การออกแบบและสเปก
POMO Kids R2 ได้รับการออกแบบตัวเรือนใหม่ให้มีสีสันสวยงามกว่ารุ่นแรก พร้อมความสามารถในการป้องกันน้ำ (100% Splash Proof) ตามมาตรฐาน IP65 รองรับการใช้งานกลางสายฝน ล้างมือ แต่ไม่แนะนำให้ใส่ว่ายน้ำหรือลงทะเล
หน้าจอ โพโมะปรับเป็นจอสี OLED ขนาด 0.96 นิ้วแบบทัชสกรีน หน้าจอทนแรงขีดข่วนได้ดีขึ้น แต่แนะนำให้ติดฟิล์มกันรอยหน้าจอซึ่งแถมมาให้ในกล่องก่อนใช้งานครั้งแรก
เหนือหน้าจอเป็นช่องไมโครโฟน ส่วนใต้จอภาพเป็นลำโพง
ในส่วนสายรัดข้อมือ มีการปรับไปใช้วัสดุเป็นยางนุ่มที่มีความยืดหยุ่นสูงกว่าเดิม และที่สำคัญความยาวสายเพิ่มขึ้นจากรุ่นที่แล้วอย่างมาก ทำให้รองรับขนาดข้อมือเด็กได้ทุกรูปแบบ รวมถึงหมุดล็อกสายมีความแข็งแรงและแน่นหนามากขึ้น
มาดูด้านหลังตัวเรือนนาฬิกา ในครั้งโพโมะย้ายช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์ (เปลี่ยนไปใช้ซิมแบบ Nano Sim) มาติดตั้งอยู่ด้านหลังในรูปแบบถาดใส่ซิมสแตนเลส พร้อมน็อตยึดขนาดเล็กสร้างความแน่นหนาปลอดภัยกว่ารุ่นก่อนเดิมมาก
ถัดจากช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์ ตรงกลางเป็นเซ็นเซอร์ตรวจจับเมื่อมีการถอดนาฬิกาออกจากข้อมือ ด้านล่างเป็นพอร์ตเชื่อมต่อที่ชาร์จไฟแบบแม่เหล็กแปะติด
ด้านข้าง จะเป็นที่อยู่ของปุ่มเปิดปิดเครื่อง ปุ่มโทรด่วน (แบบกด 1 ครั้งค้างไว้แล้วโทรออกเลย) สามารถตั้งได้ 2 หมายเลข พร้อมปุ่ม SOS กรณีฉุกเฉินให้บุตรหลานกดค้างไว้ ระบบจะสั่งโทรออกพร้อมส่งพิกัดไปที่ปลายสายที่ตั้งไว้ในแอปฯโพโมะ
มาดูในส่วนสเปก เริ่มจากหน่วยประมวลผลภายในนาฬิกาใช้ MT6260D Single Core แรม 4MB รอม 4MB มี GPS บลูทูธ 4.0 ในตัว แบตเตอรี 450mAh ใช้งานได้ 72 ชั่วโมง น้ำหนัก 40 กรัม
ด้านการใช้งาน POMO Kids R2 จะใช้การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผู้ปกครองผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ระบบ 2G (GSM 800/900/1,800/1,900) เท่านั้น (โปรดตรวจสอบให้ดีเพราะระบบนาฬิกาไม่รองรับ 3G) โดยซิมการ์ดโทรศัพท์ที่นำมาใส่กับ POMO Kids R2 อย่างแรกต้องเป็น Nano Sim ของค่ายใดก็ได้ที่ทำงานบนเครือข่าย 2G สามารถโทรเข้าออก รับสายและใช้งานอินเตอร์เน็ตได้
โดยโพโมะเครมไว้ว่าใน 1 เดือน ถ้าใช้งานเต็มฟังก์ชันทุกวัน นาฬิกาจะบริโภคดาต้าอินเตอร์เน็ตไม่เกิน 500MB
ฟีเจอร์เด่นและการใช้งาน
ในกล่อง POMO Kids R2 จะมีการแถมประกันภัยจาก ฟอลคอนประกันภัย คุ้มครองกรณีเด็กถูกลักพาตัวในวงเงิน 200,000 บาทมาให้พิเศษเฉพาะผู้ใช้นาฬิการุ่นนี้
ในส่วนอินเตอร์เฟสนาฬิกา (สำหรับบุตรหลาน) เมื่อยกข้อมือขึ้นมาให้กดปุ่มข้างนาฬิกาปุ่มใดก็ได้ 1 ครั้ง หน้าจอแสดงเวลาจะปรากฏขึ้น และถ้ากดปุ่มใดก็ได้ค้างไว้จะเป็นการปลดล็อกหน้าจอ โดยหน้าจอหลักแสดงขีดสัญญาณโทรศัพท์/GPS พร้อมวันที่และสถานะแบตเตอรี
ในส่วนเมนูใช้งาน (สามารถสัมผัสหน้าจอเพื่อสั่งงานได้) มีให้ใช้ตั้งแต่ปรับเสียงนาฬิการวมถึงเพิ่มลดระดับความดังเสียงได้ ถัดไปเป็นจำนวนก้าวเดินในแต่ละวัน, BFF (Best Friend Forever) เป็นฟังก์ชันเพิ่มเพื่อนที่ใช้ Kids R2 เหมือนกัน (ใช้วิธีนำนาฬิกามาใกล้กันในระยะ 1 ไม้บรรทัด) โดยเมื่อเพิ่มเพื่อนสำเร็จจะมีระบบแจ้งผู้ปกครองให้รับรู้ด้วย, Family Voice สำหรับพูดคุยกับผู้ปกครองผ่านข้อความเสียงขนาดสั้น และสุดท้าย Contacts เป็นสมุดรายชื่อโทรศัพท์ (เวลาโทรศัพท์ เสียงจะออกลำโพงที่ตัวนาฬิกา)
มาถึงฝั่งผู้ปกครองกันบ้าง อย่างแรกต้องดาวน์โหลดแอปฯ POMO Kids จากสโตร์ออกมาก่อน (รองรับ Android, iOS) จากนั้นต้องทำการเชื่อมต่อนาฬิกากับสมาร์ทดีไวซ์โดยใช้วิธีสแกน QR Code ผ่านแอปฯ POMO แล้วระบบจะเชื่อมต่อกัน หลังจากนั้นให้ตั้งค่าเบอร์โทรศัพท์ให้เรียบร้อย
ในส่วนฟีเจอร์ที่ผู้ปกครองสามารถใช้งานได้ ส่วนใหญ่จะขึ้นกับระบบ GPS และสัญญาณโทรศัพท์ เริ่มตั้งแต่ Smart Locator สำหรับติดตามบุตรหลานว่าอยู่ที่ใด โดยความถี่ในการอัปเดตแผนที่จะอยู่ที่ประมาณ 3 นาทีต่อครั้ง (ตั้งค่าได้)
Voice Calling โทรหาบุตรหลาน
Baby Monitor เป็นฟีเจอร์ใหม่ โดยระบบจะสั่งให้นาฬิกาโทรกลับมาหาผู้ปกครองอัตโนมัติ และเมื่อผู้ปกครองรับสายจะสามารถแอบฟังเสียงจากปลายสายได้
Anti-Lost Alarm เป็นฟีเจอร์ป้องกันเด็กหายผ่านสัญญาณบูลทูธ เหมาะสำหรับเวลาพาบุตรหลานไปเดินเที่ยว เมื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ นาฬิกากับสมาร์ทดีไวซ์ของเราจะเชื่อมต่อกันผ่านสัญญาณบลูทูธ เมื่อบุตรหลานวิ่งจนออกนอกเขตสัญญาณ (ประมาณ 10 เมตร) ระบบจะส่งข้อความเตือนให้ผู้ปกครองทราบ
Journey History เป็นบันทึกประวัติการเดินทางของบุตรหลานว่าไปที่ใดมาบ้างใน 1 วัน
Voice Message พูดคุยกับบุตรหลานผ่านข้อความเสียงขนาดสั้น
Safe Zone เป็นฟีเจอร์กำหนดขอบเขตด้วยการวาดเส้นลงไปบนแผนที่ ถ้าบุตรหลานวิ่งออกนอกเขตที่กำหนดไว้ ระบบจะแจ้งเตือนผู้ปกครองให้ทราบ
H-S Reminder หรือ Home-School Reminder เป็นฟีเจอร์ใหม่เฉพาะ POMO Kids R2 ที่เปิดให้ผู้ปกครองยุคใหม่ที่จำเป็นต้องพึ่งพารถประจำในการรับส่งบุตรหลาน สามารถกำหนดเวลาเข้าเรียนและกลับบ้านของบุตรหลานพร้อมกำหนดตำแหน่งโรงเรียนและบ้านผ่าน GPS ได้ โดยเมื่อถึงเวลาเข้าเรียนถ้าบุตรหลานถึงโรงเรียนระบบจะแจ้งมาให้ผู้ปกครองทราบ อีกทั้งยังสามารถกำหนดเวลานั่งเรียน (In-class mode) ซึ่งจะช่วยให้ตัวนาฬิกาไม่ส่งเสียง พร้อมปรับเป็นโหมดสั่นรวมถึงไม่สามารถทำงานใดๆได้นอกจากใช้ดูเวลาอย่างเดียว
Common Places Alert เป็นฟีเจอร์ต่อยอดจาก H-S Reminder หลังจากบุตรหลานกลับจากโรงเรียน บางคนมีสถานที่ที่ชอบไป เช่น ไปสวนสาธารณะ A ไปรอพ่อที่เรียนพิเศษ B แน่นอนว่าผู้ปกครองสามารถบันทึกสถานที่เหล่านั้นไว้ในออปชันนี้ได้ โดยเมื่อถึงเวลาที่บุตรหลานเดินทางไปถึงระบบจะแจ้งเตือนกลับมายังผู้ปกครองได้ทราบด้วย
Accident Report ในนาฬิกาจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ถ้าระหว่างวันบุตรหลายของท่านเกิดอุบัติเหตุ (ใช้หลักนาฬิกามีการสั่นไหวรุนแรง เหมือน G Sensor ในกล้องหน้ารถ) ระบบจะส่งข้อความหาผู้ปกครองทันที
Watch off alarm เมื่อเปิดใช้ฟีเจอร์นี้ ระหว่างวันถ้านาฬิกาหลุดออกจากข้อมือของบุตรหลานหรือมีคนถอดออก ระบบจะแจ้งเตือนมายังผู้ปกครองเช่นกัน
Pedometer ฟีเจอร์สุขภาพ ตรวจดูจำนวนก้าวเดินในหนึ่งวัน
สุดท้ายในส่วน More จะเป็นการเข้าสู่หน้าตั้งค่าปรับแต่งระบบ โดยผู้ปกครองสามารถกำหนดความถี่ของการรับสัญญาณ GPS ในตัวนาฬิกา รวมถึงกำหนดความไวของเซ็นเซอร์ต่างๆ สามารถเพิ่มเบอร์โทรศัพท์คนในครอบครัวกรณีฉุกเฉินและเปิดใช้ฟีเจอร์ห้ามรบกวน (Sleep time) เมื่อถึงเวลานอนได้ด้วย
ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป
หลังจากทดลองใช้งานร่วมอาทิตย์ต้องบอกว่า POMO Kids R2 จัดเต็มเรื่องฟีเจอร์และฟังก์ชันการทำงานมาได้ครบครันกว่ารุ่นก่อนหน้ามาก ฟีเจอร์เด่นอย่าง H-S Reminder ใช้งานได้ค่อนข้างดี รวมถึงฟีเจอร์เดิมจากรุ่นก่อนหน้าก็ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ความซับซ้อนของเมนูลดน้อยลง โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ในตัวนาฬิกาถูกปรับแต่งใหม่ให้มีความเรียบร้อยเข้าที่เข้าทาง รวมถึงจอแบบสัมผัสสามารถช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้การใช้งานได้เร็วขึ้นจนสามารถใช้งานนาฬิกาได้เต็มประสิทธิภาพกว่ารุ่นเดิม
สำหรับราคาเปิดตัว POMO Kids R2 อยู่ที่ 4,990 บาท มีให้เลือก 2 สีได้แก่ สีชมพูและสีน้ำเงิน