วางจำหน่าย – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Fri, 04 Jun 2021 09:59:36 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Apple AirTag ทำงานอย่างไร ช่วยให้หาของหายง่ายขึ้นจริงไหม? https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-airtag/ Fri, 04 Jun 2021 07:09:20 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35311

เมื่อต้องให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ทำให้ แอปเปิล (Apple) ต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนา AirTag ให้ปลอดภัยกับทั้งผู้ใช้ และผู้บริโภคทุกคนมากที่สุด เพราะเมื่อเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ติดตามสิ่งของหายได้ ก็ใช้ในการติดตามหรือสะกดรอยผู้คนได้เช่นเดียวกัน

แนวคิดในการพัฒนา AirTag ของ Apple นั้นถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการระบุตำแหน่งสิ่งของสำคัญๆ ได้ง่ายขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีอ Ultra-wideband (UWB) เพื่อช่วยระบุพิกัดสิ่งของเหล่านั้น และเมื่ออยู่ใกล้วัตถุภายในระยะ 10 เมตร บลูทูธ ก็จะเข้ามาทำหน้าที่ในการระบุตำแหน่งที่ชัดเจนอีกทีหนึ่ง

Apple AirTag เริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ววันนี้ ในราคาชิ้นละ 990 บาท และมีขายเป็นแพ็ก 4 ชิ้น ในราคา 3,390 บาท พร้อมกับอุปกรณ์เสริมอย่างพวงกุญแจหนัง (1,390 บาท) ห่วงคล้องแบบหนัง (1,590 บาท) และห่วงคล้องโพลียูรีเทน (1,190 บาท)

ข้อดี

  • ช่วยหาสิ่งของที่ลืมไว้ง่ายขึ้น
  • เข้ารหัสข้อมูล โดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัว
  • กันน้ำ กันฝุ่น IP67
  • แบตเตอรีใช้งานได้ราว 1 ปี (เปลี่ยนเองได้)

ข้อสังเกต

  • ใช้งานได้เฉพาะอุปกรณ์ iOS 14.5 ขึ้นไป
  • ต้องซื้อพวงกุญแจสายห้อยเพิ่ม
  • กรณีที่ทำหล่นหาย หากถูกถอดแบตเตอรีจะไม่สามารถติดตามได้
  • การแจ้งเตือนผู้ใช้รายอื่นที่ถูก AirTag ติดตามต้องใช้ระยะเวลา

เบื้องหลังคือชิป U1 ที่มี Ultra-wideband

ก่อนหน้านี้ แอปเปิล ได้มีการนำฟีเจอร์อย่างค้นหาของฉันหรือ Find My มาใช้ในการติดตามผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น iPhone iPad Mac Apple Watch และ AirPods กันอยู่แล้ว ด้วยการที่ให้อุปกรณ์เหล่านั้นส่งพิกัดที่อยู่ผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ทราบตำแหน่งคร่าวๆ บนแผนที่

ก่อนเริ่มประยุกต์ใช้เครือข่ายของ iPhone ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เป็นตัวช่วยในการตามหาอุปกรณ์ที่ Offline อย่าง MacBook ที่ไม่ได้เชื่อมต่อ WiFi หรือ iPad รุ่นที่ไม่ได้ใส่ซิมการ์ด ด้วยการให้อุปกรณ์เหล่านี้ส่งสัญญาณไปยัง iPhone เพื่อระบุตำแหน่งให้เจ้าของทราบได้

ทำให้ปัจจุบัน Find My ได้กลายเป็นเครือข่ายสำหรับติดตามสิ่งของต่างๆ ที่ใหญ่ และครอบคลุมมากที่สุดในโลก จากอุปกรณ์ของ Apple ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระดับพันล้านเครื่องทั่วโลก ที่สำคัญคือการส่งข้อมูลทั้งหมดนี้จะไม่มีการะบุตัวตน เพื่อป้องกันความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

ต่อจากนั้น แอปเปิลจึงเริ่มพัฒนาชิป U1 ที่นำเทคโนโลยี UWB มาใช้ในการ ระบุตำแหน่งที่ตั้งจริง (Precision Finding) สำหรับ iPhone 11 และ iPhone 12 ที่ช่วยระบุทิศทางที่แม่นยำในการตามหา AirTag เมื่ออยู่ในระยะใกล้เคียง จึงทำให้ AirTag สามารถค้นหาสิ่งของที่หายไปได้

แกะกล่องใช้งาน

เมื่อทราบถึงหลักการทำงานของ AirTag แล้วก็ถึงเวลาใช้งาน เมื่อแกะ AirTag ออกจากกล่องสิ่งแรกที่ต้องทำคือแกะพลาสติกที่หุ้มรอบตัวเครือง เพื่อดึงให้ขั้วแบตเตอรีสัมผัสกัน เพื่อเปิดการใช้งานก่อน

ขนาดของ AirTag จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 31.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 11 กรัม โดยมีความสามารถป้องกันน้ำ และฝุ่นระดับ IP67 (ลึก 1 เมตร ไม่เกิน 30 นาที) รองรับการเชื่อมต่อทั้ง บลูทูธ UWB และ NFC

ภายในของ AirTag จะใช้ถ่านกระดุมขนาดมาตรฐาน CR2032 ที่ใช้งานได้ราว 1 ปี เมื่อสัญญาณอ่อน หรือแบตเตอรีใกล้หมดผู้ใช้สามารถหาซื้อมาเปลี่ยนเองได้ทันที โดยจะมีสถานะแบตเตอรีแจ้งอยู่ในแอป Find My

หลังจากนั้นนำ AirTag ไปไว้ใกล้เคียงกับ iPhone ที่ต้องการเชื่อมต่อ จะเด้งหน้าจอขึ้นมาให้ทำการเชื่อมต่อได้ทันที คล้ายกับการเชื่อมต่อ AirPods ที่คุ้นเคยกัน หลังจากนั้นจะมีให้เลือกว่าต้องการทำ AirTag นี้ไปติดกับสิ่งของใด คล้ายๆ กับการระบุชื่อของสิ่งของให้เข้ามาเลือกดูได้สะดวกขึ้น ในจุดนี้ผู้ใช้สามารถเลือกปรับตั้งชื่อ พร้อมใส่ Emoji เพิ่มเติมได้ด้วย

เมื่อทำการเชื่อมต่อเสร็จแล้ว ก็จะสามารถใช้ในการค้นหาตำแหน่งได้ทันที โดยเมื่ออยู่ในระยะใกล้ประมาณ 10 เมตร จะใช้การค้นหาจากสัญญาณบลูทูธ ร่วมกับ UWB ในการระบุตำแหน่งที่แม่นยำ หรือจะกดให้ส่งเสียงจากตัว AirTag เพื่อช่วยระบุตำแหน่งเพิ่มเติมได้ด้วย

สำหรับการค้นหา AirTag เมื่อตามพิกัดบนแผนที่เข้ามาอยู่ในระยะที่เชื่อมต่อโดยตรงได้แล้ว ที่หน้าจอ iPhone จะมีการชี้บอกทิศทาง และระยะห่างให้ค้นหาได้ง่ายขึ้น ยิ่งเข้าใกล้ AirTag มากเท่าไหร่ ก็จะมีการสั่นช่วยบอกด้วย

กรณีที่ทำหายหล่นอยู่นอกสถานที่ ก็สามารถเข้าไปตั้งโหมดสูญหาย (Lost Mode) เพื่อระบุช่องทางติดตามอย่างเบอร์โทรศัพท์ หรืออีเมล ให้ผู้ที่เก็บได้ใช้ติดต่อกลับมา ในจุดนี้ผู้ที่เก็บ AirTag จะสามารถเห็นข้อมูลดังกล่าวได้ต่อเมื่อนำ AirTag ไปแปะบริเวณจุดรับสัญญาณ NFC ที่ตัวเครื่อง ซึ่งทำงานทั้งบน iOS และ Android

ในระหว่างที่เข้าสู่โหมดสูญหาย เจ้าของ AirTag ยังสามารถติดตามตำแหน่งของอุปกรณ์ หรือสิ่งของนี้ได้ และจะได้รับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนค้นหาเจอ ซึ่งถ้าคนอื่นเก็บได้แล้วนำมาสแกน ก็จะปรากฏลิงก์ให้เข้าสู่เว็บไซต์ แสดงรายละเอียดเฉพาะการติดต่อ และเลขซีเรียลเท่านั้น ไม่ได้ระบุถึงรายละเอียดส่วนตัวอื่นๆ แต่อย่างใด

การนำไปใช้งาน

Apple ออกแบบให้ผู้ใช้สามารถนำ AirTag ไปห้อยไว้กับอุปกรณ์อื่นๆ ที่ทำหายบ่อยๆ หรือชอบลืมทิ้งไว้แล้วหาไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็น AirPods หูฟังอื่นๆ กระเป๋าสตางค์ หรือแม้แต่กระเป๋าถือ เมื่อนำไปห้อยไว้ ก็จะสามารถใช้ AirTag ในการตามหาได้ทันที

ระบบป้องกันการถูกติดตาม

ในแง่ของความเป็นส่วนตัว เมื่อ AirTag สามารถใช้ในการระบุพิกัดได้ ทำให้อาจะถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่ดีในการสะกดรอยได้ ในจุดนี้แอปเปิล ได้คิดค้นวิธีการป้องกันที่จะคอยแจ้งเตือน เมื่อตรวจพบว่า AirTag เดินทางไปในสถานที่ต่างๆ โดยไม่ได้อยู่กับเจ้าของ

เมื่อได้รับการแจ้งเตือน AirTag ที่ไม่ได้อยู่กับเจ้าของ จะแจ้งข้อมูลให้ผู้ใช้งานได้ทราบว่า AirTag เครื่องนี้ติดตามตั้งแต่สถานที่ใดบ้าง และมีปุ่มให้กดเล่นเสียงเพื่อค้นหา AirTag ดังกล่าว เพื่อทำการปิดกั้นไม่ให้ติดตามได้ หรือในกรณีที่อยู่ห่างไกลจากเจ้าของนานเกินช่วงเวลา 8 – 24 ชั่วโมง แอปเปิล ได้ตั้งให้ AirTag ส่งเสียงเพื่อแจ้งเตือนไว้ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ ผู้ใช้ iPhone สามารถเข้าไปแอป Find My แล้วกดเข้าไปใน ระบุสิ่งของที่พบ (Identify Found Item) เมื่อตรวจพบจะขึ้นรายละเอียดของ AirTag ให้เห็นอย่าง Serial Number และเลขหมายโทรศัพท์ 2 หลักหลัง พร้อมคำแนะนำในกรณีที่ไม่ใช่เจ้าของ และเป็น AirTag ต้องสงสัย

โดยถ้ามีการสะกดรอยตามจริงๆ ก็สามารถนำข้อมูล Serial Number ไปดำเนินคดีตามกฏหมายได้ เพราะเมื่อมีการฟ้องร้องทาง Apple สามารถให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับเจ้าของ AirTag ที่ลงทะเบียนไว้ได้อย่าง ชื่อ และอีเมล เพื่อช่วยในการดำเนินคดี

เบื้องต้นทาง Apple จะแนะนำวิธีป้องกันไม่ให้อุปกรณ์นี้สามารถติดตามคุณได้ด้วยการถอดแบตเตอรีออกได้ทันที AirTag นั้นจะไม่สามารถระบุตำแหน่งได้อีกต่อไป จนกว่าจะใส่แบตเตอรีกลับเข้ามา

อุปกรณ์เสริม

เนื่องจาก Apple วางจำหน่าย AirTag เป็นชิ้นๆ ไม่ได้มีสายคล้อง หรือสายห้อยมาให้ด้วย ทำให้เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตอุปกรณ์เสริมแบรนด์อื่นๆ สามารถผลิตพวงกุญแจต่างๆ มาจำหน่ายเพิ่มเติมได้

โดยปัจจุบัน Apple มีห่วงคล้องสำหรับ AirTag ที่เป็นแบบพื้นฐานให้เลือก 2 แบบ และพวงกุญแจอีก 1 แบบ ไม่นับรวมกับสายคล้อง Hermes ที่มีตัวเลือกเพิ่มเติม เพื่อนำไปคล้องกับอุปกรณ์ต่างๆ

เริ่มกันที่ Leather Loop ที่เป็นห่วงคล้องหนัง มีให้เลือก 2 สีคือ แดง และน้ำตาล ถัดมาคือ Loop ที่เป็นยางโพลียูรีเทนมีให้เลือก 4 สี คือ ส้ม เหลือง กรมท่า และขาว ส่วนพวงกุญแจหนัง (Leather Key Ring) มีให้เลือก 3 สี น้ำเงิน น้ำตาล และแดง

นอกจากนี้ ในตลาดยังมี Belkin ที่เปิดตัว Belkin Secure Holder for AirTag มีให้เลือก 2 รูปแบบคือ พวงกุญแจ และสายรัด มีให้เลือก 4 สี คือ สีดำ สีขาว สีชมพู และสีฟ้า วางจำหน่ายแล้วในราคา 490 บาท

ทำให้ในการเลือกซื้อ AirTag นอกจากตัวอุปกรณ์แล้ว ยังต้องเสียเงินซื้ออุปกรณ์เสริมเพื่อนำมาใส่ AirTag ให้นำไปติดกับสิ่งของต่างๆ ได้สะดวกขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็น ติดกับกุญแจรถ กุญแจบ้าน กระเป๋า จักรยาน กล้อง หูฟัง เสื้อคลุม ร่ม หรือแม้แต่กระเป๋าตังก็ตาม

สรุป

AirTag จะกลายเป็นอีกอุปกรณ์เสริมที่ผู้ใช้งาน iPhone ต้องมีติดตัวไว้ สำหรับการค้นหาสิ่งของอย่างแน่นอน เพราะสามารถใช้ในการติดตามหาของได้จริง แม้ว่าจะทำตกไว้ระหว่างทาง หรือตามสถานที่ต่างๆ

ที่สำคัญคือ Apple ออกแบบให้ป้องกันการขโมยไว้อย่างน่าสนใจ โดยผู้ที่ได้ AirTag ไป จะไม่สามารถเชื่อมต่อใช้งานได้ จนกว่าเจ้าของจะยกเลิกการเชื่อมต่อ ดังนั้นถึงขโมยไปได้ ก็จะได้แค่ถ่าน CR2032 ไปใช้งานเท่านั้น ส่วน AirTag ก็ไม่ต่างจากของชิ้นหนึ่งที่ไม่สามารถใช้งานได้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรก AirTag ยังไม่มีวิธีป้องกันไม่ให้คนติดตามได้ในระยะเวลาอันสั้น รวมถึงถ้าไม่ได้ใช้งาน iOS 14.5 ขึ้นไป ก็จะไม่ได้รับการแจ้งเตือนว่ามี AirTag คอยสะกดรอยตามอยู่ เพราะระบบแจ้งเตือนที่คิดค้นมาไม่ได้ทำมาเผื่อให้ Android จึงต้องใช้การฟังเสียงเตือน (ที่ค่อนข้างเบา) จาก AirTag เวลาอยู่ห่างจากเจ้าของนานๆ แทน

]]>
Review : ROG Flow X13 เกมมิ่งโน้ตบุ๊กตัวแรงด้วย AMD Ryzen 9 https://cyberbiz.mgronline.com/review-rog-flow-x13/ Thu, 13 May 2021 01:41:21 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35055

ที่ผ่านมา ภาพของโน้ตบุ๊กเกมมิ่งส่วนใหญ่แล้วจะอยู่กับเครื่องที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ ตัวเครื่องหนาๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการประมวลผลเกมที่แรงๆ แต่ภาพนั้นเริ่มถูกทดแทนเข้ามาด้วยไลน์อัปผลิตภัณฑ์โน้ตุบุ๊กเกมมิ่งที่ทยอยเข้ามาทำตลาดในปีนี้

ROG Flow X13 ถือเป็นหนึ่งในเกมมิ่งโน้ตบุ๊กที่มีความน่าสนใจหลายๆ อย่าง ไล่ตั้งแต่การเลือกนำ AMD Ryzen 9 มาใช้เป็นหน่วยประมวลผลหลัก พร้อมใส่การ์ดจอ NVIDIA GT1650 มาให้ใช้งาน ในขนาดตัวเครื่องที่มีความบางมากๆ และยังสามารถพับหน้าจอเพื่อใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ

ROG Flow X13 จึงไม่ใช่แค่โน้ตบุ๊กเกมมิ่งเท่านั้น แต่ยังใช้เป็นแท็บเล็ต ใช้งานเพื่อความบันเทิง ไปจนถึงใช้ในการนำเสนองาน เพิ่มเติมจากความสามารถหลักคือการเป็นโน้ตบุ๊กเกมมิ่งประสิทธิภาพสูงที่พกพาได้ ในราคาเริ่มต้น 49,990 บาท

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กตัวเครื่องเล็กพกพาง่าย
  • ประสิทธิภาพแรงระดับท็อป
  • เพิ่มประสิทธิภาพได้ด้วย eGPU ROG XG Mobile

ข้อสังเกต

  • ถ้าใช้งานประมวลผลหนักๆ แบตเตอรีจะหมดเร็วมาก
  • รุ่นที่วางจำหน่ายในไทยเลือกใช้จอแบบ WUXGA ไม่ใช่ UHD
  • กรณีที่ต้องการใช้งาน eGPU ไม่มีวางจำหน่ายแยก ต้องเลือกซื้อตั้งแต่แรก

โน้ตบุ๊กเกมมิ่ง 2-1

หนึ่งในความน่าสนใจของ ROG Flow X13 คือเรื่องของการออกแบบตัวเครื่องให้มีขนาดเล็ก พกพาง่าย ในขนาดหน้าจอ 13.4 นิ้ว และยังเป็นแบบ 2-1 ที่สามารถใช้งานได้ 4 รูปแบบด้วยกัน

นอกจากนี้ ดีไซน์ตัวเครื่องยังสื่อถึงความแรง ทั้งจากลายเส้นที่ฝาหลัง สัญลักษณ์ ROG ที่เป็นแบรนด์เกมเมอร์ที่ได้รับการยอมรับอยู่แล้ว ในสีแบบดำด้าน วัสดุตัวเครื่องทำจากอะลูมิเนียมคุณภาพสูง ที่ให้สัมผัสตัวเครื่องแข็งแรง

ตัวเครื่อง ROG Flow X13 มีขนาดอยู่ที่ 299.4 x 222.9 x 15.75 มิลลิเมตร น้ำหนักประมาณ 1.3 กิโลกรัม ซึ่งถือว่ามีขนาดที่ค่อนข้างเล็ก เมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กเกมเมอร์ทั่วไปในท้องตลาด

สำหรับรูปแบบการใช้งาน ROG Flow X13 ด้วยการที่เป็นตัวเครื่องแบบ 2-1 ทำให้สามารถตั้งใช้งานได้ 4 แบบ ไล่ตั้งแต่การใช้งานเป็นโน้ตบุ๊กปกติ พับหน้าจอเพื่อใช้งานเป็นแท็บเล็ต เพราะหน้าจอรองรับการทัชสกรีนอยู่แล้ว

หรือจะตั้งเครื่องในลักษณะของ Tent เพื่อใช้รับชมคอนเทนต์ต่างๆ หรือใช้เวลาเล่นเกม ที่ควบคุมผ่านจอยคอนโทรล การวางเครื่องในลักษณะนี้จะช่วยระบายความร้อนให้ดีขึ้นด้วย และสุดท้ายคือโหมดสำหรับพรีเซ็นต์ ที่วางตัวคีย์บอร์ดแนบไปกับพื้นราบ เพื่อนำเสนอหน้าจอในลักษณะของการพรีเซ็นต์งาน

เมื่อเปิดหน้าจอเครื่องขึ้นมาจะพบกับหน้าจอขนาด 13.4 นิ้ว โดยรุ่นที่วางจำหน่ายในไทยจะมากับความละเอียด WUXGA (1900 x 1200 พิกเซล) 120 Hz 100% sRGB ในอัตราส่วน 16:10 ส่วนเครื่องที่ทีมงานได้มาทดสอบจะเป็นรุ่นจอ UDH 60 Hz 116% sRGB ทื่ให้จอแสดงผลได้คมชัดอย่างน่าสนใจ

ในส่วนของแป้นคีย์บอร์ด จะมีการแยกปุ่มลัดที่สำคัญๆ อย่างการปรับเพิ่มลดเสียง ปิดไมค์ และเรียกใช้งาน Armory Crate ที่เป็นโปรแกรมไว้ควบคุมประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องขึ้นมา ตัวไฟคีย์บอร์ดยังเลือกปรับการแสดงผลได้ ว่าจะให้ติดค้างไว้ หรือกระพริบเป็นจังหวะต่างๆ

นอกจากนี้ ในส่วนของคีย์บอร์ดที่ให้มายังเป็นไซส์มาตรฐานเทียบเท่าโน้ตบุ๊กขนาดจอ 15 นิ้ว และมีปุ่มลัดให้เรียกใช้งานคีย์ Fn ในการควบคุมพัดลมระบายอากาศเพิ่มขึ้นมา อย่างไรก็ตาม จุดที่น่าเสียดายคือส่วนของปุ่มลูกศรที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก และทัชแพดที่เล็กตามขนาดของตัวเครื่อง

พอร์ตเชื่อมต่อครบ

อีกความน่าสนใจของ ROG Flow X13 คือเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อ ที่ให้มาอย่างน่าสนใจ ไไล่จากทางฝั่งซ้ายตัวเครื่อง ที่มียางซึ่งมีสัญลักษณ์ของ ROG ปิดพอร์ตอยู่ คือตำแหน่งของพอร์ตเชื่อมต่อ eGPU คู่กับ USB-C เพื่อใช้ในการจ่ายไฟ (สามารถใช้เป็นพอร์ต USB-C ปกติได้ 1 พอร์ต) พอร์ต HDMI และช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม.

ทางฝั่งขวา จะมีช่องเสียบ USB-C ให้อีก 1 พอร์ต และ USB 3.2 Type A อีก 1 พอร์ต รวมถึงปุ่มเปิดเครื่อง ที่มีการฝั่งเซ็นเซฮร์สแกนลายนิ้วมือเข้าไปด้วย ทำให้สามารถปลดล็อกตัวเครื่องด้วยการสแกนลายนิ้วมือของ Windows Hello ได้

ในส่วนของการเชื่อมต่อไร้สาย ตัวเครื่องมากับ WiFi 6 บลูทูธ 5.1 เรียกได้ว่าให้มาครบถ้วนสำหรับโน้ตบุ๊กระดับไฮเอนด์รุ่นนี้

ในกรณีที่เลือกซื้อ ROG Flow X13 Supernova Edition ROG XG Mobile ที่มาพร้อมตัว eGPU จะเพิ่มพอร์ตเชื่อมต่อทั้ง USB 3.2 Type A อีก 4 พอร์ต ช่องอ่านการ์ด พอร์ต HDMI พอร์ต Display 1.4 และ Gigabit Ethernet เพิ่มเข้ามา พร้อมกับอะเดปเตอร์ไฟขนาด 280W เพื่อให้รองรับการประมวลผลระดับสูงได้อย่างเต็มที่

ขุมพลัง AMD Ryzen 9

สำหรับจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของเครื่องรุ่นนี้ คงหนีไม่พ้นการเลือกนำ AMD Ryzen 9 มาใช้งานกับโน้ตบุ๊กขนาดจอ 13.4 นิ้ว รุ่นนี้ เพราะถือเป็นรุ่นแรกๆ ที่นำซีพียูรุ่นนี้มาใช้งาน

โดยความสามารถในการประมวลผลของ Ryzen 9 ร่วมกับการ์ดจอออนบอร์ด Vega 8 ที่ให้มาก็ถือว่าแรงเทียบเท่ากับการ์ดจอแยกหลายๆ รุ่นแล้ว การเลือกใส่ NVIDIA GT1650 มาให้ในเครื่อง ก็ยิ่งทำให้โน้ตบุ๊กรุ่นนี้ รองรับการเล่นเกมได้ครอบคลุมมากที่สุด

ในแง่ของการประมวลผล ต้องยอมรับว่า AMD Ryzen 9 ถือว่าเป็นซีพียูระดับท็อปที่สุดในเวลานี้ แต่ก็แลกมากับเรื่องของการใช้พลังงานที่ค่อนข้างสูง ทำให้เมื่อเปิดโหมดประสิทธิภาพสูง (Performance) ใช้งานแบตเตอรีจะหมดภายในเวลาชั่วโมงกว่าๆ

แต่ถ้าใช้งานในโหมดประหยัดพลังงาน ก็จะยืดระยะเวลาใช้งานออกไปได้ สำหรับการใช้ท่องเว็บ พิมพ์งานเอกสาร หรือดูภาพยนต์ ระดับ 6-7 ชั่วโมง ที่น่าสนใจก็คือตัวเครื่องมากับอะเดปเตอร์ 100W ที่มีขนาดเล็ก รองรับการชาร์จเร็ว 50% ภายในเวลา 30 นาทีด้วย

ส่วนถ้าต้องการเรียกใช้ประสิทธิภาพสูงสุดของตัวเครื่อง ในโหมด Turbo จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอะเดปเตอร์ถึงจะเลือกใช้งานโหมดนี้ได้ ซึ่งจะทำให้การประมวลผลแรงขึ้นไปอีก จนรองรับการเล่นเกมได้ทุกเกมในเวลานี้

ในแง่ของการระบายความร้อน ต้องยอมรับว่าระบบพัดลมคู่ที่ให้มาช่วยให้ตัวเครื่องระบายความร้อนได้ค่อนข้างดี ผู้ใช้สามารถเลือกระดับความแรงของพัดลมได้ ในกรณีที่ต้องการใช้งานในโหมดเงียบก็สามารถทำได้

แต่ถ้าใช้งานเครื่องพนักๆ พัดลมระบายความร้อนก็จะมีเสียงดังขึ้นอย่างชัดเจน แลกมากับการระบายความร้อนของตัวเครื่อง ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั่นเอง

Armoury Crate ปรับแต่งเครื่อง

ในส่วนของซอฟต์แวร์การจัดการเครื่องที่ให้มาอย่าง Armoury Crate ถือว่าใช้งานง่ายมากๆ เหมาะกับสายฮาร์ดคอร์ที่ต้องการข้อมูลการใช้งานทรัพยากรของเครื่องต่างๆ

โดยภายในจะมีให้เลือกทั้งการปรับโหมดใช้งาน แสดงผลสัญญาณนาฬิกาในการประมวลผลของซีพียู การ์ดจอ หน่วยความจำ ที่สามารถดูอุณหภูมิ และพลังงานที่ใช้ได้ จนถึงการเข้าไปตั้งค่าปรับแต่งให้เหมาะกับการใช้งานแต่ละโปรแกรมที่เรียกใช้ด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพ

ด้วยการที่ตัวเครื่องมากับ AMD Ryzen 9 พร้อม NVIDIA GeForce GT1650 ทำให้รองรับการเล่นเกมส่วนใหญ่ในท้องตลาเวลานี้ได้อยู่แล้ว ซึ่งในกรณีที่ใช้งานปกติ ไม่ได้ประมวลผลหนักๆ ตัวเครื่องจะเลือกใช้การ์ดจอออนบอร์ดที่เป็น Radeon Vega 8 ที่ประหยัดพลังงานมากกว่าการ์ดจอแยก ซึ่งก็รองรับการใช้งานทั่วไปได้สบาย จนถึงการรับชมภาพยนต์ระดับ 4K ได้ลื่นไหล

ในกรณีที่เล่นเกม แล้วต้องการประสิทธิภาพสูงอย่างโหมด Turbo ที่ต้องเสียบใช้งานคู่กับอะเดปเตอร์ ก็จะช่วยให้ตัวเครื่องแรงขึ้นไปอีก ทำให้ ROG Flow X13 มาตอบโจทย์การเล่นเกม และพกพาได้อย่างน่าสนใจ หรือถ้าพกไปใช้ทำงานก็จะใช้งานได้ราว 6-7 ชั่วโมง ก็เพียงพอแล้ว

รุ่นที่วางจำหน่ายในไทย

สำหรับ ROG Flow X13 รุ่นที่วางจำหน่ายในประเทศไทย จะมีเฉพาะรุ่นที่ใช้หน้าจอ 13.4 นิ้ว แบบ WUXGA 120 Hz ซีพียู AMD Ryzen 9 5980HS การ์ดจอ NVIDIA GeForce GTX 1650 4 GB RAM 16 GB พื้นที่เก็บข้อมูล SSD 1 TB ในราคา 49,990 บาท และมีรุ่น Supernova ที่มาพร้อม ROG XG Mobile เพิ่มการ์ดจอเป็น NVIDIA RTX 3080 ในราคา 99,990 บาท

สรุป

ใครที่กำลังมองหาเกมเมอร์โน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง หรือโน้ตบุ๊กขนาดพกพาง่าย ที่รองรับการใช้งานได้อย่างเต็มที่ ROG Flow X13 ในรุ่น 49,990 ถือว่าทำราคามาได้น่าสนใจ เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่ให้มา

ส่วนถ้าใครงบเหลือๆ แล้วต้องการโน้ตบุ๊กที่สุดจริงๆ สามารถนำไปต่อกับจอภายนอกเพื่อเล่นเกมได้สบายๆ Supernova Edition ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะตัว ROG XG Mobile ที่มากับ RTX 3080 ถือว่าสุดมากๆ สำหรับเกมมิ่งโน้ตบุ๊กในเวลานี้

Gallery

]]>