ธุรกิจ – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Tue, 13 Jul 2021 07:47:59 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : MSI Summit E13 Flip Evo โน้ตบุ๊กธุรกิจ ดีไซน์พรีเมียม https://cyberbiz.mgronline.com/review-msi-summit-e13-flip-evo/ Tue, 06 Jul 2021 03:03:31 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35512

หลังจาก MSI นำเสนอ Summit B15/E15 ไปก่อนหน้านี้ ในกลุ่มของโน้ตบุ๊กองค์กรธุรกิจใช้งานทั่วไป ล่าสุด MSI ได้เพิ่มไลน์สินค้าให้ครอบคลุมกลุ่มธุรกิจ ด้วยการแนะนำ MSI Summit E13 Flip Evo ที่เน้นความเป็นพรีเมียมและใช้งานได้อเนกประสงค์มากขึ้น

จุดเด่นของ MSI Summit E13 Flip Evo คือเป็นโน้ตบุ๊กแบบ 2-1 ที่สามารถพับหน้าจอใช้งานได้ 4 รูปแบบ รองรับการสัมผัส รวมถึงใช้งานควบคู่กับ MSI Pen ในดีไซน์ที่มีรูปแบบเฉพาะตัวจากสีดำ ตัดขอบสีทอง มาพร้อมกับ Windows 10 Pro ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงให้ใช้งาน

สเปกภายในมีให้เลือกทั้งรุ่นที่มากับ 11th Gen Intel Core i5 1135G7 และ Core i7 1185G7 RAM 16/32 GB SSD 512/1 TB ผ่านมาตรฐาน Intel EVO เรียบร้อย วางจำหน่ายในราคา 46,990 – 51,990 บาท

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กองค์กรระดับพรีเมียม ดีไซน์มีเอกลักษณ์ของ MSI
  • ผ่านมาตรฐาน Intel EVO รองรับการอัปเกรดเป็น Windows 11 ในอนาคต
  • ใช้งานได้หลายรูปแบบ จอสัมผัส รองรับ MSI Pen
  • แบตเตอรี ใช้งานต่อเนื่องได้ตลอดวัน

ข้อสังเกต

  • ตัวเครื่องค่อนข้างร้อน เวลาประมวลผลหนักๆ
  • ผิวสัมผัสตัวเครื่องสีดำด้าน แต่เป็นรอยนิ้วมือค่อนข้างง่าย
  • กล้องเว็บแคมยังเป็น 720p

ดีไซน์มีเอกลักษณ์

โน้ตบุ๊กในตระกูล Summit ของ MSI จะถูกออกแบบมาให้มีความเป็นธุรกิจสูง เน้นการใช้สีที่ดูสุขุม แฝงด้วยความกระฉับกระเฉง โดยใน Summit E13 Flip Evo ได้มีการนำสัดส่วนทองคำ หรือ Golden Ratio 1/1.618 มาปรับใช้ในหลายๆ ส่วน

เริ่มตั้งแต่การออกแบบโลโก้ของ MSI แบบใหม่ที่ใช้สัดส่วน Golden Ration อยู่แล้ว ตามด้วยสัดส่วนหน้าจอแบบ 16:10 ที่ใกล้เคียงกับ Golden Ration มากที่สุด พร้อมกระบวนการขึ้นรูปโครงเครื่อง และขัดเงาด้วย CNC ให้ความละเอียดสูงทำให้ตัวเครื่องสมบูรณ์แบบมากที่สุด

สำหรับขนาดตัวเครื่องของ MSI Summit E13 Flip Evo จะอยู่ที่ 300.2 x 222.2 x 14.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1.35 กิโลกรัม วางจำหน่ายในประเทศไทยเฉพาะสีดำ Ink Black ที่เป็นตัวเครื่องดำ ตัดกับขอบเครื่องสีทองเท่านั้น

หน้าจอเครื่องมากับขนาด 13.4 นิ้ว ความละเอียด FullHD IPS รองรับอัตราการแสดงผลที่ 60 Hz ใช้งานคู่กับ MSI Pen เพื่อจดบันทึก วาดเขียนข้อมูลต่างๆ ได้ที่ระดับความแม่นยำ 4,096 ระดับ

ที่น่าสนใจคือขอบเครื่องที่ที่ค่อนข้างบาง ส่งผลให้พื้นที่หน้าจอทั้งหมดถูกใช้งานได้อย่างน่าสนใจ ด้านบนหน้าจอจะมีทั้งกล้องเว็บแคมความละเอียด 720p มาให้ ซึ่งเป็นกล้องแบบอินฟาเรด ใช้งานร่วมกับ Windows Hello ในการปลดล็อกด้วยใบหน้าได้

ถัดลงมาในส่วนของคีย์บอร์ด MSI Summit E13 Flip Evo มากับคีย์บอร์ดขนาดมาตรฐาน โดยมีระยะปุ่มกดอยู่ที่ 1.5 มิลลิเมตร มีปุ่มลัดสำหรับสั่งงานต่างๆ ให้ครบถ้วน ส่วนแทร็กแพดที่ให้มารับสัมผัสได้เป็นอย่างดี มีขนาดใหญ่เพียงพอให้ใช้งาน

พอร์ตเชื่อมต่อเพียงพอปลอดภัย

อีกความใส่ใจของ MSI ในเครื่องระดับพรีเมียมนี้ คือการใส่พอร์ตมาให้เพียงพอกับการใช้งาน และยังคงประสิทธิภาพการเชื่อมต่อมาให้ครบ ไม่ว่าจะเป็นทางขวาที่มีทั้งพอร์ต USB 3.2 Type-A และ USB-C อีก 2 พอร์ต ที่รองรับทั้ง USB 4.0 / Display Port / Thunderbolt 4 และใช้เสียบชาร์จได้ด้วย

ทางขวามี USB-C เพิ่มให้อีกพอร์ต พร้อมกับช่องใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติม ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และปุ่มสำหรับล็อกการใช้งานเว็บแคม เพิ่มความเป็นส่วนตัวในระดับฮาร์ดแวร์ในการใช้งานกล้อง

ประกอบกับเมื่อเป็นโน้ตบุ๊กในกลุ่มองค์กรธุรกิจ MSI ได้มีการนำมาตรฐานความปลอดภัยทั้งการปกป้องข้อมูลจากการเชื่อมต่อพอร์ต USB ที่สามารถควบคุมได้จาก MSI Center ภายในมีชิปเซ็ต TPM 2.0 มาช่วยเข้ารหัสข้อมูลในระดับฮาร์ดแวร์ด้วย

นอกเหนือจากการใช้ใบหน้าปลดล็อกด้วย Windows Hello แล้ว Summit E13 Flip Evo ยังมากับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือให้ใช้งานด้วย บริเวณตัวเครื่องด้านล่างปุ่มลูกศรของคีย์บอร์ด เรียกได้ว่าให้มาครบ และปลอดภัยอย่างแน่นอน

ใช้งานได้หลายรูปแบบ

ด้วยการที่ Summit E13 Flip Evo รองรับการพับหน้าจอทำให้ผู้ใช้งานสามารถปรับรูปแบบการใช้ได้ทั้งเป็นโน้ตบุ๊กปกติ พับหน้าจอใช้งานในลักษณะของแท็บเล็ตร่วมกับ MSI Pen เพื่อใช้งานได้สะดวกแล้ว

ยังสามารถกางโน้ตบุ๊กในลักษณะของ Tent เพื่อใช้ในการรับชมคอนเทนต์ ข้อมูลต่างๆ ได้ หรืออีกรูปแบบคือการวางในลักษณะของการพรีเซ็นต์งานให้ลูกค้า ทำให้ Summit E13 Flip Evo รองรับการใช้งานถึง 4 รูปแบบด้วยกัน

สเปก และทดสอบประสิทธิภาพ

ในส่วนของสเปกภายใน MSI Summit E13 Flip Evo วางจำหน่ายด้วยกัน 2 สเปก โดยมีจุดที่แตกต่างกันคือเรื่องของซีพียู RAM และ SSD โดยรุ่นเริ่มต้น จะมากับ 11th Gen Intel Core i5 1135G7 RAM 16 GB SSD 512 GB ส่วนรุ่น Core i7 1185G7 จะให้ RAM 32 GB SSD 1 TB มาใช้งาน และสามารถอัปเกรด SSD ได้สูงสุด 2 TB

ส่วนรุ่นที่ได้รับมาทดสอบนั้น จะมีความแตกต่างจากรุ่นที่วางจำหน่ายอยู่พอสมควร ดังนั้นผลทดสอบที่เกิดขึ้นในบทความนี้ จึงมีโอกาสแตกต่างจากรุ่นที่วางจำหน่าย ซึ่งมีให้เลือก 2 สเปกตามข้อมูลด้านบน

ที่เหลือคือมาพร้อมกับกราฟิกออนบอร์ด Intel IrisXe รองรับการเชื่อมต่อทั้งบลูทูธ 5.2 WiFi 6E ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อ โดยเฉพาะในช่วงที่การทำงานเกิดขึ้นได้จากทุกสถานที่ และมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro รองรับการอัปเกรดเป็น Windows 11 ในอนาคต

ด้านแบตเตอรีมากับขนาดใหญ่ถึง 70Whr โดยทาง MSI ทดสอบสามารถใช้งานต่อเนื่องได้ราว 20 ชั่วโมง ในกรณีที่ใช้งานทั่วไป ทีมงานทดสอบใช้ทำงานโดยมีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ใช้งานได้ต่อเนื่องเกือบ 12 ชั่วโมง

กรณีที่ประมวลผลหนักๆ อย่างการเรนเดอร์ไฟล์วิดีโอ เล่นเกมความละเอียดสูงๆ ใช้งานได้ต่อเนื่องถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง เรียกได้ว่านอกจากประสิทธิภาพสูงแล้ว แบตเตอรีที่ให้มาก็เพียงพอกับการใช้งานด้วย และยังมากับระบบชาร์จเร็วจากอะเดปเตอร์ 65W ที่ให้มาด้วย

สรุป

MSI Summit E13 Flip Evo ถือว่าเป็นโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจที่น่าสนใจ เพราะรองรับการทำงานหลากหลายรูปแบบ รวมถึงใช้งานร่วมกับ MSI Pen ในการจดบันทึก หรือคอมเมนต์งาน ช่วยให้ผู้บริหารใช้งานโน้ตบุ๊กได้สะดวกมากขึ้น

ในแง่ของความปลอดภัยนอกจาก TPM 2.0 และตัวเครื่องที่รองรับ Windows Hello ปลดล็อกด้วยใบหน้า และลายนิ้วมือแล้ว ยังมีปุ่มล็อกกล้องเว็บแคมมาให้ใช้งานเพิ่มเติมด้วย ปลอดภัยในทุกๆ ส่วน และ MSI ยังมีการรับประกัน 2 ปี มาให้ด้วย

Gallery

]]>
Review : HP ProBook 635 Aero G7 โน้ตบุ๊กองค์กรขุมพลัง AMD https://cyberbiz.mgronline.com/review-hp-probook-635-aero-g7/ Wed, 24 Mar 2021 03:44:22 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34954

เอชพี (HP) เป็นอีกแบรนด์ที่หันมานำซีพียูตัวแรงจาก AMD มาใช้ในกลุ่มโน้ตบุ๊กองค์กรธุรกิจ โดยเฉพาะในซีรีส์ ProBook ที่เน้นเรื่องของดีไซน์ที่ให้ความทนทาน น้ำหนักเบา สามารถพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ได้ และมาพร้อมการเชื่อมต่อที่ครบถ้วน

HP ProBook 635 Aero จึงกลายมาเป็นรุ่นเด่นของเอชพี ที่ถูกนำเสนอแก่องค์กรธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนผ่านการทำงานของพนักงานในองค์กร ที่เริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบจากทำงานในสำนักงาน มาเป็น Work from Home หรือ Work from Anywhere ที่ให้ทั้งประสิทธิภาพในการใช้งาน ระยะเวลาการใช้งานที่ต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน เมื่อรูปแบบของการทำงานจากที่บ้านได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น เอชพี เลยมีการนำเสนอหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่จะมาเชื่อมต่อให้สามารถใช้งาน HP ProBook ร่วมกับจอขนาด 27 นิ้ว ได้ง่ายๆ ผ่านพอร์ตเชื่อมต่อเดียวคือ USB-C ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้เพิ่มเติมด้วย

ข้อดี

  • ตัวเครื่องใช้วัสดุโลหะ อะลูมิเนียม ผสมแมกนีเซียมอัลลอยด์ให้ความแข็งแรง
  • น้ำหนักเบา เริ่มต้นไม่ถึง 1 กิโลกรัม
  • รองรับการเชื่อมต่อครบถ้วน
  • ทำงานบน AMD Ryzen ที่ประมวลผลแรง และประหยัดพลังงาน

ข้อสังเกต

  • ดีไซน์ตัวเครื่องจะเป็นเหลี่ยมๆ สีเงินคลาสสิกทั่วๆ ไป
  • ขนาดเครื่องค่อนข้างหนา เนื่องจากต้องการให้พอร์ตครบที่สุด

โน้ตบุ๊กสู่การเปลี่ยนการทำงานยุคใหม่

ที่ผ่านมา เอชพี พยามนำเสนอผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจ และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่จุดที่น่าสนใจสำหรับ HP ProBook 635 Aero คือการที่เอชพี สามารถลดน้ำหนักของตัวเครื่องโน้ตบุ๊กหน้าจอ 13.3 นิ้ว ลงมาให้เหลือต่ำกว่า 1 กิโลกรัมได้

แม้ว่าจะใช้งานดีไซน์ตัวเครื่องแบบเดิมของ ProBook แต่ด้วยน้ำหนักที่เบาขึ้น จึงทำให้รุ่นนี้กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับพนักงานองค์กรธุรกิจยุคใหม่ ที่สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ จึงทำให้การมีโน้ตบุ๊กที่พกพาได้ง่าย น้ำหนักเบา จะเข้ามาตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด

HP ProBook 635 Aero มีขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 307.6 x 204.5 x 17.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 0.99 กิโลกรัม ที่ชูจุดเด่นในเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อใช้งานที่ครบถ้วน ทำให้ขนาดตัวเครื่องจะหนากว่าโน้ตบุ๊กที่มีเฉพาะพอร์ต USB-C เพียงอย่างเดียว

หน้าจอของ HP ProBook 635 Aero จะมีขนาด 13.3 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920 x 1080 พิกเซล โดยเป็นจอแบบ IPS ที่ป้องกันแสงสะท้อน โดยมีกล้องเว็บแคมความละเอียด HD 720p อยู่ขอบจอด้านบน ซึ่งในจุดนี้จะมี HP Privacy Camera ที่เป็นม่านปิดกล้องมาให้เลื่อนปิดเวลาที่ไม่ได้ใช้งานด้วย

ถัดลงมาในส่วนของคีย์บอร์ด ที่เอชพีเรียกว่าเป็น HP Premium Keyboard นั้น จะมาพร้อมกับไฟ backlit ทำให้สามารถใช้งานในที่แสงน้อยได้ รวมถึงขนาดของแป้นพิมพ์ และการรับสัมผัสต่างๆ ทำได้อย่างน่าสนใจ พิมพ์สนุก เหมาะกับการทำงานได้อย่างเต็มที่

อีกความใส่ใจในเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ทำให้ HP เพิ่มปุ่มปิดไมโครโฟนมาไว้ที่ปุ่มคำสั่งลัดบริเวณแถบบนของคีย์บอร์ดด้วย เมื่อปิดไมค์จะมีไฟแสดงสถานะสีส้มโชว์ขึ้นมา และยังมีปุ่มลัดให้ผู้ใช้สามารถเลือกตั้งสำหรับเรียกใช้งานโปรแกรมที่ใช้งานประจำได้ด้วย

ถัดลงมาในส่วนของ Clickpad รองรับการใช้งานแบบมัลติทัชแล้ว ทำให้การสั่งงานต่างๆ ทำได้ง่ายขึ้น และเพิ่มเติมในเรื่องของความปลอดภัยด้วยการใส่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาเป็นตัวเลือกให้องค์กรธุรกิจสามารถเลือกใส่เพิ่มเติมได้

สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ ทางฝั่งซ้ายจะมีพอร์ตล็อกเครื่อง Kensington ตามด้วยพอร์ต USB-A 2 พอร์ต และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ทางฝั่งขวาจะมีช่องเสียบสายชาร์จมาตรฐาน ตามด้วยพอร์ต HDMI พอร์ต USB-C ที่รองรับทั้งการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมต่างๆ และใช้เป็นพอร์ตชาร์จไฟได้ด้วย

ภายในให้แบตเตอรีขนาด 53Wh แบบ 3 เซลล์ มาพร้อมอะเดปเตอร์ชาร์จไฟขนาด 65W ทำให้สามารถชาร์จได้เต็มภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง ในขณะที่การใช้งานบนแบตเตอรีสามารถทำงานได้ต่อเนื่องมากกว่า 11 ชั่วโมง

เชื่อมต่อจอ ทำงานใช้งานในบ้าน

นอกเหนือจากการนำเสนอ HP ProBook 635 Aero G7 แล้ว อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่เปิดตัวมาพร้อมกันก็คือหน้าจอ HP E27u USB-C จุดเด่นของหน้าจอรุ่นนี้ ก็คือเป็นหน้าจอขนาด 27 นิ้ว ที่สามารถเชื่อมต่อกับพอร์ต USB-C กับโน้ตบุ๊กเพื่อใช้เสียบชาร์จ และเป็น Display Port ไปในตัว เรียกได้ว่า เพียงแค่เชื่อมต่อโน้ตบุ๊กกับ จอด้วยสาย USB-C เส้นเดียวก็พร้อมใช้งานแล้ว

ความพิเศษของจอตัวนี้อีกอย่างคือ สามารถปรับหมุนจอภาพให้ใช้งานในแนวตั้งได้ จึงเหมาะกับรูปแบบการใช้งานที่หลากหลาย ช่วยเสริมการทำงานให้สะดวกขึ้น อีกอย่างคือเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อที่ให้มาครบ ทั้งพอร์ต USB Type A 4 พอร์ต สำหรับเชื่อมต่อเมาส์ คีย์บอร์ด จนถึง Display Port อีก 2 ช่อง และ HDMI ให้เชื่อมต่อใช้งาน

ตัวเครื่องยังมาพร้อมความละเอียดหน้าจอระดับ QHD สามารถสลับใช้งานระหว่างดีไวซ์ต่างๆ ได้อย่างลื่นไหล มีระบบจ่ายไฟ Power Delivery ให้แก่โน้ตบุ๊ก ทำให้ไม่ต้องเสียบสายชาร์จโน้ตบุ๊ก ก็ใช้งานร่วมกับหน้าจอได้ ถือเป็นอุปกรณ์ที่มาช่วยให้เกิดเวิร์กสเตชันของการทำงานในบ้าน

สเปก

ด้วยการที่เป็นโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจ ทางเอชพี จึงเปิดให้สามารถปรับแต่งสเปกต่างๆ เพื่อให้นำไปใช้งานในองค์กรได้อย่างเหมาะสม โดย HP ProBook 635 Aero G7 จะมีตัวเลือกทั้ง AMD Ryzen 5 4500U และ Ryzen 7 4700U มาให้ใช้งาน พร้อมกับเลือกปรับ RAM ได้ตั้งแต่ 8 – 32 GB พื้นที่เก็บข้อมูลเริ่มต้นเป็น SSD 512 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro

อีกจุดแข็งของ HP ProBook 635 Aero คือเรื่องของการเชื่อมต่อที่มีทั้งพอร์ต USB-C รองรับการส่งข้อมูลระดับ 10 Gbps ส่วนการเชื่อมต่อไร้สายจะเป็น WiFi 6 บนชิปเซ็ต Intel AX200 มีบลูทูธ 5.0 มาให้ใช้งานเพิ่มเติม เรียกได้ว่าให้มาครบเพียงพอกับการใช้งานโน้ตบุ๊กยุคใหม่เรียบร้อย

ทดสอบประสิทธิภาพ

ด้วยการที่เป็นโน้ตบุ๊กสำหรับใช้งานในองค์กร ประสิทธิภาพของการประมวลผล และแบตเตอรี ที่สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนาน จะเป็น 2 ปัจจัยหลักที่ควรคำนึงถึง โดยใน HP ProBook 635 Aero G7 นี้ สามารถทำได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะแบตเตอรีที่ใช้ได้ยาวต่อเนื่องมากกว่า 11 ชั่วโมง

ในขณะที่การใช้งานรองรับการทำงานในสำนักงานแทบทั้งหมด รวมถึงใช้ในการคำนวนข้อมูลจาก Excel ทำ PowerPoint เพื่อพรีเซ็นต์งานได้สบายๆ ไปจนถึงในกรณีที่มีงานครอบคลุมไปยังการทำรูปภาพต่างๆ ตัวเครื่องก็สามารถรองรับการใช้งานได้

สรุป

HP ProBook 635 Aero G7 น่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กร ที่มองหาโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง น้ำหนักเบา ไปใช้พนักงานใช้งาน โดยเฉพาะในยุคที่การ Work From Anywhere กลายเป็นลักษณะการทำงานที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปแล้ว

ด้วยการที่ตัวเครื่องให้พอร์ตมาครบ รองรับการทำงานที่หลากหลาย แบตเตอรีใช้งานได้ต่อเนื่องมากกว่า 11 ชั่วโมง จึงเหมาะกับการพกพาไปใช้งานได้อย่างสบายใจ สำหรับราคาจำหน่ายของ HP ProBook 635 Aero G7 เริ่มต้นที่ 31,890 บาท – 37,990 บาท ส่วนหน้าจอ HP E27u USB-C ราคา 10,900 บาท

Gallery

]]>
Review : Microsoft Surface Pro X โน้ตบุ๊ก 2-1 พร้อมใช้ LTE บน TrueMove H https://cyberbiz.mgronline.com/review-microsoft-surface-pro-x/ Tue, 10 Nov 2020 07:01:48 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34118

ในช่วงที่องค์กรธุรกิจกำลังมองหาโน้ตบุ๊กพกพาง่าย เหมาะกับการใช้ทำงาน เพราะเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก ทำให้ทรูบิสสิเนส เข้าไปร่วมกับทาง Microsoft เป็นผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนามรายแรกในไทย เริ่มนำ Microsoft Surface สำหรับลูกค้าธุรกิจเข้ามาเริ่มทำตลาด

จุดต่างของ Surface สำหรับลูกค้าธุรกิจคือมากับ Windows 10 Pro ทำให้มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีกว่า Windows 10 Home ของผู้ใช้งานทั่วไป และมีบริการเสริมสำหรับการใช้งานธุรกิจเพิ่มเติมอย่างประกันตัวเครื่อง บริการซ่อม และให้คำปรึกษาในการใช้งานต่างๆ

ประกอบกับ Microsoft Surface Pro X ถือเป็น Surface สำหรับผู้ใช้งานมืออาชีพที่หันมาใช้หน่วยประมวลผล Microsoft SQ1 / SQ2 บนสถาปัตยกรรมแบบ ARM ที่ไมโครซอฟท์ เข้าไปร่วมพัฒนากับ Qualcomm มาพร้อมโมเด็มทำให้สามารถเชื่อมต่อ LTE ได้ทันที

ข้อดี

  • ดีไซน์เรียบหรู เหมาะกับพกพาใช้งาน
  • รองรับการเชื่อมต่อ LTE
  • คีย์บอร์ดพิมพ์สนุกมือ ใช้งานง่าย

ข้อสังเกต

  • ข้อจำกัดในการใช้งานบางโปรแกรม
  • แบตเตอรี เวลาประมวลผลหนักๆ จะหมดค่อนข้างเร็ว
  • พอร์ตเชื่อมต่อค่อนข้างจำกัด (USB-C 2 พอร์ต)

เน้นพกพาใช้งานได้ทุกที่

Microsoft Surface Pro X ถือเป็นซีรีส์ใหม่ในตระกูล Surface ของไมโครซอฟท์ ที่ต้องการควบคุมประสบการณ์ใช้งานแก่ผู้ใช้ให้ดีที่สุด ด้วยการเข้าไปร่วมกับทางผู้ผลิตชิปเซ็ตอย่าง Qualcomm ร่วมกันผลิตชิปเซ็ต Microsoft SQ1 ขึ้นมาใช้งาน

โดย Microsoft SQ1 เป็นหน่วยประมวลผลที่พัฒนาขึ้นบนสถาปัตยกรรมแบบ ARM ทำให้สามารถประหยัดพลังงานได้มากขึ้น และสามารถฝังโมเด็มเข้าไปเพื่อให้ตัวเครื่องสามารถใส่ซิมการ์ดเข้าไป ใช้งาน 4G LTE ได้ทันที ไม่ต้องพึ่งพาเครือข่าย Wi-Fi เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากระบบปฏิบัติการ Windows นั้นแรกเริ่มเดิมทีพัฒนาขึ้นมาใช้งานกับหน่วยประมวลผลบนสถาปัตยกรรมแบบ x86 (32 บิต) และ x64 (64 บิต) ทำให้เมื่อเปลี่ยนมาใช้งาน ARM โปรแกรมหลายๆ อย่างที่พัฒนาขึ้นบน สถาปัตยกรรมแบบเดิม จะยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์

ยกเว้นโปรแกรมหลักๆ จาก Microsoft ที่มีการพัฒนาเพิ่มเติมให้สามารถทำงานบน ARM ได้สมบูรณ์แบบแล้ว โดยเฉพาะ Microsoft Office ที่มีความโดดเด่นในแง่ของการทำงานทั้ง Microsoft Word PowerPoint Excel รวมถึง OneNote ด้วย

รวมถึงอีกหลายๆ โปรแกรมที่โหลดใช้งานได้จาก Microsoft Store ทำให้โดยรวมแล้วสามารถใช้งานได้ไม่แตกต่างจากโน้ตบุ๊กทั่วไป แต่ถ้ามีการใช้งานโปรแกรมเฉพาะทางอาจจะต้องลองทดสอบใช้งานดูก่อนว่า สามารถรันใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

หรือในกรณีที่ใช้งานผ่านระบบคลาวด์ ผ่านหน้าเว็บไซต์ เบราว์เซอร์อย่าง Microsoft EDGE ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่นี้ มีความรวดเร็วในการใช้งานดีขึ้นอย่างชัดเจน ก็จะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดในการใช้งานหลายๆ อย่างได้ด้วย

แบตเตอรีกลายเป็นอีกจุดที่ทำให้ Surface Pro X น่าสนใจ เพราะในการใช้งานบนหน่วยประมวลผล Microsoft SQ1 นั้นจะช่วยประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม ทำให้แม้จะมีการเชื่อมต่อกับ 4G LTE ใช้งานไปด้วย ก็สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 11 ชั่วโมง

เหมาะกับองค์ธุรกิจที่หาดีไวซ์ตอบโจทย์

กลับมาที่การทำตลาดของ Microsoft Surface ซึ่งไมโครซอฟท์ เข้าไปร่วมกับทางทรู บิสสิเนส เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าองค์กรธุรกิจ ดังนั้นองค์กรธุรกิจที่สนใจ สามารถเข้าไปปรึกษากับทางทรู บิสสิเนส ได้ว่า ในแต่ละองค์กรเหมาะกับการนำ Microsoft Surface รุ่นไหนไปใช้งาน

หนึ่งในนั้นก็คือ Microsoft Surface Pro X รุ่นนี้ ที่จะแตกต่างจากโมเดลที่ขายให้แก่ผู้บริโภคทั่วไปตรงที่ ตามปกติจะมากับ Windows 10 Home แต่สำหรับลูกค้าองค์กรธุรกิจจะเป็น Windows 10 Pro แทน ซึ่งจะได้ในเรื่องของความปลอดภัยในการใช้งานที่มากขึ้น

เนื่องจากองค์กรธุรกิจนั้นต้องระมัดระวังในแง่ของการเก็บช้อมูล ให้ปลอดภัยมากที่สุด เมื่อใช้งานร่วมกับ Windows 10 Pro ก็จะได้ระบบรักษาความปลอดภัยอย่าง Windows Hello ที่สามารถทำงานร่วมกับกล้องวิดีโอคอลล์ เพื่อใช้ปลดล็อกเครื่องด้วยใบหน้าได้ด้วย

ปัจจุบัน Microsoft Surface Pro X วางจำหน่ายด้วยกัน 4 รุ่นหลักด้วยกัน คือ รุ่นที่มากับชิปเซ็ต Microsoft SQ1 RAM 8 GB SSD 128 GB / 8 GB SSD 256 GB / Microsoft SQ2 RAM 16 GB SSD 256 GB และ RAM 16 GB SSD 512 GB ในราคาเริ่มต้นเดือนละ 2,799 บาท

สำหรับลูกค้าทรูบิสิเนส จะได้รับบริการอย่างให้คำปรึกษาในการเลือกซื้อรุ่นที่เหมาะสม พร้อมแพ็กเกจใช้งานได้ทันที และรับประกันเครื่องนาน 3 ปี และบริการหลังการขายจากทรูบิสสิเนสเพิ่มเติม

การออกแบบ

Microsoft Surface Pro X ออกแบบมาเป็นโน้ตบุ๊กในลักษณะของแท็บเล็ต 2-1 ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Signature Keyboard ที่มีช่องลสำหรับเก็บปากกา Surface Slim Pen เพื่อให้พกพาใช้งานได้สะดวกขึ้น

หน้าจอ Surface Pro X มากับจอ PixelSense ขนาด 13 นิ้ว ความละเอียด 2880 x 1920 พิกเซล ความละเอียดเม็ดสีอยู่ที่ 267 ppi อัตราส่วนหน้าจอแบบ 3:2 รองรับการสัมผัส 10 จุด โดยมีดีไซน์ขอบจอบาง

ตัวเครื่องทำจากอะลูมิเนียม มีให้เลือก 2 สี คือ สีดำด้าน และสีเงินแพลตินัม ขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ 287 x 208 x 7.3 มิลลิเมตร นำ้หนัก เฉพาะหน้าจออยู่ที่ราว 774 กรัม เมื่อร่วมกับคีย์บอร์ด และปากา ก็จะอยู่ที่ราว 1 กิโลกรัม

รอบตัวเครื่องจะมีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิด/ปิดเครื่องอยู่ด้านบน ด้านซ้าย มีพอร์ต USB-C 2 ช่อง เท่านั้น ส่วนทางขวาเป็น Surface Connect สำหรับเสียบสายชาร์จ

ด้านหลังตัวเครื่อง ถือเป็นจุดเด่นของ Surface Pro X ก็คือขาตั้ง Kickstand ที่สามารถปรับเปลี่ยนมุมมองในการใช้งานได้หลากหลาย เหมาะกับทั้งใช้เป็นโน้ตบุ๊ก หรือเป็นแท็บเล็ตเพื่อจดบันทึกข้อมูลก็ได้

ใต้ขาตั้ง Kickstand บริเวณมุมเครื่อง จะมีช่องใส่ซิมการ์ดแบบนาโนซิมอยู่ ในกรณีที่ซื้อเครื่องใช้งานกับทางทรูบิสสิเนส ก็จะมีซิม 4G LTE ของ TruemoveH มาให้ใช้งานพร้อมแพ็กเกจด้วย

 

อีกความพิเศษที่จะเปลี่ยนให้ Surface Pro X ทำงานได้ไม่ต่างจากโน้ตบุ๊กทั่วไปก็คือ Signature Keyboard ที่มีความพิเศษตรงสามารถปรับองศาการพิมพ์ได้ คือการยกองศาขึ้นมาเล็กน้อย หรือวางให้แบนราบไปกับพื้นก็ได้

ในช่วงที่ใช้งาน Signature Keyboard แบบยกองศาขึ้นมานั้น จะเป็นการซ่อนช่องเก็บปากกา Surface Slim Pen ไปด้วย ถ้าต้องการใช้งานปากกาก็แค่ปรับมุมคีย์บอร์ดออกมาเป็นแนวราบนั่นเอง

สรุป

องค์กรธุรกิจที่กำลังมองหาโน้ตบุ๊กให้พนักงาน หรือผู้บริหารใช้งาน โดยเฉพาะในยุคที่การทำงานสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ Microsoft Surface Pro X พร้อมกับบริการให้คำปรึกษาจาก TrueMove H น่าจะเข้ามาช่วยหาโซลูชันที่ตอบโจทย์ได้ไม่ยาก

อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก Surface Pro X เป็นการนำซีพียูรุ่นใหม่ที่ทาง Microsoft ผลิตขึ้นมาบนสถาปัตยกรรมแบบใหม่ อาจทำให้โปรแกรมเดิมที่เคยใช้งานบน Windows 10 ได้ อาจจะไม่สามารถใช้งานบน Pro X ได้ ซึ่งแนะนำให้ตรวจสอบให้ดีก่อนเลือกซื้อมาใช้งาน

Gallery

]]>