“Galaxy Note” ถือเป็นสมาร์ทโฟนแฟลกชิปจากซัมซุงอีกหนึ่งรุ่นที่หลายคนตั้งหน้าตั้งตารอมากที่สุดไม่แพ้กลุ่มไฮเอนด์แฟลกชิปอย่าง Galaxy S โดยในวันนี้ซัมซุงนำ Galaxy Note เดินทางข้ามเลข 6 มาเป็นเลข 7 ด้วยเหตุผล คือ
“ต้องการให้ชื่อสอดคล้องกับแฟลกชิป Galaxy S7 เพื่อลดความสับสนด้านการตลาด และช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจที่มาที่ไปของกลุ่มผลิตภัณฑ์ Galaxy Note ว่าแท้จริงแล้วสเปกเครื่องจะสอดคล้องกับ Galaxy S ที่เปิดตัวก่อน โดยกลุ่ม Galaxy Note จะถูกจัดให้เป็นสมาร์ทโฟนเน้นทำงาน ขีดเขียนได้เพราะมีปากกา S Pen เป็นจุดขายรวมถึงฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์บางตัวจะสดใหม่กว่า”
(ตอนรุ่นที่แล้ว Galaxy Note 5 กับ Galaxy S6 มีหลายคนเข้าใจว่า Note 5 สเปกต่ำกว่าเพราะชื่อรุ่นมาก่อน S6 ทั้งที่จริงแล้วสเปกพื้นฐานเหมือนกัน)
รับชมวิดีโอไฮไลท์เด่นก่อนอ่านบทความรีวิว เพื่อความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้น
การออกแบบ
ซัมซุงยกดีไซน์ของ Galaxy S7 edge มาไว้บน Galaxy Note 7 ทั้งหมด ตั้งแต่หน้าจอ Super AMOLED แบบขอบโค้งทั้งสองด้าน (Dual edge Screen) ที่ซัมซุงปรับเรื่องความโค้งของขอบจอให้จับถนัดและกระชับมือกว่า Galaxy S7 edge อีกทั้งถ้ามองหน้าจอในแนวตรงจะพบว่า การออกแบบขอบจอใหม่ทำให้มองดูภาพจากจอ Note 7 เหมือนไร้ขอบเลยทีเดียว
สำหรับสเปกจอภาพ ซัมซุงเลือกใช้ขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียด Quad HD 2K (2,560×1,440 พิกเซล) ความหนาแน่นพิกเซลต่อตารางนิ้วสูงถึง 518 ppi ส่วนกระจกจอด้านหน้าทั้งหมดเป็น Corning Gorilla Glass 5 ตัวใหม่ล่าสุด กันการตกกระแทกที่ความสูงระดับ 1.6 เมตร
ด้านขนาดตัวเครื่องกว้างxยาว อยู่ที่ 73.9×153.5 มิลลิเมตร หนา 7.9 มิลลิเมตร น้ำหนักอยู่ที่ 169 กรัม
ด้านบนเหนือจอภาพขึ้นไปปกติจะเป็นที่อยู่ของเซ็นเซอร์ตรวจวัดแสง RGB Light Sensor, Hall Sensor แต่ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ซัมซุงเพิ่มกล้องตรวจจับม่านตา (Iris Scanner) ซึ่งต้องทำงานร่วมกับ IR LED เข้ามาด้วย (อธิบายหลักการทำงานในส่วนต่อไป)
ส่วนกล้องถ่ายภาพด้านหน้าหรือ Selfie Camera ซัมซุงยกมาจาก Galaxy S7 โดยความละเอียดกล้องหน้าอยู่ที่ 5 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง f1.7
ใต้จอภาพ – ตรงกลางเป็นที่อยู่ของปุ่มโฮมพร้อมเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือ ซ้ายและขวาเป็นปุ่ม Navigation Buttons พร้อมไฟส่องสว่างตามแบบฉบับของซัมซุง
ด้านหลังเป็นกระจก Corning Gorilla Glass 5 เหมือนด้านหน้าทั้งหมด พร้อมกล้องหลัง Dual Pixel ยกชุดมาจาก Galaxy S7 ตั้งแต่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS และรูรับแสงกว้าง f1.7 สามารถถ่ายในที่แสงน้อยให้คุณภาพไม่ต่างกับ Galaxy S7 แต่อย่างใด
ถัดจากกล้องไปด้านขวาจะเป็นส่วนของไฟแฟลช LED และเซ็นเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
ด้านข้าง – จะเป็นเฟรมโลหะรับกับกระจกโค้งทั้งหน้าและหลังได้อย่างเรียบเนียนเหมือน Galaxy S7 edge โดยด้านขวาของตัวเครื่องจะเป็นที่อยู่ของปุ่มเปิดปิดเครื่อง ด้านซ้ายจะเป็นปุ่มเพิ่มลดเสียง
ด้านบน – ซ้ายของภาพเป็นช่องไมโครโฟน ขวาเป็นช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์แบบนาโน รองรับ Dual Sim โดยช่องใส่ซิมที่ 2 จะแชร์กับช่องใส่ MicroSD Card รองรับความจุสูงสุด 256GB
ด้านล่าง – เริ่มจากซ้ายเป็นช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ตรงกลางเป็น USB-C ถัดมาเป็นช่องไมโครโฟน ลำโพงและช่องใส่ปากกา S Pen
มาดูรายละเอียดพอร์ต USB-C เพิ่มเติมเล็กน้อย เนื่องจากเป็นพอร์ตเชื่อมต่อใหม่ล่าสุด ซัมซุงจึงได้แถมอะแดปเตอร์แปลงพอร์ตมาให้ 2 แบบได้แก่ แบบที่ 1 แปลงจาก USB Type A เป็น USB-C และแบบที่ 2 แปลงจาก MicroUSB ยอดนิยมเป็น USB-C เพราะฉะนั้นถ้าเรามีอุปกรณ์เชื่อมต่อ USB แบบเก่า เช่น แฟลชไดร์ฟ จอยเกม ฯลฯ ก็ยังสามารถใช้ร่วมกับ Galaxy Note 7 ได้เช่นเดิม
ในส่วนอะแดปเตอร์ชาร์จไฟยังคงเป็นมาตรฐาน Adaptive Fast Charging 9V 1.67A เช่นเดิม สามารถชาร์จไฟจาก 0% ถึง 100% ในเวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง
มาถึงรายละเอียดของปากกา S Pen ตัวใหม่กันบ้าง จุดเด่นที่ชัดเจนสุดคงอยู่ที่หัวปากกาที่ปรับให้เล็กกว่า 0.7 มิลลิเมตร ทำให้การเขียนลื่นไหลขึ้นมาก อีกทั้งปัญหาการใส่ปากกาเข้าช่องใส่แบบกลับด้านแล้วทำให้ปากกาติดอยู่ในช่องจนล็อกแตก ซัมซุงได้แก้ปัญหาแล้วใน Galaxy Note 7
สุดท้ายทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาในส่วนการออกแบบ เชื่อว่าทุกคนต้องถูกใจฟีเจอร์นี้มากที่สุด ก็คือ “ฟีเจอร์กันน้ำ กันฝุ่นตามาตรฐาน IP68 (ลงสระน้ำได้ลึก 1.5 เมตร นานเป็นเวลา 30 นาที)” แบบเดียวกับ Galaxy S7 แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ตัวเครื่องที่กันน้ำกันฝุ่นได้เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงปากกาก็กันน้ำ กันฝุ่นและที่สำคัญสามารถใช้ปากกาเมื่ออยู่ในน้ำได้ ไม่ว่าจะเป็น วาดรูป เขียนข้อความหรือใช้ปากกาควบคุมตัวเครื่องแทนการสัมผัสหน้าจอ ก็สามารถทำได้อย่างเต็มรูปแบบอีกด้วย
สเปก
มาต่อกันที่เรื่องสเปกเครื่องกันบ้าง สำหรับโมเดลขายในประเทศไทยจะใช้ซีพียู Exynos 8890 Octa core 64 บิต โดย 4 คอร์แรกจะมีความเร็วอยู่ที่ 2.60GHz ส่วน 4 คอร์หลังมีความเร็ว 1.59GHz แรมให้มา 4GB (LPDDR4) รอมหรือหน่วยเก็บข้อมูลในตัวเครื่องจะเริ่มต้นที่ 64GB (UFS 2.0) เหลือพื้นที่ให้ใช้จริงประมาณ 52GB แบตเตอรีให้มา 3,500mAh รองรับ Wireless Charging และระบบปฏิบัติการจากโรงงานเป็น Android 6.0.1 (Marshmallow) รองรับการอัปเดตเป็น Android 7.0 (Nougat) ในอนาคตแน่นอน
ด้านสเปกการเชื่อมต่อเครือข่าย 3G/4G LTE รองรับทุกคลื่นความถี่ในประเทศไทย โดย 4G รองรับ LTE-A ความเร็วสูงสุดถึง Cat.12 อีกทั้งยังรองรับ Carrier Aggregation แบบ 3CA รวมถึงรองรับ VoLTE, WiFi Calling ส่วนการใช้งานซิมแบบ Dual sim ก็ยังรองรับมาตรฐาน Full NetCom 3.0 เต็มรูปแบบด้วย
เรียกได้ว่า Galaxy Note 7 เป็นอีกหนึ่งไฮเอนด์สมาร์ทโฟนที่รองรับทุกเทคโนโลยีการสื่อสารที่มีในประเทศไทยทั้งหมดตอนนี้ได้อย่างสบายๆ
มาถึงสเปกปลีกย่อยอื่นๆ เริ่มจาก WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac MIMO 2×2 Dual Band 2.4/5GHz, บลูทูธรองรับเวอร์ชัน 4.2 มี NFC และ GPS รองรับทั้ง GLONASS และ Beidou
ซอฟต์แวร์และฟีเจอร์เด่น
ระยะหลังตั้งแต่ Galaxy S6 เป็นต้นมาจะเห็นว่าซัมซุงพยายามปรับยูสเซอร์อินเตอร์เฟสให้มีความลื่นไหลและเสถียรมากยิ่งขึ้น โดยจุดเด่นที่น่าชื่นชมเป็นอันดับแรกก็คือ การใส่แอปฯจากโรงงานมาให้เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น (คล้ายกับ Galaxy S7) ทำให้ระบบปฏิบัติการทำงานได้ลื่นไหลและบริโภคหน่วยความจำน้อยลง โดยใน Galaxy Note 7 หน้าตายูสเซอร์อินเตอร์เฟสมีการปรับปรุงใหม่ให้มีความเบา เรียบง่ายสอดคล้องกับตัวแอนดรอยด์ 6.0 Marshmallow มากขึ้น
โดยสิ่งที่เห็นชัดเจนมากที่สุดก็คือระบบจัดการพลังงานใหม่ โดยทุกครั้งที่ผู้ใช้ติดตั้งแอปพลิเคชันใหม่ ตัวจัดการพลังงานภายในจะมีระบบตรวจจับอัตราการบริโภคแบตเตอรีและการทำงานพื้นหลังอัตโนมัติ ถ้าแอปฯตัวใดมีการทำงานที่ผิดปกติ (ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นหลังกดปิดหน้าจอ แอปฯบางตัวอาจทำงานพื้นหลังตลอดเวลา) ระบบจะแจ้งให้ผู้ใช้ทราบและเราสามารถเข้าไปจัดการกดปิดแอปฯเหล่านั้นได้ทันที
นอกจากนั้นทางซัมซุงยังได้พัฒนาส่วนของซอฟต์แวร์จัดการพลังงานของตนเองเพื่อใช้ร่วมกับตัวระบบปฏิบัติการหลักด้วย โดยผู้ใช้ที่ไม่ได้เล่นเกมหรือไม่จำเป็นต้องใช้การประมวลผลซีพียูที่สูงตลอดเวลา ก็สามารถเข้าไปกดเปิด Power saving mode เพื่อลดความละเอียดหน้าจอและจำกัดการทำงานของซีพียูได้ด้วย
Iris scanner – มาดูฟีเจอร์ใหม่ครั้งแรกของซัมซุงกับระบบปลดล็อกหน้าจอด้วยการสแกนม่านตา โดยการทำงานระบบจะเปิดกล้อง Iris พร้อมปล่อยแสงอินฟาเรดสีแดงมาที่ตาของเรา (ให้ภาพคล้าย Night Vision) โดยเราต้องขยับดวงตาทั้งสองข้างให้ตรงกับกรอบวงกลมทั้งสอง โดยเมื่อระบบอ่านม่านตาเราและตรงกับที่ใส่ข้อมูลไว้ในเครื่อง หน้าจอจะปลดล็อกทันที
ข้อควรปฏิบัติสำหรับระบบสแกนม่านตาใน Galaxy Note 7
– ระบบสแกนม่านตาไม่รองรับดวงตาที่ใส่คอนแทคเลนส์แบบสีหรือมีลวดลายต่างๆ
– ระยะสแกนม่านตาที่เหมาะสมอยู่ที่ 25-35 เซนติเมตร หลีกเลี่ยงการใช้งานกลางแสงแดดที่จ้าเกินไป และสมาร์ทโฟนต้องอยู่นิ่งๆ
– สแกนม่านตารองรับการสแกนผ่านแว่นกันแดดได้
– การตั้งระบบสแกนม่านตาครั้งแรกเพื่อลงทะเบียนเข้าในระบบ สำหรับคนที่ใส่แว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์สายตาต้องถอดออกก่อน โดยเมื่อระบบลงทะเบียนม่านตาเราแล้ว การใช้งานปกติสามารถใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์สายตาเพื่อปลดล็อกได้
– การสแกนม่านตาเพื่อปลดล็อกหน้าจออาจทำได้ไม่สะดวกถ้าผู้ใช้เดินอยู่ เพราะฉะนั้นเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดแนะนำให้ตั้ง Screen lock type แบบอื่นร่วมด้วย เช่น ปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ รหัสผ่าน เป็นต้น
S Pen – มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เริ่มจาก Magnify หรือแว่นขยาย โดยผู้ใช้สามารถนำปากกาลอยเหนือหน้าจอจะมีกรอบแว่นขยายภาพปรากฏขึ้น โดยผู้ใช้สามารถตั้งอัตราขยายได้ตั้งแต่ 100%-300%
S Pen Translate – เมื่อเลือกฟีเจอร์นี้ ผู้ใช้สามารถถือปากกาลอยเหนือทุกข้อความ ทุกตัวอักษรที่ปรากฏบนหน้าจอ จากนั้นระบบจะเชื่อมต่อกับ Google Translate และแปลข้อความให้พร้อมทั้งยังสามารถสั่งให้อ่านออกเสียงให้เราฟังได้ด้วย (รองรับภาษาหลากหลายรวมถึง อังกฤษเป็นไทย)
หรือถ้าต้องการค้นหาคำศัพท์แบบละเอียดมากขึ้น ก็สามารถกดปุ่มที่ปากกาค้างไว้และป้ายคำศัพท์ที่ต้องการหาความหมาย จากนั้นกด Dictionary ได้ทันที
S Pen GIF Animation – ใน Smart select ทางซัมซุงได้เพิ่มฟีเจอร์สร้าง GIF Animation ด้วยปากกา S Pen มาให้ด้วย โดยผู้ใช้สามารถสร้าง GIF จากภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏในหน้าจอทั้งหมด อีกทั้งยังสามารถกำหนดขนาดของ GIF ที่ต้องการได้ด้วยการลาก S Pen (ตัวอย่างการใช้งาน : https://youtu.be/Tck0mNgFwlo?t=3m12s)
Samsung Notes – เป็นซอฟต์แวร์สำหรับขีดเขียน จดข้อความตัวใหม่จากซัมซุงที่ได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยเฉพาะในโหมดวาดภาพด้วยสีน้ำที่ครั้งนี้ระบบจะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถผสมสีได้เหมือนการวาดลงบนกระดาษจริง ยกตัวอย่างเช่น เราระบายสีดำลงไปจากนั้นเราเลือกสีส้มแล้วระบายทับสีดำ สีทั้งสองจะรวมกันและได้เป็นโทนสีใหม่
ส่วนระบบจดข้อความส่วนนี้จะมีการรวมกับเครื่องบันทึกเสียงไว้ด้วย อีกทั้งแป้นคีย์บอร์ดยังรองรับการแปลงจากลายมือเขียนเป็นตัวพิมพ์ให้เช่นเดียวกับ Note รุ่นก่อนด้วย
Secure Folder – เป็นฟีเจอร์ในกลุ่มระบบรักษาความปลอดภัยส่วนบุคคล Samsung Knox ตัวใหม่ล่าสุดที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ Galaxy Note 7 สามารถเก็บภาพ ข้อความแบบส่วนตัวได้เหมือนกับเรามี Note 7 อีกหนึ่งเครื่องที่ได้รับการเข้ารหัสด้วยสแกนม่านตาหรือรหัสผ่านไว้
โดยแอปฯ (สามารถเพิ่มได้ตามต้องการ)และโฟลเดอร์ทั้งหมดที่ปรากฏให้ส่วนของ Secure Folder จะถูกแยกการทำงานจากแอปฯและโฟลเดอร์ที่ปรากฏในหน้าหลัก โดยแอปฯที่ต้องมีการล็อกอิน สามารถแยกใช้งานคนละ ID ระหว่างหน้าหลักกับ Secure Folder ได้เหมือนเรามีสมาร์ทโฟน 2 เครื่อง
ยกตัวอย่างเช่น ไลน์ (LINE) ในหน้าหลักเราใช้อีก ID หนึ่ง ใน Secure Folder ก็สามารถล็อกอินอีก ID หนึ่งได้พร้อมกัน หรือแม้แต่การถ่ายรูปจากกล้องใน Secure Folder ภาพที่ได้จะถูกเข้ารหัสและเก็บไว้ภายใน Gallery ของ Secure Folder เท่านั้น Gallery ในหน้าหลักจะไม่มีรูปดังกล่าวปรากฏ (ชมตัวอย่างการใช้งาน https://youtu.be/Tck0mNgFwlo?t=11m44s)
Smart Switch Mobile – เป็นระบบย้ายข้อมูลจากเครื่องเก่ามา Galaxy Note 7 ที่แต่เดิมต้องทำผ่านสาย USB แต่ใน Galaxy Note 7 สามารถทำผ่านระบบไร้สายได้แล้ว
New Settings – มาถึงฟังก์ชันใหม่ๆในส่วนตั้งค่าระบบ เริ่มจาก Blue light filter เมื่อเปิดหน้าจอจะเป็นสีอมเหลืองเพื่อถนอมสายตา โดยผู้ใช้สามารถตั้งเวลาปิดเปิดได้ ถัดไปเป็น WiFi Sharing ที่ระบบอนุญาตให้ทำ Hotspot จาก WiFi ที่เชื่อมต่อกับเครื่องเราได้แล้ว
และสุดท้าย Video Enhancer เมื่อเปิดใช้ฟังก์ชันนี้ เวลารับชมวิดีโอจาก YouTube, Video Player หรือ Google Play Movies หน้าจอจะปรับแสง ความคมชัดและความสดใสของเม็ดสีให้เหมาะแก่การใช้รับชมภาพยนตร์อัตโนมัติ
นอกนั้นในส่วนฟีเจอร์เด่นอื่นๆ ส่วนใหญ่ซัมซุงจะยกชุดมาจาก Galaxy S7 edge ไม่ว่าจะเป็น
Always-on display – สามารถแสดงนาฬิกาและแจ้งเตือนตลอดเวลาได้โดยไม่กินแบตเตอรี อีกทั้งยังสามารถดึง S Pen ออกมาเขียนที่หน้าจอดำๆได้ทันทีเหมือน Galaxy Note 5
Edge Panel หรือบริเวณขอบจอโค้งด้านขวา ผู้ใช้สามารถนำนิ้วปาดเพื่อเรียกเมนูใช้งานได้ตั้งแต่ Apps edge รวมแอปฯที่ใช้งานบ่อยครั้ง (สามารถตั้งค่าได้ตามต้องการ) หรือในส่วน Edge Panel ที่ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดปลั๊กอินอำนวยความสะดวกต่างๆมาใช้ได้เหมือนกับ Galaxy S7 edge
Gallery สามารถปรับแต่งภาพ สเกล ปรับเอียงซ้ายขวาหรือจะใส่กรอบ ใส่ข้อความ รวมถึงเลือกสำรองข้อมูลกับ Samsung Cloud ไปถึงสร้างอัลบั้มรวมเรื่องราวภาพถ่ายก็สามารถทำได้จากส่วนนี้ทั้งหมด
Game Tools จะเหมือนกับใน Galaxy S7 ก็คือ เวลาเล่นเกมผู้ใช้สามารถกดบันทึกหน้าจอแบบวิดีโอพร้อมถ่ายวิดีโอเซลฟีตัวเองเพื่อทำ Game Cast ไปถึงการปิดแจ้งเตือนไม่ให้รบกวนเวลาเรากำลังเล่นเกมหรือเลือกปรับความละเอียดของเกมให้ต่ำลงเพื่อยืดอายุแบตเตอรีก็สามารถทำได้จากส่วนนี้
กล้องถ่ายภาพ
นอกจากสเปกกล้องที่ซัมซุงยกชุดมาจาก Galaxy S7 แล้ว ส่วนของซอฟต์แวร์ก็ไม่ต่างกัน โดยซอฟต์แวร์ควบคุมกล้องนอกจากโหมดอัตโนมัติแล้วยังรองรับ Pro Mode (Manual Mode) ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับความเร็วชัตเตอร์ ความไวแสง ชดเชยแสง โฟกัสและสมดุลแสงขาวได้ด้วยตัวเอง พร้อมรองรับการถ่ายภาพแบบ RAW File เช่นเดิม
ส่วนกล้องหน้ามาพร้อม Beauty Mode สามารถปรับแก้รูปหน้า ทำหน้าเนียนได้อย่างละเอียด รวมถึงรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด 2K ซึ่งให้คุณภาพที่ลื่นไหลทุกสภาพแสงด้วย
ตัวอย่างวิดีโอจากกล้องหน้า (ถ่ายที่ความละเอียด 2K)
ตัวอย่างภาพนิ่งจากกล้องหน้า f1.7 (5MP)
ตัวอย่างภาพจากกล้องหลัง Dual Pixel 12MP คุณภาพเดียวกับ Galaxy S7
ทดสอบประสิทธิภาพ
3DMark
Sling Shot ES 3.1 = 1,900 คะแนน
Sling Shot ES 3.0 = 2,261 คะแนน
PCMark
Work Performance = 4,548 คะแนน
Storage = 4,745 คะแนน
AnTuTu Benchmark = 117,323 คะแนน
Geekbench
Single-Core = 1,885 คะแนน
Multi-Core = 5,684 คะแนน
Vellamo
Multicore = 3,265 คะแนน
Metal = 2,005 คะแนน
Chrome Browser = 5,999 คะแนน
PassMark PerformanceTest Mobile
System = 8,166 คะแนน
CPU Tests = 196,267 คะแนน
Disk Tests = 55,458 คะแนน
Memory Tests = 6,416 คะแนน
2D Graphics Tests = 6,310 คะแนน
3D Graphics Tests = 2,162 คะแนน
สรุปในส่วนการทดสอบประสิทธิภาพพบว่า Galaxy Note 7 ทำงานได้ลื่นไหลได้อารมณ์ไม่ต่างจาก Galaxy S7 edge ที่ทีมงานเคยทดสอบไปก่อนหน้า การใช้งานทั่วไปและใช้งานแบบหนักหน่วงรวมถึงการลงน้ำ ใช้งานใต้น้ำ สามารถทำได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ
ในส่วนการทดสอบแบตเตอรีถ้าเทียบกับ Galaxy S7 edge ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ ฟังก์ชันที่มากกว่าและแบตเตอรีที่ความจุน้อยกว่าเล็กน้อย ทำให้ Note 7 สามารถใช้งานต่อเนื่อง (เปิดหน้าจอตลอดเวลา) อยู่ที่ 11 ชั่วโมง 8 นาที 50 วินาที น้อยกว่า S7 edge เพียงเล็กน้อย
ส่วนเมื่อนำมาคิดหาเวลาใช้งานทั่วไปจะอยู่ที่ 16-20 ชั่วโมงเลยทีเดียว (ทดสอบแล้วด้วยการใช้งานเล่นเกม ถ่ายภาพ แชทไลน์ เข้าเฟสบุ๊กตลอดวัน)
สรุป
ราคาเปิดตัว Samsung Galaxy Note 7 เริ่มต้น 64GB อยู่ที่ 28,900 บาท มี 4 สี ได้แก่ สีทองแพลทตินัม (Gold Platinum) สีเงินไทเทเนี่ยม (Silver Titanium) สีดำออนิกซ์ (Black Onyx) และสีฟ้าโครัล (Blue Coral) เริ่มจำหน่ายอย่างเป็นทางการวันที่ 9 กันยายนนี้
สำหรับ Galaxy Note 7 ถ้ามองในภาพรวมทั้งหมด แนวทางการพัฒนานอกจากจะอัปเกรดสเปกตามสมัยนิยมแบบเดียวกับ Galaxy S7/S7 edge แล้ว ซัมซุงยังเน้นปรับปรุงจุดขายเดิมให้สมบูรณ์ขึ้น อย่างในตระกูล Note ก็คือปากกาและซอฟต์แวร์เน้นทำงานต่างๆให้มีความเสถียรและใช้งานจริงได้ทุกฟีเจอร์ เช่น ความสามารถกันน้ำกันฝุ่นทั้งตัวสมาร์ทโฟนและปากกา ไปถึงซอฟต์แวร์ภายในที่ถูกออกแบบใหม่หลายส่วน ยกตัวอย่างที่ชัดเจนสุดก็คือ Secure Folder ที่ทำงานบน Samsung Knox เดิม แต่ในรุ่นใหม่สามารถใช้งานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนนวัตกรรมใหม่อย่างระบบสแกนม่านตาเพื่อใช้ปลดล็อกหน้าจอ ณ ปัจจุบันทีมงานขอมองเป็นแค่ลูกเล่นเสริมความไฮโซพอเพราะยังต้องได้รับการปรับปรุงเรื่องความเสถียรอีกมาก
ส่วนลูกค้า Galaxy Note รุ่นเก่าที่กำลังคิดจะเปลี่ยนมาเป็น Note 7 ทีมงานขอฟันธงตรงนี้เลยว่า ถ้าไม่ติดเรื่องการเงิน ทีมงานแนะนำให้เปลี่ยนเลยเพราะคุณน่าจะประทับใจกับฟีเจอร์และฟังก์ชันที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ที่ถึงแม้จะไม่มากมายแต่ก็โดดเด่นใช้งานได้จริงทั้งหมด โดยเฉพาะกล้องถ่ายภาพ ถ้าคุณไม่เคยใช้ Galaxy S7 มาก่อน คุณน่าจะประทับใจกับคุณภาพภาพของกล้องหลังที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในที่แสงน้อยมากๆ รวมถึงความลื่นไหลและอนาคตของการอัปเดตระบบปฏิบัติการที่ Note 7 จะไปได้ไกลกว่ารุ่นก่อนหน้าทั้งหมด