
ส่วนวิธีการดึงคลิปเสียงออกจากตัวเครื่อง ระบบจะให้ทำผ่านซอฟต์แวร์ Philips SpeechAir Management software ในคอมพิวเตอร์ หรือเครื่อแมคจะเป็นซอฟต์แวร์ DPMConnect for Mac
และอีกวิธีก็คือใช้ส่งผ่านอีเมล์ แต่ทั้งนี้ไฟล์ที่ได้มาไม่ว่าจะเป็น DSS Pro หรือ WAV จะต้องใช้ Audio Codec จากฟิลิปส์ร่วมกับ Media Player เพื่อใช้เล่นไฟล์ เพราะไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถเล่นคลิปเสียงบนคอมพิวเตอร์ได้
ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป
ในภาพรวมทั้งหมด SpeechAir PSP1100 จัดเป็นเครื่องบันทึกเสียงที่ถูกออกแบบมาเพื่องานบันทึกเสียงสัมภาษณ์หรือใช้บันทึกเสียงรายงานการประชุม โดย SpeechAir PSP1100 จัดเป็นรุ่นท็อปสุดของตลาด ทำให้ไม่ต้องห่วงเรื่องของคุณภาพไมโครโฟนและไฟล์เสียง โดยจากการทดสอบในสภาพแวดล้อมต่างๆ การรับเสียงพูด ทำได้ดี ชัดเจน
อีกทั้งแอปฯ Dictation recorder ก็ทำงานได้ค่อนข้างฉลาด กล่าวคือ ตัวแอปฯสามารถเรียนรู้ได้ว่าตอนนี้เรากำลังบันทึกเสียงในลักษณะสัมภาษณ์บุคคลหรือใช้ในที่ประชุมโดยใช้เซ็นเซอร์ภายในใน ตรวจจับการถือจับถือตัวเครื่องของเรา เพราะคนปกติเวลาสัมภาษณ์จะถือเครื่องไว้ในมือ แต่ถ้าเป็นการบันทึกเสียงประชุมเราจะวางไว้บนโต๊ะ ระบบภายในสามารถเรียนรู้และปรับแต่งเสียงให้อัตโนมัติ
อีกจุดเด่นหนึ่งที่ SpeechAir ทำได้ดีมากไม่แพ้กัน ก็คือ ความทนทานที่สูง อีกทั้งตัวเครื่องยังเลือกใช้วัสดุ ANTIMICROBIAL แน่นอนว่ารองรับการใช้งานในวงการแพทย์ ส่วนคนทั่วไปที่ต้องวางเครื่องบันทึกเสียงไว้ตามสถานที่ต่างๆก็มั่นใจได้ว่าแบคทีเรียจะไม่สามารถเกาะติดตัว SpeechAir แน่นอน
แต่ทั้งนี้ก็ใช่ว่า SpeechAir PSP1100 จะไม่มีข้อสังเกตเลย เพราะถึงแม้ตัวเครื่องจะบันทึกรูปแบบไฟล์เสียงตามมาตรฐาน DSS Pro (มาตรฐานกลาง) แต่เอาเข้าจริงๆแล้วสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ไฟล์ DSS Pro รวมถึง WAV PCM ต้องมีซอฟต์แวร์เฉพาะถึงจะสามารถเล่นได้ ความจริงไหนๆก็เป็นเครื่องบันทึกเสียงยุคใหม่แล้วน่าจะเพิ่มรูปแบบการบันทึกเสียงสำหรับงานทั่วไปที่ไม่ต้องมีการเข้ารหัส (เช่น MP3 หรือ MP4) ที่สามารถดึงไปใช้ได้ทันทีจากทุกดีไวซ์ น่าจะทำให้ SpeechAir PSP1100 ครอบคลุมทุกการใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการใช้งานแบบเร่งด่วนแบบสมาร์ทโฟนส่งต่อไปยังสมาร์ทโฟนหรือแชร์ผ่านแอปฯข้อความในเครื่อง SpeechAir PSP1100 ทำได้ยากมาก เนื่องจากฟังก์ชันแชร์ไฟล์ผ่านอินเตอร์เน็ตบังคับให้ส่งผ่านอีเมล์ในรูปแบบไฟล์ดิบได้อย่างเดียว
สำหรับราคาเปิดตัว Philips SpeechAir PSP1100 อยู่ที่ 39,990 บาท จัดจำหน่ายโดย บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)