ฟิตบิท – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Fri, 20 Dec 2019 09:56:56 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Fitbit Versa 2 สมาร์ทวอทช์สายสุขภาพ https://cyberbiz.mgronline.com/review-fitbit-versa-2/ Fri, 20 Dec 2019 09:53:44 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=31830

ในกลุ่มอุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพ ชื่อของ Fitbit กลายเป็นแบรนด์ที่หลายคนนึกถึงทันที หลังจากเริ่มทำตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Wearable Device มาสักพัก และเห็นถึงการพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมทั้งอีโคซิสเตมส์ให้เติบโตไปด้วยกัน

จุดเด่นหลักของ Fitbit จริงๆ แล้วไม่ได้อยู่ที่ดีไวซ์ หรือเฉพาะตัวอุปกรณ์สวมใส่เท่านั้น แต่ที่ทุกคนให้การยอมรับคือเรื่องของแอปพลิเคชันที่นำข้อมูลไปซิงค์ และแสดงผลออกมา พร้อมกับการนำข้อมูลไปวิเคราะห์ เพื่อช่วยกระตุ้นให้ผู้ใช้ออกกำลังกาย หรือรักษาาสุขภาพต่างๆ มากขึ้น

Fitbit Versa 2 จึงเหมือนเป็นอุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นมาไว้ใช้เพื่อเก็บข้อมูลสุขภาพของผู้ใช้ ไปพร้อมๆ กับการเป็นสมาร์ทวอทช์ที่ทำหน้าที่ได้หลากหลายมากขึ้น นอกเหนือจากการแสดงเวลา วัดก้าว และวัดนอน ที่เป็นเรื่องปกติของสินค้าในกลุ่มนี้

ข้อดี

สมาร์ทวอชท์เก็บข้อมูลสุขภาพ พร้อมแอปช่วยวิเคราะห์ข้อมูล

น้ำหนักเบา ใส่นอนได้

แบตเตอรี่ใช้งานได้ต่อเนื่องทั้งสัปดาห์

ข้อสังเกต

ยังไม่รองรับภาษาไทย

ราคาสูงกว่า Apple Watch 3 รวมถึงสมาร์ทวอทช์ Android หลายๆ รุ่น

ยิ่งใส่ ยิ่งเก็บข้อมูล ยิ่งสุขภาพดี

ข้อมูลหลักที่ Fitbit เลือกมาใช้นำเสนอร่วมกับการจำหน่าย Versa 2 คือเรื่องของการนอน ที่นำข้อมูลมาแสดงให้เห็นว่าปัจจุบันสุขภาพของหลากหลายบุคคลกำลังเสียนไปจากการที่พักผ่อนไม่เพียงพอ ขณะเดียวกัน ถ้ามีอุปกรณ์ที่มาช่วยวัดเพื่อปรับให้การนอนทำได้เต็มที่มากขึ้น ก็จะช่วยทำให้สุขภาพของผู้ใช้งานดีขึ้นเช่นกัน

การเลือกนำเสนอการวัดนอนนี้ ถือเป็นหนึ่งในจุดเด่นของ Fitbit ก็ว่าได้ เพราะคู่แข่งรายใหญ่ในตลาดนี้อย่าง Apple Watch ยังไม่มีอุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาสำหรับใส่นอนโดยเฉพาะ จากข้อจำกัดในเรื่องของแบตเตอรีที่ต้องชาร์จเกือบทุกวัน แต่ Fitbit สามารถใส่นอนได้ ด้วยแบตเตอรีที่สามารถใช้งานได้ทั้งสัปดาห์

พร้อมกับพัฒนาระบบที่มาวิเคราะห์การนอนออกมาเป็นคะแนน เพื่อให้ผู้ใช้ได้มีการพัฒนาการนอนให้ดียิ่งขึ้น และเมื่อตัวเครื่องถูกตั้งให้อยู่ในโหมดวัดนอนแล้ว จะตัดการแจ้งเตือน ไฟสถานะต่างๆ เมื่อพลิกตัวออก เพื่อป้องกันไม่ให้ Versa 2 ไปรบกวนช่วงเวลานอนของผู้ใช้งาน

ด้วยเหตุนี้ Versa 2 จึงกลายเป็นสมาร์ทวอชท์ที่ Fitbit เลือกนำเสนอมาใช้เพื่อวัดนอน ในขณะที่รายอื่นทำไม่ได้ (ไม่นับพวกสายรัดข้อมือสุขภาพที่ทุกแบรนด์วัดนอนได้อยู่แล้ว) มาเป็นจุดขายหลัก คู่กับการทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟน ในเรื่องของการแจ้งเตือนข้อมูล และควบคุมการสั่งงานบางส่วน

อย่างการควบคุมเครื่องเล่นเพลง คู่กับสมาร์ทโฟน ทำให้สามารถสั่งเล่นเพลง หยุดเพลง เปลี่ยนเพลง ได้ทันที โดยไม่ต้องหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา หรือการอ่านข้อมูลการแจ้งเตือนที่เด้งเข้ามา แต่ในจุดนี้ก็ยังน่าเสียดายที่ไม่รองรับภาษาไทย ทำให้การแสดงผลยังไม่สมบูรณ์มากนัก

ส่วนเรื่องการออกกำลังกาย Versa 2 สามารถทำงานคู่กับสมาร์ทโฟนเพื่อวัดการออกกำลังได้ตามปกติ โดยเลือกสั่งงานได้จากทั้งบน Versa 2 หรือจะกดบันทึกผ่านสมาร์ทโฟนก็ได้ นอกจากนี้ Fitbit ยังฉลาดที่จะคอยบันทึกกิจกรรมต่างๆ แบบอัตโนมัติเมื่อตรวจพบการเคลื่อนไหว ในลักษณะออกกำลังกายได้

ข้อมูลต่างๆ ที่ถูกบันทึกไว้จะเก็บอยู่ภายในแอปพลิเคชัน Fitbit เพื่อให้ผู้ใช้เข้าไปย้อนดูได้ หรือจะซิงค์ข้อมูลสุขภาพเหล่านี้ไปเก็บไว้ในแอปพลิเคชัน 3rd Party อย่างสายวิ่ง หรือปั่น ที่นิยมใช้ Strava ในการเก็บสถิติ หรือเก็บข้อมูลไว้กับระบบปฏิบัติการที่ใช้งานอย่าง Google Fit หรือ Apple Health ได้ด้วย

ทั้งนี้ ข้อมูลสุขภาพที่จัดเก็บจะมีทั้งข้อมูลพื้นฐานทั่วไป อย่างในแต่ละวันเดินกี่ก้าว ขึ้นลงบันไดกี่ชั้น ระยะทางเดินเท่าไหร่ ปริมาณแคลอรี่ที่เผาหลาน ระยะเวลาที่ออกกำลัง อัตราการเต้นของหัวใจ และลึกลงไปถึงข้อมูลการออกกำลังกาย อย่างเส้นทาง ความเร็ว จนถึงการวัดระยะเวลาในการนอน ว่านอนหลับสนิท หลับตื้น เพราะทุกอย่างมีผลกับสุขภาพทั้งสิน

ความพิเศษของ Fitbit คือการเพิ่มความพรีเมียมให้แก่ลูกค้าที่ใช้งาน สามารถเข้าไปเลือกดูโปรแกรม สำหรับออกกำลัง หรือเลือกที่จะท้าทายกับเพื่อนในกลุ่มเพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการออกกำลังกายมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้สุขภาพของผู้ใช้ดีขึ้นทั้งหมด

ปรับให้แฟชันมากขึ้น

อีกส่วนที่ Versa 2 มีการปรับปรุงจากรุ่นแรก คือเรื่องของดีไซน์ ที่ทำให้ดูน่าใส่ใช้งานมากขึ้น หรือในอีกมุมหนึ่งก็ทำให้คล้ายกับ Apple Watch ที่กลายเป็นสมาร์ทวอทช์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลกเวลานี้ ในระดับราคาที่ต่ำกว่าเพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้าได้ใช้งาน

ขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกพรีเมียมมากขึ้นด้วยการเพิ่มสายสปอร์ต สายผ้า มาให้เลือกใช้งาน โดยขนาดของ Versa 2 จะมีทั้ง Small ซึ่งมีเส้นรอบวงอยู่ที่ 140-180 มิลลิเมตร Large อยู่ที่ 180 – 220 มิลลิเมตร ซึ่งจะแถมสายมาให้เปลี่ยนอยู่ภายในกล่อง ส่วนตัวเรือนจะเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสมีขนาดอยู่ที่ 25.07 มิลลิเมตร

ส่วนฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Versa 2 ก็จะมีอย่าง Fitbit Pay ที่ปัจจุบันเปิดให้ผู้ใช้สามารถผูกบัตรเดบิต และบัตรเครดิต ผูกเข้ากับนาฬิกา ทำให้สามารถใช้แตะเพื่อชำระค่าบริการได้ ซึ่งปัจจุบันก็เริ่มมีร้านค้าที่รับชำระเพิ่มมากขึ้นแล้ว

ถัดมาในส่วนของการออกกำลัง Versa 2 กันน้ำได้ 50 เมตร ทำให้สามารถใส่เพื่อเก็บรายละเอียดในการออกกำลังอย่างว่ายน้ำเพิ่มเติมได้ ส่วนกรณีที่เป็นสุภาพสตรี จะมีระบบอย่างการวัดรอบเดือนเพิ่มเข้ามาให้ใช้งานกันด้วย

ส่วนแบตเตอรีสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องกว่าสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับรูปแบบกิจกรรมที่ใช้งาน อย่างถ้าออกกำลังบ่อย มีการใช้วัดอัตราการเต้นของหัวใจเป็นประจำ พร้อมเก็บข้อมูลออกกำลังต่างๆ ก็จะทำให้ระยะเวลาใช้งานลดง

สรุป

ในภาพรวมของการเป็นนาฬิกาสมาร์ทวอทช์ เชื่อว่า Fitbit Versa 2 สามารถตอบโจทย์ใช้งานได้ครบ โดยเฉพาะการวัดสุขภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นก้าวเดิน การนอน ออกกำลังกาย รวมถึงการแจ้งเตือนคู่กับสมาร์ทโฟนเพื่อให้สะดวกขึ้น

แต่ข้อเสียสำคัญที่สุดของ Versa 2 และเป็นข้อเสียของ Fitbit แทบทุกรุ่นที่ผ่านมาคือยังไม่รองรับภาษาไทย ซึ่งทำให้ใครที่ใช้การสื่อสาร หรือข้อความแจ้งเตือนเป็นภาษาไทยก็จะไม่สามารถอ่านผ่านนาฬิกาที่ข้อมือได้เหมือนเดิม

ทั้งนี้ Fitbit Versa 2 วางจำหน่ายในราคา 7,990 บาท

Gallery

]]>
Review : Fitbit Versa Lite Edition ที่ “Lite สมชื่อ” https://cyberbiz.mgronline.com/review-fitbit-versa-lite-edition/ Mon, 03 Jun 2019 04:10:45 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=30776  

สมาร์ทวอตช์ Fitbit Versa Lite Edition วางจุดขายไว้ที่ราคาจับต้องได้ บนจอแสดงผลสีสะดุดตาในบอดี้หรูอะลูมิเนียม ตัวสายเป็นซิลิโคนน้ำหนักเบาที่ใส่สบายแม้จะสวมไว้นานเมื่อทำกิจกรรมจนมีเหงื่อซึม แบตเตอรี่จุใจใช้ต่อเนื่องเกิน 4 วันแบบไม่ได้โม้

ข้อดี

– จอแสดงผลสว่างสดใส
– การออกแบบดี ใช้งานสะดวกสบาย
– อายุแบตเตอรี่ต่อเนื่อง 4-5 วัน
– ราคาประหยัดกว่ารุ่นท็อป

ข้อสังเกต

– ไม่มีระบบนับชั้นเมื่อเดินขึ้นบันได
– ไม่มี GPS

Fitbit เริ่มเปิดตัว Fitbit Flex ในปี 2013 ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา Fitbit สามารถพิสูจน์ได้ว่าสมาร์ทวอตช์จับสถิติร่างกายเพื่อการออกกำลังนั้นไม่ได้เป็นแค่แฟชั่นชั่วคราวที่มาแล้วก็ไป ซึ่งเมื่อ Apple เห็นโอกาสงามและเปิดตัว Apple Watch ในเดือนเมษายน 2015 แบรนด์อย่าง Fitbit ที่มุ่งเน้นผลิตสายรัดข้อมือติดตามข้อมูลฟิตเนสเป็นหลักมาก่อน ก็หันมาเปิดตัวสมาร์ทวอทช์ครั้งแรกด้วยการประเดิมรุ่น Fitbit Ionic ในช่วงปลายปี 2017

ตั้งแต่นั้น กองทัพสมาร์ทวอตช์ของหลายแบรนด์ก็เริ่มเปิดตลาดในราคาไม่ธรรมดา แต่ในปีนี้ โลกได้รู้จัก “Fitbit Versa Lite” ที่เปิดตัวพร้อมกับ Fitbit Inspire HR ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เรียกความสนใจได้มากเพราะนี่คือสมาร์ตวอทช์ที่มีเป้าหมายเข้าถึงลูกค้ามากขึ้นในราคาที่ถูกกว่า

Fitbit Versa Lite รุ่นใหม่มีราคาอยู่ที่ 6,690 บาท และไม่ใช่ทายาทที่ต่อยอดจาก Fitbit Versa ที่เปิดตลาดไปเมื่อปีที่แล้ว เพราะ Versa Lite เป็นรุ่นที่เน้นรวมทุกคุณสมบัติของสมาร์ทวอตช์รุ่นใหญ่ มาจัดใหม่ในราคาที่ถูกลง สิ่งที่ต้องแลกเพื่อให้ได้ราคาที่สบายกระเป๋ากว่าคือการไม่มี GPS และการตัดเซ็นเซอร์บางอย่างออกไปจนทำให้ไม่สามารถนับชั้นเมื่อผู้ใช้เดินขึ้นบันได แต่จะสามารถนับได้เฉพาะจำนวนก้าวที่เดินเท่านั้น

แทบไม่ต่าง Apple Watch

แม้จะมีราคาประหยัดกว่า แต่ Versa Lite ถูกออกแบบมาในพิมพ์เดียวกันกับ Fitbit Versa และ Versa Special Edition โดยใช้หน้าจอ LCD สี่เหลี่ยมจัตุรัส เมื่อนำมาเทียบกับ Apple Watch สายสีขาว จะพบว่าถอดแบบเหมือนพี่น้องคลอดตามกันมา

หากเทียบ Versa Lite และ Fitbit Versa พบว่าปุ่มที่เครื่องต่างกันโดย Fitbit Versa จะมี 2 ปุ่มอยู่ทางด้านขวาของเครื่อง แต่ใน Fitbit Versa Lite มาพร้อมกับปุ่มทางซ้ายเพียงปุ่มเดียว โดยรูปแบบการทำงานของปุ่ม Versa Lite ยังต่างจากปุ่มที่อยู่ใน Fitbit Versa ด้วย เพราะสามารถใช้เพื่อนำทางกลับไปที่หน้าจอหรือเพื่อให้เข้าสู่โหมดสลีปเท่านั้น แต่ปุ่มใน Fitbit Versa สามารถใช้คู่กับแอปพลิเคชันได้

ด้านหลังของ Versa Lite นั้อุดมด้วยเซ็นเซอร์หลายตัว ทั้งเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ เซ็นเซอร์ SpO2 และเซ็นเซอร์วัดแสงรอบข้าง อย่างไรก็ตาม Versa Lite ต่างจาก Versa และ Versa Special Edition ที่ไม่ได้มาพร้อมกับเซ็นเซอร์วัดความสูงเหมือนในสมาร์ทว็อตช์รุ่นอื่น

จอแสดงผลเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่จะชี้เป็นชี้ตายว่าสมาร์ทวอตช์รุ่นใดน่าสนใจหรือไม่ โชคดีที่ Versa Lite สามารถตอบโจทย์ได้ดี เพราะ Fitbit Versa Lite มีหน้าจอ LCD ขนาด 1.34 นิ้ว เคลือบด้วยกระจกกันกระแทก Corning Gorilla Glass 3 ความสว่าง 1,000 nits ทำให้จอแสดงผลของ Versa Lite สู้แสงอาทิตย์สดใสของกรุงเทพมหานครได้ดีมาก

แจ้งเตือนไม่ได้?

ตามปกติ Versa Lite จะสามารถแสดงการแจ้งเตือนเพื่อรับข้อความจากโทรศัพท์ แต่กรณีของรุ่นที่ได้มาทดสอบ พบว่าแม้จะพยายามรีสตาร์ทเครื่องกี่ครั้งเพื่อเชื่อมต่อระบบแจ้งเตือน ก็ยังมีปัญหาไม่สามารถรับข้อมูลแจ้งเตือนได้ จุดนี้ถือเป็นปัญหาเดียวกับสมาร์ทวอตช์บางรุ่นที่ถูกปิดกั้นจากสมาร์ทโฟนเฉพาะรุ่น ซึ่งปัญหานี้ถูกรายงานในหลายประเทศทีเดียว

ชาว Versa Lite สามารถปัดหน้าจอขึ้นเพื่อตรวจสอบสถิติรายวัน ทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ, จำนวนก้าว, ชั่วโมงนอนหลับ และรายงานรายสัปดาห์ หากวาดหน้าจอไปทางซ้าย ระบบจะเปิดโหมดออกกำลังกาย, นาฬิกาปลุก ระบบผ่อนคลาย Relaxing และการตั้งค่า หากกดปุ่มด้านซ้ายของเครื่องค้างไว้ จะทำให้สามารถเข้าถึงส่วนควบคุมเพลง และการควบคุมการแจ้งเตือนได้ ทั้งหมดนี้ถือว่าตั้งค่าง่ายและละเอียดดี

จุดเด่นของ Versa Lite ยังอยู่ที่คุณสมบัติกันน้ำ โดยผู้ใช้สามารถสวมใส่ในห้องอาบน้ำหรือในสระว่ายน้ำที่มีความลึกสูงสุด 50 เมตร จุดที่ Versa Lite ไม่ต่างจากสายรัดข้อมือสุขภาพทั่วไปคือ Versa Lite มีการแจ้งเตือนกิจกรรมรายชั่วโมง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายรายวันที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เอกลักษณ์ที่ Fitbit จัดให้ในสินค้าแทบทุกรุ่นคือการฝึกหายใจผ่านฟีเจอร์ Relaxing ที่ช่วยให้ผ่อนคลายด้วยการหายใจเข้าออกลึกราว 2 หรือ 5 นาที

การตั้งค่าการเตือนทำได้สูงสุด 8 รายการ เท่ากับระบบจับเวลาที่ตั้งได้ 8 รายการเช่นกัน ผู้ใช้ Versa Lite สามารถใช้รับสาย และติดตามสถิติการออกกำลังกายทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ ระดับการออกกำลังกายแบบ cardio การนับจำนวนก้าว จำนวนแคลอรี่ทั้งหมดที่เผาผลาญ รอบการนอนหลับ และสรุปการออกกำลังกายประจำสัปดาห์ ซึ่งจะมีส่งสรุปให้ทางอีเมลด้วย

ระยะเวลาในการชาร์จ Versa Lite จาก 0 เป็น 100 เปอร์เซ็นต์ ทำได้ในเวลาราว 2 ชั่วโมง ตรงนี้ต้องปรบมือให้ Versa Lite เพราะเป็นสมาร์ทวอตช์แบตเตอรี่อึดที่ใช้งานต่อเนื่องได้เกิน 5 วัน มากกว่าที่ Fitbit เคลมไว้ว่าอายุการใช้งานแบตเตอรี่ต่อเนื่อง 4 วัน ผลคือผู้ใช้สามารถใส่ได้ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ต้องกลัวว่าแบตเตอรี่จะหมดในตอนเช้า ซึ่งแม้แบตเตอรี่จะเหลือเพียง 15 เปอร์เซ็นต์ก็ยังใช้งานได้อีกหลายชั่วโมง

ฟันธงว่าคุ้มไหม?

ต้องบอกว่า Fitbit Versa Lite เป็นสมาร์ทวอตช์น่าสนใจมากสำหรับผู้ที่กำลังมองหาอุปกรณ์ที่จะมาแทนนาฬิกาข้อมือและอุปกรณ์ออกกำลังกาย แต่ต้องยอมรับว่าราคาที่ไม่แพงนั้นแลกมาด้วยข้อจำกัด เพราะแม้จะสามารถตรวจสอบข้อความบน Versa Lite แต่ก็จะไม่สามารถตอบกลับข้อความเหล่านั้นได้แบบไร้อุปกรณ์เสริม ขณะที่แม้จะสามารถควบคุมการเล่นเพลงบนสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่ออยู่ แต่ไม่สามารถเล่นได้เอง รวมถึงความสามารถนับขั้นบันไดที่นับจำนวนชั้นไม่ได้

ด้วยราคานี้ Versa Lite จะไม่มี GPS ออนบอร์ด ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ไม่สามารถทิ้งโทรศัพท์แล้วออกไปจ็อกกิ้งได้เต็มที่ตามที่ต้องการ นอกจากนี้ Versa Lite กำหนดให้ผู้ใช้ต้องเลือกโหมดการออกกำลังกายทีละโหมด ซึ่งแปลว่าหากใครตัดสินใจเดิน 15 นาทีสลับกับวิ่งต่ออีก 15 นาทีแล้วจึงขี่จักรยานอีก 30 นาที ใครคนนั้นจะต้องเลือกโหมดด้วยตัวเอง ยุ่งยากและใช้เวลานานยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสมาร์ทวอตช์รุ่นท็อป

แต่ถ้าหากทุกอย่างไม่ใช่เรื่องใหญ่ Versa Lite ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้เริ่มใช้สมาร์ทวอตช์ เพราะตัวแอปและระบบรอบด้านนั้น Fitbit ออกแบบมาได้ดีมาก แม้แต่หากแบตเตอรี่กำลังจะหมด ระบบยังส่งอีเมลมาเตือนให้ชาร์จแบตเตอรี่โดยเร็ว ซึ่งเป็นการติดต่อจากอุปกรณ์ที่ถือว่าใส่ใจมากทีเดียว.

]]>
Review : Fitbit Charge 3 ชาร์จรอบเดียวใช้ได้ 7 วัน https://cyberbiz.mgronline.com/review-fitbit-charge-3/ Mon, 03 Dec 2018 06:42:17 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29797  

ถัดจาก Fitbit Charge 2 ที่เพิ่มเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจแล้วทำตลาดช่วงปี 2016 วันนี้ถึงคิว Fitbit Charge 3 ที่ปรับดีไซน์ใหม่ให้บางลง แลดูหรูพรีเมียมมากขึ้นกว่าเดิม จุดเด่นคือ Fitbit Charge 3 ใส่แล้วเบาเพราะตัวเรือนอะลูมิเนียมที่ Fitbit ระบุว่าใช้เทคโนโลยีอากาศยานให้น้ำหนักเบาขึ้น ขณะเดียวกันก็ใช้จอทัชสกรีนกระจก Gorilla Glass 3 ทนต่อรอยขีดข่วน

ความใหม่ของ Fitbit Charge 3 ยังอยู่ที่ฟีเจอร์เพื่อสุขภาพและการออกกำลังกาย ที่ผู้ใช้เลือกได้ตามชนิดกีฬา นอกจากนี้ยังรองรับระบบชำระเงิน Fitbit Pay ทั้งหมดนี้ใช้งานได้เต็มที่เพราะแบตเตอรี
อึดทนยาวนาน 7 วันหลังจากชาร์จเต็ม 100%

การออกแบบ

จากที่เคยหนา Charge 3 ถูกปรับให้บางกว่าเดิมโดยที่จอแสดงผลยังคงกว้างพอแสดงรายละเอียดสำคัญ มีให้เลือก 2 ขนาด คือ Small สำหรับขนาดข้อมือ 5.5 – 7.1 นิ้ว และ Large 7.0 – 8.7 นิ้ว เส้นทแยงมุมหน้าจอ 1.57 นิ้ว ขนาดจอ 0.78×1.36 นิ้ว

เช่นเดียวกับ Charge 2 ด้านหลังตัวเรือน Charge 3 จะมีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ตรงกลาง และมีส่วนสำหรับชาร์จและชิงค์ข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ผ่านสายยูเอสบี การชาร์จทำได้ง่ายเพราะจะชาร์จทันทีที่เชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์แล้วลงล็อกพอดี สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนสาย สามารถพลิกด้านหลังตัวเรือนเพื่อปลดล็อกสายออกจากเครื่องได้ง่าย จุดนี้ต้องชื่นชมเพราะการถอดสายทำได้ง่ายกว่าคู่แข่งรุ่นราคาระดับเดียวกันอย่าง Gear Fit Pro 2

สเปก

Fitbit Charge 3 ใช้เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ระบบตรวจจับการเคลื่อนไหว (3-axis accelerometer) ระบบวัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบออปติคอล เครื่องวัดระดับความสูง (Altimeter) และมอเตอร์ระบบสั่น มีเซ็นเซอร์ตรวจวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดสัมพัทธ์ SpO2 และรองรับ NFC (เฉพาะรุ่นพิเศษ) ใช้หน้าจอสัมผัส OLED ขาวดำ

หลังจากชาร์จประมาณ 2 ชั่วโมง Fitbit Charge 3 มีอายุใช้งานแบตเตอรี่ได้ต่อเนื่อง 7 วัน ตัวเครื่องสามารถบันทึกข้อมูลเคลื่อนไหวได้ละเอียดตลอดสัปดาห์ 7 วันแบบนาทีต่อนาที สามารถบันทึกผลสรุปรายวันในรอบ 1 เดือน

จากข้อมูล พบว่า Fitbit Charge 3 สามารถกันน้ำได้ลึก 50 เมตร แต่หลังจากว่ายน้ำหรือกิจกรรมที่ทำให้ Charge 3 เปียก Fitbit ย้ำว่าควรเช็ด Charge 3 ให้แห้ง และไม่แนะนำให้สวมใส่ Charge 3 ในอ่างน้ำร้อนหรือซาวน่า

Fitbit Charge 3 รองรับ Bluetooth 4.0 ตัวเครื่องสามารถซิงค์อัตโนมัติกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ iOS, Android และ Windows โดย Charge 3 จะยังซิงค์ได้เมื่อห่างจากอุปกรณ์ที่ติดตั้งแอปพลิเคชันรัศมี 20 ฟุต 

ฟีเจอร์เด่น

Fitbit Charge 3 ถือเป็นฟิตเนสแทรคเกอร์ที่ฉลาดและครบเครื่อง เพราะมีเซ็นเซอร์ตรวจวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดสัมพัทธ์ SpO2 มาใส่ไว้ในแทรคเกอร์เป็นครั้งแรก เมื่อรวมกับเซ็นเซอร์วัดการเต้นหัวใจ โหมดออกกำลังกายใน Fitbit Charge 3 จึงทำงานได้อย่างเหนียวแน่น

Charge 3 เปิดให้ผู้ใช้เลือกโหมดออกกำลังกายได้มากกว่า 15 โหมด เช่น หากเลือกโหมดว่ายน้ำ ก็จะมีแดชบอร์ดข้อมูลสุขภาพที่เข้ากับกิจกรรมว่ายน้ำโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีการติดตามสุขภาพสำหรับสุภาพสตรี และฟังก์ชั่นติดตามการนอน

นอกจากดีไซน์หรู Fitbit Charge 3 มีจุดเด่นที่ปุ่มกดด้านซ้ายของเครื่อง ซึ่ง Fitbit เรียกว่าปุ่มเหนี่ยวนำ (inductive button) ให้สัมผัสไวกว่าปุ่มกดปกติ ถือเป็นความใหม่ที่ทำให้การใช้งาน Fitbit Charge 3 ง่ายขึ้น

เมื่อกดปุ่มนี้ Charge 3 จะเปิดให้ผู้ใช้เลือกโหมด เช่น โหมดแสดงหน้าจอหลัก โหมดแสดงสถิติจำนวนก้าว โหมดตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจ โหมดปริมาณแคลอรี่ที่ใช้ จำนวนชั้นที่ก้าวเดิน และเวลาที่มีการเคลื่อนไหว ยังมีโหมด Relax ซึ่งจะแสดงกราฟิกบนหน้าจอให้ผู้ใช้หายใจเข้า-ออกตาม

Fitbit Charge 3 ทำให้ผู้ใช้ไม่พลาดการติดต่อและไม่โดนรบกวน มีฟีเจอร์แจ้งเตือนสายเรียกเข้า ข้อความ และปฏิทินนัดหมาย ขณะที่โหมดตอบกลับเร็ว (Quick Replies) สำหรับโทรศัพท์ระบบแอนดรอยด์ จะเปิดให้บริการเร็ว ๆ นี้

สำหรับระบบการชำระเงิน ”ฟิตบิท เพย์” จะต้องทำบน Special Edition Charge 3 รุ่นพิเศษที่มีชิป NFC เท่านั้นจึงจะสามารถชำระเงินด้วยข้อมือ วิธีการเปิดใช้งาน Fitbit Pay คือการกดปุ่มซ้ายของ Special Edition Charge 3 ค้างไว้ 2 วินาที ก็จะเข้าสู่เมนูหลัก จุดนี้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าบัตรเครดิตที่เมนู Wallet จากแอปพลิเคชันก่อน

สรุป

ความประทับใจใน Charge 3 ต้องยกให้ความอึดทนของแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้เกิน 7 วันต่อการชาร์จ 1 ครั้ง โดยจากการทดสอบ เราพบว่าหลังจากผ่านไป 7 วัน แบตเตอรี่ยังมีเหลือไม่น้อยกว่า 28%

สำหรับ Fitbit ถือว่าชัดเจนเรื่องความพยายามในการพัฒนาแอปพลิเคชันให้ฉลาดขึ้น แอปพลิเคชัน Fitbit สามารถตรวจจับกิจกรรมของผู้ใช้ได้แบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังและการนอนแบบไม่ต้องตั้งค่าเพิ่ม ทำให้ผู้ใช้ไม่ยุ่งยากในการใช้งาน รวมถึงฟีเจอร์ Female Health ที่น่าสนใจมากสำหรับผู้หญิง เพราะไม่ได้ติดตามเฉพาะรอบประจำเดือน แต่ยังครอบคลุมถึงช่วงไข่ตก และอาการปวดหัวอื่นๆ

ถือว่า Charge 3 คุ้มค่ามากกว่า Charge 2 ที่ก่อนหน้านี้ตั้งราคาเริ่มต้น 7,490 บาท สำหรับ Charge 3 ถูกลดราคาเริ่มต้นเหลือ 6,490 บาท มีจำหน่ายทั้งแบบสีดำพร้อมกรอบอะลูมีเนียมกราไฟต์ หรือสีบลูเกรย์พร้อมกรอบอะลูมิเนียมสีชมพูโรสโกลด์ อุปกรณ์เสริมราคาระหว่าง 990-1,890 บาท และรุ่น Special Edition ในราคา 6,990 บาทเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวที่ทำให้ Charge 3 มีข้อสงสัยคือความแม่นยำในการวัดจำนวนก้าว เพราะจากการสวมใส่ Charge 3 เข้านอน พบว่าเมื่อตื่นนอนโดยที่ยังไม่ลงจากเตียง หน้าจอ Charge 3 แสดงผลว่าได้ก้าวเดินมากกว่า 38 ก้าว ซึ่งตัวเลขจะเปลี่ยนไปไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน จุดนี้หากไม่ใช่ Charge 3 ทำงานพลาด ก็อาจเป็นเพราะการ “นอนดิ้น” 38 ตลบที่แทบไม่น่าจะเป็นไปได้.

ข้อดี

– ดีไซน์หรู
– แบตเตอรี่ทนนานกว่า 1 สัปดาห์
– ทำงานอัตโนมัติ
– ใส่ว่ายน้ำได้

ข้อสังเกต

– ขาดแอปพลิเคชันเสริมของค่ายอื่น
– ไม่รองรับการซิงค์อัตโนมัติกับ Apple Health หรือ Google Fit

]]>