ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหูฟังไร้สายส่วนใหญ่จะถูกจำกัดอยู่ในลักษณะการออกแบบที่มาในแนวทางเดียวกันคือ ไม่เหมือน AirPods ที่มีก้านยาวลงมา กับลักษณะของหูฟังบลูทูธที่มาพร้อมที่เกี่ยวหู ก็จะเป็นลักษณะของจุกหูฟังทั่วไปที่ใส่เข้ามาในหู
ทำให้การเปิดตัว Galaxy Buds Live ที่ Samsung เปิดตัวมาพร้อมกับ Galaxy Note20 นั้น ได้ออกมาพลิกโฉมรูปแบบของหูฟังไร้สายในตลาด ด้วยรูปทรงแบบใหม่ ภายใต้แนวคิด Ergonomic ที่เข้ากับหูของคนส่วนใหญ่ได้อย่างพอดี
แน่นอนว่า ภาพแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของผู้ที่ได้สัมผัสทุกคนคือ Buds Live จะมีดีไซน์เหมือนถั่ว จนทำให้เรียกผิดเป็น Galaxy Beans และทุกคนก็เข้าใจว่าคือ Buds Live ด้วยการที่มีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ชัดเจน
จุดเด่นของ Galaxy Buds Live นั้นถือว่าตอบโจทย์การเป็นหูฟังไร้สายได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งเรื่องของการสวมใส่ที่สบาย ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรี ฟีเจอร์การสั่งงาน ที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน และดีไวซ์อื่นๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ จนถึงเรื่องของคุณภาพเสียง แต่ก็มากับราคาที่ค่อนข้างสูงขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเปิดตัวมาที่ 6,990 บาท
สวมใส่สบายผิดคาด
ด้วยรูปทรงที่แปลกตาของ Buds Live ทำให้ในครั้งแรกที่หยิบขึ้นมาใส่หูเพื่อลองใช้งานนั้น กลายเป็นว่าต้องทำความเข้าใจก่อนเบื้องต้นว่า จะใส่ Buds Live เข้าไปในหูอย่างไร เพราะไม่ใช่ว่าสามารถจับใส่เข้าไปในรูหูได้เหมือนหูฟังปกติ
ในการใส่ Buds Live ให้พอดีนั้นจำเป็นต้องใส่ด้านที่เป็นลำโพงเข้าไปบริเวณรูหูก่อน แล้วค่อยใส่ส่วนที่เป็นปลายอีกฝั่งตามเข้าไปเพื่อให้ยึดเข้ากับใบหูส่วนใน ซึ่งหลังจากใส่แล้วจะรับรู้ได้ว่า Samsung ทำการบ้านมาได้ค่อนข้างดี ในแง่ของ Ergonomic เพราะสามารถใส่เข้าไปได้พอดิบพอดี
ความน่าสนใจก็คือ Buds Live เข้าไปได้กระชับพอดี ไม่แน่น หรือหลวนจนเกินไป ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าหูฟังจะหลุดออกมาในขณะที่สวมใส่ แม้จะมีการโยกหัวแรงๆ ก็ยังไม่หลุดออกมา แต่ก็มีข้อควรระวังในกรณีที่ใส่ออกกำลังกาย อย่างการวิ่งเมื่อมีเหงื่อออกหูฟังจะไม่กระชับเหมือนเดิมทำให้ต้องคอยจับอยู่เรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม Buds Live มีจุดที่ต้องระวังอยู่ 2 ส่วนหลักๆ ในการหยิบใส่ใช้งาน อย่างแรกคือตัวหูฟังทำมาในลักษณะผิวมัน และมีขนาดเล็ก ทำให้เวลาจับใส่หูจะค่อนข้างลื่น อาจจะลื่นหลุดมือตกพื้นได้ง่ายๆ กับอีกส่วนคือเซ็นเซอร์รับสัมผัสในการสั่งงานทำงานค่อนข้างเร็ว บางทีต้องการจับหูฟังเพื่อให้กระชับขึ้นแต่กลายเป็นไม่แตะโดนเซ็นเซอร์แทน
ทั้งนี้ ดีไซน์ของ Buds Live อย่างที่เห็นกันคือมีการปรับการออกแบบให้ไม่เหมือนใคร ด้วยการนำรูปทรงคล้ายถั่วมาใช้งาน โดยขนาดของหูฟังจะอยู่ที่ 27.3 x 16.5 x 14.9 มม. ส่วนเคสจะอยู่ที่ 50 x 50.2 x 27.8 มม. มีให้เลือกด้วยกัน 3 สี คือ Mystic Bronze Mystic White และ Mystic Black ในราคา 6,990 บาท
ในส่วนของเคสชาร์จ ภายนอกจะมีไฟแอลอีดี แสดงสถานะแบตเตอรี ที่จะติดขึ้นเมื่อชาร์จไฟ และแสดงระดับของแบตเตอรีเมื่อเปิด–ปิดเคส โดยถ้าเป็นสีแดงแปลว่าแบตต่ำกว่า 30% ตามด้วยสีเหลืองแสดงว่าต่ำกว่า 50% ถ้าสูงกว่านี้จะเป็นสีเขียว ด้านหลังจะมีช่องเสียบสายชาร์จ USB-C โดยที่ตัวเคสรองรับการชาร์จไร้สายด้วย
เชื่อมต่อแอปฯ เริ่มใช้งาน
เมื่อเปิดฝาเคสขึ้นมา จะพบกับหูฟัง Buds Live 2 ข้างชาร์จอยู่กับ Connecter โดยมีแม่เหล็กอ่อนๆ ช่วยยึดไว้ทำให้แม้จะคว่ำเคสลงมาหูฟังก็จะไม่หลุดจากตัวเคส (ยกเว้นเขย่า) โดยตรงบริเวณนี้จะมีไฟแอลอีดี อีกจุดเพื่อแสดงสถานะการเชื่อมต่อ
ครั้งแรกที่เปิดเคสขึ้นมาไฟแอลอีดีสีเขียวจะกระพริบเพื่อให้รับรู้ว่า Buds Live กำลังเข้าสู่โหมดรอการเชื่อมต่อ (Pairing) โดยผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy สามารถดาวน์โหลดแอป Galxaxy Wearable มาเชื่อมต่อใช้งานได้ทันที เช่นเดียวกับผู้ใช้ Android รุ่นอื่นๆ
ส่วนผู้ใช้งาน iOS สามารถดาวน์โหลดแอป Galaxy Buds มาเพื่อเชื่อมต่อกับ Buds Live ได้เช่นกัน โดยประสบการณ์ในการใช้งานนั้นไม่แตกต่างกัน เรียกได้ว่า Samsung ทำการบ้านในจุดนี้มาค่อนข้างดี
ความน่าสนใจของ Buds Live ในเรื่องของการเชื่อมต่อก็คือ หลังจากเชื่อมต่อเข้ากับดีไวซ์หลักแล้ว ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อ Buds Live เข้ากับอุปกรณ์อื่นๆ ได้ด้วย ผ่านการแตะค้างที่หูฟังทั้ง 2 ข้างเพื่อเข้าโหมด Pairing
หลังจากเชื่อมต่อเรียบร้อยแล้วผู้ใช้สามารถสลับการใช้งานไปมาระหว่างอุปกรณ์ได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่ต้องมาคอยยกเลิกการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เก่า แล้วค่อยกดเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ใหม่ เหมือนหูฟังไร้สายทั่วๆ ไปในท้องตลาด
ภายในแอปพลิเคชัน Buds Live จะมีการแสดงผลสถานะของแบตเตอรี ทั้งหูฟังข้างซ้าย–ขวา และตัวเคส ถัดลงมาเป็นสถานะการเปิดใช้งานระบบตัดเสียงรบกวน ANC ที่สามารถสั่งเปิด–ปิด ได้จากในแอป หรือแตะสั่งงานที่ตัวหูฟังก็ได้เช่นกัน
ต่อมาเป็นการปรับอีควอไลเซอร์ ซึ่งมีให้เลือกด้วยกัน 6 โหมด ประกอบไปด้วย Normal Bass Boost Soft Dynamic Clear และ Treble boost ซึ่งถือว่าครอบคลุมการใช้งานในระดับหนึ่ง
ที่เหลือก็จะเป็นการตั้งค่าการสัมผัส อย่างการกดค้างให้เปิดใช้โหมด ANC หรือจะเปลี่ยนการสั่งงานเฉพาะข้างให้กดค้างแล้วเรียกใช้งานแอปพลิเคชันก็ได้ ส่วนการแตะสัมผัส 1 ครั้ง จะถูกตั้งให้เป็นการเล่นเพลง หยุดเพลง ตามด้วยแตะ 2 ครั้ง ในการเปลี่ยนเพลง และแตะ 3 ครั้งเพื่อเล่นเพลงก่อนหน้าเป็นต้น
จุดที่น่าสนใจคือผู้ใช้สามารถสั่งปิดโหมดสัมผัสที่หูฟังได้ด้วย ซึ่งแปลว่าจะเปลี่ยนการควบคุมเป็นผ่านแอปพลิเคชันแทน ทำให้เห็นว่า Samsung เองก็ทราบว่าการรับสัมผัสที่หูฟังไวเกิดไป จนทำให้เวลาจับหูฟังกลายเป็นแตะสั่งงานแทน
คุณภาพเสียง และระบบตัดเสียงรบกวน
อีกหนึ่งจุดที่ Galaxy Buds Live ทำได้ประทับใจคือเรื่องของเสียงที่ได้จากหูฟังไร้สายในราคาระดับนี้ ถือที่ว่าสมกับคุณภาพที่ได้อย่างแน่นอน โดยลำโพงของ Buds Live มีขนาด 12 มม. มาพร้อมกับไดรฟ์เวอร์ขนาดใหญ่ ช่วยเพิ่มเบส และมีช่องลมที่ช่วยเพิ่มเบสให้ลุ่มลึกยิ่งกว่าเดิม
ในขณะที่ไมโครโฟนของ Buds Live นั้นให้มาถึง 3 ตัวด้วยกัน แบ่งเป็น 2 ตัวที่จะจับเสียงภายนอก และอีกหนึ่งตัวด้านในที่ทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ที่จะคอยตรวจจับการสั่นสะเทือนของขากรรไกรให้กลายเป็นสัญญาณเสียง แม้จะอยู่ในสภาพที่มีเสียงรบกวนต่างๆ
แม้ว่า Buds Live จะใส่ไมโครโฟนมาให้ถึง 3 ตัว แต่กลายเป็นว่าเวลาใช้งานโทรศัพท์นั้นจะต้องพูดในระดับเสียงที่ดังกล่าวปกติเล็กน้อย ดังนั้นถ้าใครที่ปกติเป็นคนพูดเสียงดังอาจจะไม่มีปัญหากับการใช้งานด้านบันทึกเสียง แต่ถ้าเป็นคนพูดเบาอาจจะต้องปรับตัวเล็กน้อยเพื่อให้ปลายสายได้ยินเสียงชัดเจนขึ้น
สิ่งที่น่าเสียดายอย่างหนึ่งคือระบบตัดเสียงรบกวน แบบ Active Noise Cancellation : ANC ที่กลายเป็นว่าด้วยรูปแบบของหูฟังที่ไม่ใช่ In-Ears เหมือน Galaxy Buds ทำให้ถึงแม้เปิดใช้งานโหมด ANC แล้วก็ยังได้ยินเสียงรบกวนเข้ามาอยู่ ไม่ได้ตัดให้เงียบสนิทเหมือนอย่างที่หวังไว้
แม้ซัมซุงจะระบุว่า ระบบตัดเสียงรบกวนแบบ ANC จะสามารถลดเสียงรบกวนจากภายนอกได้ถึง 97% ในช่วงคลื่นความถี่ต่ำอย่างเสียงรถไฟ หรือเครื่องบิน ทำให้สามารถได้ยินเสียงพูด และเสียงประกาศต่างๆ ได้ตามปกติ แต่กลายเป็นว่าแทบไม่รู้สึกถึงความต่างเลย
สำหรับแบตเตอรีของ Buds Live นั้น สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 6 ชั่วโมง และเมื่อรวมกับเคสชาร์จจะทำให้ใช้งานได้ต่อเนื่องถึง 21 ชั่วโมง และยังมีโหมดชาร์จไฟเร็วที่ใส่เคสชาร์จ 5 นาทีจะสามารถใช้งานได้ราว 30 นาที
สรุป
Samsung Galaxy Buds Live ถือว่าเป็นหูฟังไร้สายที่ทำดีไซน์ออกมาได้เป็นเอกลักษณ์มากๆ ขณะเดียวกันด้วยการออกแบบใหม่นี้ทำให้สวมใส่แล้วสบาย ถูกหลักสรีระมากขึ้น จึงทำให้กลายเป็นอีกหนึ่งหูฟังไร้สายที่สวมใส่สบายรุ่นหนึ่งในเวลานี้ก็ว่าได้
แต่ในแง่ของการใส่ใช้งานอาจจะต้องระมัดระวังกันสักหน่อยเพราะหูฟังมีขนาดเล็ก กับเรื่องของระบบสัมผัสที่ค่อนข้างไวทำให้กดสั่งงานโดยไม่ตั้งใจได้ง่ายน สำหรับคุณภาพของเสียงที่ได้ถือว่าสมราคาดี จากการปรับแต่งร่วมกับทาง AKG ติดอยู่ตรงระบบตัดเสียงรบกวน ANC ที่มีปัจจัยจากดีไซน์มาทำให้สู้แบบ In-Ears ไม่ได้