Samsung SUHD TV จัดอยู่ในกลุ่มทีวีพรีเมียมที่เปิดตัวครั้งแรกในงาน CES 2015 ที่ผ่านมา โดยในวันนี้ SUHD ได้เดินทางมาถึงประเทศไทยและเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้วเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมาถึง 3 รุ่นเด่นด้วยกันได้แก่
JS9500 เป็นทีวี 4K รุ่นท็อปสุดแบบ Grade Chamfer Design มีขนาดหน้าจอให้เลือกตั้งแต่ 105 นิ้ว 85 นิ้วและ 78 นิ้วเน้นการออกแบบให้ตัวทีวีคล้ายกรอบรูปในพิพิธภัณฑ์กลมกลืนไปกับบ้านยุคใหม่อย่างลงตัวพร้อมจอโค้ง Curved Screen ที่ให้มุมมองกว้างกว่าปกติ
JS9000 เป็นทีวีความละเอียด 4K เช่นกัน มีหน้าจอให้เลือกสองขนาดได้แก่ 65 นิ้วและ 55 นิ้ว พร้อมความโดดเด่นในเรื่องการออกแบบด้านหลังเครื่องแบบลอนคลื่น (Shirring Design) และหน้าจอโค้ง Curved Screen
สุดท้ายรุ่น JS8000 เป็นทีวี 4K มีหน้าจอให้เลือกสองขนาดเช่นกัน ได้แก่ 65 นิ้วและ 55 นิ้ว แต่จะแตกต่างจากสองรุ่นบนคือหน้าจอเป็นแบบแบนราบ ส่วนการออกแบบด้านหลังจะเหมือนรุ่น JS9000 คือเป็นลอนคลื่น
และนอกจากภาพลักษณ์ภายนอกที่ล้ำสมัยแล้วด้านเทคโนโลยี ซัมซุงใช้แนวคิดแบบ 3S พัฒนาทีวี SUHD ได้อย่างน่าสนใจ โดยในวันนี้เราจะมาลงลึกในรายละเอียดของแนวคิด 3S และเจาะลึกสเปกของ Samsung SUHD TV เพื่อตอบคำถามที่หลายคนสงสัยว่า “ทำไม Samsung SUHD TV ถึงเป็นทีวีที่ให้คุณภาพด้านการแสดงผลภาพดีที่สุดในโลกตอนนี้”
Sensational Picture
ผู้อ่านคงเคยหลงใหลในมนต์สะกดด้านการแสดงผลภาพของโรงภาพยนตร์ดิจิตอลความละเอียดสูง วันนี้ซัมซุงได้นำความรู้สึกเหล่านั้นมากลับมาใส่ลงในทีวี SUHD ของตนแล้วด้วยเทคโนโลยีด้านการแสดงผลภาพตัวใหม่ล่าสุดถึง 4 เทคโนโลยี ได้แก่
1.Nano Crystal Color ที่พัฒนาใหม่ครั้งแรกสำหรับ Samsung SUHD TV โดยเฉพาะ โดยจุดเด่นของเทคโนโลนีนี้คือเม็ดพิกเซลที่สามารถแสดงเฉดสีได้กว้างกว่าทีวีทั่วไปถึง 2 เท่าและสามารถให้สีสันได้มากกว่า 64 เท่าจากทีวีความละเอียดสูงทั่วไปจนแทบใกล้เคียงกับโปรไฟล์สี DCI-P3 Color Space ที่ถูกเลือกใช้ในวงการภาพยนตร์ดิจิตอลและโรงภาพยนตร์มากที่สุด
2.Peak Illuminator Ultimate ด้วยแผงหน้าจอแบบใหม่ประกบซอฟต์แวร์ Peak Illuminator ทำให้ SUHD TV สามารถแสดงแสงได้มากกว่าทีวีความละเอียดสูงทั่วไปถึง 2.5 เท่า พร้อมจุดเด่นในเรื่องการควบคุมความสว่างของภาพที่ปรากฏบนหน้าจอให้ผู้ชมสามารถเห็นรายละเอียดของภาพได้ชัดเจนและมีมิติขึ้น ไม่เกิดอาการภาพสว่างโอเวอร์จนรายละเอียดของภาพหายไป
และที่สำคัญ SUHD จากซัมซุงยังรองรับการแสดงผลภาพแบบ HDR (High Dynamic Range) เมื่อรับชมผ่านสื่อ เช่น Blu-ray 4K ที่บันทึกด้วยระบบสี 10-bit color เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Life of Pi หรือ Exodus เป็นต้น
นอกจากนั้นเทคโนโลยีดังกล่าวยังช่วยปรับแสงสว่างหน้าจออัตโนมัติเมื่อคุณรับชมทีวีในสภาพแสงที่แตกต่างกันได้ลื่นไหล ไม่เกิดอาการปวดตาและมองเห็นภาพไม่ชัดเจน เช่น ตอนกลางวันมีแสงส่องเข้ามาในห้องจำนวนมากหรือตอนกลางคืน ปิดไฟ เป็นต้น
3.UHD Dimming หรือระบบช่วยจัดการการกระจายแสงของแบ็คไลท์ที่พัฒนาใหม่ให้มีความแม่นยำและประสิทธิภาพสูงขึ้น สีดำจะดำสนิทมากขึ้น ส่วนมิติและการไล่ความเข้มของสีดำก็มีการพัฒนาซอฟต์แวร์ควบคุมใหม่ให้โทนสีดำสามารถแสดงมิติความตื้นลึกได้มากขึ้น เช่น การรับภาพยนตร์ที่เน้นฉากกลางคืน จากระบบ Local Dimming แบบเดิมอาจให้โทนสีดำที่ดำสนิทจริงแต่ฉากในที่มืดบางฉากอาจที่มีรายละเอียดของภาพซ่อนอยู่ ซึ่งระบบ Dimming หลอดไฟแบ็คไลท์แบบเก่าอาจไม่สามารถทำงานได้สมบูรณ์ทำให้รายละเอียดของภาพเหล่านั้นหายไป
แต่ด้วย UHD Dimming จะทำให้คุณได้รายละเอียดของภาพเหล่านั้นคืนมาทั้งหมด พร้อมระบบควบคุมความเข้มของแสง (Contrast) ที่สามารถแสดงรายละเอียดในที่มืดได้ครบถ้วนกว่า 2 เท่า และ 10 เท่าในรุ่น JS9500
4.UHD Upscaling ตามสเปกของ SUHD TV จะสามารถแสดงผลภาพที่ความละเอียดสูงสุด 4K (2,160p) หรือประมาณ 8 ล้านพิกเซล ซึ่งเมื่อเทียบกับความละเอียดของทีวีแบบ FullHD จะมากกว่าถึง 4 เท่าตัว
ทีนี้ปัญหาอาจเกิดกับคอนเทนต์ที่ไม่ใช่ 4K ซึ่งซัมซุงได้แก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยชุดซอฟต์แวร์ UHD Up-scaling อัตโนมัติ เมื่อคุณเปิดรับชมคอนเทนต์ที่มีความละเอียดภาพ 480p 720p หรือ 1080p ระบบซอฟต์แวร์จะตรวจจับและเพิ่มคุณภาพของภาพเป็น 4K UHD แบบอัตโนมัติ ช่วยให้ภาพที่ได้ไม่แตกพร่าเมื่อรับชมกับหน้าจอความละเอียด Ultra High Definition อีกทั้งเรื่องสีสันก็จะถูกอัปเกรดให้มีความสดใสและคมชัดด้วยเช่นกัน
และสุดท้ายสำหรับชาวไทย สเปก Samsung SUHD TV ทุกรุ่นจะรองรับสัญญาณทีวีดิจิตอลภาคพื้นดิน DVB-T2 พร้อม HDMI 4.0 และรองรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านระบบไร้สาย (WiFi) ในตัว
Seamless Interaction
มาถึงแนวคิดแบบ “S” อันดับที่ 2 กับการเป็นสมาร์ททีวีที่ในครั้งนี้ซัมซุงผนวกความเป็นคอนเวอร์เจนซ์กับสมารท์ดีไวซ์ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ตจากซัมซุงพร้อมหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันบนแพลตฟอร์มระบบปฏิบัติการ Tizen ที่ใช้งานง่ายและสะดวกสบายขึ้น
เริ่มจากการเชื่อมต่อแบบ Quick Connect กับสมาร์ทโฟนและแท็บของซัมซุงโดยไม่ต้องผ่านแอปพลิเคชันใดๆ เพราะระบบ Quick Connect เป็นระบบที่มาพร้อมกับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตซัมซุงเกือบทุกรุ่น โดยการทำงานจะเชื่อมต่อกันอัตโนมัติ เมื่อผู้ใช้ต้องการแชร์คอนเทนต์จากทีวีไปรับชมต่อบนสมาร์ทโฟนก็สามารถทำได้ง่ายๆเพียงแตะคำว่า Quick Connect ที่สมาร์ทดีไวซ์ หรือจะเลือกแชร์หน้าจอสมาร์ทโฟนไปสู่ทีวีก็สามารถทำได้ด้วยเทคโนโลยี Screen Mirroring ผ่านระบบ WiFi
มาถึงฟีเจอร์เด่นที่สองกับ Morning Brief ทันทีที่นาฬิกาปลุกในสมาร์ทโฟนที่คุณได้เชื่อมต่อกับทีวีไว้ดังขึ้น ทีวีสามารถเปิดเองแบบอัตโนมัติพร้อมแสดงข้อมูลที่คุณควรรู้ เช่น เวลาปัจจุบัน ตารางนัดหมายจาก Google Calendar และพยากรณ์อากาศที่ดึงข้อมูลจาก AccuWeather
นอกจากนั้นเพื่อตอกย้ำความเป็น Interaction สมาร์ททีวีแบบไร้รอยต่อทางซัมซุงได้พัฒนาซอฟต์แวร์ควบคุมทีวีสำหรับสมาร์ทโฟนตัวใหม่ในชื่อ Samsung SmartView 2.0 (ดาวน์โหลดได้ฟรีจาก Google PlayStore และ AppStore) ที่นอกจากจะใช้สมาร์ทโฟนควบคุมทีวีได้แล้ว ตัวซอฟต์แวร์ยังสามารถดึงภาพจากทีวีมาสู่หน้าจอสมาร์ทโฟนได้ด้วย
อีกทั้งด้วยการที่ซัมซุงเลือกใช้หน่วยประมวลผลใหม่แบบ Octa-Core ทำให้ SUHD จะมาพร้อมกับฟีเจอร์ Multi-Link Screen ที่เปิดโอกาสให้คุณสามารถใช้แอปพลิเคชันพร้อมรับชมทีวีไปพร้อมๆกันได้อย่างลื่นไหล หรือถ้าคุณจะเลือกท่องเว็บบราวเซอร์ก็สามารถทำได้เหมือนกับใช้งานผ่านสามาร์ทโฟนและแท็บเล็ตอย่างใดอย่างนั้น
สุดท้ายกับเรื่องคอนเทนต์ออนไลน์และแอปพลิเคชันที่มีให้ใช้งานหลากหลาย จัดสรรมาให้ครบทุกหมวดหมู่ เช่น เกมส์ ฟุตบอล ภาพยนตร์ ข่าว เป็นต้นและเปิดโอกาสให้คุณสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันอื่นๆมาติดตั้งเพิ่มเติมได้ผ่าน Samsung SMART TV Apps
Stylish Design
อย่างที่ทราบกันดีว่าจุดขายของ Samsung SUHD TV นอกจากคุณภาพด้านการแสดงผลภาพที่ปรับปรุงขึ้นแล้วเรื่องของการออกแบบโดยเฉพาะหน้าจอที่ได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยระบบ Auto Depth Enhancer ที่ใช้ระบบประมวณผลภาพช่วยวิเคราะห์ความตื้นลึกของภาพและนำภาพเหล่านั้นมาจัดวางใหม่บนหน้าจอโค้ง Curved Screen ที่ซัมซุงขยายรัศมีความโค้งของหน้าจอให้สอดคล้องและเป็นธรรมชาติกับสายตามนุษย์มากขึ้น
นอกจากนั้นในส่วนการออกแบบ ซัมซุงได้แรงบันดาลใจจากกรอบรูปงานศิลปะสมัยใหม่ ทำให้ขอบจอทีวีถูกลดความหนาลงและเน้นส่วนของจอภาพให้มีความโดดเด่นมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งซัมซุงยังได้เลือกใช้วัสดุจากโลหะที่ถูกขัดให้มันวาวเป็นส่วนสำคัญเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความเรียบหรูแบบมินิมัลลิสต์ สามารถวางเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ของบ้านได้ลงตัว อีกทั้งขาตั้งของ SUHD TV ทุกรุ่นได้รับการออกแบบให้มีความเพรียวบางและกินพื้นที่น้อยลงด้วย
อีกทั้งสำหรับผู้ใช้ที่อยากเพิ่มอรรถรสในการรับชมทีวี SUHD แบบจอโค้งมากขึ้น ทางซัมซุงก็ได้มีอุปกรณ์เสริมออกมารองรับอย่างเช่น Sound Bar แบบ 8.1 ร่องเสียงที่ออกแบบมาให้ตัวลำโพงโค้งพร้อมรองรับระบบเสียงรอบทิศทาง หรือในอนาคตทางซัมซุงก็จะมีอุปกรณ์เสริมที่รองรับการเชื่อมต่อผ่านบลูทูธออกมาวางจำหน่ายอีกมากมาย เช่น หูฟังแบบ Headset ไร้สายไปถึงคีย์บอร์ดไร้สายที่ออกแบบมาให้ใช้งานกับสมาร์ททีวีของซัมซุง เป็น
และทั้งหมดนี้คือจุดเด่นของเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจาก Samsung SUHD TV กับทีวีที่เน้นเรื่องสีสันที่ถูกต้องและสมบูรณ์เหนือความเป็น 4K TV ขึ้นไปอีกขั้น สำหรับผู้อ่านที่สนใจรายละเอียดของ SUHD TV สามารถติดตามข้อมูลได้ที่ http://www.samsung.com/th/suhdtv/
(บทความโฆษณา)