การทำงานในองค์กรธุรกิจช่วงที่ผ่านมาอาจจะมีกระแสชองการนำ BYOD (Bring your own device) หรือการนำดีไวซ์ส่วนตัวมาใช้ในการทำงาน เพื่อให้ไม่ต้องพกพาอุปกรณ์หลายชนิดให้เป็นภาระ
จนทำให้แบรนด์มือถือ และไอที ทั้งหลายไม่ค่อยให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้ใช้งานที่มีความจำเป็นต้องการอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานภายในองค์กรเท่านั้น ที่ต้องการเรื่องของความทนทาน และประสิทธิภาพในการใช้งาน
ในปีนี้ Samsung เริ่มเห็นถึงโอกาสในการเข้าไปอุดช่องว่างดังกล่าว เลยปัดฝุ่นสินค้าในกลุ่มสมาร์ทโฟน XCover และแท็บเล็ต Galaxy Tab ออกมาพัฒนาเป็นดีไวซ์สำหรับองค์กรธุรกิจโดยเฉพาะ
เพื่อเข้าไปตอบโจทย์การใช้งานทั้งในสำนักงาน รวมถึงการนำออกไปใช้งานในสถานที่ต่างๆ สำหรับพนักงานที่ต้องออกไปสำรวจพื้นที่ หรือเข้าไปเช็กสต็อกภายในโรงงาน
Galaxy XCover Pro พกง่าย สมบุกสมบัน
เริ่มกันที่สมาร์ทโฟน Samsung Galaxy XCover Pro ที่ถูกออกแบบมาให้มีความทันสมัยมากขึ้น แม้ว่าจะไม่เพรียวบาง และหรูหราเหมือนสมาร์ทโฟนในตระกูล Galaxy S หรือ Note แต่ถ้ามองในเรื่องของความแข็งแรงแล้ว XCover Pro ถือว่าทำออกมาได้น่าสนใจ
ด้วยการที่ให้ตัวหน้าจอขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด FullHD+ พร้อมกับกล้องหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ที่เจาะรูแบบ Infinity-O เหมือนใน Galaxy S10 ซึ่งยังคงรักษามาตรฐานในการแสดงผลสีได้อย่างสดใสตามสไตล์ของซัมซุง
บริเวณรอบตัวเครื่องจะใช้วัสดุที่มีความยืดหยุ่นสามารถป้องกันแรงกระแทกได้ ขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 159.9 x 76.7 x 9.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 218 กรัม โดยทางซัมซุง เคลมว่าสามารถป้องกันการตกจากที่สูงได้ถึง 1.5 เมตร พร้อมกันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP68 ที่ 1.5 เมตร ไม่เกิน 30 นาที นอกจากนี้ ยังผ่านมาตรฐาน US Military Standards MIL-STD-810G มาช่วยยืนยันความแข็งแรงของตัวเครื่อง
ฝาหลังของ XCover Pro จะสามารถแกะออกมาเพื่อปล่อยแบตเตอรีได้ในกรณีที่ต้องการใช้งานต่อเนื่อง และเป็นที่อยู่ของช่องใส่ซิมการ์ด และไมโครเอสดีการ์ด เหมือนสมาร์ทโฟนสมัยก่อนด้วย
บริเวณฝาหลังด้านในจะมียางคอยซีลเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้าไปในตัวเครื่อง และเวลาหลังจากที่มีการถอดฝาหลังออก ตัวเครื่องจะมีการเตือนให้ตรวจสอบการปิดฝาหลังให้สนิททุกครั้งด้วยเช่นกัน
ความพิเศษอีกอย่างของ XCover Pro คือนอกจากปุ่มใช้งานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นปุ่มเปิด–ปิด ปุ่มปรับระดับเสียงทางขวาแล้วซัมซุงได้เพิ่มปุ่มสั่งานเข้ามาให้ใช้งานอีก 2 ปุ่มคือ Top Key ที่ด้านบน และ XCover Key ทางด้านซ้าย
ส่วนบริเวณล่างเครื่อง นอกจากใส่พอร์ต USB-C มาให้เสียบสายชาร์จรองรับชาร์จเร็ว 15W แล้ว ยังมี POGO Pin หรือแถบแม่เหล็กมาให้ใช้คู่กับแท่นวางเพื่อชาร์จสมาร์ทโฟนได้ทันที ช่วยให้มีความสะดวกเพิ่มมากขึ้น
เพื่อช่วยให้เวลาที่ต้องการเรียกใช้งานแอปพลิเคชัน สามารถกดปุ่มเพื่อเปิดใช้งานได้ทันที พร้อมมีการเพิ่มความสามารถอย่าง PTT (Push to Talk) ไว้ใช้สื่อสารกันภายในองค์กรมาให้ด้วย
เมื่อเป็นการใช้งานในองค์กรอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือเรื่องของความปลอดภัย XCover Pro มากับระบบ Biometric Authentication ให้เลือกใช้งานร่วมกับ Samsung Knox ไม่ว่าจะเป็นการสแกนใบหน้า และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอให้ใช้งานด้วย
สเปกตัวเครื่องของ Samsung XCover Pro จะมากับหน่วยประมวลผล Exynos 9611 RAM 4 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 64 GB สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดได้สูงสุด 512 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10 รองรับการเชื่อมต่อทั้ง 3G/4G WiFi 5 บลูทูธ จีพีเอส และ NFC
ซึ่งจะช่วยให้สามารถนำไปใช้งานได้ในทุกสถานที่ และทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการนำไปใช้ในธุรกิจค้าปลีกอย่างเป็นอุปกรณ์ไว้ตรวจสอบข้อมูล โรงงานอุตสาหกรรม สำหรับการเช็กสต็อกสินค้า หรือแม้แต่ธุรกิจการบินที่นำไปใช้เพื่อสแกนตั๋วเครื่องบินก็ได้
Galaxy Tab Active Pro ครบเครื่องด้วย S-Pen
การนำแท็บเล็ตไปใช้ในงานภาคธุรกิจ น่าจะกลายเป็นรูปแบบการทำงานยุคใหม่ที่หลายองค์กรเริ่มปรับตัว และนำมาใช้งาน เพราะช่วยทั้งเรื่องของค่าใช้จ่าย ความสะดวก และความรวดเร็วในการทำงาน
Galaxy Tab Active Pro จึงได้ถูกปรับการดีไซน์มาให้เหมาะกับการใช้งานในภาคธุรกิจ ที่อาจจะไม่ได้บางเหมือนในกลุ่มคอนซูเมอร์ แต่ก็ไม่ได้หนาเท่ากับแท็บเล็ต Rugged สมัยก่อน
สำหรับตัวเครื่อง Galaxy Tab Active Pro จะมากับหน้าจอ 10.1 นิ้ว ความละเอียด WUXGA ที่ให้ความสว่างหน้าจอสูงสุดที่ 550 nit เพื่อช่วยให้สามารถใช้งานในที่กลางแจ้งได้
โดยมีกล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซลมาให้ใช้งาน ส่วนขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 170.2 x 243.5 x 9.9 มิลลิเมตร นำ้หนัก 653 กรัม กันน้ำ กันฝุ่นมาตรฐาน IP68 และ MIL-STD-810G
ในส่วนของการใช้งาน ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่า จะใช้งานเฉพาะตัวเครื่องแท็บเล็ต ที่สามารถนำไปเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ด หรือใช้เป็นหน้าจอแสดงผลร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ อย่างล่าสุด ซัมซุง นำแท็บเล็ตรุ่นนี้ไปใช้กับหุ่นยนต์การแพทย์เพื่อช่วยให้สื่อสารได้สะดวกขึ้นในสถานการณ์โควิด-19 ด้วย
กรณีที่ต้องการความแข็งแรงของตัวเครื่องมากขึ้น จะมีสามารถใส่เคสเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยให้มีช่องเก็บปากกา S-Pen เพิ่มเข้ามาด้วย ดังนั้นก็จะขึ้นอยู่กับรูปแบบในการใช้งานที่หลากหลาย ส่วนเครื่องความปลอดภัย Tab Active Pro มีการใส่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้บริเวณปุ่มโฮมด้วย
รอบตัวเครื่องของ Galaxy Tab Active Pro ทางขวาจะเป็นช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. พร้อมกับ USB-C และลำโพง ส่วนด้านบน จะมีปุ่มเปิด–ปิดเครื่อง ปรับระดับเสียง และปุ่มลัดไว้ตั้งเรียกใช้งานแอปฯ เหมือนใน XCover Pro
ด้านล่างจะเป็น POGO Pins ไว้เชื่อมต่อกับแท่นชาร์จ และอุปกรณ์เสริมต่างๆ โดย Galaxy Tab Active Pro ยังรองรับการเชื่อมต่อกับหน้าจอ เพื่อใช้งาน Samsung DeX ที่เป็นโหมดเดสก์ท็อปเพื่อให้ใช้งานคู่กับเมาส์ และคีย์บอร์ดได้ด้วย
ด้านหลังเครื่องเมื่อถอดเคสออกมา จะสามารถเปิดฝาหลังเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรีขนาด 7,600 mAh ได้ พร้อมกับมีช่องใส่ซิมการ์ด และไมโครเอสดีการ์ดเหมือนกับใน XCover Pro ซึ่งช่วยให้เกิดความยืดหยุ่นในการใช้งาน กรณีที่ไปในที่ๆ หาที่ชาร์จไม่ได้กรณีแบตหมดก็สามารถเปลี่ยนก้อนใหม่ได้ทันที
สำหรับสเปกของ Galaxy Tab Active Pro จะมากับหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 710 ที่เป็น Octa Core 2+1.7 GHz RAM 4 GB พื้นที่เก็บข้อมูลในตัวเครื่อง 64 GB ใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้สูงสุด 512 GB ด้านการเชื่อมต่อรองรับ 3G/4G WiFi 5 บลูทูธ 5.0 GPS NFC ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10
ปุ่มพิเศษไว้เรียกใช้แอปฯ ด่วน
ทั้ง Galaxy XCover Pro และ Galaxy Tab Active Pro จะมีความพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาให้ลูกค้าองค์กรธุรกิจใช้งานกันคือการเพิ่มปุ่ม XCover และ ปุ่ม Top ที่ผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งได้ว่าจะใช้การกด 1 ครั้งเพื่อเข้าแอปพลิเคชัน หรือสั่งงานตัวเครื่อง ทำให้กรณีที่มีแอปฯ ขององค์กรที่ต้องใช้งานก็สามารถเปิดใช้ได้ทันที
ส่วนการใช้งานด้านอื่นๆ XCover Pro ก็จะเหมือนสมาร์ทโฟน Galaxy ที่รองรับการใช้งานทั่วๆ ไปได้ทั้งหมด ส่วน Galaxy Tab Active Pro ก็จะมีโหมด DeX ให้ใช้งานบนแท็บเล็ตเพิ่มมา หรือจะเลือกใช้งานร่วมกับปากกา S-Pen ก็ได้เช่นกัน
สรุป
Samsung Galaxy XCover Pro และ Galaxy Tab Active Pro ถือว่าเข้ามาเป็นตัวเลือกให้แก่องค์กรธุรกิจที่ต้องการสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตไปใช้งาน โดยมีจุดเด่นอยู่หลายๆ เรื่องทั้งความทนทาน ความยืดหยุ่นในการใช้งาน และแบตเตอรีที่สามารถถอดเปลี่ยนได้
ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละองค์กรธุรกิจที่จะนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในยุค Digital Tranformation โดยมีพื้นฐานของระบบรักษาความปลอดภัยอย่าง Samsung Knox มาช่วยการันตีให้ข้อมูลของบริษัทมีความปลอดภัยด้วย