จากความสำเร็จของหูฟังไร้สายอย่าง Sennheiser Momentum True Wireless 2 ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากเรื่องคุณภาพเสียง และการตัดเสียงรบกวน จนทำให้กลายเป็นหนึ่งในหูฟังไร้สายรุ่นที่น่าสนใจในตลาด เพียงแต่ว่าด้วยระดับราคาที่ค่อนข้างสูงเกินหมื่นบาท ทำให้หลายคนอาจจะตัดสินใจได้ยาก
ด้วยเหตุนี้ Sennheiser จึงออกหูฟังไร้สายที่มีราคาเข้าถึงง่ายขึ้นอย่าง Sennheiser CX 400BT True Wireless ออกมา ด้วยการดึงจุดเด่นเรื่องไดรเวอร์เสียงรุ่นเดียวกับ MTW2 มาใช้งาน ทำให้ได้คุณภาพเสียงที่ไม่แตกต่างกัน แต่ก็มีการตัดฟีเจอร์บางอย่างออกไป เพื่อให้ทำราคาได้ดีขึ้น
นอกจากเรื่องคุณภาพเสียงแล้ว CX 400BT True Wireless ยังมากับรูปแบบการควบคุมที่ใช้งานง่าย สวมใส่สบาย และสามารถใช้งานต่อได้เนื่องถึง 7 ชั่วโมง ไม่นับเคสชาร์จที่รวมแล้วใช้ได้ถึง 20 ชั่วโมง โดยเปิดราคามาที่ 7,990 บาท ปรับราคาลงเหลือ 6,990 บาท
เสียงดี ราคาเข้าถึงง่ายขึ้น
ในตลาดหูฟังไร้สายแบบ True Wireless นั้นถือว่ามีการแข่งขันกันสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาหลังจากที่สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่หลายๆ รุ่นมีการตัดพอร์ตการเชื่อมต่อหูฟัง 3.5 มม. ออกไป ทำให้ผู้ที่ต้องการใช้งานหูฟังต้องหาอุปกรณ์เสริมมาใช้งาน
ประกอบกับการที่เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถพัฒนาหูฟังไร้สายมาใช้งานกันในแบบที่มีคุณภาพเสียงดีขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักคือระดับเริ่มต้นที่เน้นราคาถูกเข้าถึงได้ง่ายในระดับราคาไม่กี่พันบาท ตามมาด้วยกลุ่มหลักที่ได้รับความนิยมคือ AirPods ในระดับราคาต่ำกว่าหมื่นบาท จนถึงรุ่นที่เน้นเรื่องคุณภาพเสียงในราคาเกิน 10,000 บาท
โดยที่ผ่านมา Sennheiser มี MTW2 มาจับผู้ใช้งานในกลุ่มที่ต้องการคุณภาพเสียงดี พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนแล้วในกลุ่มราคาสูงกว่า 10,000 บาท และยังมีช่องว่างให้สามารถสอดแทรกเข้ามาในตลาดที่ต้องการคุณภาพเสียงที่ดีในระดับราคาที่เข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น
จนทำให้เกิดเป็นรุ่น CX 400BT ออกมาเพื่อแข่งขันกับหลายๆ รุ่นที่ได้รับความนิยมในตลาดตอนนี้ ด้วยการนำไดรเวอร์ไดนามิก 7 มม. รุ่นเดียวกับที่ใช้งานใน Momentum True Wireless 2 มาใช้ ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ถึงเสียงที่ได้ทั้งทุ้มลึก กลางธรรมชาติ และให้รายละเอียดเสียงแหลมที่ชัดเจน
ความน่าสนใจของ CX 400BT ยังมีในเรื่องของการนำ Audio Codec ซึ่งรองรับทั้ง SBC, AAC และ aptX ทำให้สามารถใช้งานได้กับทั้งสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ และ iPhone ทำให้สามารถดึงประสิทธิภาพของหูฟังออกมาได้หมดไม่ว่าจะใช้กับสมาร์ทโฟนใดก็ตาม
ถัดมา ยังมีเรื่องของแบตเตอรี ที่ CX 400BT สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องสูงถึง 7 ชั่วโมง ต่อการใช้งาน 1 ครั้ง และถ้ารวมกับแบตเตอรีที่อยู่เคสก็จะใช้งานได้นานถึง 20 ชั่วโมง โดยใช้เวลาชาร์จ 10 นาที สำหรับการใช้งานต่อเนื่อง 1 ชั่วโมง และใช้เวลา 1.5 ชั่วโมงเพื่อชาร์จจนเต็มทั้งหูฟัง และเคสชาร์จ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นรุ่นที่รองลงมาจาก MTW2 ทำให้มีการตัดฟีเจอร์บางส่วนออกไป อย่างการตัดเสียงรบกวนของหูฟัง หรือ Active Noise Cancelling (ANC) ทำให้รุ่นนี้ ไม่ได้โดดเด่นในเรื่องของการตัดเสียงรบกวน แต่ด้วยการที่ปกติแล้วหูฟังแบบ In-Ears จะช่วยตัดเสียงภายนอกอยู่แล้ว ก็ถือว่าชดเชยไปบางส่วนได้
กับอีกส่วนคือคือเรื่องของไมโครโฟนสนทนา แม้ว่าทาง Sennheiser จะมีการใส่ไมโครโฟนที่ตัดเสียงรบกวนมา แต่ด้วยข้อจำกัดของรูปทรงทำให้ยังรับเสียงพูดได้ไม่ดีเท่าที่ควร เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมเปิดที่มีเสียงจากภายนอกอย่างนั่งรถไฟฟ้า ปลายสายยังได้ยินเสียงบอกสถานีปลายทางชัดเจน
ดีไซน์ และการใช้งาน
สำหรับ Sennheiser CX 400BT True Wireless นั้น ตัวเคสชาร์จจะอยู่ที่ 59 x 33.8 x 42.3 มิลลิเมตร น้ำหนักรวม 49 กรัม ซึ่งจะเห็นว่าตัวเคสนั้นค่อนข้างหนา แต่ก็ยังอยู่ในขนาดที่สามารถใส่กระเป๋าพกพาไปได้
ที่ตัวเคสด้านบนจะมีสัญลักษณ์ของ Sennheiser อยู่ ส่วนด้านหลังจะมีช่องเสียบสายชาร์จ USB-C และปุ่มสำหรับกดเพื่อเช็กสถานะแบตเตอรี โดยถ้ามีไปสีเขียวขึ้นแปลว่าชาร์จเต็มแล้ว ถ้าสีเหลืองแปลว่ามีแบตเตอรีอยู่ราว 50% และถ้าสีส้มคือแบตใกล้หมดแล้ว
เมื่อเปิดฝาขึ้นมาจะเห็นหูฟัง CX 400BT เสียบชาร์จกับขั้วชาร์จที่เป็นแม่เหล็กอยู่ ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะหลุดเวลาหยิบออกมาใช้งาน เพราะแม่เหล็กที่ใช้งานพลังดูดสูงมาก
ในส่วนของหูฟัง CX 400BT นั้นถูกออกแบบมาในลักษณะของ Minimalist และให้ความสำคัญกับการสวมใส่สบาย ตามหลัก Ergonomic ดังนั้นเวลาหยิบขึ้นมา วิธีใส่ที่ถูกต้องคือเมื่อใส่จุก In Ears เข้าไปในรูหูแล้วให้บิดหูฟังมาข้างหน้าเล็กน้อย จะทำให้รู้สึกฟิตพอดีกับหู
นอกจากนี้ เนื่องจากขนาดรูหูของแต่ละคนไม่เท่ากัน Sennheiser จึงได้เพิ่มจุกยางมาให้เลือกรวมแล้ว 4 ขนาด ไล่ตั้งแต่ XS S M และ โดยขนาดที่ใส่มากับหูฟังจะเป็น M ถ้าลองใส่แล้วแน่นเกินไปก็สามารถเปลี่ยนขนาดได้ทันที ส่วนอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องเพิ่มเติมก็จะมีคู่มือการใช้งาน และสายชาร์จแบบ USB-C
ตามคำแนะนำของ Sennheiser คือเมื่อใช้งานครั้งแรก แนะนำให้เชื่อมต่อเข้ากับแอปพลิเคชัน Smart Control ด้วยการใส่หูฟังทั้ง 2 ข้างเข้าไป แตะทั้ง 2 ข้างค้างไว้เพื่อเข้าสู่โหมดเชื่อมต่อ (Pairing) หลังจากนั้นเลือก CX 400BT TW ในลิสต์ของอุปกรณ์บลูทูธ ก็จะพร้อมใช้งานได้ทันที
โดยภายในแอป Smart Control ผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งค่าหูฟังเพิ่มเติม อย่างการตั้งปุ่มลัด แยกทั้งซ้าย–ขวา อย่างการเล่นเพลง หยุดเพลง เรียกใช้งานผู้ช่วยส่วนตัว แตะ 2 ครั้ง – 3 ครั้งเพื่อเปลี่ยนเพลง และแตะค้างเพื่อเพิ่ม หรือลดเสียง หรือถ้าไม่ต้องการใช้งานระบบควบคุมก็สามารถกดปิดการสัมผัสได้
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบในการปรับแต่ง Equalizer ก็สามารถเข้าไปปรับแต่งใน Smart Control ได้เช่นกัน โดยสามารถเลือกปรับเพิ่มลดเสียงเบส เสียงกลาง และความใสของเสียงสูง ได้ทั้งหลักของคลื่นเสียง และปุ่มปรับตามปกติ
ทั้งนี้ ในการใส่ Sennheiser CX 400BT True Wireless ใช้งาน ในกรณีที่ต้องการใช้หูฟังเพียงข้างเดียว จะใช้ได้เฉพาะข้างขวาเท่านั้น เพราะเป็นหูฟังข้างหลักที่ Sennheiser มีการเพิ่มตัวรับสัญญาณเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ในขณะที่ข้างซ้ายจะมีเฉพาะตัวส่งสัญญาณไปยังข้างขวาเท่านั้น
ทาง Sennheiser ให้เหตุผลว่า เนื่องมาจากการออกแบบที่ต้องการให้หูฟังเชื่อมต่อได้สเถียรมากที่สุด ลดสัญญาณรบกวนต่างๆ ทำให้เลือกใช้การเชื่อมต่อระหว่างหูฟังซ้าย–ขวา แล้วค่อยส่งสัญญาณมาที่สมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อแทน
กับอีกจุดที่ Sennheiser ยังไม่ได้ปรับปรุงขึ้นมาจากรุ่นก่อนหน้าอย่าง MTW2 คือเรื่องของการสลับอุปกรณ์ที่ใช้งาน ผู้ใช้จำเป็นต้องยกเลิกการเชื่อมต่อ (Disconnect) จากอุปกรณ์เดิมก่อน ถึงจะสลับไปอุปกรณ์ใหม่ได้ แม้จะเคยเชื่อมต่ออุปกรณ์มาก่อนแล้วก็ตาม
ทำให้ผู้ที่ต้องสลับใช้งานระหว่างสมาร์ทโฟน 2 เครื่อง หรือบางทีต้องการใช้งานร่วมกับโน้ตบุ๊ก ก็ต้องยกเลิกการเชื่อมต่อที่สมาร์ทโฟนก่อน ในขณะที่คู่แข่งรายหลักอย่าง Apple AirPods นั้นไม่มีปัญหาดังกล่าวแต่อย่างใด
สรุป
Sennheiser CX 400BT True Wireless ออกมาเป็นตัวเลือกให้ผู้ที่ชื่นชอบหูฟัง True Wireless คุณภาพเสียงดี ของทาง Sennheiser เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เมื่อดูในส่วนของระดับราคาเปิดตัวที่ 7,990 6,990 บาท มีให้เลือกทั้งสีขาว และสีดำ
แต่ในขณะเดียวกันก็ตัดบางฟีเจอร์ออกไปจากรุ่นพี่อย่าง Momentum True Wireless 2 ทั้งระบบตัดเสียงรบกวน ANC ฟีเจอร์รับฟังเสียงจากรอบข้าง ระบบหยุดเล่นอัตโนมัติ และมาตรฐานกันน้ำอย่าง IP4 ซึ่งถ้าใครมองว่าฟีเจอร์เหล่านี้ไม่ได้ใช้งาน การเลือกเป็น CX 400BT ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ