Xiaomi ยังคงรักษาการเป็นผู้นำในเรื่องของการทำตลาดแอนดรอยด์โฟนราคาเข้าถึงได้ โดยเฉพาะในเครื่องระดับไฮเอนด์ อย่าง Mi 9 ที่เพิ่งวางจำหน่ายไป พร้อมกับการชูจุดเด่นเรื่องของสเปกภายในที่เทียบเท่าเครื่องระดับ 3 หมื่นบาท ในราคา 16,990 บาท
การชูจุดขายเครื่องสเปกเครื่องที่มากับ Snapdragon 855 RAM 6 ROM 128 GB กลายเป็นจุดเด่นหลังของเครื่องรุ่นนี้ แต่ก็ไม่ใช่เฉพาะสเปกเพียงอย่างเดียวที่ Xiaomi พัฒนาขึ้นมา เพราะยังมีเรื่องของจอแสดงผล และกล้องหลังที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน
ไฮเอนด์ราคาคุ้มค่า
ด้วยการเปิดราคาจำหน่ายที่ 16,990 บาท และลดลงไปเหลือ 12,990 เมื่อซื้อเครื่องพร้อมแพกเกจกับทาง AIS ยิ่งทำให้ Xiaomi Mi 9 ได้รับความน่าสนใจ เพราะถ้าเทียบในช่วงระดับราคาเดียวกัน จะได้เครื่องระดับกลางๆของ ซัมซุง หรือหัวเว่ย เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ Xiaomi Mi 9 หลังจากเปิดจองในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ก็ได้มีการเลื่อนวันส่งมอบเครื่องออกไป จากการที่ตัวเครื่องผลิตไม่ทันกับความต้องการของตลาดโลก ก่อนเลื่อนมาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในช่วงสิ้นเดือนเมษายน
แน่นอนว่า ถ้าเป็นผู้บริโภคที่ต้องการสมาร์ทโฟนสเปกดีๆ ราคาไม่แรง Mi 9 กลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจในเวลานี้แน่นอน แต่ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับว่าลูกค้าจะให้ความเชื่อมั่นในแบรนด์เพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน
เมื่อเครื่องสเปกดีแล้ว การเล่นเกมจึงเป็นจุดเด่นสำคัญของเครื่องรุ่นนี้ ซึ่งมีโหมด Game Turbo มาช่วยโดยเฉพาะ ที่จะรีดประสิทธิภาพของตัวเครื่องออกมาทำให้การเล่นเกมลื่นไหล แถมยังมีปุ่มลัดเพื่อถ่ายภาพหน้าจอขณะเล่นเกมให้ด้วย
ขณะเดียวกัน โหมดเต็มหน้าจอของ Mi 9 ถือว่าทำออกมาได้ดีที่ เมื่อแอปเกมไหนรองรับการแสดงผลแบบเต็มหน้าจอ ก็สามารถใช้งานได้ทันที ทำให้เวลาเล่นเกมได้ภาพเต็มจอด้วย
ใส่เต็มเทคโนโลยี
นอกเหนือจากการใส่สเปกระดับสูงมาแล้ว สิ่งที่โดดเด่นใน Mi 9 คือการนำนวัตกรรมหลายๆอย่างมาผสมเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นระบบสแกนลายนิ้วมือบนใต้หน้าจอ ที่ในรุ่นนี้ปลดล็อกตัวเครื่องได้เร็วกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 25%
ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาระบบชาร์จไร้สาย ที่กลายเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในเวลานี้ ให้รองรับการชาร์จเร็วถึง 20W รุ่นแรกในโลก ทำให้สามารถชาร์จแบตแบบไร้สายได้เต็มภายในเวลา 90 นาที
ส่วนการชาร์จแบบมีสาย จากแบตเตอรีที่ให้มา 3,300 mAh ตัวเครื่องรองรับการชาร์จด่วนบนเทคโนโลยี Qualcomm QuickCharge 4.0+ 27W มาด้วย เพียงแต่อะเดปเตอร์ที่ให้มาในกล่องจะเป็น QC 3.0 18W
ด้านการเชื่อมต่อ ตัวเครื่องรองรับการใช้งาน 4G แบบ 2 ซิมการ์ด WiFi 802.11ac ที่รองรับทั้ง 2.5 GHz และ 5 GHz บลูทูธ 5.0 มี NFC GPSแบบความถี่คู่ มาให้ใช้งานด้วย และยังมีอินฟราเรดมาให้เพื่อใช้งานเป็นรีโมทควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วย
ใส่ความหรูให้ตัวเครื่อง
ในช่วงหลังๆ จะเห็นได้ว่า Xiaomi เน้นการออกแบบตัวเครื่องให้มีเอกลักษณ์มากขึ้น ด้วยการนำวัสดุที่เป็นกระจกมาใช้งานทั้งหน้าและหลัง ในรุ่น Mi 9 ก็เช่นกัน โดยในรอบนี้มีการออกแบบให้หลังเครื่องใช้กระจกแบบ Holographic มาใช้งาน และเป็นแบบโค้งรับกับการจับถือตัวเครื่อง
โดยวัสดุของกระจกหลังจะเป็น Gorilla Glass 5 ที่ให้ความแข็งแรงในระดับนึง ตัวเครื่องมีขนาดอยู่ที่ 157.5 x 74.7 x 7.6 มิลลิเมตร น้ำหนัก 173 กรัม โดยสีที่วางจำหน่ายจะมีทั้งหมด 3 สี คือ ดำ น้ำเงิน และม่วง
ในส่วนของหน้าจอ Mi 9 จะใช้จอ Samsung AMOLED ขนาด 6.39” ความละเอียด FullHD+ (2340 x 1080 พิกเซล) 403ppi ครอบด้วยกระจก Gorilla Glass 6 ที่มีการเคลือบสารป้องกันความัน และลายนิ้วมือเพิ่มเติมด้วย เมื่อเทียบกันแล้วคิดเป็น 90.7% ของสัดส่วนเครื่อง
ปุ่มควบคุม และพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆของตัวเครื่อง จะประกอบด้วย ปุ่มเปิด–ปิดเครื่อง และปุ่มปรับระดับเสียงทางด้านขวา ส่วนทางซ้ายจะมีช่องใส่ถาดซิมการ์ด (รองรับนาโนซิมการ์ด 2 ซิม) กับปุ่มเรียกผู้ช่วยส่วนตัว (Google Assistant)
ด้านบนเป็นเซ็นเซอร์อินฟาเรด และไมโครโฟน ส่วนด้านล่าง จะมีพอร์ต USB-C ลำโพง ซึ่งกลายเป็นว่าตัวเครื่องไม่มีพอร์ตหูฟัง 3.5 มม. มาให้ใช้งาน แต่มีอะเดปเตอร์แปลงก USB-C to 3.5 มม. มาให้ในกล่องแทน
กล้องที่ใช้ AI ช่วย
เรื่องของกล้อง กลายเป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้ Mi 9 น่าสนใจ เพราะด้วยระดับราคาเครื่องที่ไม่ได้แพงทะลุ 2 หมื่นบาท แต่คุณภาพของกล้องที่ได้ ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี ถ่ายง่าย และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการนำ AI มาใช้งานคู่กับกล้องคู่ ทำให้เวลาใช้งาน Mi 9 ถ่ายภาพ ก็จะมี AI มาคอยแนะนำอย่างเช่นถ้าถ่ายภาพวิว ก็จะแนะนำให้ลองใช้งานเลนส์มุมกว้างดู เพื่อเก็บรายละเอียดรอบข้างมากขึ้น หรือถ้าถ่ายฉากต้นไม้ ก็จะเร่งสีเขียวขึ้นมาให้สวยงามขึ้น