ราคา – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Fri, 23 Jul 2021 09:19:19 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : HMS CarPlay เปลี่ยนจอ CarPlay ในรถยนต์ให้เป็น Android เต็มรูปแบบ https://cyberbiz.mgronline.com/review-hms-carplay/ Fri, 23 Jul 2021 09:11:35 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35681

จากข้อจำกัดของระบบ Apple CarPlay หรือ Android Auto ภายในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่จะเปิดให้ใช้งานเฉพาะฟีเจอร์ที่จำเป็นอย่างการโทรศัพท์ แผนที่นำทาง หรือระบบเล่นเพลงเพื่อความบันเทิงภายในรถยนต์เป็นหลัก แต่จะไม่รองรับการรับชมคอนเทนต์ที่เป็นวิดีโอจากบริการสตรีมมิ่งต่างๆ

HMS CarPlay จะเข้ามาปลดล็อกระบบความบันเทิงภายในรถยนต์ที่รองรับ CarPlay ให้ใช้งานเป็นเหมือนจอ Android ที่สามารถติดตั้งแอปพลิเคชันใช้งาน ดู YouTube Netflix LINE TV หรือ AIS Play ได้จากจอของรถยนต์ โดยไม่ต้องดัดแปลงอุปกรณ์ใดๆ ของรถ

จุดเด่นของ HMS CarPlay ที่นอกจากใช้แอปพลิเคชันต่างๆ จาก PlayStore ได้แล้ว ยังสามารถใช้ Screen Cast หน้าจอจากสมาร์ทโฟนไปยังจอในรถได้ รวมถึงเชื่อมต่อไฟล์ภาพยนต์ระดับ 4K ผ่านพอร์ต USB ที่ให้มา และยังรองรับการสั่งงานผ่านระบบสัมผัสหน้าจอ หรือปุ่มควบคุมของรถยนต์ได้ทันที วางจำหน่ายในราคา 8,990 บาท

***ไม่แนะนำให้ผู้ขับขี่ใช้เพื่อความบันเทิง เพราะจะเสียสมาธิในการขับรถได้ เน้นให้ผู้โดยสารใช้งานมากกว่า***

ข้อดี

  • เปลี่ยนจออัจฉริยะในรถยนต์ให้เป็น จอ Android
  • ไม่ต้องดัดแปลงอุปกรณ์ใดๆ ของรถ ไม่หมดประกัน
  • ใช้งานง่ายเพียงแค่เชื่อมต่อกล่องเข้ากับพอร์ต USB

ข้อสังเกต

  • รถยนต์ที่ใช้งานได้ต้องรองรับระบบ CarPlay
  • ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตต้องแชร์ HotSpot จากสมาร์ทโฟน

ปลดล็อกให้ใช้งานได้มากขึ้น

เดิมทีระบบอย่าง Apple CarPlay และ Android Auto ถูกพัฒนาขึ้นมาให้ใช้ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนทั้ง iPhone และ Android สามารถควบคุมและสั่งงานโทรศัพท์ ผ่านระบบควบคุมในรถยนต์ พร้อมนำข้อมูลต่างๆ มาแสดงผลเพื่อให้ผู้ขับมีสมาธิอยู่กับการขับขี่มากที่สุด ไม่ต้องใช้มือไปควบคุมโทรศัพท์ในการสั่งงาน

โดยมีข้อจำกัดในช่วงแรกคือรถยนต์ต้องรองรับระบบ CarPlay และทำการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับรถยนต์เพื่อใช้งาน และฟังก์ชันการใช้งานส่วนใหญ่จะเป็นพื้นฐานอย่างการสั่งงานด้วยเสียง ฟังเพลงจากแอปพลิเคชัน นำทางผ่าน Apple Maps หรือ Google Maps โดยเชื่อมต่อข้อมูลจากสมาร์ทโฟน รวมถึงการใช้โทรศัพท์ ดูตารางนัดหมาย และแอปพลิเคชันที่เกี่ยวกับการฟังเป็นหลัก

HMS CarPlay จึงกลายเป็นอุปกรณ์ที่เข้ามาปลดล็อกการใช้งานระบบ CarPlay ภายในรถยนต์ให้ใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการเปิดรับชมสตรีมมิ่งคอนเทนต์ต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าการดูวิดีโอขณะขับรถจะเหมาะกับผู้ที่นั่งไปด้วยเท่านั้น ไม่เหมาะกับคนขับอยู่แล้ว เพื่อให้มีสมาธิในการขับรถมากที่สุด

เมื่อเชื่อมต่อ HMS CarPlay เข้ากับรถยนต์รุ่นที่รองรับแล้ว ตัวหน้าจอจะตัดเข้าสู่ระบบ Android ให้ใช้งาน เปรียบเสมือนแท็บเล็ตเครื่องหนึ่งที่เชื่อมต่อเข้ากับระบบของรถยนต์อย่างสมบูรณ์ ทำให้สามารถสั่งงานผ่านหน้าจอสัมผัส หรือปุ่มควบคุมที่พวงมาลัย รวมถึงระบบเสียงภายในรถยนต์ด้วย

อย่างไรก็ตาม ในการใช้งาน HMS CarPlay ให้ได้ประสิทธิภาพจำเป็นต้องให้มือถือเปิดแชร์อินเทอร์เน็ต มาให้กล่องสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพิ่มเติมจาก PlayStore หรือแม้แต่ในขณะที่ขับรถถ้าต้องการใช้งานแอปที่ต้องการเชื่อมต่อก็ต้องเปิด HotSpot ไว้ด้วย

สำหรับการใช้งานแอปพลิเคชัน ผู้ใช้สามารถกดเข้าไปใช้งานทั้งแอปวิดีโออย่าง YouTube Netflix LINE TV AIS Play หรือแอปพลิเคชันอื่นๆ ได้ทันที ส่วนถ้าใช้งานเพื่อการนำทาง ก็มี Google Maps ติดตั้งมาให้พร้อมใช้ สามารถป้อนพิกัด หรือค้นหาสถานที่เพื่อนำทางได้ผ่านจอของ CarPlay ที่ปลดล็อกแล้ว

นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้ HMS CarPlay สะดวกขึ้นก็คือสามารถแชร์หน้าจอสมาร์ทโฟนไปปรากฏบนหน้าจอได้เลย เหมาะกับเวลาเดินทางกันหลายๆ คนแล้วอยากเปิดคอนเทนต์ให้มาดูด้วยกัน ซึ่งเวลาแชร์ไปก็จะสะดวกกว่าต้องมาคอยพิมพ์ค้นหาบน CarPlay เอง

ทั้งนี้ ในกรณีที่รถยนต์ไม่ได้รองรับหน้าจอแบบสัมผัส ทำให้อาจจะสั่งงาน CarPlay ได้ยาก ทาง HMS จะมีอุปกรณ์เสริมอย่าง รีโมท Magic Keyboard มาให้เลือกซื้อเพิ่มเติม เพื่อใช้ในการควบคุมแบบไร้สาย และมีคีย์บอร์ดให้พิมพ์ป้อนข้อมูลได้สะดวกขึ้น

อุปกรณ์ที่ให้มาพร้อม HMS CarPlay

ภายในกล่องของ HMS CarPlay Unlock จะประกอบไปด้วยกล่องปลดล็อกระบบ CarPlay ที่ภายในมาพร้อมกับซีพียู Quad Core 1.8 GHz RAM 4 GB ROM 32 GB ที่ติดตั้งระบบ Android มาให้ใช้งานพร้อมแอปพลิเคชันพื้นฐาน ซึ่งจะมีพอร์ตเชื่อมต่ออยู่ 2 ส่วนคือ USB-C สำหรับเชื่อมต่อเข้ากับรถยนต์ และ USB Type A ในการเชื่อมต่อแฟลชไดรฟ์ หรือรีโมทควบคุมเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับสาย USB-C to USB Type A และ USB-C to USB-C มาให้แบบพร้อมใช้ทันที และในกรณีที่ GPS ของรถยนต์ไม่แม่นยำพอ สามารถติดอุปกรณ์เสริมเพื่อขยายสัญญาณ GPS พร้อมฟิวส์แท็บในกล่องเพิ่มเติมได้ทันที

สำหรับรีโมท Magic Keyboard ที่วางจำหน่ายเพิ่มในราคา 1,000 บาท จะเป็นลักษณะของรีโมทที่มี 2 ฝั่ง เป็นปุ่มคีย์บอร์ดสำหรับป้อนข้อมูล และอีกฝั่งเป็นปุ่มควบคุมปกติ มีแบตเตอรีภายในตัว สามารถเสียบชาร์จได้จากสาย MicroUSB เพื่อใช้งานร่วมกับ HMS CarPlay

ส่วนรุ่นรถยนต์ที่รองรับสามารถเข้าไปตรวจสอบเพิ่มเติมได้จากหน้าเว็บไซต์ของ HMS https://hms.co.th/carplay/

สรุป

HMS Carplay ถือเป็นเครื่องมือที่เข้ามาช่วยให้เราใช้งานหน้าจออัจฉริยะภายในรถยนต์ของเราได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนทั้ง iOS และ Android ผ่านสาย USB เข้ากับรถยนต์ เพียงแค่แชร์อินเทอร์เน็ตเท่านั้น และไม่ต้องกังวลกรณีที่เวลานำทางอยู่แล้วมีสายเรียกเข้า แผนที่จะหายอีกต่อไป

แน่นอนว่า เมื่อมีการปลดล็อกให้ใช้งานเพื่อความบันเทิงได้มากขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ สมาธิของผู้ขับขี่ ที่ควรใช้งานเมื่อรถหยุดวิ่งเท่านั้น ไม่ควรทำการควบคุมใช้งานระหว่างขับรถเด็ดขาด ระบบนี้จึงเหมาะกับผู้โดยสารที่สามารถใช้จอเพื่อรับชมความบันเทิงต่างๆ ได้มากกว่า

Gallery

]]>
Review : ROG Phone 5 มือถือเกมมิ่งตัวแรง อุปกรณ์เสริมครบ https://cyberbiz.mgronline.com/review-rog-phone-5/ Wed, 21 Jul 2021 09:02:50 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35645

ในบรรดาอุปกรณ์เกมมิ่งชื่อของ ROG ถือว่าเป็นแบรนด์ที่อยู่เคียงคู่กับผู้บริโภคมาตั้งแต่ในยุคของคอมพิวเตอร์ ต่อเนื่องมายังบนสมาร์ทโฟนที่ออก ROG Phone ออกมาต่อเนื่อง จนถึงรุ่นล่าสุดคือ ROG Phone 5 ที่ยังคงความโดดเด่นเรื่องประสิทธิภาพได้อย่างน่าสนใจ

จุดเด่นหลักของ ROG Phone 5 คือมากับชิปเซ็ต Snapdragon 888 5G จอที่ใส่อัตราการแสดงผลมาถึง 144 Hz แบตเตอรี 6,000 mAh พร้อมระบบควบคุมแบบ AirTrigger มาช่วยให้การเล่นเกมทำได้สนุกขึ้น และเอกลักษณ์ที่พลาดไม่ได้อย่าง Aura RGB โลโก้ที่สามารถปรับแต่งสีไฟได้ตามต้องการ

ROG Phone 5 วางจำหน่ายด้วยกัน 2 รุ่น โดยยังคงใช้ชิปเซ็ตหลักเหมือนกันคือ Snapdragon 888 5G แตกต่างตรงที่รุ่นเริ่มต้น RAM 8 GB ROM 128 GB ในราคา 22,990 บาท และรุ่น RAM 16 GB ROM 256 GB ในราคา 29,990 บาท

ข้อดี

  • สมาร์ทโฟนเกมมิ่ง พร้อมระบบควมคุม AirTrigger
  • ประสิทธิภาพสูง รองรับการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี
  • มีอุปกรณ์เสริมให้ใช้งานควบคู่ไปด้วย
  • จอแสดงผล Super AMOLED 144 Hz ที่ลื่นไหล
  • รองรับชาร์จเร็ว 65W

ข้อสังเกต

  • แบตเตอรีที่ให้มา 6,000 mAh ถ้าปรับเกมใช้สเปกสูงสุดใช้งานต่อเนื่องได้ไม่กี่ชั่วโมง
  • ตัวเครื่องค่อนข้างร้อนเวลาเล่นเกมในสภาพอากาศประเทศไทย
  • ไม่มีมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น ไม่สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้
  • กล้องยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ทั่วไป เมื่อเทียบกับมือถือไฮเอนด์รุ่นอื่น

เน้นความบันเทิง โดยเฉพาะเล่นเกม

 

ด้วยการที่ ROG Phone 5 ออกแบบมาให้เป็นเกมมิ่งสมาร์ทโฟน ด้วยรูปลักษณ์ของตัวเครื่อง และการออกแบบอินเตอร์เฟสต่างๆ จึงสื่อถึงความล้ำสมัย ให้ความรู้สึกเป็นเกมเมอร์ขึ้นมาตามสไตล์ของ ROG ด้วยเส้นสาย และสีสันที่เป็นเอกลักษณ์

ดังนั้น ถ้าใครที่ชื่นชอบลักษณะดีไซน์เกมเมอร์ แข็งๆ แรงๆ ROG Phone 5 ถือว่าตอบโจทย์อย่างแน่นอน แต่ถ้าต้องการความเรียบหรู พรีเมียม หรือดีไซน์สมัยใหม่ อาจจะต้องมองข้ามรุ่นนี้ไป

จุดเด่นหลักของเครื่องรุ่นนี้ แน่นอนว่าอยู่ที่การเล่นเกม โดยเฉพาะเกมประสิทธิภาพสูง เพราะตัว ROG Phone 5 สามารถรีดประสิทธิภาพของกราฟิกเกมได้ออกมาสูงสุด และที่สำคัญคือเล่นได้อย่างลื่นไหลด้วย

ทีมงานทดสอบกับ Genshin Impact ที่ปรับการแสดงผลสูงสุด ปรับเฟรมเรทเป็น 60 fps ตัวเครื่องก็ยังรองรับได้อย่างสบายๆ เล่นได้ลื่นไหลมากๆ เมื่อเทียบกับแฟลกชิปหลายๆ รุ่น

แต่ที่ต้องแลกมาก็คือความร้อนสะสมของตัวเครื่องที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยถ้าเล่นในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศอุณหภูมิของตัวเครื่องจะขึ้นไปอยู่ที่ราว 40-50 องศาเซลเซียส แต่ถ้าในอุณหภูมิปกติของประเทศไทย มีโอกาสที่ตัวเครื่องจะร้อนไปถึง 60 องศาเซลเซียส

แน่นอนว่า เมื่อขึ้นไประดับ 60 องศาฯ การถือจับเพื่อเล่นเกมอาจจะไม่สะดวกแล้ว เพราะตัวเครื่องสะสมความร้อนมากเกินไป ดังนั้นแนะนำให้ใช้งานคู่กับอุปกรณ์เสริมอย่างพัดลมระบายอากาศ (AeroActive Cooler )

เมื่อลองใช้งานเล่นเกมคู่กับ AeroActive Cooler พบว่าตัวพัดลมช่วยลดความร้อนสะสมลงไปได้ประมาณ 10 องศา และในขณะเดียวกัน ก็ยังใช้จับถือเครื่องได้เข้ากับมือมากขึ้นด้วย

ไม่นับรวมถึงการควบคุมเกมที่เพิ่มขึ้น จากเดิมที่มี AirTrigger บริเวณขอบบนซ้ายขวาเครื่อง ก็จะเพิ่มปุ่มควบคุมให้อีก 2 ปุ่มที่ปริเวณปีกของพัดลมระบายอากาศ ช่วยให้กดคำสั่งสำหรับการเล่นเกมต่างๆ ได้สะดวกขึ้น

การเพิ่ม AeroActive Cooler 5 ที่เชื่อมต่อเข้ากับพอร์ตพิเศษบริเวณข้างเครื่อง ยังช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อสาย USB-C สำหรับชาร์จ และหูฟัง 3.5 มม. ขณะเล่นเกมไปได้ด้วย

จากเดิมที่พอร์ตเหล่านี้อยู่ด้านล่างของเครื่อง ทำให้เวลาถือเล่นเกมในแนวนอน มือขวาจะไปบังพอร์ตเชื่อมต่อเหล่านั้น ทำให้ถ้าเสียบใช้งานไปด้วยก็จะไม่สะดวกกับการเล่นเกม

ความสามารถของ AeroActive Cooler 5 อีกอย่างก็คือการเป็นขาตั้งสมาร์ทโฟน ทำให้ผู้ใช้สามารถเปิดดู YouTube หรือ Netflix เพื่อความบันเทิงได้อย่างสบายๆ โดยวางตั้งไว้บนพื้นโต๊ะ หรือพื้นผิวเรียบๆ ได้ทันที

เพราะในเรื่องของพลังเสียงใส่ลำโพงคู่หน้ามาให้ใช้งาน พร้อมรองรับ Hi-Res Audio ภายในใส่ชิป ESS DAC มาช่วยขับเสียงให้กับหูฟังผ่านพอร์ต 3.5 มม. ด้วย

เอกลักษณ์ที่ไปกับ Aura RGB

กลับมาที่ดีไซน์ของ ROG Phone 5 ตัวเครื่องยังมากับการออกแบบที่สื่อถึงความแข็งแกร่งของตัวเครื่อง ด้วยการนำวัสดุอย่างอะลูมิเนียมที่มีความแข็งแรง มาตัดกับสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ของ ROG อยู่แล้ว

ขนาดตัวเครื่องของ ROG Phone 5 จะอยู่ที่ 173 x 77 x 8.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 239 กรัม ซึ่งถือว่าตัวเครื่องค่อนข้างหนัก แต่เมื่อสัมผัสจะรู้สึกถึงความแข็งแรง และงานประกอบที่แน่นหนาชัดเจน

หน้าจอแสดงผลที่เลือกใช้จะเป็น Super AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว (2448 x 1080 พิกเซล) รองรับ HDR 10+ ที่ให้ Refresh Rate สูงถึง 144 Hz รองรับการสัมผัสที่ 300 Hz ให้ความหน่วงต่ำถึง 24.3 มิลลิวินาที พร้อมกระจก Gorilla Glass Victus เพิ่มความแข็งแกร่งให้หน้าจอ

บริเวณขอบบนของหน้าจอเยื้องไปทางขวา จะมีกล้องหน้าความละเอียด 24 ล้านพิกเซลซ่อนอยู่ ไม่ได้เป็นกล้องแบบเจาะรู หรือทำเป็นติ่งลงมาเฉพาะกล้องหน้าแต่อย่างใด

บริเวณขอบข้างขวาเครื่องนอกจากเป็นที่อยู่ของปุ่มเพิ่มลดเสียง และปุ่มเปิดเครื่องแล้ว ตรงสัญลักษณ์ ROG ยังทำหน้าที่เป็น AirTrigger ให้เป็นพื้นที่สัมผัสเพื่อสั่งงานหน้าจอระหว่างเล่นเกมเพิ่มเติมได้ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นหลักของ ROG Phone ก็ว่าได้

ถัดมาทางซ้าย ตามปกติจะมีจุกยางปิดพอร์ตเชื่อมต่อ USB-C และขั้วเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมอยู่ ถัดมาก็คือช่องใส่ถาดซิมสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ของ ROG ส่วนขอบด้านบนจะปล่อยไว้โล่งๆ

ด้านล่างจะมีทั้งพอร์ต USB-C และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. มาให้ ตัวเครื่องรองรับการชาร์จเร็วที่ 65W โดยภายในเป็นแบตเตอรีแบบคู่รวมกันแล้วอยู่ที่ 6000 mAh

ด้านหลังเครื่องเป็นที่อยู่ของกล้อง 3 เลนส์ ประกอบด้วยเลนส์หลัก 64 ล้านพิกเซล เลนส์มุมกว้าง 13 ล้านพิกเซล และมาโคร มาช่วยในการวัดระยะเพิ่มเติม โดยสามารถบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 8K/30fps ได้ รองรับกันสั่นแบบ 3 แกน

ถัดลงมาคือแผงไฟ Aura RGB ที่ผู้ใช้สามารถปรับแต่งสีได้เพิ่มเติม ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของ ROG Phone ทุกๆ รุ่นก็ว่าได้ ทำให้เครื่องรุ่นนี้เวลาเปิดเล่นเกม หรือใช้งานจะมีไฟส่องสว่างออกมาจากหลังเครื่องตลอดเวลา

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาภายในกล่องนอกจากตัวเครื่องแล้ว ก็จะมีเคสที่ออกแบบเฉพาะเว้นพื้นที่ Aura RGB ไว้ให้แสดงผลได้ชัดเจน สายชาร์จ USB-C และอะเดปเตอร์ 65W มาให้ด้วย โดยไม่มีหูฟัง 3.5 มม. มาให้

โหมดใช้งาน และฟีเจอร์น่าสนใจ

สำหรับการใช้งาน ROG Phone 5 จะมีความน่าสนใจคือผู้ใช้สามารถเลือกสลับระหว่างโหมดประสิทธิภาพสูง (X Mode+) และโหมดใช้งานปกติได้ ซึ่งจะแสดงผลให้เห็นบนอินเตอร์เฟสของหน้าจอเลย ด้วยการเปลี่ยนภาพพื้นหลังจากสีดำปกติ มาเป็นสีแดงที่สื่อถึงความแรง

ถัดมาคือผู้ใช้สามารถเข้าไปปรับแต่งเพิ่มเติมของ X Mode ได้ในส่วนของคอนโซล เพื่อเลือกปรับแต่งการทำงานต่างๆ ของเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นการรีดประสิทธิภาพให้มากที่สุด โหมด Dynamic เพื่อปรับการใช้งานตามรูปแบบการใช้ และโหมดประหยัดพลังงาน ที่จะช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรี

นอกจากนี้ ยังสามารถเข้าไปปรับแต่งเอฟเฟกต์แวงเพิ่มเติม กรณีที่เชื่อมต่อกับ Aero Cooling 5 ก็สามารถปรับความเร็วของพัดลมได้ ตั้งระบบ AirTriggers ต่างๆ ได้จากในคอนโซลควบคุมนี้

ในขณะเล่นเกม ผู้ใช้ยังสามารถลากบริเวณขอบซ้ายของหน้าจอเข้ามา เพื่อแสดงแผงควบคุม Game Genie เพื่อตั้งค่าเกี่ยวกับเกมเพิ่มเติมได้ ในจุดนี้จะมีการแสดงผลการทำงานของตัวเครื่อง รวมถึงเฟรมเรทการแสดงผล และอุณหภูมิตัวเครื่องด้วย

จะเห็นได้ว่าฟีเจอร์ต่างๆ ของ ROG Phone 5 ถือว่าออกมาเพื่อรับกับการเล่นเกมโดยเฉพาะ ซึ่งแน่นอนว่าต้องถูกใจผู้ที่ชื่นชอบเล่นเกมอย่างแน่นอน

จุดที่น่าเสียดายอย่างหนึ่งของ ROG Phone 5 คือเรื่องของกล้องที่แม้จะให้ความละเอียดมาถึง 64 ล้านพิกเซล แต่ด้วยระบบการประมวลผลภาพต่างๆ ภาพที่ได้ออกมาอยู่ในระดับทั่วไป ไม่ได้ให้ความรู้สึกว้าวเหมือนในไฮเอนด์สมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ แต่อย่างใด

สเปก

สำหรับสเปกของ ROG Phone 5 จะมากับชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 888 5G มีตัวเลือก RAM 8/12 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 128 / 256 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 11

การเชื่อมต่อรองรับ 5G สามารถใส่ใช้งานได้ 2 ซิมพร้อมกัน WiFi 6 บลูทูธ 5.2 รองรับ NFC และมีฟีเจอร์พิเศษอย่าง AirTriggers ให้สัมผัสข้างเครื่องในการสั่งงาน รวมถึงใส่ลำโพงคู่หน้ามาให้ด้วย

สรุป

ROG Phone 5 ถือว่าออกแบบมาได้ตอบโจทย์การเล่นเกมได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเล่นเกมในห้องแอร์ เพราะกลายเป็นว่าถ้าใช้งานในสภาพอุณหภูมิปกติ ตัวเครื่องจะค่อนข้างร้อนเมื่อเล่นเกมหนักๆ ทำให้ต้องใช้อุปกรณ์เสริมอย่างพัดลมมาช่วย

แน่นอนว่า ถ้าเป็นเกมเมอร์ ที่มีความเชี่ยวชาญสามารถเลือกปรับระดับการแสดงผลของเกมให้เหมาะสมได้ ตัวเครื่องจะไม่ประมวลผลจนร้อนขนาดนั้น และเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลแน่นอน

Gallery

]]>
Review : Huawei Watch 3 – FreeBuds 4 คู่หาสมาร์ทวอทช์สุขภาพ และหูฟังไร้สายตัดเสียงรบกวน https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-watch-3-freebuds-4/ Thu, 15 Jul 2021 11:14:35 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35577

กลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ทวอทช์ และหูฟังไร้สายของหัวเว่ย ถือเป็น 2 IoT ดีไวซ์ที่ หัวเว่ย (Huawei) เปิดตัวมาเป็นกลุ่มแรกๆ ในช่วงที่สมาร์ทโฟนของหัวเว่ย ได้รับความนิยม จนมีผู้บริโภคใช้งานต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ในปีนี้ หัวเว่ย ได้มีการเพิ่มความสามารถให้กับทั้งสมาร์ทวอทช์ และหูฟังไร้สาย ได้อย่างน่าสนใจ เพราะไม่ได้จำกัดการใช้งานเฉพาะบนอีโคซิสเตมส์ของ HUAWEI เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้งานกับทั้ง Android และ iOS ได้เป็นอย่างดี

Huawei Watch 3 มีจุดเด่นที่น่าสนใจคือรองรับการเชื่อมต่อแบบ eSIM พร้อมการวัดค่าสุขภาพที่ครบถ้วนทั้งการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ อุณหภูมิ จนถึงค่าออกซิเจนในเลือด ในขณะที่ FreeBuds 4 มากับคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น และตัดเสียงรบกวนได้น่าประทับใจ

สำหรับราคาจำหน่าของ Huawei Watch 3 เริ่มต้นที่ 12,990 บาท ส่วน Huawei FreeBuds 4 ราคาเปิดตัว 5,999 บาท มีโปรโมชันพิเศษเหลือ 4,499 บาท ถึงวันที่ 22 .. นี้

ข้อดี

Huawei Watch 3

  • มีฟีเจอร์ตรวจจับเกี่ยวกับสุขภาพครบถ้วน
  • รองรับการใช้งาน eSIM สามารถใช้สื่อสารแทนสมาร์ทโฟนได้
  • มีโหมดประหยัดแบตเตอรี ใช้งานได้ 14 วัน

HUAWEI FreeBuds 4

  • หูฟังไร้สาย ตัดเสียงรบกวน สวมใส่สบาย
  • รองรับการเชื่อมต่อ 2 อุปกรณ์สลับใช้งานไปมาได้

ข้อสังเกต

  • Huawei Watch 3 ยังมีแอปพลิเคชันที่รองรับค่อนข้างน้อย จาก App Gallery
  • เวลาชาร์จแบตเตอรี ถ้าเครื่องร้อนจะตัดการชาร์จอัตโนมัติ (แนะนำให้ชาร์จในห้องแอร์)
  • HUAWEI FreeBuds 4 อาจจะไม่เหมาะกับรูปทรงหูของทุกคน เพราะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ถ้าใส่ไม่พอดีอาจะหลุดได้

HUAWEI Watch 3 นาฬิกาอัจฉริยะวัดอุณหภูมิได้

การพัฒนาสมาร์ทวอทช์ของ หัวเว่ย ในปีนี้ ค่อนข้างน่าสนใจตรงการเพิ่มฟีเจอร์ที่มีความสำคัญ และได้ใช้งานแน่ๆ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นการวัดค่าออกซิเจนในเลือด (spO2) รวมถึงวัดอุณหภูมิบริเวณผิวหนัง ที่เพิ่มเข้ามา

เนื่องจากทั้ง 2 ค่านี้ สามารถใช้บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ในการเป็นไข้ หรือมีปัญหาในการหายใจ ซึ่งได้กลายเป็นอาการเบื้องต้นของโควิด-19 แต่แน่นอนว่าเมื่อสมาร์ทวอทช์ไม่ใช่เครื่องมือทางการแพทย์ ดังนั้นจึงสามารถใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้ในการวินิจฉัยโรคได้

ความน่าสนใจของ Watch 3 ไม่ได้จบแค่ 2 ฟีเจอร์นั้น แต่ภายในยังอัดแน่นมาด้วยความอัจฉริยะที่น่าสนใจหลายๆ เรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้ใช้งาน โดยฟีเจอร์พื้นฐานอย่างวัดก้าวเดิน วัดอัตราการเต้นของหัวใจ Huawei Watch รุ่นต่างๆ ทำได้ดีอยู่แล้ว

ที่เพิ่มขึ้นมาในรุ่นนี้ คือรองรับรูปแบบการออกกำลังกายมากขึ้น พร้อมกับเพิ่มโหมดแนะนำในการออกกำลังกาย เพื่อช่วยให้การใช้ชีวิตในช่วงนี้ของผู้คนยังสามารถรักษาสุขภาพให้แข็งแรงไปได้ด้วย

นอกจากนี้ Huawei Watch 3 ยังรองรับการเชื่อมต่อ eSIM (AIS และ TrueMove H มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) ทำให้สามารถใช้รับสายโทรศัพท์จากนาฬิกาได้ทันที เวลาไปออกกำลังกายก็จะไม่พลาดการสื่อสารต่างๆ

เมื่อสมาร์ทวอทช์สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ก็จะช่วยปลดล็อกความสามารถอื่นๆ อย่างการฟังเพลง นำทาง โดยที่ไม่ต้องซิงค์กับสมาร์ทโฟนตลอดเวลาก็ได้ ทำให้กลายเป็นนาฬิกาอัจฉริยะที่มีความสามารถรอบด้าน

เบื้องหลังในการทำงานของ Huawei Watch 3 ก็คือการนำระบบปฏิบัติการ HarmonyOS มาใช้งาน ทำให้สามารถเชื่อมต่อเข้ากับ Huawei App Gallery เพื่อติดตั้งแอปพลิเคชันใช้งานได้ทันที แม้ว่าจะใช้งานร่วมกับ iOS หรือ Android ที่ไม่ใช่ Huawei ก็ตาม

ในแง่ของการออกแบบ Huawei Watch 3 ยังคงเอกลักษณ์ในแง่ของหน้าปัดทรงกลมเช่นเดิม ความรู้สึกที่ได้จะออกแมนๆ เหมาะกับผู้ชายมากกว่า จากขนาดตัวเครื่อง 46.2 x 46.2 x 12.15 มิลลิเมตร น้ำหนักไม่รวมสายจะอยู่ที่ 54 กรัม

ตัวหน้าจอที่ให้สีสันสดใส และสามารถเลือกเปลี่ยนหน้าปัดได้นั้น เลือกใช้จอแบบ AMOLED ขนาด 1.43 นิ้ว ความละเอียด 466 x 466 พิกเซล ให้ความละเอียดเม็ดสีที่ 326ppi วัสดุตัวเรือนทำจากสแตนเลสเป็นหลัก

การควบคุมทำได้ทั้งจากหน้าจอแบบสัมผัส เม็ดมะยมที่สามารถกด และหมุนได้ พร้อมกับปุ่มกดด้านข้าง เพิ่มเติม เพื่อให้เข้าถึงการใช้งานต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว นาฬิกายังกันน้ำที่ระดับ 5 ATM ทำให้สามารถใส่ว่ายน้ำที่ไม่ลึกเกิน 50 เมตรได้ด้วย

สำหรับการเชื่อมต่อ นอกจากใส่ eSIM เพื่อใช้งาน 4G LTE แล้ว ยังสามารถเชื่อมต่อ WiFi 4 (รองรับเฉพาะ 2.4 GHz) มี GPS ในตัว รวมถึง NFC และบลูทูธ 5.2 ทำให้สามารถเชื่อมต่อหูฟังไร้สาย เข้ากับ Watch 3 เพื่อใช้ฟังเพลงจากนาฬิกาโดยตรงได้ด้วย

ในส่วนของระยะเวลาการใช้งาน Huawei Watch 3 เคลมว่าในโหมดอัจฉริยะสามารถใช้งานได้นาน 3 วัน และโหมดประหยัดพลังงานจะอยู่ได้ 14 วัน ซึ่งในโหมดนี้จะยังคงวัดอัตราการเต้นของหัวใจ เชื่อมต่อบลูทูธกับสมาร์ทโฟนรับการแจ้งเตือน ได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เชื่อมต่อกับ iOS ผ่านแอป Huawei Health ระยะเวลาการใช้งานจะสั้นลงเหลือ 1.5 วันเท่านั้น เนื่องจากใช้การเชื่อมต่อคนละแบบกับสมาร์ทโฟนที่มีพื้นฐานของ Android ทำให้ใช้พลังงานในการรับส่งข้อมูลมากกว่าเดิม

HUAWEI FreeBuds 4 คุณภาพเสียงตัดเสียงรบกวนเด็ดขึ้น

มาถึง HUAWEI FreeBuds 4 ที่เป็นหูฟังไร้สายชูความโดดเด่นเรื่องการตัดเสียงรบกวน ก่อนหน้านี้ หัวเว่ย เคยออก FreeBuds 4i ที่เป็นหูฟังไร้สายแบบ In-Ears ออกมารองรับการตัดเสียงรบกวนเหมือนกัน FreeBuds 4 รุ่นนี้จึงเหมือนเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ใช้เพิ่มเติม

โดยการออกแบบของ FreeBuds 4 จะเปลี่ยนดีไซน์ใหม่อย่างเคสที่เป็นทรงกลม ขนาด 58 x 21.2 มิลลิเมตร น้ำหนักรวม 38 กรัม ทำให้พกพาได้ง่าย ใส่ในกระเป๋ากางเกงได้สบายๆ มีให้เลือกด้วยกัน 2 สีคือ เงิน Silver Frost และ ขาว Ceramic White มีพอร์ตชาร์จ USB-C อยู่ด้านล่าง และปุ่มกดสำหรับเชื่อมต่อทางขวา

ในส่วนของหูฟัง FreeBuds 4 มาในลักษณะของหูฟังปกติ ที่ไม่ได้ต้องยัดจุกยางเข้าไปในรูหู โดยทางหัวเว่ย ระบุว่า มีการออกแบบให้เหมาะกับสรีระของใบหู ทำให้เมื่อสวมใส่แล้วจะกระชับ พอดี และมีน้ำหนักเบาข้างละ 4.1 กรัมเท่านั้น

นวัตกรรมที่ใส่มาให้ใช้งานใน FreeBuds 4 มีที่น่าสนใจมากมาย ทั้งระบบตัดเสียงรบกวน ANC 2.0 ที่แม้ว่าจะเป็นหูฟังแบบ Open Fit แต่มีการปรับปรุงเทคตัดเสียงรบกวน ที่จะคอยปรับแรงดันอากาศในหูทั้ง 2 ข้างให้สมดุล และทำให้มั่นใจว่าจะได้ยินเสียงจากรอบข้าง

ทำให้ FreeBuds 4 กลายเป็นหูฟังไร้สายตัดเสียงรบกวนที่ใส่สบาย สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง ในแง่ของคุณภาพเสียงให้ไดรเวอร์ขนาด 14.3 มม. มาช่วยขับเสียงให้เสียงที่กว้าง และเติมด้วยเบสได้อย่างน่าสนใจ

ตัวหูฟังยังมากับระบบตรวจจับการสวมใส่ ทำให้เมื่อใช้งานอยู่ ถ้าเปิดเพลงฟัง พอถอดหูฟังเพลงก็จะหยุดโดยอัตโนมัติ เมื่อสวมกลับเข้าไปก็จะเล่นเพลงต่อได้ทันที รวมถึงรองรับการสลับใช้งานระหว่าง 2 อุปกรณ์ไปมาได้ จากการที่ใช้บลูทูธ 5.2 ช่วยให้สะดวกมากขึ้น

ส่วนการควบคุมจะใช้การสัมผัสในการสั่งงานบริเวณก้านหูฟัง โดยแบ่งเป็นการแตะสองครั้งเพื่อเล่น หยุด รับสาย วางสาย เลื่อนขึ้นลงเพื่อเพิ่มลดเสียง และแตะค้างเพื่อเปิดปิดโหมดตัดเสียงรบกวน ซึ่งการควบคุมเหล่านี้สามารถตั้งค่าผ่านแอป Huawei AI Life ได้ทั้งหมด

สำหรับระยะเวลาการใช้งาน FreeBuds 4 ให้แบตเตอรีมาข้างละ 30 mAh เคสชาร์จ 410 mAh เมื่อชาร์จ 1 ครั้ง สามารถเล่นเพลงต่อเนื่องในโหมดตัดเสียงรบกวนอยู่ที่ 2.5 ชั่วโมง และเมื่อปิดจะใช้งานได้ 4 ชั่วโฒง

เมื่อรวมกับแบตเตอรีในเคสชาร์จ จะใช้งานได้ต่อเนื่อง 14-22 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับการเปิดหรือปิดระบบตัดเสียงรบกวน และใช้เวลาในการชาร์จประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าแบตเตอรีหมดค่อนข้างเร็ว เมื่อเทียบกับหูฟังไร้สายหลายๆ รุ่นในท้องตลาด

สรุป

Huawei Watch 3 และ HUAWEI FreeBuds 4 น่าจะเหมาะกับผู้ที่ใช้งานอีโคซิสเตมส์ของ Huawei อยู่แล้ว เพราะจะสามารถเรียกใช้ประสิทธิภาพของดีไวซ์ได้สูงที่สุด ในขณะเดียวกันถ้าเป็นผู้ใช้งาน iOS ก็สามารถใช้งานได้ แต่มีข้อจำกัดพอสมควร

ดังนั้น อาจจะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ใช้ iOS มากกว่าว่า ถ้าต้องการนาฬิกาอัจฉริยะที่ไม่ใช่ Apple Watch หรือหูฟังไร้สายที่ไม่ใช่ AirPods มาใช้งาน Huawei ทั้ง 2 รุ่นนี้ ก็น่าสนใจไม่น้อยจากฟีเจอร์ที่ให้มา

]]>
Review : Microsoft Surface Laptop 4 คีย์บอร์ดพิมพ์สนุก เพิ่มตัวเลือกซีพียู https://cyberbiz.mgronline.com/review-microsoft-surface-laptop-4/ Wed, 30 Jun 2021 08:06:53 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35468

ไมโครซอฟท์ ยังคงรักษามาตรฐานของการออกผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ปรับแต่งให้เหมาะกับลักษณะการใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows 10 ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้ที่ต้องการใช้งานโน้ตบุ๊กเพื่อทำงาน พกพาไปไหนมาไหนได้ง่าย และที่สำคัญคือประสิทธิภาพในการประมวลผลต้องสูงด้วย

Surface Laptop 4 ถือเป็นโน้ตบุ๊กในฟอร์มเฟคเตอร์ปกติรุ่นล่าสุดของ ไมโครซอฟท์ ที่นำเสนอมาในปีนี้ได้อย่างน่าสนใจ ทั้งการเปลี่ยนแปลงคีย์บอร์ดให้พิมพ์ได้สนุกขึ้น เปิดทางเลือกรุ่นซีพียูให้มีทั้ง Intel และ AMD บนขนาดหน้าจอทั้ง 13.5 นิ้ว และ 15 นิ้ว ให้เลือก

แน่นอนว่า ระบบปฏิบัติการ Windows 10 ที่ติดตั้งมาให้บน Surface Laptop 4 นั้น เพียงพอกับการใช้งานในปัจจุบันแล้ว แต่เมื่อ Windows 11 เปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปใช้งาน Surface Laptop 4 จะรองรับการอัปเกรด และเพิ่มประสบการณ์ใช้งานที่ดีขึ้นให้แก่ผู้ใช้ด้วย

ข้อดี

  • จอ PixelSense 13.5 นิ้ว สัดส่วน 3:2 รองรับการสัมผัส และใช้งานปากกาได้
  • ตัวเครื่องบาง 14.5 มม. น้ำหนัก 1.2 กิโลกรัม
  • คีย์บอร์ดที่มาพร้อมที่รองฝ่ามือหุ้ม Alcantara ช่วยให้พิมพ์ได้สนุกขึ้น
  • แบตเตอรี ใช้งานได้ต่อเนื่องทั้งวัน

ข้อสังเกต

  • อะเดปเตอร์ชาร์จยังเป็นพอร์ตเฉพาะของ Surface เช่นเดิม (แม้จะชาร์จจาก USB-C ได้แล้วก็ตาม
  • พอร์ตเชื่อมต่อไม่ครบ มีเพียง USB-C USB Type-A และ 3.5 มม. เท่านั้น
  • กล้องเว็บแคมความละเอียด 720p

ราคาเริ่มต้น เข้าถึงง่ายขึ้น

หนึ่งในความน่าสนใจของ Surface Laptop 4 คือการเพิ่มทางเลือกซีพียูมาให้ผู้ใช้งานอย่าง AMD Ryzen จากเดิมที่จะมีให้เลือกเฉพาะซีพียูจาก Intel เท่านั้น และนั่นทำให้ราคาเริ่มต้นของ Surface Laptop โน้ตบุ๊กที่ดีที่สุดของไมโครซอฟท์ราคาเข้าถึงได้ง่ายขึ้นด้วย

สำหรับรุ่นเริ่มต้นของ Surface Laptop 4 ขนาดจอ 13.5” มากับชิปเซ็ต AMD Ryzen 5 4680U RAM 8 GB SSD 256 GB ในราคา 35,999 บาท หรือจะเพิ่ม RAM เป็น 16 GB SSD 256 GB จะอยู่ที่ 42,999 บาท

ส่วนชิปเซ็ต 11 Gen Intel Core i5 1145G7 RAM 8 GB SSD 512 GB จะเริ่มต้นที่ 44,999 บาท โดยสามารถปรับสเปกไปได้ถึง Intel Core i7 1185G& RAM 16 GB SSD 512 GB ในราคา 57,999 บาท

จะเห็นได้ว่าจากราคาเริ่มต้นของ Surface Laptop 4 ในช่วง 35,999 บาท แต่ได้โน้ตบุ๊กหน้าจอสัมผัส ที่รองรับการพกพาไปใช้งานได้ทุกที่ถือเป็นตัวเริ่มต้นที่น่าสนใจ แต่ถ้าใครที่ต้องการใช้งานยาวๆ อาจจะต้องมองตัวเลือกเป็นรุ่นที่มี SSD 512 GB แทน เพราะ 256 GB อาจจะไม่เพียงพอกับการเก็บข้อมูลในระยะยาว

ดีไซน์เดิม ปรับปรุงภายในให้ดีขึ้น

Surface Laptop 4 ยังคงลักษณะการออกแบบไม่แตกต่างจาก Surface Laptop 3 จนเรียกว่าเป็นไมเนอร์เชนจ์ของรุ่นก็ว่าได้ เพราะตัวเครื่องจะเน้นที่การอัปเดตสเปกภายในเป็นหลัก โดยขนาดของเครื่องจะอยู่ที่ 308 x 223 x 14.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1.26 กิโลกรัม

ตัวเครื่องมีให้เลือกด้วยกัน 2 สีคือ สีเงินแพลตตินัม ที่จะมากับวัสดุหุ้ม Alcantara และสีดำด้านที่เป็นโลหะตามปกติ ซึ่งในรุ่นสีดำจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 1.28 กิโลกรัม ซึ่งจะให้โทนสี และภาพลักษณ์ในการใช้งานที่แตกต่างกันไป

การออกแบบของ Surface Laptop 4 ยังคงเน้นที่ความเป็นมินิมอลเช่นเดิม โดยมีสัญลักษณ์ของ Windows สะท้อนแสงติดอยู่ตรงกึ่งกลางด้านนอกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เมื่อเปิดตัวเครื่องขึ้นมาจะพบกับจอสัมผัส PixelSense ขนาด 13.5 นิ้ว ความละเอียด 2256 x 1504 พิกเซล 201 ppi ในสัดส่วน 3:2 ซึ่งช่วยให้แสดงผลคอนเทนต์สำหรับการท่องเว็บ หรือทำงานเอกสารได้ดีขึ้น แต่จะไม่เหมาะกับการรับชมภาพยนต์เท่าไหร่ เนื่องจากจะเหลือขอบสีดำด้านบนและล่างเพิ่มขึ้นด้วย

ที่น่าเสียดายอีกอย่างก็คือเรื่องของขอบจอที่ Surface Laptop 4 ยังมีขอบจอที่ค่อนข้างหนา เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ในท้องตลาดอย่างเอซุส เดลล์ หรือเอชพี ที่นำเสนอตัวเครื่องขนาด 14 นิ้ว ในฟอร์มเฟคเตอร์ขนาด 13 นิ้ว ได้อย่างน่าสนใจ

บริเวณขอบบนยังคงเป็นที่อยู่ของกล้องเว็บแคมความละเอียด 720p ซึ่งถือว่าน้อยไปหน่อยสำหรับยุคปัจจุบันที่การใช้งานวิดีโอคอลล์มีความจำเป็นมากยิ่งขึ้น ที่ดีก็คือยังมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ IR ที่ทำงานร่วมกับ Windows Hello ในการปลดล็อกด้วยใบหน้าได้อยู่

จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของ Surface Laptop 4 เท่าที่ทดสอบใช้งานมาคือ ความนิ่มของคีย์บอร์ด ทั้งในแง่ของแป้นคีย์บอร์ดที่รับสัมผัส ทำให้พิมพ์ได้สนุก มีปุ่มลัดสำหรับการสั่งงานต่างๆ ครบถ้วน จะมีจุดที่น่าเสียดายคือย้ายปุ่มลัดอย่าง Home End PageUp PageDown ไปไว้บริเวณแถบบนแทน ทำให้เวลาใช้งานอาจจะต้องปรับตัวเล็กน้อย

ส่วนปุ่มเปิดเครื่องก็ถูกขยับเข้ามาไม่ได้อยู่ที่มุมขวาบน แต่เป็นที่อยู่ของปุ่ม Delete แทน ช่วยให้เวลากดใช้งานทำได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าจะไปสัมผัสโดนปุ่มปิดเครื่องแทน แทร็กแพดของ Surface Laptop 4 ที่ให้มาใหญ่สะใจ รองรับการใช้งานได้ลื่นไหล

อีกจุดที่นุ่มก็คือการที่ Surface Laptop 4 มีการหุ้มหนังสังเคราะห์อย่าง Alcantara มาให้บริเวณตัวเครื่องด้านใน ทำให้สัมผัสของข้อมือระหว่างการพิมพ์นุ่มสบายกว่าโน้ตบุ๊กที่ใช้โลหะ หรือพลาสติกอื่นๆ แต่ก็แลกมากับการดูแลรักษาที่เพิ่มขึ้น โดยทางไมโครซอฟท์ แนะนำให้สามารถนำผ้าชุบสบู่เหลวอ่อนๆ มาถูกทำความสะอาดได้

ในส่วนของพอร์ตเชื่อมต่อ Surface Laptop 4 ถือว่าให้มาค่อนข้างจำกัด โดยทางฝั่งซ้ายจะมีเพียงช่องเสียบ USB Type A และ USB-C พร้อมกับช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. เท่านั้น ไม่รองรับการเชื่อมต่อ Thunderbolt ด้วย

ส่วนทางขวามีพอร์ต Surface Connect ไว้เสียบชาร์จตัวเครื่อง โดยที่บริเวณอะเดปเตอร์จะมีพอร์ต USB Type A เพิ่มมาให้ใช้งานอีก 1 ช่อง ความจุของแบตเตอรีจะอยู่ที่ 47.4 Whr ที่ไมโครซอฟท์ระบุว่าใช้งานได้ต่อเนื่อง 17-19 ชั่วโมง

สเปก และทดสอบประสิทธิภาพ

ในส่วนของสเปก Surface Laptop ที่ได้รับมาทดสอบจะเป็นรุ่น 11 Gen Intel Core i5 RAM 8 GB SSD 256 GB มาพร้อมกราฟิก Intel IrisXe ส่วนถ้าเป็นรุ่น AMD Ryzen ก็จะมาพร้อมกับ AMD Radeon แบบออนบอร์ดให้ใช้งาน

โดยเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ AMD Ryzen สามารถใช้งานบนแบตเตอรีได้ยาวนานกว่ารุ่นของ Intel คือการที่ปัจจุบัน AMD พัฒนาชิปเซ็ตบนสถาปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร ที่ประหยัดพลังงานมากกว่า ในขณะที่ Intel ยังอยู่บนสถาปัตยกรรมแบบ 10 นาโนเมตร

สำหรับการใช้งาน Surface Laptop 4 ต้องยอมรับว่า ถือเป็นแล็ปท็อปเพื่อการทำงาน และความบันเทิงที่ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการใช้งานทั่วๆ ไป ทำงานเอกสาร ทำรูปภาพบ้าง แต่จะไม่หนักไปจนถึงการตัดต่อวิดีโอ หรือเล่นเกมความละเอียดสูงๆ เนื่องจากไม่มีการ์ดจอแยกมาช่วยประมวลผล

ส่วนในแง่ของความบันเทิง เรียกได้ว่าให้มาครบถ้วนจากหน้าจอขนาดใหญ่ 13.5 นิ้ว ที่ให้ความละเอียดสูง สีสันสมจริง แบตเตอรีที่ใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนาน ทีมงานลองใช้งานทั่วๆ ไปอยู่ที่ราว 11 ชั่วโมง แต่ถ้าใช้งานหนักๆ อย่างเล่นเกม จะเหลือประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง

สรุป

Microsoft Surface Laptop 4 ยังคงรักษาการเป็นโน้ตบุ๊กที่ดีที่สุดของไมโครซอฟท์ได้อย่างน่าสนใจ และนำเสนอเทคโนโลยีต่างๆ ของ Windows 10 ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของ Windows Hello ควบคู่กับชิปความปลอดภัย TPM2.0 ที่มาช่วยเข้ารหัสข้อมูล

ทำให้ Surface Laptop 4 เหมาะที่จะเป็นทั้งโน้ตบุ๊กสำหรับคอนซูเมอร์ และใช้งานในองค์กรธุรกิจ จะติดก็เรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อที่ให้มาค่อนข้างจำกัด อาจจะต้องพกอะเดปเตอร์เพิ่มเติมในการใช้งาน

ที่น่าสนใจคือ Surface Laptop 4 รองรับการอัปเกรดเป็น Windows 11 ใช้งานในอนาคตอย่างแน่นอนอยู่แล้ว เมื่อมีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ของ Windows ใหม่ให้ใช้งานสัมผัสจากหน้าจอได้สะดวกขึ้น Surface Laptop 4 จะเพิ่มความน่าใช้งานเข้าไปอีก

Gallery

]]>
Review : Apple iPad Pro 12.9” M1 เร็วแรง จอสวย ครบเครื่อง https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-ipad-pro-m1/ Mon, 28 Jun 2021 06:14:44 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35440

การนำชิปเซ็ต Apple M1 มาใช้งานบน iPad Pro ทั้ง 11” และ 12.9” ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเปิดตัว iPad Pro รุ่นของปี 2021 ที่อัปเกรดในเรื่องประสิทธิภาพการประมวลผลภายในชิปเซ็ต ช่วยให้ตัวเครื่องทำงานได้อย่างลื่นไหล

Apple iPad 12.9” ยังมากับหน้าจอแบบใหม่ Liquid Retina XDR ที่รองรับช่วงสีที่กว้างขึ้น และกลายเป็น iPad รุ่นที่จอสวยสุดในเวลานี้ โดยยังคงความสามารถของทั้ง ProMotion True Tone P3 Colour และลดแสงสะท้อนจากหน้าจอด้วย

ทำให้ iPad Pro 12.9” เป็นแท็บเล็ตที่แรง จอสวย รองรับการใช้งานที่หลากหลายทั้ง ใช้งานคู่กับ Apple Pencil 2nd Gen เพื่อสร้างสรรค์ผลงานวาดเขียน จดบันทึก หรือใช้งานควบคู่กับ Magic Keyboard ทำให้มี Productivity ในการทำงานได้มากขึ้น ร่วมกับ iPadOS

ข้อดี

  • iPad ประสิทธิภาพสูง รองรับการใช้งานหลากหลาย
  • จอ Liquid Retina XDR 12.9”
  • ตัวเครื่องรองรับ 5G
  • มีพื้นที่เก็บข้อมูลให้เลือกสูงถึง 2TB

ข้อสังเกต

  • ราคาค่อนข้างสูง
  • ถ้าต้องการใช้งานให้ครบทุกความสามารถต้องซื้ออุปกรณ์เสริมอย่าง Pencil และ Keyboard เพิ่ม
  • Magic Keyboard สีขาวเปื้อนง่ายมาก

Apple M1 เพิ่มประสิทธิภาพ iPad Pro

การเปลี่ยนชิปเซ็ตประมวลผลจาก Apple A12Z Bionic มาใช้งาน Apple M1 ที่มีการผสมผสานทั้งหน่วยประมวลผล กราฟิก ชิปประมวลผลทางด้าน AI อย่าง Apple Neural Engine เข้าไป ทำให้ iPad Pro รองรับการใช้งานได้ครบถ้วนมากขึ้น

ตั้งแต่การใช้งานเพื่อความบันเทิงแบบจัดเต็ม หรือการประมวลผลหนักๆ อย่างการอ่านข้อมูลขนาดใหญ่ ปรับแต่งภาพความละเอียดสูง จนถึงการตัดต่อวิดีโอระดับ 4K ได้อย่างลื่นไหล ทำให้กลายเป็นอุปกรณ์พกพาที่ทรงพลัง

ข้อมูลจากแอปเปิลระบุว่า Appe M1 ที่เป็น CPU 8 Core GPU 8 Core และ Apple Neural Engine 16 Core แรงกว่าซีพียูรุ่นก่อนหน้าถึง 50% และการประมวลผลภาพเร็วขึ้นถึง 40% ส่งผลให้ iPad Pro แรงกว่าโน้ตบุ๊กเกือบทุกรุ่นในตลาดตอนนี้

โดยการประมวลผลที่เร็วขึ้นของ Apple M1 ช่วยให้ผู้ที่ใช้งานทางครีเอทีฟทำงานบน iPad ด้วยระยะเวลาที่น้อยลง ทั้งการใช้งาน Adobe Photoshop Affinity Photo หรือตัดต่อวิดีโอด้วย LumaFusion

ขณะเดียวกัน ถ้าเป็นนักพัฒนาที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับ AR VR การที่ M1 มี Neural Engine จะช่วยให้การประมวลผลทางด้านแมชชีนเลิร์นนิ่งต่างๆ ทำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อรวมกับกล้องที่รองรับ LiDAR ทำให้ iPad Pro รองรับการใช้งาน XR ได้เป็นอย่างดี

จอสวยงาม คมชัด

อีกจุดเด่นที่ปรับปรุงขึ้นของ iPad Pro 12.9 นิ้ว คือหน้าจอที่เลือกใช้แหล่งกำเนิดแสงแบบ mini-LED มาใช้งาน ใน Liquid Retina XDR ความละเอียด 2732 x 2048 พิกเซลนี้ ช่วยให้การแสดงผลของ iPad Pro มี Extreme Dynamic Range ที่สูงขึ้น และยังรองรับ ProMotion ที่ปรับอัตราการแสดงผลระหว่าง 24Hz – 120Hz แบบอัตโนมัติ

นอกจากนี้ เพื่อให้รองรับการใช้งานในสถานที่ต่างๆ รวมถึงในที่แสงจัด ทำให้ iPad Pro 12.9 เพิ่มความสว่างหน้าจอขึ้นมาอยู่ที่ 1000 nits และเร่งได้สูงสุดถึง 1600 nits ซึ่งรองรับการแสดงผลแบบ HDR ทำให้ภาพนิ่ง และวิดีโอที่ได้ชัดเจน และสวยงาม

การเลือกใช้ mini-LCD ยังช่วยให้ทำ Contrast Ratio ได้สูงถึง 1,000,000 : 1 จากจุดกำแนิดแสงที่ละเอียดขึ้นถึง 2596 จุด โดยเมื่อใช้งานกับคอนเทนต์ที่รองรับ Dolby Vision HDR10+ จะสามารถรีดประสิทธิภาพของจอ Liquid Retina XDR ออกมาได้

อย่างไรก็ตาม iPad Pro รุ่นหน้าจอ 11 นิ้ว จะยังใช้จอ Liquid Retina เช่นเดิม ไม่ได้ถูกอัปเกรดมาเป็น Liquid Retina XDR ดังนั้น ถ้าใครใช้งาน iPad Pro 11” อยู่แล้วอยากเปลี่ยนมาใช้รุ่นปี 2021 ก็อาจจะไม่จำเป็นนัก แต่ถ้าข้ามมารุ่นจอใหญ่ 12.9” ก็จะมีความแตกต่างมากขึ้น

มาพร้อม 5G – Thunderbolt 3 – USB 4

การเชื่อมต่อที่ครบจากรุ่น Cellular ที่รองรับทั้ง WiFi 6 และ 5G ทำให้ iPad Pro มีความสมบูรณ์ในการใช้งานมากขึ้น เพราะสามารถรับส่งไฟล์ความละเอียดสูงได้อย่างรวดเร็ว แม้ทำงานอยู่นอกสถานที่ ช่วยปลดล็อกข้อจำกัดหลายๆ อย่างที่ 4G ทำไม่ได้ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องดาวน์โหลดไฟล์งานขนาดใหญ่มาใช้

ส่วนผู้ที่มีอุปกรณ์เสริม USB-C อยู่แล้ว ก็สามารถเชื่อมต่อเพื่อโอนถ่ายข้อมูลที่ความเร็วสูงขึ้นถึง 40 Gbps เมื่อใช้งานร่วมกับ Thunderbolt 3 และ USB 4 นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เชื่อมต่อกับจอความละเอียดสูงระดับ pro Display XDR ที่ความละเอียด 6K ได้ด้วย

หรือในกรณีที่ต้องการเชื่อมต่อ 10 Gigabit พอร์ต Thunderbolt ที่ให้มาก็รองรับ จึงทำให้ iPad Pro รุ่นปี 2021 มีการเชื่อมต่อที่ครบถ้วนมาก และพื้นที่เก็บข้อมูลภายในยังมีให้เลือกสูงสุดถึง 2TB ด้วย

ดีไซน์เดิมที่คุ้นเคย

ในแง่ของดีไซน์ตัวเครื่อง iPad Pro 12.9 นั้นมีความเปลี่ยนแปลงน้อยมากๆ คือตัวเครื่องหนาขึ้นเล็กน้อย เป็น 280.6 x 214.9 x 6.4 มิลลิเมตร จากรุ่นก่อนหน้าที่ 5.9 มิลลิเมตร ซึ่งความหนา 6.4 มิลลิเมตร ก็ยังถือว่าเป็นแท็บเล็ตที่บางมากๆ อยู่ดี

บริเวณขอบหน้าจอด้านบน (แนวตั้ง) หรือด้านซ้าย (แนวนอน) จะเป็นที่อยู่ของกล้อง TrueDepth 12 ล้านพิกเซล f/2.4 ที่รองรับการปลดล็อกด้วย FaceID สามารถบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 1080p 60fps

รอบตัวเครื่องทางด้านบน (แนวนอน) จะมีปุ่มปรับระดับเสียง แถบแม่เหล็กไว้เชื่อมต่อกับ Apple Pencil 2nd Gen และช่องใส่ซิมการ์ดแบบนาโนซิม ทางขวา จะมีพอร์ต USB-C ทางซ้ายมีปุ่มเปิดเครื่อง

ที่เพิ่มขึ้นมาคือลำโพง 4 จุด ช่วยให้คุณภาพเสียงสเตอริโอของ iPad Pro พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับไมโครโฟนรับเสียงที่เพิ่มขึ้นเป็น 5 จุด ทำให้ได้เสียงในระดับสตูดิโอเวลาใช้งาน FaceTime หรือ VDO Call

โดยความน่าสนใจของ iPad Pro รุ่นปี 2021 นี้ คือการพัฒนากล้อง TrueDepth ให้มีความสามารถอย่าง Center Stage เพื่อรับกับพฤติกรรมการใช้งานวิดีโอคอลล์ที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19

Center Stage จะนำ AI มาช่วยในการจับภาพ และทำให้ใบหน้าอยู่บริเวณกึ่งกลางของกล้องตลอดเวลา ช่วยให้เวลาใช้งานสามารถขยับ เคลื่อนไหวไปรอบๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะหลุดออกจากเฟรมเกินไป

ส่วนกล้องหลังยังมาพร้อมกับกล้องเลนส์หลัก 12 ล้านพิกเซล และเลนส์มุมกว้าง 10 ล้านพิกเซล พร้อม LiDAR Scanner ในการตรวจจับวัตถุ และระยะต่างๆ เช่นเดิม ซึ่งช่วยให้สามารถจับโฟกัสในที่แสงน้อยได้ด้วย

ราคาจำหน่าย

Apple iPad Pro 12.9 ที่มาพร้อมชิป Apple M1 วางจำหน่ายในรุ่น RAM 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูลให้เลือกตั้งแต่ 128 GB 256 GB และ 512 GB ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูล 1 TB และ 2 TB จะมากับ RAM 16 GB

iPad Pro 12.9 นิ้ว ราคา 37,900 บาท – 76,400 บาท ถ้าต้องการรุ่น Cellular ก็เพิ่มเงินอีก 5,000 บาท ในทุกช่วงราคา ส่วน iPad Pro 11 นิ้ว ราคาเริ่มต้น 27,900 บาท – 66,400 บาท

ส่วนราคา Apple Pencil 2nd Gen อยู่ที่ 4,490 บาท Magic Keyboard (3rd Gen) สำหรับรุ่น 11” อยู่ที่ 9,990 บาท ส่วนรุ่น 12.9” อยู่ที่ 11,690 บาท นอกจากนี้ยังมี Smart Keyboard Folio เริ่มต้นที่ 5,990 บาท – 6,590 บาท

สรุป

iPad Pro 12.9 ที่มากับชิปเซ็ต M1 ถือเป็นแท็บเล็ตประสิทธิภาพสูงที่รองรับการใช้งานได้หลากหลายมาก ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งาน ซึ่งถ้าเป็นกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นมืออาชีพ ครีเอเตอร์ ช่างภาพ ตัดต่อวิดีโอ นักพัฒนาต่างๆ iPad Pro รุ่นใหม่นี้ตอบโจทย์แน่นอน

แต่ถ้าไม่ได้มองหาการประมวลผลระดับสูง และขนาดหน้าจอ 11 นิ้ว เพียงพอกับการใช้งาน ตัวเลือกอย่าง iPad Air ที่เพิ่งปรับโฉมมาลักษณะเดียวกับ iPad Pro ก็เพียงพอกับการใช้งานทั่วไปอยู่แล้ว ดังนั้นคงต้องดูว่า iPad Pro รุ่นนี้คุ้มค่ากับการใช้งานหรือไม่

]]>
Review : ASUS ExperBook B9 อัปเกรดใหม่ปี 2021 เน้นแข็งแรง-ปลอดภัย https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-experbook-b9400/ Tue, 22 Jun 2021 06:09:13 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35401

ในปีที่ผ่านมา ASUS เปิดตลาดโน้ตบุ๊กเบางเบาในกลุ่มองค์กรธุรกิจได้อย่างน่าสนใจ ด้วยซีรีส์ใหม่อย่าง ExpertBook B9 ชูความโดดเด่นของการเป็นแล็ปท็อปองค์กรธุรกิจที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในโลก ด้วยน้ำหนักไม่ถึง 1 กิโลกรัม และได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ใช้งาน

พอมาในปี 2021 เอซุส ได้อัปเกรดความสามารถของ ExpertBook B9 (9400) ให้ตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น ด้วยการเพิ่มความแข็งแรงของหน้าจอ เลือกนำเฉพาะรุ่นประสิทธิภาพสูงอย่าง 11 Gen Intel Core i7 มาทำตลาด โดยเปิดให้เลือกเพิ่มเติมว่าจะใช้งานคู่กับ Windows 10 Home หรือ Windows 10 Pro ในราคาเริ่มต้นที่ 44,990 บาท

จุดเด่นของ ASUS ExpertBook B9 (9400) รุ่นปี 2021 นี้ คือมาพร้อมกับการรับรอง Intel EVO แพลตฟอร์ม ตัวเครื่องน้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม พอร์ตเชื่อมต่อครบ พร้อมด้วยฟังก์ชันรักษาความปลอดภัยด้วย Windows Hellp ทั้งสแกนใบหน้า และลายนิ้วมือให้ใช้งาน รวมถึงการเลือกใช้ Dual SSD ทำให้สามารถทำ RAID 1 เพื่อสำรองข้อมูลได้ด้วย

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กธุรกิจ ประสิทธิภาพสูง 11 Gen Intel Core i7
  • น้ำหนัก 1 กิโลกรัม
  • แบตเตอรีใช้งานต่อเนื่องเกิน 13 ชั่วโมง
  • กล่องใส่ที่ชาร์จเปลี่ยนเป็นฐานตั้งโน้ตบุ๊กได้

ข้อสังเกต

  • หน้าจอยังเป็น Full HD+
  • กล้องเว็บแคมความละเอียด 720p
  • มีให้เลือกเฉพาะรุ่น Core i7 ต่างจากปีที่ผ่านมามีรุ่น Core i5 ที่ราคาย่อยเยาว์กว่า

บางเบา พอร์ตครบเหมือนเดิม

ความโดดเด่นของ Asus ExpertBook B9 ยังคงเป็นเรื่องของความบางเบาของตัวเครื่อง โดยมีขนาดอยู่ที่ 320 x 203 x 14.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1,009 กรัม หรือประมาณ 1 กิโลกรัม ซึ่งน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นถ้าเทียบกับรุ่นของปี 2020 คือการเลือกใช้แบตเตอรีขนาด 66 Whr แทนรุ่นเดิมที่ใช้แบตเตอรีขนาด 33 Whr ทำให้สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานขึ้นด้วย

ดีไซน์ของ ExpertBook B9 นั้น ยังคงใช้ดีไซน์แบบเดิม เรียกได้ว่าเป็นไมเนอร์เชนจ์ของรุ่นก็ว่าได้ มีวางจำหน่ายสีเดียวคือ Star Black ที่เป็นสีดำแบบผิวด้าน ช่วยให้ตัวเครื่องติดรอยนิ้วมือได้ยาก และให้ความรู้สึกหรูหรา พรีเมียมขึ้นในตัว

ASUS ยังคงเลือกใช้ฟอร์มเฟคเตอร์ของเครื่องขนาด 13 นิ้ว มาใส่หน้าจอ 14 นิ้ว ทำให้เห็นได้ว่ารุ่นนี้ขอบจอค่อนข้างบาง ให้สัดส่วนหน้าจอเทียบกับตัวเครื่องอยู่ที่ 94% ความละเอียดหน้าจอเป็น FullHD 1920 x 1080 พิกเซล มุมมองแบบ IPS ให้ความสว่าง 400 nits และค่าแสงที่ sEGB 100%

บริเวณกล้องเว็บแคมความละเอียด 720p ที่ให้มาจะมีชัตเตอร์เพื่อปิดกรณีที่ไม่ต้องการใช้งาน พร้อมกับเพิ่มเซ็นเซอร์วัดระยะมาด้วย ทำให้เวลาลุกออกจากหน้าเครื่อง ExpertBook B9 จะทำการล็อกหน้าจออัตโนมัติเพื่อความปลอดภัยเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามในกรณีที่ปิดขัตเตอร์บังกล้องไว้ ก็จะไม่สามารถใช้งานปลดล็อกด้วยใบหน้าได้

ในส่วนของคีย์บอร์ด ยังคงมาในรูปแบบชิกเล็ตมาตรฐาน ระยะกดของปุ่มอยู่ที่ 1.5 มิลลิเมตร ป้องกันน้ำหกใส่ และมีไฟ Backlit ไว้ใช้งานในเวลากลางคืนด้วย ส่วนบริเวณทัชแพด จะสามารถเปิดฟีเจอร์ใช้งานเป็นปุ่มตัวเลขเพิ่มเติมได้ ช่วยให้สามารถกรอกข้อมูลตัวเลขได้สะดวกขึ้น

สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อ ExpertBook B9 ให้พอร์ตมาครบถ้วนสำหรับการเป็นโน้ตบุ๊กบิสสิเนส ไล่ตั้งแต่พอร์ต USB 3.2 Type-A 1 พอร์ต มี Thunderbolt 4 (USB-C) ให้อีก 2 พอร์ต ซึ่งรองรับการต่อจอแยก และชาร์จไฟทั้งสองพอร์ต เพิ่มเติมด้วย HDMI 2.0 ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และ MicroHDMI ที่ใช้งานคู่กับอะเดปเตอร์แปลงเป็นพอร์ต LAN ที่แถมมาให้ในกล่อง

ในแง่ของความปลอดภัยตัวเครื่องมีช่องล็อก Kensington มาให้ เพื่อรวมกับ Windows Hello ที่รองรับทั้งการปลดล็อกด้วยใบหน้า และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่บริเวณมุมขวาล่างของคีย์บอร์ด ทำให้เครื่องรุ่นนี้ ผ่านมาตรฐานด้านซิเคียวริตี้สำหรับใช้งานในองค์กรธุรกิจแน่นอน

ส่วนแบตเตอรีที่ให้มา 66 Whr นั้น สามารถใช้งานรับชมวิดีโอได้ต่อเนื่องกว่า 20 ชั่วโมง ส่วนการใช้งานหนักๆ ได้กว่า 13 ชั่วโมง และรองรับการชาร์จเร็วจากอะเดปเตอร์ 65W ที่ให้มาจาก 1% – 60% ได้ในเวลา 49 นาที ซึ่งแปลว่าสามารถชาร์จเพียง 1 ชั่วโมง ใช้งานได้ตลอดวันสบายๆ

จุดที่อัปเกรดขึ้น

ภายใน ExpertBook B9 จุดที่มีการอัปเกรดเพิ่มเติมจากรุ่นปี 2020 จะประกอบด้วยชิปเซ็ตที่ใหม่ขึ้น ด้วยการเลือกใช้ 11 Gen Intel Core i7-1165G7 พร้อม Intel Iris Xe RAM 16 GB SSD 1 TB ให้ใช้งาน

ถัดมาคือการเพิ่มความแข็งแรงของหน้าจอด้วยการเสริมโครงเหล็กเข้าไป แก้ปัญหาหน้าจอยวบในรุ่นของปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้น้ำหนักโดยรวมของตัวเครื่องเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่รองรับการกดทับของหน้าจอได้มากขึ้น

อีกอย่างที่น่าสนใจคือการเปิดให้สามารถเลือกใส่ SSD ได้แบบคู่ ทำให้ ExpertBook B9 สามารถทำ RAID0 เพื่อให้ตัวเครื่องทำงานได้เร็วขึ้น หรือ RAID1 เพื่อสำรองข้อมูลในการใช้งานได้ เหมาะกับการใช้งานในองค์กรธุรกิจขึ้นไปอีก

นอกจากนี้ ก็มีการอัปเกรดในแง่ของระบบตัดเสียงรบกวน เวลาใช้งานวิดีโอคอลล์ ด้วยการนำ ASUS AI Noise-Cancelling Audio มาช่วยทั้งเสียงของคู่สนทนาที่ผู้ใช้ได้ยิน และปรับเสียงจากไมโครโฟนให้ปลายสายด้วย

อีกความน่าสนใจก็คือเรื่องของบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก โดยที่ในรุ่น ExpertBook B9400 นี้ ได้มีการนำกล่องบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ใส่อะเดปเตอร์ชาร์จไฟ และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ มาใช้เป็นขาตั้งเครื่องได้เพิ่มเติม และยังทำจากกระดาษทั้งหมดอีกด้วย

สรุป

Asus ExpertBook B9 รุ่นปี 2021 ในรหัส B9400 วางจำหน่ายให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่น คือเลือกระหว่าง Windows 10 Home ราคา 44,990 บาท กับ Windows 10 Pro ราคา 49,490 บาท ซึ่งถ้าเป็นการใช้งานในองค์กรธุรกิจที่ต้องการความปลอดภัย แนะนำให้เลือกรุ่น Windows 10 Pro จะเหมาะสมกว่า

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่มีเฉพาะรุ่น Core i7 ทำให้ราคาเริ่มต้นของ ExpertBook B9 ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับรุ่นของปีที่แล้ว Core i5 จะอยู่ที่ 38,990 บาท ซึ่งถ้าไม่ได้ต้องการพลังในการประมวลผลระดับ Core i7 แต่เน้นความบางเบา พกพาง่าย ก็จะไม่มีตัวเลือกเริ่มต้นมาให้

ในภาพรวม ExpertBook B9400 ยังคงรักษามาตรฐานของบิสสิเนสแล็ปท็อปได้เป็นอย่างดี แต่ก็กลายเป็นว่า ไม่ได้เหมาะกับการนำไปใช้งานทั่วไปสำหรับคอนซูเมอร์ เพราะเมื่อระดับราคาสูงขึ้นมาเกือบ 5 หมื่นบาท ยังมีตัวเลือกอีกหลายรุ่นที่น่าสนใจในตลาดนี้

Gallery

]]>
Review : Apple AirTag ทำงานอย่างไร ช่วยให้หาของหายง่ายขึ้นจริงไหม? https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-airtag/ Fri, 04 Jun 2021 07:09:20 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35311

เมื่อต้องให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ทำให้ แอปเปิล (Apple) ต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนา AirTag ให้ปลอดภัยกับทั้งผู้ใช้ และผู้บริโภคทุกคนมากที่สุด เพราะเมื่อเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ติดตามสิ่งของหายได้ ก็ใช้ในการติดตามหรือสะกดรอยผู้คนได้เช่นเดียวกัน

แนวคิดในการพัฒนา AirTag ของ Apple นั้นถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการระบุตำแหน่งสิ่งของสำคัญๆ ได้ง่ายขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีอ Ultra-wideband (UWB) เพื่อช่วยระบุพิกัดสิ่งของเหล่านั้น และเมื่ออยู่ใกล้วัตถุภายในระยะ 10 เมตร บลูทูธ ก็จะเข้ามาทำหน้าที่ในการระบุตำแหน่งที่ชัดเจนอีกทีหนึ่ง

Apple AirTag เริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ววันนี้ ในราคาชิ้นละ 990 บาท และมีขายเป็นแพ็ก 4 ชิ้น ในราคา 3,390 บาท พร้อมกับอุปกรณ์เสริมอย่างพวงกุญแจหนัง (1,390 บาท) ห่วงคล้องแบบหนัง (1,590 บาท) และห่วงคล้องโพลียูรีเทน (1,190 บาท)

ข้อดี

  • ช่วยหาสิ่งของที่ลืมไว้ง่ายขึ้น
  • เข้ารหัสข้อมูล โดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัว
  • กันน้ำ กันฝุ่น IP67
  • แบตเตอรีใช้งานได้ราว 1 ปี (เปลี่ยนเองได้)

ข้อสังเกต

  • ใช้งานได้เฉพาะอุปกรณ์ iOS 14.5 ขึ้นไป
  • ต้องซื้อพวงกุญแจสายห้อยเพิ่ม
  • กรณีที่ทำหล่นหาย หากถูกถอดแบตเตอรีจะไม่สามารถติดตามได้
  • การแจ้งเตือนผู้ใช้รายอื่นที่ถูก AirTag ติดตามต้องใช้ระยะเวลา

เบื้องหลังคือชิป U1 ที่มี Ultra-wideband

ก่อนหน้านี้ แอปเปิล ได้มีการนำฟีเจอร์อย่างค้นหาของฉันหรือ Find My มาใช้ในการติดตามผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น iPhone iPad Mac Apple Watch และ AirPods กันอยู่แล้ว ด้วยการที่ให้อุปกรณ์เหล่านั้นส่งพิกัดที่อยู่ผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ทราบตำแหน่งคร่าวๆ บนแผนที่

ก่อนเริ่มประยุกต์ใช้เครือข่ายของ iPhone ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เป็นตัวช่วยในการตามหาอุปกรณ์ที่ Offline อย่าง MacBook ที่ไม่ได้เชื่อมต่อ WiFi หรือ iPad รุ่นที่ไม่ได้ใส่ซิมการ์ด ด้วยการให้อุปกรณ์เหล่านี้ส่งสัญญาณไปยัง iPhone เพื่อระบุตำแหน่งให้เจ้าของทราบได้

ทำให้ปัจจุบัน Find My ได้กลายเป็นเครือข่ายสำหรับติดตามสิ่งของต่างๆ ที่ใหญ่ และครอบคลุมมากที่สุดในโลก จากอุปกรณ์ของ Apple ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระดับพันล้านเครื่องทั่วโลก ที่สำคัญคือการส่งข้อมูลทั้งหมดนี้จะไม่มีการะบุตัวตน เพื่อป้องกันความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

ต่อจากนั้น แอปเปิลจึงเริ่มพัฒนาชิป U1 ที่นำเทคโนโลยี UWB มาใช้ในการ ระบุตำแหน่งที่ตั้งจริง (Precision Finding) สำหรับ iPhone 11 และ iPhone 12 ที่ช่วยระบุทิศทางที่แม่นยำในการตามหา AirTag เมื่ออยู่ในระยะใกล้เคียง จึงทำให้ AirTag สามารถค้นหาสิ่งของที่หายไปได้

แกะกล่องใช้งาน

เมื่อทราบถึงหลักการทำงานของ AirTag แล้วก็ถึงเวลาใช้งาน เมื่อแกะ AirTag ออกจากกล่องสิ่งแรกที่ต้องทำคือแกะพลาสติกที่หุ้มรอบตัวเครือง เพื่อดึงให้ขั้วแบตเตอรีสัมผัสกัน เพื่อเปิดการใช้งานก่อน

ขนาดของ AirTag จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 31.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 11 กรัม โดยมีความสามารถป้องกันน้ำ และฝุ่นระดับ IP67 (ลึก 1 เมตร ไม่เกิน 30 นาที) รองรับการเชื่อมต่อทั้ง บลูทูธ UWB และ NFC

ภายในของ AirTag จะใช้ถ่านกระดุมขนาดมาตรฐาน CR2032 ที่ใช้งานได้ราว 1 ปี เมื่อสัญญาณอ่อน หรือแบตเตอรีใกล้หมดผู้ใช้สามารถหาซื้อมาเปลี่ยนเองได้ทันที โดยจะมีสถานะแบตเตอรีแจ้งอยู่ในแอป Find My

หลังจากนั้นนำ AirTag ไปไว้ใกล้เคียงกับ iPhone ที่ต้องการเชื่อมต่อ จะเด้งหน้าจอขึ้นมาให้ทำการเชื่อมต่อได้ทันที คล้ายกับการเชื่อมต่อ AirPods ที่คุ้นเคยกัน หลังจากนั้นจะมีให้เลือกว่าต้องการทำ AirTag นี้ไปติดกับสิ่งของใด คล้ายๆ กับการระบุชื่อของสิ่งของให้เข้ามาเลือกดูได้สะดวกขึ้น ในจุดนี้ผู้ใช้สามารถเลือกปรับตั้งชื่อ พร้อมใส่ Emoji เพิ่มเติมได้ด้วย

เมื่อทำการเชื่อมต่อเสร็จแล้ว ก็จะสามารถใช้ในการค้นหาตำแหน่งได้ทันที โดยเมื่ออยู่ในระยะใกล้ประมาณ 10 เมตร จะใช้การค้นหาจากสัญญาณบลูทูธ ร่วมกับ UWB ในการระบุตำแหน่งที่แม่นยำ หรือจะกดให้ส่งเสียงจากตัว AirTag เพื่อช่วยระบุตำแหน่งเพิ่มเติมได้ด้วย

สำหรับการค้นหา AirTag เมื่อตามพิกัดบนแผนที่เข้ามาอยู่ในระยะที่เชื่อมต่อโดยตรงได้แล้ว ที่หน้าจอ iPhone จะมีการชี้บอกทิศทาง และระยะห่างให้ค้นหาได้ง่ายขึ้น ยิ่งเข้าใกล้ AirTag มากเท่าไหร่ ก็จะมีการสั่นช่วยบอกด้วย

กรณีที่ทำหายหล่นอยู่นอกสถานที่ ก็สามารถเข้าไปตั้งโหมดสูญหาย (Lost Mode) เพื่อระบุช่องทางติดตามอย่างเบอร์โทรศัพท์ หรืออีเมล ให้ผู้ที่เก็บได้ใช้ติดต่อกลับมา ในจุดนี้ผู้ที่เก็บ AirTag จะสามารถเห็นข้อมูลดังกล่าวได้ต่อเมื่อนำ AirTag ไปแปะบริเวณจุดรับสัญญาณ NFC ที่ตัวเครื่อง ซึ่งทำงานทั้งบน iOS และ Android

ในระหว่างที่เข้าสู่โหมดสูญหาย เจ้าของ AirTag ยังสามารถติดตามตำแหน่งของอุปกรณ์ หรือสิ่งของนี้ได้ และจะได้รับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนค้นหาเจอ ซึ่งถ้าคนอื่นเก็บได้แล้วนำมาสแกน ก็จะปรากฏลิงก์ให้เข้าสู่เว็บไซต์ แสดงรายละเอียดเฉพาะการติดต่อ และเลขซีเรียลเท่านั้น ไม่ได้ระบุถึงรายละเอียดส่วนตัวอื่นๆ แต่อย่างใด

การนำไปใช้งาน

Apple ออกแบบให้ผู้ใช้สามารถนำ AirTag ไปห้อยไว้กับอุปกรณ์อื่นๆ ที่ทำหายบ่อยๆ หรือชอบลืมทิ้งไว้แล้วหาไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็น AirPods หูฟังอื่นๆ กระเป๋าสตางค์ หรือแม้แต่กระเป๋าถือ เมื่อนำไปห้อยไว้ ก็จะสามารถใช้ AirTag ในการตามหาได้ทันที

ระบบป้องกันการถูกติดตาม

ในแง่ของความเป็นส่วนตัว เมื่อ AirTag สามารถใช้ในการระบุพิกัดได้ ทำให้อาจะถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่ดีในการสะกดรอยได้ ในจุดนี้แอปเปิล ได้คิดค้นวิธีการป้องกันที่จะคอยแจ้งเตือน เมื่อตรวจพบว่า AirTag เดินทางไปในสถานที่ต่างๆ โดยไม่ได้อยู่กับเจ้าของ

เมื่อได้รับการแจ้งเตือน AirTag ที่ไม่ได้อยู่กับเจ้าของ จะแจ้งข้อมูลให้ผู้ใช้งานได้ทราบว่า AirTag เครื่องนี้ติดตามตั้งแต่สถานที่ใดบ้าง และมีปุ่มให้กดเล่นเสียงเพื่อค้นหา AirTag ดังกล่าว เพื่อทำการปิดกั้นไม่ให้ติดตามได้ หรือในกรณีที่อยู่ห่างไกลจากเจ้าของนานเกินช่วงเวลา 8 – 24 ชั่วโมง แอปเปิล ได้ตั้งให้ AirTag ส่งเสียงเพื่อแจ้งเตือนไว้ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ ผู้ใช้ iPhone สามารถเข้าไปแอป Find My แล้วกดเข้าไปใน ระบุสิ่งของที่พบ (Identify Found Item) เมื่อตรวจพบจะขึ้นรายละเอียดของ AirTag ให้เห็นอย่าง Serial Number และเลขหมายโทรศัพท์ 2 หลักหลัง พร้อมคำแนะนำในกรณีที่ไม่ใช่เจ้าของ และเป็น AirTag ต้องสงสัย

โดยถ้ามีการสะกดรอยตามจริงๆ ก็สามารถนำข้อมูล Serial Number ไปดำเนินคดีตามกฏหมายได้ เพราะเมื่อมีการฟ้องร้องทาง Apple สามารถให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับเจ้าของ AirTag ที่ลงทะเบียนไว้ได้อย่าง ชื่อ และอีเมล เพื่อช่วยในการดำเนินคดี

เบื้องต้นทาง Apple จะแนะนำวิธีป้องกันไม่ให้อุปกรณ์นี้สามารถติดตามคุณได้ด้วยการถอดแบตเตอรีออกได้ทันที AirTag นั้นจะไม่สามารถระบุตำแหน่งได้อีกต่อไป จนกว่าจะใส่แบตเตอรีกลับเข้ามา

อุปกรณ์เสริม

เนื่องจาก Apple วางจำหน่าย AirTag เป็นชิ้นๆ ไม่ได้มีสายคล้อง หรือสายห้อยมาให้ด้วย ทำให้เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตอุปกรณ์เสริมแบรนด์อื่นๆ สามารถผลิตพวงกุญแจต่างๆ มาจำหน่ายเพิ่มเติมได้

โดยปัจจุบัน Apple มีห่วงคล้องสำหรับ AirTag ที่เป็นแบบพื้นฐานให้เลือก 2 แบบ และพวงกุญแจอีก 1 แบบ ไม่นับรวมกับสายคล้อง Hermes ที่มีตัวเลือกเพิ่มเติม เพื่อนำไปคล้องกับอุปกรณ์ต่างๆ

เริ่มกันที่ Leather Loop ที่เป็นห่วงคล้องหนัง มีให้เลือก 2 สีคือ แดง และน้ำตาล ถัดมาคือ Loop ที่เป็นยางโพลียูรีเทนมีให้เลือก 4 สี คือ ส้ม เหลือง กรมท่า และขาว ส่วนพวงกุญแจหนัง (Leather Key Ring) มีให้เลือก 3 สี น้ำเงิน น้ำตาล และแดง

นอกจากนี้ ในตลาดยังมี Belkin ที่เปิดตัว Belkin Secure Holder for AirTag มีให้เลือก 2 รูปแบบคือ พวงกุญแจ และสายรัด มีให้เลือก 4 สี คือ สีดำ สีขาว สีชมพู และสีฟ้า วางจำหน่ายแล้วในราคา 490 บาท

ทำให้ในการเลือกซื้อ AirTag นอกจากตัวอุปกรณ์แล้ว ยังต้องเสียเงินซื้ออุปกรณ์เสริมเพื่อนำมาใส่ AirTag ให้นำไปติดกับสิ่งของต่างๆ ได้สะดวกขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็น ติดกับกุญแจรถ กุญแจบ้าน กระเป๋า จักรยาน กล้อง หูฟัง เสื้อคลุม ร่ม หรือแม้แต่กระเป๋าตังก็ตาม

สรุป

AirTag จะกลายเป็นอีกอุปกรณ์เสริมที่ผู้ใช้งาน iPhone ต้องมีติดตัวไว้ สำหรับการค้นหาสิ่งของอย่างแน่นอน เพราะสามารถใช้ในการติดตามหาของได้จริง แม้ว่าจะทำตกไว้ระหว่างทาง หรือตามสถานที่ต่างๆ

ที่สำคัญคือ Apple ออกแบบให้ป้องกันการขโมยไว้อย่างน่าสนใจ โดยผู้ที่ได้ AirTag ไป จะไม่สามารถเชื่อมต่อใช้งานได้ จนกว่าเจ้าของจะยกเลิกการเชื่อมต่อ ดังนั้นถึงขโมยไปได้ ก็จะได้แค่ถ่าน CR2032 ไปใช้งานเท่านั้น ส่วน AirTag ก็ไม่ต่างจากของชิ้นหนึ่งที่ไม่สามารถใช้งานได้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรก AirTag ยังไม่มีวิธีป้องกันไม่ให้คนติดตามได้ในระยะเวลาอันสั้น รวมถึงถ้าไม่ได้ใช้งาน iOS 14.5 ขึ้นไป ก็จะไม่ได้รับการแจ้งเตือนว่ามี AirTag คอยสะกดรอยตามอยู่ เพราะระบบแจ้งเตือนที่คิดค้นมาไม่ได้ทำมาเผื่อให้ Android จึงต้องใช้การฟังเสียงเตือน (ที่ค่อนข้างเบา) จาก AirTag เวลาอยู่ห่างจากเจ้าของนานๆ แทน

]]>
Review : realme 8 5G เมื่อเครื่อง 5G เข้าถึงได้ในราคา 9,999 บาท https://cyberbiz.mgronline.com/review-realme-8-5g/ Wed, 19 May 2021 04:52:46 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35180

การแข่งขันในกลุ่มสมาร์ทโฟนราคาต่ำกว่าหมื่นบาท ที่รองรับ 5G เริ่มมีให้เห็นชัดเจนขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งหนึ่งในรุ่นที่น่าจับตามองคงหนีไม่พ้น realme 8 5G ที่ทำราคาเปิดตัวมา 9,999 บาท ตัวเครื่องรองรับ 5G แบบ Dual Standby และให้หน้าจอมาขนาดใหญ่ถึง 6.5 นิ้ว

ความสามารถของ realme 8 5G ในแง่การใช้งานถือว่าอยู่ระดับกลางๆ เนื่องจากต้นทุนของชิปเซ็ต 5G ที่ค่อนข้างสูง ทำให้มีการปรับลดสเปกเครื่องบางส่วนลง เพื่อให้ตัวเครื่องรองรับ 5G ซึ่งถ้าใครกำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G มาใช้งาน ก็เป็นตัวเลือกระดับเริ่มต้นที่น่าสนใจ

ข้อดี

  • สมาร์ทโฟนขนาดจอ 6.5 นิ้ว Refresh Rate 90 Hz
  • รองรับการเชื่อมต่อ 5G Dual Standby
  • แบตเตอรี 5,000 mAh
  • ราคาเปิดตัว 9,999 บาท

ข้อสังเกต

  • ชิปเซ็ต Dimensity 700 5G จะเน้นที่การเชื่อมต่อ 5G เป็นหลัก การประมวลผลอยู่ในระดับกลางๆ
  • กล้องหลักอยู่ที่ 48 ล้านพิกเซล (รุ่น 4G ได้กล้อง 64 ล้านพิกเซล)
  • รองรับชาร์จเร็ว 18W (รุ่น 4G ได้ Dart Charge 30W)

เน้นเจาะกลุ่มผู้ใช้ 5G เริ่มต้น

ด้วยโพสิชันของ realme 8 ที่ออกวางจำหน่ายพร้อมกันทั้งรุ่น 4G และ 5G ในราคาต่างกัน 1,000 บาท ทำให้ realme 8 5G มีสเปกเครื่องโดยรวมหลายๆ ส่วนต่ำกว่ารุ่น 4G เนื่องจากชิปเซ็ตที่รองรับ 5G ในท้องตลาดเวลานี้ ยังมีราคาค่อนข้างสูงอยู่ ทำให้ต้องตัดต้นทุนในจุดอื่นออกไป

ดังนั้น Realme 8 5G จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนรองรับ 5G ในระดับราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อนำส่วนต่างจากค่าเครื่องไปสมัครแพ็กเกจใช้งาน 5G ที่ปัจจุบัน การใช้งาน 5G แบบไม่จำกัดจะอยู่ที่ราวเดือนละ 1,099 บาท จะทำให้ได้ประสบการณ์ใช้งาน 5G ที่ดีที่สุด

เพราะอย่าลืมว่า ในการเลือกซื้อเครื่อง 5G มาใช้งาน นอกจากความเร็วในการเชื่อมต่อโมบายอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นแล้ว ราคาของแพ็กเกจที่ต้องจ่ายก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน เนื่องจากปริมาณในการใช้งาน 5G เมื่อเทียบกับ 4G แล้วจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ทำให้ต้องคำนวนถึงค่าใช้จ่ายแฝงที่จะตามมาด้วย

ในกรณีกลับกัน ถ้าไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้งาน 5G ตัวเลือกอย่าง realme 8 4G ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะด้วยสเปกหลายๆ ส่วนที่ดีขึ้นทั้งชิปเซ็ตประมวลผล กล้อง และระบบชาร์จเร็ว ทำให้มีความคุ้มค่ามากกว่า

จุดเด่นของ realme 8 5G

นอกเหนือจากการเชื่อมต่อ 5G แล้ว ในภาพรวมของการใช้งาน realme 8 5G ก็ต้องยอมรับว่า realme ทำการบ้านมาได้ดี ในแง่ของประสบการณ์ใช้งานตัวเครื่องทำได้ลื่นไหล เมื่อใช้งานทั่วๆ ไป ประกอบกับการที่ให้จอมา 6.5 นิ้ว Ultra Smooth Display 90 Hz ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล) ทำให้การแสดงผลทำได้ดี

ถัดมาในแง่ของขนาดตัวเครื่อง realme 8 5G อยู่ที่ 162.5 x 74.8 x 8.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 185 กรัม วางจำหน่ายด้วยกัน 2 สี คือ Supersonic Blue ที่ชุบอินเดียมไฮกลอส เพิ่มความสว่างเป็นประกายที่ฝาหลัง และอีกสีคือ Supersonic Black 

จะเห็นได้ว่า ตัวเครื่องมากับดีไซน์ที่ค่อนข้างบาง และตัวเครื่องไม่หนักจนเกินไป ทำให้การถือใช้งานทำได้ถนัดมือ แม้ว่าส่วนของฝาหลังจะเป็นเงาๆ ทำให้ติดรอยนิ้วมือได้ง่ายสักหน่อย แต่ถ้าการใช้งานส่วนใหญ่ใส่เคสอยู่แล้วก็ไม่มีปัญหา

ในส่วนของกล้อง realme 8 5G ให้กล้องหลักมาที่ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล f/1.8 มาพร้อมเลนส์ขาวดำ ที่มาช่วยตรวจจับแสงเพิ่มเติม และเลนส์มาโคร ให้สามารถถ่ายภาพระยะใกล้ได้ถึง 4 เซนติเมตร พร้อมไฟแฟลช LED

ส่วนกล้องหน้าแบบเจาะรูอยู่ใต้จอจะให้ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล มี AI Beauty Selfie มาให้ใช้งาน รองรับการถ่ายวิดีโอทั้งกล้องหลัก และกล้องหน้าที่ 1080p / 30 fps เท่านั้น ยังไม่สามารถบันทึกภาพแบบ 4K ได้

ความน่าสนใจอีกอย่างของ realme 8 5G คือสัมผัสที่ได้จากขอบเครื่อง ที่ใช้กระบวนการ Microcrack มาช่วยในการหล่อขอบตัวเครื่อง ให้มีความยืดหยุ่นรองรับแรงจอของกระจกหน้าจอ พร้อมกับการออกแบบป้องกันมุม ช่วยลดความเสี่ยงในการแตกของหน้าจอ

โดยจะมีปุ่มปรับระดับเสียง และถาดใส่ซิมการ์ดอยู่ทางฝั่งซ้าย ข้อดีของถาดใส่ซิม realme 8 5G ก็คือสามารถใส่ 2 นาโนซิมการ์ด พร้อมกับไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติมได้เลย ส่วนทางฝั่งขวาจะมีปุ่มเปิดเครื่องพร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่

ด้านบนตัวเครื่องจะถูกปล่อยว่างไว้ และมีพอร์ต USB-C ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ไมโครโฟนสนทนา และลำโพงอยู่ที่ขอบด้านล่างเครื่อง โดยภายในกล่องจะไม่ได้แถมหูฟังมาให้ด้วย มีเฉพาะอะเดปเตอร์ชาร์จ 18W กับสาย USB Type-A to USB-C ให้เท่านั้น

สเปก

ในแง่ของสเปกตัวเครื่อง realme 8 5G มากับชิปเซ็ตประมวลผล Dimensity 700 5G ที่เป็น Octa-Core ผลิตบนสถาปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร ความเร็ว 2.2 GHz ทำงานคู่กับ GPU Mali-G57 ช่วยให้สามารถประมวลผลภาพได้ลื่นไหล กับจอแสดงผลแบบ 90 Hz ได้เป็นอย่างดี

ตัวเครื่องมากับ RAM 8 GB ROM 128 GB สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดได้สูงสุด 1 TB รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 5 บลูทูธ 5.1 พร้อมระบบระบุพิกัด GPS แบตเตอรี 5000 mAh รองรับชาร์จเร็ว 18W กับอะเดปเตอร์ที่แถมมาให้ในกล่อง รวมถึงเคสใส และฟิลม์กันรอย

Realme 8 5G ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบด้วย realme UI 2.0 ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานให้ลื่นไหล และง่ายขึ้น ซึ่งตัวเครื่องจะมีการพรีโหลดแอปฯ มาให้ใช้งานด้วย

ทดสอบใช้งาน

เท่าที่ได้ลองใช้งาน realme 8 5G มาอย่างแรกที่ชื่นชอบคือเรื่องความเร็วในการเชื่อมต่อ 5G ทำได้เป็นอย่างดี ยิ่งอยู่ในพื้นที่รองรับแล้ว ความเร็วระดับ 400 Mbps ขึ้นไป ถือเป็นเรื่องปกติ ช่วยให้ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างลื่นไหลมาก

ถัดมาในส่วนของความบันเทิงต้องยอมรับว่าด้วยจอที่ให้มา 6.5 นิ้ว 90 Hz ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก ดูหนัง ดูยูทูป ประกอบกับแบตเตอรีที่ให้มา 5,000 mAh ทำให้ใช้งานทั้งวันได้สบายๆ

ขณะที่การเล่นเกม แม้ว่าด้วยสเปกเครื่องที่ไม่ได้สูงมาก ทำให้ปรับการแสดงผลแบบสูงสุดไม่ได้ แต่พอปรับให้เหมาะสม การแสดงผล การเล่นต่างๆ ก็ทำได้ลื่นไหล ภายใน realme 8 5G ยังมีโหมดเล่นเกมโดยเฉพาะมาให้ ที่จะคอยเคลียการใช้ทรัพยากรต่างๆ ของเครื่องเพื่อให้ลื่นไหลที่สุด

ส่วนกล้องที่ให้มา 48 ล้านพิกเซล ถือว่าทำได้คุ้มกับราคาที่เสียไปแน่นอน โดยเฉพาะการถ่ายภาพในพื้นที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ สามารถเก็บรายละเอียดได้เป็นอย่างดี ส่วนในโหมดถ่ายกลางคืน แม้ว่าจะรับแสงได้มากขึ้น แต่ก็อยู่ในระดับพอใช้งานได้เท่านั้น

สรุป

ด้วยค่าตัวของ realme 8 5G ที่ 9,999 บาท ทำให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ น่าสนใจสำหรับผู้ที่พร้อมจ่ายเงินค่าแพ็กเกจ 5G เพิ่ม เลือกใช้งานแน่นอน และรองรับการใช้งานต่อเนื่อง ในอนาคตได้สบายๆ

แต่ถ้าไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้งาน 5G ทางเลือกอย่าง realme 8 4G จะดูคุ้มค่าในการใช้งานมากกว่า เพราะได้ประสิทธิภาพตัวเครื่องที่ดีกว่าอย่าง การชาร์จแบตที่เร็วกว่า แลกกับขนาดจอที่เล็กลงเหลือ 6.4 นิ้ว และไม่รองรับ 5G แค่นั้นเอง

Gallery

]]>
Review : ROG Flow X13 เกมมิ่งโน้ตบุ๊กตัวแรงด้วย AMD Ryzen 9 https://cyberbiz.mgronline.com/review-rog-flow-x13/ Thu, 13 May 2021 01:41:21 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35055

ที่ผ่านมา ภาพของโน้ตบุ๊กเกมมิ่งส่วนใหญ่แล้วจะอยู่กับเครื่องที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ ตัวเครื่องหนาๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการประมวลผลเกมที่แรงๆ แต่ภาพนั้นเริ่มถูกทดแทนเข้ามาด้วยไลน์อัปผลิตภัณฑ์โน้ตุบุ๊กเกมมิ่งที่ทยอยเข้ามาทำตลาดในปีนี้

ROG Flow X13 ถือเป็นหนึ่งในเกมมิ่งโน้ตบุ๊กที่มีความน่าสนใจหลายๆ อย่าง ไล่ตั้งแต่การเลือกนำ AMD Ryzen 9 มาใช้เป็นหน่วยประมวลผลหลัก พร้อมใส่การ์ดจอ NVIDIA GT1650 มาให้ใช้งาน ในขนาดตัวเครื่องที่มีความบางมากๆ และยังสามารถพับหน้าจอเพื่อใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ

ROG Flow X13 จึงไม่ใช่แค่โน้ตบุ๊กเกมมิ่งเท่านั้น แต่ยังใช้เป็นแท็บเล็ต ใช้งานเพื่อความบันเทิง ไปจนถึงใช้ในการนำเสนองาน เพิ่มเติมจากความสามารถหลักคือการเป็นโน้ตบุ๊กเกมมิ่งประสิทธิภาพสูงที่พกพาได้ ในราคาเริ่มต้น 49,990 บาท

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กตัวเครื่องเล็กพกพาง่าย
  • ประสิทธิภาพแรงระดับท็อป
  • เพิ่มประสิทธิภาพได้ด้วย eGPU ROG XG Mobile

ข้อสังเกต

  • ถ้าใช้งานประมวลผลหนักๆ แบตเตอรีจะหมดเร็วมาก
  • รุ่นที่วางจำหน่ายในไทยเลือกใช้จอแบบ WUXGA ไม่ใช่ UHD
  • กรณีที่ต้องการใช้งาน eGPU ไม่มีวางจำหน่ายแยก ต้องเลือกซื้อตั้งแต่แรก

โน้ตบุ๊กเกมมิ่ง 2-1

หนึ่งในความน่าสนใจของ ROG Flow X13 คือเรื่องของการออกแบบตัวเครื่องให้มีขนาดเล็ก พกพาง่าย ในขนาดหน้าจอ 13.4 นิ้ว และยังเป็นแบบ 2-1 ที่สามารถใช้งานได้ 4 รูปแบบด้วยกัน

นอกจากนี้ ดีไซน์ตัวเครื่องยังสื่อถึงความแรง ทั้งจากลายเส้นที่ฝาหลัง สัญลักษณ์ ROG ที่เป็นแบรนด์เกมเมอร์ที่ได้รับการยอมรับอยู่แล้ว ในสีแบบดำด้าน วัสดุตัวเครื่องทำจากอะลูมิเนียมคุณภาพสูง ที่ให้สัมผัสตัวเครื่องแข็งแรง

ตัวเครื่อง ROG Flow X13 มีขนาดอยู่ที่ 299.4 x 222.9 x 15.75 มิลลิเมตร น้ำหนักประมาณ 1.3 กิโลกรัม ซึ่งถือว่ามีขนาดที่ค่อนข้างเล็ก เมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กเกมเมอร์ทั่วไปในท้องตลาด

สำหรับรูปแบบการใช้งาน ROG Flow X13 ด้วยการที่เป็นตัวเครื่องแบบ 2-1 ทำให้สามารถตั้งใช้งานได้ 4 แบบ ไล่ตั้งแต่การใช้งานเป็นโน้ตบุ๊กปกติ พับหน้าจอเพื่อใช้งานเป็นแท็บเล็ต เพราะหน้าจอรองรับการทัชสกรีนอยู่แล้ว

หรือจะตั้งเครื่องในลักษณะของ Tent เพื่อใช้รับชมคอนเทนต์ต่างๆ หรือใช้เวลาเล่นเกม ที่ควบคุมผ่านจอยคอนโทรล การวางเครื่องในลักษณะนี้จะช่วยระบายความร้อนให้ดีขึ้นด้วย และสุดท้ายคือโหมดสำหรับพรีเซ็นต์ ที่วางตัวคีย์บอร์ดแนบไปกับพื้นราบ เพื่อนำเสนอหน้าจอในลักษณะของการพรีเซ็นต์งาน

เมื่อเปิดหน้าจอเครื่องขึ้นมาจะพบกับหน้าจอขนาด 13.4 นิ้ว โดยรุ่นที่วางจำหน่ายในไทยจะมากับความละเอียด WUXGA (1900 x 1200 พิกเซล) 120 Hz 100% sRGB ในอัตราส่วน 16:10 ส่วนเครื่องที่ทีมงานได้มาทดสอบจะเป็นรุ่นจอ UDH 60 Hz 116% sRGB ทื่ให้จอแสดงผลได้คมชัดอย่างน่าสนใจ

ในส่วนของแป้นคีย์บอร์ด จะมีการแยกปุ่มลัดที่สำคัญๆ อย่างการปรับเพิ่มลดเสียง ปิดไมค์ และเรียกใช้งาน Armory Crate ที่เป็นโปรแกรมไว้ควบคุมประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องขึ้นมา ตัวไฟคีย์บอร์ดยังเลือกปรับการแสดงผลได้ ว่าจะให้ติดค้างไว้ หรือกระพริบเป็นจังหวะต่างๆ

นอกจากนี้ ในส่วนของคีย์บอร์ดที่ให้มายังเป็นไซส์มาตรฐานเทียบเท่าโน้ตบุ๊กขนาดจอ 15 นิ้ว และมีปุ่มลัดให้เรียกใช้งานคีย์ Fn ในการควบคุมพัดลมระบายอากาศเพิ่มขึ้นมา อย่างไรก็ตาม จุดที่น่าเสียดายคือส่วนของปุ่มลูกศรที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก และทัชแพดที่เล็กตามขนาดของตัวเครื่อง

พอร์ตเชื่อมต่อครบ

อีกความน่าสนใจของ ROG Flow X13 คือเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อ ที่ให้มาอย่างน่าสนใจ ไไล่จากทางฝั่งซ้ายตัวเครื่อง ที่มียางซึ่งมีสัญลักษณ์ของ ROG ปิดพอร์ตอยู่ คือตำแหน่งของพอร์ตเชื่อมต่อ eGPU คู่กับ USB-C เพื่อใช้ในการจ่ายไฟ (สามารถใช้เป็นพอร์ต USB-C ปกติได้ 1 พอร์ต) พอร์ต HDMI และช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม.

ทางฝั่งขวา จะมีช่องเสียบ USB-C ให้อีก 1 พอร์ต และ USB 3.2 Type A อีก 1 พอร์ต รวมถึงปุ่มเปิดเครื่อง ที่มีการฝั่งเซ็นเซฮร์สแกนลายนิ้วมือเข้าไปด้วย ทำให้สามารถปลดล็อกตัวเครื่องด้วยการสแกนลายนิ้วมือของ Windows Hello ได้

ในส่วนของการเชื่อมต่อไร้สาย ตัวเครื่องมากับ WiFi 6 บลูทูธ 5.1 เรียกได้ว่าให้มาครบถ้วนสำหรับโน้ตบุ๊กระดับไฮเอนด์รุ่นนี้

ในกรณีที่เลือกซื้อ ROG Flow X13 Supernova Edition ROG XG Mobile ที่มาพร้อมตัว eGPU จะเพิ่มพอร์ตเชื่อมต่อทั้ง USB 3.2 Type A อีก 4 พอร์ต ช่องอ่านการ์ด พอร์ต HDMI พอร์ต Display 1.4 และ Gigabit Ethernet เพิ่มเข้ามา พร้อมกับอะเดปเตอร์ไฟขนาด 280W เพื่อให้รองรับการประมวลผลระดับสูงได้อย่างเต็มที่

ขุมพลัง AMD Ryzen 9

สำหรับจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของเครื่องรุ่นนี้ คงหนีไม่พ้นการเลือกนำ AMD Ryzen 9 มาใช้งานกับโน้ตบุ๊กขนาดจอ 13.4 นิ้ว รุ่นนี้ เพราะถือเป็นรุ่นแรกๆ ที่นำซีพียูรุ่นนี้มาใช้งาน

โดยความสามารถในการประมวลผลของ Ryzen 9 ร่วมกับการ์ดจอออนบอร์ด Vega 8 ที่ให้มาก็ถือว่าแรงเทียบเท่ากับการ์ดจอแยกหลายๆ รุ่นแล้ว การเลือกใส่ NVIDIA GT1650 มาให้ในเครื่อง ก็ยิ่งทำให้โน้ตบุ๊กรุ่นนี้ รองรับการเล่นเกมได้ครอบคลุมมากที่สุด

ในแง่ของการประมวลผล ต้องยอมรับว่า AMD Ryzen 9 ถือว่าเป็นซีพียูระดับท็อปที่สุดในเวลานี้ แต่ก็แลกมากับเรื่องของการใช้พลังงานที่ค่อนข้างสูง ทำให้เมื่อเปิดโหมดประสิทธิภาพสูง (Performance) ใช้งานแบตเตอรีจะหมดภายในเวลาชั่วโมงกว่าๆ

แต่ถ้าใช้งานในโหมดประหยัดพลังงาน ก็จะยืดระยะเวลาใช้งานออกไปได้ สำหรับการใช้ท่องเว็บ พิมพ์งานเอกสาร หรือดูภาพยนต์ ระดับ 6-7 ชั่วโมง ที่น่าสนใจก็คือตัวเครื่องมากับอะเดปเตอร์ 100W ที่มีขนาดเล็ก รองรับการชาร์จเร็ว 50% ภายในเวลา 30 นาทีด้วย

ส่วนถ้าต้องการเรียกใช้ประสิทธิภาพสูงสุดของตัวเครื่อง ในโหมด Turbo จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอะเดปเตอร์ถึงจะเลือกใช้งานโหมดนี้ได้ ซึ่งจะทำให้การประมวลผลแรงขึ้นไปอีก จนรองรับการเล่นเกมได้ทุกเกมในเวลานี้

ในแง่ของการระบายความร้อน ต้องยอมรับว่าระบบพัดลมคู่ที่ให้มาช่วยให้ตัวเครื่องระบายความร้อนได้ค่อนข้างดี ผู้ใช้สามารถเลือกระดับความแรงของพัดลมได้ ในกรณีที่ต้องการใช้งานในโหมดเงียบก็สามารถทำได้

แต่ถ้าใช้งานเครื่องพนักๆ พัดลมระบายความร้อนก็จะมีเสียงดังขึ้นอย่างชัดเจน แลกมากับการระบายความร้อนของตัวเครื่อง ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั่นเอง

Armoury Crate ปรับแต่งเครื่อง

ในส่วนของซอฟต์แวร์การจัดการเครื่องที่ให้มาอย่าง Armoury Crate ถือว่าใช้งานง่ายมากๆ เหมาะกับสายฮาร์ดคอร์ที่ต้องการข้อมูลการใช้งานทรัพยากรของเครื่องต่างๆ

โดยภายในจะมีให้เลือกทั้งการปรับโหมดใช้งาน แสดงผลสัญญาณนาฬิกาในการประมวลผลของซีพียู การ์ดจอ หน่วยความจำ ที่สามารถดูอุณหภูมิ และพลังงานที่ใช้ได้ จนถึงการเข้าไปตั้งค่าปรับแต่งให้เหมาะกับการใช้งานแต่ละโปรแกรมที่เรียกใช้ด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพ

ด้วยการที่ตัวเครื่องมากับ AMD Ryzen 9 พร้อม NVIDIA GeForce GT1650 ทำให้รองรับการเล่นเกมส่วนใหญ่ในท้องตลาเวลานี้ได้อยู่แล้ว ซึ่งในกรณีที่ใช้งานปกติ ไม่ได้ประมวลผลหนักๆ ตัวเครื่องจะเลือกใช้การ์ดจอออนบอร์ดที่เป็น Radeon Vega 8 ที่ประหยัดพลังงานมากกว่าการ์ดจอแยก ซึ่งก็รองรับการใช้งานทั่วไปได้สบาย จนถึงการรับชมภาพยนต์ระดับ 4K ได้ลื่นไหล

ในกรณีที่เล่นเกม แล้วต้องการประสิทธิภาพสูงอย่างโหมด Turbo ที่ต้องเสียบใช้งานคู่กับอะเดปเตอร์ ก็จะช่วยให้ตัวเครื่องแรงขึ้นไปอีก ทำให้ ROG Flow X13 มาตอบโจทย์การเล่นเกม และพกพาได้อย่างน่าสนใจ หรือถ้าพกไปใช้ทำงานก็จะใช้งานได้ราว 6-7 ชั่วโมง ก็เพียงพอแล้ว

รุ่นที่วางจำหน่ายในไทย

สำหรับ ROG Flow X13 รุ่นที่วางจำหน่ายในประเทศไทย จะมีเฉพาะรุ่นที่ใช้หน้าจอ 13.4 นิ้ว แบบ WUXGA 120 Hz ซีพียู AMD Ryzen 9 5980HS การ์ดจอ NVIDIA GeForce GTX 1650 4 GB RAM 16 GB พื้นที่เก็บข้อมูล SSD 1 TB ในราคา 49,990 บาท และมีรุ่น Supernova ที่มาพร้อม ROG XG Mobile เพิ่มการ์ดจอเป็น NVIDIA RTX 3080 ในราคา 99,990 บาท

สรุป

ใครที่กำลังมองหาเกมเมอร์โน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง หรือโน้ตบุ๊กขนาดพกพาง่าย ที่รองรับการใช้งานได้อย่างเต็มที่ ROG Flow X13 ในรุ่น 49,990 ถือว่าทำราคามาได้น่าสนใจ เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่ให้มา

ส่วนถ้าใครงบเหลือๆ แล้วต้องการโน้ตบุ๊กที่สุดจริงๆ สามารถนำไปต่อกับจอภายนอกเพื่อเล่นเกมได้สบายๆ Supernova Edition ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะตัว ROG XG Mobile ที่มากับ RTX 3080 ถือว่าสุดมากๆ สำหรับเกมมิ่งโน้ตบุ๊กในเวลานี้

Gallery

]]>
Review : Huawei Band 6 สมาร์ทแบนด์วัดออกซิเจนในเลือด ราคา 1,499 บาท https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-band-6/ Mon, 26 Apr 2021 05:05:35 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35094

เมื่อการวัดค่าออกซิเจนในเลือดกลายเป็นฟีเจอร์สำคัญที่ผู้บริโภคมองหา ทำให้บรรดาผู้ผลิตอุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพหลายๆ แบรนด์เร่งพัฒนาความสามารถนี้ ให้กลายเป็นฟีเจอร์พื้นฐานในการใช้งาน ที่แม้ว่าจะไม่ใช่อุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่ก็สามารถวัดค่าออกซิเจนในเลือดได้ มาเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค

Huawei Band 6 ถือเป็นหนึ่งในสมาร์ทแบนด์ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ดังกล่าว ในระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่าย ด้วยโปรโมชันเปิดตัวที่ 1,499 บาท ที่นอกจากได้ Wearable ที่มาวัดค่า SpO2 หรือออกซิเจนในเลือดแล้ว ยังได้กึ่งๆ สมาร์ทวอทช์หน้าจอ 1.47 นิ้ว ที่รองรับการแจ้งเตือน และตรวจจับการออกกำลังกายได้ด้วย

ข้อดี

  • สมาร์ทแบนด์ฟีเจอร์ครบราคาเข้าถึงได้ 1,499 บาท (จากราคาปกติ 1,899 บาท)
  • หน้าจอ AMOLED 1.47 นิ้ว เหมาะกับทุกคน
  • ตรวจวัด HR / SpO2 / ความเคลียด / มีโหมดกีฬา 96 โหมด

ข้อสังเกต

  • สายเป็นซิลิโคนทำให้ดูไม่พรีเมียม แต่สามารถเปลี่ยนสีได้
  • ต้องใช้งานคู่กับสมาร์ทโฟน Huawei ถึงใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพมากที่สุด

เน้นฟีเจอร์เพื่อสุขภาพ

การเป็นสมาร์ทแบนด์ ที่เน้นเรื่องสุขภาพเป็นหลัก ทำให้ Huawei Band 6 มากับความสามารถที่น่าสนใจหลากหลายอย่างเกี่ยวกับสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์พื้นฐานอย่างการวัดจำนวนก้าวเดิน การทำกิจกรรมต่างๆ จนถึงการนอน ที่สมาร์ทแบนด์ส่วนใหญ่ในท้องตลาดทำได้อยู่แล้ว

แต่ความพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาของ Huawei Band 6 คือการเพิ่มความสามารถในการวัดค่าออกซิเจนในเลือดขณะออกกำลังกาย (SpO2) ทำให้ผู้ใช้งาน สามารถรับรู้ถึงปริมาณออกซิเจนในเลือดได้ว่าอยู่ที่เท่าไหร่ (ตามปกติต้องสูงกว่า 95%)

โดยปัจจุบันค่าออกซิเจนในเลือดได้กลายมาเป็นหนึ่งในการวัดค่าสุขภาพที่ผู้บริโภคสนใจ เกี่ยวเนื่องมาจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เมื่อเกิดการติดเชื้อแล้วเริ่มลามไปที่ปอด ออกซิเจนในร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อจะลดลง การที่มีอุปกรณ์วัดออกซิเจนมาติดตัวจะช่วยให้สามารถเฝ้าระวังความผิดปกติของร่างกายได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ Huawei Band 6 ไม่ได้เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีความแม่นยำในการวัดค่า SpO2 รวมถึงการเปิดให้ใช้งานฟีเจอร์วัดออกซิเจนในเลือดตลอดเวลา ดังนั้นในการใช้งาน Huawei Band 6 ต้องระลึกไว้เสมอว่าเป็นค่าที่อาจเกิดความคลาดเคลื่อนได้ ต้องมีการตรวจสอบร่วมกับอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อความมั่นใจอีกครั้ง และข้อมูลที่ได้ถือเป็นข้อมูลอ้างอิงเฉพาะบุคคลเท่านั้น

นอกเหนือจากการวัด SpO2 แล้ว Huawei Band 6 ยังได้พัฒนาระบบตรวจจับการออกกำลังกายเพิ่มเติม ที่จะคอยแทร็กพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้โดยอัตโนมัติ เมื่อพบว่ามีการออกกำลังกายโดยที่ยังไม่ได้เริ่มเก็บข้อมูล ก็จะคอยบันทึกข้อมูลไว้ เพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกประเภทของกีฬาในการบันทึกข้อมูลภายหลังได้

ปัจจุบัน Huawei Band 6 มีชนิดกีฬาให้เลือกใช้งานทั้งหมด 96 โหมด ที่มีกีฬาประเภทใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างสเก็ตบอร์ด หรือกระโดดเชือก เพิ่มเข้าไปด้วย ทำให้ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายได้อย่างน่าสนใจ นอกจากนี้ ยังมีโหมดที่จะคอยเก็บข้อมูลรอบประจำเดือนของผู้หญิง ทำให้เหมาะกับการใช้งานทั้งผู้ชาย และผู้หญิงไปพร้อมๆ กัน

Huawei Band 6 ยังรองรับการตรวจวัดทางด้านสุขภาพเพิ่มเติม ทั้ง Huawei TruSleep ที่เมื่อเปิดใช้งานจะวัดการนอนในระดับที่ลึกมากขึ้น การตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจตลอดเวลา และทำการแจ้งเตือนเมื่อเกินค่าที่กำหนด รวมถึงวัดระดับความเครียดของผู้สวมใส่ได้

จอใหญ่ ใช้งานง่าย

ในส่วนของการออกแบบ Huawei Band 6 ถือว่าทำมาได้น่าสนใจ กับสมาร์ทแบนด์ที่ให้หน้าจอขนาด 1.47 นิ้ว ความละเอียด 194 x 368 พิกเซล โดยหน้าจอมีสัดส่วนเมื่อเทียบกับตัวเครื่องถึง 64% วางจำหน่ายด้วยกัน 3 สีคือ ดำ Graphite Black เขียว Forest Green และ ชมพู Sakura Pink

น้ำหนักเฉพาะตัวเรือนประมาณ 18 กรัม โดยมีขนาดตัวเรือนที่ 43 x 25.4 x 10.99 มิลลิเมตร ในส่วนของสายซิลิโคนที่ให้มาจะมีขนาด 13-21 เซนติเมตร ถือว่ารองรับการใช้งานทั้งผู้ชาย และผู้หญิง ให้สามารถสวมใส่ใช้งานได้

หน้าจอที่ให้มาเป็น AMOLED ที่รองรับการสัมผัสในการสั่งงาน และมีปุ่มเรียกเมนูเพิ่มทางด้านขวาของตัวเครื่อง ด้านหลังเป็นเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ภายในให้แบตเตอรี 180 mAh สามารถใช้งานต่อเนื่องได้สูงสุด 14 วัน และมีระบบชาร์จเร็ว 5 นาที ใช้งานได้ต่อเนื่อง 2 วัน ชาร์จเต็มในเวลาประมาณ 65 นาที

ความน่าสนใจของ Huawei Band 6 อีกอย่างคือผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนหน้าปัดนาฬิกาได้เพิ่มเติม เพียงแต่ต้องเชื่อมต่อกับ Huawei Health บนสมาร์ทโฟน ถึงจะสามารถดาวน์โหลด และเปลี่ยนหน้าปัดนาฬิกาได้ (iOS โหลดได้เฉพาะหน้าปัดฟรี)

จะได้เห็นว่าในการใช้งาน Huawei Band 6 ร่วมกับ iOS บนแอปพลิเคชัน Huawei Health จะมีฟังก์ชันในการใช้งานได้น้อยกว่าใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ หรือ มือถือของหัวเว่ย เอง อย่างฟีเจอร์ในการใช้เป็นเครื่องมือควบคุมการเล่นเพลง หรือเป็นชัตเตอร์กล้องจะหายไป ไม่สามารถใช้งานร่วมกับ iOS ได้

สรุป

ถ้าใครเป็นผู้ที่ใช้งาน Android แล้วกำลังมองหาสมาร์ทแบนด์ในระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่ายๆ สามารถตรวจวัดเกี่ยวกับสุขภาพ อย่างอัตราการเต้นของหัวใจ วัดค่าออกซิเจนในเลือด และตรวจจับการออกกำลังกายได้ Huawei Band 6 ถือเป็นหนึ่งในรุ่นที่น่าสนใจเวลานี้

เนื่องจากในช่วงเปิดตัวมีการทำโปรโมชันให้สั่งจองล่วงหน้าในราคา 1,499 บาท จะได้รับสายซิลิโคนเพิ่ม 1 เส้น ระหว่างวันที่ 26 เมษายน – 5 พฤษภาคม ก่อนที่จะวางจำหน่ายในราคาปกติ 1,899 บาท ผ่านช่องทางออนไลน์ และหน้าร้าน Huawei High-End Experience Store ที่สยามพารากอน เท่านั้น

Gallery

]]>