ช่วงนี้ตลาดสมาร์ทโฟนระดับกลางค่อนข้างคึกคัก เพราะนอกจากกระแสจอแบบไร้ขอบ (Full View) จะถูกนำมาใช้มากขึ้นแล้ว เรื่องของกล้องหน้าเน้นถ่ายเซลฟีคุณภาพสูง ยังถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ปัจจุบันกลายเป็นจุดขายหลักของสมาร์ทโฟนราคาไม่เกิน 1 หมื่นห้าพันบาทไปเช่นกัน
โดยในวันนี้ทีมงานไซเบอร์บิซได้รับอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนระดับกลาง VIVO V7+ ที่มีความโดดเด่นตั้งแต่หน้าจอแบบ Full View ไปถึงเรื่องกล้องหน้าความละเอียดสูงถึง 24 ล้านพิกเซลและมาพร้อมระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าไม่ต่างกับ iPhone X อีกด้วย
การออกแบบ
เริ่มจากด้านหน้า VIVO V7+ การออกแบบหน้าจอของวีโว่จะเป็นแบบ Full View ที่ใช้การขยายขอบจอทั้ง 4 ด้านให้ชิดกับขอบเครื่องมากยิ่งขึ้น ทำให้อัตราส่วนภาพเปลี่ยนจาก 16:9 เป็น 18:9 พร้อมขอบจอบางเพียง 2.15 มิลลิเมตร ทำให้ V7+ จะมีหน้าจอที่ใหญ่ถึง 5.99 นิ้ว ความละเอียดหน้าจอ 1,440×720 พิกเซล แต่ตัวเครื่องยังคงความเล็กในแบบสมาร์ทโฟนจอ 5 นิ้วปกติ
ในส่วนปุ่มคำสั่ง Navigation Buttons จะทำผ่านซอฟต์แวร์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นปุ่มโฮม ย้อนกลับและเรียก Recent Apps โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่งสลับตำแหน่งปุ่มคำสั่งได้ในเมนูตั้งค่า
ด้านขนาดตัวเครื่องจะมีความหนาเพียง 7.7 มิลลิเมตรและน้ำหนัก 160 กรัม เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอใหญ่แต่ตัวเครื่องทั้งน้ำหนักและขนาดกำลังพอดีมือ
มาดูกล้องหน้า VIVO V7+ จะมีความละเอียดสูงสุดที่ 24 ล้านพิกเซล รูรับแสง f2.0 พร้อมไฟ LED Selfie Softlight และตัวกล้องรองรับระบบสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกสมาร์ทโฟนด้วย
ด้านหลัง ใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียม โดยด้านบนจะเป็นที่อยู่ของกล้องถ่ายภาพหลัก 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง f2.0 พร้อมไฟแฟลช LED 1 ดวง ถัดลงมาเป็นส่วนเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือและโลโก้วีโว่
มาดูในส่วนพอร์ตเชื่อมต่อและปุ่มกดรอบตัวเครื่อง เริ่มจากด้านล่างเครื่อง จะเป็นที่อยู่ของช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ไมโครโฟน พอร์ต MicroUSB และลำโพง 1 ตัว
ด้านบน เป็นที่อยู่ของไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน
ด้านซ้าย เป็นช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์แบบ Nano Sim รองรับ 2 ซิมการ์ดและ 1 MicroSD Card (รองรับความจุสูงสุด 256GB)
ด้านขวา เป็นปุ่มเพิ่มลดเสียงและปุ่มเปิดปิดเครื่อง (สังเกตบริเวณกล้องถ่ายภาพด้านหลังจะยื่นออกจากตัวเครื่องเล็กน้อย ทำให้ต้องระวังเรื่องการวางเครื่องบนโต๊ะเพราะอาจทำให้เกิดรอยที่เลนส์ได้ แนะนำให้ใส่เคสจะดีที่สุด)
สุดท้ายมาแกะกล่อง VIVO V7+ เสียหน่อย จะพบว่าทางวีโว่ได้แถมเคสพลาสติกพร้อมติดฟิล์มกันรอยที่หน้าจอมาให้ในกล่องเลย
สเปก
VIVO V7+ ขับเคลื่อนด้วยซีพียู Qualcomm Snapdragon 625 Octa-core ความเร็ว 1.80GHz มาพร้อมแรม 4GB รอม 64GB (เหลือให้ใช้จริงประมาณ 50GB) ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 7.1 (และ Funtouch OS 3.2 จากวีโว่) พร้อมแบตเตอรี 3,225mAh
ด้านสเปกเชื่อมต่อเครือข่ายรองรับ 3G/4G ทุกเครือข่ายในบ้านเรา ส่วน WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 b/g/n/ac บลูทูธ 4.2 GPS รองรับทั้ง GLONASS/BeiDou พร้อมภาครับวิทยุ FM ภายในตัว และสุดท้ายภายในตัวเครื่องยังมาพร้อมชิปเสียง AK4376A HiFi รองรับการถอดรหัสไฟล์เสียงคุณภาพสูงอย่างเต็มรูปแบบ
ฟีเจอร์เด่น
ต้องบอกว่าข้อดีของ Funtouch OS 3.2 จากวีโว่จะอยู่ในเรื่องหน้าตาที่ดูเรียบและเข้าถึงง่ายไม่ซับซ้อน แถมการออกแบบไอคอนไปถึงการจัดวางเรียกใช้ออปชันปรับแต่งค่าต่างๆยังให้ความรู้สึกเดียวกับ iOS บนไอโฟนอย่างมาก เช่น เวลาจะเรียก Quick Setting ปกติของแอนดรอยด์จะต้องรูดนิ้วจากขอบจอด้านบนลงล่าง แต่ของวีโว่จะใช้วิธีรูดจากขอบจอด้านล่างขึ้นบนพร้อมอินเตอร์เฟสแบบเดียวกับ Control Center บน iOS อย่างใดอย่างนั้น
ในส่วนแอปฯพื้นฐานติดตั้งมาจากโรงงานทางวีโว่ให้มาพอประมาณ ส่วนใหญ่จะเป็นแอปฯจำพวกจดโน้ต WPS Office เวอร์ชันอ่านแก้ภาษาไทยได้ VIVO Cloud รวมถึงเฟสบุ๊ก เป็นต้น
มาดูฟีเจอร์เด่นกันบ้าง เริ่มจาก “ระบบสแกนและจดจำใบหน้าเพื่อใช้ปลดล็อกตัวเครื่อง” ที่ทาง VIVO เรียกว่า “Facial Recognition” และมีลักษณะการทำงานคล้ายกับ Face ID บน iPhone X เพียงแต่ของวีโว่จะไม่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับใบหน้าโดยเฉพาะ แต่ใช้กล้องหน้าในการตรวจจับใบหน้าเราหลายส่วน และการปลดล็อกจะใช้เวลารวดเร็วเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น (ทำงานเร็วกว่าระบบตรวจจับใบหน้าที่เคยมีในแอนดรอยด์ทุกรุ่นรวมถึง Iris Scan ของซัมซุง)
แต่ทั้งนี้ระบบ Facial Recognition ของวีโว่ก็มีข้อจำกัดอยู่โดยเฉพาะเมื่อใช้ในที่แสงน้อยมาก ระบบจะไม่สามารถตรวจจับใบหน้าได้ หรือถ้าเรามีฝาแฝดที่หน้าตา โครงหน้าและไว้ทรงผมเหมือนกับเราระบบอาจมองว่าเป็นคนคนเดียวกันและยอมปลดล็อกหน้าจอได้ ส่วนการใช้รูปถ่ายในการปลดล็อก ทีมงานทดสอบแล้วว่าไม่สามารถทำได้
มาถึงฟีเจอร์ต่อไปกับความสามารถในการทำ Multitask เปิด 2 แอปฯใน 1 หน้าจอที่กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของแอนดรอยด์ทุกรุ่นในปัจจุบัน แน่นอนว่า VIVO V7+ สามารถใช้งานฟีเจอร์นี้ได้ลื่นไหล เพียงแต่ต้องเป็นแอปฯที่รองรับเท่านั้นถึงจะเข้าสู่โหมดใช้งานดังกว่าได้
นอกจากนั้น VIVO V7+ ยังมาพร้อมฟีเจอร์ Dual Apps ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ที่มีบัญชีแอปฯโซเชียล เช่น Facebook, LINE สามารถเข้าใช้งาน 2 บัญชีพร้อมกันได้ในเครื่องเดียว
สุดท้ายกับฟีเจอร์เด็ดเอาใจสาวสวย หนุ่มหล่อกับ Beauty Mode ที่ออกแบบมาเพื่อกล้องหน้า V7+ โดยเฉพาะและสามารถเปิดใช้งานเมื่อเราวิดีโอคอลล์หาเพื่อนผ่านแอปฯ เช่น LINE ผู้ใช้สามารถปรับเอ็ฟเฟ็กต์แต่งความงามบนใบหน้าหรือจะเปิดไฟ Softlight ช่วยให้หน้าขาวใสก็สามารถทำได้ทันที
กล้องถ่ายภาพ
อย่างที่ทราบดีว่า V7+ จะเน้นกล้องหน้าเป็นหลัก ส่วนกล้องหลังจะให้คุณภาพไม่โดดเด่นนัก โดยในส่วนของซอฟต์แวร์ก็เรียกได้ว่า วีโว่จัดเต็มเอาใจขาเซลฟีอย่างมาก โดยเมื่อผู้ใช้เปิดกล้องหน้าจะสามารถเลือกโหมดเซลฟีได้หลากหลายตั้งแต่ เซลฟีมุมกว้าง (พาโนรามา) สำหรับถ่ายเซลฟีร่วมกับวิวทิวทัศน์หรือจะประยุกต์ใช้ถ่ายเซลฟีหมู่ก็ได้ ใบหน้าสวยหรือ Beauty Mode โหมดปรับความขาวใสของใบหน้า รวมถึงมี Portrait Mode ทำหน้าชัดหลังเบลอ (ผ่านซอฟต์แวร์) และสุดท้ายกล้องหน้าสามารถบันทึกวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080p
ส่วนกล้องหลังจะมีโหมดให้เลือกใช้ตั้งแต่ UltraHD, โหมดมืออาชีพปรับแต่งค่ากล้องเองได้รวมถึง Time Lapse และมี HDR, Live Photo รวมถึงมีฟิลเตอร์สีให้เลือกใช้และสามารถใส่ลายน้ำให้รูปได้ด้วย
ตัวอย่างภาพจากกล้อง VIVO V7+
กล้องหลัง
กล้องหลัง
กล้องหลัง
กล้องหน้า โหมดภาพปกติ
กล้องหน้า Beauty Mode (ใบหน้าสวย)
กล้องหน้าถ่ายย้อนแสงพร้อมเปิด Beauty Mode (ใบหน้าสวย) + Portrait Mode หน้าชัดหลังเบลอ
ภาพรวมเรื่องกล้องถ่ายภาพจะเห็นว่า VIVO V7+ จะโดดเด่นในเรื่องกล้องหน้ามากกว่า ส่วนกล้องหลังคุณภาพถือว่ากลางๆไม่ดีและแย่เกินไป พอใช้ถ่ายภาพสนุกๆได้ ส่วนความรวดเร็วของชัตเตอร์ถือว่ากำลังดี กดปุ๊บภาพมาปั๊บ ไม่เชื่องช้าให้จังหวะการถ่ายภาพเสียเหมือนหลายแบรนด์ในระดับเดียวกัน
ทดสอบประสิทธิภาพ
AnTuTu Benchmark = 56,570 คะแนน
PCMark Work 2.0 = 4,934 คะแนน
3DMark
Sling Shot Extreme = 435 คะแนน
Sling Shot = 799 คะแนน
Ice Storm Extreme = 7,879 คะแนน
Ice Storm = 12,063 คะแนน
PassMark PerformanceTest
System = 4,561 คะแนน
CPU Tests = 113,173 คะแนน
Memory Tests = 6,108 คะแนน
Disk Tests = 60,656 คะแนน
2D Graphics Tests = 3,284 คะแนน
3D Graphics Tests = 1,049 คะแนน
AndroBench
Seq. Read = 300.64 MB/s
Seq. Write = 218.44 MB/s
สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพ VIVO V7+ คะแนนถือว่าใช้ได้ตามาตรฐานกลุ่มสมาร์ทโฟนระดับกลาง ส่วนการใช้งานจริงถือว่าเป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนที่ทำงานลื่นไหลและไม่พบอาการแอปฯเด้งเพราะแรมหมดให้เห็น การทำงาน ลูกเล่นและการใช้งานทำได้ค่อนข้างประทับใจ สเปกและซอฟต์แวร์วีโว่ใส่มาให้พอดีเหมาะสมกับราคา โดยเฉพาะรอม 64GB ถือว่าเพียงพอในปัจจุบันแล้ว
ส่วนแบตเตอรีเป็นอะไรที่ว้าวมาก เพราะจากสเปกแล้วไม่น่าจะอึดทนถึงเพียงนี้ แต่ VIVO V7+ สามารถทดสอบใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานถึง 14-15 ชั่วโมงแบบเปิดหน้าจอทิ้งไว้ตลอดการทดสอบ (แบตฯเหลือ 20%) ส่วนเมื่อใช้งานปกติในชีวิตประจำวัน ถ้าไม่ใช่คนชอบถ่ายรูปหรือแชทตลอดทั้งวัน แบตฯของวีโว่สามารถใช้ได้เต็มวันเกือบ 24 ชั่วโมงแน่นอน
สรุป
สำหรับราคา VIVO V7+ อยู่ที่ 11,990 บาท มีให้เลือก 2 สีได้แก่ ดำด้านและทอง เทียบกับสเปก ประสิทธิภาพและลูกเล่นต่างๆก็ถือเป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนระดับกลางที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนเน้นกล้องหน้าเพื่อนำมาถ่ายวิดีโอไลฟ์ รีวิวสินค้าหรือเน้นเซลฟีเป็นหลัก V7+ น่าตอบโจทย์ได้ดี จะมีข้อสังเกตอยู่อย่างเดียวก็เรื่องกล้องหลังที่ให้คุณภาพระดับเริ่มต้นเกินไป แน่นอนว่าแพ้พี่ใหญ่ในกลุ่มที่เคยทำคะแนนทดสอบไว้ยอดเยี่ยมอย่าง OPPO R9s พอสมควร แต่เรื่องกล้องหน้าตามความรู้สึกของทีมงาน R9s สู้ V7+ ไม่ได้ ส่วนหลายคนที่สงสัยว่าสู้ ASUS Zenfone 4 Selfie รุ่นราคา 8,990 บาทได้หรือไม่ ต้องเรียนตามตรงว่า VIVO V7+ ดีกว่ามากครับ เพราะ Zenfone 4 Selfie จะจับกลุ่มระดับเริ่มต้นกว่า V7+ (ถ้าจะเทียบชนกันให้ถูกต้องเป็นรุ่น Zenfone 4 Selfie Pro)