การวางจำหน่าย Samsung Galaxy S20 ซีรีส์ ในปีนี้ของซัมซุง ถือว่ามีการปรับตัวเพื่อรับกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น ในยุคที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ 5G และมีความต้องการใช้งานสมาร์ทโฟนที่สูงขึ้น
ทำให้ตัวเลือกของ Galaxy S20 ในปีนี้ แบ่งออกเป็น 3 รุ่นย่อยคือ Galaxy S20 และ Galaxy S20+ ที่มีความต่างกันเรื่องของขนาดหน้าจอ กล้องวัดระยะ และแบตเตอรี เท่านั้น เสริมด้วย Galaxy S20 Ultra 5G ที่เพิ่มความแตกต่างเรื่องของกล้อง และการรองรับ 5G เข้ามา
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาทีมงานได้นำ Galaxy S20+ มาทดสอบ และพบว่าถ้าต้องการสมาร์ทโฟนจอใหญ่ ที่มีความสามารถครบ และไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้งาน 5G เครื่องรุ่นนี้ถือว่าตอบสนองการใช้งานได้ครบ
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Galaxy S20+ นอกเหนือจากกล้องหลักที่ให้ชุด 4 เลนส์ 12+12+64 ล้านพิกเซล และเลนส์วัดระยะมาใช้งาน ซึ่งรองรับการถ่ายวิดีโอ 8K ซูมได้ 30 เท่าแล้ว ยังมีเรื่องความเสถียรในการใช้งาน กับลูกเล่นในเครื่องสมาร์ทโฟนระดับท็อปได้อย่างน่าสนใจ
ความต่างของ Galaxy S20 ซีรีส์
ก่อนที่จะเข้าถึงการใช้งานของ Galaxy S20+ ลองมาดูถึงความแตกต่างของ Galaxy S20 ซีรีส์ ทั้ง 3 รุ่นกันดูก่อนว่าเมื่อลงในรายละเอียดแล้วจะได้สามารถตัดสินใจได้ว่าจะเลือกรุ่นไหนมาใช้งานกัน
โดยรุ่นที่มีความใกล้เคียงกันอย่างที่กล่าวไปตอนต้นคือ Galaxy S20 และ Galaxy S20+ จะแตกต่างกันที่ขนาดหน้าจอระหว่าง 6.2 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว โดยในรุ่น S20+ จะมีเลนส์ DepthVision เพิ่มเข้ามา และแบตเตอรีที่มีขนาด 4,000 mAh และ 4,500 mAh ตามลำดับเท่านั้น ส่วนที่เหลือทั้งเรื่องซีพียู กล้องหลัก และฟีเจอร์การใช้งานจะเหมือนกันทั้งหมด
ในขณะที่ Galaxy S20 Ultra ก็จะเพิ่มความต่างในเรื่องของหน้าจอขึ้นไปเป็น 6.9 นิ้ว แบตเตอรี 5,000 mAh พร้อมกับส่วนของชุดกล้องที่เพิ่มความละเอียดเป็น 108 ล้านพิกเซล และซูมได้สูงสุด 100 เท่า ด้วยการนำเลนส์ Telephoto 48 ล้านพิกเซล แบบ Periscope ที่ใช้การเลื่อนชิ้นกระจกมาช่วยในการซูมภาพ
นอกจากนี้ ก็จะเพิ่มเรื่องการเชื่อมต่อ 5G และรองรับการชาร์จเร็ว 45W แต่ในตัวกล่องไม่ได้แถมอะเดปเตอร์ 45W มาให้ด้วย ซึ่งสามารถติดตามรายละเอียดของ Samsung Galaxy S20 Ultra 5G ได้อีกครั้งในรีวิวที่กำลังรอเฟิร์มแวร์อัปเดตการใช้งาน 5G ในประเทศไทยอยู่
ทีนี้ เมื่อเห็นถึงความแตกต่างกันในเรื่องของสเปกแล้ว ส่วนของราคา S20 จะอยู่ที่ 28,900 บาท ตามด้วย S20+ ที่ 31,900 บาท และ S20 Ultra ขึ้นไปอยู่ที่ 39,900 บาท ด้วยมูลค่าที่แตกต่างกัน 8,000 – 11,000 บาท ระหว่าง S20 S20+ และ S20 Ultra ก็อาจจะทำให้ต้องเลือกสำหรับผู้ที่มีงบจำกัด
ความจำเป็นของ S20 Ultra 5G ในเวลานี้ ถ้าตัดเรื่องของหน้าจอ และการเชื่อมต่อ 5G ออกไป เนื่องจากปัจจุบันคอนเทนต์ที่ใช้งานกันส่วนใหญ่ 4G LTE ที่ให้บริการอยู่ในเวลานี้เพียงพอกับการใช้งานอยู่แล้ว ก็จะเป็นเรื่องของกล้องที่ได้ความละเอียดสูงมากขึ้น
ดังนั้น ถ้าเป็นกลุ่มที่มีงบประมาณถึงต้องการเครื่องที่ดีที่สุดในเวลานี้ และคิดว่าจะใช้งานต่อเนื่องไปอีกยาวๆ S20 Ultra 5G น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ถ้าไม่ได้มองว่าต้องการเครื่องที่กล้องเทพขนาด 108 ล้านพิกเซล เน้นประสบการณ์ใช้งานโดยรวมเป็นหลัก ถ่ายรูปเพื่อแชร์โซเชียลสวยๆ มีแผนที่จะเปลี่ยนเครื่อง 2-3 ปีข้างหน้า
การเลือก S20 หรือ S20+ มาใช้งานก็เพียงพอแล้ว โดยขึ้นอยู่กับความชอบเลยว่าต้องการเครื่องที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ หรือต้องการเครื่องที่ขนาดถือใช้งานได้ง่าย จับถนัดมือ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ต้องการเครื่องเหมาะมือ มากกว่าการใช้งานหน้าจอใหญ่ที่จับแล้วไม่ถนัด
กล้อง 4 เลนส์ คือจุดเด่น
แม้ว่าในรุ่น S20 และ S20+ จะไม่ได้ใช้เลนส์กล้องที่ดีที่สุดอย่าง 108 ล้านพิกเซล เหมือนใน S20 Ultra แต่ด้วยคุณภาพของเลนส์กล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่ให้มาคู่กับเลนส์ Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล Telephoto 64 ล้านพิกเซล และเลนส์วัดระยะ DepthVision ก็ช่วยให้
แน่นอนว่าเมื่อให้มา 4 เลนส์ การถ่ายภาพบน S20 และ S20+ จะได้ความสนุกในการถ่ายมากขึ้น เพราะเลนส์มุมกว้างที่ให้มา 12 ล้านพิกเซล f/2.2 และเลนส์ปกติ 12 ล้านพิกเซล f/1.8 ที่มากับระบบโฟกัสแบบ Super Speed Dual Pixel นั้นให้คุณภาพของรูปที่ถ่ายได้ดีอยู่แล้ว เสริมด้วยเลนส์ Telephoto 64 ล้านพิกเซล f/2.0 ที่ใช้การโฟกัสแบบ PADF ช่วยให้ซูมภาพได้ 30 เท่า มาช่วยอีก
อีกส่วนก็คือการปรับปรุงเฟิร์มแวร์ของกล้องถ่ายภาพให้ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ซัมซุง มีการอัปเดตเฟิร์มแวร์เพื่อปรับปรุงคุณภาพของกล้องถ่ายภาพให้ดีขึ้นแล้วถึง 3 ครั้ง และทำให้ภาพที่ได้เมื่อตอนแรก กับปัจจุบันเห็นความแตกต่างด้านคุณภาพอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการประมวลผลหลังจากถ่ายภาพที่ช่วยให้ภาพคมชัดมากขึ้น
สำหรับโหมดในการถ่ายภาพที่น่าสนใจใน S20+ นอกเหนือจากการถ่ายภาพปกติ โหมดมืออาชีพ และการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ 8K ได้นานสุด 5 นาที และสามารถเลือกถ่ายแบบ Live Focus เฉพาะวัตถุ หรือบุคคลได้ และโหมด Super Study ที่ช่วยลดการสั่นไหวของภาพแล้ว
ยังมีโหมดที่น่าสนใจอย่าง Single Take เพิ่มเข้ามา ด้วยการบันทึกภาพในรูปแบบของวิดีโอเคลื่อนไหว หลังจากนั้น AI จะช่วยเลือกช็อตที่ดีที่สุดออกมาให้จากคลิปสั้นๆ ที่ถ่ายไป พร้อมกับประมวลผลวิดีโอแบบเร่งความเร็ว และเล่นย้อนกลับมาให้ใช้กันด้วย เรียกได้ว่าเป็นการถ่ายคลิปสั้นครั้งเดียว แต่ได้ทั้งภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหวพร้อมๆ กัน
นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบแต่งโทนสีรูปภาพ Galaxy S20 ยังมากับโหมดดูดฟิลเตอร์ โดยจะเปิดให้ผู้ใช้นำภาพที่ชื่นชอบโทนสี มาประมวลผลเพื่อแปลงเป็นฟิลเตอร์ในการถ่ายภาพ ซึ่งน่าเสียดายที่ไม่สามารถใช้ย้อนไปยังรูปที่ถูกถ่ายไว้ก่อนแล้วได้ด้วย ทำให้ฟีเจอร์นี้ยังมีข้อจำกัดในการใช้งานพอสมควร
สำรวจ Samsung Galaxy S20+
มาถึงรายละเอียดของ Samsung Galaxy S20+ กันบ้าง เวลานี้ ซัมซุง มีสีให้เลือกด้วยกัน 3 สีหลักๆ คือ น้ำเงิน ดำ และเทา ซึ่งแน่นอนว่าสีที่คลาสสิกที่สุดของรุ่นนี้คงหนีไม่พ้นสีดำ ซึ่งกลายเป็นว่าเวลาใช้งานถ้าไม่ใส่เคส ตัวเครื่องจะเป็นรอยนิ้วมือค่อนข้างง่าย แต่ถ้าปกติใส่เคสใช้งานอยู่แล้วก็ไม่เป็นปัญหา
ตัวเครื่องของ S20+ มีขนาดอยู่ที่ 161.9 x 73.7 x 7.8 มิลลิเมตร น้ำหนัก 186 กรัม โดยใน S20 ซีรีส์ปีนี้ ซัมซุง เลิกใช้งานกระจกหน้าจอโค้งเหมือนใน S10 แต่หันกลับมาใช้กระจกแบบ 2.5D ที่เป็นขอบโค้งตามุมแทน ทำให้การใช้งานทำได้ถนัดมือมากยิ่งขึ้น และไม่ต้องระวังเวลาเครื่องตกเหมือนรุ่นก่อนๆ ซึ่งจอจะแตกง่ายมาก
หน้าจอของ S20+ มากับขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด Quad HD+ (3200 x 1440 พิกเซล) โดยค่ามาตรฐานจากโรงงานจะตั้งความละเอียดหน้าจอไว้ที่ Full HD+(2400 x 1080 พิกเซล) เช่นเดียวกับค่า Refresh rate หน้าจอที่ตั้งมาที่ 60 Hz ดังนั้น ถ้าต้องการใช้งานจอให้ความละเอียดสูงแนะนำให้เข้าไปปรับตั้งค่าเพิ่มเติมกันด้วย
ถัดมาคือเรื่องของกล้องหน้าที่คราวนี้ S20 ซีรีส์ กลับมาใช้กล้องหน้าตัวเดียวตรงกลางจอ เหมือนใน Note 10 แล้ว จากที่ก่อนหน้านี้ในรุ่น S10+ มีปรับไปใช้กล้องหน้าคู่ที่อยู่ทางมุมขวา ซึ่งซัมซุง เรียกหน้าจอแสดงผลแบบเจาะรูกล้องหน้าว่า Infinity-O ซึ่งคลุมด้วยกระจก Gorilla Glass 6 ความละเอียดของกล้องหน้าอยู่ที่ 10 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K60fps ได้
ในส่วนของปุ่มรอบตัวเครื่อง ซัมซุง เลือกตัดปุ่ม Bixby ทางซ้ายมือออกไปแล้วเช่นกัน ทำให้ปุ่มควบคุมทั้งหมดมาอยู่ทางฝั่งขวา ไม่ว่าจะเป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดเครื่อง ที่ตั้งค่ามาว่าเมื่อกดค้างจะเรียกใ้ช้งาน Bixby แทน (สามารถเข้าไปเปลี่ยนเป็นกดค้างเพื่อปิดเครื่องได้ในเมนูตั้งค่า
ที่เหลือก็จะมีพอร์ตการเชื่อมต่อที่เป็น USB-C อยู่ด้านล่างพร้อมกับช่องลำโพง และไมโครโฟนสนทนา ส่งนด้านบนจะมีช่องใส่ถาดซิม ที่เป็นแบบ Hybrid คือเลือกได้ว่าจะใส่ 2 นาโนซิมการ์ด หรือ 1 นาโนซิมการ์ดคู่กับไมโครเอสดีการ์เพื่อเพิ่มหน่วยความจำ พร้อมกับไมโครโฟนรับเสียงอีก 1 ตัว
ส่วนของแบตเตอรีที่ให้มาภายในเครื่องของ S20+ จะอยู่ที่ 4,500 mAh รองรับการชาร์จทั้งแบบมีสายที่เป็นชาร์จเร็ว 25W ที่สามารถชาร์จได้เต็ม 100% ในเวลา 1 ชั่วโมงนิดๆ และรองรับการชาร์จแบบไร้สายด้วย นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ฟีเจอร์อย่าง Wireless PowerShare เพื่อแชร์แบตเตอรีแบบไร้สายให้อุปกรณ์อื่นๆ ได้ด้วย
สเปก Samsung Galaxy S20+
สำหรับ Samsung Galaxy S20+ ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย จะเป็นรุ่นที่ใช้หน่วยประมวลผล Exynos 990 ที่เป็น Octa Core 2.73 GHz + 2.5 GHz + 2 GHz ที่ตัวเครื่องจะคอยคำนวนการใช้งาน และเลือกใช้การประมวลผลร่วมกันเพื่อรีดประสิทธิภาพการใช้งานออกมาให้ดีที่สุด และประหยัดพลังงานไปในตัว
นอกจากนี้ ก็จะมี RAM ให้ 8 GB ROM 128 GB ที่สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้สูงสุด 1 TB ตัวเครื่องรองรับการใช้งาน 4G LTE 2 ซิม ตามด้วยบลูทูธ 5.0 WiFi 6 (802.11ax) ที่รองรับ MMO 1024~QAM พร้อม GPS NFC ให้ใช้งาน ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10
ลูกเล่นเยอะสมเป็นเรือธง
ในส่วนของฟีเจอร์การใช้งาน Samsung Galaxy S20+ ถือว่าได้รับไม้ต่อของรุ่นเรือธงมาได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัยในการเก็บข้อมูลของ Samsung Knox การเชื่อมต่อกับจอภาพ หรือคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้งาน Samsung DeX ทำให้เครื่องรุ่นนี้ไม่ได้เป็นแค่สมาร์ทโฟน แต่สามารถแปลงเป็นคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานได้ด้วย
ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมา Samsung ทำงานร่วมกับ Microsoft อย่างต่อเนื่องในเรื่องของเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับพีซีที่ใช้ Windows 10 ผ่าน Link to Windows ทำให้ปัจจุบันสามารถเชื่อมต่อ Galaxy S20+ ไปยังคอมพิวเตอร์ได้แบบไร้สาย ซึ่งรวมถึงการอ่านข้อความเข้า แจ้งเตือนเมื่อมีสายเรียก โยนไฟล์ระหว่างคอมพิวเตอร์กับ Galaxy S20 ได้ด้วย
ในส่วนของความปลอดภัยในการใช้งาน S20+ มากับระบบเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้จอแบบ Ultra Sonic ที่รู้สึกได้ว่าปลดล็อกได้รวดเร็วขึ้น เมื่อเทียบกับ S10+ ที่เคยใช้งาน ซึ่งเข้ามาช่วยให้การใช้งานในยุคที่ต้องใส่หน้ากากอนามัยง่ายขึ้น ขณะเดียวกันกล้องหน้ายังสามารถใช้การปลดล็อกด้วยใบหน้าได้เช่นเดิม
ยังมีในส่วนของการใช้งานร่วมกันภายในอีโคซิสเตมส์ให้สะดวกขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดให้สามารถรับสายโทรศัพท์ได้จากอุปกรณ์ที่อื่นลงทะเบียนบัญชี Samsung เดียวกัน หรือในกรณีที่มีดีไวซ์รุ่นอื่นที่สามารถปล่อย WiFi Hotspot ได้อยู่ใกล้เคียง สามารถเลือกเชื่อมต่อ Hotspot จากอุปกรณ์นั้นได้ทันที หรือแม้กระทั่งการสร้าง QR Code สำหรับเชื่อมต่อ WiFi ให้เพื่อน
หรือจะมีการแชร์เพลง Music Share ไปยังลำโพงที่สมาร์ทโฟนของเพื่อนเชื่อมต่ออยู่ โดยสามารถเลือกให้แชร์เฉพาะผู้ที่อยู่ในรายชื่อผู้ติดต่อ หรือใครก็ได้ หลังจากนั้นก็สามารถเลือกเปิดเพลงจากลำโพงบลูทูธของเพื่อนได้ทันที
ฟีเจอร์การแชร์ไฟล์ในลักษณะเดียวกับ Air Drop ของ iOS ก็มีมาให้ใช้งานแล้วในชื่อฟีเจอร์ว่า Quick Share ที่สามารถเลือกแชร์รูปภาพ วิดีโอ ไปยังเครื่องรุ่นที่รองรับได้ทันที เพียงแต่ว่าในการส่งจะต้องทำการเชื่อมต่อบลูทูธกันด้วย ทำให้ยังไม่สะดวกเท่า Air Drop
สำหรับผู้ที่เริ่มมีการใช้อุปกรณ์ IoT อื่นๆ ของซัมซุง ยังสามารถใช้ S20+ คู่กับแอป SmartThings ในการเข้าไปควบคุมเครื่องฟอกอากาศ หรือเป็นรีโมทสมาร์ททีวีของซัมซุง จนถึงควบคุมเครื่องปรับอากาศ โดยสามารถตั้งให้ระบบทำงานอัตโนมัติตามสถานการณ์ต่างๆ ที่ตั้งไว้ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ การพัฒนาในส่วนของอินเตอร์เฟสการใช้งาน One UI 2.1 ทำให้สมาร์ทโฟนซัมซุง กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ใช้งานง่ายมากขึ้น เพราะมีความ User Friendly เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการใช้งาน Dark Mode ก็มีเพิ่มมาให้ใช้งานเช่นกัน
ทดสอบประสิทธิภาพ
ในส่วนของการทดสอบประสิทธิภาพ ด้วยการที่ตัวเครื่องอยู่ในระดับไฮเอนด์เรือธงอยู่แล้ว ทำให้รองรับการใช้งานหนักๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเล่นวิดีโอความละเอียด 8K ที่กล้องถ่ายภาพบันทึกมา จนถึงการเล่นเกมที่ใช้การประมวลผลสูงๆ เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัดและลื่นไหล Galaxy S20 ซีรีส์ ถือว่าตอบโจทย์ได้หมด
จะมีในส่วนของการแสดงผลที่ค่อนข้างมีผลกับแบตเตอรีพอสมควร โดยทีมงานได้ทดสอบใช้งานระหว่างการสลับ Refresh Rate หน้าจอระหว่าง 90 Hz และ 120 Hz แบตเตอรีที่ใช้งานได้ต่างกันเกือบ 2 ชั่วโมง โดยเมื่อเปิดใช้งาน 90 Hz ใช้งานได้ต่อเนื่อง 11.14 ชั่วโมง แต่ถ้าปรับเป็น 120 Hz จะลดลงมาเหลือ 9.24 ชั่วโมง
สรุป
Samsung Galaxy S20 และ S20+ กลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้ ถ้ากำลังมองหาสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ในช่วงราคาประมาณ 30,000 บาท โดยมองว่าไม่ได้เน้นว่าต้องการใช้งาน 5G และกล้องถ่ายภาพที่ให้มาก็ถือว่าอยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว
เพราะปัจจุบัน 5G ในประเทศไทย ถือว่ายังอยู่ในยุคเริ่มต้น การนำมาใช้งานกับสมาร์ทโฟนยังไม่ได้มีคอนเทนต์อะไรที่ต้องใช้ความเร็วในการเชื่อมต่อระดับ 5G เพราะการสตรีมคอนเทนต์ หรือใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ ในปัจจุบัน 4G ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว
อีกเหตุผลหลักเลยก็คือคู่แข่งอย่างหัวเว่ย ที่กำลังจะวางจำหน่าย P40 ซีรีส์ ในช่วงกลางเดือนเมษายนนี้ ยังมีปัญหาเรื่องที่ไม่สามารถใช้งาน Google Mobile Service ได้เหมือมเดิม ซึ่งแม้ว่าจะพัฒนา HMS ให้มีแอปพลิเคชันรองรับมากขึ้น และกล้องดีขึ้น แต่ในแง่การใช้งานในระยะยาวกับเครื่องระดับ 3 หมื่นบาท ถือว่าผู้บริโภคก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด